Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๘. อฎฺฐกนิปาโต

    8. Aṭṭhakanipāto

    ๑. มหากจฺจายนเตฺถรคาถาวณฺณนา

    1. Mahākaccāyanattheragāthāvaṇṇanā

    อฎฺฐกนิปาเต กมฺมํ พหุกนฺติอาทิกา อายสฺมโต มหากจฺจายนเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล คหปติมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วุทฺธิปฺปโตฺต, เอกทิวสํ สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารา สํขิเตฺตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ วิภชนฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิยมานํ เอกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา, สยมฺปิ ตํ ฐานํ ปเตฺถโนฺต ปณิธานํ กตฺวา, ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา, เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต สุเมธสฺส ภควโต กาเล วิชฺชาธโร หุตฺวา อากาเสน คจฺฉโนฺต สตฺถารํ หิมวนฺตปพฺพเต เอกสฺมิํ วนสเณฺฑ นิสินฺนํ ทิสฺวา ปสนฺนมานโส กณิการปุเปฺผหิ ปูชํ อกาสิฯ

    Aṭṭhakanipāte kammaṃ bahukantiādikā āyasmato mahākaccāyanattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayampi purimabuddhesu katādhikāro padumuttarassa bhagavato kāle gahapatimahāsālakule nibbattitvā vuddhippatto, ekadivasaṃ satthu santike dhammaṃ suṇanto satthārā saṃkhittena bhāsitassa vitthārena atthaṃ vibhajantānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapiyamānaṃ ekaṃ bhikkhuṃ disvā, sayampi taṃ ṭhānaṃ patthento paṇidhānaṃ katvā, dānādīni puññāni katvā, devamanussesu saṃsaranto sumedhassa bhagavato kāle vijjādharo hutvā ākāsena gacchanto satthāraṃ himavantapabbate ekasmiṃ vanasaṇḍe nisinnaṃ disvā pasannamānaso kaṇikārapupphehi pūjaṃ akāsi.

    โส เตน ปุญฺญกเมฺมน อปราปรํ สุคตีสุเยว ปริวเตฺตโนฺต กสฺสปทสพลสฺส กาเล พาราณสิยํ กุลฆเร นิพฺพตฺติตฺวา ปรินิพฺพุเต ภควติ สุวณฺณเจติยกรณฎฺฐาเน สตสหสฺสคฺฆนิกาย สุวณฺณิฎฺฐกาย ปูชํ กตฺวา, ‘‘ภควา มยฺหํ นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน สรีรํ สุวณฺณวณฺณํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ

    So tena puññakammena aparāparaṃ sugatīsuyeva parivattento kassapadasabalassa kāle bārāṇasiyaṃ kulaghare nibbattitvā parinibbute bhagavati suvaṇṇacetiyakaraṇaṭṭhāne satasahassagghanikāya suvaṇṇiṭṭhakāya pūjaṃ katvā, ‘‘bhagavā mayhaṃ nibbattanibbattaṭṭhāne sarīraṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ hotū’’ti patthanaṃ akāsi.

    ตโต ยาวชีวํ กุสลกมฺมํ กตฺวา เอกํ พุทฺธนฺตรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสริตฺวา อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท อุเชฺชนิยํ รโญฺญ จณฺฑปโชฺชตสฺส ปุโรหิตเคเห นิพฺพตฺติฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส มาตา ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต สุวณฺณวโณฺณ, อตฺตโน นามํ คเหตฺวา อาคโต’’ติ กญฺจนมาณโว เตฺวว นามํ อกาสิฯ โส วุฑฺฒิมนฺวาย ตโย เวเท อุคฺคเหตฺวา ปิตุ อจฺจเยน ปุโรหิตฎฺฐานํ ลภิฯ โส โคตฺตวเสน กจฺจายโนติ ปญฺญายิตฺถฯ ตํ ราชา จณฺฑปโชฺชโต พุทฺธุปฺปาทํ สุตฺวา, ‘‘อาจริย, ตฺวํ ตตฺถ คนฺตฺวา สตฺถารํ อิธาเนหี’’ติ เปเสสิฯ โส อตฺตฎฺฐโม สตฺถุ สนฺติกํ อุปคโตฯ ตสฺส สตฺถา ธมฺมํ เทเสติฯ เทสนาปริโยสาเน โส สตฺตหิ ชเนหิ สทฺธิํ สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๕๔.๑-๒๗) –

    Tato yāvajīvaṃ kusalakammaṃ katvā ekaṃ buddhantaraṃ devamanussesu saṃsaritvā imasmiṃ buddhuppāde ujjeniyaṃ rañño caṇḍapajjotassa purohitagehe nibbatti. Tassa nāmaggahaṇadivase mātā ‘‘mayhaṃ putto suvaṇṇavaṇṇo, attano nāmaṃ gahetvā āgato’’ti kañcanamāṇavo tveva nāmaṃ akāsi. So vuḍḍhimanvāya tayo vede uggahetvā pitu accayena purohitaṭṭhānaṃ labhi. So gottavasena kaccāyanoti paññāyittha. Taṃ rājā caṇḍapajjoto buddhuppādaṃ sutvā, ‘‘ācariya, tvaṃ tattha gantvā satthāraṃ idhānehī’’ti pesesi. So attaṭṭhamo satthu santikaṃ upagato. Tassa satthā dhammaṃ deseti. Desanāpariyosāne so sattahi janehi saddhiṃ saha paṭisambhidāhi arahatte patiṭṭhāsi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 2.54.1-27) –

    ‘‘ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน, อเนโช อชิตํ ชโย;

    ‘‘Padumuttaro nāma jino, anejo ajitaṃ jayo;

    สตสหเสฺส กปฺปานํ, อิโต อุปฺปชฺชิ นายโกฯ

    Satasahasse kappānaṃ, ito uppajji nāyako.

    ‘‘วีโร กมลปตฺตโกฺข, สสงฺกวิมลานโน;

    ‘‘Vīro kamalapattakkho, sasaṅkavimalānano;

    กนกาจลสงฺกาโส, รวิทิตฺติสมปฺปโภฯ

    Kanakācalasaṅkāso, ravidittisamappabho.

    ‘‘สตฺตเนตฺตมโนหารี, วรลกฺขณภูสิโต;

    ‘‘Sattanettamanohārī, varalakkhaṇabhūsito;

    สพฺพวากฺยปถาตีโต, มนุชามรสกฺกโตฯ

    Sabbavākyapathātīto, manujāmarasakkato.

    ‘‘สมฺพุโทฺธ โพธยํ สเตฺต, วาคีโส มธุรสฺสโร;

    ‘‘Sambuddho bodhayaṃ satte, vāgīso madhurassaro;

    กรุณานิพนฺธสนฺตาโน, ปริสาสุ วิสารโทฯ

    Karuṇānibandhasantāno, parisāsu visārado.

    ‘‘เทเสติ มธุรํ ธมฺมํ, จตุสจฺจูปสํหิตํ;

    ‘‘Deseti madhuraṃ dhammaṃ, catusaccūpasaṃhitaṃ;

    นิมุเคฺค โมหปงฺกมฺหิ, สมุทฺธรติ ปาณิเนฯ

    Nimugge mohapaṅkamhi, samuddharati pāṇine.

    ‘‘ตทา เอกจโร หุตฺวา, ตาปโส หิมวาลโย;

    ‘‘Tadā ekacaro hutvā, tāpaso himavālayo;

    นภสา มานุสํ โลกํ, คจฺฉโนฺต ชินมทฺทสํฯ

    Nabhasā mānusaṃ lokaṃ, gacchanto jinamaddasaṃ.

    ‘‘อุเปจฺจ สนฺติกํ ตสฺส, อโสฺสสิํ ธมฺมเทสนํ;

    ‘‘Upecca santikaṃ tassa, assosiṃ dhammadesanaṃ;

    วณฺณยนฺตสฺส วีรสฺส, สาวกสฺส มหาคุณํฯ

    Vaṇṇayantassa vīrassa, sāvakassa mahāguṇaṃ.

    ‘‘สํขิเตฺตน มยา วุตฺตํ, วิตฺถาเรน ปกาสยํ;

    ‘‘Saṃkhittena mayā vuttaṃ, vitthārena pakāsayaṃ;

    ปริสํ มญฺจ โตเสติ, ยถา กจฺจายโน อยํฯ

    Parisaṃ mañca toseti, yathā kaccāyano ayaṃ.

    ‘‘นาหํ เอวมิเธกจฺจํ, อญฺญํ ปสฺสามิ สาวกํ;

    ‘‘Nāhaṃ evamidhekaccaṃ, aññaṃ passāmi sāvakaṃ;

    ตสฺมาตทเคฺค เอสโคฺค, เอวํ ธาเรถ ภิกฺขโวฯ

    Tasmātadagge esaggo, evaṃ dhāretha bhikkhavo.

    ‘‘ตทาหํ วิมฺหิโต หุตฺวา, สุตฺวา วากฺยํ มโนรมํ;

    ‘‘Tadāhaṃ vimhito hutvā, sutvā vākyaṃ manoramaṃ;

    หิมวนฺตํ คมิตฺวาน, อาหิตฺวา ปุปฺผสญฺจยํฯ

    Himavantaṃ gamitvāna, āhitvā pupphasañcayaṃ.

    ‘‘ปูเชตฺวา โลกสรณํ, ตํ ฐานมภิปตฺถยิํ;

    ‘‘Pūjetvā lokasaraṇaṃ, taṃ ṭhānamabhipatthayiṃ;

    ตทา มมาสยํ ญตฺวา, พฺยากาสิ ส รณญฺชโหฯ

    Tadā mamāsayaṃ ñatvā, byākāsi sa raṇañjaho.

    ‘‘ปสฺสเถตํ อิสิวรํ, นิทฺธนฺตกนกตฺตจํ;

    ‘‘Passathetaṃ isivaraṃ, niddhantakanakattacaṃ;

    อุทฺธคฺคโลมํ ปีณํสํ, อจลํ ปญฺชลิํ ฐิตํฯ

    Uddhaggalomaṃ pīṇaṃsaṃ, acalaṃ pañjaliṃ ṭhitaṃ.

    ‘‘หาสํ สุปุณฺณนยนํ, พุทฺธวณฺณคตาสยํ;

    ‘‘Hāsaṃ supuṇṇanayanaṃ, buddhavaṇṇagatāsayaṃ;

    ธมฺมชํ อุคฺคหทยํ, อมตาสิตฺตสนฺนิภํฯ

    Dhammajaṃ uggahadayaṃ, amatāsittasannibhaṃ.

    ‘‘กจฺจานสฺส คุณํ สุตฺวา, ตํ ฐานํ ปตฺถยํ ฐิโต;

    ‘‘Kaccānassa guṇaṃ sutvā, taṃ ṭhānaṃ patthayaṃ ṭhito;

    อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, โคตมสฺส มหามุเนฯ

    Anāgatamhi addhāne, gotamassa mahāmune.

    ‘‘ตสฺส ธเมฺมสุ ทายาโท, โอรโส ธมฺมนิมฺมิโต;

    ‘‘Tassa dhammesu dāyādo, oraso dhammanimmito;

    กจฺจาโน นาม นาเมน, เหสฺสติ สตฺถุ สาวโกฯ

    Kaccāno nāma nāmena, hessati satthu sāvako.

    ‘‘พหุสฺสุโต มหาญาณี, อธิปฺปายวิทู มุเน;

    ‘‘Bahussuto mahāñāṇī, adhippāyavidū mune;

    ปาปุณิสฺสติ ตํ ฐานํ, ยถายํ พฺยากโต มยาฯ

    Pāpuṇissati taṃ ṭhānaṃ, yathāyaṃ byākato mayā.

    ‘‘สตสหสฺสิโต กเปฺป, ยํ กมฺมมกริํ ตทา;

    ‘‘Satasahassito kappe, yaṃ kammamakariṃ tadā;

    ทุคฺคติํ นาภิชานามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ

    Duggatiṃ nābhijānāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.

    ‘‘ทุเว ภเว สํสรามิ, เทวเตฺต อถ มานุเส;

    ‘‘Duve bhave saṃsarāmi, devatte atha mānuse;

    อญฺญํ คติํ น คจฺฉามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ

    Aññaṃ gatiṃ na gacchāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.

    ‘‘ทุเว กุเล ปชายามิ, ขตฺติเย อถ พฺราหฺมเณ;

    ‘‘Duve kule pajāyāmi, khattiye atha brāhmaṇe;

    นีเจ กุเล น ชายามิ, พุทฺธปูชายิทํ ผลํฯ

    Nīce kule na jāyāmi, buddhapūjāyidaṃ phalaṃ.

    ‘‘ปจฺฉิเม จ ภเว ทานิ, ชาโต อุเชฺชนิยํ ปุเร;

    ‘‘Pacchime ca bhave dāni, jāto ujjeniyaṃ pure;

    ปโชฺชตสฺส จ จณฺฑสฺส, ปุโรหิตทิชาธิโนฯ

    Pajjotassa ca caṇḍassa, purohitadijādhino.

    ‘‘ปุโตฺต ติริฎิวจฺฉสฺส, นิปุโณ เวทปารคู;

    ‘‘Putto tiriṭivacchassa, nipuṇo vedapāragū;

    มาตา จ จนฺทิมา นาม, กจฺจาโนหํ วรตฺตโจฯ

    Mātā ca candimā nāma, kaccānohaṃ varattaco.

    ‘‘วีมํสนตฺถํ พุทฺธสฺส, ภูมิปาเลน เปสิโต;

    ‘‘Vīmaṃsanatthaṃ buddhassa, bhūmipālena pesito;

    ทิสฺวา โมกฺขปุรทฺวารํ, นายกํ คุณสญฺจยํฯ

    Disvā mokkhapuradvāraṃ, nāyakaṃ guṇasañcayaṃ.

    ‘‘สุตฺวา จ วิมลํ วากฺยํ, คติปงฺกวิโสสนํ;

    ‘‘Sutvā ca vimalaṃ vākyaṃ, gatipaṅkavisosanaṃ;

    ปาปุณิํ อมตํ สนฺตํ, เสเสหิ สห สตฺตหิฯ

    Pāpuṇiṃ amataṃ santaṃ, sesehi saha sattahi.

    ‘‘อธิปฺปายวิทู ชาโต, สุคตสฺส มหามเตฯ

    ‘‘Adhippāyavidū jāto, sugatassa mahāmate.

    ฐปิโต เอตทเคฺค จ, สุสมิทฺธมโนรโถฯ

    Ṭhapito etadagge ca, susamiddhamanoratho.

    ‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อถ สตฺถา ‘‘เอถ, ภิกฺขโว’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ เต ตาวเทว ทฺวงฺคุลมตฺตเกสมสฺสุกา อิทฺธิมยปตฺตจีวรธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย อเหสุํฯ เอวํ เถโร สทตฺถํ นิปฺผาเทตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ราชา ปโชฺชโต ตุมฺหากํ ปาเท วนฺทิตุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ อิจฺฉตี’’ติ สตฺถุ อาโรเจสิฯ สตฺถา, ‘‘ตฺวํเยว, ภิกฺขุ, ตตฺถ คจฺฉ, ตยิ คเตปิ ราชา ปสีทิสฺสตี’’ติ อาหฯ เถโร สตฺถุ อาณาย อตฺตฎฺฐโม ตตฺถ คนฺตฺวา ราชานํ ปสาเทตฺวา อวนฺตีสุ สาสนํ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปุน สตฺถุ สนฺติกเมว คโตฯ โส เอกทิวสํ สมฺพหุเล ภิกฺขู สมณธมฺมํ ปหาย กมฺมาราเม สงฺคณิการาเม รสตณฺหานุคเต จ ปมาทวิหาริโน ทิสฺวา เตสํ โอวาทวเสน –

    Atha satthā ‘‘etha, bhikkhavo’’ti hatthaṃ pasāresi. Te tāvadeva dvaṅgulamattakesamassukā iddhimayapattacīvaradharā vassasaṭṭhikattherā viya ahesuṃ. Evaṃ thero sadatthaṃ nipphādetvā, ‘‘bhante, rājā pajjoto tumhākaṃ pāde vandituṃ dhammañca sotuṃ icchatī’’ti satthu ārocesi. Satthā, ‘‘tvaṃyeva, bhikkhu, tattha gaccha, tayi gatepi rājā pasīdissatī’’ti āha. Thero satthu āṇāya attaṭṭhamo tattha gantvā rājānaṃ pasādetvā avantīsu sāsanaṃ patiṭṭhāpetvā puna satthu santikameva gato. So ekadivasaṃ sambahule bhikkhū samaṇadhammaṃ pahāya kammārāme saṅgaṇikārāme rasataṇhānugate ca pamādavihārino disvā tesaṃ ovādavasena –

    ๔๙๔.

    494.

    ‘‘กมฺมํ พหุกํ น การเย, ปริวเชฺชยฺย ชนํ น อุยฺยเม;

    ‘‘Kammaṃ bahukaṃ na kāraye, parivajjeyya janaṃ na uyyame;

    โส อุสฺสุโกฺก รสานุคิโทฺธ, อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาธิวาโหฯ

    So ussukko rasānugiddho, atthaṃ riñcati yo sukhādhivāho.

    ๔๙๕.

    495.

    ‘‘ปโงฺกติ หิ นํ อเวทยุํ, ยายํ วนฺทนปูชนา กุเลสุ;

    ‘‘Paṅkoti hi naṃ avedayuṃ, yāyaṃ vandanapūjanā kulesu;

    สุขุมํ สลฺลํ ทุรุพฺพหํ, สกฺกาโร กาปุริเสน ทุชฺชโห’’ติฯ –

    Sukhumaṃ sallaṃ durubbahaṃ, sakkāro kāpurisena dujjaho’’ti. –

    เทฺว คาถา อภาสิฯ

    Dve gāthā abhāsi.

    ตตฺถ กมฺมํ พหุกํ น การเยติ นวาวาสการาปนาทิํ สมณธมฺมกรณสฺส ปริพนฺธภูตํ มหนฺตํ นวกมฺมํ น ปฎฺฐเปยฺย, ขุทฺทกํ อปฺปสมารมฺภํ ขณฺฑผุลฺลปฎิสงฺขรณาทิํ สตฺถุ วจนปฎิปูชนตฺถํ กาตพฺพเมวฯ ปริวเชฺชยฺย ชนนฺติ คณสงฺคณิกวเสน ชนํ วิวเชฺชยฺยฯ ชนนฺติ วา ยาทิสํ สํเสวโต ภชโต ปยิรุปาสโต กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, ตาทิสํ อกลฺยาณมิตฺตภูตํ ชนํ ปริวเชฺชยฺยฯ น อุยฺยเมติ, ปจฺจยุปฺปาทนตฺถํ กุลสงฺคณฺหนวเสน น วายเมยฺย, ยสฺมา โส อุสฺสุโกฺก รสานุคิโทฺธ, อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาธิวาโหติ โย รสานุคิโทฺธ รสตณฺหาวสิโก ภิกฺขุ ปจฺจยุปฺปาทนปสุโต, โส กุลสงฺคณฺหนตฺถํ อุสฺสุโกฺก, เตสุ สุขิเตสุ สุขิโต, ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต, อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนา โยคํ อาปชฺชติ, โย สุขาธิวาโห สมถวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานสุขาวโห สีลาทิอโตฺถ, ตํ ริญฺจติ ปชหติ เอกํเสน อตฺตานํ ตโต วิเวเจตีติ อโตฺถฯ

    Tattha kammaṃ bahukaṃ na kārayeti navāvāsakārāpanādiṃ samaṇadhammakaraṇassa paribandhabhūtaṃ mahantaṃ navakammaṃ na paṭṭhapeyya, khuddakaṃ appasamārambhaṃ khaṇḍaphullapaṭisaṅkharaṇādiṃ satthu vacanapaṭipūjanatthaṃ kātabbameva. Parivajjeyya jananti gaṇasaṅgaṇikavasena janaṃ vivajjeyya. Jananti vā yādisaṃ saṃsevato bhajato payirupāsato kusalā dhammā parihāyanti, akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, tādisaṃ akalyāṇamittabhūtaṃ janaṃ parivajjeyya. Na uyyameti, paccayuppādanatthaṃ kulasaṅgaṇhanavasena na vāyameyya, yasmā so ussukko rasānugiddho, atthaṃ riñcati yo sukhādhivāhoti yo rasānugiddho rasataṇhāvasiko bhikkhu paccayuppādanapasuto, so kulasaṅgaṇhanatthaṃ ussukko, tesu sukhitesu sukhito, dukkhitesu dukkhito, uppannesu kiccakaraṇīyesu attanā yogaṃ āpajjati, yo sukhādhivāho samathavipassanāmaggaphalanibbānasukhāvaho sīlādiattho, taṃ riñcati pajahati ekaṃsena attānaṃ tato vivecetīti attho.

    เอวํ ปฐมคาถาย ‘‘กมฺมารามตํ สงฺคณิการามตํ ปจฺจยเคธญฺจ วเชฺชถา’’ติ โอวทิตฺวา อิทานิ สกฺการาภิลาสํ ครหโนฺต ทุติยํ คาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยา อยํ ภิกฺขาย อุปคตานํ ปพฺพชิตานํ กุเลสุ เคหวาสีหิ คุณสมฺภาวนาย กรียมานา วนฺทนา ปูชนา จ, ยสฺมา ตํ อภาวิตตฺตานํ โอสีทาปนเฎฺฐน มลินภาวกรณเฎฺฐน จ ปโงฺก กทฺทโมติ พุทฺธาทโย อริยา ปเวทยุํ อพฺภญฺญํสุ ปเวเทสุํ วา, ยสฺมา จ อปริญฺญาตกฺขนฺธานํ อนฺธปุถุชฺชนานํ สกฺการาภิลาสํ ทุวิเญฺญยฺยสภาวตาย ปีฬาชนนโต อโนฺต ตุทนโต ทุรุทฺธรณโต จ สุขุมํ สลฺลํ ทุรุพฺพหํ ปเวทยุํ, ตโต เอว สกฺกาโร กาปุริเสน ทุชฺชโห ทุปฺปชเหโยฺย ตสฺส ปหานปฎิปตฺติยา อปฺปฎิปชฺชนโตฯ สกฺการาภิลาสปฺปหาเนน หิ สกฺกาโร ปหีโน โหติ, ตสฺมา ตสฺส ปหานาย อาโยโค กรณีโยติ ทเสฺสติ –

    Evaṃ paṭhamagāthāya ‘‘kammārāmataṃ saṅgaṇikārāmataṃ paccayagedhañca vajjethā’’ti ovaditvā idāni sakkārābhilāsaṃ garahanto dutiyaṃ gāthamāha. Tassattho – yā ayaṃ bhikkhāya upagatānaṃ pabbajitānaṃ kulesu gehavāsīhi guṇasambhāvanāya karīyamānā vandanā pūjanā ca, yasmā taṃ abhāvitattānaṃ osīdāpanaṭṭhena malinabhāvakaraṇaṭṭhena ca paṅko kaddamoti buddhādayo ariyā pavedayuṃ abbhaññaṃsu pavedesuṃ vā, yasmā ca apariññātakkhandhānaṃ andhaputhujjanānaṃ sakkārābhilāsaṃ duviññeyyasabhāvatāya pīḷājananato anto tudanato duruddharaṇato ca sukhumaṃ sallaṃ durubbahaṃ pavedayuṃ, tato eva sakkāro kāpurisena dujjaho duppajaheyyo tassa pahānapaṭipattiyā appaṭipajjanato. Sakkārābhilāsappahānena hi sakkāro pahīno hoti, tasmā tassa pahānāya āyogo karaṇīyoti dasseti –

    ๔๙๖.

    496.

    ‘‘น ปรสฺสุปนิธาย, กมฺมํ มจฺจสฺส ปาปกํ;

    ‘‘Na parassupanidhāya, kammaṃ maccassa pāpakaṃ;

    อตฺตนา ตํ น เสเวยฺย, กมฺมพนฺธู หิ มาติยาฯ

    Attanā taṃ na seveyya, kammabandhū hi mātiyā.

    ๔๙๗.

    497.

    ‘‘น ปเร วจนา โจโร, น ปเร วจนา มุนิ;

    ‘‘Na pare vacanā coro, na pare vacanā muni;

    อตฺตา จ นํ ยถา เวทิ, เทวาปิ นํ ตถา วิทูฯ

    Attā ca naṃ yathā vedi, devāpi naṃ tathā vidū.

    ๔๙๘.

    498.

    ‘‘ปเร จ น วิชานนฺติ, มยเมตฺถ ยมามเส;

    ‘‘Pare ca na vijānanti, mayamettha yamāmase;

    เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ, ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ

    Ye ca tattha vijānanti, tato sammanti medhagā.

    ๔๙๙.

    499.

    ‘‘ชีวเต วาปิ สปฺปโญฺญ, อปิ วิตฺตปริกฺขโย;

    ‘‘Jīvate vāpi sappañño, api vittaparikkhayo;

    ปญฺญาย จ อลาเภน, วิตฺตวาปิ น ชีวติฯ

    Paññāya ca alābhena, vittavāpi na jīvati.

    ๕๐๐.

    500.

    ‘‘สพฺพํ สุณาติ โสเตน, สพฺพํ ปสฺสติ จกฺขุนา;

    ‘‘Sabbaṃ suṇāti sotena, sabbaṃ passati cakkhunā;

    น จ ทิฎฺฐํ สุตํ ธีโร, สพฺพํ อุชฺฌิตุมรหติฯ

    Na ca diṭṭhaṃ sutaṃ dhīro, sabbaṃ ujjhitumarahati.

    ๕๐๑.

    501.

    ‘‘จกฺขุมาสฺส ยถา อโนฺธ, โสตวา พธิโร ยถา;

    ‘‘Cakkhumāssa yathā andho, sotavā badhiro yathā;

    ปญฺญวาสฺส ยถา มูโค, พลวา ทุพฺพโลริว;

    Paññavāssa yathā mūgo, balavā dubbaloriva;

    อถ อเตฺถ สมุปฺปเนฺน, สเยถ มตสายิก’’นฺติฯ –

    Atha atthe samuppanne, sayetha matasāyika’’nti. –

    อิมา ฉ คาถา รโญฺญ ปโชฺชตสฺส โอวาทวเสน อภาสิฯ โส กิร พฺราหฺมเณ สทฺทหิตฺวา ปสุฆาตยญฺญํ กาเรติ, กมฺมํ อโสเธตฺวาว อโจเร โจรสญฺญาย ทเณฺฑสิ, อฎฺฎกรเณ จ อสฺสามิเก สามิเก กโรติ, สามิเก จ อสฺสามิเกฯ ตโต นํ เถโร วิเวเจตุํ ‘‘น ปรสฺสา’’ติอาทินา ฉ คาถา อภาสิฯ

    Imā cha gāthā rañño pajjotassa ovādavasena abhāsi. So kira brāhmaṇe saddahitvā pasughātayaññaṃ kāreti, kammaṃ asodhetvāva acore corasaññāya daṇḍesi, aṭṭakaraṇe ca assāmike sāmike karoti, sāmike ca assāmike. Tato naṃ thero vivecetuṃ ‘‘na parassā’’tiādinā cha gāthā abhāsi.

    ตตฺถ น ปรสฺสุปนิธาย, กมฺมํ มจฺจสฺส ปาปกนฺติ ปรสฺส มจฺจสฺส สตฺตสฺส อุปนิธาย อุทฺทิสฺส การณํ กตฺวา ปาปกํ วธพนฺธาทิกมฺมํ น เสเวยฺย, ปเรน น การาเปยฺยาติ อโตฺถฯ อตฺตนา ตํ น เสเวยฺยาติ อตฺตนาปิ ตํ ปาปกํ น กเรยฺยฯ กสฺมา? กมฺมพนฺธู หิ มาติยา อิเม มาติยา มจฺจา กมฺมทายาทา, ตสฺมา อตฺตนา จ กิญฺจิ ปาปกมฺมํ น กเรยฺย, ปเรนปิ น การาเปยฺยาติ อโตฺถฯ

    Tattha na parassupanidhāya, kammaṃ maccassa pāpakanti parassa maccassa sattassa upanidhāya uddissa kāraṇaṃ katvā pāpakaṃ vadhabandhādikammaṃ na seveyya, parena na kārāpeyyāti attho. Attanā taṃ na seveyyāti attanāpi taṃ pāpakaṃ na kareyya. Kasmā? Kammabandhū hi mātiyā ime mātiyā maccā kammadāyādā, tasmā attanā ca kiñci pāpakammaṃ na kareyya, parenapi na kārāpeyyāti attho.

    น ปเร วจนา โจโรติ อตฺตนา โจริยํ อกตฺวา ปรวจนา ปรสฺส วจนมเตฺตน โจโร นาม น โหติ, ตถา น ปเร วจนา มุนิ ปรสฺส วจนมเตฺตน มุนิ สุวิสุทฺธกายวจีมโนสมาจาโร น โหติฯ เอตฺถ หิ ปเรติ วิภตฺติอโลปํ กตฺวา นิเทฺทโสฯ เกจิ ปน ‘‘ปเรสนฺติ วตฺตเพฺพ ปเรติ สํ-การโลปํ กตฺวา นิทฺทิฎฺฐ’’นฺติ วทนฺติฯ อตฺตา จ นํ ยถา เวทีติ นํ สตฺตํ ตสฺส อตฺตา จิตฺตํ ยถา ‘‘อหํ ปริสุโทฺธ, อปริสุโทฺธ วา’’ติ ยาถาวโต อเวทิ ชานาติฯ เทวาปิ นํ ตถา วิทูติ วิสุทฺธิเทวา, อุปปตฺติเทวา จ ตถา วิทู วิทนฺติ ชานนฺติ, ตสฺมา สยํ ตาทิสา เทวา จ ปมาณํ สุทฺธาสุทฺธานํ สุทฺธาสุทฺธภาวชานเน, น เย เกจิ อิจฺฉาโทสปเรตา สตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ

    Na pare vacanā coroti attanā coriyaṃ akatvā paravacanā parassa vacanamattena coro nāma na hoti, tathā na pare vacanā muni parassa vacanamattena muni suvisuddhakāyavacīmanosamācāro na hoti. Ettha hi pareti vibhattialopaṃ katvā niddeso. Keci pana ‘‘paresanti vattabbe pareti saṃ-kāralopaṃ katvā niddiṭṭha’’nti vadanti. Attā ca naṃ yathā vedīti naṃ sattaṃ tassa attā cittaṃ yathā ‘‘ahaṃ parisuddho, aparisuddho vā’’ti yāthāvato avedi jānāti. Devāpi naṃ tathā vidūti visuddhidevā, upapattidevā ca tathā vidū vidanti jānanti, tasmā sayaṃ tādisā devā ca pamāṇaṃ suddhāsuddhānaṃ suddhāsuddhabhāvajānane, na ye keci icchādosaparetā sattāti adhippāyo.

    ปเรติ ปณฺฑิเต ฐเปตฺวา ตโต อเญฺญ, กุสลากุสลสาวชฺชานวชฺชํ กมฺมํ กมฺมผลํ กายสฺส อสุภตํ สงฺขารานํ อนิจฺจตํ อชานนฺตา อิธ ปเร นามฯ เต มยเมตฺถ อิมสฺมิํ ชีวโลเก ยมาม อุปรมาม, ‘‘สตตํ สมิตํ มจฺจุ สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ น ชานนฺติฯ เย จ ตตฺถ วิชานนฺตีติ เย จ ตตฺถ ปณฺฑิตา ‘‘มยํ มจฺจุ สมีปํ คจฺฉามา’’ติ วิชานนฺติฯ ตโต สมฺมนฺติ เมธคาติ เอวญฺหิ เต ชานนฺตา เมธคานํ ปรวิหิํสนานํ วูปสมาย ปฎิปชฺชนฺติ, อตฺตนา ปเร จ อเญฺญ น เมธนฺติ น พาเธนฺตีติ อโตฺถฯ ตฺวํ ปน ชีวิตนิมิตฺตํ อโจเร โจเร กโรโนฺตปิ ทณฺฑเนน สามิเก อสฺสามิเก กโรโนฺตปิ ธนชานิยา พาธสิ ปญฺญาเวกลฺลโตฯ ตถา อกโรโนฺตปิ ชีวเต วาปิ สปฺปโญฺญ, อปิ วิตฺตปริกฺขโย ปริกฺขีณธโนปิ สปฺปญฺญชาติโก อิตรีตรสโนฺตเสน สนฺตุโฎฺฐ อนวชฺชาย ชีวิกาย ชีวติเยวฯ ตสฺส หิ ชีวิตํ นามฯ เตนาห ภควา – ‘‘ปญฺญาชีวิํ ชีวิตมาหุ เสฎฺฐ’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๗๓, ๒๔๖; สุ. นิ. ๑๘๔)ฯ ทุเมฺมธปุคฺคโล ปน ปญฺญาย จ อลาเภน ทิฎฺฐธมฺมิกํ สมฺปรายิกญฺจ อตฺถํ วิราเธโนฺต วิตฺตวาปิ น ชีวติ ครหาทิปวตฺติยา ชีวโนฺต นาม น โหติ, อนุปายญฺญุตาย ยถาธิคตํ ธนํ นาเสโนฺต ชีวิตมฺปิ สนฺธาเรตุํ น สโกฺกติเยวฯ

    Pareti paṇḍite ṭhapetvā tato aññe, kusalākusalasāvajjānavajjaṃ kammaṃ kammaphalaṃ kāyassa asubhataṃ saṅkhārānaṃ aniccataṃ ajānantā idha pare nāma. Te mayamettha imasmiṃ jīvaloke yamāma uparamāma, ‘‘satataṃ samitaṃ maccu santikaṃ gacchāmā’’ti na jānanti. Ye ca tattha vijānantīti ye ca tattha paṇḍitā ‘‘mayaṃ maccu samīpaṃ gacchāmā’’ti vijānanti. Tato sammanti medhagāti evañhi te jānantā medhagānaṃ paravihiṃsanānaṃ vūpasamāya paṭipajjanti, attanā pare ca aññe na medhanti na bādhentīti attho. Tvaṃ pana jīvitanimittaṃ acore core karontopi daṇḍanena sāmike assāmike karontopi dhanajāniyā bādhasi paññāvekallato. Tathā akarontopi jīvate vāpi sappañño, api vittaparikkhayo parikkhīṇadhanopi sappaññajātiko itarītarasantosena santuṭṭho anavajjāya jīvikāya jīvatiyeva. Tassa hi jīvitaṃ nāma. Tenāha bhagavā – ‘‘paññājīviṃ jīvitamāhu seṭṭha’’nti (saṃ. ni. 1.73, 246; su. ni. 184). Dummedhapuggalo pana paññāya ca alābhena diṭṭhadhammikaṃ samparāyikañca atthaṃ virādhento vittavāpi na jīvati garahādipavattiyā jīvanto nāma na hoti, anupāyaññutāya yathādhigataṃ dhanaṃ nāsento jīvitampi sandhāretuṃ na sakkotiyeva.

    อิมา กิร จตโสฺสปิ คาถา เถโร สุปินเนฺตน รโญฺญ กเถสิฯ ราชา สุปินํ ทิสฺวา เถรํ นมสฺสโนฺตเยว ปพุชฺฌิตฺวา ปภาตาย รตฺติยา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อตฺตนา ทิฎฺฐนิยาเมน สุปินํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เถโร ตา คาถา ปจฺจุนุภาสิตฺวา ‘‘สพฺพํ สุณาตี’’ติอาทินา ทฺวีหิ คาถาหิ ราชานํ โอวทิฯ ตตฺถ สพฺพํ สุณาติ โสเตนาติ อิธ โสตพฺพํ สทฺทํ อาปาถคตํ สพฺพํ สุภาสิตํ ทุพฺภาสิตญฺจ อพธิโร โสเตน สุณาติฯ ตถา สพฺพํ รูปํ สุนฺทรํ อสุนฺทรมฺปิ จกฺขุนา อนโนฺธ ปสฺสติ, อยมินฺทฺริยานํ สภาโวฯ ตตฺถ ปน น จ ทิฎฺฐํ สุตํ ธีโร, สพฺพํ อุชฺฌิตุนฺติ จ นิทสฺสนมตฺตเมตํฯ ยญฺหิ ตํ ทิฎฺฐํ สุตํ วา, น ตํ สพฺพํ ธีโร สปฺปโญฺญ อุชฺฌิตุํ ปริจฺจชิตุํ คเหตุํ วา อรหติฯ คุณาคุณํ ปน ตตฺถ อุปปริกฺขิตฺวา อุชฺฌิตพฺพเมว อุชฺฌิตุํ คเหตพฺพญฺจ คเหตุํ อรหติ, ตสฺมา จกฺขุมาสฺส ยถา อโนฺธ จกฺขุมาปิ สมาโน อุชฺฌิตเพฺพ ทิเฎฺฐ อโนฺธ ยถา อสฺส อปสฺสโนฺต วิย ภเวยฺย, ตถา อุชฺฌิตเพฺพ สุเต โสตวาปิ พธิโร ยถา อสฺส อสุณโนฺต วิย ภเวยฺยฯ ปญฺญวาสฺส ยถา มูโคติ วิจารณปญฺญาย ปญฺญวา วจนกุสโลปิ อวตฺตเพฺพ มูโค วิย ภเวยฺยฯ พลวา ถามสมฺปโนฺนปิ อกตฺตเพฺพ ทุพฺพโลริว, รกาโร ปทสนฺธิกโร, อสมโตฺถ วิย ภเวยฺยฯ อถ อเตฺถ สมุปฺปเนฺน, สเยถ มตสายิกนฺติ อตฺตนา กาตพฺพกิเจฺจ อุปฺปเนฺน อุปฎฺฐิเต มตสายิกํ สเยถ, มตสายิกํ สยิตฺวาปิ ตํ กิจฺจํ ตีเรตพฺพเมว, น วิราเธตพฺพํฯ อถ วา อถ อเตฺถ สมุปฺปเนฺนติ อตฺตนา อกรณีเย อเตฺถ กิเจฺจ อุปฺปเนฺน อุปฎฺฐิเต มตสายิกํ สเยถ, มตสายิกํ สยิตฺวาปิ ตํ น กาตพฺพเมวฯ น หิ ปณฺฑิโต อยุตฺตํ กาตุมรหตีติ เอวํ เถเรน โอวทิโต ราชา อกตฺตพฺพํ ปหาย กาตเพฺพเยว ยุตฺตปฺปยุโตฺต อโหสีติฯ

    Imā kira catassopi gāthā thero supinantena rañño kathesi. Rājā supinaṃ disvā theraṃ namassantoyeva pabujjhitvā pabhātāya rattiyā theraṃ upasaṅkamitvā vanditvā attanā diṭṭhaniyāmena supinaṃ kathesi. Taṃ sutvā thero tā gāthā paccunubhāsitvā ‘‘sabbaṃ suṇātī’’tiādinā dvīhi gāthāhi rājānaṃ ovadi. Tattha sabbaṃ suṇāti sotenāti idha sotabbaṃ saddaṃ āpāthagataṃ sabbaṃ subhāsitaṃ dubbhāsitañca abadhiro sotena suṇāti. Tathā sabbaṃ rūpaṃ sundaraṃ asundarampi cakkhunā anandho passati, ayamindriyānaṃ sabhāvo. Tattha pana na ca diṭṭhaṃ sutaṃ dhīro, sabbaṃ ujjhitunti ca nidassanamattametaṃ. Yañhi taṃ diṭṭhaṃ sutaṃ vā, na taṃ sabbaṃ dhīro sappañño ujjhituṃ pariccajituṃ gahetuṃ vā arahati. Guṇāguṇaṃ pana tattha upaparikkhitvā ujjhitabbameva ujjhituṃ gahetabbañca gahetuṃ arahati, tasmā cakkhumāssa yathā andho cakkhumāpi samāno ujjhitabbe diṭṭhe andho yathā assa apassanto viya bhaveyya, tathā ujjhitabbe sute sotavāpi badhiro yathā assa asuṇanto viya bhaveyya. Paññavāssa yathā mūgoti vicāraṇapaññāya paññavā vacanakusalopi avattabbe mūgo viya bhaveyya. Balavā thāmasampannopi akattabbe dubbaloriva, rakāro padasandhikaro, asamattho viya bhaveyya. Atha atthe samuppanne, sayetha matasāyikanti attanā kātabbakicce uppanne upaṭṭhite matasāyikaṃ sayetha, matasāyikaṃ sayitvāpi taṃ kiccaṃ tīretabbameva, na virādhetabbaṃ. Atha vā atha atthe samuppanneti attanā akaraṇīye atthe kicce uppanne upaṭṭhite matasāyikaṃ sayetha, matasāyikaṃ sayitvāpi taṃ na kātabbameva. Na hi paṇḍito ayuttaṃ kātumarahatīti evaṃ therena ovadito rājā akattabbaṃ pahāya kātabbeyeva yuttappayutto ahosīti.

    มหากจฺจายนเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahākaccāyanattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑. มหากจฺจายนเตฺถรคาถา • 1. Mahākaccāyanattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact