Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๖๙] ๖. มหากณฺหชาตกวณฺณนา

    [469] 6. Mahākaṇhajātakavaṇṇanā

    กโณฺห กโณฺห จาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โลกตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ นิสีทิตฺวา ‘‘ยาวญฺจิทํ, อาวุโส, สตฺถา พหุชนหิตาย ปฎิปโนฺน อตฺตโน ผาสุวิหารํ ปหาย โลกเสฺสว อตฺถํ จรติ, ปรมาภิสโมฺพธิํ ปตฺวา สยํ ปตฺตจีวรมาทาย อฎฺฐารสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ปญฺจวคฺคิยเตฺถรานํ ธมฺมจกฺกํ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓ อาทโย; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ปวเตฺตตฺวา ปญฺจมิยา ปกฺขสฺส อนตฺตลกฺขณสุตฺตํ (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๐ อาทโย) กเถตฺวา สเพฺพสํ อรหตฺตํ อทาสิฯ อุรุเวลํ คนฺตฺวา เตภาติกชฎิลานํ อฑฺฒุฑฺฒานิ ปาฎิหาริยสหสฺสานิ ทเสฺสตฺวา ปพฺพาเชตฺวา คยาสีเส อาทิตฺตปริยายํ (สํ. นิ. ๔.๒๓๕; มหาว. ๕๔) กเถตฺวา ชฎิลสหสฺสานํ อรหตฺตํ อทาสิ, มหากสฺสปสฺส ตีณิ คาวุตานิ ปจฺจุคฺคมนํ คนฺตฺวา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทํ อทาสิฯ เอโก ปจฺฉาภตฺตํ ปญฺจจตฺตาลีสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ปุกฺกุสาติกุลปุตฺตํ อนาคามิผเล ปติฎฺฐาเปสิ, มหากปฺปินสฺส วีสโยชนสตํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา อรหตฺตํ อทาสิ, เอโก ปจฺฉาภตฺตํ ติํสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา ตาว กกฺขฬํ ผรุสํ องฺคุลิมาลํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิ, ติํสโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา อาฬวกํ ยกฺขํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปตฺวา กุมารสฺส โสตฺถิํ อกาสิฯ ตาวติํสภวเน เตมาสํ วสโนฺต อสีติยา เทวตาโกฎีนํ ธมฺมาภิสมยํ สมฺปาเทสิ, พฺรหฺมโลกํ คนฺตฺวา พกพฺรหฺมุโน ทิฎฺฐิํ ภินฺทิตฺวา ทสนฺนํ พฺรหฺมสหสฺสานํ อรหตฺตํ อทาสิ, อนุสํวจฺฉรํ ตีสุ มณฺฑเลสุ จาริกํ จรมาโน อุปนิสฺสยสมฺปนฺนานํ มนุสฺสานํ สรณานิ เจว สีลานิจ มคฺคผลานิ จ เทติ, นาคสุปณฺณาทีนมฺปิ นานปฺปการํ อตฺถํ จรตี’’ติ ทสพลสฺส โลกตฺถจริยคุณํ กถยิํสุฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, โสหํ อิทานิ อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา โลกสฺส อตฺถํ จเรยฺยํ, ปุเพฺพ สราคกาเลปิ โลกสฺส อตฺถํ อจริ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Kaṇhokaṇho cāti idaṃ satthā jetavane viharanto lokatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi bhikkhū dhammasabhāyaṃ nisīditvā ‘‘yāvañcidaṃ, āvuso, satthā bahujanahitāya paṭipanno attano phāsuvihāraṃ pahāya lokasseva atthaṃ carati, paramābhisambodhiṃ patvā sayaṃ pattacīvaramādāya aṭṭhārasayojanamaggaṃ gantvā pañcavaggiyattherānaṃ dhammacakkaṃ (saṃ. ni. 5.1081; mahāva. 13 ādayo; paṭi. ma. 2.30) pavattetvā pañcamiyā pakkhassa anattalakkhaṇasuttaṃ (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 20 ādayo) kathetvā sabbesaṃ arahattaṃ adāsi. Uruvelaṃ gantvā tebhātikajaṭilānaṃ aḍḍhuḍḍhāni pāṭihāriyasahassāni dassetvā pabbājetvā gayāsīse ādittapariyāyaṃ (saṃ. ni. 4.235; mahāva. 54) kathetvā jaṭilasahassānaṃ arahattaṃ adāsi, mahākassapassa tīṇi gāvutāni paccuggamanaṃ gantvā tīhi ovādehi upasampadaṃ adāsi. Eko pacchābhattaṃ pañcacattālīsayojanamaggaṃ gantvā pukkusātikulaputtaṃ anāgāmiphale patiṭṭhāpesi, mahākappinassa vīsayojanasataṃ paccuggamanaṃ katvā arahattaṃ adāsi, eko pacchābhattaṃ tiṃsayojanamaggaṃ gantvā tāva kakkhaḷaṃ pharusaṃ aṅgulimālaṃ arahatte patiṭṭhāpesi, tiṃsayojanamaggaṃ gantvā āḷavakaṃ yakkhaṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpetvā kumārassa sotthiṃ akāsi. Tāvatiṃsabhavane temāsaṃ vasanto asītiyā devatākoṭīnaṃ dhammābhisamayaṃ sampādesi, brahmalokaṃ gantvā bakabrahmuno diṭṭhiṃ bhinditvā dasannaṃ brahmasahassānaṃ arahattaṃ adāsi, anusaṃvaccharaṃ tīsu maṇḍalesu cārikaṃ caramāno upanissayasampannānaṃ manussānaṃ saraṇāni ceva sīlānica maggaphalāni ca deti, nāgasupaṇṇādīnampi nānappakāraṃ atthaṃ caratī’’ti dasabalassa lokatthacariyaguṇaṃ kathayiṃsu. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, sohaṃ idāni abhisambodhiṃ patvā lokassa atthaṃ careyyaṃ, pubbe sarāgakālepi lokassa atthaṃ acari’’nti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ อุสีนโก นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ กสฺสปสมฺมาสมฺพุเทฺธ จตุสจฺจเทสนาย มหาชนํ กิเลสพนฺธนา โมเจตฺวา นิพฺพานนครํ ปูเรตฺวา ปรินิพฺพุเต ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน สาสนํ โอสกฺกิฯ ภิกฺขู เอกวีสติยา อเนสนาหิ ชีวิกํ กเปฺปนฺติ, ภิกฺขู คิหิสํสคฺคํ กโรนฺติ, ปุตฺตธีตาทีหิ วฑฺฒนฺติฯ ภิกฺขุนิโยปิ คิหิสํสคฺคํ กโรนฺติ, ปุตฺตธีตาทีหิ วฑฺฒนฺติฯ ภิกฺขู ภิกฺขุธมฺมํ, ภิกฺขุนิโย ภิกฺขุนิธมฺมํ, อุโปสกา อุปาสกธมฺมํ, อุปาสิกา อุปาสิกธมฺมํ, พฺราหฺมณา พฺราหฺมณธมฺมํ วิสฺสเชฺชสุํฯ เยภุเยฺยน มนุสฺสา ทส อกุสลกมฺมปเถ สมาทาย วตฺติํสุ, มตมตา อปาเยสุ ปริปูเรสุํฯ ตทา สโกฺก เทวราชา นเว นเว เทเว อปสฺสโนฺต มนุสฺสโลกํ โอโลเกตฺวา มนุสฺสานํ อปาเยสุ นิพฺพตฺติตภาวํ ญตฺวา สตฺถุ สาสนํ โอสกฺกิตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อเตฺถโก อุปาโย, มหาชนํ ตาเสตฺวา ภีตภาวํ ญตฺวา ปจฺฉา อสฺสาเสตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา โอสกฺกิตํ สาสนํ ปคฺคยฺห อปรมฺปิ วสฺสสหสฺสํ ปวตฺตนการณํ กริสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา มาตลิเทวปุตฺตํ โมจปฺปมาณทาฐํ จตูหิ ทาฐาหิ วินิคฺคตรสฺมิยา ภยานกํ กตฺวา คพฺภินีนํ ทสฺสเนเนว คพฺภปาตนสมตฺถํ โฆรรูปํ อาชาเนยฺยปฺปมาณํ กาฬวณฺณํ มหากณฺหสุนขํ มาเปตฺวา ปญฺจพนฺธเนน พนฺธิตฺวา รตฺตมาลํ กเณฺฐ ปิฬนฺธิตฺวา รชฺชุโกฎิกํ อาทาย สยํ เทฺว กาสายานิ นิวาเสตฺวา ปจฺฉามุเข ปญฺจธา เกเส พนฺธิตฺวา รตฺตมาลํ ปิฬนฺธิตฺวา อาโรปิตปวาฬวณฺณชิยํ มหาธนุํ คเหตฺวา วชิรคฺคนาราจํ นเขน ปริวเฎฺฎโนฺต วนจรกเวสํ คเหตฺวา นครโต โยชนมเตฺต ฐาเน โอตริตฺวา ‘‘นสฺสติ โลโก, นสฺสติ โลโก’’ติ ติกฺขตฺตุํ สทฺทํ อนุสาเวตฺวา มนุเสฺส อุตฺตาเสตฺวา นครูปจารํ ปตฺวา ปุน สทฺทมกาสิฯ

    Atīte kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ usīnako nāma rājā rajjaṃ kāresi. Kassapasammāsambuddhe catusaccadesanāya mahājanaṃ kilesabandhanā mocetvā nibbānanagaraṃ pūretvā parinibbute dīghassa addhuno accayena sāsanaṃ osakki. Bhikkhū ekavīsatiyā anesanāhi jīvikaṃ kappenti, bhikkhū gihisaṃsaggaṃ karonti, puttadhītādīhi vaḍḍhanti. Bhikkhuniyopi gihisaṃsaggaṃ karonti, puttadhītādīhi vaḍḍhanti. Bhikkhū bhikkhudhammaṃ, bhikkhuniyo bhikkhunidhammaṃ, uposakā upāsakadhammaṃ, upāsikā upāsikadhammaṃ, brāhmaṇā brāhmaṇadhammaṃ vissajjesuṃ. Yebhuyyena manussā dasa akusalakammapathe samādāya vattiṃsu, matamatā apāyesu paripūresuṃ. Tadā sakko devarājā nave nave deve apassanto manussalokaṃ oloketvā manussānaṃ apāyesu nibbattitabhāvaṃ ñatvā satthu sāsanaṃ osakkitaṃ disvā ‘‘kiṃ nu karissāmī’’ti cintetvā ‘‘attheko upāyo, mahājanaṃ tāsetvā bhītabhāvaṃ ñatvā pacchā assāsetvā dhammaṃ desetvā osakkitaṃ sāsanaṃ paggayha aparampi vassasahassaṃ pavattanakāraṇaṃ karissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā mātalidevaputtaṃ mocappamāṇadāṭhaṃ catūhi dāṭhāhi viniggatarasmiyā bhayānakaṃ katvā gabbhinīnaṃ dassaneneva gabbhapātanasamatthaṃ ghorarūpaṃ ājāneyyappamāṇaṃ kāḷavaṇṇaṃ mahākaṇhasunakhaṃ māpetvā pañcabandhanena bandhitvā rattamālaṃ kaṇṭhe piḷandhitvā rajjukoṭikaṃ ādāya sayaṃ dve kāsāyāni nivāsetvā pacchāmukhe pañcadhā kese bandhitvā rattamālaṃ piḷandhitvā āropitapavāḷavaṇṇajiyaṃ mahādhanuṃ gahetvā vajiragganārācaṃ nakhena parivaṭṭento vanacarakavesaṃ gahetvā nagarato yojanamatte ṭhāne otaritvā ‘‘nassati loko, nassati loko’’ti tikkhattuṃ saddaṃ anusāvetvā manusse uttāsetvā nagarūpacāraṃ patvā puna saddamakāsi.

    มนุสฺสา สุนขํ ทิสฺวา อุตฺรสฺตา นครํ ปวิสิตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สีฆํ นครทฺวารานิ ปิทหาเปสิฯ สโกฺกปิ อฎฺฐารสหตฺถํ ปาการํ อุลฺลงฺฆิตฺวา สุนเขน สทฺธิํ อโนฺตนคเร ปติฎฺฐหิฯ มนุสฺสา ภีตตสิตา ปลายิตฺวา เคหานิ ปวิสิตฺวา นิลียิํสุฯ มหากโณฺหปิ ทิฎฺฐทิเฎฺฐ มนุเสฺส อุปธาวิตฺวา สนฺตาเสโนฺต ราชนิเวสนํ อคมาสิฯ ราชงฺคเณ มนุสฺสา ภเยน ปลายิตฺวา ราชนิเวสนํ ปวิสิตฺวา ทฺวารํ ปิทหิํสุฯ อุสีนกราชาปิ โอโรเธ คเหตฺวา ปาสาทํ อภิรุหิฯ มหากโณฺห สุนโข ปุริมปาเท อุกฺขิปิตฺวา วาตปาเน ฐตฺวา มหาภุสฺสิตํ ภุสฺสิฯ ตสฺส สโทฺท เหฎฺฐา อวีจิํ, อุปริ ภวคฺคํ ปตฺวา สกลจกฺกวาฬํ เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ วิธุรชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๑๓๔๖ อาทโย) หิ ปุณฺณกยกฺขรโญฺญ, กุสชาตเก (ชา. ๒.๒๐.๑ อาทโย) กุสรโญฺญ, ภูริทตฺตชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๗๘๔ อาทโย) สุทสฺสนนาครโญฺญ, อิมสฺมิํ มหากณฺหชาตเก อยํ สโทฺทติ อิเม จตฺตาโร สทฺทา ชมฺพุทิเป มหาสทฺทา นาม อเหสุํฯ

    Manussā sunakhaṃ disvā utrastā nagaraṃ pavisitvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesuṃ. Rājā sīghaṃ nagaradvārāni pidahāpesi. Sakkopi aṭṭhārasahatthaṃ pākāraṃ ullaṅghitvā sunakhena saddhiṃ antonagare patiṭṭhahi. Manussā bhītatasitā palāyitvā gehāni pavisitvā nilīyiṃsu. Mahākaṇhopi diṭṭhadiṭṭhe manusse upadhāvitvā santāsento rājanivesanaṃ agamāsi. Rājaṅgaṇe manussā bhayena palāyitvā rājanivesanaṃ pavisitvā dvāraṃ pidahiṃsu. Usīnakarājāpi orodhe gahetvā pāsādaṃ abhiruhi. Mahākaṇho sunakho purimapāde ukkhipitvā vātapāne ṭhatvā mahābhussitaṃ bhussi. Tassa saddo heṭṭhā avīciṃ, upari bhavaggaṃ patvā sakalacakkavāḷaṃ ekaninnādaṃ ahosi. Vidhurajātake (jā. 2.22.1346 ādayo) hi puṇṇakayakkharañño, kusajātake (jā. 2.20.1 ādayo) kusarañño, bhūridattajātake (jā. 2.22.784 ādayo) sudassananāgarañño, imasmiṃ mahākaṇhajātake ayaṃ saddoti ime cattāro saddā jambudipe mahāsaddā nāma ahesuṃ.

    นครวาสิโน ภีตตสิตา หุตฺวา เอกปุริโสปิ สเกฺกน สทฺธิํ กเถตุํ นาสกฺขิ, ราชาเยว สติํ อุปฎฺฐาเปตฺวา วาตปานํ นิสฺสาย สกฺกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘อโมฺภ ลุทฺทก, กสฺมา เต สุนโข ภุสฺสตี’’ติ อาหฯ ‘‘ฉาตภาเวน, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ตสฺส ภตฺตํ ทาเปสฺสามี’’ติ อโนฺตชนสฺส จ อตฺตโน จ ปกฺกภตฺตํ สพฺพํ ทาเปสิฯ ตํ สพฺพํ สุนโข เอกกพฬํ วิย กตฺวา ปุน สทฺทมกาสิฯ ปุน ราชา ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิทานิปิ เม สุนโข ฉาโตเยวา’’ติ สุตฺวา หตฺถิอสฺสาทีนํ ปกฺกภตฺตํ สพฺพํ อาหราเปตฺวา ทาเปสิฯ ตสฺมิํ เอกปฺปหาเรเนว นิฎฺฐาปิเต สกลนครสฺส ปกฺกภตฺตํ ทาเปสิฯ ตมฺปิ โส ตเถว ภุญฺชิตฺวา ปุน สทฺทมกาสิฯ ราชา ‘‘น เอส สุนโข, นิสฺสํสยํ เอส ยโกฺข ภวิสฺสติ, อาคมนการณํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ภีตตสิโต หุตฺวา ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Nagaravāsino bhītatasitā hutvā ekapurisopi sakkena saddhiṃ kathetuṃ nāsakkhi, rājāyeva satiṃ upaṭṭhāpetvā vātapānaṃ nissāya sakkaṃ āmantetvā ‘‘ambho luddaka, kasmā te sunakho bhussatī’’ti āha. ‘‘Chātabhāvena, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi tassa bhattaṃ dāpessāmī’’ti antojanassa ca attano ca pakkabhattaṃ sabbaṃ dāpesi. Taṃ sabbaṃ sunakho ekakabaḷaṃ viya katvā puna saddamakāsi. Puna rājā pucchitvā ‘‘idānipi me sunakho chātoyevā’’ti sutvā hatthiassādīnaṃ pakkabhattaṃ sabbaṃ āharāpetvā dāpesi. Tasmiṃ ekappahāreneva niṭṭhāpite sakalanagarassa pakkabhattaṃ dāpesi. Tampi so tatheva bhuñjitvā puna saddamakāsi. Rājā ‘‘na esa sunakho, nissaṃsayaṃ esa yakkho bhavissati, āgamanakāraṇaṃ pucchissāmī’’ti bhītatasito hutvā pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๖๑.

    61.

    ‘‘กโณฺห กโณฺห จ โฆโร จ, สุกฺกทาโฐ ปภาสวา;

    ‘‘Kaṇho kaṇho ca ghoro ca, sukkadāṭho pabhāsavā;

    พโทฺธ ปญฺจหิ รชฺชูหิ, กิํ รวิ สุนโข ตวา’’ติฯ

    Baddho pañcahi rajjūhi, kiṃ ravi sunakho tavā’’ti.

    ตตฺถ กโณฺห กโณฺหติ ภยวเสน ทฬฺหีวเสน วา อาเมฑิตํฯ โฆโรติ ปสฺสนฺตานํ ภยชนโกฯ ปภาสวาติ ทาฐา นิกฺขนฺตรํสิปภาเสน ปภาสวาฯ กิํ รวีติ กิํ วิรวิฯ ตเวส เอวรูโป กกฺขโฬ สุนโข กิํ กโรติ, กิํ มิเค คณฺหาติ, อุทาหุ เต อมิเตฺต, กิํ เต อิมินา, วิสฺสเชฺชหิ นนฺติ อธิปฺปาเยเนวมาหฯ

    Tattha kaṇho kaṇhoti bhayavasena daḷhīvasena vā āmeḍitaṃ. Ghoroti passantānaṃ bhayajanako. Pabhāsavāti dāṭhā nikkhantaraṃsipabhāsena pabhāsavā. Kiṃ ravīti kiṃ viravi. Tavesa evarūpo kakkhaḷo sunakho kiṃ karoti, kiṃ mige gaṇhāti, udāhu te amitte, kiṃ te iminā, vissajjehi nanti adhippāyenevamāha.

    ตํ สุตฺวา สโกฺก ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā sakko dutiyaṃ gāthamāha –

    ๖๒.

    62.

    ‘‘นายํ มิคานมตฺถาย, อุสีนก ภวิสฺสติ;

    ‘‘Nāyaṃ migānamatthāya, usīnaka bhavissati;

    มนุสฺสานํ อนโย หุตฺวา, ตทา กโณฺห ปโมกฺขตี’’ติฯ

    Manussānaṃ anayo hutvā, tadā kaṇho pamokkhatī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อยญฺหิ ‘‘มิคมํสํ ขาทิสฺสามี’’ติ อิธ นาคโต, ตสฺมา มิคานํ อโตฺถ น ภวิสฺสติ, มนุสฺสมํสํ ปน ขาทิตุํ อาคโต, ตสฺมา เตสํ อนโย มหาวินาสการโก หุตฺวา ยทา อเนน มนุสฺสา วินาสํ ปาปิตา ภวิสฺสนฺติ, ตทา อยํ กโณฺห ปโมกฺขติ, มม หตฺถโต มุจฺจิสฺสตีติฯ

    Tassattho – ayañhi ‘‘migamaṃsaṃ khādissāmī’’ti idha nāgato, tasmā migānaṃ attho na bhavissati, manussamaṃsaṃ pana khādituṃ āgato, tasmā tesaṃ anayo mahāvināsakārako hutvā yadā anena manussā vināsaṃ pāpitā bhavissanti, tadā ayaṃ kaṇho pamokkhati, mama hatthato muccissatīti.

    อถ นํ ราชา ‘‘กิํ ปน เต โภ ลุทฺทก-สุนโข สเพฺพสํเยว มนุสฺสานํ มํสํ ขาทิสฺสติ, อุทาหุ ตว อมิตฺตานเญฺญวา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อมิตฺตานเญฺญว เม, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ‘‘เก ปน อิธ เต อมิตฺตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อธมฺมาภิรตา วิสมจาริโน, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ‘‘กเถหิ ตาว เน อมฺหาก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส กเถโนฺต เทวราชา ทส คาถา อภาสิ –

    Atha naṃ rājā ‘‘kiṃ pana te bho luddaka-sunakho sabbesaṃyeva manussānaṃ maṃsaṃ khādissati, udāhu tava amittānaññevā’’ti pucchitvā ‘‘amittānaññeva me, mahārājā’’ti vutte ‘‘ke pana idha te amittā’’ti pucchitvā ‘‘adhammābhiratā visamacārino, mahārājā’’ti vutte ‘‘kathehi tāva ne amhāka’’nti pucchi. Athassa kathento devarājā dasa gāthā abhāsi –

    ๖๓.

    63.

    ‘‘ปตฺตหตฺถา สมณกา, มุณฺฑา สงฺฆาฎิปารุตา;

    ‘‘Pattahatthā samaṇakā, muṇḍā saṅghāṭipārutā;

    นงฺคเลหิ กสิสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Naṅgalehi kasissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๔.

    64.

    ‘‘ตปสฺสินิโย ปพฺพชิตา, มุณฺฑา สงฺฆาฎิปารุตา;

    ‘‘Tapassiniyo pabbajitā, muṇḍā saṅghāṭipārutā;

    ยทา โลเก คมิสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Yadā loke gamissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๕.

    65.

    ‘‘ทีโฆตฺตโรฎฺฐา ชฎิลา, ปงฺกทนฺตา รชสฺสิรา;

    ‘‘Dīghottaroṭṭhā jaṭilā, paṅkadantā rajassirā;

    อิณํ โจทาย คจฺฉนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Iṇaṃ codāya gacchanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๖.

    66.

    ‘‘อธิจฺจ เวเท สาวิตฺติํ, ยญฺญตนฺตญฺจ พฺราหฺมณา;

    ‘‘Adhicca vede sāvittiṃ, yaññatantañca brāhmaṇā;

    ภติกาย ยชิสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Bhatikāya yajissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๗.

    67.

    ‘‘มาตรํ ปิตรํ จาปิ, ชิณฺณกํ คตโยพฺพนํ;

    ‘‘Mātaraṃ pitaraṃ cāpi, jiṇṇakaṃ gatayobbanaṃ;

    ปหู สโนฺต น ภรนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Pahū santo na bharanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๘.

    68.

    ‘‘มาตรํ ปิตรํ จาปิ, ชิณฺณกํ คตโยพฺพนํ;

    ‘‘Mātaraṃ pitaraṃ cāpi, jiṇṇakaṃ gatayobbanaṃ;

    พาลา ตุเมฺหติ วกฺขนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Bālā tumheti vakkhanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๖๙.

    69.

    ‘‘อาจริยภริยํ สขิํ, มาตุลานิํ ปิตุจฺฉกิํ;

    ‘‘Ācariyabhariyaṃ sakhiṃ, mātulāniṃ pitucchakiṃ;

    ยทา โลเก คมิสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Yadā loke gamissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๗๐.

    70.

    ‘‘อสิจมฺมํ คเหตฺวาน, ขคฺคํ ปคฺคยฺห พฺราหฺมณา;

    ‘‘Asicammaṃ gahetvāna, khaggaṃ paggayha brāhmaṇā;

    ปนฺถฆาตํ กริสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Panthaghātaṃ karissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๗๑.

    71.

    ‘‘สุกฺกจฺฉวี เวธเวรา, ถูลพาหู อปาตุภา;

    ‘‘Sukkacchavī vedhaverā, thūlabāhū apātubhā;

    มิตฺตเภทํ กริสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขติฯ

    Mittabhedaṃ karissanti, tadā kaṇho pamokkhati.

    ๗๒.

    72.

    ‘‘มายาวิโน เนกติกา, อสปฺปุริสจินฺตกา;

    ‘‘Māyāvino nekatikā, asappurisacintakā;

    ยทา โลเก ภวิสฺสนฺติ, ตทา กโณฺห ปโมกฺขตี’’ติฯ

    Yadā loke bhavissanti, tadā kaṇho pamokkhatī’’ti.

    ตตฺถ สมณกาติ ‘‘มยํ สมณามฺหา’’ติ ปฎิญฺญามตฺตเกน หีฬิตโวหาเรเนวมาหฯ กสิสฺสนฺตีติ เต ตทาปิ กสนฺติเยวฯ อยํ ปน อชานโนฺต วิย เอวมาหฯ อยญฺหิสฺส อธิปฺปาโย – เอเต เอวรูปา ทุสฺสีลา มม อมิตฺตา, ยทา มม สุนเขน เอเต มาเรตฺวา มํสํ ขาทิตํ ภวิสฺสติ, ตทา เอส กโณฺห อิโต ปญฺจรชฺชุพนฺธนา ปโมกฺขตีติฯ อิมินา อุปาเยน สพฺพคาถาสุ อธิปฺปายโยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Tattha samaṇakāti ‘‘mayaṃ samaṇāmhā’’ti paṭiññāmattakena hīḷitavohārenevamāha. Kasissantīti te tadāpi kasantiyeva. Ayaṃ pana ajānanto viya evamāha. Ayañhissa adhippāyo – ete evarūpā dussīlā mama amittā, yadā mama sunakhena ete māretvā maṃsaṃ khāditaṃ bhavissati, tadā esa kaṇho ito pañcarajjubandhanā pamokkhatīti. Iminā upāyena sabbagāthāsu adhippāyayojanā veditabbā.

    ปพฺพชิตาติ พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตาฯ คมิสฺสนฺตีติ อคารมเชฺฌ ปญฺจ กามคุเณ ปริภุญฺชนฺติโย วิจริสฺสนฺติฯ ทีโฆตฺตโรฎฺฐาติ ทาฐิกานํ วฑฺฒิตตฺตา ทีฆุตฺตโรฎฺฐาฯ ปงฺกทนฺตาติ ปเงฺกน มเลน สมนฺนาคตทนฺตาฯ อิณํ โจทายาติ ภิกฺขาจริยาย ธนํ สํหริตฺวา วฑฺฒิยา อิณํ ปโยเชตฺวา ตํ โจเทตฺวา ตโต ลเทฺธน ชีวิกํ กเปฺปนฺตา ยทา คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ

    Pabbajitāti buddhasāsane pabbajitā. Gamissantīti agāramajjhe pañca kāmaguṇe paribhuñjantiyo vicarissanti. Dīghottaroṭṭhāti dāṭhikānaṃ vaḍḍhitattā dīghuttaroṭṭhā. Paṅkadantāti paṅkena malena samannāgatadantā. Iṇaṃ codāyāti bhikkhācariyāya dhanaṃ saṃharitvā vaḍḍhiyā iṇaṃ payojetvā taṃ codetvā tato laddhena jīvikaṃ kappentā yadā gacchantīti attho.

    สาวิตฺตินฺติ สาวิตฺติญฺจ อธิยิตฺวาฯ ยญฺญตนฺตญฺจาติ ยญฺญวิธายกตนฺตํ, ยญฺญํ อธิยิตฺวาติ อโตฺถฯ ภติกายาติ เต เต ราชราชมหามเตฺต อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ ยญฺญํ ยชิสฺสาม, ธนํ เทถา’’ติ เอวํ ภติอตฺถาย ยทา ยญฺญํ ยชิสฺสนฺติฯ ปหู สโนฺตติ ภริตุํ โปเสตุํ สมตฺถา สมานาฯ พาลา ตุเมฺหติ ตุเมฺห พาลา น กิญฺจิ ชานาถาติ ยทา วกฺขนฺติฯ คมิสฺสนฺตีติ โลกธมฺมเสวนวเสน คมิสฺสนฺติฯ ปนฺถฆาตนฺติ ปเนฺถ ฐตฺวา มนุเสฺส มาเรตฺวา เตสํ ภณฺฑคฺคหณํฯ

    Sāvittinti sāvittiñca adhiyitvā. Yaññatantañcāti yaññavidhāyakatantaṃ, yaññaṃ adhiyitvāti attho. Bhatikāyāti te te rājarājamahāmatte upasaṅkamitvā ‘‘tumhākaṃ yaññaṃ yajissāma, dhanaṃ dethā’’ti evaṃ bhatiatthāya yadā yaññaṃ yajissanti. Pahū santoti bharituṃ posetuṃ samatthā samānā. Bālā tumheti tumhe bālā na kiñci jānāthāti yadā vakkhanti. Gamissantīti lokadhammasevanavasena gamissanti. Panthaghātanti panthe ṭhatvā manusse māretvā tesaṃ bhaṇḍaggahaṇaṃ.

    สุกฺกจฺฉวีติ กสาวจุณฺณาทิฆํสเนน สมุฎฺฐาปิตสุกฺกจฺฉวิวณฺณาฯ เวธเวราติ วิธวา อปติกา, ตาหิ วิธวาหิ เวรํ จรนฺตีติ เวธเวราฯ ถูลพาหูติ ปาทปริมทฺทนาทีหิ สมุฎฺฐาปิตมํสตาย มหาพาหูฯ อปาตุภาติ อปาตุภาวา, ธนุปฺปาทรหิตาติ อโตฺถฯ มิตฺตเภทนฺติ มิถุเภทํ, อยเมว วา ปาโฐฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยทา เอวรูปา อิตฺถิธุตฺตา ‘‘อิมา อเมฺห น ชหิสฺสนฺตี’’ติ สหิรญฺญา วิธวา อุปคนฺตฺวา สํวาสํ กเปฺปตฺวา ตาสํ สนฺตกํ ขาทิตฺวา ตาหิ สทฺธิํ มิตฺตเภทํ กริสฺสนฺติ , วิสฺสาสํ ภินฺทิตฺวา อญฺญํ สหิรญฺญํ คมิสฺสนฺติ, ตทา เอส เต โจเร สเพฺพว ขาทิตฺวา มุจฺจิสฺสติฯ อสปฺปุริสจินฺตกาติ อสปฺปุริสจิเตฺตหิ ปรทุกฺขจินฺตนสีลาฯ ตทาติ ตทา สเพฺพปิเม ฆาเตตฺวา ขาทิตมํโส กโณฺห ปโมกฺขตีติฯ

    Sukkacchavīti kasāvacuṇṇādighaṃsanena samuṭṭhāpitasukkacchavivaṇṇā. Vedhaverāti vidhavā apatikā, tāhi vidhavāhi veraṃ carantīti vedhaverā. Thūlabāhūti pādaparimaddanādīhi samuṭṭhāpitamaṃsatāya mahābāhū. Apātubhāti apātubhāvā, dhanuppādarahitāti attho. Mittabhedanti mithubhedaṃ, ayameva vā pāṭho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yadā evarūpā itthidhuttā ‘‘imā amhe na jahissantī’’ti sahiraññā vidhavā upagantvā saṃvāsaṃ kappetvā tāsaṃ santakaṃ khāditvā tāhi saddhiṃ mittabhedaṃ karissanti , vissāsaṃ bhinditvā aññaṃ sahiraññaṃ gamissanti, tadā esa te core sabbeva khāditvā muccissati. Asappurisacintakāti asappurisacittehi paradukkhacintanasīlā. Tadāti tadā sabbepime ghātetvā khāditamaṃso kaṇho pamokkhatīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อิเม มยฺหํ, มหาราช, อมิตฺตา’’ติ เต เต อธมฺมการเก ปกฺขนฺทิตฺวา ขาทิตุกามตํ วิย กตฺวา ทเสฺสติฯ โส ตโต มหาชนสฺส อุตฺรสฺตกาเล สุนขํ รชฺชุยา อากฑฺฒิตฺวา ฐปิตํ วิย กตฺวา ลุทฺทกเวสํ วิชหิตฺวา อตฺตโน อานุภาเวน อากาเส ชลมาโน ฐตฺวา ‘‘มหาราช, อหํ สโกฺก เทวราชา, ‘อยํ โลโก วินสฺสตี’ติ อาคโต, ปมตฺตา หิ มหาชนา, อธมฺมํ วตฺติตฺวา มตมตา สมฺปติ อปาเย ปูเรนฺติ, เทวโลโก ตุโจฺฉ วิย วิโต, อิโต ปฎฺฐาย อธมฺมิเกสุ กตฺตพฺพํ อหํ ชานิสฺสามิ, ตฺวํ อปฺปมโตฺต โหหิ, มหาราชา’’ติ จตูหิ สตารหคาถาหิ ธมฺมํ เทเสตฺวา มนุสฺสานํ ทานสีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา โอสกฺกิตสาสนํ อญฺญํ วสฺสสหสฺสํ ปวตฺตนสมตฺถํ กตฺวา มาตลิํ อาทาย สกฎฺฐานเมว คโตฯ มหาชนา ทานสีลาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ

    Evañca pana vatvā ‘‘ime mayhaṃ, mahārāja, amittā’’ti te te adhammakārake pakkhanditvā khāditukāmataṃ viya katvā dasseti. So tato mahājanassa utrastakāle sunakhaṃ rajjuyā ākaḍḍhitvā ṭhapitaṃ viya katvā luddakavesaṃ vijahitvā attano ānubhāvena ākāse jalamāno ṭhatvā ‘‘mahārāja, ahaṃ sakko devarājā, ‘ayaṃ loko vinassatī’ti āgato, pamattā hi mahājanā, adhammaṃ vattitvā matamatā sampati apāye pūrenti, devaloko tuccho viya vito, ito paṭṭhāya adhammikesu kattabbaṃ ahaṃ jānissāmi, tvaṃ appamatto hohi, mahārājā’’ti catūhi satārahagāthāhi dhammaṃ desetvā manussānaṃ dānasīlesu patiṭṭhāpetvā osakkitasāsanaṃ aññaṃ vassasahassaṃ pavattanasamatthaṃ katvā mātaliṃ ādāya sakaṭṭhānameva gato. Mahājanā dānasīlādīni puññāni katvā devaloke nibbattiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขเว ปุเพฺพปาหํ โลกสฺส อตฺถเมว จรามี’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มาตลิ อานโนฺท อโหสิ, สโกฺก ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhave pubbepāhaṃ lokassa atthameva carāmī’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā mātali ānando ahosi, sakko pana ahameva ahosi’’nti.

    มหากณฺหชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Mahākaṇhajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๖๙. มหากณฺหชาตกํ • 469. Mahākaṇhajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact