Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๑๓๖

    The Middle-Length Suttas Collection 136

    มหากมฺมวิภงฺคสุตฺต

    The Longer Analysis of Deeds

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground.

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา สมิทฺธิ อรญฺญกุฏิกายํ วิหรติฯ อถ โข โปตลิปุตฺโต ปริพฺพาชโก ชงฺฆาวิหารํ อนุจงฺกมมาโน อนุวิจรมาโน เยนายสฺมา สมิทฺธิ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา สมิทฺธินา สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข โปตลิปุตฺโต ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ สมิทฺธึ เอตทโวจ:

    Now at that time Venerable Samiddhi was staying in a wilderness hut. Then as the wanderer Potaliputta was going for a walk he came up to Venerable Samiddhi and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to him:

    “สมฺมุขา เมตํ, อาวุโส สมิทฺธิ, สมณสฺส โคตมสฺส สุตํ, สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ: ‘โมฆํ กายกมฺมํ โมฆํ วจีกมฺมํ, มโนกมฺมเมว สจฺจนฺ'ติฯ อตฺถิ จ สา สมาปตฺติ ยํ สมาปตฺตึ สมาปนฺโน น กิญฺจิ เวทิยตี”ติ?

    “Friend Samiddhi, I have heard and learned this in the presence of the ascetic Gotama: ‘Deeds by way of body and speech are done in vain. Only mental deeds are real.’ And: ‘There is such an attainment where the one who enters it does not feel anything at all.’”

    “มา เหวํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, อวจ; มา เหวํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, อวจ; มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิฯ น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํฯ น หิ ภควา เอวํ วเทยฺย: ‘โมฆํ กายกมฺมํ โมฆํ วจีกมฺมํ, มโนกมฺมเมว สจฺจนฺ'ติฯ ‘อตฺถิ จ โข สา, อาวุโส, สมาปตฺติ ยํ สมาปตฺตึ สมาปนฺโน น กิญฺจิ เวทิยตี'”ติฯ

    “Don’t say that, Friend Potaliputta, don’t say that! Don’t misrepresent the Buddha, for misrepresentation of the Buddha is not good. And the Buddha would not say this. But, friend, there is such an attainment where the one who enters it does not feel anything at all.”

    “กีวจิรํ ปพฺพชิโตสิ, อาวุโส สมิทฺธี”ติ?

    “Friend Samiddhi, how long has it been since you went forth?”

    “น จิรํ, อาวุโส, ตีณิ วสฺสานี”ติฯ

    “Not long, friend: three years.”

    “เอตฺถ ทานิ มยํ เถเร ภิกฺขู กึ วกฺขาม, ยตฺร หิ นาม เอวํนโว ภิกฺขุ สตฺถารํ ปริรกฺขิตพฺพํ มญฺญิสฺสติฯ สญฺเจตนิกํ, อาวุโส สมิทฺธิ, กมฺมํ กตฺวา กาเยน วาจาย มนสา กึ โส เวทิยตี”ติ?

    “Well now, what are we to say to the senior bhikkhus, when even such a junior bhikkhu imagines their Teacher needs defending? After doing an intentional deed by way of body, speech, or mind, friend, what does one feel?”

    “สญฺเจตนิกํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, กมฺมํ กตฺวา กาเยน วาจาย มนสา ทุกฺขํ โส เวทิยตี”ติฯ อถ โข โปตลิปุตฺโต ปริพฺพาชโก อายสฺมโต สมิทฺธิสฺส ภาสิตํ เนว อภินนฺทิ นปฺปฏิกฺโกสิ; อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฏิกฺโกสิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    “After doing an intentional deed by way of body, speech, or mind, friend, one feels suffering.” Then, neither approving nor dismissing Samiddhi’s statement, Potaliputta got up from his seat and left.

    อถ โข อายสฺมา สมิทฺธิ อจิรปกฺกนฺเต โปตลิปุตฺเต ปริพฺพาชเก เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สมิทฺธิ ยาวตโก อโหสิ โปตลิปุตฺเตน ปริพฺพาชเกน สทฺธึ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ อายสฺมโต อานนฺทสฺส อาโรเจสิฯ

    Soon after he had left, Venerable Samiddhi went to Venerable Ānanda, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side, and informed Ānanda of all they had discussed.

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท อายสฺมนฺตํ สมิทฺธึ เอตทโวจ: “อตฺถิ โข อิทํ, อาวุโส สมิทฺธิ, กถาปาภตํ ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ อายามาวุโส สมิทฺธิ, เยน ภควา เตนุปสงฺกมิสฺสาม; อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสฺสามฯ ยถา โน ภควา พฺยากริสฺสติ ตถา นํ ธาเรสฺสามา”ติฯ

    When he had spoken, Ānanda said to him, “Friend Samiddhi, we should see the Buddha about this matter. Come, let’s go to the Buddha and inform him about this. As he answers, so we’ll remember it.”

    “เอวมาวุโส”ติ โข อายสฺมา สมิทฺธิ อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, friend,” Samiddhi replied.

    อถ โข อายสฺมา จ อานนฺโท อายสฺมา จ สมิทฺธิ เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ยาวตโก อโหสิ อายสฺมโต สมิทฺธิสฺส โปตลิปุตฺเตน ปริพฺพาชเกน สทฺธึ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ

    Then Ānanda and Samiddhi went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.

    เอวํ วุตฺเต, ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “ทสฺสนมฺปิ โข อหํ, อานนฺท, โปตลิปุตฺตสฺส ปริพฺพาชกสฺส นาภิชานามิ, กุโต ปเนวรูปํ กถาสลฺลาปํ? อิมินา จ, อานนฺท, สมิทฺธินา โมฆปุริเสน โปตลิปุตฺตสฺส ปริพฺพาชกสฺส วิภชฺชพฺยากรณีโย ปโญฺห เอกํเสน พฺยากโต”ติฯ

    When they had spoken, the Buddha said to Ānanda, “I don’t recall even seeing the wanderer Potaliputta, Ānanda, so how could we have had such a discussion? The wanderer Potaliputta’s question should have been answered after analyzing it, but this foolish person answered definitively.”

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อุทายี ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สเจ ปน, ภนฺเต, อายสฺมตา สมิทฺธินา อิทํ สนฺธาย ภาสิตํ—ยํ กิญฺจิ เวทยิตํ ตํ ทุกฺขสฺมินฺ”ติฯ

    When he said this, Venerable Udāyī said to him, “But perhaps, sir, Venerable Samiddhi spoke in reference to the statement: ‘Suffering includes whatever is felt.’”

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “ปสฺสสิ โน ตฺวํ, อานนฺท, อิมสฺส อุทายิสฺส โมฆปุริสสฺส อุมฺมงฺคํ? อญฺญาสึ โข อหํ, อานนฺท: ‘อิทาเนวายํ อุทายี โมฆปุริโส อุมฺมุชฺชมาโน อโยนิโส อุมฺมุชฺชิสฺสตี'ติฯ อาทึเยว, อานนฺท, โปตลิปุตฺเตน ปริพฺพาชเกน ติโสฺส เวทนา ปุจฺฉิตาฯ สจายํ, อานนฺท, สมิทฺธิ โมฆปุริโส โปตลิปุตฺตสฺส ปริพฺพาชกสฺส เอวํ ปุฏฺโฐ เอวํ พฺยากเรยฺย: ‘สญฺเจตนิกํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, กมฺมํ กตฺวา กาเยน วาจาย มนสา สุขเวทนียํ สุขํ โส เวทยติ; สญฺเจตนิกํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, กมฺมํ กตฺวา กาเยน วาจาย มนสา ทุกฺขเวทนียํ ทุกฺขํ โส เวทยติ; สญฺเจตนิกํ, อาวุโส โปตลิปุตฺต, กมฺมํ กตฺวา กาเยน วาจาย มนสา อทุกฺขมสุขเวทนียํ อทุกฺขมสุขํ โส เวทยตี'ติฯ เอวํ พฺยากรมาโน โข, อานนฺท, สมิทฺธิ โมฆปุริโส โปตลิปุตฺตสฺส ปริพฺพาชกสฺส สมฺมา พฺยากรมาโน พฺยากเรยฺยฯ

    But the Buddha said to Venerable Ānanda, “See how this foolish person Udāyī comes up with an idea? I knew that he was going to come up with such an irrational idea. Right from the start Potaliputta asked about the three feelings. Suppose the foolish person Samiddhi had answered the wanderer Potaliputta’s question like this: ‘After doing an intentional deed to be experienced as pleasant by way of body, speech, or mind, one feels pleasure. After doing an intentional deed to be experienced as painful by way of body, speech, or mind, one feels pain. After doing an intentional deed to be experienced as neutral by way of body, speech, or mind, one feels neutral.’ Answering in this way, Samiddhi would have rightly answered Potaliputta.

    อปิ จ, อานนฺท, เก จ อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา พาลา อพฺยตฺตา เก จ ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺคํ ชานิสฺสนฺติ? สเจ ตุเมฺห, อานนฺท, สุเณยฺยาถ ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺคํ วิภชนฺตสฺสา”ติฯ

    Still, who are those foolish and incompetent wanderers of other religions to understand the Realized One’s great analysis of deeds? Ānanda, if only you would all listen to the Realized One’s explanation of the great analysis of deeds.”

    “เอตสฺส, ภควา, กาโล, เอตสฺส, สุคต, กาโล ยํ ภควา มหากมฺมวิภงฺคํ วิภเชยฺยฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี”ติฯ

    “Now is the time, Blessed One! Now is the time, Holy One! Let the Buddha explain the great analysis of deeds. The bhikkhus will listen and remember it.”

    “เตน หานนฺท, สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี”ติฯ

    “Well then, Ānanda, listen and apply your mind well, I will speak.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Yes, sir,” Ānanda replied. The Buddha said this:

    “จตฺตาโรเม, อานนฺท, ปุคฺคลา สนฺโต สํวิชฺชมานา โลกสฺมึฯ กตเม จตฺตาโร? อิธานนฺท, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตี โหติ, อทินฺนาทายี โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารี โหติ, มุสาวาที โหติ, ปิสุณวาโจ โหติ, ผรุสวาโจ โหติ, สมฺผปฺปลาปี โหติ, อภิชฺฌาลุ โหติ, พฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ, มิจฺฉาทิฏฺฐิ โหติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ

    “Ānanda, these four people are found in the world. What four? Some person here kills living creatures, steals, and commits sexual misconduct. They use speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re covetous, malicious, and have wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.

    อิธ ปนานนฺท, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตี โหติ, อทินฺนาทายี โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารี โหติ, มุสาวาที โหติ, ปิสุณวาโจ โหติ, ผรุสวาโจ โหติ, สมฺผปฺปลาปี โหติ, อภิชฺฌาลุ โหติ, พฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ, มิจฺฉาทิฏฺฐิ โหติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    But some other person here kills living creatures, steals, and commits sexual misconduct. They use speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re covetous, malicious, and have wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.

    อิธานนฺท, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต โหติ, มุสาวาทา ปฏิวิรโต โหติ, ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ, ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ, สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต โหติ, อนภิชฺฌาลุ โหติ, อพฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ, สมฺมาทิฏฺฐิ โหติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    But some other person here refrains from killing living creatures, stealing, committing sexual misconduct, or using speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re contented, kind-hearted, and have right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.

    อิธ ปนานนฺท, เอกจฺโจ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต โหติ, มุสาวาทา ปฏิวิรโต โหติ, ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ, ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ, สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต โหติ, อนภิชฺฌาลุ โหติ, อพฺยาปนฺนจิตฺโต โหติ, สมฺมาทิฏฺฐิ โหติฯ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ

    But some other person here refrains from killing living creatures, stealing, committing sexual misconduct, or using speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical. And they’re contented, kind-hearted, and have right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.

    อิธานนฺท, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ ยถาสมาหิเต จิตฺเต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อมุํ ปุคฺคลํ ปสฺสติ—อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ กาเมสุมิจฺฉาจารึ มุสาวาทึ ปิสุณวาจํ ผรุสวาจํ สมฺผปฺปลาปึ อภิชฺฌาลุํ พฺยาปนฺนจิตฺตํ มิจฺฉาทิฏฺฐึ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสติ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํฯ โส เอวมาห: ‘อตฺถิ กิร, โภ, ปาปกานิ กมฺมานิ, อตฺถิ ทุจฺจริตสฺส วิปาโกฯ อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐึ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนนฺ'ติฯ โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ เย เอวํ ชานนฺติ, เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติฯ อิติ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติฯ

    Now, some ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that it gives rise to clairvoyance that is purified and superhuman. With that clairvoyance they see that person here who killed living creatures, stole, and committed sexual misconduct; who used speech that’s false, divisive, harsh, or nonsensical; and who was covetous, malicious, and had wrong view. And they see that, when their body breaks up, after death, that person is reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. They say: ‘It seems that there is such a thing as bad deeds, and the result of bad conduct. For I saw a person here who killed living creatures … and had wrong view. And when their body broke up, after death, they were reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.’ They say: ‘It seems that everyone who kills living creatures … and has wrong view is reborn in hell. Those who know this are right. Those who know something else are wrong.’ And so they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly.’

    อิธ ปนานนฺท, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ ยถาสมาหิเต จิตฺเต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อมุํ ปุคฺคลํ ปสฺสติ—อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสติ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํฯ โส เอวมาห: ‘นตฺถิ กิร, โภ, ปาปกานิ กมฺมานิ, นตฺถิ ทุจฺจริตสฺส วิปาโกฯ อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนนฺ'ติฯ โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติฯ อิติ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติฯ

    But some other ascetic or brahmin—by dint of keen, resolute, committed, and diligent effort, and right application of mind—experiences an immersion of the heart of such a kind that it gives rise to clairvoyance that is purified and superhuman. With that clairvoyance they see that person here who killed living creatures … and had wrong view. And they see that that person is reborn in a heavenly realm. They say: ‘It seems that there is no such thing as bad deeds, and the result of bad conduct. For I have seen a person here who killed living creatures … and had wrong view. And I saw that that person was reborn in a heavenly realm.’ They say: ‘It seems that everyone who kills living creatures … and has wrong view is reborn in a heavenly realm. Those who know this are right. Those who know something else are wrong.’ And so they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly.’

    อิธานนฺท, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ ยถาสมาหิเต จิตฺเต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อมุํ ปุคฺคลํ ปสฺสติ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ อทินฺนาทานา ปฏิวิรตํ กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรตํ มุสาวาทา ปฏิวิรตํ ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรตํ ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรตํ สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรตํ อนภิชฺฌาลุํ อพฺยาปนฺนจิตฺตํ สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสติ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํฯ โส เอวมาห: ‘อตฺถิ กิร, โภ, กลฺยาณานิ กมฺมานิ, อตฺถิ สุจริตสฺส วิปาโกฯ อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ อทินฺนาทานา ปฏิวิรตํ …เป… สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนนฺ'ติฯ โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติฯ อิติ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติฯ

    Take some ascetic or brahmin who with clairvoyance sees a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And they see that that person is reborn in a heavenly realm. They say: ‘It seems that there is such a thing as good deeds, and the result of good conduct. For I have seen a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And I saw that that person was reborn in a heavenly realm.’ They say: ‘It seems that everyone who refrains from killing living creatures … and has right view is reborn in a heavenly realm. Those who know this are right. Those who know something else are wrong.’ And so they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly.’

    อิธ ปนานนฺท, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อาตปฺปมนฺวาย ปธานมนฺวาย อนุโยคมนฺวาย อปฺปมาทมนฺวาย สมฺมามนสิการมนฺวาย ตถารูปํ เจโตสมาธึ ผุสติ ยถาสมาหิเต จิตฺเต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน อมุํ ปุคฺคลํ ปสฺสติ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ …เป… สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสติ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํฯ โส เอวมาห: ‘นตฺถิ กิร, โภ, กลฺยาณานิ กมฺมานิ, นตฺถิ สุจริตสฺส วิปาโกฯ อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ อทินฺนาทานา ปฏิวิรตํ …เป… สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนนฺ'ติฯ โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติฯ อิติ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติฯ

    Take some ascetic or brahmin who with clairvoyance sees a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And they see that that person is reborn in hell. They say: ‘It seems that there is no such thing as good deeds, and the result of good conduct. For I have seen a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And I saw that that person was reborn in hell.’ They say: ‘It seems that everyone who refrains from killing living creatures … and has right view is reborn in hell. Those who know this are right. Those who know something else are wrong.’ And so they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly.’

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวมาห: ‘อตฺถิ กิร, โภ, ปาปกานิ กมฺมานิ, อตฺถิ ทุจฺจริตสฺส วิปาโก'ติ อิทมสฺส อนุชานามิ; ยมฺปิ โส เอวมาห: ‘อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส อนุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส เอวมาห: ‘เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อญฺญถา หิ, อานนฺท, ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺเค ญาณํ โหติฯ

    In this case, when an ascetic or brahmin says this: ‘It seems that there is such a thing as bad deeds, and the result of bad conduct,’ I grant them that. And when they say: ‘I have seen a person here who killed living creatures … and had wrong view. And after death, they were reborn in hell,’ I also grant them that. But when they say: ‘It seems that everyone who kills living creatures … and has wrong view is reborn in hell,’ I don’t grant them that. And when they say: ‘Those who know this are right. Those who know something else are wrong,’ I also don’t grant them that. And when they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly,’ I also don’t grant them that. Why is that? Because the Realized One’s knowledge of the great analysis of deeds is otherwise.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวมาห: ‘นตฺถิ กิร, โภ, ปาปกานิ กมฺมานิ, นตฺถิ ทุจฺจริตสฺส วิปาโก'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตึ อทินฺนาทายึ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐึ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนนฺ'ติ อิทมสฺส อนุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส เอวมาห: ‘เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อญฺญถา หิ, อานนฺท, ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺเค ญาณํ โหติฯ

    In this case, when an ascetic or brahmin says this: ‘It seems that there is no such thing as bad deeds, and the result of bad conduct,’ I don’t grant them that. But when they say: ‘I have seen a person here who killed living creatures … and had wrong view. And I saw that that person was reborn in a heavenly realm,’ I grant them that. But when they say: ‘It seems that everyone who kills living creatures … and has wrong view is reborn in a heavenly realm,’ I don’t grant them that. … Because the Realized One’s knowledge of the great analysis of deeds is otherwise.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวมาห: ‘อตฺถิ กิร, โภ, กลฺยาณานิ กมฺมานิ, อตฺถิ สุจริตสฺส วิปาโก'ติ อิทมสฺส อนุชานามิ; ยมฺปิ โส เอวมาห: ‘อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ อทินฺนาทานา ปฏิวิรตํ …เป… สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส อนุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชตี'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส เอวมาห: ‘เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อญฺญถา หิ, อานนฺท, ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺเค ญาณํ โหติฯ

    In this case, when an ascetic or brahmin says this: ‘It seems that there is such a thing as good deeds, and the result of good conduct,’ I grant them that. And when they say: ‘I have seen a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And I saw that that person was reborn in a heavenly realm,’ I grant them that. But when they say: ‘It seems that everyone who refrains from killing living creatures … and has right view is reborn in a heavenly realm,’ I don’t grant them that. … Because the Realized One’s knowledge of the great analysis of deeds is otherwise.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวมาห: ‘นตฺถิ กิร, โภ, กลฺยาณานิ กมฺมานิ, นตฺถิ สุจริตสฺส วิปาโก'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘อมาหํ ปุคฺคลํ อทฺทสํ—อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรตํ อทินฺนาทานา ปฏิวิรตํ …เป… สมฺมาทิฏฺฐึ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปสฺสามิ อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนนฺ'ติ อิทมสฺส อนุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘โย กิร, โภ, ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ, สพฺโพ โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชตี'ติ อิทมสฺส นานุชานามิ; ยญฺจ โข โส เอวมาห: ‘เย เอวํ ชานนฺติ เต สมฺมา ชานนฺติ; เย อญฺญถา ชานนฺติ, มิจฺฉา เตสํ ญาณนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิ; ยมฺปิ โส ยเทว ตสฺส สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ ตเทว ตตฺถ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘อิทเมว สจฺจํ, โมฆมญฺญนฺ'ติ อิทมฺปิสฺส นานุชานามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อญฺญถา หิ, อานนฺท, ตถาคตสฺส มหากมฺมวิภงฺเค ญาณํ โหติฯ

    In this case, when an ascetic or brahmin says this: ‘It seems that there is no such thing as good deeds, and the result of good conduct,’ I don’t grant them that. But when they say: ‘I have seen a person here who refrained from killing living creatures … and had right view. And after death, they were reborn in hell,’ I grant them that. But when they say: ‘It seems that everyone who refrains from killing living creatures … and has right view is reborn in hell,’ I don’t grant them that. But when they say: ‘Those who know this are right. Those who know something else are wrong,’ I also don’t grant them that. And when they obstinately stick to what they have known, seen, and understood for themselves, insisting that: ‘This is the only truth, other ideas are silly,’ I also don’t grant them that. Why is that? Because the Realized One’s knowledge of the great analysis of deeds is otherwise.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ, ปุพฺเพ วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, ปจฺฉา วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, มรณกาเล วาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิ สมตฺตา สมาทินฺนาฯ เตน โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ ยญฺจ โข โส อิธ ปาณาติปาตี โหติ อทินฺนาทายี โหติ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ โหติ ตสฺส ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิปากํ ปฏิสํเวเทติ อุปปชฺช วา อปเร วา ปริยาเยฯ

    Now, Ānanda, take the case of the person here who killed living creatures … and had wrong view, and who, when their body breaks up, after death, is reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. They must have done a bad deed to be experienced as painful either previously or later, or else at the time of death they undertook wrong view. And that’s why, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. But anyone here who kills living creatures … and has wrong view experiences the result of that in the present life, or in the next life, or in some subsequent period.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตี อทินฺนาทายี …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ, ปุพฺเพ วาสฺส ตํ กตํ โหติ กลฺยาณกมฺมํ สุขเวทนียํ, ปจฺฉา วาสฺส ตํ กตํ โหติ กลฺยาณกมฺมํ สุขเวทนียํ, มรณกาเล วาสฺส โหติ สมฺมาทิฏฺฐิ สมตฺตา สมาทินฺนาฯ เตน โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ ยญฺจ โข โส อิธ ปาณาติปาตี โหติ อทินฺนาทายี โหติ …เป… มิจฺฉาทิฏฺฐิ โหติ ตสฺส ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิปากํ ปฏิสํเวเทติ อุปปชฺช วา อปเร วา ปริยาเยฯ

    Now, Ānanda, take the case of the person here who killed living creatures … and had wrong view, and who is reborn in a heavenly realm. They must have done a good deed to be experienced as pleasant either previously or later, or else at the time of death they undertook right view. And that’s why, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm. But anyone here who kills living creatures … and has wrong view experiences the result of that in the present life, or in the next life, or in some subsequent period.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ, ปุพฺเพ วาสฺส ตํ กตํ โหติ กลฺยาณกมฺมํ สุขเวทนียํ, ปจฺฉา วาสฺส ตํ กตํ โหติ กลฺยาณกมฺมํ สุขเวทนียํ, มรณกาเล วาสฺส โหติ สมฺมาทิฏฺฐิ สมตฺตา สมาทินฺนาฯ เตน โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ ยญฺจ โข โส อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ โหติ, ตสฺส ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิปากํ ปฏิสํเวเทติ อุปปชฺช วา อปเร วา ปริยาเยฯ

    Now, Ānanda, take the case of the person here who refrained from killing living creatures … and had right view, and who is reborn in a heavenly realm. They must have done a good deed to be experienced as pleasant either previously or later, or else at the time of death they undertook right view. And that’s why, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm. But anyone here who refrains from killing living creatures … and has right view experiences the result of that in the present life, or in the next life, or in some subsequent period.

    ตตฺรานนฺท, ยฺวายํ ปุคฺคโล อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ, ปุพฺเพ วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, ปจฺฉา วาสฺส ตํ กตํ โหติ ปาปกมฺมํ ทุกฺขเวทนียํ, มรณกาเล วาสฺส โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิ สมตฺตา สมาทินฺนาฯ เตน โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ ยญฺจ โข โส อิธ ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ …เป… สมฺมาทิฏฺฐิ โหติ, ตสฺส ทิฏฺเฐว ธมฺเม วิปากํ ปฏิสํเวเทติ อุปปชฺช วา อปเร วา ปริยาเยฯ

    Now, Ānanda, take the case of the person here who refrained from killing living creatures … and had right view, and who is reborn in hell. They must have done a bad deed to be experienced as painful either previously or later, or else at the time of death they undertook wrong view. And that’s why, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. But anyone here who refrains from killing living creatures … and has right view experiences the result of that in the present life, or in the next life, or in some subsequent period.

    อิติ โข, อานนฺท, อตฺถิ กมฺมํ อภพฺพํ อภพฺพาภาสํ, อตฺถิ กมฺมํ อภพฺพํ ภพฺพาภาสํ, อตฺถิ กมฺมํ ภพฺพญฺเจว ภพฺพาภาสญฺจ, อตฺถิ กมฺมํ ภพฺพํ อภพฺพาภาสนฺ”ติฯ

    So, Ānanda, there are deeds that are ineffective and appear ineffective. There are deeds that are ineffective but appear effective. There are deeds that are effective and appear effective. And there are deeds that are effective but appear ineffective.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.

    มหากมฺมวิภงฺคสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ฉฏฺฐํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact