Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๓๙] ๒. มหาชนกชาตกวณฺณนา

    [539] 2. Mahājanakajātakavaṇṇanā

    โกยํ มเชฺฌ สมุทฺทสฺมินฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหาภินิกฺขมนํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนา ตถาคตสฺส มหาภินิกฺขมนํ วณฺณยนฺตา นิสีทิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Koyaṃ majjhe samuddasminti idaṃ satthā jetavane viharanto mahābhinikkhamanaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannisinnā tathāgatassa mahābhinikkhamanaṃ vaṇṇayantā nisīdiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต วิเทหรเฎฺฐ มิถิลายํ มหาชนโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส เทฺว ปุตฺตา อเหสุํ อริฎฺฐชนโก จ โปลชนโก จาติฯ เตสุ ราชา เชฎฺฐปุตฺตสฺส อุปรชฺชํ อทาสิ, กนิฎฺฐสฺส เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิฯ อปรภาเค มหาชนโก กาลมกาสิฯ ตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา รโญฺญ อจฺจเยน อริฎฺฐชนโก ราชา หุตฺวา อิตรสฺส อุปรชฺชํ อทาสิฯ ตเสฺสโก ปาทมูลิโก อมโจฺจ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, อุปราชา ตุเมฺห ฆาเตตุกาโม’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺส ปุนปฺปุนํ กถํ สุตฺวา กนิฎฺฐสฺส สิเนหํ ภินฺทิตฺวา โปลชนกํ สงฺขลิกาหิ พนฺธาเปตฺวา ราชนิเวสนโต อวิทูเร เอกสฺมิํ เคเห วสาเปตฺวา อารกฺขํ ฐเปสิฯ กุมาโร ‘‘สจาหํ ภาตุ เวรีมฺหิ, สงฺขลิกาปิ เม หตฺถปาทา มา มุจฺจนฺตุ, ทฺวารมฺปิ มา วิวรียตุ, สเจ โน เวรีมฺหิ, สงฺขลิกาปิ เม หตฺถปาทา มุจฺจนฺตุ, ทฺวารมฺปิ วิวรียตู’’ติ สจฺจกิริยมกาสิฯ ตาวเทว สงฺขลิกาปิ ขณฺฑาขณฺฑํ ฉิชฺชิํสุ, ทฺวารมฺปิ วิวฎํฯ โส นิกฺขมิตฺวา เอกํ ปจฺจนฺตคามํ คนฺตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ

    Atīte videharaṭṭhe mithilāyaṃ mahājanako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa dve puttā ahesuṃ ariṭṭhajanako ca polajanako cāti. Tesu rājā jeṭṭhaputtassa uparajjaṃ adāsi, kaniṭṭhassa senāpatiṭṭhānaṃ adāsi. Aparabhāge mahājanako kālamakāsi. Tassa sarīrakiccaṃ katvā rañño accayena ariṭṭhajanako rājā hutvā itarassa uparajjaṃ adāsi. Tasseko pādamūliko amacco rañño santikaṃ gantvā ‘‘deva, uparājā tumhe ghātetukāmo’’ti āha. Rājā tassa punappunaṃ kathaṃ sutvā kaniṭṭhassa sinehaṃ bhinditvā polajanakaṃ saṅkhalikāhi bandhāpetvā rājanivesanato avidūre ekasmiṃ gehe vasāpetvā ārakkhaṃ ṭhapesi. Kumāro ‘‘sacāhaṃ bhātu verīmhi, saṅkhalikāpi me hatthapādā mā muccantu, dvārampi mā vivarīyatu, sace no verīmhi, saṅkhalikāpi me hatthapādā muccantu, dvārampi vivarīyatū’’ti saccakiriyamakāsi. Tāvadeva saṅkhalikāpi khaṇḍākhaṇḍaṃ chijjiṃsu, dvārampi vivaṭaṃ. So nikkhamitvā ekaṃ paccantagāmaṃ gantvā vāsaṃ kappesi.

    ปจฺจนฺตคามวาสิโน ตํ สญฺชานิตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ ราชาปิ ตํ คาหาเปตุํ นาสกฺขิฯ โส อนุปุเพฺพน ปจฺจนฺตชนปทํ หตฺถคตํ กตฺวา มหาปริวาโร หุตฺวา ‘‘อหํ ปุเพฺพ ภาตุ น เวรี, อิทานิ ปน เวรีมฺหี’’ติ มหาชนปริวุโต มิถิลํ คนฺตฺวา พหินคเร ขนฺธาวารํ กตฺวา วาสํ กเปฺปสิฯ นครวาสิโน โยธา ‘‘กุมาโร กิร อาคโต’’ติ สุตฺวา เยภุเยฺยน หตฺถิอสฺสวาหนาทีนิ คเหตฺวา ตเสฺสว สนฺติกํ อาคมิํสุ, อเญฺญปิ นาครา อาคมิํสุฯ โส ภาตุ สาสนํ เปเสสิ ‘‘นาหํ ปุเพฺพ ตุมฺหากํ เวรี, อิทานิ ปน เวรีมฺหิ, ฉตฺตํ วา เม เทถ, ยุทฺธํ วา’’ติฯ ราชา ตํ สุตฺวา ยุทฺธํ กาตุํ อิจฺฉโนฺต อคฺคมเหสิํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, ยุเทฺธ ชยปราชโย นาม น สกฺกา ญาตุํ, สเจ มม อนฺตราโย โหติ, ตฺวํ คพฺภํ รเกฺขยฺยาสี’’ติ วตฺวา มหติยา เสนาย ปริวุโต นครา นิกฺขมิฯ

    Paccantagāmavāsino taṃ sañjānitvā upaṭṭhahiṃsu. Rājāpi taṃ gāhāpetuṃ nāsakkhi. So anupubbena paccantajanapadaṃ hatthagataṃ katvā mahāparivāro hutvā ‘‘ahaṃ pubbe bhātu na verī, idāni pana verīmhī’’ti mahājanaparivuto mithilaṃ gantvā bahinagare khandhāvāraṃ katvā vāsaṃ kappesi. Nagaravāsino yodhā ‘‘kumāro kira āgato’’ti sutvā yebhuyyena hatthiassavāhanādīni gahetvā tasseva santikaṃ āgamiṃsu, aññepi nāgarā āgamiṃsu. So bhātu sāsanaṃ pesesi ‘‘nāhaṃ pubbe tumhākaṃ verī, idāni pana verīmhi, chattaṃ vā me detha, yuddhaṃ vā’’ti. Rājā taṃ sutvā yuddhaṃ kātuṃ icchanto aggamahesiṃ āmantetvā ‘‘bhadde, yuddhe jayaparājayo nāma na sakkā ñātuṃ, sace mama antarāyo hoti, tvaṃ gabbhaṃ rakkheyyāsī’’ti vatvā mahatiyā senāya parivuto nagarā nikkhami.

    อถ นํ ยุเทฺธ โปลชนกสฺส โยธา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสุํฯ ตทา ‘‘ราชา มโต’’ติ สกลนคเร เอกโกลาหลํ ชาตํฯ เทวีปิ ตสฺส มตภาวํ ญตฺวา สีฆํ สีฆํ สุวณฺณสาราทีนิ คเหตฺวา ปจฺฉิยํ ปกฺขิปิตฺวา มตฺถเก กิลิฎฺฐปิโลติกํ อตฺถริตฺวา อุปริ ตณฺฑุเล โอกิริตฺวา กิลิฎฺฐปิโลติกํ นิวาเสตฺวา สรีรํ วิรูปํ กตฺวา ปจฺฉิํ สีเส ฐเปตฺวา ทิวา ทิวเสฺสว นิกฺขมิ, น โกจิ นํ สญฺชานิฯ สา อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา กตฺถจิ อคตปุพฺพตฺตา มคฺคํ อชานนฺตี ทิสํ ววตฺถาเปตุํ อสโกฺกนฺตี เกวลํ ‘‘กาลจมฺปานครํ นาม อตฺถี’’ติ สุตตฺตา ‘‘กาลจมฺปานครํ คมิกา นาม อตฺถี’’ติ ปุจฺฉมานา เอกิกา สาลายํ นิสีทิฯ กุจฺฉิมฺหิ ปนสฺสา นิพฺพตฺตสโตฺต น โย วา โส วา, ปูริตปารมี มหาสโตฺต นิพฺพตฺติฯ

    Atha naṃ yuddhe polajanakassa yodhā jīvitakkhayaṃ pāpesuṃ. Tadā ‘‘rājā mato’’ti sakalanagare ekakolāhalaṃ jātaṃ. Devīpi tassa matabhāvaṃ ñatvā sīghaṃ sīghaṃ suvaṇṇasārādīni gahetvā pacchiyaṃ pakkhipitvā matthake kiliṭṭhapilotikaṃ attharitvā upari taṇḍule okiritvā kiliṭṭhapilotikaṃ nivāsetvā sarīraṃ virūpaṃ katvā pacchiṃ sīse ṭhapetvā divā divasseva nikkhami, na koci naṃ sañjāni. Sā uttaradvārena nikkhamitvā katthaci agatapubbattā maggaṃ ajānantī disaṃ vavatthāpetuṃ asakkontī kevalaṃ ‘‘kālacampānagaraṃ nāma atthī’’ti sutattā ‘‘kālacampānagaraṃ gamikā nāma atthī’’ti pucchamānā ekikā sālāyaṃ nisīdi. Kucchimhi panassā nibbattasatto na yo vā so vā, pūritapāramī mahāsatto nibbatti.

    ตสฺส เตเชน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘ตสฺสา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตสโตฺต มหาปุโญฺญ, มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปฎิจฺฉนฺนโยคฺคํ มาเปตฺวา ตตฺถ มญฺจํ ปญฺญาเปตฺวา มหลฺลกปุริโส วิย โยคฺคํ ปาเชโนฺต ตาย นิสินฺนสาลาย ทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘กาลจมฺปานครํ คมิกา นาม อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ, ตาต, คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ โยคฺคํ อารุยฺห นิสีท, อมฺมา’’ติฯ ‘‘ตาต, อหํ ปริปุณฺณคพฺภา, น สกฺกา มยา โยคฺคํ อภิรุหิตุํ, ปจฺฉโต ปจฺฉโต คมิสฺสามิ, อิมิสฺสา ปน เม ปจฺฉิยา โอกาสํ เทหี’’ติฯ ‘‘อมฺม, กิํ วเทสิ, โยคฺคํ ปาเชตุํ ชานนสมโตฺถ นาม มยา สทิโส นตฺถิฯ อมฺม, มา ภายิ, อารุยฺห นิสีทา’’ติฯ สา ‘‘ตาต, สาธู’’ติ วทติฯ โส ตสฺสา อาโรหนกาเล อตฺตโน อานุภาเวน วาตปุณฺณภสฺตจมฺมํ วิย ปถวิํ อุนฺนาเมตฺวา โยคฺคสฺส ปจฺฉิมเนฺต ปหราเปสิฯ สา อภิรุยฺห สยเน นิปชฺชิตฺวาว ‘‘อยํ เทวตา ภวิสฺสตี’’ติ อญฺญาสิฯ สา ทิพฺพสยเน นิปนฺนมตฺตาว นิทฺทํ โอกฺกมิฯ

    Tassa tejena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakko āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘tassā kucchiyaṃ nibbattasatto mahāpuñño, mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā paṭicchannayoggaṃ māpetvā tattha mañcaṃ paññāpetvā mahallakapuriso viya yoggaṃ pājento tāya nisinnasālāya dvāre ṭhatvā ‘‘kālacampānagaraṃ gamikā nāma atthī’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ, tāta, gamissāmī’’ti. ‘‘Tena hi yoggaṃ āruyha nisīda, ammā’’ti. ‘‘Tāta, ahaṃ paripuṇṇagabbhā, na sakkā mayā yoggaṃ abhiruhituṃ, pacchato pacchato gamissāmi, imissā pana me pacchiyā okāsaṃ dehī’’ti. ‘‘Amma, kiṃ vadesi, yoggaṃ pājetuṃ jānanasamattho nāma mayā sadiso natthi. Amma, mā bhāyi, āruyha nisīdā’’ti. Sā ‘‘tāta, sādhū’’ti vadati. So tassā ārohanakāle attano ānubhāvena vātapuṇṇabhastacammaṃ viya pathaviṃ unnāmetvā yoggassa pacchimante paharāpesi. Sā abhiruyha sayane nipajjitvāva ‘‘ayaṃ devatā bhavissatī’’ti aññāsi. Sā dibbasayane nipannamattāva niddaṃ okkami.

    อถ นํ สโกฺก ติํสโยชนมตฺถเก เอกํ นทิํ ปตฺวา ปโพเธตฺวา ‘‘อมฺม, โอตริตฺวา นทิยํ นฺหายิตฺวา อุสฺสีสเก สาฎกยุคํ อตฺถิ, ตํ นิวาเสหิ, อโนฺตโยเคฺค ปุฎภตฺตํ อตฺถิ, ตํ ภุญฺชาหี’’ติ อาหฯ สา ตถา กตฺวา ปุน นิปชฺชิตฺวา สายนฺหสมเย กาลจมฺปานครํ ปตฺวา ทฺวารฎฺฎาลกปากาเร ทิสฺวา ‘‘ตาต, กิํ นาม นครเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘กาลจมฺปานครํ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘กิํ วเทสิ, ตาต, นนุ อมฺหากํ นครโต กาลจมฺปานครํ สฎฺฐิโยชนมตฺถเก โหตี’’ติ? ‘‘เอวํ, อมฺม, อหํ ปน อุชุมคฺคํ ชานามี’’ติฯ อถ นํ ทกฺขิณทฺวารสมีเป โอตาเรตฺวา ‘‘อมฺม, อมฺหากํ คาโม ปุรโต อตฺถิ, ตฺวํ คนฺตฺวา นครํ ปวิสาหี’’ติ วตฺวา ปุรโต คนฺตฺวา วิย สโกฺก อนฺตรธายิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ

    Atha naṃ sakko tiṃsayojanamatthake ekaṃ nadiṃ patvā pabodhetvā ‘‘amma, otaritvā nadiyaṃ nhāyitvā ussīsake sāṭakayugaṃ atthi, taṃ nivāsehi, antoyogge puṭabhattaṃ atthi, taṃ bhuñjāhī’’ti āha. Sā tathā katvā puna nipajjitvā sāyanhasamaye kālacampānagaraṃ patvā dvāraṭṭālakapākāre disvā ‘‘tāta, kiṃ nāma nagarameta’’nti pucchi. ‘‘Kālacampānagaraṃ, ammā’’ti. ‘‘Kiṃ vadesi, tāta, nanu amhākaṃ nagarato kālacampānagaraṃ saṭṭhiyojanamatthake hotī’’ti? ‘‘Evaṃ, amma, ahaṃ pana ujumaggaṃ jānāmī’’ti. Atha naṃ dakkhiṇadvārasamīpe otāretvā ‘‘amma, amhākaṃ gāmo purato atthi, tvaṃ gantvā nagaraṃ pavisāhī’’ti vatvā purato gantvā viya sakko antaradhāyitvā sakaṭṭhānameva gato.

    เทวีปิ เอกิกาว สาลายํ นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย กาลจมฺปานครวาสี มนฺตชฺฌายโก พฺราหฺมโณ ปญฺจหิ มาณวกสเตหิ ปริวุโต นฺหานตฺถาย คจฺฉโนฺต ทูรโตว โอโลเกตฺวา ตํ อภิรูปํ โสภคฺคปฺปตฺตํ ตตฺถ นิสินฺนํ ทิสฺวา ตสฺสา กุจฺฉิยํ มหาสตฺตสฺสานุภาเวน สห ทสฺสเนเนว กนิฎฺฐภคินิสิเนหํ อุปฺปาเทตฺวา มาณวเก พหิ ฐเปตฺวา เอกโกว สาลํ ปวิสิตฺวา ‘‘ภคินิ, กตรคามวาสิกา ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตาต, มิถิลายํ อริฎฺฐชนกรโญฺญ อคฺคมเหสีมฺหี’’ติฯ ‘‘อมฺม, อิธ กสฺมา อาคตาสี’’ติ? ‘‘ตาต, โปลชนเกน ราชา มาริโต, อถาหํ ภีตา ‘คพฺภํ อนุรกฺขิสฺสามี’ติ อาคตา’’ติฯ ‘‘อมฺม, อิมสฺมิํ ปน เต นคเร โกจิ ญาตโก อตฺถี’’ติ? ‘‘นตฺถิ, ตาตา’’ติฯ เตน หิ มา จินฺตยิ, อหํ อุทิจฺจพฺราหฺมโณ มหาสาโล ทิสาปาโมกฺขอาจริโย, อหํ ตํ ภคินิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ตฺวํ ‘‘ภาติกา’’ติ มํ วตฺวา ปาเทสุ คเหตฺวา ปริเทวาติฯ สา มหาสทฺทํ กตฺวา ตสฺส ปาเทสุ คเหตฺวา ปริเทวิฯ เต เทฺวปิ อญฺญมญฺญํ ปริเทวิํสุฯ

    Devīpi ekikāva sālāyaṃ nisīdi. Tasmiṃ khaṇe eko disāpāmokkho ācariyo kālacampānagaravāsī mantajjhāyako brāhmaṇo pañcahi māṇavakasatehi parivuto nhānatthāya gacchanto dūratova oloketvā taṃ abhirūpaṃ sobhaggappattaṃ tattha nisinnaṃ disvā tassā kucchiyaṃ mahāsattassānubhāvena saha dassaneneva kaniṭṭhabhaginisinehaṃ uppādetvā māṇavake bahi ṭhapetvā ekakova sālaṃ pavisitvā ‘‘bhagini, kataragāmavāsikā tva’’nti pucchi. ‘‘Tāta, mithilāyaṃ ariṭṭhajanakarañño aggamahesīmhī’’ti. ‘‘Amma, idha kasmā āgatāsī’’ti? ‘‘Tāta, polajanakena rājā mārito, athāhaṃ bhītā ‘gabbhaṃ anurakkhissāmī’ti āgatā’’ti. ‘‘Amma, imasmiṃ pana te nagare koci ñātako atthī’’ti? ‘‘Natthi, tātā’’ti. Tena hi mā cintayi, ahaṃ udiccabrāhmaṇo mahāsālo disāpāmokkhaācariyo, ahaṃ taṃ bhaginiṭṭhāne ṭhapetvā paṭijaggissāmi, tvaṃ ‘‘bhātikā’’ti maṃ vatvā pādesu gahetvā paridevāti. Sā mahāsaddaṃ katvā tassa pādesu gahetvā paridevi. Te dvepi aññamaññaṃ parideviṃsu.

    อถสฺส อเนฺตวาสิกา มหาสทฺทํ สุตฺวา ขิปฺปํ อุปธาวิตฺวา ‘‘อาจริย, กิํ เต โหตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ โส อาห – ‘‘กนิฎฺฐภคินี เม เอสา, อสุกกาเล นาม มยา วินา ชาตา’’ติฯ อถ มาณวา ‘‘ตว ภคินิํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย มา จินฺตยิตฺถ อาจริยา’’ติ อาหํสุฯ โส มาณเว ปฎิจฺฉนฺนโยคฺคํ อาหราเปตฺวา ตํ ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา ‘‘ตาตา, โว คนฺตฺวา พฺราหฺมณิยา มม กนิฎฺฐภคินิภาวํ กเถตฺวา สพฺพกิจฺจานิ กาตุํ วเทถา’’ติ วตฺวา เคหํ เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา พฺราหฺมณิยา กเถสุํฯ อถ นํ พฺราหฺมณีปิ อุโณฺหทเกน นฺหาเปตฺวา สยนํ ปญฺญาเปตฺวา นิปชฺชาเปสิฯ อถ พฺราหฺมโณปิ นฺหาตฺวา อาคโต โภชนกาเล ‘‘ภคินิํ เม ปโกฺกสถา’’ติ ปโกฺกสาเปตฺวา ตาย สทฺธิํ เอกโต ภุญฺชิตฺวา อโนฺตนิเวสเนเยว ตํ ปฎิชคฺคิฯ

    Athassa antevāsikā mahāsaddaṃ sutvā khippaṃ upadhāvitvā ‘‘ācariya, kiṃ te hotī’’ti pucchiṃsu. So āha – ‘‘kaniṭṭhabhaginī me esā, asukakāle nāma mayā vinā jātā’’ti. Atha māṇavā ‘‘tava bhaginiṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya mā cintayittha ācariyā’’ti āhaṃsu. So māṇave paṭicchannayoggaṃ āharāpetvā taṃ tattha nisīdāpetvā ‘‘tātā, vo gantvā brāhmaṇiyā mama kaniṭṭhabhaginibhāvaṃ kathetvā sabbakiccāni kātuṃ vadethā’’ti vatvā gehaṃ pesesi. Te gantvā brāhmaṇiyā kathesuṃ. Atha naṃ brāhmaṇīpi uṇhodakena nhāpetvā sayanaṃ paññāpetvā nipajjāpesi. Atha brāhmaṇopi nhātvā āgato bhojanakāle ‘‘bhaginiṃ me pakkosathā’’ti pakkosāpetvā tāya saddhiṃ ekato bhuñjitvā antonivesaneyeva taṃ paṭijaggi.

    สา น จิรเสฺสว สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘มหาชนกกุมาโร’’ติสฺส อยฺยกสนฺตกํ นามมกาสิฯ โส วฑฺฒมาโน ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬโนฺต เย ตํ โรเสนฺติ, เต อสมฺภินฺนขตฺติยกุเล ชาตตฺตา มหาพลวตาย เจว มานถทฺธตาย จ ทฬฺหํ คเหตฺวา ปหรติฯ ตทา เต มหาสเทฺทน โรทนฺตา ‘‘เกน ปหฎา’’ติ วุเตฺต ‘‘วิธวาปุเตฺตนา’’ติ วทนฺติฯ อถ กุมาโร จิเนฺตสิ ‘‘อิเม มํ ‘วิธวาปุโตฺต’ติ อภิณฺหํ วทนฺติ, โหตุ, มม มาตรํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ โส เอกทิวสํ มาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, โก มยฺหํ ปิตา’’ติ? อถ นํ มาตา ‘‘ตาต, พฺราหฺมโณ เต ปิตา’’ติ วเญฺจสิฯ โส ปุนทิวเสปิ ทารเก ปหรโนฺต ‘‘วิธวาปุโตฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘นนุ พฺราหฺมโณ เม ปิตา’’ติ วตฺวา ‘‘พฺราหฺมโณ กิํ เต โหตี’’ติ วุเตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อิเม มํ, พฺราหฺมโณ เต กิํ โหตี’ติ อภิณฺหํ วทนฺติ, มาตา เม อิทํ การณํ ยถาภูตํ น กเถสิ, สา อตฺตโน มเนน เม น กเถสฺสติ, โหตุ, กถาเปสฺสามิ น’’นฺติฯ โส ถญฺญํ ปิวโนฺต ถนํ ทเนฺตหิ ฑํสิตฺวา ‘‘อมฺม, เม ปิตรํ กเถหิ, สเจ น กเถสฺสสิ, ถนํ เต ฉินฺทิสฺสามี’’ติ อาหฯ สา ปุตฺตํ วเญฺจตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘ตาต, ตฺวํ มิถิลายํ อริฎฺฐชนกรโญฺญ ปุโตฺต, ปิตา เต โปลชนเกน มาริโต, อหํ ตํ อนุรกฺขนฺตี อิมํ นครํ อาคตา, อยํ พฺราหฺมโณ มํ ภคินิฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปฎิชคฺคตี’’ติ กเถสิฯ โส ตํ สุตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ‘‘วิธวาปุโตฺต’’ติ วุเตฺตปิ น กุชฺฌิฯ

    Sā na cirasseva suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi, ‘‘mahājanakakumāro’’tissa ayyakasantakaṃ nāmamakāsi. So vaḍḍhamāno dārakehi saddhiṃ kīḷanto ye taṃ rosenti, te asambhinnakhattiyakule jātattā mahābalavatāya ceva mānathaddhatāya ca daḷhaṃ gahetvā paharati. Tadā te mahāsaddena rodantā ‘‘kena pahaṭā’’ti vutte ‘‘vidhavāputtenā’’ti vadanti. Atha kumāro cintesi ‘‘ime maṃ ‘vidhavāputto’ti abhiṇhaṃ vadanti, hotu, mama mātaraṃ pucchissāmī’’ti. So ekadivasaṃ mātaraṃ pucchi ‘‘amma, ko mayhaṃ pitā’’ti? Atha naṃ mātā ‘‘tāta, brāhmaṇo te pitā’’ti vañcesi. So punadivasepi dārake paharanto ‘‘vidhavāputto’’ti vutte ‘‘nanu brāhmaṇo me pitā’’ti vatvā ‘‘brāhmaṇo kiṃ te hotī’’ti vutte cintesi ‘‘ime maṃ, brāhmaṇo te kiṃ hotī’ti abhiṇhaṃ vadanti, mātā me idaṃ kāraṇaṃ yathābhūtaṃ na kathesi, sā attano manena me na kathessati, hotu, kathāpessāmi na’’nti. So thaññaṃ pivanto thanaṃ dantehi ḍaṃsitvā ‘‘amma, me pitaraṃ kathehi, sace na kathessasi, thanaṃ te chindissāmī’’ti āha. Sā puttaṃ vañcetuṃ asakkontī ‘‘tāta, tvaṃ mithilāyaṃ ariṭṭhajanakarañño putto, pitā te polajanakena mārito, ahaṃ taṃ anurakkhantī imaṃ nagaraṃ āgatā, ayaṃ brāhmaṇo maṃ bhaginiṭṭhāne ṭhapetvā paṭijaggatī’’ti kathesi. So taṃ sutvā tato paṭṭhāya ‘‘vidhavāputto’’ti vuttepi na kujjhi.

    โส โสฬสวสฺสพฺภนฺตเรเยว ตโย เวเท จ สพฺพสิปฺปานิ จ อุคฺคณฺหิ , โสฬสวสฺสิกกาเล ปน อุตฺตมรูปธโร อโหสิฯ อถ โส ‘‘ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, กิญฺจิ ธนํ เต หเตฺถ อตฺถิ, อุทาหุ โน, อหํ โวหารํ กตฺวา ธนํ อุปฺปาเทตฺวา ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, นาหํ ตุจฺฉหตฺถา อาคตา, ตโย เม หเตฺถ ธนสารา อตฺถิ, มุตฺตสาโร, มณิสาโร, วชิรสาโรติ, เตสุ เอเกโก รชฺชคฺคหณปฺปมาโณ, ตํ คเหตฺวา รชฺชํ คณฺห, มา โวหารํ กรี’’ติฯ ‘‘อมฺม, อิทมฺปิ ธนํ มยฺหเมว อุปฑฺฒํ กตฺวา เทหิ, ตํ ปน คเหตฺวา สุวณฺณภูมิํ คนฺตฺวา พหุํ ธนํ อาหริตฺวา รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ โส อุปฑฺฒํ อาหราเปตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา สุวณฺณภูมิํ คมิเกหิ วาณิเชหิ สทฺธิํ นาวาย ภณฺฑํ อาโรเปตฺวา ปุน นิวตฺติตฺวา มาตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺม, อหํ สุวณฺณภูมิํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, สมุโทฺท นาม อปฺปสิทฺธิโก พหุอนฺตราโย, มา คจฺฉ, รชฺชคฺคหณาย เต ธนํ พหู’’ติฯ โส ‘‘คจฺฉิสฺสาเมว อมฺมา’’ติ มาตรํ วนฺทิตฺวา เคหา นิกฺขมฺม นาวํ อภิรุหิฯ

    So soḷasavassabbhantareyeva tayo vede ca sabbasippāni ca uggaṇhi , soḷasavassikakāle pana uttamarūpadharo ahosi. Atha so ‘‘pitu santakaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti cintetvā mātaraṃ pucchi ‘‘amma, kiñci dhanaṃ te hatthe atthi, udāhu no, ahaṃ vohāraṃ katvā dhanaṃ uppādetvā pitu santakaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, nāhaṃ tucchahatthā āgatā, tayo me hatthe dhanasārā atthi, muttasāro, maṇisāro, vajirasāroti, tesu ekeko rajjaggahaṇappamāṇo, taṃ gahetvā rajjaṃ gaṇha, mā vohāraṃ karī’’ti. ‘‘Amma, idampi dhanaṃ mayhameva upaḍḍhaṃ katvā dehi, taṃ pana gahetvā suvaṇṇabhūmiṃ gantvā bahuṃ dhanaṃ āharitvā rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti. So upaḍḍhaṃ āharāpetvā bhaṇḍikaṃ katvā suvaṇṇabhūmiṃ gamikehi vāṇijehi saddhiṃ nāvāya bhaṇḍaṃ āropetvā puna nivattitvā mātaraṃ vanditvā ‘‘amma, ahaṃ suvaṇṇabhūmiṃ gamissāmī’’ti āha. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, samuddo nāma appasiddhiko bahuantarāyo, mā gaccha, rajjaggahaṇāya te dhanaṃ bahū’’ti. So ‘‘gacchissāmeva ammā’’ti mātaraṃ vanditvā gehā nikkhamma nāvaṃ abhiruhi.

    ตํ ทิวสเมว โปลชนกสฺส สรีเร โรโค อุปฺปชฺชิ, อนุฎฺฐานเสยฺยํ สยิฯ ตทา สตฺต ชงฺฆสตานิ นาวํ อภิรุหิํสุฯ นาวา สตฺตทิวเสหิ สตฺต โยชนสตานิ คตาฯ สา อติจณฺฑเวเคน คนฺตฺวา อตฺตานํ วหิตุํ นาสกฺขิ, ผลกานิ ภินฺนานิ, ตโต ตโต อุทกํ อุคฺคตํ, นาวา สมุทฺทมเชฺฌ นิมุคฺคาฯ มหาชนา โรทนฺติ ปริเทวนฺติ, นานาเทวตาโย นมสฺสนฺติฯ มหาสโตฺต ปน เนว โรทติ น ปริเทวติ, น เทวตาโย นมสฺสติ, นาวาย ปน นิมุชฺชนภาวํ ญตฺวา สปฺปินา สกฺขรํ โอมทฺทิตฺวา กุจฺฉิปูรํ ขาทิตฺวา เทฺว มฎฺฐกสาฎเก เตเลน เตเมตฺวา ทฬฺหํ นิวาเสตฺวา กูปกํ นิสฺสาย ฐิโต นาวาย นิมุชฺชนสมเย กูปกํ อภิรุหิฯ มหาชนา มจฺฉกจฺฉปภกฺขา ชาตา, สมนฺตา อุทกํ อฑฺฒูสภมตฺตํ โลหิตํ อโหสิฯ มหาสโตฺต กูปกมตฺถเก ฐิโตว ‘‘อิมาย นาม ทิสาย มิถิลนคร’’นฺติ ทิสํ ววตฺถเปตฺวา กูปกมตฺถกา อุปฺปติตฺวา มจฺฉกจฺฉเป อติกฺกมฺม มหาพลวตาย อุสภมตฺถเก ปติฯ ตํ ทิวสเมว โปลชนโก กาลมกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาสโตฺต มณิวณฺณาสุ อูมีสุ ปริวตฺตโนฺต สุวณฺณกฺขโนฺธ วิย สมุทฺทํ ตรติฯ โส ยถา เอกทิวสํ, เอวํ สตฺตาหํ ตรติ, ‘‘อิทานิ ปุณฺณมีทิวโส’’ติ เวลํ ปน โอโลเกตฺวา โลโณทเกน มุขํ วิกฺขาเลตฺวา อุโปสถิโก โหติฯ

    Taṃ divasameva polajanakassa sarīre rogo uppajji, anuṭṭhānaseyyaṃ sayi. Tadā satta jaṅghasatāni nāvaṃ abhiruhiṃsu. Nāvā sattadivasehi satta yojanasatāni gatā. Sā aticaṇḍavegena gantvā attānaṃ vahituṃ nāsakkhi, phalakāni bhinnāni, tato tato udakaṃ uggataṃ, nāvā samuddamajjhe nimuggā. Mahājanā rodanti paridevanti, nānādevatāyo namassanti. Mahāsatto pana neva rodati na paridevati, na devatāyo namassati, nāvāya pana nimujjanabhāvaṃ ñatvā sappinā sakkharaṃ omadditvā kucchipūraṃ khāditvā dve maṭṭhakasāṭake telena temetvā daḷhaṃ nivāsetvā kūpakaṃ nissāya ṭhito nāvāya nimujjanasamaye kūpakaṃ abhiruhi. Mahājanā macchakacchapabhakkhā jātā, samantā udakaṃ aḍḍhūsabhamattaṃ lohitaṃ ahosi. Mahāsatto kūpakamatthake ṭhitova ‘‘imāya nāma disāya mithilanagara’’nti disaṃ vavatthapetvā kūpakamatthakā uppatitvā macchakacchape atikkamma mahābalavatāya usabhamatthake pati. Taṃ divasameva polajanako kālamakāsi. Tato paṭṭhāya mahāsatto maṇivaṇṇāsu ūmīsu parivattanto suvaṇṇakkhandho viya samuddaṃ tarati. So yathā ekadivasaṃ, evaṃ sattāhaṃ tarati, ‘‘idāni puṇṇamīdivaso’’ti velaṃ pana oloketvā loṇodakena mukhaṃ vikkhāletvā uposathiko hoti.

    ตทา จ ‘‘เย มาตุปฎฺฐานาทิคุณยุตฺตา สมุเทฺท มริตุํ อนนุจฺฉวิกา สตฺตา, เต อุทฺธาเรหี’’ติ จตูหิ โลกปาเลหิ มณิเมขลา นาม เทวธีตา สมุทฺทรกฺขิกา ฐปิตา โหติฯ สา สตฺต ทิวสานิ สมุทฺทํ น โอโลเกสิ, ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวนฺติยา กิรสฺสา สติ ปมุฎฺฐาฯ ‘‘เทวสมาคมํ คตา’’ติปิ วทนฺติฯ อถ สา ‘‘อชฺช เม สตฺตโม ทิวโส สมุทฺทํ อโนโลเกนฺติยา, กา นุ โข ปวตฺตี’’ติ โอโลเกนฺตี มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘สเจ มหาชนกกุมาโร สมุเทฺท นสฺสิสฺส, เทวสมาคมปเวสนํ น ลภิสฺส’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มหาสตฺตสฺส อวิทูเร อลงฺกเตน สรีเรน อากาเส ฐตฺวา มหาสตฺตํ วีมํสมานา ปฐมํ คาถมาห –

    Tadā ca ‘‘ye mātupaṭṭhānādiguṇayuttā samudde marituṃ ananucchavikā sattā, te uddhārehī’’ti catūhi lokapālehi maṇimekhalā nāma devadhītā samuddarakkhikā ṭhapitā hoti. Sā satta divasāni samuddaṃ na olokesi, dibbasampattiṃ anubhavantiyā kirassā sati pamuṭṭhā. ‘‘Devasamāgamaṃ gatā’’tipi vadanti. Atha sā ‘‘ajja me sattamo divaso samuddaṃ anolokentiyā, kā nu kho pavattī’’ti olokentī mahāsattaṃ disvā ‘‘sace mahājanakakumāro samudde nassissa, devasamāgamapavesanaṃ na labhissa’’nti cintetvā mahāsattassa avidūre alaṅkatena sarīrena ākāse ṭhatvā mahāsattaṃ vīmaṃsamānā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๒๓.

    123.

    ‘‘โกยํ มเชฺฌ สมุทฺทสฺมิํ, อปสฺสํ ตีรมายุเห;

    ‘‘Koyaṃ majjhe samuddasmiṃ, apassaṃ tīramāyuhe;

    กํ ตฺวํ อตฺถวสํ ญตฺวา, เอวํ วายมเส ภุส’’นฺติฯ

    Kaṃ tvaṃ atthavasaṃ ñatvā, evaṃ vāyamase bhusa’’nti.

    ตตฺถ อปสฺสํ ตีรมายุเหติ ตีรํ อปสฺสโนฺตว อายูหติ วีริยํ กโรติฯ

    Tattha apassaṃ tīramāyuheti tīraṃ apassantova āyūhati vīriyaṃ karoti.

    อถ มหาสโตฺต ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘อชฺช เม สตฺตโม ทิวโส สมุทฺทํ ตรนฺตสฺส, น เม ทุติโย สโตฺต ทิฎฺฐปุโพฺพ, โก นุ มํ วทตี’’ติ อากาสํ โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ทุติยํ คาถมาห –

    Atha mahāsatto tassā vacanaṃ sutvā ‘‘ajja me sattamo divaso samuddaṃ tarantassa, na me dutiyo satto diṭṭhapubbo, ko nu maṃ vadatī’’ti ākāsaṃ olokento taṃ disvā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๒๔.

    124.

    ‘‘นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺส, วายามสฺส จ เทวเต;

    ‘‘Nisamma vattaṃ lokassa, vāyāmassa ca devate;

    ตสฺมา มเชฺฌ สมุทฺทสฺมิํ, อปสฺสํ ตีรมายุเห’’ติฯ

    Tasmā majjhe samuddasmiṃ, apassaṃ tīramāyuhe’’ti.

    ตตฺถ นิสมฺม วตฺตํ โลกสฺสาติ อหํ โลกสฺส วตฺตกิริยํ ทิสฺวา อุปธาเรตฺวา วิหรามีติ อโตฺถฯ วายามสฺส จาติ วายามสฺส จ อานิสํสํ นิสาเมตฺวา วิหรามีติ ทีเปติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา นิสมฺม วิหรามิ, ‘‘ปุริสกาโร นาม น นสฺสติ, สุเข ปติฎฺฐาเปตี’’ติ ชานามิ, ตสฺมา ตีรํ อปสฺสโนฺตปิ อายูหามิ วีริยํ กโรมิ, น อุกฺกณฺฐามีติฯ

    Tattha nisamma vattaṃ lokassāti ahaṃ lokassa vattakiriyaṃ disvā upadhāretvā viharāmīti attho. Vāyāmassa cāti vāyāmassa ca ānisaṃsaṃ nisāmetvā viharāmīti dīpeti. Tasmāti yasmā nisamma viharāmi, ‘‘purisakāro nāma na nassati, sukhe patiṭṭhāpetī’’ti jānāmi, tasmā tīraṃ apassantopi āyūhāmi vīriyaṃ karomi, na ukkaṇṭhāmīti.

    สา ตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา อุตฺตริ โสตุกามา หุตฺวา ปุน คาถมาห –

    Sā tassa dhammakathaṃ sutvā uttari sotukāmā hutvā puna gāthamāha –

    ๑๒๕.

    125.

    ‘‘คมฺภีเร อปฺปเมยฺยสฺมิํ, ตีรํ ยสฺส น ทิสฺสติ;

    ‘‘Gambhīre appameyyasmiṃ, tīraṃ yassa na dissati;

    โมโฆ เต ปุริสวายาโม, อปฺปตฺวาว มริสฺสสี’’ติฯ

    Mogho te purisavāyāmo, appatvāva marissasī’’ti.

    ตตฺถ อปฺปตฺวาติ ตีรํ อปฺปตฺวาเยวฯ

    Tattha appatvāti tīraṃ appatvāyeva.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘เทวเต, กิํ นาเมตํ กเถสิ, วายามํ กตฺวา มรโนฺตปิ ครหโต มุจฺจิสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘devate, kiṃ nāmetaṃ kathesi, vāyāmaṃ katvā marantopi garahato muccissāmī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๑๒๖.

    126.

    ‘‘อนโณ ญาตินํ โหติ, เทวานํ ปิตุนญฺจ โส;

    ‘‘Anaṇo ñātinaṃ hoti, devānaṃ pitunañca so;

    กรํ ปุริสกิจฺจานิ, น จ ปจฺฉานุตปฺปตี’’ติฯ

    Karaṃ purisakiccāni, na ca pacchānutappatī’’ti.

    ตตฺถ อนโณติ วายามํ กโรโนฺต ญาตีนเญฺจว เทวตานญฺจ พฺรหฺมานญฺจ อนฺตเร อนโณ โหติ อครหิโต อนินฺทิโตฯ กรํ ปุริสกิจฺจานีติ ยถา โส ปุคฺคโล ปุริเสหิ กตฺตพฺพานิ กมฺมานิ กรํ ปจฺฉากาเล น จ อนุตปฺปติ, ยถา นานุโสจติ, เอวาหมฺปิ วีริยํ กโรโนฺต ปจฺฉากาเล นานุตปฺปามิ นานุโสจามีติ อโตฺถฯ

    Tattha anaṇoti vāyāmaṃ karonto ñātīnañceva devatānañca brahmānañca antare anaṇo hoti agarahito anindito. Karaṃ purisakiccānīti yathā so puggalo purisehi kattabbāni kammāni karaṃ pacchākāle na ca anutappati, yathā nānusocati, evāhampi vīriyaṃ karonto pacchākāle nānutappāmi nānusocāmīti attho.

    อถ นํ เทวธีตา คาถมาห –

    Atha naṃ devadhītā gāthamāha –

    ๑๒๗.

    127.

    ‘‘อปารเนยฺยํ ยํ กมฺมํ, อผลํ กิลมถุทฺทยํ;

    ‘‘Apāraneyyaṃ yaṃ kammaṃ, aphalaṃ kilamathuddayaṃ;

    ตตฺถ โก วายาเมนโตฺถ, มจฺจุ ยสฺสาภินิปฺปต’’นฺติฯ

    Tattha ko vāyāmenattho, maccu yassābhinippata’’nti.

    ตตฺถ อปารเนยฺยนฺติ วายาเมน มตฺถกํ อปาเปตพฺพํฯ มจฺจุ ยสฺสาภินิปฺปตนฺติ ยสฺส อฎฺฐาเน วายามกรณสฺส มรณเมว นิปฺผนฺนํ, ตตฺถ โก วายาเมนโตฺถติฯ

    Tattha apāraneyyanti vāyāmena matthakaṃ apāpetabbaṃ. Maccu yassābhinippatanti yassa aṭṭhāne vāyāmakaraṇassa maraṇameva nipphannaṃ, tattha ko vāyāmenatthoti.

    เอวํ เทวธีตาย วุเตฺต ตํ อปฺปฎิภานํ กโรโนฺต มหาสโตฺต อุตฺตริ คาถา อาห –

    Evaṃ devadhītāya vutte taṃ appaṭibhānaṃ karonto mahāsatto uttari gāthā āha –

    ๑๒๘.

    128.

    ‘‘อปารเนยฺยมจฺจนฺตํ , โย วิทิตฺวาน เทวเต;

    ‘‘Apāraneyyamaccantaṃ , yo viditvāna devate;

    น รเกฺข อตฺตโน ปาณํ, ชญฺญา โส ยทิ หาปเยฯ

    Na rakkhe attano pāṇaṃ, jaññā so yadi hāpaye.

    ๑๒๙.

    129.

    ‘‘อธิปฺปายผลํ เอเก, อสฺมิํ โลกสฺมิ เทวเต;

    ‘‘Adhippāyaphalaṃ eke, asmiṃ lokasmi devate;

    ปโยชยนฺติ กมฺมานิ, ตานิ อิชฺฌนฺติ วา น วาฯ

    Payojayanti kammāni, tāni ijjhanti vā na vā.

    ๑๓๐.

    130.

    ‘‘สนฺทิฎฺฐิกํ กมฺมผลํ, นนุ ปสฺสสิ เทวเต;

    ‘‘Sandiṭṭhikaṃ kammaphalaṃ, nanu passasi devate;

    สนฺนา อเญฺญ ตรามหํ, ตญฺจ ปสฺสามิ สนฺติเกฯ

    Sannā aññe tarāmahaṃ, tañca passāmi santike.

    ๑๓๑.

    131.

    ‘‘โส อหํ วายมิสฺสามิ, ยถาสตฺติ ยถาพลํ;

    ‘‘So ahaṃ vāyamissāmi, yathāsatti yathābalaṃ;

    คจฺฉํ ปารํ สมุทฺทสฺส, กสฺสํ ปุริสการิย’’นฺติฯ

    Gacchaṃ pāraṃ samuddassa, kassaṃ purisakāriya’’nti.

    ตตฺถ อจฺจนฺตนฺติ โย ‘‘อิทํ กมฺมํ วีริยํ กตฺวา นิปฺผาเทตุํ น สกฺกา, อจฺจนฺตเมว อปารเนยฺย’’นฺติ วิทิตฺวา จณฺฑหตฺถิอาทโย อปริหรโนฺต อตฺตโน ปาณํ น รกฺขติฯ ชญฺญา โส ยทิ หาปเยติ โส ยทิ ตาทิเสสุ ฐาเนสุ วีริยํ หาเปยฺย, ชาเนยฺย ตสฺส กุสีตภาวสฺส ผลํฯ ตฺวํ ยํ วา ตํ วา นิรตฺถกํ วทสีติ ทีเปติฯ ปาฬิยํ ปน ‘‘ชญฺญา โส ยทิ หาปย’’นฺติ ลิขิตํ, ตํ อฎฺฐกถาสุ นตฺถิฯ อธิปฺปายผลนฺติ อตฺตโน อธิปฺปายผลํ สมฺปสฺสมานา เอกเจฺจ ปุริสา กสิวณิชฺชาทีนิ กมฺมานิ ปโยชยนฺติ, ตานิ อิชฺฌนฺติ วา น วา อิชฺฌนฺติฯ ‘‘เอตฺถ คมิสฺสามิ, อิทํ อุคฺคเหสฺสามี’’ติ ปน กายิกเจตสิกวีริยํ กโรนฺตสฺส ตํ อิชฺฌเตว, ตสฺมา ตํ กาตุํ วฎฺฎติเยวาติ ทเสฺสติฯ สนฺนา อเญฺญ ตรามหนฺติ อเญฺญ ชนา มหาสมุเทฺท สนฺนา นิมุคฺคา วีริยํ อกโรนฺตา มจฺฉกจฺฉปภกฺขา ชาตา, อหํ ปน เอกโกว ตรามิฯ ตญฺจ ปสฺสามิ สนฺติเกติ อิทํ เม วีริยผลํ ปสฺส, มยา อิมินา อตฺตภาเวน เทวตา นาม น ทิฎฺฐปุพฺพา, โสหํ ตญฺจ อิมินา ทิพฺพรูเปน มม สนฺติเก ฐิตํ ปสฺสามิฯ ยถาสตฺติ ยถาพลนฺติ อตฺตโน สตฺติยา จ พลสฺส จ อนุรูปํฯ กสฺสนฺติ กริสฺสามิฯ

    Tattha accantanti yo ‘‘idaṃ kammaṃ vīriyaṃ katvā nipphādetuṃ na sakkā, accantameva apāraneyya’’nti viditvā caṇḍahatthiādayo apariharanto attano pāṇaṃ na rakkhati. Jaññā so yadi hāpayeti so yadi tādisesu ṭhānesu vīriyaṃ hāpeyya, jāneyya tassa kusītabhāvassa phalaṃ. Tvaṃ yaṃ vā taṃ vā niratthakaṃ vadasīti dīpeti. Pāḷiyaṃ pana ‘‘jaññā so yadi hāpaya’’nti likhitaṃ, taṃ aṭṭhakathāsu natthi. Adhippāyaphalanti attano adhippāyaphalaṃ sampassamānā ekacce purisā kasivaṇijjādīni kammāni payojayanti, tāni ijjhanti vā na vā ijjhanti. ‘‘Ettha gamissāmi, idaṃ uggahessāmī’’ti pana kāyikacetasikavīriyaṃ karontassa taṃ ijjhateva, tasmā taṃ kātuṃ vaṭṭatiyevāti dasseti. Sannā aññe tarāmahanti aññe janā mahāsamudde sannā nimuggā vīriyaṃ akarontā macchakacchapabhakkhā jātā, ahaṃ pana ekakova tarāmi. Tañca passāmi santiketi idaṃ me vīriyaphalaṃ passa, mayā iminā attabhāvena devatā nāma na diṭṭhapubbā, sohaṃ tañca iminā dibbarūpena mama santike ṭhitaṃ passāmi. Yathāsatti yathābalanti attano sattiyā ca balassa ca anurūpaṃ. Kassanti karissāmi.

    ตโต เทวตา ตสฺส ตํ ทฬฺหวจนํ สุตฺวา ถุติํ กโรนฺตี คาถมาห –

    Tato devatā tassa taṃ daḷhavacanaṃ sutvā thutiṃ karontī gāthamāha –

    ๑๓๒.

    132.

    ‘‘โย ตฺวํ เอวํ คเต โอเฆ, อปฺปเมเยฺย มหณฺณเว;

    ‘‘Yo tvaṃ evaṃ gate oghe, appameyye mahaṇṇave;

    ธมฺมวายามสมฺปโนฺน, กมฺมุนา นาวสีทสิ;

    Dhammavāyāmasampanno, kammunā nāvasīdasi;

    โส ตฺวํ ตเตฺถว คจฺฉาหิ, ยตฺถ เต นิรโต มโน’’ติฯ

    So tvaṃ tattheva gacchāhi, yattha te nirato mano’’ti.

    ตตฺถ เอวํ คเตติ เอวรูเป คมฺภีเร วิตฺถเต มหาสมุเทฺทฯ ธมฺมวายามสมฺปโนฺนติ ธมฺมวายาเมน สมนฺนาคโตฯ กมฺมุนาติ อตฺตโน ปุริสการกเมฺมนฯ นาวสีทสีติ น อวสีทสิฯ ยตฺถ เตติ ยสฺมิํ ฐาเน ตว มโน นิรโต, ตเตฺถว คจฺฉาหีติฯ

    Tattha evaṃ gateti evarūpe gambhīre vitthate mahāsamudde. Dhammavāyāmasampannoti dhammavāyāmena samannāgato. Kammunāti attano purisakārakammena. Nāvasīdasīti na avasīdasi. Yattha teti yasmiṃ ṭhāne tava mano nirato, tattheva gacchāhīti.

    สา เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘ปณฺฑิต มหาปรกฺกม, กุหิํ ตํ เนมี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มิถิลนคร’’นฺติ วุเตฺต สา มหาสตฺตํ ปุปฺผกลาปํ วิย อุกฺขิปิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ ปริคฺคยฺห อุเร นิปชฺชาเปตฺวา ปิยปุตฺตํ อาทาย คจฺฉนฺตี วิย อากาเส ปกฺขนฺทิฯ มหาสโตฺต สตฺตาหํ โลโณทเกน อุปกฺกสรีโร หุตฺวา ทิพฺพผเสฺสน ผุโฎฺฐ นิทฺทํ โอกฺกมิฯ อถ นํ สา มิถิลํ เนตฺวา อมฺพวนุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ ทกฺขิณปเสฺสน นิปชฺชาเปตฺวา อุยฺยานเทวตาหิ ตสฺส อารกฺขํ คาหาเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คตาฯ

    Sā evañca pana vatvā ‘‘paṇḍita mahāparakkama, kuhiṃ taṃ nemī’’ti pucchi. ‘‘Mithilanagara’’nti vutte sā mahāsattaṃ pupphakalāpaṃ viya ukkhipitvā ubhohi hatthehi pariggayha ure nipajjāpetvā piyaputtaṃ ādāya gacchantī viya ākāse pakkhandi. Mahāsatto sattāhaṃ loṇodakena upakkasarīro hutvā dibbaphassena phuṭṭho niddaṃ okkami. Atha naṃ sā mithilaṃ netvā ambavanuyyāne maṅgalasilāpaṭṭe dakkhiṇapassena nipajjāpetvā uyyānadevatāhi tassa ārakkhaṃ gāhāpetvā sakaṭṭhānameva gatā.

    ตทา โปลชนกสฺส ปุโตฺต นตฺถิฯ เอกา ปนสฺส ธีตา อโหสิ, สา สีวลิเทวี นาม ปณฺฑิตา พฺยตฺตาฯ อมจฺจา ตเมนํ มรณมเญฺจ นิปนฺนํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘มหาราช, ตุเมฺหสุ ทิวงฺคเตสุ รชฺชํ กสฺส ทสฺสามา’’ติ? อถ เน ราชา ‘‘ตาตา, มม ธีตรํ สีวลิเทวิํ อาราเธตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถ, โย วา ปน จตุรสฺสปลฺลงฺกสฺส อุสฺสีสกํ ชานาติ, โย วา ปน สหสฺสถามธนุํ อาโรเปตุํ สโกฺกติ, โย วา ปน โสฬส มหานิธี นีหริตุํ สโกฺกติ, ตสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ อาหฯ อมจฺจา ‘‘เทว, เตสํ โน นิธีนํ อุทฺทานํ กเถถา’’ติ อาหํสุฯ อถ ราชา –

    Tadā polajanakassa putto natthi. Ekā panassa dhītā ahosi, sā sīvalidevī nāma paṇḍitā byattā. Amaccā tamenaṃ maraṇamañce nipannaṃ pucchiṃsu ‘‘mahārāja, tumhesu divaṅgatesu rajjaṃ kassa dassāmā’’ti? Atha ne rājā ‘‘tātā, mama dhītaraṃ sīvalideviṃ ārādhetuṃ samatthassa rajjaṃ detha, yo vā pana caturassapallaṅkassa ussīsakaṃ jānāti, yo vā pana sahassathāmadhanuṃ āropetuṃ sakkoti, yo vā pana soḷasa mahānidhī nīharituṃ sakkoti, tassa rajjaṃ dethā’’ti āha. Amaccā ‘‘deva, tesaṃ no nidhīnaṃ uddānaṃ kathethā’’ti āhaṃsu. Atha rājā –

    ‘‘สูริยุคฺคมเน นิธิ, อโถ โอกฺกมเน นิธิ;

    ‘‘Sūriyuggamane nidhi, atho okkamane nidhi;

    อโนฺต นิธิ พหิ นิธิ, น อโนฺต น พหิ นิธิฯ

    Anto nidhi bahi nidhi, na anto na bahi nidhi.

    ‘‘อาโรหเน มหานิธิ, อโถ โอโรหเน นิธิ;

    ‘‘Ārohane mahānidhi, atho orohane nidhi;

    จตูสุ มหาสาเลสุ, สมนฺตา โยชเน นิธิฯ

    Catūsu mahāsālesu, samantā yojane nidhi.

    ‘‘ทนฺตเคฺคสุ มหานิธิ, วาลเคฺคสุ จ เกปุเก;

    ‘‘Dantaggesu mahānidhi, vālaggesu ca kepuke;

    รุกฺขเคฺคสุ มหานิธิ, โสฬเสเต มหานิธีฯ

    Rukkhaggesu mahānidhi, soḷasete mahānidhī.

    ‘‘สหสฺสถาโม ปลฺลโงฺก, สีวลิอาราธเนน จา’’ติฯ –

    ‘‘Sahassathāmo pallaṅko, sīvaliārādhanena cā’’ti. –

    มหานิธีหิ สทฺธิํ อิตเรสมฺปิ อุทฺทานํ กเถสิฯ ราชา อิมํ กถํ วตฺวา กาลมกาสิฯ

    Mahānidhīhi saddhiṃ itaresampi uddānaṃ kathesi. Rājā imaṃ kathaṃ vatvā kālamakāsi.

    อมจฺจา รโญฺญ อจฺจเยน ตสฺส มตกิจฺจํ กตฺวา สตฺตเม ทิวเส สนฺนิปติตฺวา มนฺตยิํสุ ‘‘อโมฺภ รญฺญา ‘อตฺตโน ธีตรํ อาราเธตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ ทาตพฺพ’นฺติ วุตฺตํ, โก ตํ อาราเธตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติฯ เต ‘‘เสนาปติ วลฺลโภ’’ติ วตฺวา ตสฺส สาสนํ เปเสสุํฯ โส สาสนํ สุตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รชฺชตฺถาย ราชทฺวารํ คนฺตฺวา อตฺตโน อาคตภาวํ ราชธีตาย อาโรจาเปสิฯ สา ตสฺส อาคตภาวํ ญตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ ขฺวสฺส เสตจฺฉตฺตสิริํ ธาเรตุํ ธิตี’’ติ ตสฺส วีมํสนตฺถาย ‘‘ขิปฺปํ อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา สาสนํ สุตฺวา ตํ อาราเธตุกาโม โสปานปาทมูลโต ปฎฺฐาย ชเวนาคนฺตฺวา ตสฺสา สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ อถ นํ สา วีมํสมานา ‘‘มหาตเล ชเวน ธาวา’’ติ อาหฯ โส ‘‘ราชธีตรํ โตเสสฺสามี’’ติ เวเคน ปกฺขนฺทิฯ อถ นํ ‘‘ปุน เอหี’’ติ อาหฯ โส ปุน เวเคน อาคโตฯ สา ตสฺส ธิติยา วิรหิตภาวํ ญตฺวา ‘‘เอหิ สมฺม, ปาเท เม สมฺพาหา’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา อาราธนตฺถํ นิสีทิตฺวา ปาเท สมฺพาหิฯ อถ นํ สา อุเร ปาเทน ปหริตฺวา อุตฺตานกํ ปาเตตฺวา ‘‘อิมํ อนฺธพาลปุริสํ ธิติวิรหิตํ โปเถตฺวา คีวายํ คเหตฺวา นีหรถา’’ติ ทาสีนํ สญฺญํ อทาสิฯ ตา ตถา กริํสุฯ โส เตหิ ‘‘กิํ เสนาปตี’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘มา กเถถ, สา เนว มนุสฺสิตฺถี, ยกฺขินี’’ติ อาหฯ ตโต ภณฺฑาคาริโก คโต, ตมฺปิ ตเถว ลชฺชาเปสิฯ ตถา เสฎฺฐิํ, ฉตฺตคฺคาหํ, อสิคฺคาหนฺติ สเพฺพปิ เต ลชฺชาเปสิเยวฯ

    Amaccā rañño accayena tassa matakiccaṃ katvā sattame divase sannipatitvā mantayiṃsu ‘‘ambho raññā ‘attano dhītaraṃ ārādhetuṃ samatthassa rajjaṃ dātabba’nti vuttaṃ, ko taṃ ārādhetuṃ sakkhissatī’’ti. Te ‘‘senāpati vallabho’’ti vatvā tassa sāsanaṃ pesesuṃ. So sāsanaṃ sutvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rajjatthāya rājadvāraṃ gantvā attano āgatabhāvaṃ rājadhītāya ārocāpesi. Sā tassa āgatabhāvaṃ ñatvā ‘‘atthi nu khvassa setacchattasiriṃ dhāretuṃ dhitī’’ti tassa vīmaṃsanatthāya ‘‘khippaṃ āgacchatū’’ti āha. So tassā sāsanaṃ sutvā taṃ ārādhetukāmo sopānapādamūlato paṭṭhāya javenāgantvā tassā santike aṭṭhāsi. Atha naṃ sā vīmaṃsamānā ‘‘mahātale javena dhāvā’’ti āha. So ‘‘rājadhītaraṃ tosessāmī’’ti vegena pakkhandi. Atha naṃ ‘‘puna ehī’’ti āha. So puna vegena āgato. Sā tassa dhitiyā virahitabhāvaṃ ñatvā ‘‘ehi samma, pāde me sambāhā’’ti āha. So tassā ārādhanatthaṃ nisīditvā pāde sambāhi. Atha naṃ sā ure pādena paharitvā uttānakaṃ pātetvā ‘‘imaṃ andhabālapurisaṃ dhitivirahitaṃ pothetvā gīvāyaṃ gahetvā nīharathā’’ti dāsīnaṃ saññaṃ adāsi. Tā tathā kariṃsu. So tehi ‘‘kiṃ senāpatī’’ti puṭṭho ‘‘mā kathetha, sā neva manussitthī, yakkhinī’’ti āha. Tato bhaṇḍāgāriko gato, tampi tatheva lajjāpesi. Tathā seṭṭhiṃ, chattaggāhaṃ, asiggāhanti sabbepi te lajjāpesiyeva.

    อถ อมจฺจา สนฺนิปติตฺวา ‘‘ราชธีตรํ อาราเธตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, สหสฺสถามธนุํ อาโรเปตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ อาห, ตมฺปิ โกจิ อาโรเปตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ‘‘จตุรสฺสปลฺลงฺกสฺส อุสฺสีสกํ ชานนฺตสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ อาห, ตมฺปิ โกจิ น ชานาติฯ ตโต โสฬส มหานิธี นีหริตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ อาห, เตปิ โกจิ นีหริตุํ นาสกฺขิฯ ตโต ‘‘อโมฺภ อราชิกํ นาม รฎฺฐํ ปาเลตุํ น สกฺกา, กิํ นุ โข กาตพฺพ’’นฺติ มนฺตยิํสุฯ อถ เน ปุโรหิโต อาห – ‘‘โภ ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, ผุสฺสรถํ นาม วิสฺสเชฺชตุํ วฎฺฎติ, ผุสฺสรเถน หิ ลทฺธราชา สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ กาเรตุํ สมโตฺถ โหตี’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นครํ อลงฺการาเปตฺวา มงฺคลรเถ จตฺตาโร กุมุทวเณฺณ อเสฺส โยเชตฺวา อุตฺตมปจฺจตฺถรณํ อตฺถริตฺวา ปญฺจ ราชกกุธภณฺฑานิ อาโรเปตฺวา จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวาเรสุํฯ ‘‘สสามิกสฺส รถสฺส ปุรโต ตูริยานิ วชฺชนฺติ, อสามิกสฺส ปจฺฉโต วชฺชนฺติ, ตสฺมา สพฺพตูริยานิ ปจฺฉโต วาเทถา’’ติ วตฺวา สุวณฺณภิงฺกาเรน รถธุรญฺจ ปโตทญฺจ อภิสิญฺจิตฺวา ‘‘ยสฺส รชฺชํ กาเรตุํ ปุญฺญํ อตฺถิ, ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉตู’’ติ รถํ วิสฺสเชฺชสุํฯ อถ รโถ ราชเคหํ ปทกฺขิณํ กตฺวา เวเคน มหาวีถิํ อภิรุหิฯ

    Atha amaccā sannipatitvā ‘‘rājadhītaraṃ ārādhetuṃ samattho nāma natthi, sahassathāmadhanuṃ āropetuṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti āha, tampi koci āropetuṃ nāsakkhi. Tato ‘‘caturassapallaṅkassa ussīsakaṃ jānantassa rajjaṃ dethā’’ti āha, tampi koci na jānāti. Tato soḷasa mahānidhī nīharituṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti āha, tepi koci nīharituṃ nāsakkhi. Tato ‘‘ambho arājikaṃ nāma raṭṭhaṃ pāletuṃ na sakkā, kiṃ nu kho kātabba’’nti mantayiṃsu. Atha ne purohito āha – ‘‘bho tumhe mā cintayittha, phussarathaṃ nāma vissajjetuṃ vaṭṭati, phussarathena hi laddharājā sakalajambudīpe rajjaṃ kāretuṃ samattho hotī’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā nagaraṃ alaṅkārāpetvā maṅgalarathe cattāro kumudavaṇṇe asse yojetvā uttamapaccattharaṇaṃ attharitvā pañca rājakakudhabhaṇḍāni āropetvā caturaṅginiyā senāya parivāresuṃ. ‘‘Sasāmikassa rathassa purato tūriyāni vajjanti, asāmikassa pacchato vajjanti, tasmā sabbatūriyāni pacchato vādethā’’ti vatvā suvaṇṇabhiṅkārena rathadhurañca patodañca abhisiñcitvā ‘‘yassa rajjaṃ kāretuṃ puññaṃ atthi, tassa santikaṃ gacchatū’’ti rathaṃ vissajjesuṃ. Atha ratho rājagehaṃ padakkhiṇaṃ katvā vegena mahāvīthiṃ abhiruhi.

    เสนาปติอาทโย ‘‘ผุสฺสรโถ มม สนฺติกํ อาคจฺฉตู’’ติ จินฺตยิํสุฯ โส สเพฺพสํ เคหานิ อติกฺกมิตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข ปายาสิฯ อถ นํ เวเคน คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘นิวเตฺตถา’’ติ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถ, อิจฺฉโนฺต โยชนสตมฺปิ คจฺฉตุ, มา นิวาเรถา’’ติ อาหฯ รโถ อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มงฺคลสิลาปฎฺฎํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาโรหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ปุโรหิโต มหาสตฺตํ นิปนฺนกํ ทิสฺวา อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘อโมฺภ เอโก สิลาปเฎฺฎ นิปนฺนโก ปุริโส ทิสฺสติ, เสตจฺฉตฺตานุจฺฉวิกา ปนสฺส ธิติ อตฺถีติ วา นตฺถีติ วา น ชานาม, สเจ เอส ปุญฺญวา ภวิสฺสติ, อเมฺห น โอโลเกสฺสติ, กาฬกณฺณิสโตฺต สเจ ภวิสฺสติ, ภีตตสิโต อุฎฺฐาย กมฺปมาโน โอโลเกสฺสติ, ตสฺมา ขิปฺปํ สพฺพตูริยานิ ปคฺคณฺหถา’’ติ อาหฯ ตาวเทว อเนกสตานิ ตูริยานิ ปคฺคณฺหิํสุฯ ตทา ตูริยสโทฺท สาครโฆโส วิย อโหสิฯ

    Senāpatiādayo ‘‘phussaratho mama santikaṃ āgacchatū’’ti cintayiṃsu. So sabbesaṃ gehāni atikkamitvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukho pāyāsi. Atha naṃ vegena gacchantaṃ disvā ‘‘nivattethā’’ti āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayittha, icchanto yojanasatampi gacchatu, mā nivārethā’’ti āha. Ratho uyyānaṃ pavisitvā maṅgalasilāpaṭṭaṃ padakkhiṇaṃ katvā ārohanasajjo hutvā aṭṭhāsi. Purohito mahāsattaṃ nipannakaṃ disvā amacce āmantetvā ‘‘ambho eko silāpaṭṭe nipannako puriso dissati, setacchattānucchavikā panassa dhiti atthīti vā natthīti vā na jānāma, sace esa puññavā bhavissati, amhe na olokessati, kāḷakaṇṇisatto sace bhavissati, bhītatasito uṭṭhāya kampamāno olokessati, tasmā khippaṃ sabbatūriyāni paggaṇhathā’’ti āha. Tāvadeva anekasatāni tūriyāni paggaṇhiṃsu. Tadā tūriyasaddo sāgaraghoso viya ahosi.

    มหาสโตฺต เตน สเทฺทน ปพุชฺฌิตฺวา สีสํ วิวริตฺวา โอโลเกโนฺต มหาชนํ ทิสฺวา ‘‘เสตจฺฉเตฺตน เม อาคเตน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ปุน สีสํ ปารุปิตฺวา ปริวตฺติตฺวา วามปเสฺสน นิปชฺชิฯ ปุโรหิโต ตสฺส ปาเท วิวริตฺวา ลกฺขณานิ โอโลเกโนฺต ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ เอโก ทีโป, จตุนฺนมฺปิ มหาทีปานํ รชฺชํ กาเรตุํ สมโตฺถ โหตี’’ติ ปุน ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ อถ มหาสโตฺต มุขํ วิวริตฺวา ปริวตฺติตฺวา ทกฺขิณปเสฺสน นิปชฺชิตฺวา มหาชนํ โอโลเกสิฯ ตทา ปุโรหิโต ปริสํ อุสฺสาเรตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อวกุโชฺช หุตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ, เทว, รชฺชํ เต ปาปุณาตี’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘ราชา โว กุหี’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘กาลกโต เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตสฺส ปุโตฺต วา ภาตา วา นตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘นตฺถิ เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ สาธุ รชฺชํ กาเรสฺสามี’’ติ วตฺวา อุฎฺฐาย สิลาปเฎฺฎ ปลฺลเงฺกน นิสีทิฯ อถ นํ ตเตฺถว อภิสิญฺจิํสุฯ โส มหาชนโก นาม ราชา อโหสิฯ โส รถวรํ อภิรุยฺห มหเนฺตน สิริวิภเวน นครํ ปวิสิตฺวา ราชนิเวสนํ อภิรุหโนฺต ‘‘เสนาปติอาทีนํ ตาเนว ฐานานิ โหนฺตู’’ติ วิจาเรตฺวา มหาตลํ อภิรุหิฯ

    Mahāsatto tena saddena pabujjhitvā sīsaṃ vivaritvā olokento mahājanaṃ disvā ‘‘setacchattena me āgatena bhavitabba’’nti cintetvā puna sīsaṃ pārupitvā parivattitvā vāmapassena nipajji. Purohito tassa pāde vivaritvā lakkhaṇāni olokento ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ eko dīpo, catunnampi mahādīpānaṃ rajjaṃ kāretuṃ samattho hotī’’ti puna tūriyāni paggaṇhāpesi. Atha mahāsatto mukhaṃ vivaritvā parivattitvā dakkhiṇapassena nipajjitvā mahājanaṃ olokesi. Tadā purohito parisaṃ ussāretvā añjaliṃ paggayha avakujjo hutvā ‘‘uṭṭhehi, deva, rajjaṃ te pāpuṇātī’’ti āha. Atha naṃ mahāsatto ‘‘rājā vo kuhī’’nti pucchitvā ‘‘kālakato devā’’ti vutte ‘‘tassa putto vā bhātā vā natthī’’ti pucchitvā ‘‘natthi devā’’ti vutte ‘‘tena hi sādhu rajjaṃ kāressāmī’’ti vatvā uṭṭhāya silāpaṭṭe pallaṅkena nisīdi. Atha naṃ tattheva abhisiñciṃsu. So mahājanako nāma rājā ahosi. So rathavaraṃ abhiruyha mahantena sirivibhavena nagaraṃ pavisitvā rājanivesanaṃ abhiruhanto ‘‘senāpatiādīnaṃ tāneva ṭhānāni hontū’’ti vicāretvā mahātalaṃ abhiruhi.

    ราชธีตา ปน ปุริมสญฺญาย เอว ตสฺส วีมํสนตฺถํ เอกํ ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘ตาต, ตฺวํ คจฺฉ, ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทหิ ‘เทว, สีวลิเทวี ตุเมฺห ปโกฺกสติ, ขิปฺปํ กิราคจฺฉตู’’’ติฯ โส คนฺตฺวา ตถา อาโรเจสิฯ ราชา ปณฺฑิโต ตสฺส วจนํ สุตฺวาปิ อสฺสุณโนฺต วิย ‘‘อโห โสภโน วตายํ ปาสาโท’’ติ ปาสาทเมว วเณฺณติฯ โส ตํ สาเวตุํ อสโกฺกโนฺต คนฺตฺวา ราชธีตาย ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิ ‘‘อเยฺย, ราชา ตุมฺหากํ วจนํ น สุณาติ, ปาสาทเมว วเณฺณติ, ตุมฺหากํ วจนํ ติณํ วิย น คเณตี’’ติฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘โส มหชฺฌาสโย ปุริโส ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ เปเสสิฯ ราชาปิ อตฺตโน รุจิยา ปกติคมเนน สีโห วิย วิชมฺภมาโน ปาสาทํ อภิรุหิฯ ตสฺมิํ อุปสงฺกมเนฺต ราชธีตา ตสฺส เตเชน สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกนฺตี อาคนฺตฺวา หตฺถาลมฺพกํ อทาสิฯ

    Rājadhītā pana purimasaññāya eva tassa vīmaṃsanatthaṃ ekaṃ purisaṃ āṇāpesi ‘‘tāta, tvaṃ gaccha, rājānaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadehi ‘deva, sīvalidevī tumhe pakkosati, khippaṃ kirāgacchatū’’’ti. So gantvā tathā ārocesi. Rājā paṇḍito tassa vacanaṃ sutvāpi assuṇanto viya ‘‘aho sobhano vatāyaṃ pāsādo’’ti pāsādameva vaṇṇeti. So taṃ sāvetuṃ asakkonto gantvā rājadhītāya taṃ pavattiṃ ārocesi ‘‘ayye, rājā tumhākaṃ vacanaṃ na suṇāti, pāsādameva vaṇṇeti, tumhākaṃ vacanaṃ tiṇaṃ viya na gaṇetī’’ti. Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘so mahajjhāsayo puriso bhavissatī’’ti cintetvā dutiyampi tatiyampi pesesi. Rājāpi attano ruciyā pakatigamanena sīho viya vijambhamāno pāsādaṃ abhiruhi. Tasmiṃ upasaṅkamante rājadhītā tassa tejena sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkontī āgantvā hatthālambakaṃ adāsi.

    โส ตสฺสา หตฺถํ โอลมฺพิตฺวา มหาตลํ อภิรุหิตฺวา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘อโมฺภ, อตฺถิ ปน โว รญฺญา กาลํ กโรเนฺตน โกจิ โอวาโท ทิโนฺน’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ วเทถา’’ติ อาหฯ เทว ‘‘สีวลิเทวิํ อาราเธตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ เตน วุตฺตนฺติฯ สีวลิเทวิยา อาคนฺตฺวา หตฺถาลมฺพโก ทิโนฺน, อยํ ตาว อาราธิตา นาม, อญฺญํ วเทถาติฯ เทว ‘‘จตุรสฺสปลฺลงฺกสฺส อุสฺสีสกํ ชานิตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ เตน วุตฺตนฺติฯ ราชา ‘‘อิทํ ทุชฺชานํ, อุปาเยน สกฺกา ชานิตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สีสโต สุวณฺณสูจิํ นีหริตฺวา สีวลิเทวิยา หเตฺถ ฐเปสิ ‘‘อิมํ ฐเปหี’’ติ ฯ สา ตํ คเหตฺวา ปลฺลงฺกสฺส อุสฺสีสเก ฐเปสิฯ ‘‘ขคฺคํ อทาสี’’ติปิ วทนฺติเยวฯ โส ตาย สญฺญาย ‘‘อิทํ อุสฺสีสก’’นฺติ ญตฺวา เตสํ กถํ อสฺสุณโนฺต วิย ‘‘กิํ กเถถา’’ติ วตฺวา ปุน เตหิ ตถา วุเตฺต ‘‘อิทํ ชานิตุํ น ครุ, เอตํ อุสฺสีสก’’นฺติ วตฺวา ‘‘อญฺญํ วเทถา’’ติ อาหฯ เทว, ‘‘สหสฺสถามธนุํ อาโรเปตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ เตน วุตฺตนฺติฯ ‘‘เตน หิ อาหรถ น’’นฺติ อาหราเปตฺวา โส ธนุํ ปลฺลเงฺก ยถานิสิโนฺนว อิตฺถีนํ กปฺปาสโผฎนธนุํ วิย อาโรเปตฺวา ‘‘อญฺญํ วเทถา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, โสฬส มหานิธี นีหริตุํ สมตฺถสฺส รชฺชํ เทถา’’ติ เตน วุตฺตนฺติฯ ‘‘เตสํ กิญฺจิ อุทฺทานํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ นํ กเถถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สูริยุคฺคมเน นิธี’’ติ อุทฺทานํ กถยิํสุฯ ตสฺส ตํ สุณนฺตเสฺสว คคนตเล ปุณฺณจโนฺท วิย โส อโตฺถ ปากโฎ อโหสิฯ

    So tassā hatthaṃ olambitvā mahātalaṃ abhiruhitvā samussitasetacchatte rājapallaṅke nisīditvā amacce āmantetvā ‘‘ambho, atthi pana vo raññā kālaṃ karontena koci ovādo dinno’’ti pucchitvā ‘‘āma, devā’’ti vutte ‘‘tena hi vadethā’’ti āha. Deva ‘‘sīvalideviṃ ārādhetuṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti tena vuttanti. Sīvalideviyā āgantvā hatthālambako dinno, ayaṃ tāva ārādhitā nāma, aññaṃ vadethāti. Deva ‘‘caturassapallaṅkassa ussīsakaṃ jānituṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti tena vuttanti. Rājā ‘‘idaṃ dujjānaṃ, upāyena sakkā jānitu’’nti cintetvā sīsato suvaṇṇasūciṃ nīharitvā sīvalideviyā hatthe ṭhapesi ‘‘imaṃ ṭhapehī’’ti . Sā taṃ gahetvā pallaṅkassa ussīsake ṭhapesi. ‘‘Khaggaṃ adāsī’’tipi vadantiyeva. So tāya saññāya ‘‘idaṃ ussīsaka’’nti ñatvā tesaṃ kathaṃ assuṇanto viya ‘‘kiṃ kathethā’’ti vatvā puna tehi tathā vutte ‘‘idaṃ jānituṃ na garu, etaṃ ussīsaka’’nti vatvā ‘‘aññaṃ vadethā’’ti āha. Deva, ‘‘sahassathāmadhanuṃ āropetuṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti tena vuttanti. ‘‘Tena hi āharatha na’’nti āharāpetvā so dhanuṃ pallaṅke yathānisinnova itthīnaṃ kappāsaphoṭanadhanuṃ viya āropetvā ‘‘aññaṃ vadethā’’ti āha. ‘‘Deva, soḷasa mahānidhī nīharituṃ samatthassa rajjaṃ dethā’’ti tena vuttanti. ‘‘Tesaṃ kiñci uddānaṃ atthī’’ti pucchitvā ‘‘āma, devā’’ti vutte ‘‘tena hi naṃ kathethā’’ti āha. Te ‘‘sūriyuggamane nidhī’’ti uddānaṃ kathayiṃsu. Tassa taṃ suṇantasseva gaganatale puṇṇacando viya so attho pākaṭo ahosi.

    อถ เน ราชา อาห – ‘‘อชฺช, ภเณ, เวลา นตฺถิ, เสฺว นิธี คณฺหิสฺสามี’’ติฯ โส ปุนทิวเส อมเจฺจ สนฺนิปาเตตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา ปเจฺจกพุเทฺธ โภเชสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘สูริโยติ นายํ สูริโย, สูริยสทิสตฺตา ปน ปเจฺจกพุทฺธา สูริยา นาม, เตสํ ปจฺจุคฺคมนฎฺฐาเน นิธินา ภวิตพฺพ’’นฺติฯ ตโต ราชา ‘‘เตสุ ปเจฺจกพุเทฺธสุ อาคจฺฉเนฺตสุ ปจฺจุคฺคมนํ กโรโนฺต กตรํ ฐานํ คจฺฉตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐานํ นาม เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตํ ฐานํ ขณิตฺวา นิธิํ นีหรถา’’ติ นิธิํ นีหราเปสิฯ ‘‘คมนกาเล อนุคจฺฉโนฺต กตฺถ ฐตฺวา อุโยฺยเชสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐาเน นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตโตปิ นิธิํ นีหรถา’’ติ นิธิํ นีหราเปสิฯ อถ มหาชนา อุกฺกุฎฺฐิสหสฺสานิ ปวเตฺตนฺตา ‘‘สูริยุคฺคมเน นิธี’’ติ วุตฺตตฺตา สูริยุคฺคมนทิสายํ ขณนฺตา วิจริํสุฯ อโถ ‘‘โอกฺกมเน นิธี’’ติ วุตฺตตฺตา สูริยตฺถงฺคมนทิสายํ ขณนฺตา วิจริํสุฯ ‘‘อิทํ ปน ธนํ อิเธว โหติ, อโห อจฺฉริย’’นฺติ ปีติโสมนสฺสํ ปวตฺตยิํสุฯ อโนฺตนิธีติ ราชเคเห มหาทฺวารสฺส อโนฺตอุมฺมารา นิธิํ นีหราเปสิฯ พหิ นิธีติ พหิอุมฺมารา นิธิํ นีหราเปสิฯ น อโนฺต น พหิ นิธีติ เหฎฺฐาอุมฺมารโต นิธิํ นีหราเปสิ ฯ อาโรหเน นิธีติ มงฺคลหตฺถิํ อาโรหนกาเล สุวณฺณนิเสฺสณิยา อตฺถรณฎฺฐานโต นิธิํ นีหราเปสิฯ อโถ โอโรหเน นิธีติ หตฺถิกฺขนฺธโต โอโรหนฎฺฐานโต นิธิํ นีหราเปสิฯ จตูสุ มหาสาเลสูติ ภูมิยํ กตอุปฎฺฐานฎฺฐาเน สิริสยนสฺส จตฺตาโร มญฺจปาทา สาลมยา, เตสํ เหฎฺฐา จตโสฺส นิธิกุมฺภิโย นีหราเปสิฯ สมนฺตาโยชเน นิธีติ โยชนํ นาม รถยุคปมาณํ, สิริสยนสฺส สมนฺตา รถยุคปฺปมาณโต นิธิํ นีหราเปสิฯ ทนฺตเคฺคสุ มหานิธีติ มงฺคลหตฺถิฎฺฐาเน ตสฺส ทฺวินฺนํ ทนฺตานํ อภิมุขฎฺฐานโต นิธิํ นีหราเปสิฯ วาลเคฺคสูติ มงฺคลหตฺถิฎฺฐาเน ตสฺส วาลธิสมฺมุขฎฺฐานโต นิธิํ นีหราเปสิฯ เกปุเกติ เกปุกํ วุจฺจติ อุทกํ, มงฺคลโปกฺขรณิโต อุทกํ นีหราเปตฺวา นิธิํ ทเสฺสสิฯ รุกฺขเคฺคสุ มหานิธีติ อุยฺยาเน มหาสาลรุกฺขมูเล ฐิตมชฺฌนฺหิกสมเย ปริมณฺฑลาย รุกฺขจฺฉายาย อโนฺต นิธิํ นีหราเปสิฯ เอวํ โสฬส มหานิธโย นีหราเปตฺวา ‘‘อญฺญํ กิญฺจิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นตฺถิ เทวา’’ติ วทิํสุฯ มหาชโน หฎฺฐตุโฎฺฐ อโหสิฯ

    Atha ne rājā āha – ‘‘ajja, bhaṇe, velā natthi, sve nidhī gaṇhissāmī’’ti. So punadivase amacce sannipātetvā pucchi ‘‘tumhākaṃ rājā paccekabuddhe bhojesī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. So cintesi ‘‘sūriyoti nāyaṃ sūriyo, sūriyasadisattā pana paccekabuddhā sūriyā nāma, tesaṃ paccuggamanaṭṭhāne nidhinā bhavitabba’’nti. Tato rājā ‘‘tesu paccekabuddhesu āgacchantesu paccuggamanaṃ karonto kataraṃ ṭhānaṃ gacchatī’’ti pucchitvā ‘‘asukaṭṭhānaṃ nāma devā’’ti vutte ‘‘taṃ ṭhānaṃ khaṇitvā nidhiṃ nīharathā’’ti nidhiṃ nīharāpesi. ‘‘Gamanakāle anugacchanto kattha ṭhatvā uyyojesī’’ti pucchitvā ‘‘asukaṭṭhāne nāmā’’ti vutte ‘‘tatopi nidhiṃ nīharathā’’ti nidhiṃ nīharāpesi. Atha mahājanā ukkuṭṭhisahassāni pavattentā ‘‘sūriyuggamane nidhī’’ti vuttattā sūriyuggamanadisāyaṃ khaṇantā vicariṃsu. Atho ‘‘okkamane nidhī’’ti vuttattā sūriyatthaṅgamanadisāyaṃ khaṇantā vicariṃsu. ‘‘Idaṃ pana dhanaṃ idheva hoti, aho acchariya’’nti pītisomanassaṃ pavattayiṃsu. Antonidhīti rājagehe mahādvārassa antoummārā nidhiṃ nīharāpesi. Bahi nidhīti bahiummārā nidhiṃ nīharāpesi. Na anto na bahi nidhīti heṭṭhāummārato nidhiṃ nīharāpesi . Ārohane nidhīti maṅgalahatthiṃ ārohanakāle suvaṇṇanisseṇiyā attharaṇaṭṭhānato nidhiṃ nīharāpesi. Atho orohane nidhīti hatthikkhandhato orohanaṭṭhānato nidhiṃ nīharāpesi. Catūsu mahāsālesūti bhūmiyaṃ kataupaṭṭhānaṭṭhāne sirisayanassa cattāro mañcapādā sālamayā, tesaṃ heṭṭhā catasso nidhikumbhiyo nīharāpesi. Samantāyojane nidhīti yojanaṃ nāma rathayugapamāṇaṃ, sirisayanassa samantā rathayugappamāṇato nidhiṃ nīharāpesi. Dantaggesu mahānidhīti maṅgalahatthiṭṭhāne tassa dvinnaṃ dantānaṃ abhimukhaṭṭhānato nidhiṃ nīharāpesi. Vālaggesūti maṅgalahatthiṭṭhāne tassa vāladhisammukhaṭṭhānato nidhiṃ nīharāpesi. Kepuketi kepukaṃ vuccati udakaṃ, maṅgalapokkharaṇito udakaṃ nīharāpetvā nidhiṃ dassesi. Rukkhaggesu mahānidhīti uyyāne mahāsālarukkhamūle ṭhitamajjhanhikasamaye parimaṇḍalāya rukkhacchāyāya anto nidhiṃ nīharāpesi. Evaṃ soḷasa mahānidhayo nīharāpetvā ‘‘aññaṃ kiñci atthī’’ti pucchi. ‘‘Natthi devā’’ti vadiṃsu. Mahājano haṭṭhatuṭṭho ahosi.

    อถ ราชา ‘‘อิทํ ธนํ ทานมุเข วิกิริสฺสามี’’ติ นครมเชฺฌ เจว จตูสุ นครทฺวาเรสุ จาติ ปญฺจสุ ฐาเนสุ ปญฺจ ทานสาลาโย การาเปตฺวา มหาทานํ ปฎฺฐเปสิ, กาลจมฺปานครโต อตฺตโน มาตรญฺจ พฺราหฺมณญฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา มหนฺตํ สกฺการํ อกาสิฯ ตสฺส ตรุณรเชฺชเยว สกลํ วิเทหรฎฺฐํ ‘‘อริฎฺฐชนกรโญฺญ กิร ปุโตฺต มหาชนโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรติ, โส กิร ปณฺฑิโต อุปายกุสโล, ปสฺสิสฺสาม น’’นฺติ ทสฺสนตฺถาย สงฺขุภิตํ อโหสิฯ ตโต ตโต พหุํ ปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคมิํสุ, นาคราปิ มหาฉณํ สชฺชยิํสุฯ ราชนิเวสเน อตฺถรณาทีนิ สนฺถริตฺวา คนฺธทามมาลาทามาทีนิ โอสาเรตฺวา วิปฺปกิณฺณลาชากุสุมวาสธูมคนฺธาการํ กาเรตฺวา นานปฺปการํ ปานโภชนํ อุปฎฺฐาเปสุํฯ รโญฺญ ปณฺณาการตฺถาย รชตสุวณฺณภาชนาทีสุ อเนกปฺปการานิ ขาทนียโภชนียมธุผาณิตผลาทีนิ คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ เอกโต อมจฺจมณฺฑลํ นิสีทิ, เอกโต พฺราหฺมณคโณ, เอกโต เสฎฺฐิอาทโย นิสีทิํสุ, เอกโต อุตฺตมรูปธรา นาฎกิตฺถิโย นิสีทิํสุ, พฺราหฺมณาปิ โสตฺถิกาเรน มุขมงฺคลิกานิ กเถนฺติ, นจฺจคีตาทีสุ กุสลา นจฺจคีตาทีนิ ปวตฺตยิํสุ, อเนกสตานิ ตูริยานิ ปวชฺชิํสูฯ ตทา ราชนิเวสนํ ยุคนฺธรวาตเวเคน ปหฎา สาครกุจฺฉิ วิย เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ โอโลกิโตโลกิตฎฺฐานํ กมฺปติฯ

    Atha rājā ‘‘idaṃ dhanaṃ dānamukhe vikirissāmī’’ti nagaramajjhe ceva catūsu nagaradvāresu cāti pañcasu ṭhānesu pañca dānasālāyo kārāpetvā mahādānaṃ paṭṭhapesi, kālacampānagarato attano mātarañca brāhmaṇañca pakkosāpetvā mahantaṃ sakkāraṃ akāsi. Tassa taruṇarajjeyeva sakalaṃ videharaṭṭhaṃ ‘‘ariṭṭhajanakarañño kira putto mahājanako nāma rājā rajjaṃ kāreti, so kira paṇḍito upāyakusalo, passissāma na’’nti dassanatthāya saṅkhubhitaṃ ahosi. Tato tato bahuṃ paṇṇākāraṃ gahetvā āgamiṃsu, nāgarāpi mahāchaṇaṃ sajjayiṃsu. Rājanivesane attharaṇādīni santharitvā gandhadāmamālādāmādīni osāretvā vippakiṇṇalājākusumavāsadhūmagandhākāraṃ kāretvā nānappakāraṃ pānabhojanaṃ upaṭṭhāpesuṃ. Rañño paṇṇākāratthāya rajatasuvaṇṇabhājanādīsu anekappakārāni khādanīyabhojanīyamadhuphāṇitaphalādīni gahetvā tattha tattha parivāretvā aṭṭhaṃsu. Ekato amaccamaṇḍalaṃ nisīdi, ekato brāhmaṇagaṇo, ekato seṭṭhiādayo nisīdiṃsu, ekato uttamarūpadharā nāṭakitthiyo nisīdiṃsu, brāhmaṇāpi sotthikārena mukhamaṅgalikāni kathenti, naccagītādīsu kusalā naccagītādīni pavattayiṃsu, anekasatāni tūriyāni pavajjiṃsū. Tadā rājanivesanaṃ yugandharavātavegena pahaṭā sāgarakucchi viya ekaninnādaṃ ahosi. Olokitolokitaṭṭhānaṃ kampati.

    อถ มหาสโตฺต เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา ราชาสเน นิสิโนฺนว สกฺกสิริสทิสํ มหนฺตํ สิริวิลาสํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน มหาสมุเทฺท กตวายามํ อนุสฺสริฯ ตสฺส ‘‘วีริยํ นาม กตฺตพฺพยุตฺตกํ, สจาหํ มหาสมุเทฺท วีริยํ นากริสฺสํ, น อิมํ สมฺปตฺติํ อลภิสฺส’’นฺติ ตํ วายามํ อนุสฺสรนฺตสฺส ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปีติเวเคน อุทานํ อุทาเนโนฺต อาห –

    Atha mahāsatto setacchattassa heṭṭhā rājāsane nisinnova sakkasirisadisaṃ mahantaṃ sirivilāsaṃ oloketvā attano mahāsamudde katavāyāmaṃ anussari. Tassa ‘‘vīriyaṃ nāma kattabbayuttakaṃ, sacāhaṃ mahāsamudde vīriyaṃ nākarissaṃ, na imaṃ sampattiṃ alabhissa’’nti taṃ vāyāmaṃ anussarantassa pīti uppajji. So pītivegena udānaṃ udānento āha –

    ๑๓๓.

    133.

    ‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.

    ๑๓๔.

    134.

    ‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.

    ๑๓๕.

    135.

    ‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหุฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahu.

    ๑๓๖.

    136.

    ‘‘วายเมเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;

    ‘‘Vāyametheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;

    ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, อุทกา ถลมุพฺภตํฯ

    Passāmi vohaṃ attānaṃ, udakā thalamubbhataṃ.

    ๑๓๗.

    137.

    ‘‘ทุกฺขูปนีโตปิ นโร สปโญฺญ, อาสํ น ฉิเนฺทยฺย สุขาคมาย;

    ‘‘Dukkhūpanītopi naro sapañño, āsaṃ na chindeyya sukhāgamāya;

    พหู หิ ผสฺสา อหิตา หิตา จ, อวิตกฺกิตา มจฺจุมุปพฺพชนฺติฯ

    Bahū hi phassā ahitā hitā ca, avitakkitā maccumupabbajanti.

    ๑๓๘.

    138.

    ‘‘อจินฺติตมฺปิ ภวติ, จินฺติตมฺปิ วินสฺสติ;

    ‘‘Acintitampi bhavati, cintitampi vinassati;

    น หิ จินฺตามยา โภคา, อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา’’ติฯ

    Na hi cintāmayā bhogā, itthiyā purisassa vā’’ti.

    ตตฺถ อาสีเสเถวาติ อาสาเฉทกมฺมํ อกตฺวา อตฺตโน กมฺมํ อาสํ กโรเถวฯ น นิพฺพิเนฺทยฺยาติ วีริยํ กโรโนฺต น นิพฺพิเนฺทยฺย น อลเสยฺยฯ ยถา อิจฺฉินฺติ ยถา ราชภาวํ อิจฺฉิํ, ตเถว ราชา ชาโตมฺหิฯ อุพฺภตนฺติ นีหฎํฯ ทุกฺขูปนีโตติ กายิกเจตสิกทุเกฺขน ผุโฎฺฐปีติ อโตฺถฯ อหิตา หิตา จาติ ทุกฺขผสฺสา อหิตา, สุขผสฺสา หิตาฯ อวิตกฺกิตาติ อวิตกฺกิตาโร อจินฺติตาโรฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เตสุ ผเสฺสสุ อหิตผเสฺสน ผุฎฺฐา สตฺตา ‘‘หิตผโสฺสปิ อตฺถีติ วีริยํ กโรนฺตา ตํ ปาปุณนฺตี’’ติ อจิเนฺตตฺวา วีริยํ น กโรนฺติ, เต อิมสฺส อตฺถสฺส อวิตกฺกิตาโร หิตผสฺสํ อลภิตฺวาว มจฺจุมุปพฺพชนฺติ มรณํ ปาปุณนฺติ, ตสฺมา วีริยํ กตฺตพฺพเมวาติฯ

    Tattha āsīsethevāti āsāchedakammaṃ akatvā attano kammaṃ āsaṃ karotheva. Na nibbindeyyāti vīriyaṃ karonto na nibbindeyya na alaseyya. Yathā icchinti yathā rājabhāvaṃ icchiṃ, tatheva rājā jātomhi. Ubbhatanti nīhaṭaṃ. Dukkhūpanītoti kāyikacetasikadukkhena phuṭṭhopīti attho. Ahitā hitā cāti dukkhaphassā ahitā, sukhaphassā hitā. Avitakkitāti avitakkitāro acintitāro. Idaṃ vuttaṃ hoti – tesu phassesu ahitaphassena phuṭṭhā sattā ‘‘hitaphassopi atthīti vīriyaṃ karontā taṃ pāpuṇantī’’ti acintetvā vīriyaṃ na karonti, te imassa atthassa avitakkitāro hitaphassaṃ alabhitvāva maccumupabbajanti maraṇaṃ pāpuṇanti, tasmā vīriyaṃ kattabbamevāti.

    อจินฺติตมฺปีติ อิเมสํ สตฺตานํ อจินฺติตมฺปิ โหติ, จินฺติตมฺปิ วินสฺสติฯ มยาปิ หิ ‘‘อยุชฺฌิตฺวาว รชฺชํ ลภิสฺสามี’’ติ อิทํ อจินฺติตํ, ‘‘สุวณฺณภูมิโต ธนํ อาหริตฺวา ยุชฺฌิตฺวา ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ปน จินฺติตํ, อิทานิ เม จินฺติตํ นฎฺฐํ, อจินฺติตํ ชาตํฯ น หิ จินฺตามยา โภคาติ อิเมสํ สตฺตานญฺหิ โภคา จินฺตาย อนิปฺผชฺชนโต จินฺตามยา นาม น โหนฺติ, ตสฺมา วีริยเมว กตฺตพฺพํฯ วีริยวโต หิ อจินฺติตมฺปิ โหตีติฯ

    Acintitampīti imesaṃ sattānaṃ acintitampi hoti, cintitampi vinassati. Mayāpi hi ‘‘ayujjhitvāva rajjaṃ labhissāmī’’ti idaṃ acintitaṃ, ‘‘suvaṇṇabhūmito dhanaṃ āharitvā yujjhitvā pitu santakaṃ rajjaṃ gaṇhissāmī’’ti pana cintitaṃ, idāni me cintitaṃ naṭṭhaṃ, acintitaṃ jātaṃ. Na hi cintāmayā bhogāti imesaṃ sattānañhi bhogā cintāya anipphajjanato cintāmayā nāma na honti, tasmā vīriyameva kattabbaṃ. Vīriyavato hi acintitampi hotīti.

    โส ตโต ปฎฺฐาย ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรสิ, ปเจฺจกพุเทฺธ จ อุปฎฺฐาสิฯ อปรภาเค สีวลิเทวี ธญฺญปุญฺญลกฺขณสมฺปนฺนํ ปุตฺตํ วิชายิ, ‘‘ทีฆาวุกุมาโร’’ติสฺส นามํ กริํสุฯ ตสฺส วยปฺปตฺตสฺส ราชา อุปรชฺชํ ทตฺวา สตฺตวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานปาเลน ผลาผเลสุ เจว นานาปุเปฺผสุ จ อาภเตสุ ตานิ ทิสฺวา ตุโฎฺฐ หุตฺวา ตสฺส สมฺมานํ กาเรตฺวา ‘‘สมฺม อุยฺยานปาล, อหํ อุยฺยานํ ปสฺสิสฺสามิ, ตฺวํ อลงฺกโรหิ น’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา กตฺวา รโญฺญ ปฎิเวเทสิฯ โส หตฺถิกฺขนฺธวรคโต มหเนฺตน ปริวาเรน นครา นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานทฺวารํ ปาปุณิฯ ตตฺร จ เทฺว อมฺพา อตฺถิ นีโลภาสาฯ เอโก อผโล, เอโก ผลธโรฯ โส ปน อติมธุโร, รญฺญา อคฺคผลสฺส อปริภุตฺตตฺตา ตโต โกจิ ผลํ คเหตุํ น อุสฺสหติฯ ราชา หตฺถิกฺขนฺธวรคโตว ตโต เอกํ ผลํ คเหตฺวา ปริภุญฺชิ, ตสฺส ตํ ชิวฺหเคฺค ฐปิตมตฺตเมว ทิโพฺพชํ วิย อุปฎฺฐาสิฯ โส ‘‘นิวตฺตนกาเล พหู ขาทิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ‘‘รญฺญา อคฺคผลํ ปริภุตฺต’’นฺติ ญตฺวา อุปราชานํ อาทิํ กตฺวา อนฺตมโส หตฺถิเมณฺฑอสฺสเมณฺฑาทโยปิ ผลํ คเหตฺวา ปริภุญฺชิํสุฯ อเญฺญ ผลํ อลภนฺตา ทเณฺฑหิ สาขํ ภินฺทิตฺวา นิปณฺณมกํสุฯ รุโกฺข โอภคฺควิภโคฺค อฎฺฐาสิ, อิตโร ปน มณิปพฺพโต วิย วิลาสมาโน ฐิโตฯ

    So tato paṭṭhāya dasa rājadhamme akopetvā dhammena samena rajjaṃ kāresi, paccekabuddhe ca upaṭṭhāsi. Aparabhāge sīvalidevī dhaññapuññalakkhaṇasampannaṃ puttaṃ vijāyi, ‘‘dīghāvukumāro’’tissa nāmaṃ kariṃsu. Tassa vayappattassa rājā uparajjaṃ datvā sattavassasahassāni rajjaṃ kāresi. So ekadivasaṃ uyyānapālena phalāphalesu ceva nānāpupphesu ca ābhatesu tāni disvā tuṭṭho hutvā tassa sammānaṃ kāretvā ‘‘samma uyyānapāla, ahaṃ uyyānaṃ passissāmi, tvaṃ alaṅkarohi na’’nti āha. So ‘‘sādhu, devā’’ti sampaṭicchitvā tathā katvā rañño paṭivedesi. So hatthikkhandhavaragato mahantena parivārena nagarā nikkhamitvā uyyānadvāraṃ pāpuṇi. Tatra ca dve ambā atthi nīlobhāsā. Eko aphalo, eko phaladharo. So pana atimadhuro, raññā aggaphalassa aparibhuttattā tato koci phalaṃ gahetuṃ na ussahati. Rājā hatthikkhandhavaragatova tato ekaṃ phalaṃ gahetvā paribhuñji, tassa taṃ jivhagge ṭhapitamattameva dibbojaṃ viya upaṭṭhāsi. So ‘‘nivattanakāle bahū khādissāmī’’ti cintesi. ‘‘Raññā aggaphalaṃ paribhutta’’nti ñatvā uparājānaṃ ādiṃ katvā antamaso hatthimeṇḍaassameṇḍādayopi phalaṃ gahetvā paribhuñjiṃsu. Aññe phalaṃ alabhantā daṇḍehi sākhaṃ bhinditvā nipaṇṇamakaṃsu. Rukkho obhaggavibhaggo aṭṭhāsi, itaro pana maṇipabbato viya vilāsamāno ṭhito.

    ราชา อุยฺยานา นิกฺขโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ กิ’’นฺติ อมเจฺจ ปุจฺฉติฯ ‘‘เทเวน อคฺคผลํ ปริภุตฺตนฺติ มหาชเนน วิลุมฺปิโต เทวา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘กิํ นุ โข ภเณ, อิมสฺส ปน เนว ปตฺตํ, น วโณฺณ ขีโณ’’ติ? ‘‘นิปฺผลตาย น ขีโณ, เทวา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา สํเวคํ ปฎิลภิตฺวา ‘‘อยํ รุโกฺข นิปฺผลตาย นีโลภาโส ฐิโต, อยํ ปน สผลตาย โอภคฺควิภโคฺค ฐิโตฯ อิทมฺปิ รชฺชํ สผลรุกฺขสทิสํ, ปพฺพชฺชา ปน นิปฺผลรุกฺขสทิสาฯ สกิญฺจนเสฺสว ภยํ, นากิญฺจนสฺสฯ ตสฺมา อหํ ผลรุโกฺข วิย อหุตฺวา นิปฺผลรุกฺขสทิโส ภวิสฺสามิ, อิมํ สมฺปตฺติํ จชิตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติ ทฬฺหํ สมาทานํ กตฺวา มนํ อธิฎฺฐหิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาททฺวาเร ฐิโตว เสนาปติํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มหาเสนาปติ, อชฺช เม ปฎฺฐาย ภตฺตหารกเญฺจว มุโขทกทนฺตกฎฺฐทายกญฺจ เอกํ อุปฎฺฐากํ ฐเปตฺวา อเญฺญ มํ ทฎฺฐุํ มา ลภนฺตุ, โปราณกวินิจฺฉยามเจฺจ คเหตฺวา รชฺชํ อนุสาสถ, อหํ อิโต ปฎฺฐาย อุปริปาสาทตเล สมณธมฺมํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ปาสาทมารุยฺห เอกโกว สมณธมฺมํ อกาสิฯ เอวํ คเต กาเล มหาชโน ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา มหาสตฺตํ อทิสฺวา ‘‘น โน ราชา โปราณโก วิย โหตี’’ติ วตฺวา คาถาทฺวยมาห –

    Rājā uyyānā nikkhanto taṃ disvā ‘‘idaṃ ki’’nti amacce pucchati. ‘‘Devena aggaphalaṃ paribhuttanti mahājanena vilumpito devā’’ti āhaṃsu. ‘‘Kiṃ nu kho bhaṇe, imassa pana neva pattaṃ, na vaṇṇo khīṇo’’ti? ‘‘Nipphalatāya na khīṇo, devā’’ti. Taṃ sutvā rājā saṃvegaṃ paṭilabhitvā ‘‘ayaṃ rukkho nipphalatāya nīlobhāso ṭhito, ayaṃ pana saphalatāya obhaggavibhaggo ṭhito. Idampi rajjaṃ saphalarukkhasadisaṃ, pabbajjā pana nipphalarukkhasadisā. Sakiñcanasseva bhayaṃ, nākiñcanassa. Tasmā ahaṃ phalarukkho viya ahutvā nipphalarukkhasadiso bhavissāmi, imaṃ sampattiṃ cajitvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti daḷhaṃ samādānaṃ katvā manaṃ adhiṭṭhahitvā nagaraṃ pavisitvā pāsādadvāre ṭhitova senāpatiṃ pakkosāpetvā ‘‘mahāsenāpati, ajja me paṭṭhāya bhattahārakañceva mukhodakadantakaṭṭhadāyakañca ekaṃ upaṭṭhākaṃ ṭhapetvā aññe maṃ daṭṭhuṃ mā labhantu, porāṇakavinicchayāmacce gahetvā rajjaṃ anusāsatha, ahaṃ ito paṭṭhāya uparipāsādatale samaṇadhammaṃ karissāmī’’ti vatvā pāsādamāruyha ekakova samaṇadhammaṃ akāsi. Evaṃ gate kāle mahājano rājaṅgaṇe sannipatitvā mahāsattaṃ adisvā ‘‘na no rājā porāṇako viya hotī’’ti vatvā gāthādvayamāha –

    ๑๓๙.

    139.

    ‘‘อโปราณํ วต โภ ราชา, สพฺพภุโมฺม ทิสมฺปติ;

    ‘‘Aporāṇaṃ vata bho rājā, sabbabhummo disampati;

    นชฺช นเจฺจ นิสาเมติ, น คีเต กุรุเต มโนฯ

    Najja nacce nisāmeti, na gīte kurute mano.

    ๑๔๐.

    140.

    ‘‘น มิเค นปิ อุยฺยาเน, นปิ หํเส อุทิกฺขติ;

    ‘‘Na mige napi uyyāne, napi haṃse udikkhati;

    มูโคว ตุณฺหิมาสีโน, น อตฺถมนุสาสตี’’ติฯ

    Mūgova tuṇhimāsīno, na atthamanusāsatī’’ti.

    ตตฺถ มิเคติ สพฺพสงฺคาหิกวจนํ, ปุเพฺพ หตฺถี ยุชฺฌาเปติ, เมเณฺฑ ยุชฺฌาเปติ, อชฺช เตปิ น โอโลเกตีติ อโตฺถฯ อุยฺยาเนติ อุยฺยานกีฬมฺปิ นานุโภติฯ หํเสติ ปญฺจปทุมสญฺฉนฺนาสุ อุยฺยานโปกฺขรณีสุ หํสคณํ น โอโลเกติฯ มูโควาติ ภตฺตหารกญฺจ อุปฎฺฐากญฺจ ปุจฺฉิํสุ ‘‘โภ ราชา, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กิญฺจิ อตฺถํ มเนฺตตี’’ติฯ เต ‘‘น มเนฺตตี’’ติ วทิํสุฯ ตสฺมา เอวมาหํสุฯ

    Tattha migeti sabbasaṅgāhikavacanaṃ, pubbe hatthī yujjhāpeti, meṇḍe yujjhāpeti, ajja tepi na oloketīti attho. Uyyāneti uyyānakīḷampi nānubhoti. Haṃseti pañcapadumasañchannāsu uyyānapokkharaṇīsu haṃsagaṇaṃ na oloketi. Mūgovāti bhattahārakañca upaṭṭhākañca pucchiṃsu ‘‘bho rājā, tumhehi saddhiṃ kiñci atthaṃ mantetī’’ti. Te ‘‘na mantetī’’ti vadiṃsu. Tasmā evamāhaṃsu.

    ราชา กาเมสุ อนลฺลียเนฺตน วิเวกนิเนฺนน จิเตฺตน อตฺตโน กุลูปกปเจฺจกพุเทฺธ อนุสฺสริตฺวา ‘‘โก นุ โข เม เตสํ สีลาทิคุณยุตฺตานํ อกิญฺจนานํ วสนฎฺฐานํ อาจิกฺขิสฺสตี’’ติ ตีหิ คาถาหิ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Rājā kāmesu anallīyantena vivekaninnena cittena attano kulūpakapaccekabuddhe anussaritvā ‘‘ko nu kho me tesaṃ sīlādiguṇayuttānaṃ akiñcanānaṃ vasanaṭṭhānaṃ ācikkhissatī’’ti tīhi gāthāhi udānaṃ udānesi –

    ๑๔๑.

    141.

    ‘‘สุขกามา รโหสีลา, วธพนฺธา อุปารตา;

    ‘‘Sukhakāmā rahosīlā, vadhabandhā upāratā;

    กสฺส นุ อชฺช อาราเม, ทหรา วุทฺธา จ อจฺฉเรฯ

    Kassa nu ajja ārāme, daharā vuddhā ca acchare.

    ๑๔๒.

    142.

    ‘‘อติกฺกนฺตวนถา ธีรา, นโม เตสํ มเหสินํ;

    ‘‘Atikkantavanathā dhīrā, namo tesaṃ mahesinaṃ;

    เย อุสฺสุกมฺหิ โลกมฺหิ, วิหรนฺติ มนุสฺสุกาฯ

    Ye ussukamhi lokamhi, viharanti manussukā.

    ๑๔๓.

    143.

    ‘‘เต เฉตฺวา มจฺจุโน ชาลํ, ตตํ มายาวิโน ทฬฺหํ;

    ‘‘Te chetvā maccuno jālaṃ, tataṃ māyāvino daḷhaṃ;

    ฉินฺนาลยตฺตา คจฺฉนฺติ, โก เตสํ คติมาปเย’’ติฯ

    Chinnālayattā gacchanti, ko tesaṃ gatimāpaye’’ti.

    ตตฺถ สุขกามาติ นิพฺพานสุขกามาฯ รโหสีลาติ ปฎิจฺฉนฺนสีลา น อตฺตโน คุณปฺปกาสนาฯ ทหรา วุฑฺฒา จาติ ทหรา เจว มหลฺลกา จฯ อจฺฉเรติ วสนฺติฯ

    Tattha sukhakāmāti nibbānasukhakāmā. Rahosīlāti paṭicchannasīlā na attano guṇappakāsanā. Daharā vuḍḍhā cāti daharā ceva mahallakā ca. Acchareti vasanti.

    ตเสฺสวํ เตสํ คุเณ อนุสฺสรนฺตสฺส มหตี ปีติ อุปฺปชฺชิฯ อถ มหาสโตฺต ปลฺลงฺกโต อุฎฺฐาย อุตฺตรสีหปญฺชรํ วิวริตฺวา อุตฺตรทิสาภิมุโข สิรสิ อญฺชลิํ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘เอวรูเปหิ คุเณหิ สมนฺนาคตา ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ นมสฺสมาโน ‘‘อติกฺกนฺตวนถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อติกฺกนฺตวนถาติ ปหีนตณฺหาฯ มเหสินนฺติ มหเนฺต สีลกฺขนฺธาทโย คุเณ เอสิตฺวา ฐิตานํฯ อุสฺสุกมฺหีติ ราคาทีหิ อุสฺสุกฺกํ อาปเนฺน โลกสฺมิํฯ มจฺจุโน ชาลนฺติ กิเลสมาเรน ปสาริตํ ตณฺหาชาลํฯ ตตํ มายาวิโนติ อติมายาวิโนฯ โก เตสํ คติมาปเยติ โก มํ เตสํ ปเจฺจกพุทฺธานํ นิวาสฎฺฐานํ ปาเปยฺย, คเหตฺวา คเจฺฉยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tassevaṃ tesaṃ guṇe anussarantassa mahatī pīti uppajji. Atha mahāsatto pallaṅkato uṭṭhāya uttarasīhapañjaraṃ vivaritvā uttaradisābhimukho sirasi añjaliṃ patiṭṭhāpetvā ‘‘evarūpehi guṇehi samannāgatā paccekabuddhā’’ti namassamāno ‘‘atikkantavanathā’’tiādimāha. Tattha atikkantavanathāti pahīnataṇhā. Mahesinanti mahante sīlakkhandhādayo guṇe esitvā ṭhitānaṃ. Ussukamhīti rāgādīhi ussukkaṃ āpanne lokasmiṃ. Maccuno jālanti kilesamārena pasāritaṃ taṇhājālaṃ. Tataṃ māyāvinoti atimāyāvino. Ko tesaṃ gatimāpayeti ko maṃ tesaṃ paccekabuddhānaṃ nivāsaṭṭhānaṃ pāpeyya, gahetvā gaccheyyāti attho.

    ตสฺส ปาสาเทเยว สมณธมฺมํ กโรนฺตสฺส จตฺตาโร มาสา อตีตาฯ อถสฺส อติวิย ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิ, อคารํ โลกนฺตริกนิรโย วิย ขายิ, ตโย ภวา อาทิตฺตา วิย อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ปพฺพชฺชาภิมุเขน จิเตฺตน ‘‘กทา นุ โข อิมํ สกฺกภวนํ วิย อลงฺกตปฺปฎิยตฺตํ มิถิลํ ปหาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตเวสคหณกาโล มยฺหํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา มิถิลวณฺณนํ นาม อารภิ –

    Tassa pāsādeyeva samaṇadhammaṃ karontassa cattāro māsā atītā. Athassa ativiya pabbajjāya cittaṃ nami, agāraṃ lokantarikanirayo viya khāyi, tayo bhavā ādittā viya upaṭṭhahiṃsu. So pabbajjābhimukhena cittena ‘‘kadā nu kho imaṃ sakkabhavanaṃ viya alaṅkatappaṭiyattaṃ mithilaṃ pahāya himavantaṃ pavisitvā pabbajitavesagahaṇakālo mayhaṃ bhavissatī’’ti cintetvā mithilavaṇṇanaṃ nāma ārabhi –

    ๑๔๔.

    144.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, วิภตฺตํ ภาคโส มิตํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, vibhattaṃ bhāgaso mitaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๔๕.

    145.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, วิสาลํ สพฺพโตปภํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, visālaṃ sabbatopabhaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๔๖.

    146.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, พหุปาการโตรณํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, bahupākāratoraṇaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๔๗.

    147.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, ทฬฺหมฎฺฎาลโกฎฺฐกํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, daḷhamaṭṭālakoṭṭhakaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๔๘.

    148.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, สุวิภตฺตํ มหาปถํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, suvibhattaṃ mahāpathaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๔๙.

    149.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, สุวิภตฺตนฺตราปณํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, suvibhattantarāpaṇaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๐.

    150.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, ควาสฺสรถปีฬิตํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, gavāssarathapīḷitaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๑.

    151.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, อารามวนมาลินิํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, ārāmavanamāliniṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๒.

    152.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, อุยฺยานวนมาลินิํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, uyyānavanamāliniṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๓.

    153.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, ปาสาทวนมาลินิํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, pāsādavanamāliniṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๔.

    154.

    ‘‘กทาหํ มิถิลํ ผีตํ, ติปุรํ ราชพนฺธุนิํ;

    ‘‘Kadāhaṃ mithilaṃ phītaṃ, tipuraṃ rājabandhuniṃ;

    มาปิตํ โสมนเสฺสน, เวเทเหน ยสสฺสินา;

    Māpitaṃ somanassena, vedehena yasassinā;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘กทาหํ เวเทเห ผีเต, นิจิเต ธมฺมรกฺขิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ vedehe phīte, nicite dhammarakkhite;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘กทาหํ เวเทเห ผีเต, อเชเยฺย ธมฺมรกฺขิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ vedehe phīte, ajeyye dhammarakkhite;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘กทาหํ อเนฺตปุรํ รมฺมํ, วิภตฺตํ ภาคโส มิตํ;

    ‘‘Kadāhaṃ antepuraṃ rammaṃ, vibhattaṃ bhāgaso mitaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘กทาหํ อเนฺตปุรํ รมฺมํ, สุธามตฺติกเลปนํ;

    ‘‘Kadāhaṃ antepuraṃ rammaṃ, sudhāmattikalepanaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘กทาหํ อเนฺตปุรํ รมฺมํ, สุจิคนฺธํ มโนรมํ;

    ‘‘Kadāhaṃ antepuraṃ rammaṃ, sucigandhaṃ manoramaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๐.

    160.

    ‘‘กทาหํ กูฎาคาเร จ, วิภเตฺต ภาคโส มิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ kūṭāgāre ca, vibhatte bhāgaso mite;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๑.

    161.

    ‘‘กทาหํ กูฎาคาเร จ, สุธามตฺติกเลปเน;

    ‘‘Kadāhaṃ kūṭāgāre ca, sudhāmattikalepane;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๒.

    162.

    ‘‘กทาหํ กูฎาคาเร จ, สุจิคเนฺธ มโนรเม;

    ‘‘Kadāhaṃ kūṭāgāre ca, sucigandhe manorame;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๓.

    163.

    ‘‘กทาหํ กูฎาคาเร จ, ลิเตฺต จนฺทนโผสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ kūṭāgāre ca, litte candanaphosite;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๔.

    164.

    ‘‘กทาหํ โสณฺณปลฺลเงฺก, โคนเก จิตฺตสนฺถเต;

    ‘‘Kadāhaṃ soṇṇapallaṅke, gonake cittasanthate;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๕.

    165.

    ‘‘กทาหํ มณิปลฺลเงฺก, โคนเก จิตฺตสนฺถเต;

    ‘‘Kadāhaṃ maṇipallaṅke, gonake cittasanthate;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๖.

    166.

    ‘‘กทาหํ กปฺปาสโกเสยฺยํ, โขมโกฎุมฺพรานิ จ;

    ‘‘Kadāhaṃ kappāsakoseyyaṃ, khomakoṭumbarāni ca;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๗.

    167.

    ‘‘กทาหํ โปกฺขรณี รมฺมา, จกฺกวากปกูชิตา;

    ‘‘Kadāhaṃ pokkharaṇī rammā, cakkavākapakūjitā;

    มนฺทาลเกหิ สญฺฉนฺนา, ปทุมุปฺปลเกหิ จ;

    Mandālakehi sañchannā, padumuppalakehi ca;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๖๘.

    168.

    ‘‘กทาหํ หตฺถิคุเมฺพ จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ hatthigumbe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    สุวณฺณกเจฺฉ มาตเงฺค, เหมกปฺปนวาสเสฯ

    Suvaṇṇakacche mātaṅge, hemakappanavāsase.

    ๑๖๙.

    169.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, โตมรงฺกุสปาณิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, tomaraṅkusapāṇibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๗๐.

    170.

    ‘‘กทาหํ อสฺสคุเมฺพ จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ assagumbe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    อาชานีเยว ชาติยา, สินฺธเว สีฆวาหเนฯ

    Ājānīyeva jātiyā, sindhave sīghavāhane.

    ๑๗๑.

    171.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, อิลฺลิยาจาปธาริภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, illiyācāpadhāribhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๗๒.

    172.

    ‘‘กทาหํ รถเสนิโย, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ rathaseniyo, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๗๓.

    173.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๗๔.

    174.

    ‘‘กทาหํ โสวณฺณรเถ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ sovaṇṇarathe, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๗๕.

    175.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๗๖.

    176.

    ‘‘กทาหํ สชฺฌุรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ sajjhurathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๗๗.

    177.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๗๘.

    178.

    ‘‘กทาหํ อสฺสรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ assarathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๗๙.

    179.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๘๐.

    180.

    ‘‘กทาหํ โอฎฺฐรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ oṭṭharathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๘๑.

    181.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๘๒.

    182.

    ‘‘กทาหํ โคณรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ goṇarathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๘๓.

    183.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๘๔.

    184.

    ‘‘กทาหํ อชรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ ajarathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๘๕.

    185.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๘๖.

    186.

    ‘‘กทาหํ เมณฺฑรเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ meṇḍarathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๘๗.

    187.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๘๘.

    188.

    ‘‘กทาหํ มิครเถ จ, สนฺนเทฺธ อุสฺสิตทฺธเช;

    ‘‘Kadāhaṃ migarathe ca, sannaddhe ussitaddhaje;

    ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆ, สพฺพาลงฺการภูสิเตฯ

    Dīpe athopi veyyagghe, sabbālaṅkārabhūsite.

    ๑๘๙.

    189.

    ‘‘อารูเฬฺห คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhe gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๐.

    190.

    ‘‘กทาหํ หตฺถาโรเห จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ hatthārohe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    นีลวมฺมธเร สูเร, โตมรงฺกุสปาณิเน;

    Nīlavammadhare sūre, tomaraṅkusapāṇine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๑.

    191.

    ‘‘กทาหํ อสฺสาโรเห จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ assārohe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    นีลวมฺมธเร สูเร, อิลฺลิยาจาปธาริเน;

    Nīlavammadhare sūre, illiyācāpadhārine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๒.

    192.

    ‘‘กทาหํ รถาโรเห จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ rathārohe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    นีลวมฺมธเร สูเร, จาปหเตฺถ กลาปิเน;

    Nīlavammadhare sūre, cāpahatthe kalāpine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๓.

    193.

    ‘‘กทาหํ ธนุคฺคเห จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ dhanuggahe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    นีลวมฺมธเร สูเร, จาปหเตฺถ กลาปิเน;

    Nīlavammadhare sūre, cāpahatthe kalāpine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๔.

    194.

    ‘‘กทาหํ ราชปุเตฺต จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ rājaputte ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    จิตฺรวมฺมธเร สูเร, กญฺจนาเวฬธาริเน;

    Citravammadhare sūre, kañcanāveḷadhārine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๕.

    195.

    ‘‘กทาหํ อริยคเณ จ, วตวเนฺต อลงฺกเต;

    ‘‘Kadāhaṃ ariyagaṇe ca, vatavante alaṅkate;

    หริจนฺทนลิตฺตเงฺค, กาสิกุตฺตมธาริเน;

    Haricandanalittaṅge, kāsikuttamadhārine;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๖.

    196.

    ‘‘กทาหํ อมจฺจคเณ จ, สพฺพาลงฺการภูสิเต;

    ‘‘Kadāhaṃ amaccagaṇe ca, sabbālaṅkārabhūsite;

    ปีตวมฺมธเร สูเร, ปุรโต คจฺฉมาลิเน;

    Pītavammadhare sūre, purato gacchamāline;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๗.

    197.

    ‘‘กทาหํ สตฺตสตา ภริยา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāhaṃ sattasatā bhariyā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๘.

    198.

    ‘‘กทาหํ สตฺตสตา ภริยา, สุสญฺญา ตนุมชฺฌิมา;

    ‘‘Kadāhaṃ sattasatā bhariyā, susaññā tanumajjhimā;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๑๙๙.

    199.

    ‘‘กทาหํ สตฺตสตา ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;

    ‘‘Kadāhaṃ sattasatā bhariyā, assavā piyabhāṇinī;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๐.

    200.

    ‘‘กทาหํ สตปลํ กํสํ, โสวณฺณํ สตราชิกํ;

    ‘‘Kadāhaṃ satapalaṃ kaṃsaṃ, sovaṇṇaṃ satarājikaṃ;

    ปหาย ปพฺพชิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Pahāya pabbajissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๑.

    201.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ หตฺถิคุมฺพา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ hatthigumbā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    สุวณฺณกจฺฉา มาตงฺคา, เหมกปฺปนวาสสาฯ

    Suvaṇṇakacchā mātaṅgā, hemakappanavāsasā.

    ๒๐๒.

    202.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, โตมรงฺกุสปาณิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, tomaraṅkusapāṇibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๓.

    203.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อสฺสคุมฺพา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ assagumbā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    อาชานียาว ชาติยา, สินฺธวา สีฆวาหนาฯ

    Ājānīyāva jātiyā, sindhavā sīghavāhanā.

    ๒๐๔.

    204.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, อิลฺลิยาจาปธาริภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, illiyācāpadhāribhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๕.

    205.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ รถเสนี, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ rathasenī, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๐๖.

    206.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๗.

    207.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ โสณฺณรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ soṇṇarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๐๘.

    208.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๐๙.

    209.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ สชฺฌุรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ sajjhurathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๑๐.

    210.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๑๑.

    211.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อสฺสรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ assarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๑๒.

    212.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๑๓.

    213.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ โอฎฺฐรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ oṭṭharathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๑๔.

    214.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๑๕.

    215.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ โคณรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ goṇarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๑๖.

    216.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๑๗.

    217.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อชรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ ajarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๑๘.

    218.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๑๙.

    219.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ เมณฺฑรถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ meṇḍarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๒๐.

    220.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๑.

    221.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ มิครถา, สนฺนทฺธา อุสฺสิตทฺธชา;

    ‘‘Kadāssu maṃ migarathā, sannaddhā ussitaddhajā;

    ทีปา อโถปิ เวยฺยคฺฆา, สพฺพาลงฺการภูสิตาฯ

    Dīpā athopi veyyagghā, sabbālaṅkārabhūsitā.

    ๒๒๒.

    222.

    ‘‘อารูฬฺหา คามณีเยหิ, จาปหเตฺถหิ วมฺมิภิ;

    ‘‘Ārūḷhā gāmaṇīyehi, cāpahatthehi vammibhi;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๓.

    223.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ หตฺถาโรหา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ hatthārohā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    นีลวมฺมธรา สูรา, โตมรงฺกุสปาณิโน;

    Nīlavammadharā sūrā, tomaraṅkusapāṇino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๔.

    224.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อสฺสาโรหา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ assārohā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    นีลวมฺมธรา สูรา, อิลฺลิยาจาปธาริโน;

    Nīlavammadharā sūrā, illiyācāpadhārino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๕.

    225.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ รถาโรหา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ rathārohā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    นีลวมฺมธรา สูรา, จาปหตฺถา กลาปิโน;

    Nīlavammadharā sūrā, cāpahatthā kalāpino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๖.

    226.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ ธนุคฺคหา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ dhanuggahā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    นีลวมฺมธรา สูรา, จาปหตฺถา กลาปิโน;

    Nīlavammadharā sūrā, cāpahatthā kalāpino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๗.

    227.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ ราชปุตฺตา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ rājaputtā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    จิตฺรวมฺมธรา สูรา, กญฺจนาเวฬธาริโน;

    Citravammadharā sūrā, kañcanāveḷadhārino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๘.

    228.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อริยคณา, วตวนฺตา อลงฺกตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ ariyagaṇā, vatavantā alaṅkatā;

    หริจนฺทนลิตฺตงฺคา, กาสิกุตฺตมธาริโน;

    Haricandanalittaṅgā, kāsikuttamadhārino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๒๙.

    229.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ อมจฺจคณา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ amaccagaṇā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    ปีตวมฺมธรา สูรา, ปุรโต คจฺฉมาลิโน;

    Pītavammadharā sūrā, purato gacchamālino;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๐.

    230.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ สตฺตสตา ภริยา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Kadāssu maṃ sattasatā bhariyā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๑.

    231.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ สตฺตสตา ภริยา, สุสญฺญา ตนุมชฺฌิมา;

    ‘‘Kadāssu maṃ sattasatā bhariyā, susaññā tanumajjhimā;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๒.

    232.

    ‘‘กทาสฺสุ มํ สตฺตสตา ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;

    ‘‘Kadāssu maṃ sattasatā bhariyā, assavā piyabhāṇinī;

    ยนฺตํ มํ นานุยิสฺสนฺติ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Yantaṃ maṃ nānuyissanti, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๓.

    233.

    ‘‘กทาหํ ปตฺตํ คเหตฺวาน, มุโณฺฑ สงฺฆาฎิปารุโต;

    ‘‘Kadāhaṃ pattaṃ gahetvāna, muṇḍo saṅghāṭipāruto;

    ปิณฺฑิกาย จริสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Piṇḍikāya carissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๔.

    234.

    ‘‘กทาหํ ปํสุกูลานํ, อุชฺฌิตานํ มหาปเถ;

    ‘‘Kadāhaṃ paṃsukūlānaṃ, ujjhitānaṃ mahāpathe;

    สงฺฆาฎิํ ธารยิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Saṅghāṭiṃ dhārayissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๕.

    235.

    ‘‘กทาหํ สตฺตาหสเมฺมเฆ, โอวโฎฺฐ อลฺลจีวโร;

    ‘‘Kadāhaṃ sattāhasammeghe, ovaṭṭho allacīvaro;

    ปิณฺฑิกาย จริสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Piṇḍikāya carissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๖.

    236.

    ‘‘กทาหํ สพฺพตฺถ คนฺตฺวา, รุกฺขา รุกฺขํ วนา วนํ;

    ‘‘Kadāhaṃ sabbattha gantvā, rukkhā rukkhaṃ vanā vanaṃ;

    อนเปโกฺข คมิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Anapekkho gamissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๗.

    237.

    ‘‘กทาหํ คิริทุเคฺคสุ, ปหีนภยเภรโว;

    ‘‘Kadāhaṃ giriduggesu, pahīnabhayabheravo;

    อทุติโย คมิสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Adutiyo gamissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๘.

    238.

    ‘‘กทาหํ วีณํว รุชฺชโก, สตฺตตนฺติํ มโนรมํ;

    ‘‘Kadāhaṃ vīṇaṃva rujjako, sattatantiṃ manoramaṃ;

    จิตฺตํ อุชุํ กริสฺสามิ, ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสติฯ

    Cittaṃ ujuṃ karissāmi, taṃ kudāssu bhavissati.

    ๒๓๙.

    239.

    ‘‘กทาหํ รถกาโรว, ปริกนฺตํ อุปาหนํ;

    ‘‘Kadāhaṃ rathakārova, parikantaṃ upāhanaṃ;

    กามสโญฺญชเน เฉจฺฉํ, เย ทิเพฺพ เย จ มานุเส’’ติฯ

    Kāmasaññojane checchaṃ, ye dibbe ye ca mānuse’’ti.

    ตตฺถ กทาติ กาลปริวิตโกฺกฯ ผีตนฺติ วตฺถาลงฺการาทีหิ สุปุปฺผิตํฯ วิภตฺตํ ภาคโส มิตนฺติ เฉเกหิ นครมาปเกหิ ราชนิเวสนาทีนํ วเสน วิภตฺตํ ทฺวารวีถีนํ วเสน โกฎฺฐาสโต มิตํฯ ตํ กุทาสฺสุ ภวิสฺสตีติ ตํ เอวรูปํ นครํ ปหาย ปพฺพชนํ กุทา นาม เม ภวิสฺสติ ฯ สพฺพโตปภนฺติ สมนฺตโต อลงฺกาโรภาเสน ยุตฺตํฯ พหุปาการโตรณนฺติ พหเลน ปุถุเลน ปากาเรน เจว ทฺวารโตรเณหิ จ สมนฺนาคตํฯ ทฬฺหมฎฺฎาลโกฎฺฐกนฺติ ทเฬฺหหิ อฎฺฎาลเกหิ ทฺวารโกฎฺฐเกหิ จ สมนฺนาคตํฯ ปีฬิตนฺติ สมากิณฺณํฯ ติปุรนฺติ ตีหิ ปุเรหิ สมนฺนาคตํ, ติปาการนฺติ อโตฺถฯ อถ วา ติปุรนฺติ ติกฺขตฺตุํ ปุณฺณํฯ ราชพนฺธุนีนฺติ ราชญฺญตเกเหว ปุณฺณํฯ โสมนเสฺสนาติ เอวํนามเกน วิเทหราเชนฯ

    Tattha kadāti kālaparivitakko. Phītanti vatthālaṅkārādīhi supupphitaṃ. Vibhattaṃ bhāgaso mitanti chekehi nagaramāpakehi rājanivesanādīnaṃ vasena vibhattaṃ dvāravīthīnaṃ vasena koṭṭhāsato mitaṃ. Taṃ kudāssu bhavissatīti taṃ evarūpaṃ nagaraṃ pahāya pabbajanaṃ kudā nāma me bhavissati . Sabbatopabhanti samantato alaṅkārobhāsena yuttaṃ. Bahupākāratoraṇanti bahalena puthulena pākārena ceva dvāratoraṇehi ca samannāgataṃ. Daḷhamaṭṭālakoṭṭhakanti daḷhehi aṭṭālakehi dvārakoṭṭhakehi ca samannāgataṃ. Pīḷitanti samākiṇṇaṃ. Tipuranti tīhi purehi samannāgataṃ, tipākāranti attho. Atha vā tipuranti tikkhattuṃ puṇṇaṃ. Rājabandhunīnti rājaññatakeheva puṇṇaṃ. Somanassenāti evaṃnāmakena videharājena.

    นิจิเตติ ธนธญฺญนิจยาทินา สมฺปเนฺนฯ อเชเยฺยติ ปจฺจามิเตฺตหิ อเชตเพฺพฯ จนฺทนโผสิเตติ โลหิตจนฺทเนน ปริโปฺผสิเตฯ โกฎุมฺพรานีติ โกฎุมฺพรรเฎฺฐ อุฎฺฐิตวตฺถานิฯ หตฺถิคุเมฺพติ หตฺถิฆฎาโยฯ เหมกปฺปนวาสเสติ เหมมเยน สีสาลงฺการสงฺขาเตน กปฺปเนน จ เหมชาเลน จ สมนฺนาคเตฯ คามณีเยหีติ หตฺถาจริเยหิฯ อาชานีเยว ชาติยาติ ชาติยา การณาการณชานนตาย อาชานีเยว, ตาทิสานํ อสฺสานํ คุเมฺพฯ คามณีเยหีติ อสฺสาจริเยหิฯ อิลฺลิยาจาปธาริภีติ อิลฺลิยญฺจ จาปญฺจ ธาเรเนฺตหิฯ รถเสนิโยติ รถฆฎาโยฯ สนฺนเนฺธติ สุฎฺฐุ นเทฺธฯ ทีเป อโถปิ เวยฺยเคฺฆติ ทีปิพฺยคฺฆจมฺมปริกฺขิเตฺตฯ คามณีเยหีติ รถาจริเยหิฯ สชฺฌุรเถติ รชตรเถฯ อชรถเมณฺฑรถมิครเถ โสภนตฺถาย โยเชนฺติฯ

    Niciteti dhanadhaññanicayādinā sampanne. Ajeyyeti paccāmittehi ajetabbe. Candanaphositeti lohitacandanena paripphosite. Koṭumbarānīti koṭumbararaṭṭhe uṭṭhitavatthāni. Hatthigumbeti hatthighaṭāyo. Hemakappanavāsaseti hemamayena sīsālaṅkārasaṅkhātena kappanena ca hemajālena ca samannāgate. Gāmaṇīyehīti hatthācariyehi. Ājānīyeva jātiyāti jātiyā kāraṇākāraṇajānanatāya ājānīyeva, tādisānaṃ assānaṃ gumbe. Gāmaṇīyehīti assācariyehi. Illiyācāpadhāribhīti illiyañca cāpañca dhārentehi. Rathaseniyoti rathaghaṭāyo. Sannandheti suṭṭhu naddhe. Dīpe athopi veyyaggheti dīpibyagghacammaparikkhitte. Gāmaṇīyehīti rathācariyehi. Sajjhuratheti rajatarathe. Ajarathameṇḍarathamigarathe sobhanatthāya yojenti.

    อริยคเณติ พฺราหฺมณคเณฯ เต กิร ตทา อริยาจารา อเหสุํ, เตน เต เอวมาหฯ หริจนฺทนลิตฺตเงฺคติ กญฺจนวเณฺณน จนฺทเนน ลิตฺตสรีเรฯ สตฺตสตา ภริยาติ ปิยภริยาเยว สนฺธายาหฯ สุสญฺญาติ สุฎฺฐุ สญฺญิตาฯ อสฺสวาติ สามิกสฺส วจนการิกาฯ สตปลนฺติ ปลสเตน สุวเณฺณน การิตํฯ กํสนฺติ ปาติํฯ สตราชิกนฺติ ปิฎฺฐิปเสฺส ราชิสเตน สมนฺนาคตํฯ ยนฺตํ มนฺติ อนิตฺถิคนฺธวนสเณฺฑ เอกเมว คจฺฉนฺตํ มํ กทา นุ เต นานุยิสฺสนฺติฯ สตฺตาหสเมฺมเฆติ สตฺตาหํ สมุฎฺฐิเต มหาเมเฆ, สตฺตาหวทฺทลิเกติ อโตฺถฯ โอวโฎฺฐติ โอนตสีโสฯ สพฺพตฺถาติ สพฺพทิสํฯ รุชฺชโกติ วีณาวาทโกฯ กามสํโยชเนติ กามสํโยชนํฯ ทิเพฺพติ ทิพฺพํฯ มานุเสติ มานุสํฯ

    Ariyagaṇeti brāhmaṇagaṇe. Te kira tadā ariyācārā ahesuṃ, tena te evamāha. Haricandanalittaṅgeti kañcanavaṇṇena candanena littasarīre. Sattasatā bhariyāti piyabhariyāyeva sandhāyāha. Susaññāti suṭṭhu saññitā. Assavāti sāmikassa vacanakārikā. Satapalanti palasatena suvaṇṇena kāritaṃ. Kaṃsanti pātiṃ. Satarājikanti piṭṭhipasse rājisatena samannāgataṃ. Yantaṃ manti anitthigandhavanasaṇḍe ekameva gacchantaṃ maṃ kadā nu te nānuyissanti. Sattāhasammegheti sattāhaṃ samuṭṭhite mahāmeghe, sattāhavaddaliketi attho. Ovaṭṭhoti onatasīso. Sabbatthāti sabbadisaṃ. Rujjakoti vīṇāvādako. Kāmasaṃyojaneti kāmasaṃyojanaṃ. Dibbeti dibbaṃ. Mānuseti mānusaṃ.

    โส กิร ทสวสฺสสหสฺสายุกกาเล นิพฺพโตฺต สตฺตวสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรตฺวา ติวสฺสสหสฺสาวสิเฎฺฐ อายุมฺหิ ปพฺพชิโตฯ ปพฺพชโนฺต ปเนส อุยฺยานทฺวาเร อมฺพรุกฺขสฺส ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย จตฺตาโร มาเส อคาเร วสิตฺวา ‘‘อิมมฺหา ราชเวสา ปพฺพชิตเวโส วรตโร, ปพฺพชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปฎฺฐากํ รหเสฺสน อาณาเปสิ ‘‘ตาต, กญฺจิ อชานาเปตฺวา อนฺตราปณโต กาสายวตฺถานิ เจว มตฺติกาปตฺตญฺจ กิณิตฺวา อาหรา’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ ราชา กปฺปกํ ปโกฺกสาเปตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาราเปตฺวา กปฺปกสฺส คามวรํ ทตฺวา กปฺปกํ อุโยฺยเชตฺวา เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา เอกํ อํเส กตฺวา มตฺติกาปตฺตมฺปิ ถวิกาย โอสาเรตฺวา อํเส ลเคฺคสิฯ ตโต กตฺตรทณฺฑํ คเหตฺวา มหาตเล กติปเย วาเร ปเจฺจกพุทฺธลีลาย อปราปรํ จงฺกมิฯ โส ตํ ทิวสํ ตเตฺถว วสิตฺวา ปุนทิวเส สูริยุคฺคมนเวลาย ปาสาทา โอตริตุํ อารภิฯ

    So kira dasavassasahassāyukakāle nibbatto sattavassasahassāni rajjaṃ kāretvā tivassasahassāvasiṭṭhe āyumhi pabbajito. Pabbajanto panesa uyyānadvāre ambarukkhassa diṭṭhakālato paṭṭhāya cattāro māse agāre vasitvā ‘‘imamhā rājavesā pabbajitaveso varataro, pabbajissāmī’’ti cintetvā upaṭṭhākaṃ rahassena āṇāpesi ‘‘tāta, kañci ajānāpetvā antarāpaṇato kāsāyavatthāni ceva mattikāpattañca kiṇitvā āharā’’ti. So tathā akāsi. Rājā kappakaṃ pakkosāpetvā kesamassuṃ ohārāpetvā kappakassa gāmavaraṃ datvā kappakaṃ uyyojetvā ekaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ekaṃ aṃse katvā mattikāpattampi thavikāya osāretvā aṃse laggesi. Tato kattaradaṇḍaṃ gahetvā mahātale katipaye vāre paccekabuddhalīlāya aparāparaṃ caṅkami. So taṃ divasaṃ tattheva vasitvā punadivase sūriyuggamanavelāya pāsādā otarituṃ ārabhi.

    ตทา สีวลิเทวี ตา สตฺตสตา วลฺลภิตฺถิโย ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘จิรํ ทิโฎฺฐ โน ราชา, จตฺตาโร มาสา อตีตา, อชฺช นํ ปสฺสิสฺสาม, สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา ยถาพลํ อิตฺถิกุตฺตหาสวิลาเส ทเสฺสตฺวา กิเลสพนฺธเนน พนฺธิตุํ วายเมยฺยาถา’’ติ วตฺวา อลงฺกตปฺปฎิยตฺตาหิ ตาหิ สทฺธิํ ‘‘ราชานํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ ปาสาทํ อภิรุหนฺตี ตํ โอตรนฺตํ ทิสฺวาปิ น สญฺชานิฯ ‘‘รโญฺญ โอวาทํ ทาตุํ อาคโต ปเจฺจกพุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ สญฺญาย วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ มหาสโตฺตปิ ปาสาทา โอตริฯ อิตราปิ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา สิริสยนปิเฎฺฐ ภมรวณฺณเกเส จ ปสาธนภณฺฑญฺจ ทิสฺวา ‘‘น โส ปเจฺจกพุโทฺธ, อมฺหากํ ปิยสามิโก ภวิสฺสติ, เอถ นํ ยาจิตฺวา นิวตฺตาเปสฺสามี’’ติ มหาตลา โอตริตฺวา ราชงฺคณํ สมฺปาปุณิฯ ปาปุณิตฺวา จ ปน สพฺพาหิ ตาหิ สทฺธิํ เกเส โมเจตฺวา ปิฎฺฐิยํ วิกิริตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ อุรํ สํสุมฺภิตฺวา ‘‘กสฺมา เอวรูปํ กมฺมํ กโรถ, มหาราชา’’ติ อติกรุณํ ปริเทวมานา ราชานํ อนุพนฺธิ, สกลนครํ สงฺขุภิตํ อโหสิฯ เตปิ ‘‘ราชา กิร โน ปพฺพชิโต, กุโต ปน เอวรูปํ ธมฺมิกราชานํ ลภิสฺสามา’’ติ โรทมานา ราชานํ อนุพนฺธิํสุฯ ตตฺร ตาสํ อิตฺถีนํ ปริเทวนเญฺจว ปริเทวนฺติโยปิ ตา ปหาย รโญฺญ คมนญฺจ อาวิกโรโนฺต สตฺถา อาห –

    Tadā sīvalidevī tā sattasatā vallabhitthiyo pakkosāpetvā ‘‘ciraṃ diṭṭho no rājā, cattāro māsā atītā, ajja naṃ passissāma, sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā yathābalaṃ itthikuttahāsavilāse dassetvā kilesabandhanena bandhituṃ vāyameyyāthā’’ti vatvā alaṅkatappaṭiyattāhi tāhi saddhiṃ ‘‘rājānaṃ passissāmā’’ti pāsādaṃ abhiruhantī taṃ otarantaṃ disvāpi na sañjāni. ‘‘Rañño ovādaṃ dātuṃ āgato paccekabuddho bhavissatī’’ti saññāya vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Mahāsattopi pāsādā otari. Itarāpi pāsādaṃ abhiruhitvā sirisayanapiṭṭhe bhamaravaṇṇakese ca pasādhanabhaṇḍañca disvā ‘‘na so paccekabuddho, amhākaṃ piyasāmiko bhavissati, etha naṃ yācitvā nivattāpessāmī’’ti mahātalā otaritvā rājaṅgaṇaṃ sampāpuṇi. Pāpuṇitvā ca pana sabbāhi tāhi saddhiṃ kese mocetvā piṭṭhiyaṃ vikiritvā ubhohi hatthehi uraṃ saṃsumbhitvā ‘‘kasmā evarūpaṃ kammaṃ karotha, mahārājā’’ti atikaruṇaṃ paridevamānā rājānaṃ anubandhi, sakalanagaraṃ saṅkhubhitaṃ ahosi. Tepi ‘‘rājā kira no pabbajito, kuto pana evarūpaṃ dhammikarājānaṃ labhissāmā’’ti rodamānā rājānaṃ anubandhiṃsu. Tatra tāsaṃ itthīnaṃ paridevanañceva paridevantiyopi tā pahāya rañño gamanañca āvikaronto satthā āha –

    ๒๔๐.

    240.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, กสฺมา โน วิชหิสฺสสิฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, kasmā no vijahissasi.

    ๒๔๑.

    241.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, สุสญฺญา ตนุมชฺฌิมา;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, susaññā tanumajjhimā;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, กสฺมา โน วิชหิสฺสสิฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, kasmā no vijahissasi.

    ๒๔๒.

    242.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, assavā piyabhāṇinī;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, กสฺมา โน วิชหิสฺสสิฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, kasmā no vijahissasi.

    ๒๔๓.

    243.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, สพฺพาลงฺการภูสิตา;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, sabbālaṅkārabhūsitā;

    หิตฺวา สมฺปทฺทวี ราชา, ปพฺพชฺชาย ปุรกฺขโตฯ

    Hitvā sampaddavī rājā, pabbajjāya purakkhato.

    ๒๔๔.

    244.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, สุสญฺญา ตนุมชฺฌิมา;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, susaññā tanumajjhimā;

    หิตฺวา สมฺปทฺทวี ราชา, ปพฺพชฺชาย ปุรกฺขโตฯ

    Hitvā sampaddavī rājā, pabbajjāya purakkhato.

    ๒๔๕.

    245.

    ‘‘ตา จ สตฺตสตา ภริยา, อสฺสวา ปิยภาณินี;

    ‘‘Tā ca sattasatā bhariyā, assavā piyabhāṇinī;

    หิตฺวา สมฺปทฺทวี ราชา, ปพฺพชฺชาย ปุรกฺขโตฯ

    Hitvā sampaddavī rājā, pabbajjāya purakkhato.

    ๒๔๖.

    246.

    ‘‘หิตฺวา สตปลํ กํสํ, โสวณฺณํ สตราชิกํ;

    ‘‘Hitvā satapalaṃ kaṃsaṃ, sovaṇṇaṃ satarājikaṃ;

    อคฺคหี มตฺติกํ ปตฺตํ, ตํ ทุติยาภิเสจน’’นฺติฯ

    Aggahī mattikaṃ pattaṃ, taṃ dutiyābhisecana’’nti.

    ตตฺถ พาหา ปคฺคยฺหาติ พาหา อุกฺขิปิตฺวาฯ สมฺปทฺทวีติ ภิกฺขเว, โส มหาชนโก ราชา, ตา จ สตฺตสตา ภริยา ‘‘กิํ โน, เทว, ปหาย คจฺฉสิ, โก อมฺหากํ โทโส’’ติ วิลปนฺติโยว ฉเฑฺฑตฺวา สมฺปทฺทวี คโต, ‘‘ปพฺพชฺชาย ยาหี’’ติ โจทิยมาโน วิย ปุรกฺขโต หุตฺวา คโตติ อโตฺถฯ ตํ ทุติยาภิเสจนนฺติ ภิกฺขเว, ตํ มตฺติกาปตฺตคฺคหณํ ทุติยาภิเสจนํ กตฺวา โส ราชา นิกฺขโนฺตติฯ

    Tattha bāhā paggayhāti bāhā ukkhipitvā. Sampaddavīti bhikkhave, so mahājanako rājā, tā ca sattasatā bhariyā ‘‘kiṃ no, deva, pahāya gacchasi, ko amhākaṃ doso’’ti vilapantiyova chaḍḍetvā sampaddavī gato, ‘‘pabbajjāya yāhī’’ti codiyamāno viya purakkhato hutvā gatoti attho. Taṃ dutiyābhisecananti bhikkhave, taṃ mattikāpattaggahaṇaṃ dutiyābhisecanaṃ katvā so rājā nikkhantoti.

    สีวลิเทวีปิ ปริเทวมานา ราชานํ นิวเตฺตตุํ อสโกฺกนฺตี ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ จิเนฺตตฺวา มหาเสนคุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, รโญฺญ ปุรโต คมนทิสาภาเค ชิณฺณฆรชิณฺณสาลาทีสุ อคฺคิํ เทหิ, ติณปณฺณานิ สํหริตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน ธูมํ กาเรหี’’ติ อาณาเปสิฯ โส ตถา กาเรสิฯ สา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปาเทสุ ปติตฺวา มิถิลาย อาทิตฺตภาวํ อาโรเจนฺตี คาถาทฺวยมาห –

    Sīvalidevīpi paridevamānā rājānaṃ nivattetuṃ asakkontī ‘‘attheso upāyo’’ti cintetvā mahāsenaguttaṃ pakkosāpetvā ‘‘tāta, rañño purato gamanadisābhāge jiṇṇagharajiṇṇasālādīsu aggiṃ dehi, tiṇapaṇṇāni saṃharitvā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne dhūmaṃ kārehī’’ti āṇāpesi. So tathā kāresi. Sā rañño santikaṃ gantvā pādesu patitvā mithilāya ādittabhāvaṃ ārocentī gāthādvayamāha –

    ๒๔๗.

    247.

    ‘‘เภสฺมา อคฺคิสมา ชาลา, โกสา ฑยฺหนฺติ ภาคโส;

    ‘‘Bhesmā aggisamā jālā, kosā ḍayhanti bhāgaso;

    รชตํ ชาตรูปญฺจ, มุตฺตา เวฬุริยา พหูฯ

    Rajataṃ jātarūpañca, muttā veḷuriyā bahū.

    ๒๔๘.

    248.

    ‘‘มณโย สงฺขมุตฺตา จ, วตฺถิกํ หริจนฺทนํ;

    ‘‘Maṇayo saṅkhamuttā ca, vatthikaṃ haricandanaṃ;

    อชินํ ทนฺตภณฺฑญฺจ, โลหํ กาฬายสํ พหู;

    Ajinaṃ dantabhaṇḍañca, lohaṃ kāḷāyasaṃ bahū;

    เอหิ ราช นิวตฺตสฺสุ, มา เตตํ วินสา ธน’’นฺติฯ

    Ehi rāja nivattassu, mā tetaṃ vinasā dhana’’nti.

    ตตฺถ เภสฺมาติ ภยานกาฯ อคฺคิสมา ชาลาติ เตสํ เตสํ มนุสฺสานํ เคหานิ อคฺคิ คณฺหิ, โส เอส มหาชาโลติ อโตฺถฯ โกสาติ สุวณฺณรชตโกฎฺฐาคาราทีนิฯ ภาคโสติ โกฎฺฐาสโต สุวิภตฺตาปิ โน เอเต อคฺคินา ฑยฺหนฺติ, เทวาติฯ โลหนฺติ ตมฺพโลหาทิกํฯ มา เตตํ วินสา ธนนฺติ มา เต เอตํ ธนํ วินสฺสตุ, เอหิ นํ นิพฺพาเปติ, ปจฺฉา คมิสฺสสิ, ‘‘มหาชนโก นครํ ฑยฺหมานํ อโนโลเกตฺวาว นิกฺขโนฺต’’ติ ตุมฺหากํ ครหา ภวิสฺสติ, ตาย เต ลชฺชาปิ วิปฺปฎิสาโรปิ ภวิสฺสติ, เอหิ อมเจฺจ อาณาเปตฺวา อคฺคิํ นิพฺพาเปหิ, เทวาติฯ

    Tattha bhesmāti bhayānakā. Aggisamā jālāti tesaṃ tesaṃ manussānaṃ gehāni aggi gaṇhi, so esa mahājāloti attho. Kosāti suvaṇṇarajatakoṭṭhāgārādīni. Bhāgasoti koṭṭhāsato suvibhattāpi no ete agginā ḍayhanti, devāti. Lohanti tambalohādikaṃ. Mā tetaṃ vinasā dhananti mā te etaṃ dhanaṃ vinassatu, ehi naṃ nibbāpeti, pacchā gamissasi, ‘‘mahājanako nagaraṃ ḍayhamānaṃ anoloketvāva nikkhanto’’ti tumhākaṃ garahā bhavissati, tāya te lajjāpi vippaṭisāropi bhavissati, ehi amacce āṇāpetvā aggiṃ nibbāpehi, devāti.

    อถ มหาสโตฺต ‘‘เทวิ, กิํ กเถสิ, เยสํ กิญฺจนํ อตฺถิ, เตสํ ตํ ฑยฺหติ, มยํ ปน อกิญฺจนา’’ติ ทีเปโนฺต คาถมาห –

    Atha mahāsatto ‘‘devi, kiṃ kathesi, yesaṃ kiñcanaṃ atthi, tesaṃ taṃ ḍayhati, mayaṃ pana akiñcanā’’ti dīpento gāthamāha –

    ๒๔๙.

    249.

    ‘‘สุสุขํ วต ชีวาม, เยสํ โน นตฺถิ กิญฺจนํ;

    ‘‘Susukhaṃ vata jīvāma, yesaṃ no natthi kiñcanaṃ;

    มิถิลา ฑยฺหมานาย, น เม กิญฺจิ อฑยฺหถา’’ติฯ

    Mithilā ḍayhamānāya, na me kiñci aḍayhathā’’ti.

    ตตฺถ กิญฺจนนฺติ เยสํ อมฺหากํ ปลิพุทฺธกิเลสสงฺขาตํ กิญฺจนํ นตฺถิ, เต มยํ เตน อกิญฺจนภาเวน สุสุขํ วต ชีวามฯ เตเนว การเณน มิถิลาย ฑยฺหมานาย น เม กิญฺจิ อฑยฺหถ, อปฺปมตฺตกมฺปิ อตฺตโน ภณฺฑกํ ฑยฺหมานํ น ปสฺสามีติ วทติฯ

    Tattha kiñcananti yesaṃ amhākaṃ palibuddhakilesasaṅkhātaṃ kiñcanaṃ natthi, te mayaṃ tena akiñcanabhāvena susukhaṃ vata jīvāma. Teneva kāraṇena mithilāya ḍayhamānāya na me kiñci aḍayhatha, appamattakampi attano bhaṇḍakaṃ ḍayhamānaṃ na passāmīti vadati.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิฯ ตาปิสฺส สตฺตสตา ภริยา นิกฺขมิํสุฯ ปุน สีวลิเทวี เอกํ อุปายํ จิเนฺตตฺวา ‘‘คามฆาตรฎฺฐวิลุมฺปนาการํ วิย ทเสฺสถา’’ติ อมเจฺจ อาณาเปสิฯ ตํขณํเยว อาวุธหเตฺถ ปุริเส ตโต ตโต อาธาวเนฺต ปริธาวเนฺต วิลุมฺปเนฺต วิย สรีเร ลาขารสํ สิญฺจิตฺวา ลทฺธปฺปหาเร วิย ผลเก นิปชฺชาเปตฺวา วุยฺหเนฺต มเต วิย จ รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ มหาชโน อุปโกฺกสิ ‘‘มหาราช, ตุเมฺหสุ ธรเนฺตสุเยว รฎฺฐํ วิลุมฺปนฺติ, มหาชนํ ฆาเตนฺตี’’ติฯ อถ เทวีปิ ราชานํ วนฺทิตฺวา นิวตฺตนตฺถาย คาถมาห –

    Evañca pana vatvā mahāsatto uttaradvārena nikkhami. Tāpissa sattasatā bhariyā nikkhamiṃsu. Puna sīvalidevī ekaṃ upāyaṃ cintetvā ‘‘gāmaghātaraṭṭhavilumpanākāraṃ viya dassethā’’ti amacce āṇāpesi. Taṃkhaṇaṃyeva āvudhahatthe purise tato tato ādhāvante paridhāvante vilumpante viya sarīre lākhārasaṃ siñcitvā laddhappahāre viya phalake nipajjāpetvā vuyhante mate viya ca rañño dassesuṃ. Mahājano upakkosi ‘‘mahārāja, tumhesu dharantesuyeva raṭṭhaṃ vilumpanti, mahājanaṃ ghātentī’’ti. Atha devīpi rājānaṃ vanditvā nivattanatthāya gāthamāha –

    ๒๕๐.

    250.

    ‘‘อฎวิโย สมุปฺปนฺนา, รฎฺฐํ วิทฺธํสยนฺติ ตํ;

    ‘‘Aṭaviyo samuppannā, raṭṭhaṃ viddhaṃsayanti taṃ;

    เอหิ ราช นิวตฺตสฺสุ, มา รฎฺฐํ วินสา อิท’’นฺติฯ

    Ehi rāja nivattassu, mā raṭṭhaṃ vinasā ida’’nti.

    ตตฺถ อฎวิโยติ มหาราช, ตุเมฺหสุ ธรเนฺตสุเยว อฎวิโจรา สมุปฺปนฺนา สมุฎฺฐิตา, ตํ ตยา ธมฺมรกฺขิตํ ตว รฎฺฐํ วิทฺธํเสนฺติฯ

    Tattha aṭaviyoti mahārāja, tumhesu dharantesuyeva aṭavicorā samuppannā samuṭṭhitā, taṃ tayā dhammarakkhitaṃ tava raṭṭhaṃ viddhaṃsenti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘มยิ ธรเนฺตเยว โจรา อุฎฺฐาย รฎฺฐํ วิทฺธํเสนฺตา นาม นตฺถิ, สีวลิเทวิยา กิริยา เอสา ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ อปฺปฎิภานํ กโรโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘mayi dharanteyeva corā uṭṭhāya raṭṭhaṃ viddhaṃsentā nāma natthi, sīvalideviyā kiriyā esā bhavissatī’’ti cintetvā taṃ appaṭibhānaṃ karonto āha –

    ๒๕๑.

    251.

    ‘‘สุสุขํ วต ชีวาม, เยสํ โน นตฺถิ กิญฺจนํ;

    ‘‘Susukhaṃ vata jīvāma, yesaṃ no natthi kiñcanaṃ;

    รเฎฺฐ วิลุมฺปมานมฺหิ, น เม กิญฺจิ อหีรถฯ

    Raṭṭhe vilumpamānamhi, na me kiñci ahīratha.

    ๒๕๒.

    252.

    ‘‘สุสุขํ วต ชีวาม, เยสํ โน นตฺถิ กิญฺจนํ;

    ‘‘Susukhaṃ vata jīvāma, yesaṃ no natthi kiñcanaṃ;

    ปีติภกฺขา ภวิสฺสาม, เทวา อาภสฺสรา ยถา’’ติฯ

    Pītibhakkhā bhavissāma, devā ābhassarā yathā’’ti.

    ตตฺถ วิลุมฺปมานมฺหีติ วิลุปฺปมาเนฯ อาภสฺสรา ยถาติ ยถา เต พฺรหฺมาโน ปีติภกฺขา หุตฺวา สมาปตฺติสุเขน วีตินาเมนฺติ, ตถา วีตินาเมสฺสามาติฯ

    Tattha vilumpamānamhīti viluppamāne. Ābhassarā yathāti yathā te brahmāno pītibhakkhā hutvā samāpattisukhena vītināmenti, tathā vītināmessāmāti.

    เอวํ วุเตฺตปิ มหาชโน ราชานํ อนุพนฺธิเยวฯ อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘อยํ มหาชโน นิวตฺติตุํ น อิจฺฉติ, นิวเตฺตสฺสามิ น’’นฺติฯ โส อฑฺฒคาวุตมตฺตํ คตกาเล นิวตฺติตฺวา มหามเคฺค ฐิโตว อมเจฺจ ‘‘กสฺสิทํ รชฺช’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ , เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ อิมํ เลขํ อนฺตรํ กโรนฺตสฺส ราชทณฺฑํ กโรถา’’ติ กตฺตรทเณฺฑน ติริยํ เลขํ อากฑฺฒิฯ เตน เตชวตา รญฺญา กตํ เลขํ โกจิ อนฺตรํ กาตุํ นาสกฺขิฯ มหาชโน เลขํ อุสฺสีสเก กตฺวา พาฬฺหปริเทวํ ปริเทวิฯ เทวีปิ ตํ เลขํ อนฺตรํ กาตุํ อสโกฺกนฺตี ราชานํ ปิฎฺฐิํ ทตฺวา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี อุรํ ปหริตฺวา มหามเคฺค ติริยํ ปติตฺวา ปริวตฺตมานา อคมาสิฯ มหาชโน ‘‘เลขสามิเกหิ เลขา ภินฺนา’’ติ วตฺวา เทวิยา คตมเคฺคเนว คโตฯ อถ มหาสโตฺตปิ อุตฺตรหิมวนฺตาภิมุโข อคมาสิฯ เทวีปิ สพฺพํ เสนาวาหนํ อาทาย เตน สทฺธิํเยว คตาฯ ราชา มหาชนํ นิวเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺตเยว สฎฺฐิโยชนมคฺคํ คโตฯ

    Evaṃ vuttepi mahājano rājānaṃ anubandhiyeva. Athassa etadahosi ‘‘ayaṃ mahājano nivattituṃ na icchati, nivattessāmi na’’nti. So aḍḍhagāvutamattaṃ gatakāle nivattitvā mahāmagge ṭhitova amacce ‘‘kassidaṃ rajja’’nti pucchitvā ‘‘tumhākaṃ , devā’’ti vutte ‘‘tena hi imaṃ lekhaṃ antaraṃ karontassa rājadaṇḍaṃ karothā’’ti kattaradaṇḍena tiriyaṃ lekhaṃ ākaḍḍhi. Tena tejavatā raññā kataṃ lekhaṃ koci antaraṃ kātuṃ nāsakkhi. Mahājano lekhaṃ ussīsake katvā bāḷhaparidevaṃ paridevi. Devīpi taṃ lekhaṃ antaraṃ kātuṃ asakkontī rājānaṃ piṭṭhiṃ datvā gacchantaṃ disvā sokaṃ sandhāretuṃ asakkontī uraṃ paharitvā mahāmagge tiriyaṃ patitvā parivattamānā agamāsi. Mahājano ‘‘lekhasāmikehi lekhā bhinnā’’ti vatvā deviyā gatamaggeneva gato. Atha mahāsattopi uttarahimavantābhimukho agamāsi. Devīpi sabbaṃ senāvāhanaṃ ādāya tena saddhiṃyeva gatā. Rājā mahājanaṃ nivattetuṃ asakkontoyeva saṭṭhiyojanamaggaṃ gato.

    ตทา นารโท นาม ตาปโส หิมวเนฺต สุวณฺณคุหายํ วสิตฺวา ปญฺจาภิโญฺญ ฌานสุเขน วีตินาเมตฺวา สตฺตาหํ อติกฺกาเมตฺวา ฌานสุขโต วุฎฺฐาย ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ อุทานํ อุทาเนสิฯ โส ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ ชมฺพุทีปตเล อิทํ สุขํ ปริเยสโนฺต’’ติ ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกโนฺต มหาชนกพุทฺธงฺกุรํ ทิสฺวา ‘‘ราชา มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตปิ สีวลิเทวิปฺปมุขํ มหาชนํ นิวเตฺตตุํ น สโกฺกติ, อนฺตรายมฺปิสฺส กเรยฺย, อิทานิ คนฺตฺวา ภิโยฺยโส มตฺตาย ทฬฺหสมาทานตฺถํ โอวาทํ ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิทฺธิพเลน คนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต อากาเส ฐิโตว ตสฺส อุสฺสาหํ ชเนตุํ อิมํ คาถมาห –

    Tadā nārado nāma tāpaso himavante suvaṇṇaguhāyaṃ vasitvā pañcābhiñño jhānasukhena vītināmetvā sattāhaṃ atikkāmetvā jhānasukhato vuṭṭhāya ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti udānaṃ udānesi. So ‘‘atthi nu kho koci jambudīpatale idaṃ sukhaṃ pariyesanto’’ti dibbacakkhunā olokento mahājanakabuddhaṅkuraṃ disvā ‘‘rājā mahābhinikkhamanaṃ nikkhantopi sīvalidevippamukhaṃ mahājanaṃ nivattetuṃ na sakkoti, antarāyampissa kareyya, idāni gantvā bhiyyoso mattāya daḷhasamādānatthaṃ ovādaṃ dassāmī’’ti cintetvā iddhibalena gantvā rañño purato ākāse ṭhitova tassa ussāhaṃ janetuṃ imaṃ gāthamāha –

    ๒๕๓.

    253.

    ‘‘กิเมฺหโส มหโต โฆโส, กา นุ คาเมว กีฬิยา;

    ‘‘Kimheso mahato ghoso, kā nu gāmeva kīḷiyā;

    สมณ เตว ปุจฺฉาม, กเตฺถโส อภิสโฎ ชโน’’ติฯ

    Samaṇa teva pucchāma, kattheso abhisaṭo jano’’ti.

    ตสฺส ตํ สุตฺวา ราชา อาห –

    Tassa taṃ sutvā rājā āha –

    ๒๕๔.

    254.

    ‘‘มมํ โอหาย คจฺฉนฺตํ, เอเตฺถโส อภิสโฎ ชโน;

    ‘‘Mamaṃ ohāya gacchantaṃ, ettheso abhisaṭo jano;

    สีมาติกฺกมนํ ยนฺตํ, มุนิโมนสฺส ปตฺติยา;

    Sīmātikkamanaṃ yantaṃ, munimonassa pattiyā;

    มิสฺสํ นนฺทีหิ คจฺฉนฺตํ, กิํ ชานมนุปุจฺฉสี’’ติฯ

    Missaṃ nandīhi gacchantaṃ, kiṃ jānamanupucchasī’’ti.

    ตตฺถ กิเมฺหโสติ กิมฺหิ เกน การเณน เอโส หตฺถิกายาทิวเสน มหโต สมูหสฺส โฆโสฯ กา นุ คาเมว กีฬิยาติ กา นุ เอสา ตยา สทฺธิํ อาคจฺฉนฺตานํ คาเม วิย กีฬิฯ กเตฺถโสติ กิมตฺถํ เอส มหาชโน อภิสโฎ สนฺนิปติโต, ตํ ปริวาเรตฺวา อาคจฺฉตีติ ปุจฺฉิฯ มมนฺติ โย อหํ เอตํ ชนํ โอหาย คจฺฉามิ, ตํ มํ โอหาย คจฺฉนฺตํฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ ฐาเน เอโส มหาชโน อภิสโฎ อนุพนฺธโนฺต อาคโตฯ สีมาติกฺกมนํ ยนฺตนฺติ ตฺวํ ปน ตํ มํ กิเลสสีมํ อติกฺกมฺม อนคาริยมุนิญาณสงฺขาตสฺส โมนสฺส ปตฺติยา ยนฺตํ, ‘‘ปพฺพชิโต วตมฺหี’’ติ นนฺทิํ อวิชหิตฺวา ขเณ ขเณ อุปฺปชฺชมานาหิ นนฺทีหิ มิสฺสเมว คจฺฉนฺตํ กิํ ชานโนฺต ปุจฺฉสิ, อุทาหุ อชานโนฺตฯ มหาชนโก กิร วิเทหรฎฺฐํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพชิโตติ กิํ น สุตํ ตยาติฯ

    Tattha kimhesoti kimhi kena kāraṇena eso hatthikāyādivasena mahato samūhassa ghoso. Kā nu gāmeva kīḷiyāti kā nu esā tayā saddhiṃ āgacchantānaṃ gāme viya kīḷi. Katthesoti kimatthaṃ esa mahājano abhisaṭo sannipatito, taṃ parivāretvā āgacchatīti pucchi. Mamanti yo ahaṃ etaṃ janaṃ ohāya gacchāmi, taṃ maṃ ohāya gacchantaṃ. Etthāti etasmiṃ ṭhāne eso mahājano abhisaṭo anubandhanto āgato. Sīmātikkamanaṃ yantanti tvaṃ pana taṃ maṃ kilesasīmaṃ atikkamma anagāriyamuniñāṇasaṅkhātassa monassa pattiyā yantaṃ, ‘‘pabbajito vatamhī’’ti nandiṃ avijahitvā khaṇe khaṇe uppajjamānāhi nandīhi missameva gacchantaṃ kiṃ jānanto pucchasi, udāhu ajānanto. Mahājanako kira videharaṭṭhaṃ chaḍḍetvā pabbajitoti kiṃ na sutaṃ tayāti.

    อถสฺส โส ทฬฺหสมาทานตฺถาย ปุน คาถมาห –

    Athassa so daḷhasamādānatthāya puna gāthamāha –

    ๒๕๕.

    255.

    ‘‘มาสฺสุ ติโณฺณ อมญฺญิตฺถ, สรีรํ ธารยํ อิมํ;

    ‘‘Māssu tiṇṇo amaññittha, sarīraṃ dhārayaṃ imaṃ;

    อตีรเณยฺย ยมิทํ, พหู หิ ปริปนฺถโย’’ติฯ

    Atīraṇeyya yamidaṃ, bahū hi paripanthayo’’ti.

    ตตฺถ มาสฺสุ ติโณฺณ อมญฺญิตฺถาติ อิมํ ภณฺฑุกาสาวนิวตฺถํ สรีรํ ธาเรโนฺต ‘‘อิมินา ปพฺพชิตลิงฺคคฺคหณมเตฺตเนว กิเลสสีมํ ติโณฺณ อติกฺกโนฺตสฺมี’’ติ มา อมญฺญิตฺถฯ อตีรเณยฺย ยมิทนฺติ อิทํ กิเลสชาตํ นาม น เอตฺตเกน ตีเรตพฺพํฯ พหู หิ ปริปนฺถโยติ สคฺคมคฺคํ อาวริตฺวา ฐิตา ตว พหู กิเลสปริปนฺถาติฯ

    Tattha māssu tiṇṇo amaññitthāti imaṃ bhaṇḍukāsāvanivatthaṃ sarīraṃ dhārento ‘‘iminā pabbajitaliṅgaggahaṇamatteneva kilesasīmaṃ tiṇṇo atikkantosmī’’ti mā amaññittha. Atīraṇeyyayamidanti idaṃ kilesajātaṃ nāma na ettakena tīretabbaṃ. Bahū hi paripanthayoti saggamaggaṃ āvaritvā ṭhitā tava bahū kilesaparipanthāti.

    ตโต มหาสโตฺต ตสฺส วจนํ สุตฺวา ปริปเนฺถ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Tato mahāsatto tassa vacanaṃ sutvā paripanthe pucchanto āha –

    ๒๕๖.

    256.

    ‘‘โก นุ เม ปริปนฺถสฺส, มมํ เอวํวิหาริโน;

    ‘‘Ko nu me paripanthassa, mamaṃ evaṃvihārino;

    โย เนว ทิเฎฺฐ นาทิเฎฺฐ, กามานมภิปตฺถเย’’ติฯ

    Yo neva diṭṭhe nādiṭṭhe, kāmānamabhipatthaye’’ti.

    ตตฺถ โย เนว ทิเฎฺฐ นาทิเฎฺฐติ โย อหํ เนว ทิเฎฺฐ มนุสฺสโลเก, นาทิเฎฺฐ เทวโลเก กามานํ อภิปเตฺถมิ, ตสฺส มม เอวํ เอกวิหาริโน โก นุ ปริปโนฺถ อสฺสาติ วทติฯ

    Tattha yo neva diṭṭhe nādiṭṭheti yo ahaṃ neva diṭṭhe manussaloke, nādiṭṭhe devaloke kāmānaṃ abhipatthemi, tassa mama evaṃ ekavihārino ko nu paripantho assāti vadati.

    อถสฺส โส ปริปเนฺถ ทเสฺสโนฺต คาถมาห –

    Athassa so paripanthe dassento gāthamāha –

    ๒๕๗.

    257.

    ‘‘นิทฺทา ตนฺที วิชมฺภิตา, อรตี ภตฺตสมฺมโท;

    ‘‘Niddā tandī vijambhitā, aratī bhattasammado;

    อาวสนฺติ สรีรฎฺฐา, พหู หิ ปริปนฺถโย’’ติฯ

    Āvasanti sarīraṭṭhā, bahū hi paripanthayo’’ti.

    ตตฺถ นิทฺทาติ กปินิทฺทาฯ ตนฺทีติ อาลสิยํฯ อรตีติ อุกฺกณฺฐิตาฯ ภตฺตสมฺมโทติ ภตฺตปริฬาโหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สมณ, ตฺวํ ปาสาทิโก สุวณฺณวโณฺณ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต’’ติ วุเตฺต ตุยฺหํ ปณีตํ โอชวนฺตํ ปิณฺฑปาตํ ทสฺสนฺติ, โส ตฺวํ ปตฺตปูรํ อาทาย ยาวทตฺถํ ปริภุญฺชิตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา กฎฺฐตฺถรเณ นิปชฺชิตฺวา กากจฺฉมาโน นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา อนฺตรา ปพุโทฺธ อปราปรํ ปริวตฺติตฺวา หตฺถปาเท ปสาเรตฺวา อุฎฺฐาย จีวรวํสํ คเหตฺวา ลคฺคจีวรํ นิวาเสตฺวา อาลสิโย หุตฺวา เนว สมฺมชฺชนิํ อาทาย สมฺมชฺชิสฺสสิ, น ปานียํ อาหริสฺสสิ, ปุน นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายิสฺสสิ , กามวิตกฺกํ วิตเกฺกสฺสสิ, ตทา ปพฺพชฺชาย อุกฺกณฺฐิสฺสสิ, ภตฺตปริฬาโห เต ภวิสฺสตีติฯ อาวสนฺติ สรีรฎฺฐาติ อิเม เอตฺตกา ปริปนฺถา ตว สรีรฎฺฐกา หุตฺวา นิวสนฺติ, สรีเรเยว เต นิพฺพตฺตนฺตีติ ทเสฺสติฯ

    Tattha niddāti kapiniddā. Tandīti ālasiyaṃ. Aratīti ukkaṇṭhitā. Bhattasammadoti bhattapariḷāho. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘samaṇa, tvaṃ pāsādiko suvaṇṇavaṇṇo rajjaṃ pahāya pabbajito’’ti vutte tuyhaṃ paṇītaṃ ojavantaṃ piṇḍapātaṃ dassanti, so tvaṃ pattapūraṃ ādāya yāvadatthaṃ paribhuñjitvā paṇṇasālaṃ pavisitvā kaṭṭhattharaṇe nipajjitvā kākacchamāno niddaṃ okkamitvā antarā pabuddho aparāparaṃ parivattitvā hatthapāde pasāretvā uṭṭhāya cīvaravaṃsaṃ gahetvā laggacīvaraṃ nivāsetvā ālasiyo hutvā neva sammajjaniṃ ādāya sammajjissasi, na pānīyaṃ āharissasi, puna nipajjitvā niddāyissasi , kāmavitakkaṃ vitakkessasi, tadā pabbajjāya ukkaṇṭhissasi, bhattapariḷāho te bhavissatīti. Āvasanti sarīraṭṭhāti ime ettakā paripanthā tava sarīraṭṭhakā hutvā nivasanti, sarīreyeva te nibbattantīti dasseti.

    อถสฺส มหาสโตฺต ถุติํ กโรโนฺต คาถมาห –

    Athassa mahāsatto thutiṃ karonto gāthamāha –

    ๒๕๘.

    258.

    ‘‘กลฺยาณํ วต มํ ภวํ, พฺราหฺมณ มนุสาสติ;

    ‘‘Kalyāṇaṃ vata maṃ bhavaṃ, brāhmaṇa manusāsati;

    พฺราหฺมณ เตว ปุจฺฉามิ, โก นุ ตฺวมสิ มาริสา’’ติฯ

    Brāhmaṇa teva pucchāmi, ko nu tvamasi mārisā’’ti.

    ตตฺถ พฺราหฺมณ มนุสาสตีติ พฺราหฺมณ, กลฺยาณํ วต มํ ภวํ อนุสาสติฯ

    Tattha brāhmaṇa manusāsatīti brāhmaṇa, kalyāṇaṃ vata maṃ bhavaṃ anusāsati.

    ตโต ตาปโส อาห –

    Tato tāpaso āha –

    ๒๕๙.

    259.

    ‘‘นารโท อิติ เม นามํ, กสฺสโป อิติ มํ วิทู;

    ‘‘Nārado iti me nāmaṃ, kassapo iti maṃ vidū;

    โภโต สกาสมาคจฺฉิํ, สาธุ สพฺภิ สมาคโมฯ

    Bhoto sakāsamāgacchiṃ, sādhu sabbhi samāgamo.

    ๒๖๐.

    260.

    ‘‘ตสฺส เต สโพฺพ อานโนฺท, วิหาโร อุปวตฺตตุ;

    ‘‘Tassa te sabbo ānando, vihāro upavattatu;

    ยํ อูนํ ตํ ปริปูเรหิ, ขนฺติยา อุปสเมน จฯ

    Yaṃ ūnaṃ taṃ paripūrehi, khantiyā upasamena ca.

    ๒๖๑.

    261.

    ‘‘ปสารย สนฺนตญฺจ, อุนฺนตญฺจ ปสารย;

    ‘‘Pasāraya sannatañca, unnatañca pasāraya;

    กมฺมํ วิชฺชญฺจ ธมฺมญฺจ, สกฺกตฺวาน ปริพฺพชา’’ติฯ

    Kammaṃ vijjañca dhammañca, sakkatvāna paribbajā’’ti.

    ตตฺถ วิทูติ โคเตฺตน มํ ‘‘กสฺสโป’’ติ ชานนฺติฯ สพฺภีติ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สมาคโม นาม สาธุ โหตีติ อาคโตมฺหิฯ อานโนฺทติ ตสฺส ตว อิมิสฺสา ปพฺพชฺชาย อานโนฺท ตุฎฺฐิ โสมนสฺสเมว โหตุ มา อุกฺกณฺฐิฯ วิหาโรติ จตุพฺพิโธ พฺรหฺมวิหาโรฯ อุปวตฺตตูติ นิพฺพตฺตตุฯ ยํ อูนํ ตนฺติ ยํ เต สีเลน กสิณปริกเมฺมน ฌาเนน จ อูนํ, ตํ เอเตหิ สีลาทีหิ ปูรยฯ ขนฺติยา อุปสเมน จาติ ‘‘อหํ ราชปพฺพชิโต’’ติ มานํ อกตฺวา อธิวาสนขนฺติยา จ กิเลสูปสเมน จ สมนฺนาคโต โหหิฯ ปสารยาติ มา อุกฺขิป มา ปตฺถร, ปชหาติ อโตฺถฯ สนฺนตญฺจ อุนฺนตญฺจาติ ‘‘โก นามาห’’นฺติอาทินา นเยน ปวตฺตํ โอมานญฺจ ‘‘อหมสฺมิ ชาติสมฺปโนฺน’’ติอาทินา นเยน ปวตฺตํ อติมานญฺจฯ กมฺมนฺติ ทสกุสลกมฺมปถํฯ วิชฺชนฺติ ปญฺจอภิญฺญา-อฎฺฐสมาปตฺติญาณํฯ ธมฺมนฺติ กสิณปริกมฺมสงฺขาตํ สมณธมฺมํฯ สกฺกตฺวาน ปริพฺพชาติ เอเต คุเณ สกฺกตฺวา วตฺตสฺสุ, เอเต วา คุเณ สกฺกตฺวา ทฬฺหํ สมาทาย ปริพฺพช, ปพฺพชฺชํ ปาเลหิ, มา อุกฺกณฺฐีติ อโตฺถฯ

    Tattha vidūti gottena maṃ ‘‘kassapo’’ti jānanti. Sabbhīti paṇḍitehi saddhiṃ samāgamo nāma sādhu hotīti āgatomhi. Ānandoti tassa tava imissā pabbajjāya ānando tuṭṭhi somanassameva hotu mā ukkaṇṭhi. Vihāroti catubbidho brahmavihāro. Upavattatūti nibbattatu. Yaṃ ūnaṃ tanti yaṃ te sīlena kasiṇaparikammena jhānena ca ūnaṃ, taṃ etehi sīlādīhi pūraya. Khantiyā upasamena cāti ‘‘ahaṃ rājapabbajito’’ti mānaṃ akatvā adhivāsanakhantiyā ca kilesūpasamena ca samannāgato hohi. Pasārayāti mā ukkhipa mā patthara, pajahāti attho. Sannatañca unnatañcāti ‘‘ko nāmāha’’ntiādinā nayena pavattaṃ omānañca ‘‘ahamasmi jātisampanno’’tiādinā nayena pavattaṃ atimānañca. Kammanti dasakusalakammapathaṃ. Vijjanti pañcaabhiññā-aṭṭhasamāpattiñāṇaṃ. Dhammanti kasiṇaparikammasaṅkhātaṃ samaṇadhammaṃ. Sakkatvāna paribbajāti ete guṇe sakkatvā vattassu, ete vā guṇe sakkatvā daḷhaṃ samādāya paribbaja, pabbajjaṃ pālehi, mā ukkaṇṭhīti attho.

    เอวํ โส มหาสตฺตํ โอวทิตฺวา อากาเสน สกฎฺฐานเมว คโตฯ ตสฺมิํ คเต อปโรปิ มิคาชิโน นาม ตาปโส ตเถว สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย โอโลเกโนฺต โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘มหาชนํ นิวตฺตนตฺถาย ตสฺส โอวาทํ ทสฺสามี’’ติ ตเตฺถวาคนฺตฺวา อากาเส อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Evaṃ so mahāsattaṃ ovaditvā ākāsena sakaṭṭhānameva gato. Tasmiṃ gate aparopi migājino nāma tāpaso tatheva samāpattito vuṭṭhāya olokento bodhisattaṃ disvā ‘‘mahājanaṃ nivattanatthāya tassa ovādaṃ dassāmī’’ti tatthevāgantvā ākāse attānaṃ dassento āha –

    ๒๖๒.

    262.

    ‘‘พหู หตฺถี จ อเสฺส จ, นคเร ชนปทานิ จ;

    ‘‘Bahū hatthī ca asse ca, nagare janapadāni ca;

    หิตฺวา ชนก ปพฺพชิโต, กปาเล รติมชฺฌคาฯ

    Hitvā janaka pabbajito, kapāle ratimajjhagā.

    ๒๖๓.

    263.

    ‘‘กจฺจิ นุ เต ชานปทา, มิตฺตามจฺจา จ ญาตกา;

    ‘‘Kacci nu te jānapadā, mittāmaccā ca ñātakā;

    ทุพฺภิมกํสุ ชนก, กสฺมา เตตํ อรุจฺจถา’’ติฯ

    Dubbhimakaṃsu janaka, kasmā tetaṃ aruccathā’’ti.

    ตตฺถ กปาเลติ มตฺติกาปตฺตํ สนฺธายาหฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – มหาราช, ตฺวํ เอวรูปํ อิสฺสริยาธิปจฺจํ ฉเฑฺฑตฺวา ปพฺพชิโต อิมสฺมิํ กปาเล รติํ อชฺฌคา อธิคโตติ ปพฺพชฺชาการณํ ปุจฺฉโนฺต เอวมาหฯ ทุพฺภินฺติ กิํ นุ เอเต ตว อนฺตเร กิญฺจิ อปราธํ กริํสุ, กสฺมา ตว เอวรูปํ อิสฺสริยสุขํ ปหาย เอตํ กปาลเมว อรุจฺจิตฺถาติฯ

    Tattha kapāleti mattikāpattaṃ sandhāyāha. Idaṃ vuttaṃ hoti – mahārāja, tvaṃ evarūpaṃ issariyādhipaccaṃ chaḍḍetvā pabbajito imasmiṃ kapāle ratiṃ ajjhagā adhigatoti pabbajjākāraṇaṃ pucchanto evamāha. Dubbhinti kiṃ nu ete tava antare kiñci aparādhaṃ kariṃsu, kasmā tava evarūpaṃ issariyasukhaṃ pahāya etaṃ kapālameva aruccitthāti.

    ตโต มหาสโตฺต อาห –

    Tato mahāsatto āha –

    ๒๖๔.

    264.

    ‘‘น มิคาชิน ชาตุเจฺฉ, อหํ กญฺจิ กุทาจนํ;

    ‘‘Na migājina jātucche, ahaṃ kañci kudācanaṃ;

    อธเมฺมน ชิเน ญาติํ, น จาปิ ญาตโย มม’’นฺติฯ

    Adhammena jine ñātiṃ, na cāpi ñātayo mama’’nti.

    ตตฺถ น มิคาชินาติ อโมฺภ มิคาชิน ชาตุเจฺฉ เอกํเสเนว อหํ กญฺจิ ญาติํ กุทาจนํ กิสฺมิญฺจิ กาเล อธเมฺมน น ชินามิฯ เตปิ จ ญาตโย มํ อธเมฺมน น ชินเนฺตว, อิติ น โกจิ มยิ ทุพฺภิํ นาม อกาสีติ อโตฺถฯ

    Tattha na migājināti ambho migājina jātucche ekaṃseneva ahaṃ kañci ñātiṃ kudācanaṃ kismiñci kāle adhammena na jināmi. Tepi ca ñātayo maṃ adhammena na jinanteva, iti na koci mayi dubbhiṃ nāma akāsīti attho.

    เอวมสฺส ปญฺหํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อิทานิ เยน การเณน ปพฺพชิโต, ตํ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Evamassa pañhaṃ paṭikkhipitvā idāni yena kāraṇena pabbajito, taṃ dassento āha –

    ๒๖๕.

    265.

    ‘‘ทิสฺวาน โลกวตฺตนฺตํ, ขชฺชนฺตํ กทฺทมีกตํ;

    ‘‘Disvāna lokavattantaṃ, khajjantaṃ kaddamīkataṃ;

    หญฺญเร พชฺฌเร เจตฺถ, ยตฺถ สโนฺน ปุถุชฺชโน;

    Haññare bajjhare cettha, yattha sanno puthujjano;

    เอตาหํ อุปมํ กตฺวา, ภิกฺขโกสฺมิ มิคาชินา’’ติฯ

    Etāhaṃ upamaṃ katvā, bhikkhakosmi migājinā’’ti.

    ตตฺถ ทิสฺวาน โลกวตฺตนฺตนฺติ วฎฺฎานุคตสฺส พาลโลกสฺส วตฺตํ ตนฺติํ ปเวณิํ อหมทฺทสํ, ตํ ทิสฺวา ปพฺพชิโตมฺหีติ ทีเปติฯ ขชฺชนฺตํ กทฺทมีกตนฺติ กิเลเสหิ ขชฺชนฺตํ เตเหว จ กทฺทมีกตํ โลกํ ทิสฺวาฯ ยตฺถ สโนฺน ปุถุชฺชโนติ ยมฺหิ กิเลสวตฺถุมฺหิ สโนฺน ลโคฺค ปุถุชฺชโน, ตตฺถ ลคฺคา พหู สตฺตา หญฺญนฺติ เจว อนฺทุพนฺธนาทีหิ จ พชฺฌนฺติฯ เอตาหนฺติ อหมฺปิ สเจ เอตฺถ พชฺฌิสฺสามิ, อิเม สตฺตา วิย หญฺญิสฺสามิ เจว พชฺฌิสฺสามิ จาติ เอวํ เอตเทว การณํ อตฺตโน อุปมํ กตฺวา กทฺทมีกตํ โลกํ ทิสฺวา ภิกฺขโก ชาโตติ อโตฺถฯ มิคาชินาติ ตํ นาเมน อาลปติฯ กถํ ปน เตน ตสฺส นามํ ญาตนฺติ? ปฎิสนฺถารกาเล ปฐมเมว ปุจฺฉิตตฺตาฯ

    Tattha disvāna lokavattantanti vaṭṭānugatassa bālalokassa vattaṃ tantiṃ paveṇiṃ ahamaddasaṃ, taṃ disvā pabbajitomhīti dīpeti. Khajjantaṃ kaddamīkatanti kilesehi khajjantaṃ teheva ca kaddamīkataṃ lokaṃ disvā. Yattha sanno puthujjanoti yamhi kilesavatthumhi sanno laggo puthujjano, tattha laggā bahū sattā haññanti ceva andubandhanādīhi ca bajjhanti. Etāhanti ahampi sace ettha bajjhissāmi, ime sattā viya haññissāmi ceva bajjhissāmi cāti evaṃ etadeva kāraṇaṃ attano upamaṃ katvā kaddamīkataṃ lokaṃ disvā bhikkhako jātoti attho. Migājināti taṃ nāmena ālapati. Kathaṃ pana tena tassa nāmaṃ ñātanti? Paṭisanthārakāle paṭhamameva pucchitattā.

    ตาปโส ตํ การณํ วิตฺถารโต โสตุกาโม หุตฺวา คาถมาห –

    Tāpaso taṃ kāraṇaṃ vitthārato sotukāmo hutvā gāthamāha –

    ๒๖๖.

    266.

    ‘‘โก นุ เต ภควา สตฺถา, กเสฺสตํ วจนํ สุจิ;

    ‘‘Ko nu te bhagavā satthā, kassetaṃ vacanaṃ suci;

    น หิ กปฺปํ วา วิชฺชํ วา, ปจฺจกฺขาย รเถสภ;

    Na hi kappaṃ vā vijjaṃ vā, paccakkhāya rathesabha;

    สมณํ อาหุ วตฺตนฺตํ, ยถา ทุกฺขสฺสติกฺกโม’’ติฯ

    Samaṇaṃ āhu vattantaṃ, yathā dukkhassatikkamo’’ti.

    ตตฺถ กเสฺสตนฺติ เอตํ ตยา วุตฺตํ สุจิวจนํ กสฺส วจนํ นามฯ กปฺปนฺติ กเปฺปตฺวา กเปฺปตฺวา ปวตฺติตานํ อภิญฺญาสมาปตฺตีนํ ลาภิํ กมฺมวาทิํ ตาปสํฯ วิชฺชนฺติ อาสวกฺขยญาณวิชฺชาย สมนฺนาคตํ ปเจฺจกพุทฺธํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – รเถสภ มหาราช, น หิ กปฺปสมณํ วา วิชฺชาสมณํ วา ปจฺจกฺขาย ตโสฺสวาทํ วินา เอวํ ปฎิปชฺชิตุํ สกฺกาฯ ยถา ทุกฺขสฺส อติกฺกโม โหติ, เอวํ วตฺตนฺตํ สมณํ อาหุฯ เตสํ ปน วจนํ สุตฺวา สกฺกา เอวํ ปฎิปชฺชิตุํ, ตสฺมา วเทหิ, โก นุ เต ภควา สตฺถาติฯ

    Tattha kassetanti etaṃ tayā vuttaṃ sucivacanaṃ kassa vacanaṃ nāma. Kappanti kappetvā kappetvā pavattitānaṃ abhiññāsamāpattīnaṃ lābhiṃ kammavādiṃ tāpasaṃ. Vijjanti āsavakkhayañāṇavijjāya samannāgataṃ paccekabuddhaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – rathesabha mahārāja, na hi kappasamaṇaṃ vā vijjāsamaṇaṃ vā paccakkhāya tassovādaṃ vinā evaṃ paṭipajjituṃ sakkā. Yathā dukkhassa atikkamo hoti, evaṃ vattantaṃ samaṇaṃ āhu. Tesaṃ pana vacanaṃ sutvā sakkā evaṃ paṭipajjituṃ, tasmā vadehi, ko nu te bhagavā satthāti.

    มหาสโตฺต อาห –

    Mahāsatto āha –

    ๒๖๗.

    267.

    ‘‘น มิคาชิน ชาตุเจฺฉ, อหํ กญฺจิ กุทาจนํ;

    ‘‘Na migājina jātucche, ahaṃ kañci kudācanaṃ;

    สมณํ พฺราหฺมณํ วาปิ, สกฺกตฺวา อนุปาวิสิ’’นฺติฯ

    Samaṇaṃ brāhmaṇaṃ vāpi, sakkatvā anupāvisi’’nti.

    ตตฺถ สกฺกตฺวาติ ปพฺพชฺชาย คุณปุจฺฉนตฺถาย ปูเชตฺวาฯ อนุปาวิสินฺติ น กญฺจิ อนุปวิฎฺฐปุโพฺพสฺมิ, น มยา อโญฺญ โกจิ สมโณ ปุจฺฉิตปุโพฺพติ วทติฯ อิมินา หิ ปเจฺจกพุทฺธานํ สนฺติเก ธมฺมํ สุณเนฺตนปิ น กทาจิ โอทิสฺสกวเสน ปพฺพชฺชาย คุโณ ปุจฺฉิตปุโพฺพ, ตสฺมา เอวมาหฯ

    Tattha sakkatvāti pabbajjāya guṇapucchanatthāya pūjetvā. Anupāvisinti na kañci anupaviṭṭhapubbosmi, na mayā añño koci samaṇo pucchitapubboti vadati. Iminā hi paccekabuddhānaṃ santike dhammaṃ suṇantenapi na kadāci odissakavasena pabbajjāya guṇo pucchitapubbo, tasmā evamāha.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา เยน การเณน ปพฺพชิโต, ตํ อาทิโต ปฎฺฐาย ทีเปโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā yena kāraṇena pabbajito, taṃ ādito paṭṭhāya dīpento āha –

    ๒๖๘.

    268.

    ‘‘มหตา จานุภาเวน, คจฺฉโนฺต สิริยา ชลํ;

    ‘‘Mahatā cānubhāvena, gacchanto siriyā jalaṃ;

    คียมาเนสุ คีเตสุ, วชฺชมาเนสุ วคฺคุสุฯ

    Gīyamānesu gītesu, vajjamānesu vaggusu.

    ๒๖๙.

    269.

    ‘‘ตูริยตาฬสงฺฆุเฎฺฐ, สมฺมตาลสมาหิเต;

    ‘‘Tūriyatāḷasaṅghuṭṭhe, sammatālasamāhite;

    ส มิคาชิน มทฺทกฺขิํ, ผลิํ อมฺพํ ติโรจฺฉทํ;

    Sa migājina maddakkhiṃ, phaliṃ ambaṃ tirocchadaṃ;

    หญฺญมานํ มนุเสฺสหิ, ผลกาเมหิ ชนฺตุภิฯ

    Haññamānaṃ manussehi, phalakāmehi jantubhi.

    ๒๗๐.

    270.

    ‘‘โส โขหํ ตํ สิริํ หิตฺวา, โอโรหิตฺวา มิคาชิน;

    ‘‘So khohaṃ taṃ siriṃ hitvā, orohitvā migājina;

    มูลํ อมฺพสฺสุปาคจฺฉิํ, ผลิโน นิปฺผลสฺส จฯ

    Mūlaṃ ambassupāgacchiṃ, phalino nipphalassa ca.

    ๒๗๑.

    271.

    ‘‘ผลิํ อมฺพํ หตํ ทิสฺวา, วิทฺธสฺตํ วินฬีกตํ;

    ‘‘Phaliṃ ambaṃ hataṃ disvā, viddhastaṃ vinaḷīkataṃ;

    อเถกํ อิตรํ อมฺพํ, นีโลภาสํ มโนรมํฯ

    Athekaṃ itaraṃ ambaṃ, nīlobhāsaṃ manoramaṃ.

    ๒๗๒.

    272.

    ‘‘เอวเมว นูนเมฺหปิ, อิสฺสเร พหุกณฺฎเก;

    ‘‘Evameva nūnamhepi, issare bahukaṇṭake;

    อมิตฺตา โน วธิสฺสนฺติ, ยถา อโมฺพ ผลี หโตฯ

    Amittā no vadhissanti, yathā ambo phalī hato.

    ๒๗๓.

    273.

    ‘‘อชินมฺหิ หญฺญเต ทีปิ, นาโค ทเนฺตหิ หญฺญเต;

    ‘‘Ajinamhi haññate dīpi, nāgo dantehi haññate;

    ธนมฺหิ ธนิโน หนฺติ, อนิเกตมสนฺถวํ;

    Dhanamhi dhanino hanti, aniketamasanthavaṃ;

    ผลี อโมฺพ อผโล จ, เต สตฺถาโร อุโภ มมา’’ติฯ

    Phalī ambo aphalo ca, te satthāro ubho mamā’’ti.

    ตตฺถ วคฺคุสูติ มธุรสฺสเรสุ ตูริเยสุ วชฺชมาเนสุฯ ตูริยตาฬสงฺฆุเฎฺฐติ ตูริยานํ ตาฬิเตหิ สงฺฆุเฎฺฐ อุยฺยาเนฯ สมฺมตาลสมาหิเตติ สเมฺมหิ จ ตาเลหิ จ สมนฺนาคเตฯ ส มิคาชินาติ มิคาชิน, โส อหํ อทกฺขิํฯ ผลิํ อมฺพนฺติ ผลิตํ อมฺพรุกฺขนฺติ อโตฺถฯ ติโรจฺฉทนฺติ ติโรปาการํ อุยฺยานสฺส อโนฺตฐิตํ พหิปาการํ นิสฺสาย ชาตํ อมฺพรุกฺขํฯ หญฺญมานนฺติ โปถิยมานํฯ โอโรหิตฺวาติ หตฺถิกฺขนฺธา โอตริตฺวาฯ วินฬีกตนฺติ นิปตฺตนฬํ กตํฯ

    Tattha vaggusūti madhurassaresu tūriyesu vajjamānesu. Tūriyatāḷasaṅghuṭṭheti tūriyānaṃ tāḷitehi saṅghuṭṭhe uyyāne. Sammatālasamāhiteti sammehi ca tālehi ca samannāgate. Sa migājināti migājina, so ahaṃ adakkhiṃ. Phaliṃ ambanti phalitaṃ ambarukkhanti attho. Tirocchadanti tiropākāraṃ uyyānassa antoṭhitaṃ bahipākāraṃ nissāya jātaṃ ambarukkhaṃ. Haññamānanti pothiyamānaṃ. Orohitvāti hatthikkhandhā otaritvā. Vinaḷīkatanti nipattanaḷaṃ kataṃ.

    เอวเมวาติ เอวํ เอวฯ ผลีติ ผลสมฺปโนฺนฯ อชินมฺหีติ จมฺมตฺถาย จมฺมการณาฯ ทเนฺตหีติ อตฺตโน ทเนฺตหิ, หญฺญเต ทนฺตนิมิตฺตํ หญฺญเตติ อโตฺถฯ หนฺตีติ หญฺญติฯ อนิเกตมสนฺถวนฺติ โย ปน นิเกตํ ปหาย ปพฺพชิตตฺตา อนิเกโต นาม สตฺตสงฺขารวตฺถุกสฺส ตณฺหาสนฺถวสฺส อภาวา อสนฺถโว นาม, ตํ อนิเกตํ อสนฺถวํ โก หนิสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ เต สตฺถาโรติ เต เทฺว รุกฺขา มม สตฺถาโร อเหสุนฺติ วทติฯ

    Evamevāti evaṃ eva. Phalīti phalasampanno. Ajinamhīti cammatthāya cammakāraṇā. Dantehīti attano dantehi, haññate dantanimittaṃ haññateti attho. Hantīti haññati. Aniketamasanthavanti yo pana niketaṃ pahāya pabbajitattā aniketo nāma sattasaṅkhāravatthukassa taṇhāsanthavassa abhāvā asanthavo nāma, taṃ aniketaṃ asanthavaṃ ko hanissatīti adhippāyo. Te satthāroti te dve rukkhā mama satthāro ahesunti vadati.

    ตํ สุตฺวา มิคาชิโน ‘‘อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ รโญฺญ โอวาทํ ทตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ ตสฺมิํ คเต สีวลิเทวี รโญฺญ ปาทมูเล ปติตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā migājino ‘‘appamatto hohī’’ti rañño ovādaṃ datvā sakaṭṭhānameva gato. Tasmiṃ gate sīvalidevī rañño pādamūle patitvā āha –

    ๒๗๔.

    274.

    ‘‘สโพฺพ ชโน ปพฺยถิโต, ราชา ปพฺพชิโต อิติ;

    ‘‘Sabbo jano pabyathito, rājā pabbajito iti;

    หตฺถาโรหา อนีกฎฺฐา, รถิกา ปตฺติการกาฯ

    Hatthārohā anīkaṭṭhā, rathikā pattikārakā.

    ๒๗๕.

    275.

    ‘‘อสฺสาสยิตฺวา ชนตํ, ฐปยิตฺวา ปฎิจฺฉทํ;

    ‘‘Assāsayitvā janataṃ, ṭhapayitvā paṭicchadaṃ;

    ปุตฺตํ รเชฺช ฐเปตฺวาน, อถ ปจฺฉา ปพฺพชิสฺสสี’’ติฯ

    Puttaṃ rajje ṭhapetvāna, atha pacchā pabbajissasī’’ti.

    ตตฺถ ปพฺยถิโตติ ภีโต อุตฺรโสฺตฯ ปฎิจฺฉทนฺติ อเมฺห ฑยฺหมาเนปิ วิลุปฺปมาเนปิ ราชา น โอโลเกตีติ ปพฺยถิตสฺส มหาชนสฺส อาวรณํ รกฺขํ ฐเปตฺวา ปุตฺตํ ทีฆาวุกุมารํ รเชฺช ฐเปตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา ปจฺฉา ปพฺพชิสฺสสีติ อโตฺถฯ

    Tattha pabyathitoti bhīto utrasto. Paṭicchadanti amhe ḍayhamānepi viluppamānepi rājā na oloketīti pabyathitassa mahājanassa āvaraṇaṃ rakkhaṃ ṭhapetvā puttaṃ dīghāvukumāraṃ rajje ṭhapetvā abhisiñcitvā pacchā pabbajissasīti attho.

    ตโต โพธิสโตฺต อาห –

    Tato bodhisatto āha –

    ๒๗๖.

    276.

    ‘‘จตฺตา มยา ชานปทา, มิตฺตามจฺจา จ ญาตกา;

    ‘‘Cattā mayā jānapadā, mittāmaccā ca ñātakā;

    สนฺติ ปุตฺตา วิเทหานํ, ทีฆาวุ รฎฺฐวฑฺฒโน;

    Santi puttā videhānaṃ, dīghāvu raṭṭhavaḍḍhano;

    เต รชฺชํ การยิสฺสนฺติ, มิถิลายํ ปชาปตี’’ติฯ

    Te rajjaṃ kārayissanti, mithilāyaṃ pajāpatī’’ti.

    ตตฺถ สนฺติ ปุตฺตาติ สีวลิ สมณานํ ปุตฺตา นาม นตฺถิ, วิเทหรฎฺฐวาสีนํ ปน ปุตฺตา ทีฆาวุ อตฺถิ, เต รชฺชํ การยิสฺสนฺติฯ ปชาปตีติ เทวิํ อาลปติฯ

    Tattha santi puttāti sīvali samaṇānaṃ puttā nāma natthi, videharaṭṭhavāsīnaṃ pana puttā dīghāvu atthi, te rajjaṃ kārayissanti. Pajāpatīti deviṃ ālapati.

    เทวี อาห ‘‘เทว, ตุเมฺหสุ ตาว ปพฺพชิเตสุ อหํ กิํ กโรมี’’ติฯ อถ นํ โส ‘‘ภเทฺท, อหํ ตํ อนุสิกฺขามิ, วจนํ เม กโรหี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Devī āha ‘‘deva, tumhesu tāva pabbajitesu ahaṃ kiṃ karomī’’ti. Atha naṃ so ‘‘bhadde, ahaṃ taṃ anusikkhāmi, vacanaṃ me karohī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๒๗๗.

    277.

    ‘‘เอหิ ตํ อนุสิกฺขามิ, ยํ วากฺยํ มม รุจฺจติ;

    ‘‘Ehi taṃ anusikkhāmi, yaṃ vākyaṃ mama ruccati;

    รชฺชํ ตุวํ การยสิ, ปาปํ ทุจฺจริตํ พหุํ;

    Rajjaṃ tuvaṃ kārayasi, pāpaṃ duccaritaṃ bahuṃ;

    กาเยน วาจา มนสา, เยน คจฺฉสิ ทุคฺคติํฯ

    Kāyena vācā manasā, yena gacchasi duggatiṃ.

    ๒๗๘.

    278.

    ‘‘ปรทินฺนเกน ปรนิฎฺฐิเตน, ปิเณฺฑน ยาเปหิ ส ธีรธโมฺม’’ติฯ

    ‘‘Paradinnakena paraniṭṭhitena, piṇḍena yāpehi sa dhīradhammo’’ti.

    ตตฺถ ตุวนฺติ ตฺวํ ปุตฺตสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ‘‘มม ปุตฺตสฺส รชฺช’’นฺติ รชฺชํ อนุสาสมานา พหุํ ปาปํ กริสฺสสิฯ คจฺฉสีติ เยน กายาทีหิ กเตน พหุปาเปน ทุคฺคติํ คมิสฺสสิฯ ส ธีรธโมฺมติ ปิณฺฑิยาโลเปน ยาเปตพฺพํ, เอส ปณฺฑิตานํ ธโมฺมติฯ

    Tattha tuvanti tvaṃ puttassa chattaṃ ussāpetvā ‘‘mama puttassa rajja’’nti rajjaṃ anusāsamānā bahuṃ pāpaṃ karissasi. Gacchasīti yena kāyādīhi katena bahupāpena duggatiṃ gamissasi. Sa dhīradhammoti piṇḍiyālopena yāpetabbaṃ, esa paṇḍitānaṃ dhammoti.

    เอวํ มหาสโตฺต ตสฺสา โอวาทํ อทาสิฯ เตสํ อญฺญมญฺญํ สลฺลปนฺตานํ คจฺฉนฺตานเญฺญว สูริโย อตฺถงฺคโตฯ เทวี ปติรูเป ฐาเน ขนฺธาวารํ นิวาสาเปสิฯ มหาสโตฺตปิ เอกํ รุกฺขมูลํ อุปคโตฯ โส ตตฺถ รตฺติํ วสิตฺวา ปุนทิวเส สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ เทวีปิ ‘‘เสนา ปจฺฉโตว อาคจฺฉตู’’ติ วตฺวา ตสฺส ปจฺฉโตว อโหสิฯ เต ภิกฺขาจารเวลายํ ถูณํ นาม นครํ ปาปุณิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ อโนฺตนคเร เอโก ปุริโส สูณโต มหนฺตํ มํสขณฺฑํ กิณิตฺวา สูเลน องฺคาเรสุ ปจาเปตฺวา นิพฺพาปนตฺถาย ผลกโกฎิยํ ฐเปตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺส อญฺญวิหิตสฺส เอโก สุนโข ตํ อาทาย ปลายิฯ โส ญตฺวา ตํ อนุพนฺธโนฺต ยาว พหิทกฺขิณทฺวารํ คนฺตฺวา นิพฺพิโนฺท นิวตฺติฯ ราชา จ เทวี จ สุนขสฺส ปุรโต คจฺฉนฺตา ทฺวิธา อเหสุํ ฯ โส ภเยน มํสขณฺฑํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิฯ

    Evaṃ mahāsatto tassā ovādaṃ adāsi. Tesaṃ aññamaññaṃ sallapantānaṃ gacchantānaññeva sūriyo atthaṅgato. Devī patirūpe ṭhāne khandhāvāraṃ nivāsāpesi. Mahāsattopi ekaṃ rukkhamūlaṃ upagato. So tattha rattiṃ vasitvā punadivase sarīrapaṭijagganaṃ katvā maggaṃ paṭipajji. Devīpi ‘‘senā pacchatova āgacchatū’’ti vatvā tassa pacchatova ahosi. Te bhikkhācāravelāyaṃ thūṇaṃ nāma nagaraṃ pāpuṇiṃsu. Tasmiṃ khaṇe antonagare eko puriso sūṇato mahantaṃ maṃsakhaṇḍaṃ kiṇitvā sūlena aṅgāresu pacāpetvā nibbāpanatthāya phalakakoṭiyaṃ ṭhapetvā aṭṭhāsi. Tassa aññavihitassa eko sunakho taṃ ādāya palāyi. So ñatvā taṃ anubandhanto yāva bahidakkhiṇadvāraṃ gantvā nibbindo nivatti. Rājā ca devī ca sunakhassa purato gacchantā dvidhā ahesuṃ . So bhayena maṃsakhaṇḍaṃ chaḍḍetvā palāyi.

    มหาสโตฺต ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ สุนโข ฉเฑฺฑตฺวา อนเปโกฺข ปลาโต, อโญฺญปิสฺส สามิโก น ปญฺญายติ, เอวรูโป อนวโชฺช ปํสุกูลปิณฺฑปาโต นาม นตฺถิ, ปริภุญฺชิสฺสามิ น’’นฺติฯ โส มตฺติกาปตฺตํ นีหริตฺวา ตํ มํสขณฺฑํ อาทาย ปุญฺฉิตฺวา ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อุทกผาสุกฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปริภุญฺชิตุํ อารภิฯ ตโต เทวี ‘‘สเจ เอส รเชฺชนตฺถิโก ภเวยฺย, เอวรูปํ เชคุจฺฉํ ปํสุมกฺขิตํ สุนขุจฺฉิฎฺฐกํ น ขาเทยฺยฯ สเจ ขาเทยฺย, อิทาเนส อมฺหากํ สามิโก น ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มหาราช, เอวรูปํ เชคุจฺฉํ ขาทสี’’ติ อาหฯ ‘‘เทวิ, ตฺวํ อนฺธพาลตาย อิมสฺส ปิณฺฑปาตสฺส วิเสสํ น ชานาสี’’ติ วตฺวา ตเสฺสว ปติตฎฺฐานํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อมตํ วิย ปริภุญฺชิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถ โธวติฯ ตสฺมิํ ขเณ เทวี นินฺทมานา อาห –

    Mahāsatto taṃ disvā cintesi ‘‘ayaṃ sunakho chaḍḍetvā anapekkho palāto, aññopissa sāmiko na paññāyati, evarūpo anavajjo paṃsukūlapiṇḍapāto nāma natthi, paribhuñjissāmi na’’nti. So mattikāpattaṃ nīharitvā taṃ maṃsakhaṇḍaṃ ādāya puñchitvā patte pakkhipitvā udakaphāsukaṭṭhānaṃ gantvā paribhuñjituṃ ārabhi. Tato devī ‘‘sace esa rajjenatthiko bhaveyya, evarūpaṃ jegucchaṃ paṃsumakkhitaṃ sunakhucchiṭṭhakaṃ na khādeyya. Sace khādeyya, idānesa amhākaṃ sāmiko na bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘mahārāja, evarūpaṃ jegucchaṃ khādasī’’ti āha. ‘‘Devi, tvaṃ andhabālatāya imassa piṇḍapātassa visesaṃ na jānāsī’’ti vatvā tasseva patitaṭṭhānaṃ paccavekkhitvā amataṃ viya paribhuñjitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthe dhovati. Tasmiṃ khaṇe devī nindamānā āha –

    ๒๗๙.

    279.

    ‘‘โยปิ จตุเตฺถ ภตฺตกาเล น ภุเญฺช, อชุฎฺฐมารีว ขุทาย มิเยฺย;

    ‘‘Yopi catutthe bhattakāle na bhuñje, ajuṭṭhamārīva khudāya miyye;

    น เตฺวว ปิณฺฑํ ลุฬิตํ อนริยํ, กุลปุตฺตรูโป สปฺปุริโส น เสเว;

    Na tveva piṇḍaṃ luḷitaṃ anariyaṃ, kulaputtarūpo sappuriso na seve;

    ตยิทํ น สาธุ ตยิทํ น สุฎฺฐุ, สุนขุจฺฉิฎฺฐกํ ชนก ภุญฺชเส ตุว’’นฺติฯ

    Tayidaṃ na sādhu tayidaṃ na suṭṭhu, sunakhucchiṭṭhakaṃ janaka bhuñjase tuva’’nti.

    ตตฺถ อชุฎฺฐมารีวาติ อนาถมรณเมวฯ ลุฬิตนฺติ ปํสุมกฺขิตํฯ อนริยนฺติ อสุนฺทรํฯ น เสเวติ -กาโร ปริปุจฺฉนเตฺถ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ จตุเตฺถปิ ภตฺตกาเล น ภุเญฺชยฺย, ขุทาย มเรยฺย, นนุ เอวํ สเนฺตปิ กุลปุตฺตรูโป สปฺปุริโส เอวรูปํ ปิณฺฑํ น เตฺวว เสเวยฺยาติฯ ตยิทนฺติ ตํ อิทํฯ

    Tattha ajuṭṭhamārīvāti anāthamaraṇameva. Luḷitanti paṃsumakkhitaṃ. Anariyanti asundaraṃ. Na seveti na-kāro paripucchanatthe nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace catutthepi bhattakāle na bhuñjeyya, khudāya mareyya, nanu evaṃ santepi kulaputtarūpo sappuriso evarūpaṃ piṇḍaṃ na tveva seveyyāti. Tayidanti taṃ idaṃ.

    มหาสโตฺต อาห –

    Mahāsatto āha –

    ๒๘๐.

    280.

    ‘‘น จาปิ เม สีวลิ โส อภโกฺข, ยํ โหติ จตฺตํ คิหิโน สุนสฺส วา;

    ‘‘Na cāpi me sīvali so abhakkho, yaṃ hoti cattaṃ gihino sunassa vā;

    เย เกจิ โภคา อิธ ธมฺมลทฺธา, สโพฺพ โส ภโกฺข อนวโยติ วุโตฺต’’ติฯ

    Ye keci bhogā idha dhammaladdhā, sabbo so bhakkho anavayoti vutto’’ti.

    ตตฺถ อภโกฺขติ โส ปิณฺฑปาโต มม อภโกฺข นาม น โหติฯ ยํ โหตีติ ยํ คิหิโน วา สุนสฺส วา จตฺตํ โหติ, ตํ ปํสุกูลํ นาม อสามิกตฺตา อนวชฺชเมว โหติฯ เย เกจีติ ตสฺมา อเญฺญปิ เย เกจิ ธเมฺมน ลทฺธา โภคา, สโพฺพ โส ภโกฺขฯ อนวโยติ อนุอวโย, อนุปุนปฺปุนํ โอโลกิยมาโนปิ อวโย ปริปุณฺณคุโณ อนวโชฺช, อธมฺมลทฺธํ ปน สหสฺสคฺฆนกมฺปิ ชิคุจฺฉนียเมวาติฯ

    Tattha abhakkhoti so piṇḍapāto mama abhakkho nāma na hoti. Yaṃ hotīti yaṃ gihino vā sunassa vā cattaṃ hoti, taṃ paṃsukūlaṃ nāma asāmikattā anavajjameva hoti. Ye kecīti tasmā aññepi ye keci dhammena laddhā bhogā, sabbo so bhakkho. Anavayoti anuavayo, anupunappunaṃ olokiyamānopi avayo paripuṇṇaguṇo anavajjo, adhammaladdhaṃ pana sahassagghanakampi jigucchanīyamevāti.

    เอวํ เต อญฺญมญฺญํ กเถนฺตาว ถูณนครทฺวารํ สมฺปาปุณิํสุฯ ตตฺร ทาริกาสุ กีฬนฺตีสุ เอกา กุมาริกา ขุทฺทกกุลฺลเกน วาลุกํ ปโปฺผเฎติฯ ตสฺสา เอกสฺมิํ หเตฺถ เอกํ วลยํ, เอกสฺมิํ เทฺว วลยานิฯ ตานิ อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎนฺติ, อิตรํ นิสฺสทฺทํฯ ราชา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘สีวลิเทวี มม ปจฺฉโต จรติ, อิตฺถี จ นาม ปพฺพชิตสฺส มลํ, ‘อยํ ปพฺพชิตฺวาปิ ภริยํ ชหิตุํ น สโกฺกตี’ติ ครหิสฺสนฺติ มํฯ สจายํ กุมาริกา ปณฺฑิตา ภวิสฺสติ, สีวลิเทวิยา นิวตฺตนการณํ กเถสฺสติ, อิมิสฺสา กถํ สุตฺวา สีวลิเทวิํ อุโยฺยเชสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Evaṃ te aññamaññaṃ kathentāva thūṇanagaradvāraṃ sampāpuṇiṃsu. Tatra dārikāsu kīḷantīsu ekā kumārikā khuddakakullakena vālukaṃ papphoṭeti. Tassā ekasmiṃ hatthe ekaṃ valayaṃ, ekasmiṃ dve valayāni. Tāni aññamaññaṃ saṅghaṭṭenti, itaraṃ nissaddaṃ. Rājā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘sīvalidevī mama pacchato carati, itthī ca nāma pabbajitassa malaṃ, ‘ayaṃ pabbajitvāpi bhariyaṃ jahituṃ na sakkotī’ti garahissanti maṃ. Sacāyaṃ kumārikā paṇḍitā bhavissati, sīvalideviyā nivattanakāraṇaṃ kathessati, imissā kathaṃ sutvā sīvalideviṃ uyyojessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๒๘๑.

    281.

    ‘‘กุมาริเก อุปเสนิเย, นิจฺจํ นิคฺคฬมณฺฑิเต;

    ‘‘Kumārike upaseniye, niccaṃ niggaḷamaṇḍite;

    กสฺมา เต เอโก ภุโช ชนติ, เอโก เต น ชนตี ภุโช’’ติฯ

    Kasmā te eko bhujo janati, eko te na janatī bhujo’’ti.

    ตตฺถ อุปเสนิเยติ มาตรํ อุปคนฺตฺวา เสนิเกฯ นิคฺคฬมณฺฑิเตติ อคลิตมณฺฑเนน มณฺฑนสีลิเกติ วทติฯ ชนตีติ สทฺทํ กโรติฯ

    Tattha upaseniyeti mātaraṃ upagantvā senike. Niggaḷamaṇḍiteti agalitamaṇḍanena maṇḍanasīliketi vadati. Janatīti saddaṃ karoti.

    กุมาริกา อาห –

    Kumārikā āha –

    ๒๘๒.

    282.

    ‘‘อิมสฺมิํ เม สมณ หเตฺถ, ปฎิมุกฺกา ทุนีวรา;

    ‘‘Imasmiṃ me samaṇa hatthe, paṭimukkā dunīvarā;

    สงฺฆาตา ชายเต สโทฺท, ทุติยเสฺสว สา คติฯ

    Saṅghātā jāyate saddo, dutiyasseva sā gati.

    ๒๘๓.

    283.

    ‘‘อิมสฺมิํ เม สมณ หเตฺถ, ปฎิมุโกฺก เอกนีวโร;

    ‘‘Imasmiṃ me samaṇa hatthe, paṭimukko ekanīvaro;

    โส อทุติโย น ชนติ, มุนิภูโตว ติฎฺฐติฯ

    So adutiyo na janati, munibhūtova tiṭṭhati.

    ๒๘๔.

    284.

    ‘‘วิวาทปฺปโตฺต ทุติโย, เกเนโก วิวทิสฺสติ;

    ‘‘Vivādappatto dutiyo, keneko vivadissati;

    ตสฺส เต สคฺคกามสฺส, เอกตฺตมุปโรจต’’นฺติฯ

    Tassa te saggakāmassa, ekattamuparocata’’nti.

    ตตฺถ ทุนีวราติ เทฺว วลยานิฯ สงฺฆาตาติ สํหนนโต สงฺฆฎฺฎนโตติ อโตฺถฯ คตีติ นิพฺพตฺติฯ ทุติยเสฺสว หิ เอวรูปา นิพฺพตฺติ โหตีติ อโตฺถฯ โสติ โส นีวโรฯ มุนิภูโตวาติ ปหีนสพฺพกิเลโส อริยปุคฺคโล วิย ติฎฺฐติฯ วิวาทปฺปโตฺตติ สมณ ทุติยโก นาม วิวาทมาปโนฺน โหติ, กลหํ กโรติ, นานาคาหํ คณฺหาติฯ เกเนโกติ เอกโก ปน เกน สทฺธิํ วิวทิสฺสติฯ เอกตฺตมุปโรจตนฺติ เอกีภาโว เต รุจฺจตุฯ สมณา นาม ภคินิมฺปิ อาทาย น จรนฺติ, กิํ ปน ตฺวํ เอวรูปํ อุตฺตมรูปธรํ ภริยํ อาทาย วิจรสิ, อยํ เต อนฺตรายํ กริสฺสติ, อิมํ นีหริตฺวา เอกโกว สมณกมฺมํ กโรหีติ นํ โอวทติฯ

    Tattha dunīvarāti dve valayāni. Saṅghātāti saṃhananato saṅghaṭṭanatoti attho. Gatīti nibbatti. Dutiyasseva hi evarūpā nibbatti hotīti attho. Soti so nīvaro. Munibhūtovāti pahīnasabbakileso ariyapuggalo viya tiṭṭhati. Vivādappattoti samaṇa dutiyako nāma vivādamāpanno hoti, kalahaṃ karoti, nānāgāhaṃ gaṇhāti. Kenekoti ekako pana kena saddhiṃ vivadissati. Ekattamuparocatanti ekībhāvo te ruccatu. Samaṇā nāma bhaginimpi ādāya na caranti, kiṃ pana tvaṃ evarūpaṃ uttamarūpadharaṃ bhariyaṃ ādāya vicarasi, ayaṃ te antarāyaṃ karissati, imaṃ nīharitvā ekakova samaṇakammaṃ karohīti naṃ ovadati.

    โส ตสฺสา กุมาริกาย วจนํ สุตฺวา ปจฺจยํ ลภิตฺวา เทวิยา สทฺธิํ กเถโนฺต อาห –

    So tassā kumārikāya vacanaṃ sutvā paccayaṃ labhitvā deviyā saddhiṃ kathento āha –

    ๒๘๕.

    285.

    ‘‘สุณาสิ สีวลิ กถา, กุมาริยา ปเวทิตา;

    ‘‘Suṇāsi sīvali kathā, kumāriyā paveditā;

    เปสิยา มํ ครหิโตฺถ, ทุติยเสฺสว สา คติฯ

    Pesiyā maṃ garahittho, dutiyasseva sā gati.

    ๒๘๖.

    286.

    ‘‘อยํ เทฺวธาปโถ ภเทฺท, อนุจิโณฺณ ปถาวิหิ;

    ‘‘Ayaṃ dvedhāpatho bhadde, anuciṇṇo pathāvihi;

    เตสํ ตฺวํ เอกํ คณฺหาหิ, อหเมกํ ปุนาปรํฯ

    Tesaṃ tvaṃ ekaṃ gaṇhāhi, ahamekaṃ punāparaṃ.

    ๒๘๗.

    287.

    ‘‘มาวจ มํ ตฺวํ ‘ปติ เม’ติ, นาหํ ‘ภริยา’ติ วา ปุนา’’ติฯ

    ‘‘Māvaca maṃ tvaṃ ‘pati me’ti, nāhaṃ ‘bhariyā’ti vā punā’’ti.

    ตตฺถ กุมาริยา ปเวทิตาติ กุมาริกาย กถิตาฯ เปสิยาติ สจาหํ รชฺชํ กาเรยฺยํ, เอสา เม เปสิยา วจนการิกา ภเวยฺย, โอโลเกตุมฺปิ มํ น วิสเหยฺยฯ อิทานิ ปน อตฺตโน เปสิยํ วิย จ มญฺญติ, ‘‘ทุติยเสฺสว สา คตี’’ติ มํ โอวทติฯ อนุจิโณฺณติ อนุสญฺจริโตฯ ปถาวิหีติ ปถิเกหิฯ เอกนฺติ ตว รุจฺจนกํ เอกํ มคฺคํ คณฺห, อหํ ปน ตยา คหิตาวเสสํ อปรํ คณฺหิสฺสามิฯ มาวจ มํ ตฺวนฺติ สีวลิ อิโต ปฎฺฐาย ปุน มํ ‘‘ปติ เม’’ติ มา อวจ, อหํ วา ตฺวํ ‘‘ภริยา เม’’ติ นาวจํฯ

    Tattha kumāriyā paveditāti kumārikāya kathitā. Pesiyāti sacāhaṃ rajjaṃ kāreyyaṃ, esā me pesiyā vacanakārikā bhaveyya, oloketumpi maṃ na visaheyya. Idāni pana attano pesiyaṃ viya ca maññati, ‘‘dutiyasseva sā gatī’’ti maṃ ovadati. Anuciṇṇoti anusañcarito. Pathāvihīti pathikehi. Ekanti tava ruccanakaṃ ekaṃ maggaṃ gaṇha, ahaṃ pana tayā gahitāvasesaṃ aparaṃ gaṇhissāmi. Māvaca maṃ tvanti sīvali ito paṭṭhāya puna maṃ ‘‘pati me’’ti mā avaca, ahaṃ vā tvaṃ ‘‘bhariyā me’’ti nāvacaṃ.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘เทว, ตุเมฺห อุตฺตมา, ทกฺขิณมคฺคํ คณฺหถ, อหํ วามมคฺคํ คณฺหิสฺสามี’’ติ วตฺวา โถกํ คนฺตฺวา โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี ปุนาคนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํ กเถนฺตี เอกโตว นครํ ปาวิสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อุปฑฺฒคาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘deva, tumhe uttamā, dakkhiṇamaggaṃ gaṇhatha, ahaṃ vāmamaggaṃ gaṇhissāmī’’ti vatvā thokaṃ gantvā sokaṃ sandhāretuṃ asakkontī punāgantvā raññā saddhiṃ kathentī ekatova nagaraṃ pāvisi. Tamatthaṃ pakāsento satthā upaḍḍhagāthamāha –

    ‘‘อิมเมว กถยนฺตา, ถูณํ นครุปาคมุ’’นฺติฯ

    ‘‘Imameva kathayantā, thūṇaṃ nagarupāgamu’’nti.

    ตตฺถ นครุปาคมุนฺติ นครํ ปวิฎฺฐาฯ

    Tattha nagarupāgamunti nagaraṃ paviṭṭhā.

    ปวิสิตฺวา จ ปน มหาสโตฺต ปิณฺฑตฺถาย จรโนฺต อุสุการสฺส เคหทฺวารํ ปโตฺตฯ สีวลิเทวีปิ เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ สมเย อุสุกาโร องฺคารกปเลฺล อุสุํ ตาเปตฺวา กญฺชิเยน เตเมตฺวา เอกํ อกฺขิํ นิมีเลตฺวา เอเกน อกฺขินา โอโลเกโนฺต อุชุํ กโรติฯ ตํ ทิสฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘สจายํ ปณฺฑิโต ภวิสฺสติ, มยฺหํ เอกํ การณํ กเถสฺสติ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติฯ โส อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉติฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Pavisitvā ca pana mahāsatto piṇḍatthāya caranto usukārassa gehadvāraṃ patto. Sīvalidevīpi ekamantaṃ aṭṭhāsi. Tasmiṃ samaye usukāro aṅgārakapalle usuṃ tāpetvā kañjiyena temetvā ekaṃ akkhiṃ nimīletvā ekena akkhinā olokento ujuṃ karoti. Taṃ disvā mahāsatto cintesi ‘‘sacāyaṃ paṇḍito bhavissati, mayhaṃ ekaṃ kāraṇaṃ kathessati, pucchissāmi na’’nti. So upasaṅkamitvā pucchati. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๒๘๘.

    288.

    ‘‘โกฎฺฐเก อุสุการสฺส, ภตฺตกาเล อุปฎฺฐิเต;

    ‘‘Koṭṭhake usukārassa, bhattakāle upaṭṭhite;

    ตตฺรา จ โส อุสุกาโร, เอกํ ทณฺฑํ อุชุํ กตํ;

    Tatrā ca so usukāro, ekaṃ daṇḍaṃ ujuṃ kataṃ;

    เอกญฺจ จกฺขุํ นิคฺคยฺห, ชิมฺหเมเกน เปกฺขตี’’ติฯ

    Ekañca cakkhuṃ niggayha, jimhamekena pekkhatī’’ti.

    ตตฺถ โกฎฺฐเกติ ภิกฺขเว, โส ราชา อตฺตโน ภตฺตกาเล อุปฎฺฐิเต อุสุการสฺส โกฎฺฐเก อฎฺฐาสิฯ ตตฺรา จาติ ตสฺมิญฺจ โกฎฺฐเกฯ นิคฺคยฺหาติ นิมีเลตฺวาฯ ชิมฺหเมเกนาติ เอเกน อกฺขินา วงฺกํ สรํ เปกฺขติฯ

    Tattha koṭṭhaketi bhikkhave, so rājā attano bhattakāle upaṭṭhite usukārassa koṭṭhake aṭṭhāsi. Tatrā cāti tasmiñca koṭṭhake. Niggayhāti nimīletvā. Jimhamekenāti ekena akkhinā vaṅkaṃ saraṃ pekkhati.

    อถ นํ มหาสโตฺต อาห –

    Atha naṃ mahāsatto āha –

    ๒๘๙.

    289.

    ‘‘เอวํ โน สาธุ ปสฺสสิ, อุสุการ สุโณหิ เม;

    ‘‘Evaṃ no sādhu passasi, usukāra suṇohi me;

    ยเทกํ จกฺขุํ นิคฺคยฺห, ชิมฺหเมเกน เปกฺขสี’’ติฯ

    Yadekaṃ cakkhuṃ niggayha, jimhamekena pekkhasī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – สมฺม อุสุการ, เอวํ นุ ตฺวํ สาธุ ปสฺสสิ, ยํ เอกํ จกฺขุํ นิมีเลตฺวา เอเกน จกฺขุนา วงฺกํ สรํ เปกฺขสีติฯ

    Tassattho – samma usukāra, evaṃ nu tvaṃ sādhu passasi, yaṃ ekaṃ cakkhuṃ nimīletvā ekena cakkhunā vaṅkaṃ saraṃ pekkhasīti.

    อถสฺส โส กเถโนฺต อาห –

    Athassa so kathento āha –

    ๒๙๐.

    290.

    ‘‘ทฺวีหิ สมณ จกฺขูหิ, วิสาลํ วิย ขายติ;

    ‘‘Dvīhi samaṇa cakkhūhi, visālaṃ viya khāyati;

    อสมฺปตฺวา ปรมํ ลิงฺคํ, นุชุภาวาย กปฺปติฯ

    Asampatvā paramaṃ liṅgaṃ, nujubhāvāya kappati.

    ๒๙๑.

    291.

    ‘‘เอกญฺจ จกฺขุํ นิคฺคยฺห, ชิมฺหเมเกน เปกฺขโต;

    ‘‘Ekañca cakkhuṃ niggayha, jimhamekena pekkhato;

    สมฺปตฺวา ปรมํ ลิงฺคํ, อุชุภาวาย กปฺปติฯ

    Sampatvā paramaṃ liṅgaṃ, ujubhāvāya kappati.

    ๒๙๒.

    292.

    ‘‘วิวาทปฺปโตฺต ทุติโย, เกเนโก วิวทิสฺสติ;

    ‘‘Vivādappatto dutiyo, keneko vivadissati;

    ตสฺส เต สคฺคกามสฺส, เอกตฺตมุปโรจต’’นฺติฯ

    Tassa te saggakāmassa, ekattamuparocata’’nti.

    ตตฺถ วิสาลํ วิยาติ วิตฺถิณฺณํ วิย หุตฺวา ขายติฯ อสมฺปตฺวา ปรมํ ลิงฺคนฺติ ปรโต วงฺกฎฺฐานํ อปฺปตฺวาฯ นุชุภาวายาติ น อุชุภาวายฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – วิสาเล ขายมาเน ปรโต อุชุฎฺฐานํ วา วงฺกฎฺฐานํ วา น ปาปุเณยฺย, ตสฺมิํ อสมฺปเตฺต อทิสฺสมาเน อุชุภาวาย กิจฺจํ น กปฺปติ น สมฺปชฺชตีติฯ สมฺปตฺวาติ จกฺขุนา ปตฺวา , ทิสฺวาติ อโตฺถฯ วิวาทปฺปโตฺตติ ยถา ทุติเย อกฺขิมฺหิ อุมฺมีลิเต ลิงฺคํ น ปญฺญายติ, วงฺกฎฺฐานมฺปิ อุชุกํ ปญฺญายติ, อุชุฎฺฐานมฺปิ วงฺกํ ปญฺญายตีติ วิวาโท โหติ, เอวํ สมณสฺสปิ ทุติโย นาม วิวาทมาปโนฺน โหติ, กลหํ กโรติ, นานาคาหํ คณฺหาติฯ เกเนโกติ เอโก ปน เกน สทฺธิํ วิวทิสฺสติฯ เอกตฺตมุปโรจตนฺติ เอกีภาโว เต รุจฺจตุฯ สมณา นาม ภคินิมฺปิ อาทาย น จรนฺติ, กิํ ปน ตฺวํ เอวรูปํ อุตฺตมรูปธรํ ภริยํ อาทาย วิจรสิฯ อยํ เต อนฺตรายํ กริสฺสติ, อิมํ นีหริตฺวา เอกโกว สมณธมฺมํ กโรหีติ โส ตํ โอวทติฯ

    Tattha visālaṃ viyāti vitthiṇṇaṃ viya hutvā khāyati. Asampatvā paramaṃ liṅganti parato vaṅkaṭṭhānaṃ appatvā. Nujubhāvāyāti na ujubhāvāya. Idaṃ vuttaṃ hoti – visāle khāyamāne parato ujuṭṭhānaṃ vā vaṅkaṭṭhānaṃ vā na pāpuṇeyya, tasmiṃ asampatte adissamāne ujubhāvāya kiccaṃ na kappati na sampajjatīti. Sampatvāti cakkhunā patvā , disvāti attho. Vivādappattoti yathā dutiye akkhimhi ummīlite liṅgaṃ na paññāyati, vaṅkaṭṭhānampi ujukaṃ paññāyati, ujuṭṭhānampi vaṅkaṃ paññāyatīti vivādo hoti, evaṃ samaṇassapi dutiyo nāma vivādamāpanno hoti, kalahaṃ karoti, nānāgāhaṃ gaṇhāti. Kenekoti eko pana kena saddhiṃ vivadissati. Ekattamuparocatanti ekībhāvo te ruccatu. Samaṇā nāma bhaginimpi ādāya na caranti, kiṃ pana tvaṃ evarūpaṃ uttamarūpadharaṃ bhariyaṃ ādāya vicarasi. Ayaṃ te antarāyaṃ karissati, imaṃ nīharitvā ekakova samaṇadhammaṃ karohīti so taṃ ovadati.

    เอวมสฺส โส โอวาทํ ทตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ มหาสโตฺตปิ ปิณฺฑาย จริตฺวา มิสฺสกภตฺตํ สํกฑฺฒิตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อุทกผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา กตภตฺตกิโจฺจ มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ปตฺตํ ถวิกาย โอสาเรตฺวา สีวลิเทวิํ อามเนฺตตฺวา อาห –

    Evamassa so ovādaṃ datvā tuṇhī ahosi. Mahāsattopi piṇḍāya caritvā missakabhattaṃ saṃkaḍḍhitvā nagarā nikkhamitvā udakaphāsukaṭṭhāne nisīditvā katabhattakicco mukhaṃ vikkhāletvā pattaṃ thavikāya osāretvā sīvalideviṃ āmantetvā āha –

    ๒๙๓.

    293.

    ‘‘สุณาสิ สีวลิ กถา, อุสุกาเรน เวทิตา;

    ‘‘Suṇāsi sīvali kathā, usukārena veditā;

    เปสิยา มํ ครหิโตฺถ, ทุติยเสฺสว สา คติฯ

    Pesiyā maṃ garahittho, dutiyasseva sā gati.

    ๒๙๔.

    294.

    ‘‘อยํ เทฺวธาปโถ ภเทฺท, อนุจิโณฺณ ปถาวิหิ;

    ‘‘Ayaṃ dvedhāpatho bhadde, anuciṇṇo pathāvihi;

    เตสํ ตฺวํ เอกํ คณฺหาหิ, อหเมกํ ปุนาปรํฯ

    Tesaṃ tvaṃ ekaṃ gaṇhāhi, ahamekaṃ punāparaṃ.

    ๒๙๕.

    295.

    ‘‘มาวจ มํ ตฺวํ ‘ปติ เม’ติ, นาหํ ‘ภริยา’ติ วา ปุนา’’ติฯ

    ‘‘Māvaca maṃ tvaṃ ‘pati me’ti, nāhaṃ ‘bhariyā’ti vā punā’’ti.

    ตตฺถ สุณาสีติ สุณ, ตฺวํ กถาฯ ‘‘เปสิยา ม’’นฺติ อิทํ ปน กุมาริกาย โอวาทเมว สนฺธายาหฯ

    Tattha suṇāsīti suṇa, tvaṃ kathā. ‘‘Pesiyā ma’’nti idaṃ pana kumārikāya ovādameva sandhāyāha.

    สา กิร ‘‘มาวจ มํ ตฺวํ ‘ปติ เม’ติ’’ วุตฺตาปิ มหาสตฺตํ อนุพนฺธิเยวฯ ราชา นํ นิวเตฺตตุํ น สโกฺกติฯ มหาชโนปิ อนุพนฺธิฯ ตโต ปน อฎวี อวิทูเร โหติฯ มหาสโตฺต นีลวนราชิํ ทิสฺวา ตํ นิวเตฺตตุกาโม หุตฺวา คจฺฉโนฺตเยว มคฺคสมีเป มุญฺชติณํ อทฺทสฯ โส ตโต อีสิกํ ลุญฺจิตฺวา ‘‘ปสฺสสิ สีวลิ, อยํ อิธ ปุน ฆเฎตุํ น สกฺกา, เอวเมว ปุน มยฺหํ ตยา สทฺธิํ สํวาโส นาม ฆเฎตุํ น สกฺกา’’ติ วตฺวา อิมํ อุปฑฺฒคาถมาห –

    Sā kira ‘‘māvaca maṃ tvaṃ ‘pati me’ti’’ vuttāpi mahāsattaṃ anubandhiyeva. Rājā naṃ nivattetuṃ na sakkoti. Mahājanopi anubandhi. Tato pana aṭavī avidūre hoti. Mahāsatto nīlavanarājiṃ disvā taṃ nivattetukāmo hutvā gacchantoyeva maggasamīpe muñjatiṇaṃ addasa. So tato īsikaṃ luñcitvā ‘‘passasi sīvali, ayaṃ idha puna ghaṭetuṃ na sakkā, evameva puna mayhaṃ tayā saddhiṃ saṃvāso nāma ghaṭetuṃ na sakkā’’ti vatvā imaṃ upaḍḍhagāthamāha –

    ‘‘มุญฺชาเวสิกา ปวาฬฺหา, เอกา วิหร สีวลี’’ติฯ

    ‘‘Muñjāvesikā pavāḷhā, ekā vihara sīvalī’’ti.

    ตตฺถ เอกา วิหราติ อหํ เอกีภาเวน วิหริสฺสามิ, ตฺวมฺปิ เอกา วิหราหีติ ตสฺสา โอวาทมทาสิฯ

    Tattha ekā viharāti ahaṃ ekībhāvena viharissāmi, tvampi ekā viharāhīti tassā ovādamadāsi.

    ตํ สุตฺวา สีวลิเทวี ‘‘อิโตทานิ ปฎฺฐาย นตฺถิ มยฺหํ มหาชนกนริเนฺทน สทฺธิํ สํวาโส’’ติ โสกํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี อุโภหิ หเตฺถหิ อุรํ ปหริตฺวา มหามเคฺค ปติฯ มหาสโตฺต ตสฺสา วิสญฺญิภาวํ ญตฺวา ปทํ วิโกเปตฺวา อรญฺญํ ปาวิสิฯ อมจฺจา อาคนฺตฺวา ตสฺสา สรีรํ อุทเกน สิญฺจิตฺวา หตฺถปาเท ปริมชฺชิตฺวา สญฺญํ ลภาเปสุํฯ สา ‘‘ตาตา, กุหิํ ราชา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นนุ ตุเมฺหว ชานาถา’’ติ? ‘‘อุปธาเรถ ตาตา’’ติฯ เต อิโต จิโต ธาวิตฺวา วิจินนฺตาปิ มหาสตฺตํ น ปสฺสิํสุฯ เทวี มหาปริเทวํ ปริเทวิตฺวา รโญฺญ ฐิตฎฺฐาเน เจติยํ กาเรตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา นิวตฺติฯ มหาสโตฺตปิ หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว ปญฺจ อภิญฺญา จ, อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา ปุน มนุสฺสปถํ นาคมิฯ เทวีปิ อุสุกาเรน สทฺธิํ กถิตฎฺฐาเน, กุมาริกาย สทฺธิํ กถิตฎฺฐาเน, มํสปริโภคฎฺฐาเน, มิคาชิเนน สทฺธิํ กถิตฎฺฐาเน, นารเทน สทฺธิํ กถิตฎฺฐาเน จาติ สพฺพฎฺฐาเนสุ เจติยานิ กาเรตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา เสนงฺคปริวุตา มิถิลํ ปตฺวา อมฺพวนุยฺยาเน ปุตฺตสฺส อภิเสกํ กาเรตฺวา ตํ เสนงฺคปริวุตํ นครํ เปเสตฺวา สยํ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตเตฺถว อุยฺยาเน วสนฺตี กสิณปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกปรายณา อโหสิฯ มหาสโตฺตปิ อปริหีนชฺฌาโน หุตฺวา พฺรหฺมโลกปรายโณ อโหสิฯ

    Taṃ sutvā sīvalidevī ‘‘itodāni paṭṭhāya natthi mayhaṃ mahājanakanarindena saddhiṃ saṃvāso’’ti sokaṃ sandhāretuṃ asakkontī ubhohi hatthehi uraṃ paharitvā mahāmagge pati. Mahāsatto tassā visaññibhāvaṃ ñatvā padaṃ vikopetvā araññaṃ pāvisi. Amaccā āgantvā tassā sarīraṃ udakena siñcitvā hatthapāde parimajjitvā saññaṃ labhāpesuṃ. Sā ‘‘tātā, kuhiṃ rājā’’ti pucchi. ‘‘Nanu tumheva jānāthā’’ti? ‘‘Upadhāretha tātā’’ti. Te ito cito dhāvitvā vicinantāpi mahāsattaṃ na passiṃsu. Devī mahāparidevaṃ paridevitvā rañño ṭhitaṭṭhāne cetiyaṃ kāretvā gandhamālādīhi pūjetvā nivatti. Mahāsattopi himavantaṃ pavisitvā sattāhabbhantareyeva pañca abhiññā ca, aṭṭha samāpattiyo ca nibbattetvā puna manussapathaṃ nāgami. Devīpi usukārena saddhiṃ kathitaṭṭhāne, kumārikāya saddhiṃ kathitaṭṭhāne, maṃsaparibhogaṭṭhāne, migājinena saddhiṃ kathitaṭṭhāne, nāradena saddhiṃ kathitaṭṭhāne cāti sabbaṭṭhānesu cetiyāni kāretvā gandhamālādīhi pūjetvā senaṅgaparivutā mithilaṃ patvā ambavanuyyāne puttassa abhisekaṃ kāretvā taṃ senaṅgaparivutaṃ nagaraṃ pesetvā sayaṃ isipabbajjaṃ pabbajitvā tattheva uyyāne vasantī kasiṇaparikammaṃ katvā jhānaṃ nibbattetvā brahmalokaparāyaṇā ahosi. Mahāsattopi aparihīnajjhāno hutvā brahmalokaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สมุทฺทรกฺขิกา เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, นารโท สาริปุโตฺต, มิคาชิโน โมคฺคลฺลาโน, กุมาริกา เขมา ภิกฺขุนี, อุสุกาโร อานโนฺท, สีวลิเทวี ราหุลมาตา, ทีฆาวุกุมาโร ราหุโล, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, มหาชนกนริโนฺท ปน อหเมว สมฺมาสมฺพุโทฺธ อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato mahābhinikkhamanaṃ nikkhantoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā samuddarakkhikā devadhītā uppalavaṇṇā ahosi, nārado sāriputto, migājino moggallāno, kumārikā khemā bhikkhunī, usukāro ānando, sīvalidevī rāhulamātā, dīghāvukumāro rāhulo, mātāpitaro mahārājakulāni, mahājanakanarindo pana ahameva sammāsambuddho ahosi’’nti.

    มหาชนกชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Mahājanakajātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๓๙. มหาชนกชาตกํ • 539. Mahājanakajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact