Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๕. มหาโควินฺทจริยาวณฺณนา
5. Mahāgovindacariyāvaṇṇanā
ปญฺจเม สตฺตราชปุโรหิโตติ สตฺตภูอาทีนํ สตฺตนฺนํ ราชูนํ สพฺพกิจฺจานุสาสกปุโรหิโตฯ ปูชิโต นรเทเวหีติ เตหิ เอว อเญฺญหิ จ ชมฺพุทีเป สเพฺพเหว ขตฺติเยหิ จตุปจฺจยปูชาย สกฺการสมฺมาเนน จ ปูชิโตฯ มหาโควินฺทพฺราหฺมโณติ มหานุภาวตาย โควินฺทสฺสาภิเสเกน อภิสิตฺตตาย จ ‘‘มหาโควิโนฺท’’ติ สงฺขํ คโต พฺราหฺมโณ, อภิสิตฺตกาลโต ปฎฺฐาย หิ โพธิสตฺตสฺส อยํ สมญฺญา ชาตา, นาเมน ปน โชติปาโล นามฯ ตสฺส กิร ชาตทิวเส สพฺพาวุธานิ โชติํสุฯ ราชาปิ ปจฺจูสสมเย อตฺตโน มงฺคลาวุธํ ปชฺชลิตํ ทิสฺวา ภีโต อตฺตโน ปุโรหิตํ โพธิสตฺตสฺส ปิตรํ อุปฎฺฐานํ อาคตํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มา ภายิ, มหาราช, มยฺหํ ปุโตฺต ชาโต, ตสฺสานุภาเวน น เกวลํ ราชเคเหเยว, สกลนคเรปิ อาวุธานิ ปชฺชลิํสุ, น ตํ นิสฺสาย ตุยฺหํ อนฺตราโย อตฺถิ, สกลชมฺพุทีเป ปน ปญฺญาย เตน สโม น ภวิสฺสติ, ตเสฺสตํ ปุพฺพนิมิตฺต’’นฺติ ปุโรหิเตน สมสฺสาสิโต ตุฎฺฐจิโตฺต ‘‘กุมารสฺส ขีรมูลํ โหตู’’ติ สหสฺสํ ทตฺวา ‘‘วยปฺปตฺตกาเล มยฺหํ ทเสฺสถา’’ติ อาหฯ โส วุทฺธิปฺปโตฺต อปรภาเค อลมตฺถทโสฺส สตฺตนฺนํ ราชูนํ สพฺพกิจฺจานุสาสโก หุตฺวา ปพฺพชิตฺวา จ สเตฺต ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิเกหิ อนเตฺถหิ ปาเลตฺวา อเตฺถหิ นิโยเชสิฯ อิติ โชติตตฺตา ปาลนสมตฺถตาย จ ‘‘โชติปาโล’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นาเมน โชติปาโล นามา’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๐๔)ฯ
Pañcame sattarājapurohitoti sattabhūādīnaṃ sattannaṃ rājūnaṃ sabbakiccānusāsakapurohito. Pūjito naradevehīti tehi eva aññehi ca jambudīpe sabbeheva khattiyehi catupaccayapūjāya sakkārasammānena ca pūjito. Mahāgovindabrāhmaṇoti mahānubhāvatāya govindassābhisekena abhisittatāya ca ‘‘mahāgovindo’’ti saṅkhaṃ gato brāhmaṇo, abhisittakālato paṭṭhāya hi bodhisattassa ayaṃ samaññā jātā, nāmena pana jotipālo nāma. Tassa kira jātadivase sabbāvudhāni jotiṃsu. Rājāpi paccūsasamaye attano maṅgalāvudhaṃ pajjalitaṃ disvā bhīto attano purohitaṃ bodhisattassa pitaraṃ upaṭṭhānaṃ āgataṃ pucchitvā ‘‘mā bhāyi, mahārāja, mayhaṃ putto jāto, tassānubhāvena na kevalaṃ rājageheyeva, sakalanagarepi āvudhāni pajjaliṃsu, na taṃ nissāya tuyhaṃ antarāyo atthi, sakalajambudīpe pana paññāya tena samo na bhavissati, tassetaṃ pubbanimitta’’nti purohitena samassāsito tuṭṭhacitto ‘‘kumārassa khīramūlaṃ hotū’’ti sahassaṃ datvā ‘‘vayappattakāle mayhaṃ dassethā’’ti āha. So vuddhippatto aparabhāge alamatthadasso sattannaṃ rājūnaṃ sabbakiccānusāsako hutvā pabbajitvā ca satte diṭṭhadhammikasamparāyikehi anatthehi pāletvā atthehi niyojesi. Iti jotitattā pālanasamatthatāya ca ‘‘jotipālo’’tissa nāmaṃ akaṃsu. Tena vuttaṃ ‘‘nāmena jotipālo nāmā’’ti (dī. ni. 2.304).
ตตฺถ โพธิสโตฺต ทิสมฺปติสฺส นาม รโญฺญ ปุโรหิตสฺส โควินฺทพฺราหฺมณสฺส ปุโตฺต หุตฺวา อตฺตโน ปิตุ ตสฺส จ รโญฺญ อจฺจเยน ตสฺส ปุโตฺต เรณุ, สหายา จสฺส สตฺตภู, พฺรหฺมทโตฺต, เวสฺสภู , ภรโต, เทฺว จ ธตรฎฺฐาติ อิเม สตฺต ราชาโน ยถา อญฺญมญฺญํ น วิวทนฺติฯ เอวํ รเชฺช ปติฎฺฐาเปตฺวา เตสํ อตฺถธเมฺม อนุสาสโนฺต ชมฺพุทีปตเล สเพฺพสํ ราชูนํ อเญฺญสญฺจ พฺราหฺมณานํ เทวนาคคหปติกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต อุตฺตมํ คารวฎฺฐานํ ปโตฺต อโหสิฯ ตสฺส อตฺถธเมฺมสุ กุสลตาย ‘‘มหาโควิโนฺท’’เตฺวว สมญฺญา อุทปาทิฯ ยถาห ‘‘โควิโนฺท วต, โภ พฺราหฺมโณ, มหาโควิโนฺท วต, โภ พฺราหฺมโณ’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๐๕)ฯ เตน วุตฺตํ –
Tattha bodhisatto disampatissa nāma rañño purohitassa govindabrāhmaṇassa putto hutvā attano pitu tassa ca rañño accayena tassa putto reṇu, sahāyā cassa sattabhū, brahmadatto, vessabhū , bharato, dve ca dhataraṭṭhāti ime satta rājāno yathā aññamaññaṃ na vivadanti. Evaṃ rajje patiṭṭhāpetvā tesaṃ atthadhamme anusāsanto jambudīpatale sabbesaṃ rājūnaṃ aññesañca brāhmaṇānaṃ devanāgagahapatikānaṃ sakkato garukato mānito pūjito apacito uttamaṃ gāravaṭṭhānaṃ patto ahosi. Tassa atthadhammesu kusalatāya ‘‘mahāgovindo’’tveva samaññā udapādi. Yathāha ‘‘govindo vata, bho brāhmaṇo, mahāgovindo vata, bho brāhmaṇo’’ti (dī. ni. 2.305). Tena vuttaṃ –
๓๗.
37.
‘‘ปุนาปรํ ยทา โหมิ, สตฺตราชปุโรหิโต;
‘‘Punāparaṃ yadā homi, sattarājapurohito;
ปูชิโต นรเทเวหิ, มหาโควินฺทพฺราหฺมโณ’’ติฯ
Pūjito naradevehi, mahāgovindabrāhmaṇo’’ti.
อถ โพธิสตฺตสฺส ปุญฺญานุภาวสมุสฺสาหิเตหิ ราชูหิ เตสํ อนุยุเตฺตหิ ขตฺติเยหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ เนคมชานปเทหิ จ อุปรูปริ อุปนีโต สมนฺตโต มโหโฆ วิย อโชฺฌตฺถรมาโน อปริเมโยฺย อุฬาโร ลาภสกฺกาโร อุปฺปชฺชิ, ยถา ตํ อปริมาณาสุ ชาตีสุ อุปจิตวิปุลปุญฺญสญฺจยสฺส อุฬาราภิชาตสฺส ปริสุทฺธสีลาจารสฺส เปสลสฺส ปริโยทาตสพฺพสิปฺปสฺส สพฺพสเตฺตสุ ปุตฺตสทิสมหากรุณาวิปฺผารสินิทฺธมุทุหทยสฺสฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘เอตรหิ โข มยฺหํ มหาลาภสกฺกาโร, ยํนูนาหํ อิมินา สพฺพสเตฺต สนฺตเปฺปตฺวา ทานปารมิํ ปริปูเรยฺย’’นฺติฯ โส นครสฺส มเชฺฌ จตูสุ ทฺวาเรสุ อตฺตโน นิเวสนทฺวาเรติ ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ อปริมิตธนปริจฺจาเคน มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ ยํ ยํ อุปายนํ อานียติ, ยญฺจ อตฺตโน อตฺถาย อภิสงฺขรียติ, สพฺพํ ตํ ทานสาลาสุ เอว เปเสสิฯ เอวํ ทิวเส ทิวเส มหาปริจฺจาคํ กโรนฺตสฺส จสฺส จิตฺตสฺส ติตฺติ วา สโนฺตโส วา นาโหสิ, กุโต ปน สโงฺกโจฯ ทานคฺคญฺจสฺส ลาภาสาย อาคจฺฉเนฺตหิ เทยฺยธมฺมํ คเหตฺวา คจฺฉเนฺตหิ จ มหาสตฺตสฺส จ คุณวิเสเส กิตฺตยเนฺตหิ มหาชนกาเยหิ อโนฺตนครํ พหินครญฺจ สมนฺตโต เอโกฆภูตํ กปฺปวุฎฺฐานมหาวายุสงฺฆฎฺฎปริพฺภมิตํ วิย มหาสมุทฺทํ เอกโกลาหลํ เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –
Atha bodhisattassa puññānubhāvasamussāhitehi rājūhi tesaṃ anuyuttehi khattiyehi brāhmaṇagahapatikehi negamajānapadehi ca uparūpari upanīto samantato mahogho viya ajjhottharamāno aparimeyyo uḷāro lābhasakkāro uppajji, yathā taṃ aparimāṇāsu jātīsu upacitavipulapuññasañcayassa uḷārābhijātassa parisuddhasīlācārassa pesalassa pariyodātasabbasippassa sabbasattesu puttasadisamahākaruṇāvipphārasiniddhamuduhadayassa. So cintesi – ‘‘etarahi kho mayhaṃ mahālābhasakkāro, yaṃnūnāhaṃ iminā sabbasatte santappetvā dānapāramiṃ paripūreyya’’nti. So nagarassa majjhe catūsu dvāresu attano nivesanadvāreti cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ aparimitadhanapariccāgena mahādānaṃ pavattesi. Yaṃ yaṃ upāyanaṃ ānīyati, yañca attano atthāya abhisaṅkharīyati, sabbaṃ taṃ dānasālāsu eva pesesi. Evaṃ divase divase mahāpariccāgaṃ karontassa cassa cittassa titti vā santoso vā nāhosi, kuto pana saṅkoco. Dānaggañcassa lābhāsāya āgacchantehi deyyadhammaṃ gahetvā gacchantehi ca mahāsattassa ca guṇavisese kittayantehi mahājanakāyehi antonagaraṃ bahinagarañca samantato ekoghabhūtaṃ kappavuṭṭhānamahāvāyusaṅghaṭṭaparibbhamitaṃ viya mahāsamuddaṃ ekakolāhalaṃ ekaninnādaṃ ahosi. Tena vuttaṃ –
๓๘.
38.
‘‘ตทาหํ สตฺตรเชฺชสุ, ยํ เม อาสิ อุปายนํ;
‘‘Tadāhaṃ sattarajjesu, yaṃ me āsi upāyanaṃ;
เตน เทมิ มหาทานํ, อโกฺขภํ สาครูปม’’นฺติฯ
Tena demi mahādānaṃ, akkhobhaṃ sāgarūpama’’nti.
ตตฺถ ตทาหนฺติ ยทา สตฺตราชปุโรหิโต มหาโควินฺทพฺราหฺมโณ โหมิ, ตทา อหํฯ สตฺตรเชฺชสูติ เรณุอาทีนํ สตฺตนฺนํ ราชูนํ รเชฺชสุฯ อโกฺขภนฺติ อพฺภนฺตเรหิ จ พาหิเรหิ จ ปจฺจตฺถิเกหิ อปฺปฎิเสธนียตาย เกนจิ อโกฺขภนียํฯ ‘‘อจฺจุพฺภ’’นฺติปิ ปาโฐฯ อติปุณฺณทานชฺฌาสยสฺส เทยฺยธมฺมสฺส จ อุฬารภาเวน วิปุลภาเวน จ อติวิย ปริปุณฺณนฺติ อโตฺถฯ สาครูปมนฺติ สาครสทิสํ, ยถา สาคเร อุทกํ สกเลนปิ โลเกน หรเนฺตน เขเปตุํ น สกฺกา, เอวํ ตสฺส ทานเคฺค เทยฺยธมฺมนฺติฯ
Tattha tadāhanti yadā sattarājapurohito mahāgovindabrāhmaṇo homi, tadā ahaṃ. Sattarajjesūti reṇuādīnaṃ sattannaṃ rājūnaṃ rajjesu. Akkhobhanti abbhantarehi ca bāhirehi ca paccatthikehi appaṭisedhanīyatāya kenaci akkhobhanīyaṃ. ‘‘Accubbha’’ntipi pāṭho. Atipuṇṇadānajjhāsayassa deyyadhammassa ca uḷārabhāvena vipulabhāvena ca ativiya paripuṇṇanti attho. Sāgarūpamanti sāgarasadisaṃ, yathā sāgare udakaṃ sakalenapi lokena harantena khepetuṃ na sakkā, evaṃ tassa dānagge deyyadhammanti.
๓๙. โอสานคาถาย วรํ ธนนฺติ อุตฺตมํ อิจฺฉิตํ วา ธนํฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
39. Osānagāthāya varaṃ dhananti uttamaṃ icchitaṃ vā dhanaṃ. Sesaṃ vuttanayameva.
เอวํ มหาสโตฺต ปฐมกปฺปิกมหาเมโฆ วิย มหาวสฺสํ อวิภาเคน มหนฺตํ ทานวสฺสํ วสฺสาเปโนฺต ทานพฺยาวโฎ หุตฺวาปิ เสสํ สตฺตนฺนํ ราชูนํ อตฺถธเมฺม อปฺปมโตฺต อนุสาสติฯ สตฺต จ พฺราหฺมณมหาสาเล วิชฺชาสิปฺปํ สิกฺขาเปติ, สตฺต จ นฺหาตกสตานิ มเนฺต วาเจติฯ ตสฺส อปเรน สมเยน เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต ‘‘สกฺขิ มหาโควิโนฺท พฺราหฺมโณ พฺรหฺมานํ ปสฺสติ, สกฺขิ มหาโควิโนฺท พฺราหฺมโณ พฺรหฺมุนา สากเจฺฉติ สลฺลปติ มเนฺตตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๑๒)ฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘เอตรหิ โข มยฺหํ อยํ อภูโต กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต ‘พฺรหฺมานํ ปสฺสติ, สกฺขิ มหาโควิโนฺท พฺราหฺมโณ พฺรหฺมุนา สากเจฺฉติ สลฺลปติ มเนฺตตี’ติ, ยํนูนาหํ อิมํ ภูตํ เอว กเรยฺย’’นฺติฯ โส ‘‘เต สตฺต ราชาโน สตฺต จ พฺราหฺมณมหาสาเล สตฺต จ นฺหาตกสตานิ อตฺตโน ปุตฺตทารญฺจ อาปุจฺฉิตฺวา พฺรหฺมานํ ปเสฺสยฺย’’นฺติ จิตฺตํ ปณิธาย วสฺสิเก จตฺตาโร มาเส พฺรหฺมวิหารภาวนมนุยุญฺชิฯ ตสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย พฺรหฺมา สนงฺกุมาโร ปุรโต ปาตุรโหสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาปุริโส ปุจฺฉิ –
Evaṃ mahāsatto paṭhamakappikamahāmegho viya mahāvassaṃ avibhāgena mahantaṃ dānavassaṃ vassāpento dānabyāvaṭo hutvāpi sesaṃ sattannaṃ rājūnaṃ atthadhamme appamatto anusāsati. Satta ca brāhmaṇamahāsāle vijjāsippaṃ sikkhāpeti, satta ca nhātakasatāni mante vāceti. Tassa aparena samayena evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato ‘‘sakkhi mahāgovindo brāhmaṇo brahmānaṃ passati, sakkhi mahāgovindo brāhmaṇo brahmunā sākaccheti sallapati mantetī’’ti (dī. ni. 2.312). So cintesi – ‘‘etarahi kho mayhaṃ ayaṃ abhūto kittisaddo abbhuggato ‘brahmānaṃ passati, sakkhi mahāgovindo brāhmaṇo brahmunā sākaccheti sallapati mantetī’ti, yaṃnūnāhaṃ imaṃ bhūtaṃ eva kareyya’’nti. So ‘‘te satta rājāno satta ca brāhmaṇamahāsāle satta ca nhātakasatāni attano puttadārañca āpucchitvā brahmānaṃ passeyya’’nti cittaṃ paṇidhāya vassike cattāro māse brahmavihārabhāvanamanuyuñji. Tassa cetasā cetoparivitakkamaññāya brahmā sanaṅkumāro purato pāturahosi. Taṃ disvā mahāpuriso pucchi –
‘‘วณฺณวา ยสวา สิริมา, โก นุ ตฺวมสิ มาริส;
‘‘Vaṇṇavā yasavā sirimā, ko nu tvamasi mārisa;
อชานนฺตา ตํ ปุจฺฉาม, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๘);
Ajānantā taṃ pucchāma, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti. (dī. ni. 2.318);
ตสฺส พฺรหฺมา อตฺตานํ ชานาเปโนฺต –
Tassa brahmā attānaṃ jānāpento –
‘‘มํ เว กุมารํ ชานนฺติ, พฺรหฺมโลเก สนนฺตนํ;
‘‘Maṃ ve kumāraṃ jānanti, brahmaloke sanantanaṃ;
สเพฺพ ชานนฺติ มํ เทวา, เอวํ โควินฺท ชานาหี’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๘) –
Sabbe jānanti maṃ devā, evaṃ govinda jānāhī’’ti. (dī. ni. 2.318) –
วตฺวา เตน –
Vatvā tena –
‘‘อาสนํ อุทกํ ปชฺชํ, มธุสากญฺจ พฺรหฺมุโน;
‘‘Āsanaṃ udakaṃ pajjaṃ, madhusākañca brahmuno;
อเคฺฆ ภวนฺตํ ปุจฺฉาม, อคฺฆํ กุรุตุ โน ภว’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๘) –
Agghe bhavantaṃ pucchāma, agghaṃ kurutu no bhava’’nti. (dī. ni. 2.318) –
อุปนีตํ อติถิสกฺการํ อนตฺถิโกปิ พฺรหฺมา ตสฺส จิตฺตสมฺปหํสนตฺถํ วิสฺสาสกรณตฺถญฺจ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ‘‘ปฎิคฺคณฺหาม เต อคฺฆํ, ยํ, ตฺวํ โควินฺท, ภาสสี’’ติฯ วตฺวา โอกาสทานตฺถํ –
Upanītaṃ atithisakkāraṃ anatthikopi brahmā tassa cittasampahaṃsanatthaṃ vissāsakaraṇatthañca sampaṭicchanto ‘‘paṭiggaṇhāma te agghaṃ, yaṃ, tvaṃ govinda, bhāsasī’’ti. Vatvā okāsadānatthaṃ –
‘‘ทิฎฺฐธมฺมหิตตฺถาย, สมฺปรายสุขาย จ;
‘‘Diṭṭhadhammahitatthāya, samparāyasukhāya ca;
กตาวกาโส ปุจฺฉสฺสุ, ยํกิญฺจิ อภิปตฺถิต’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๘) –
Katāvakāso pucchassu, yaṃkiñci abhipatthita’’nti. (dī. ni. 2.318) –
โอกาสมกาสิฯ
Okāsamakāsi.
อถ นํ มหาปุริโส สมฺปรายิกํ เอว อตฺถํ –
Atha naṃ mahāpuriso samparāyikaṃ eva atthaṃ –
‘‘ปุจฺฉามิ พฺรหฺมานํ สนงฺกุมารํ, กงฺขี อกงฺขิํ ปรเวทิเยสุ;
‘‘Pucchāmi brahmānaṃ sanaṅkumāraṃ, kaṅkhī akaṅkhiṃ paravediyesu;
กตฺถฎฺฐิโต กิมฺหิ จ สิกฺขมาโน, ปโปฺปติ มโจฺจ อมตํ พฺรหฺมโลก’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๙) –
Katthaṭṭhito kimhi ca sikkhamāno, pappoti macco amataṃ brahmaloka’’nti. (dī. ni. 2.319) –
ปุจฺฉิฯ
Pucchi.
ตสฺส พฺรหฺมา พฺยากโรโนฺต –
Tassa brahmā byākaronto –
‘‘หิตฺวา มมตฺตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม, เอโกทิภูโต กรุเณธิมุโตฺต;
‘‘Hitvā mamattaṃ manujesu brahme, ekodibhūto karuṇedhimutto;
นิรามคโนฺธ วิรโต เมถุนสฺมา, เอตฺถฎฺฐิโต เอตฺถ จ สิกฺขมาโน;
Nirāmagandho virato methunasmā, etthaṭṭhito ettha ca sikkhamāno;
ปโปฺปติ มโจฺจ อมตํ พฺรหฺมโลก’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๓๑๙) –
Pappoti macco amataṃ brahmaloka’’nti. (dī. ni. 2.319) –
พฺรหฺมโลกคามิมคฺคํ กเถสิฯ
Brahmalokagāmimaggaṃ kathesi.
ตตฺถ มํ เว กุมารํ ชานนฺตีติ เว เอกํเสน มํ ‘‘กุมาโร’’ติ ชานนฺติฯ พฺรหฺมโลเกติ เสฎฺฐโลเกฯ สนนฺตนนฺติ จิรตนํ โปราณํฯ เอวํ, โควินฺท, ชานาหีติ, โควินฺท, เอวํ มํ ธาเรหิฯ
Tattha maṃ ve kumāraṃ jānantīti ve ekaṃsena maṃ ‘‘kumāro’’ti jānanti. Brahmaloketi seṭṭhaloke. Sanantananti ciratanaṃ porāṇaṃ. Evaṃ, govinda, jānāhīti, govinda, evaṃ maṃ dhārehi.
อาสนนฺติ อิทํ โภโต พฺรหฺมุโน นิสีทนตฺถาย อาสนํ ปญฺญตฺตํฯ อิทํ อุทกํ ปริโภชนียํ ปาทานํ โธวนตฺถํ ปานียํ ปิปาสหรณตฺถายฯ อิทํ ปชฺชํ ปริสฺสมวิโนทนตฺถํ ปาทพฺภญฺชนเตลํฯ อิทํ มธุสากํ อตกฺกํ อโลณิกํ อธูปนํ อุทเกน เสทิตํ สากํ สนฺธาย วทติฯ ตทา หิ โพธิสตฺตสฺส ตํ จตุมาสํ พฺรหฺมจริยํ อภิสเลฺลขวุตฺติปรมุกฺกฎฺฐํ อโหสิฯ ตสฺสิเม สเพฺพ อเคฺฆ กตฺวา ปุจฺฉาม, ตยิทํ อคฺฆํ กุรุตุ ปฎิคฺคณฺหาตุ โน ภวํ อิทํ อคฺฆนฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิติ มหาปุริโส พฺรหฺมุโน เนสํ อปริภุญฺชนํ ชานโนฺตปิ วตฺตสีเส ฐตฺวา อตฺตโน อาจิณฺณํ อติถิปูชนํ ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ พฺรหฺมาปิสฺส อธิปฺปายํ ชานโนฺต ‘‘ปฎิคฺคณฺหาม เต อคฺฆํ, ยํ ตฺวํ, โควินฺท, ภาสสี’’ติ อาหฯ
Āsananti idaṃ bhoto brahmuno nisīdanatthāya āsanaṃ paññattaṃ. Idaṃ udakaṃ paribhojanīyaṃ pādānaṃ dhovanatthaṃ pānīyaṃ pipāsaharaṇatthāya. Idaṃ pajjaṃ parissamavinodanatthaṃ pādabbhañjanatelaṃ. Idaṃ madhusākaṃ atakkaṃ aloṇikaṃ adhūpanaṃ udakena seditaṃ sākaṃ sandhāya vadati. Tadā hi bodhisattassa taṃ catumāsaṃ brahmacariyaṃ abhisallekhavuttiparamukkaṭṭhaṃ ahosi. Tassime sabbe agghe katvā pucchāma, tayidaṃ agghaṃ kurutu paṭiggaṇhātu no bhavaṃ idaṃ agghanti vuttaṃ hoti. Iti mahāpuriso brahmuno nesaṃ aparibhuñjanaṃ jānantopi vattasīse ṭhatvā attano āciṇṇaṃ atithipūjanaṃ dassento evamāha. Brahmāpissa adhippāyaṃ jānanto ‘‘paṭiggaṇhāma te agghaṃ, yaṃ tvaṃ, govinda, bhāsasī’’ti āha.
ตตฺถ ตสฺส เต อาสเน มยํ นิสินฺนา นาม โหม, ปาโททเกน ปาทา โธตา นาม โหนฺตุ, ปานียํ ปีตา นาม โหม, ปาทพฺภญฺชเนน ปาทา มกฺขิตา นาม โหนฺตุ, อุทกสากมฺปิ ปริภุตฺตํ นาม โหตูติ อโตฺถฯ
Tattha tassa te āsane mayaṃ nisinnā nāma homa, pādodakena pādā dhotā nāma hontu, pānīyaṃ pītā nāma homa, pādabbhañjanena pādā makkhitā nāma hontu, udakasākampi paribhuttaṃ nāma hotūti attho.
กงฺขี อกงฺขิํ ปรเวทิเยสูติ อหํ สวิจิกิโจฺฉ ปเรน สยํ อภิสงฺขตตฺตา ปรสฺส ปากเฎสุ ปรเวทิเยสุ ปเญฺหสุ นิพฺพิจิกิจฺฉํฯ
Kaṅkhī akaṅkhiṃ paravediyesūti ahaṃ savicikiccho parena sayaṃ abhisaṅkhatattā parassa pākaṭesu paravediyesu pañhesu nibbicikicchaṃ.
หิตฺวา มมตฺตนฺติ ‘‘อิทํ มม, อิทํ มมา’’ติ ปวตฺตนกํ อุปกรณตณฺหํ จชิตฺวาฯ มนุเชสูติ สเตฺตสุฯ พฺรเหฺมติ โพธิสตฺตํ อาลปติฯ เอโกทิภูโตติ เอโก อุเทติ ปวตฺตตีติ เอโกทิภูโต เอกีภูโต, เอเกน กายวิเวกํ ทเสฺสติฯ อถ วา เอโก อุเทตีติ เอโกทิ, สมาธิฯ ตํ ภูโต ปโตฺตติ เอโกทิภูโต, อุปจารปฺปนาสมาธีหิ สมาหิโตติ อโตฺถฯ เอตํ เอโกทิภาวํ กรุณาพฺรหฺมวิหารวเสน ทเสฺสโนฺต ‘‘กรุเณธิมุโตฺต’’ติ อาหฯ กรุณชฺฌาเน อธิมุโตฺต, ตํ ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวาติ อโตฺถฯ นิรามคโนฺธติ กิเลสสงฺขาตวิสฺสคนฺธรหิโตฯ เอตฺถฎฺฐิโตติ เอเตสุ ธเมฺมสุ ฐิโต, เอเต ธเมฺม สมฺปาเทตฺวาฯ เอตฺถ จ สิกฺขมาโนติ เอเตสุ ธเมฺมสุ สิกฺขมาโน , เอตํ พฺรหฺมวิหารภาวนํ ภาเวโนฺตติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปาฬิยํ (ที. นิ. ๒.๒๙๓ อาทโย) อาคโตเยวาติฯ
Hitvā mamattanti ‘‘idaṃ mama, idaṃ mamā’’ti pavattanakaṃ upakaraṇataṇhaṃ cajitvā. Manujesūti sattesu. Brahmeti bodhisattaṃ ālapati. Ekodibhūtoti eko udeti pavattatīti ekodibhūto ekībhūto, ekena kāyavivekaṃ dasseti. Atha vā eko udetīti ekodi, samādhi. Taṃ bhūto pattoti ekodibhūto, upacārappanāsamādhīhi samāhitoti attho. Etaṃ ekodibhāvaṃ karuṇābrahmavihāravasena dassento ‘‘karuṇedhimutto’’ti āha. Karuṇajjhāne adhimutto, taṃ jhānaṃ nibbattetvāti attho. Nirāmagandhoti kilesasaṅkhātavissagandharahito. Etthaṭṭhitoti etesu dhammesu ṭhito, ete dhamme sampādetvā. Ettha ca sikkhamānoti etesu dhammesu sikkhamāno , etaṃ brahmavihārabhāvanaṃ bhāventoti attho. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana pāḷiyaṃ (dī. ni. 2.293 ādayo) āgatoyevāti.
อถ มหาปุริโส ตสฺส พฺรหฺมุโน วจนํ สุตฺวา อามคเนฺธ ชิคุจฺฉโนฺต ‘‘อิทาเนวาหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ พฺรหฺมาปิ ‘‘สาธุ, มหาปุริส, ปพฺพชสฺสุฯ เอวํ สติ มยฺหมฺปิ ตว สนฺติเก อาคมนํ สฺวาคมนเมว ภวิสฺสติ, ตฺวํ, ตาต, สกลชมฺพุทีเป อคฺคปุริโส ปฐมวเย ฐิโต, เอวํ มหนฺตํ นาม สมฺปตฺติํ อิสฺสริยญฺจ ปหาย ปพฺพชนํ นาม คนฺธหตฺถิโน อโยพนฺธนํ ฉินฺทิตฺวา วนคมนํ วิย อติอุฬารํ, พุทฺธตนฺติ นาเมสา’’ติ มหาโพธิสตฺตสฺส ทฬฺหีกมฺมํ กตฺวา พฺรหฺมโลกเมว คโตฯ มหาสโตฺตปิ ‘‘มม อิโต นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชนํ นาม น ยุตฺตํ, อหํ ราชกุลานํ อตฺถํ อนุสาสามิ, ตสฺมา เตสํ อาโรเจตฺวา สเจ เตปิ ปพฺพชนฺติ สุนฺทรเมว, โน เจ ปุโรหิตฎฺฐานํ นิยฺยาเตตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เรณุสฺส ตาว รโญฺญ อาโรเจตฺวา เตน ภิโยฺยโสมตฺตาย กาเมหิ นิมนฺติยมาโน อตฺตโน สํเวคเหตุํ เอกเนฺตน ปพฺพชิตุกามตญฺจสฺส นิเวเทตฺวา เตน ‘‘ยทิ เอวํ อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอเตเนว นเยน สตฺตภูอาทโย ฉ ขตฺติเย, สตฺต จ พฺราหฺมณมหาสาเล, สตฺต จ นฺหาตกสตานิ, อตฺตโน ภริยาโย จ อาปุจฺฉิตฺวา สตฺตาหมตฺตเมว เตสํ จิตฺตานุรกฺขณตฺถํ ฐตฺวา มหาภินิกฺขมนสทิสํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ
Atha mahāpuriso tassa brahmuno vacanaṃ sutvā āmagandhe jigucchanto ‘‘idānevāhaṃ pabbajissāmī’’ti āha. Brahmāpi ‘‘sādhu, mahāpurisa, pabbajassu. Evaṃ sati mayhampi tava santike āgamanaṃ svāgamanameva bhavissati, tvaṃ, tāta, sakalajambudīpe aggapuriso paṭhamavaye ṭhito, evaṃ mahantaṃ nāma sampattiṃ issariyañca pahāya pabbajanaṃ nāma gandhahatthino ayobandhanaṃ chinditvā vanagamanaṃ viya atiuḷāraṃ, buddhatanti nāmesā’’ti mahābodhisattassa daḷhīkammaṃ katvā brahmalokameva gato. Mahāsattopi ‘‘mama ito nikkhamitvā pabbajanaṃ nāma na yuttaṃ, ahaṃ rājakulānaṃ atthaṃ anusāsāmi, tasmā tesaṃ ārocetvā sace tepi pabbajanti sundarameva, no ce purohitaṭṭhānaṃ niyyātetvā pabbajissāmī’’ti cintetvā reṇussa tāva rañño ārocetvā tena bhiyyosomattāya kāmehi nimantiyamāno attano saṃvegahetuṃ ekantena pabbajitukāmatañcassa nivedetvā tena ‘‘yadi evaṃ ahampi pabbajissāmī’’ti vutte ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā eteneva nayena sattabhūādayo cha khattiye, satta ca brāhmaṇamahāsāle, satta ca nhātakasatāni, attano bhariyāyo ca āpucchitvā sattāhamattameva tesaṃ cittānurakkhaṇatthaṃ ṭhatvā mahābhinikkhamanasadisaṃ nikkhamitvā pabbaji.
ตสฺส เต สตฺตราชาโน อาทิํ กตฺวา สเพฺพว อนุปพฺพชิํสุฯ สา อโหสิ มหตี ปริสาฯ อเนกโยชนวิตฺถาราย ปริสาย ปริวุโต มหาปุริโส ธมฺมํ เทเสโนฺต คามนิคมชนปทราชธานีสุ จาริกํ จรติ, มหาชนํ ปุเญฺญ ปติฎฺฐาเปติฯ คตคตฎฺฐาเน พุทฺธโกลาหลํ วิย โหติฯ มนุสฺสา ‘‘โควินฺทปณฺฑิโต กิร อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา ปุเรตรเมว มณฺฑปํ กาเรตฺวา ตํ อลงฺการาเปตฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา มณฺฑปํ ปเวเสตฺวา นานคฺครสโภชเนน ปติมาเนนฺติฯ มหาลาภสกฺกาโร มโหโฆ วิย อโชฺฌตฺถรโนฺต อุปฺปชฺชิฯ มหาปุริโส มหาชนํ ปุเญฺญ ปติฎฺฐาเปสิ สีลสมฺปทาย อินฺทฺริยสํวเร โภชเน มตฺตญฺญุตาย ชาคริยานุโยเค กสิณปริกเมฺม ฌาเนสุ อภิญฺญาสุ อฎฺฐสมาปตฺตีสุ พฺรหฺมวิหาเรสูติฯ พุทฺธุปฺปาทกาโล วิย อโหสิฯ
Tassa te sattarājāno ādiṃ katvā sabbeva anupabbajiṃsu. Sā ahosi mahatī parisā. Anekayojanavitthārāya parisāya parivuto mahāpuriso dhammaṃ desento gāmanigamajanapadarājadhānīsu cārikaṃ carati, mahājanaṃ puññe patiṭṭhāpeti. Gatagataṭṭhāne buddhakolāhalaṃ viya hoti. Manussā ‘‘govindapaṇḍito kira āgacchatī’’ti sutvā puretarameva maṇḍapaṃ kāretvā taṃ alaṅkārāpetvā paccuggantvā maṇḍapaṃ pavesetvā nānaggarasabhojanena patimānenti. Mahālābhasakkāro mahogho viya ajjhottharanto uppajji. Mahāpuriso mahājanaṃ puññe patiṭṭhāpesi sīlasampadāya indriyasaṃvare bhojane mattaññutāya jāgariyānuyoge kasiṇaparikamme jhānesu abhiññāsu aṭṭhasamāpattīsu brahmavihāresūti. Buddhuppādakālo viya ahosi.
โพธิสโตฺต ยาวตายุกํ ปารมิโย ปูเรโนฺต สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ตํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตํ จิรํ ทีฆมทฺธานํ ปวตฺติตฺถฯ ตสฺส เย สาสนํ สเพฺพน สพฺพํ อาชานิํสุ, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ พฺรหฺมโลกํ อุปปชฺชิํสุฯ เย น อาชานิํสุ, เต อเปฺปกเจฺจ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิํสุฯ อเปฺปกเจฺจ นิมฺมานรตีนํ…เป.… ตุสิตานํ ยามานํ ตาวติํสานํ จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชิํสุฯ เย สพฺพนิหีนา, เต คนฺธพฺพกายํ ปริปูเรสุํฯ อิติ มหาชโน เยภุเยฺยน พฺรหฺมโลกูปโค สคฺคูปโค จ อโหสิฯ ตสฺมา เทวพฺรหฺมโลกา ปริปูริํสุฯ จตฺตาโร อปายา สุญฺญา วิย อเหสุํฯ
Bodhisatto yāvatāyukaṃ pāramiyo pūrento samāpattisukhena vītināmetvā āyupariyosāne brahmaloke nibbatti. Tassa taṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsitaṃ ciraṃ dīghamaddhānaṃ pavattittha. Tassa ye sāsanaṃ sabbena sabbaṃ ājāniṃsu, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ brahmalokaṃ upapajjiṃsu. Ye na ājāniṃsu, te appekacce paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjiṃsu. Appekacce nimmānaratīnaṃ…pe… tusitānaṃ yāmānaṃ tāvatiṃsānaṃ cātumahārājikānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjiṃsu. Ye sabbanihīnā, te gandhabbakāyaṃ paripūresuṃ. Iti mahājano yebhuyyena brahmalokūpago saggūpago ca ahosi. Tasmā devabrahmalokā paripūriṃsu. Cattāro apāyā suññā viya ahesuṃ.
อิธาปิ อกิตฺติชาตเก (ชา. ๑.๑๓.๘๓ อาทโย) วิย โพธิสมฺภารนิทฺธารณา เวทิตพฺพา – ตทา สตฺต ราชาโน มหาเถรา อเหสุํ, เสสปริสา พุทฺธปริสา, มหาโควิโนฺท โลกนาโถฯ ตถา เรณุอาทีนํ สตฺตนฺนํ ราชูนํ อญฺญมญฺญาวิโรเธน ยถา สกรเชฺช ปติฎฺฐาปนํ, ตถา มหติ สตฺตวิเธ รเชฺช เตสํ อตฺถธมฺมานุสาสเน อปฺปมาโท, ‘‘พฺรหฺมุนาปิ สากจฺฉํ สมาปชฺชตี’’ติ ปวตฺตสมฺภาวนํ ยถาภูตํ กาตุํ จตฺตาโร มาเส ปรมุกฺกํสคโต พฺรหฺมจริยวาโสฯ เตน พฺรหฺมุโน อตฺตนิ สมาปชฺชนํ, พฺรหฺมุโน โอวาเท ฐตฺวา สตฺตหิ ราชูหิ สกเลน จ โลเกน อุปนีตํ ลาภสกฺการํ เขฬปิณฺฑํ วิย ฉเฑฺฑตฺวา อปริมาณาย ขตฺติยพฺราหฺมณาทิปริสาย อนุปพฺพชฺชานิมิตฺตาย ปพฺพชฺชาย อนุฎฺฐานํ, พุทฺธานํ สาสนสฺส วิย อตฺตโน สาสนสฺส จิรกาลานุปฺปพโนฺธติ เอวมาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ
Idhāpi akittijātake (jā. 1.13.83 ādayo) viya bodhisambhāraniddhāraṇā veditabbā – tadā satta rājāno mahātherā ahesuṃ, sesaparisā buddhaparisā, mahāgovindo lokanātho. Tathā reṇuādīnaṃ sattannaṃ rājūnaṃ aññamaññāvirodhena yathā sakarajje patiṭṭhāpanaṃ, tathā mahati sattavidhe rajje tesaṃ atthadhammānusāsane appamādo, ‘‘brahmunāpi sākacchaṃ samāpajjatī’’ti pavattasambhāvanaṃ yathābhūtaṃ kātuṃ cattāro māse paramukkaṃsagato brahmacariyavāso. Tena brahmuno attani samāpajjanaṃ, brahmuno ovāde ṭhatvā sattahi rājūhi sakalena ca lokena upanītaṃ lābhasakkāraṃ kheḷapiṇḍaṃ viya chaḍḍetvā aparimāṇāya khattiyabrāhmaṇādiparisāya anupabbajjānimittāya pabbajjāya anuṭṭhānaṃ, buddhānaṃ sāsanassa viya attano sāsanassa cirakālānuppabandhoti evamādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.
มหาโควินฺทจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāgovindacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๕. มหาโควินฺทจริยา • 5. Mahāgovindacariyā