Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๘. มหาหตฺถิปโทปมสุตฺตํ

    8. Mahāhatthipadopamasuttaṃ

    ๓๐๐. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อาวุโส ภิกฺขเว’’ติฯ ‘‘อาวุโส’’ติ โข เต ภิกฺขู อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ปจฺจโสฺสสุํฯ อายสฺมา สาริปุโตฺต เอตทโวจ – ‘‘เสยฺยถาปิ, อาวุโส, ยานิ กานิจิ ชงฺคลานํ ปาณานํ ปทชาตานิ สพฺพานิ ตานิ หตฺถิปเท สโมธานํ คจฺฉนฺติ, หตฺถิปทํ เตสํ อคฺคมกฺขายติ ยทิทํ มหนฺตเตฺตน; เอวเมว โข, อาวุโส, เย เกจิ กุสลา ธมฺมา สเพฺพเต จตูสุ อริยสเจฺจสุ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ กตเมสุ จตูสุ? ทุเกฺข อริยสเจฺจ , ทุกฺขสมุทเย อริยสเจฺจ, ทุกฺขนิโรเธ อริยสเจฺจ, ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย อริยสเจฺจ’’ฯ

    300. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tatra kho āyasmā sāriputto bhikkhū āmantesi – ‘‘āvuso bhikkhave’’ti. ‘‘Āvuso’’ti kho te bhikkhū āyasmato sāriputtassa paccassosuṃ. Āyasmā sāriputto etadavoca – ‘‘seyyathāpi, āvuso, yāni kānici jaṅgalānaṃ pāṇānaṃ padajātāni sabbāni tāni hatthipade samodhānaṃ gacchanti, hatthipadaṃ tesaṃ aggamakkhāyati yadidaṃ mahantattena; evameva kho, āvuso, ye keci kusalā dhammā sabbete catūsu ariyasaccesu saṅgahaṃ gacchanti. Katamesu catūsu? Dukkhe ariyasacce , dukkhasamudaye ariyasacce, dukkhanirodhe ariyasacce, dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya ariyasacce’’.

    ๓๐๑. ‘‘กตมญฺจาวุโส, ทุกฺขํ อริยสจฺจํ? ชาติปิ ทุกฺขา, ชราปิ ทุกฺขา, มรณมฺปิ ทุกฺขํ, โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิ ทุกฺขา, ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ; สํขิเตฺตน, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขาฯ กตเม จาวุโส, ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา? เสยฺยถิทํ – รูปุปาทานกฺขโนฺธ, เวทนุปาทานกฺขโนฺธ, สญฺญุปาทานกฺขโนฺธ, สงฺขารุปาทานกฺขโนฺธ, วิญฺญาณุปาทานกฺขโนฺธฯ

    301. ‘‘Katamañcāvuso, dukkhaṃ ariyasaccaṃ? Jātipi dukkhā, jarāpi dukkhā, maraṇampi dukkhaṃ, sokaparidevadukkhadomanassupāyāsāpi dukkhā, yampicchaṃ na labhati tampi dukkhaṃ; saṃkhittena, pañcupādānakkhandhā dukkhā. Katame cāvuso, pañcupādānakkhandhā? Seyyathidaṃ – rūpupādānakkhandho, vedanupādānakkhandho, saññupādānakkhandho, saṅkhārupādānakkhandho, viññāṇupādānakkhandho.

    ‘‘กตโม จาวุโส, รูปุปาทานกฺขโนฺธ? จตฺตาริ จ มหาภูตานิ, จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทาย รูปํฯ

    ‘‘Katamo cāvuso, rūpupādānakkhandho? Cattāri ca mahābhūtāni, catunnañca mahābhūtānaṃ upādāya rūpaṃ.

    ‘‘กตมา จาวุโส, จตฺตาโร มหาภูตา? ปถวีธาตุ, อาโปธาตุ , เตโชธาตุ, วาโยธาตุฯ

    ‘‘Katamā cāvuso, cattāro mahābhūtā? Pathavīdhātu, āpodhātu , tejodhātu, vāyodhātu.

    ๓๐๒. ‘‘กตมา จาวุโส, ปถวีธาตุ? ปถวีธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา, สิยา พาหิราฯ กตมา จาวุโส, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ มํสํ นฺหารุ อฎฺฐิ อฎฺฐิมิญฺชํ วกฺกํ หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ อนฺตํ อนฺตคุณํ อุทริยํ กรีสํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ กกฺขฬํ ขริคตํ อุปาทินฺนํฯ อยํ วุจฺจตาวุโส, อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ, ยา จ พาหิรา ปถวีธาตุ, ปถวีธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ – เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา ปถวีธาตุยา นิพฺพินฺทติ, ปถวีธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ

    302. ‘‘Katamā cāvuso, pathavīdhātu? Pathavīdhātu siyā ajjhattikā, siyā bāhirā. Katamā cāvuso, ajjhattikā pathavīdhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – kesā lomā nakhā dantā taco maṃsaṃ nhāru aṭṭhi aṭṭhimiñjaṃ vakkaṃ hadayaṃ yakanaṃ kilomakaṃ pihakaṃ papphāsaṃ antaṃ antaguṇaṃ udariyaṃ karīsaṃ, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ kakkhaḷaṃ kharigataṃ upādinnaṃ. Ayaṃ vuccatāvuso, ajjhattikā pathavīdhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā pathavīdhātu, yā ca bāhirā pathavīdhātu, pathavīdhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti – evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā pathavīdhātuyā nibbindati, pathavīdhātuyā cittaṃ virājeti.

    ‘‘โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ พาหิรา อาโปธาตุ ปกุปฺปติ 1ฯ อนฺตรหิตา ตสฺมิํ สมเย พาหิรา ปถวีธาตุ โหติฯ ตสฺสา หิ นาม, อาวุโส, พาหิราย ปถวีธาตุยา ตาว มหลฺลิกาย อนิจฺจตา ปญฺญายิสฺสติ, ขยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วิปริณามธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติฯ กิํ ปนิมสฺส มตฺตฎฺฐกสฺส กายสฺส ตณฺหุปาทินฺนสฺส ‘อหนฺติ วา มมนฺติ วา อสฺมี’ติ วา? อถ ขฺวาสฺส โนเตเวตฺถ โหติฯ

    ‘‘Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ bāhirā āpodhātu pakuppati 2. Antarahitā tasmiṃ samaye bāhirā pathavīdhātu hoti. Tassā hi nāma, āvuso, bāhirāya pathavīdhātuyā tāva mahallikāya aniccatā paññāyissati, khayadhammatā paññāyissati, vayadhammatā paññāyissati, vipariṇāmadhammatā paññāyissati. Kiṃ panimassa mattaṭṭhakassa kāyassa taṇhupādinnassa ‘ahanti vā mamanti vā asmī’ti vā? Atha khvāssa notevettha hoti.

    ‘‘ตเญฺจ, อาวุโส, ภิกฺขุํ ปเร อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺติ, โส เอวํ ปชานาติ – ‘อุปฺปนฺนา โข เม อยํ โสตสมฺผสฺสชา ทุกฺขเวทนา ฯ สา จ โข ปฎิจฺจ, โน อปฎิจฺจฯ กิํ ปฎิจฺจ? ผสฺสํ ปฎิจฺจ’ฯ โส 3 ผโสฺส อนิโจฺจติ ปสฺสติ, เวทนา อนิจฺจาติ ปสฺสติ, สญฺญา อนิจฺจาติ ปสฺสติ, สงฺขารา อนิจฺจาติ ปสฺสติ, วิญฺญาณํ อนิจฺจนฺติ ปสฺสติฯ ตสฺส ธาตารมฺมณเมว จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ อธิมุจฺจติฯ

    ‘‘Tañce, āvuso, bhikkhuṃ pare akkosanti paribhāsanti rosenti vihesenti, so evaṃ pajānāti – ‘uppannā kho me ayaṃ sotasamphassajā dukkhavedanā . Sā ca kho paṭicca, no apaṭicca. Kiṃ paṭicca? Phassaṃ paṭicca’. So 4 phasso aniccoti passati, vedanā aniccāti passati, saññā aniccāti passati, saṅkhārā aniccāti passati, viññāṇaṃ aniccanti passati. Tassa dhātārammaṇameva cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati adhimuccati.

    ‘‘ตเญฺจ, อาวุโส, ภิกฺขุํ ปเร อนิเฎฺฐหิ อกเนฺตหิ อมนาเปหิ สมุทาจรนฺติ – ปาณิสมฺผเสฺสนปิ เลฑฺฑุสมฺผเสฺสนปิ ทณฺฑสมฺผเสฺสนปิ สตฺถสมฺผเสฺสนปิฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘ตถาภูโต โข อยํ กาโย ยถาภูตสฺมิํ กาเย ปาณิสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, เลฑฺฑุสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, ทณฺฑสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, สตฺถสมฺผสฺสาปิ กมนฺติฯ วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา กกจูปโมวาเท – ‘‘อุภโตทณฺฑเกน เจปิ, ภิกฺขเว, กกเจน โจรา โอจรกา องฺคมงฺคานิ โอกเนฺตยฺยุํ, ตตฺราปิ โย มโน ปทูเสยฺย น เม โส เตน สาสนกโร’’ติฯ อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ ภวิสฺสติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํฯ กามํ ทานิ อิมสฺมิํ กาเย ปาณิสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, เลฑฺฑุสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, ทณฺฑสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, สตฺถสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, กรียติ หิทํ พุทฺธานํ สาสน’นฺติฯ

    ‘‘Tañce, āvuso, bhikkhuṃ pare aniṭṭhehi akantehi amanāpehi samudācaranti – pāṇisamphassenapi leḍḍusamphassenapi daṇḍasamphassenapi satthasamphassenapi. So evaṃ pajānāti – ‘tathābhūto kho ayaṃ kāyo yathābhūtasmiṃ kāye pāṇisamphassāpi kamanti, leḍḍusamphassāpi kamanti, daṇḍasamphassāpi kamanti, satthasamphassāpi kamanti. Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā kakacūpamovāde – ‘‘ubhatodaṇḍakena cepi, bhikkhave, kakacena corā ocarakā aṅgamaṅgāni okanteyyuṃ, tatrāpi yo mano padūseyya na me so tena sāsanakaro’’ti. Āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ bhavissati asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekaggaṃ. Kāmaṃ dāni imasmiṃ kāye pāṇisamphassāpi kamantu, leḍḍusamphassāpi kamantu, daṇḍasamphassāpi kamantu, satthasamphassāpi kamantu, karīyati hidaṃ buddhānaṃ sāsana’nti.

    ‘‘ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาติฯ โส เตน สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ – ‘อลาภา วต เม, น วต เม ลาภา, ทุลฺลทฺธํ วต เม, น วต เม สุลทฺธํ, ยสฺส เม เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาตี’ติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, สุณิสา สสุรํ ทิสฺวา สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ; เอวเมว โข, อาวุโส, ตสฺส เจ ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาติ, โส เตน สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ – ‘อลาภา วต เม น วต เม ลาภา, ทุลฺลทฺธํ วต เม, น วต เม สุลทฺธํ, ยสฺส เม เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาตี’ติฯ ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา สณฺฐาติ, โส เตน อตฺตมโน โหติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติฯ

    ‘‘Tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato evaṃ dhammaṃ anussarato evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā na saṇṭhāti. So tena saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati – ‘alābhā vata me, na vata me lābhā, dulladdhaṃ vata me, na vata me suladdhaṃ, yassa me evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā na saṇṭhātī’ti. Seyyathāpi, āvuso, suṇisā sasuraṃ disvā saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati; evameva kho, āvuso, tassa ce bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā na saṇṭhāti, so tena saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati – ‘alābhā vata me na vata me lābhā, dulladdhaṃ vata me, na vata me suladdhaṃ, yassa me evaṃ buddhaṃ anussarato evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā na saṇṭhātī’ti. Tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā saṇṭhāti, so tena attamano hoti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hoti.

    ๓๐๓. ‘‘กตมา จาวุโส, อาโปธาตุ? อาโปธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา, สิยา พาหิราฯ กตมา จาวุโส อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อาโป อาโปคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – ปิตฺตํ เสมฺหํ ปุโพฺพ โลหิตํ เสโท เมโท อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆาณิกา ลสิกา มุตฺตํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ อาโป อาโปคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจตาวุโส, อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา อาโปธาตุ ยา จ พาหิรา อาโปธาตุ, อาโปธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา อาโปธาตุยา นิพฺพินฺทติ, อาโปธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ

    303. ‘‘Katamā cāvuso, āpodhātu? Āpodhātu siyā ajjhattikā, siyā bāhirā. Katamā cāvuso ajjhattikā āpodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ āpo āpogataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – pittaṃ semhaṃ pubbo lohitaṃ sedo medo assu vasā kheḷo siṅghāṇikā lasikā muttaṃ, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ āpo āpogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccatāvuso, ajjhattikā āpodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā āpodhātu yā ca bāhirā āpodhātu, āpodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā āpodhātuyā nibbindati, āpodhātuyā cittaṃ virājeti.

    ‘‘โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ พาหิรา อาโปธาตุ ปกุปฺปติฯ สา คามมฺปิ วหติ, นิคมมฺปิ วหติ, นครมฺปิ วหติ, ชนปทมฺปิ วหติ, ชนปทปเทสมฺปิ วหติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ มหาสมุเทฺท โยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, ทฺวิโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, ติโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, จตุโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, ปญฺจโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, ฉโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติ, สตฺตโยชนสติกานิปิ อุทกานิ โอคจฺฉนฺติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ มหาสมุเทฺท สตฺตตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ฉตฺตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ปญฺจตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, จตุตฺตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ติตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ทฺวิตาลมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ตาลมตฺตมฺปิ 5 อุทกํ สณฺฐาติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ มหาสมุเทฺท สตฺตโปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ฉโปฺปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ปญฺจโปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, จตุโปฺปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ติโปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ทฺวิโปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, โปริสมตฺตมฺปิ 6 อุทกํ สณฺฐาติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ มหาสมุเทฺท อฑฺฒโปริสมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, กฎิมตฺตมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, ชาณุกมตฺตมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติ, โคปฺผกมตฺตมฺปิ อุทกํ สณฺฐาติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย, ยํ มหาสมุเทฺท องฺคุลิปพฺพเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ น โหติฯ ตสฺสา หิ นาม, อาวุโส, พาหิราย อาโปธาตุยา ตาว มหลฺลิกาย อนิจฺจตา ปญฺญายิสฺสติ, ขยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วิปริณามธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติฯ กิํ ปนิมสฺส มตฺตฎฺฐกสฺส กายสฺส ตณฺหุปาทินฺนสฺส ‘อหนฺติ วา มมนฺติ วา อสฺมีติ’ วา? อถ ขฺวาสฺส โนเตเวตฺถ โหติ…เป.… ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา สณฺฐาติฯ โส เตน อตฺตมโน โหติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติฯ

    ‘‘Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ bāhirā āpodhātu pakuppati. Sā gāmampi vahati, nigamampi vahati, nagarampi vahati, janapadampi vahati, janapadapadesampi vahati. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ mahāsamudde yojanasatikānipi udakāni ogacchanti, dviyojanasatikānipi udakāni ogacchanti, tiyojanasatikānipi udakāni ogacchanti, catuyojanasatikānipi udakāni ogacchanti, pañcayojanasatikānipi udakāni ogacchanti, chayojanasatikānipi udakāni ogacchanti, sattayojanasatikānipi udakāni ogacchanti. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ mahāsamudde sattatālampi udakaṃ saṇṭhāti, chattālampi udakaṃ saṇṭhāti, pañcatālampi udakaṃ saṇṭhāti, catuttālampi udakaṃ saṇṭhāti, titālampi udakaṃ saṇṭhāti, dvitālampi udakaṃ saṇṭhāti, tālamattampi 7 udakaṃ saṇṭhāti. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ mahāsamudde sattaporisampi udakaṃ saṇṭhāti, chapporisampi udakaṃ saṇṭhāti, pañcaporisampi udakaṃ saṇṭhāti, catupporisampi udakaṃ saṇṭhāti, tiporisampi udakaṃ saṇṭhāti, dviporisampi udakaṃ saṇṭhāti, porisamattampi 8 udakaṃ saṇṭhāti. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ mahāsamudde aḍḍhaporisampi udakaṃ saṇṭhāti, kaṭimattampi udakaṃ saṇṭhāti, jāṇukamattampi udakaṃ saṇṭhāti, gopphakamattampi udakaṃ saṇṭhāti. Hoti kho so, āvuso, samayo, yaṃ mahāsamudde aṅgulipabbatemanamattampi udakaṃ na hoti. Tassā hi nāma, āvuso, bāhirāya āpodhātuyā tāva mahallikāya aniccatā paññāyissati, khayadhammatā paññāyissati, vayadhammatā paññāyissati, vipariṇāmadhammatā paññāyissati. Kiṃ panimassa mattaṭṭhakassa kāyassa taṇhupādinnassa ‘ahanti vā mamanti vā asmīti’ vā? Atha khvāssa notevettha hoti…pe… tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā saṇṭhāti. So tena attamano hoti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hoti.

    ๓๐๔. ‘‘กตมา จาวุโส, เตโชธาตุ? เตโชธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา, สิยา พาหิราฯ กตมา จาวุโส, อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – เยน จ สนฺตปฺปติ, เยน จ ชีรียติ, เยน จ ปริฑยฺหติ, เยน จ อสิตปีตขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจตาวุโส, อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุ ยา จ พาหิรา เตโชธาตุ, เตโชธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม , เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา เตโชธาตุยา นิพฺพินฺทติ, เตโชธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ

    304. ‘‘Katamā cāvuso, tejodhātu? Tejodhātu siyā ajjhattikā, siyā bāhirā. Katamā cāvuso, ajjhattikā tejodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ tejo tejogataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – yena ca santappati, yena ca jīrīyati, yena ca pariḍayhati, yena ca asitapītakhāyitasāyitaṃ sammā pariṇāmaṃ gacchati, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ tejo tejogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccatāvuso, ajjhattikā tejodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā tejodhātu yā ca bāhirā tejodhātu, tejodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama , nesohamasmi, na meso attā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā tejodhātuyā nibbindati, tejodhātuyā cittaṃ virājeti.

    ‘‘โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ พาหิรา เตโชธาตุ ปกุปฺปติฯ สา คามมฺปิ ทหติ, นิคมมฺปิ ทหติ, นครมฺปิ ทหติ, ชนปทมฺปิ ทหติ, ชนปทปเทสมฺปิ ทหติฯ สา หริตนฺตํ วา ปนฺถนฺตํ วา เสลนฺตํ วา อุทกนฺตํ วา รมณียํ วา ภูมิภาคํ อาคมฺม อนาหารา นิพฺพายติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ กุกฺกุฎปเตฺตนปิ นฺหารุททฺทุเลนปิ อคฺคิํ คเวสนฺติ ฯ ตสฺสา หิ นาม, อาวุโส, พาหิราย เตโชธาตุยา ตาว มหลฺลิกาย อนิจฺจตา ปญฺญายิสฺสติ, ขยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วิปริณามธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติฯ กิํ ปนิมสฺส มตฺตฎฺฐกสฺส กายสฺส ตณฺหุปาทินฺนสฺส ‘อหนฺติ วา มมนฺติ วา อสฺมี’ติ วา? อถ ขฺวาสฺส โนเตเวตฺถ โหติ…เป.… ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา สณฺฐาติ, โส เตน อตฺตมโน โหติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติฯ

    ‘‘Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ bāhirā tejodhātu pakuppati. Sā gāmampi dahati, nigamampi dahati, nagarampi dahati, janapadampi dahati, janapadapadesampi dahati. Sā haritantaṃ vā panthantaṃ vā selantaṃ vā udakantaṃ vā ramaṇīyaṃ vā bhūmibhāgaṃ āgamma anāhārā nibbāyati. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ kukkuṭapattenapi nhārudaddulenapi aggiṃ gavesanti . Tassā hi nāma, āvuso, bāhirāya tejodhātuyā tāva mahallikāya aniccatā paññāyissati, khayadhammatā paññāyissati, vayadhammatā paññāyissati, vipariṇāmadhammatā paññāyissati. Kiṃ panimassa mattaṭṭhakassa kāyassa taṇhupādinnassa ‘ahanti vā mamanti vā asmī’ti vā? Atha khvāssa notevettha hoti…pe… tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato evaṃ dhammaṃ anussarato evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā saṇṭhāti, so tena attamano hoti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hoti.

    ๓๐๕. ‘‘กตมา จาวุโส, วาโยธาตุ? วาโยธาตุ สิยา อชฺฌตฺติกา, สิยา พาหิราฯ กตมา จาวุโส, อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ วาโย วาโยคตํ อุปาทินฺนํ, เสยฺยถิทํ – อุทฺธงฺคมา วาตา, อโธคมา วาตา, กุจฺฉิสยา วาตา, โกฎฺฐาสยา 9 วาตา, องฺคมงฺคานุสาริโน วาตา, อสฺสาโส ปสฺสาโส อิติ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ กิญฺจิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ วาโย วาโยคตํ อุปาทินฺนํ – อยํ วุจฺจตาวุโส, อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุฯ ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา วาโยธาตุ, ยา จ พาหิรา วาโยธาตุ, วาโยธาตุเรเวสาฯ ‘ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตา’ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฎฺฐพฺพํฯ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทิสฺวา วาโยธาตุยา นิพฺพินฺทติ วาโยธาตุยา จิตฺตํ วิราเชติฯ

    305. ‘‘Katamā cāvuso, vāyodhātu? Vāyodhātu siyā ajjhattikā, siyā bāhirā. Katamā cāvuso, ajjhattikā vāyodhātu? Yaṃ ajjhattaṃ paccattaṃ vāyo vāyogataṃ upādinnaṃ, seyyathidaṃ – uddhaṅgamā vātā, adhogamā vātā, kucchisayā vātā, koṭṭhāsayā 10 vātā, aṅgamaṅgānusārino vātā, assāso passāso iti, yaṃ vā panaññampi kiñci ajjhattaṃ paccattaṃ vāyo vāyogataṃ upādinnaṃ – ayaṃ vuccatāvuso, ajjhattikā vāyodhātu. Yā ceva kho pana ajjhattikā vāyodhātu, yā ca bāhirā vāyodhātu, vāyodhāturevesā. ‘Taṃ netaṃ mama nesohamasmi na meso attā’ti evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya daṭṭhabbaṃ. Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya disvā vāyodhātuyā nibbindati vāyodhātuyā cittaṃ virājeti.

    ‘‘โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ พาหิรา วาโยธาตุ ปกุปฺปติฯ สา คามมฺปิ วหติ, นิคมมฺปิ วหติ, นครมฺปิ วหติ, ชนปทมฺปิ วหติ, ชนปทปเทสมฺปิ วหติฯ โหติ โข โส, อาวุโส, สมโย ยํ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ตาลวเณฺฎนปิ วิธูปเนนปิ วาตํ ปริเยสนฺติ, โอสฺสวเนปิ ติณานิ น อิจฺฉนฺติฯ ตสฺสา หิ นาม, อาวุโส, พาหิราย วาโยธาตุยา ตาว มหลฺลิกาย อนิจฺจตา ปญฺญายิสฺสติ, ขยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วยธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติ, วิปริณามธมฺมตา ปญฺญายิสฺสติฯ กิํ ปนิมสฺส มตฺตฎฺฐกสฺส กายสฺส ตณฺหุปาทินฺนสฺส ‘อหนฺติ วา มมนฺติ วา อสฺมี’ติ วา? อถ ขฺวาสฺส โนเตเวตฺถ โหติฯ

    ‘‘Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ bāhirā vāyodhātu pakuppati. Sā gāmampi vahati, nigamampi vahati, nagarampi vahati, janapadampi vahati, janapadapadesampi vahati. Hoti kho so, āvuso, samayo yaṃ gimhānaṃ pacchime māse tālavaṇṭenapi vidhūpanenapi vātaṃ pariyesanti, ossavanepi tiṇāni na icchanti. Tassā hi nāma, āvuso, bāhirāya vāyodhātuyā tāva mahallikāya aniccatā paññāyissati, khayadhammatā paññāyissati, vayadhammatā paññāyissati, vipariṇāmadhammatā paññāyissati. Kiṃ panimassa mattaṭṭhakassa kāyassa taṇhupādinnassa ‘ahanti vā mamanti vā asmī’ti vā? Atha khvāssa notevettha hoti.

    ‘‘ตเญฺจ, อาวุโส, ภิกฺขุํ ปเร อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติ โรเสนฺติ วิเหเสนฺติฯ โส เอวํ ปชานาติ, อุปฺปนฺนา โข เม อยํ โสตสมฺผสฺสชา ทุกฺขา เวทนาฯ สา จ โข ปฎิจฺจ, โน อปฎิจฺจฯ กิํ ปฎิจฺจ? ผสฺสํ ปฎิจฺจฯ โสปิ ผโสฺส อนิโจฺจติ ปสฺสติ, เวทนา อนิจฺจาติ ปสฺสติ , สญฺญา อนิจฺจาติ ปสฺสติ, สงฺขารา อนิจฺจาติ ปสฺสติ, วิญฺญาณํ อนิจฺจนฺติ ปสฺสติฯ ตสฺส ธาตารมฺมณเมว จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ อธิมุจฺจติฯ

    ‘‘Tañce, āvuso, bhikkhuṃ pare akkosanti paribhāsanti rosenti vihesenti. So evaṃ pajānāti, uppannā kho me ayaṃ sotasamphassajā dukkhā vedanā. Sā ca kho paṭicca, no apaṭicca. Kiṃ paṭicca? Phassaṃ paṭicca. Sopi phasso aniccoti passati, vedanā aniccāti passati , saññā aniccāti passati, saṅkhārā aniccāti passati, viññāṇaṃ aniccanti passati. Tassa dhātārammaṇameva cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati adhimuccati.

    ‘‘ตเญฺจ, อาวุโส, ภิกฺขุํ ปเร อนิเฎฺฐหิ อกเนฺตหิ อมนาเปหิ สมุทาจรนฺติ, ปาณิสมฺผเสฺสนปิ เลฑฺฑุสมฺผเสฺสนปิ ทณฺฑสมฺผเสฺสนปิ สตฺถสมฺผเสฺสนปิฯ โส เอวํ ปชานาติ ‘ตถาภูโต โข อยํ กาโย ยถาภูตสฺมิํ กาเย ปาณิสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, เลฑฺฑุสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, ทณฺฑสมฺผสฺสาปิ กมนฺติ, สตฺถสมฺผสฺสาปิ กมนฺติฯ วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา กกจูปโมวาเท ‘‘อุภโตทณฺฑเกน เจปิ, ภิกฺขเว, กกเจน โจรา โอจรกา องฺคมงฺคานิ โอกเนฺตยฺยุํฯ ตตฺราปิ โย มโน ปทูเสยฺย, น เม โส เตน สาสนกโร’’ติฯ อารทฺธํ โข ปน เม วีริยํ ภวิสฺสติ อสลฺลีนํ, อุปฎฺฐิตา สติ อสมฺมุฎฺฐา, ปสฺสโทฺธ กาโย อสารโทฺธ, สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํฯ กามํ ทานิ อิมสฺมิํ กาเย ปาณิสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, เลฑฺฑุสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, ทณฺฑสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุ, สตฺถสมฺผสฺสาปิ กมนฺตุฯ กรียติ หิทํ พุทฺธานํ สาสน’นฺติฯ

    ‘‘Tañce, āvuso, bhikkhuṃ pare aniṭṭhehi akantehi amanāpehi samudācaranti, pāṇisamphassenapi leḍḍusamphassenapi daṇḍasamphassenapi satthasamphassenapi. So evaṃ pajānāti ‘tathābhūto kho ayaṃ kāyo yathābhūtasmiṃ kāye pāṇisamphassāpi kamanti, leḍḍusamphassāpi kamanti, daṇḍasamphassāpi kamanti, satthasamphassāpi kamanti. Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā kakacūpamovāde ‘‘ubhatodaṇḍakena cepi, bhikkhave, kakacena corā ocarakā aṅgamaṅgāni okanteyyuṃ. Tatrāpi yo mano padūseyya, na me so tena sāsanakaro’’ti. Āraddhaṃ kho pana me vīriyaṃ bhavissati asallīnaṃ, upaṭṭhitā sati asammuṭṭhā, passaddho kāyo asāraddho, samāhitaṃ cittaṃ ekaggaṃ. Kāmaṃ dāni imasmiṃ kāye pāṇisamphassāpi kamantu, leḍḍusamphassāpi kamantu, daṇḍasamphassāpi kamantu, satthasamphassāpi kamantu. Karīyati hidaṃ buddhānaṃ sāsana’nti.

    ‘‘ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาติฯ โส เตน สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ – ‘อลาภา วต เม, น วต เม ลาภา, ทุลฺลทฺธํ วต เม, น วต เม สุลทฺธํฯ ยสฺส เม เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาตี’ติฯ เสยฺยถาปิ, อาวุโส, สุณิสา สสุรํ ทิสฺวา สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ; เอวเมว โข, อาวุโส, ตสฺส เจ ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาติฯ โส เตน สํวิชฺชติ สํเวคํ อาปชฺชติ – ‘อลาภา วต เม, น วต เม ลาภา, ทุลฺลทฺธํ วต เม, น วต เม สุลทฺธํฯ ยสฺส เม เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา น สณฺฐาตี’ติฯ ตสฺส เจ, อาวุโส, ภิกฺขุโน เอวํ พุทฺธํ อนุสฺสรโต, เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโต, เอวํ สงฺฆํ อนุสฺสรโต, อุเปกฺขา กุสลนิสฺสิตา สณฺฐาติ, โส เตน อตฺตมโน โหติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติฯ

    ‘‘Tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā na saṇṭhāti. So tena saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati – ‘alābhā vata me, na vata me lābhā, dulladdhaṃ vata me, na vata me suladdhaṃ. Yassa me evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato upekkhā kusalanissitā na saṇṭhātī’ti. Seyyathāpi, āvuso, suṇisā sasuraṃ disvā saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati; evameva kho, āvuso, tassa ce bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā na saṇṭhāti. So tena saṃvijjati saṃvegaṃ āpajjati – ‘alābhā vata me, na vata me lābhā, dulladdhaṃ vata me, na vata me suladdhaṃ. Yassa me evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā na saṇṭhātī’ti. Tassa ce, āvuso, bhikkhuno evaṃ buddhaṃ anussarato, evaṃ dhammaṃ anussarato, evaṃ saṅghaṃ anussarato, upekkhā kusalanissitā saṇṭhāti, so tena attamano hoti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hoti.

    ๓๐๖. ‘‘เสยฺยถาปิ, อาวุโส, กฎฺฐญฺจ ปฎิจฺจ วลฺลิญฺจ ปฎิจฺจ ติณญฺจ ปฎิจฺจ มตฺติกญฺจ ปฎิจฺจ อากาโส ปริวาริโต อคารํ เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ; เอวเมว โข, อาวุโส, อฎฺฐิญฺจ ปฎิจฺจ นฺหารุญฺจ ปฎิจฺจ มํสญฺจ ปฎิจฺจ จมฺมญฺจ ปฎิจฺจ อากาโส ปริวาริโต รูปํ เตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ อชฺฌตฺติกเญฺจว, อาวุโส, จกฺขุํ อปริภินฺนํ โหติ, พาหิรา จ รูปา น อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, โน จ ตโชฺช สมนฺนาหาโร โหติ, เนว ตาว ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ อชฺฌตฺติกเญฺจว 11, อาวุโส, จกฺขุํ อปริภินฺนํ โหติ พาหิรา จ รูปา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, โน จ ตโชฺช สมนฺนาหาโร โหติ, เนว ตาว ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ ยโต จ โข, อาวุโส, อชฺฌตฺติกเญฺจว จกฺขุํ อปริภินฺนํ โหติ, พาหิรา จ รูปา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, ตโชฺช จ สมนฺนาหาโร โหติฯ เอวํ ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ ยํ ตถาภูตสฺส รูปํ ตํ รูปุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, ยา ตถาภูตสฺส เวทนา สา เวทนุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, ยา ตถาภูตสฺส สญฺญา สา สญฺญุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, เย ตถาภูตสฺส สงฺขารา เต สงฺขารุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, ยํ ตถาภูตสฺส วิญฺญาณํ ตํ วิญฺญาณุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติฯ

    306. ‘‘Seyyathāpi, āvuso, kaṭṭhañca paṭicca valliñca paṭicca tiṇañca paṭicca mattikañca paṭicca ākāso parivārito agāraṃ tveva saṅkhaṃ gacchati; evameva kho, āvuso, aṭṭhiñca paṭicca nhāruñca paṭicca maṃsañca paṭicca cammañca paṭicca ākāso parivārito rūpaṃ tveva saṅkhaṃ gacchati. Ajjhattikañceva, āvuso, cakkhuṃ aparibhinnaṃ hoti, bāhirā ca rūpā na āpāthaṃ āgacchanti, no ca tajjo samannāhāro hoti, neva tāva tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Ajjhattikañceva 12, āvuso, cakkhuṃ aparibhinnaṃ hoti bāhirā ca rūpā āpāthaṃ āgacchanti, no ca tajjo samannāhāro hoti, neva tāva tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Yato ca kho, āvuso, ajjhattikañceva cakkhuṃ aparibhinnaṃ hoti, bāhirā ca rūpā āpāthaṃ āgacchanti, tajjo ca samannāhāro hoti. Evaṃ tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Yaṃ tathābhūtassa rūpaṃ taṃ rūpupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, yā tathābhūtassa vedanā sā vedanupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, yā tathābhūtassa saññā sā saññupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, ye tathābhūtassa saṅkhārā te saṅkhārupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchanti, yaṃ tathābhūtassa viññāṇaṃ taṃ viññāṇupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati.

    ‘‘โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวญฺหิ กิร อิเมสํ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สงฺคโห สนฺนิปาโต สมวาโย โหติฯ วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา – ‘โย ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ; โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสตีติฯ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา โข ปนิเม ยทิทํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ฉโนฺท อาลโย อนุนโย อโชฺฌสานํ โส ทุกฺขสมุทโยฯ โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ, โส ทุกฺขนิโรโธ’ติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติฯ

    ‘‘So evaṃ pajānāti – ‘evañhi kira imesaṃ pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ saṅgaho sannipāto samavāyo hoti. Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā – ‘yo paṭiccasamuppādaṃ passati so dhammaṃ passati; yo dhammaṃ passati so paṭiccasamuppādaṃ passatīti. Paṭiccasamuppannā kho panime yadidaṃ pañcupādānakkhandhā. Yo imesu pañcasu upādānakkhandhesu chando ālayo anunayo ajjhosānaṃ so dukkhasamudayo. Yo imesu pañcasu upādānakkhandhesu chandarāgavinayo chandarāgappahānaṃ, so dukkhanirodho’ti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hoti.

    ‘‘อชฺฌตฺติกเญฺจว, อาวุโส, โสตํ อปริภินฺนํ โหติ…เป.… ฆานํ อปริภินฺนํ โหติ… ชิวฺหา อปริภินฺนา โหติ… กาโย อปริภิโนฺน โหติ… มโน อปริภิโนฺน โหติ, พาหิรา จ ธมฺมา น อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ โน จ ตโชฺช สมนฺนาหาโร โหติ, เนว ตาว ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ อชฺฌตฺติโก เจว, อาวุโส, มโน อปริภิโนฺน โหติ, พาหิรา จ ธมฺมา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, โน จ ตโชฺช สมนฺนาหาโร โหติ, เนว ตาว ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ ยโต จ โข, อาวุโส, อชฺฌตฺติโก เจว มโน อปริภิโนฺน โหติ, พาหิรา จ ธมฺมา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, ตโชฺช จ สมนฺนาหาโร โหติ, เอวํ ตชฺชสฺส วิญฺญาณภาคสฺส ปาตุภาโว โหติฯ ยํ ตถาภูตสฺส รูปํ ตํ รูปุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, ยา ตถาภูตสฺส เวทนา สา เวทนุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, ยา ตถาภูตสฺส สญฺญา สา สญฺญุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติ, เย ตถาภูตสฺส สงฺขารา เต สงฺขารุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, ยํ ตถาภูตสฺส วิญฺญาณํ ตํ วิญฺญาณุปาทานกฺขเนฺธ สงฺคหํ คจฺฉติฯ โส เอวํ ปชานาติ – ‘เอวญฺหิ กิร อิเมสํ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สงฺคโห สนฺนิปาโต สมวาโย โหติฯ วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา – ‘‘โย ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ; โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสตี’’ติฯ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา โข ปนิเม ยทิทํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาฯ โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ฉโนฺท อาลโย อนุนโย อโชฺฌสานํ โส ทุกฺขสมุทโยฯ โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ โส ทุกฺขนิโรโธ’ติฯ เอตฺตาวตาปิ โข, อาวุโส, ภิกฺขุโน พหุกตํ โหตี’’ติฯ

    ‘‘Ajjhattikañceva, āvuso, sotaṃ aparibhinnaṃ hoti…pe… ghānaṃ aparibhinnaṃ hoti… jivhā aparibhinnā hoti… kāyo aparibhinno hoti… mano aparibhinno hoti, bāhirā ca dhammā na āpāthaṃ āgacchanti no ca tajjo samannāhāro hoti, neva tāva tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Ajjhattiko ceva, āvuso, mano aparibhinno hoti, bāhirā ca dhammā āpāthaṃ āgacchanti, no ca tajjo samannāhāro hoti, neva tāva tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Yato ca kho, āvuso, ajjhattiko ceva mano aparibhinno hoti, bāhirā ca dhammā āpāthaṃ āgacchanti, tajjo ca samannāhāro hoti, evaṃ tajjassa viññāṇabhāgassa pātubhāvo hoti. Yaṃ tathābhūtassa rūpaṃ taṃ rūpupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, yā tathābhūtassa vedanā sā vedanupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, yā tathābhūtassa saññā sā saññupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati, ye tathābhūtassa saṅkhārā te saṅkhārupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchanti, yaṃ tathābhūtassa viññāṇaṃ taṃ viññāṇupādānakkhandhe saṅgahaṃ gacchati. So evaṃ pajānāti – ‘evañhi kira imesaṃ pañcannaṃ upādānakkhandhānaṃ saṅgaho sannipāto samavāyo hoti. Vuttaṃ kho panetaṃ bhagavatā – ‘‘yo paṭiccasamuppādaṃ passati so dhammaṃ passati; yo dhammaṃ passati so paṭiccasamuppādaṃ passatī’’ti. Paṭiccasamuppannā kho panime yadidaṃ pañcupādānakkhandhā. Yo imesu pañcasu upādānakkhandhesu chando ālayo anunayo ajjhosānaṃ so dukkhasamudayo. Yo imesu pañcasu upādānakkhandhesu chandarāgavinayo chandarāgappahānaṃ so dukkhanirodho’ti. Ettāvatāpi kho, āvuso, bhikkhuno bahukataṃ hotī’’ti.

    อิทมโวจ อายสฺมา สาริปุโตฺตฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู อายสฺมโต สาริปุตฺตสฺส ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    Idamavoca āyasmā sāriputto. Attamanā te bhikkhū āyasmato sāriputtassa bhāsitaṃ abhinandunti.

    มหาหตฺถิปโทปมสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ

    Mahāhatthipadopamasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.







    Footnotes:
    1. ปถวีธาตุ ปกุปฺปติ (ก.)
    2. pathavīdhātu pakuppati (ka.)
    3. โสปิโข (สฺยา.), โสปิ (ก.)
    4. sopikho (syā.), sopi (ka.)
    5. ตาลํปิ (สี.)
    6. โปริสํปิ (สี.)
    7. tālaṃpi (sī.)
    8. porisaṃpi (sī.)
    9. โกฎฺฐสยา (สี. ปี.)
    10. koṭṭhasayā (sī. pī.)
    11. อชฺฌตฺติกเญฺจ (สี. สฺยา. ปี.), อชฺฌตฺติกเญฺจปิ (?)
    12. ajjhattikañce (sī. syā. pī.), ajjhattikañcepi (?)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. มหาหตฺถิปโทปมสุตฺตวณฺณนา • 8. Mahāhatthipadopamasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. มหาหตฺถิปโทปมสุตฺตวณฺณนา • 8. Mahāhatthipadopamasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact