Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๐๗] ๒. มหากปิชาตกวณฺณนา

    [407] 2. Mahākapijātakavaṇṇanā

    อตฺตานํ สงฺกมํ กตฺวาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ญาตตฺถจริยํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ ภทฺทสาลชาตเก (ชา. ๑.๑๒.๑๓ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ ตทา ปน ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สมฺมาสมฺพุโทฺธ ญาตกานํ อตฺถํ จรตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ตถาคโต ญาตีนํ อตฺถํ จริเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Attānaṃ saṅkamaṃ katvāti idaṃ satthā jetavane viharanto ñātatthacariyaṃ ārabbha kathesi. Vatthu bhaddasālajātake (jā. 1.12.13 ādayo) āvi bhavissati. Tadā pana dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, sammāsambuddho ñātakānaṃ atthaṃ caratī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi tathāgato ñātīnaṃ atthaṃ cariyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต กปิโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปโตฺต อาโรหปริณาหสมฺปโนฺน ถามพลูเปโต ปญฺจหตฺถิพลปริมาโณ อสีติสหสฺสกปิคณปริวุโต หิมวนฺตปเทเส วสติฯ ตตฺถ คงฺคาตีรํ นิสฺสาย สาขาวิฎปสมฺปโนฺน สนฺทจฺฉาโย พหลปโตฺต ปพฺพตกูฎํ วิย สมุคฺคโต อมฺพรุโกฺข อโหสิ ‘‘นิโคฺรธรุโกฺข’’ติปิ วทนฺติฯ ตสฺส มธุรานิ ผลานิ ทิพฺพคนฺธรสานิ มหนฺตานิ มหนฺตกุมฺภปฺปมาณานิฯ ตสฺส เอกิสฺสา สาขาย ผลานิ ถเล ปตนฺติ, เอกิสฺสา สาขาย คงฺคาชเล, ทฺวินฺนํ สาขานํ ผลานิ มเชฺฌ รุกฺขมูเล ปตนฺติฯ โพธิสโตฺต กปิคณํ อาทาย ตตฺถ ผลานิ ขาทโนฺต ‘‘เอกสฺมิํ กาเล อิมสฺส รุกฺขสฺส อุทเก ปติตํ ผลํ นิสฺสาย อมฺหากํ ภยํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ อุทกมตฺถเก สาขาย เอกผลมฺปิ อนวเสเสตฺวา ปุปฺผกาเล กฬายมตฺตกาลโต ปฎฺฐาย ขาทาเปติ เจว ปาตาเปติ จฯ เอวํ สเนฺตปิ อสีติวานรสหเสฺสหิ อทิฎฺฐํ กิปิลฺลิกปุฎปฎิจฺฉนฺนํ เอกํ ปกฺกผลํ นทิยํ ปติตฺวา อุทฺธญฺจ อโธ จ ชาลํ พนฺธาเปตฺวา อุทกกีฬํ กีฬนฺตสฺส พาราณสิรโญฺญ อุทฺธํชาเล ลคฺคิฯ รโญฺญ ทิวสํ กีฬิตฺวา สายํ คมนสมเย เกวฎฺฎา ชาลํ อุกฺขิปนฺตา ตํ ทิสฺวา ‘‘อสุกผลํ นามา’’ติ อชานนฺตา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kapiyoniyaṃ nibbattitvā vayappatto ārohapariṇāhasampanno thāmabalūpeto pañcahatthibalaparimāṇo asītisahassakapigaṇaparivuto himavantapadese vasati. Tattha gaṅgātīraṃ nissāya sākhāviṭapasampanno sandacchāyo bahalapatto pabbatakūṭaṃ viya samuggato ambarukkho ahosi ‘‘nigrodharukkho’’tipi vadanti. Tassa madhurāni phalāni dibbagandharasāni mahantāni mahantakumbhappamāṇāni. Tassa ekissā sākhāya phalāni thale patanti, ekissā sākhāya gaṅgājale, dvinnaṃ sākhānaṃ phalāni majjhe rukkhamūle patanti. Bodhisatto kapigaṇaṃ ādāya tattha phalāni khādanto ‘‘ekasmiṃ kāle imassa rukkhassa udake patitaṃ phalaṃ nissāya amhākaṃ bhayaṃ uppajjissatī’’ti udakamatthake sākhāya ekaphalampi anavasesetvā pupphakāle kaḷāyamattakālato paṭṭhāya khādāpeti ceva pātāpeti ca. Evaṃ santepi asītivānarasahassehi adiṭṭhaṃ kipillikapuṭapaṭicchannaṃ ekaṃ pakkaphalaṃ nadiyaṃ patitvā uddhañca adho ca jālaṃ bandhāpetvā udakakīḷaṃ kīḷantassa bārāṇasirañño uddhaṃjāle laggi. Rañño divasaṃ kīḷitvā sāyaṃ gamanasamaye kevaṭṭā jālaṃ ukkhipantā taṃ disvā ‘‘asukaphalaṃ nāmā’’ti ajānantā rañño dassesuṃ.

    ราชา ‘‘กิํผลํ นาเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ชานาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เก ชานิสฺสนฺตี’’ติ? ‘‘วนจรกา, เทวา’’ติฯ โส วนจรเก ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ สนฺติกา ‘‘อมฺพปกฺก’’นฺติ สุตฺวา ฉุริกาย ฉินฺทิตฺวา ปฐมํ วนจรเก ขาทาเปตฺวา ปจฺฉา อตฺตนาปิ ขาทิ, อิตฺถาคารสฺสาปิ อมจฺจานมฺปิ ทาเปสิฯ รโญฺญ อมฺพปกฺกรโส สกลสรีรํ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส รสตณฺหาย พชฺฌิตฺวา ตสฺส รุกฺขสฺส ฐิตฎฺฐานํ วนจรเก ปุจฺฉิตฺวา เตหิ ‘‘หิมวนฺตปเทเส นทีตีเร’’ติ วุเตฺต พหู นาวาสงฺฆาเฎ พนฺธาเปตฺวา วนจรเกหิ เทสิตมเคฺคน อุทฺธํโสตํ อคมาสิฯ ‘‘เอตฺตกานิ ทิวสานี’’ติ ปริเจฺฉโท น กถิโต, อนุปุเพฺพน ปน ตํ ฐานํ ปตฺวา ‘‘เอโส เทว, รุโกฺข’’ติ วนจรกา รโญฺญ อาจิกฺขิํสุฯ ราชา นาวํ ฐเปตฺวา มหาชนปริวุโต ปทสา ตตฺถ คนฺตฺวา รุกฺขมูเล สยนํ ปญฺญปาเปตฺวา อมฺพปกฺกานิ ขาทิตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา นิปชฺชิ, สพฺพทิสาสุ อารกฺขํ ฐเปตฺวา อคฺคิํ กริํสุฯ

    Rājā ‘‘kiṃphalaṃ nāmeta’’nti pucchi. ‘‘Na jānāma, devā’’ti. ‘‘Ke jānissantī’’ti? ‘‘Vanacarakā, devā’’ti. So vanacarake pakkosāpetvā tesaṃ santikā ‘‘ambapakka’’nti sutvā churikāya chinditvā paṭhamaṃ vanacarake khādāpetvā pacchā attanāpi khādi, itthāgārassāpi amaccānampi dāpesi. Rañño ambapakkaraso sakalasarīraṃ pharitvā aṭṭhāsi. So rasataṇhāya bajjhitvā tassa rukkhassa ṭhitaṭṭhānaṃ vanacarake pucchitvā tehi ‘‘himavantapadese nadītīre’’ti vutte bahū nāvāsaṅghāṭe bandhāpetvā vanacarakehi desitamaggena uddhaṃsotaṃ agamāsi. ‘‘Ettakāni divasānī’’ti paricchedo na kathito, anupubbena pana taṃ ṭhānaṃ patvā ‘‘eso deva, rukkho’’ti vanacarakā rañño ācikkhiṃsu. Rājā nāvaṃ ṭhapetvā mahājanaparivuto padasā tattha gantvā rukkhamūle sayanaṃ paññapāpetvā ambapakkāni khāditvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā nipajji, sabbadisāsu ārakkhaṃ ṭhapetvā aggiṃ kariṃsu.

    มหาสโตฺต มนุเสฺสสุ นิทฺทํ โอกฺกเนฺตสุ อฑฺฒรตฺตสมเย ปริสาย สทฺธิํ อคมาสิฯ อสีติสหสฺสวานรา สาขาย สาขํ จรนฺตา อมฺพานิ ขาทนฺติฯ ราชา ปพุชฺฌิตฺวา กปิคณํ ทิสฺวา มนุเสฺส อุฎฺฐาเปตฺวา ธนุคฺคเห ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ยถา เอเต ผลขาทกา วานรา น ปลายนฺติ, ตถา เต ปริกฺขิปิตฺวา วิชฺฌถ, เสฺว อมฺพานิ เจว วานรมํสญฺจ ขาทิสฺสามี’’ติ อาหฯ ธนุคฺคหา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รุกฺขํ ปริวาเรตฺวา สเร สนฺนยฺหิตฺวา อฎฺฐํสุฯ เต ทิสฺวา วานรา มรณภยภีตา ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตา มหาสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, ‘ปลายนมกฺกเฎ วิชฺฌิสฺสามา’ติ รุกฺขํ ปริวาเรตฺวา ธนุคฺคหา ฐิตา, กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา กมฺปมานา อฎฺฐํสุฯ โพธิสโตฺต ‘‘มา ภายิตฺถ, อหํ โว ชีวิตํ ทสฺสามี’’ติ วานรคณํ สมสฺสาเสตฺวา อุชุกํ อุคฺคตสาขํ อารุยฺห คงฺคาภิมุขํ คตสาขํ คนฺตฺวา ตสฺสา ปริยนฺตโต ปกฺขนฺทิตฺวา ธนุสตมตฺตํ ฐานํ อติกฺกมฺม คงฺคาตีเร เอกสฺมิํ คุมฺพมตฺถเก ปติตฺวา ตโต โอรุยฺห ‘‘มมาคตฎฺฐานํ เอตฺตกํ ภวิสฺสตี’’ติ อากาสํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา เอกํ เวตฺตลตํ มูเล ฉินฺทิตฺวา โสเธตฺวา ‘‘เอตฺตกํ ฐานํ รุเกฺข พชฺฌิสฺสติ, เอตฺตกํ อากาสฎฺฐํ ภวิสฺสตี’’ติ อิมานิ เทฺว ฐานานิ ววตฺถเปตฺวา อตฺตโน กฎิยํ พนฺธนฎฺฐานํ น สลฺลเกฺขสิฯ

    Mahāsatto manussesu niddaṃ okkantesu aḍḍharattasamaye parisāya saddhiṃ agamāsi. Asītisahassavānarā sākhāya sākhaṃ carantā ambāni khādanti. Rājā pabujjhitvā kapigaṇaṃ disvā manusse uṭṭhāpetvā dhanuggahe pakkosāpetvā ‘‘yathā ete phalakhādakā vānarā na palāyanti, tathā te parikkhipitvā vijjhatha, sve ambāni ceva vānaramaṃsañca khādissāmī’’ti āha. Dhanuggahā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rukkhaṃ parivāretvā sare sannayhitvā aṭṭhaṃsu. Te disvā vānarā maraṇabhayabhītā palāyituṃ asakkontā mahāsattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, ‘palāyanamakkaṭe vijjhissāmā’ti rukkhaṃ parivāretvā dhanuggahā ṭhitā, kiṃ karomā’’ti pucchitvā kampamānā aṭṭhaṃsu. Bodhisatto ‘‘mā bhāyittha, ahaṃ vo jīvitaṃ dassāmī’’ti vānaragaṇaṃ samassāsetvā ujukaṃ uggatasākhaṃ āruyha gaṅgābhimukhaṃ gatasākhaṃ gantvā tassā pariyantato pakkhanditvā dhanusatamattaṃ ṭhānaṃ atikkamma gaṅgātīre ekasmiṃ gumbamatthake patitvā tato oruyha ‘‘mamāgataṭṭhānaṃ ettakaṃ bhavissatī’’ti ākāsaṃ paricchinditvā ekaṃ vettalataṃ mūle chinditvā sodhetvā ‘‘ettakaṃ ṭhānaṃ rukkhe bajjhissati, ettakaṃ ākāsaṭṭhaṃ bhavissatī’’ti imāni dve ṭhānāni vavatthapetvā attano kaṭiyaṃ bandhanaṭṭhānaṃ na sallakkhesi.

    โส ตํ ลตํ อาทาย เอกํ โกฎิํ คงฺคาตีเร ปติฎฺฐิตรุเกฺข พนฺธิตฺวา เอกํ อตฺตโน กฎิยํ พนฺธิตฺวา วาตจฺฉินฺนวลาหโก วิย เวเคน ธนุสตมตฺตํ ฐานํ ลงฺฆิตฺวา กฎิยํ พนฺธนฎฺฐานสฺส อสลฺลกฺขิตตฺตา รุกฺขํ ปาปุณิตุํ อสโกฺกโนฺต อุโภหิ หเตฺถหิ อมฺพสาขํ ทฬฺหํ คณฺหิตฺวา วานรคณสฺส สญฺญมทาสิ ‘‘สีฆํ มม ปิฎฺฐิํ มทฺทมานา เวตฺตลตาย โสตฺถิคมนํ คจฺฉถา’’ติฯ อสีติสหสฺสวานรา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา ตถา อคมํสุฯ ตทา เทวทโตฺตปิ มกฺกโฎ หุตฺวา เตสํ อพฺภนฺตเร โหติฯ โส ‘‘อยํ เม ปจฺจามิตฺตสฺส ปิฎฺฐิํ ปสฺสิตุํ กาโล’’ติ อุจฺจํ สาขํ อารุยฺห เวคํ ชเนตฺวา ตสฺส ปิฎฺฐิยํ ปติฯ มหาสตฺตสฺส หทยํ ภิชฺชิ, พลวเวทนา อุปฺปชฺชิฯ โสปิ ตํ เวทนาปฺปตฺตํ กตฺวา ปกฺกามิฯ มหาสโตฺต เอกโกว อโหสิฯ ราชา อนิทฺทายโนฺต วานเรหิ จ มหาสเตฺตน จ กตกิริยํ สพฺพํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ติรจฺฉาโน หุตฺวา อตฺตโน ชีวิตํ อคเณตฺวา ปริสาย โสตฺถิภาวเมว อกาสี’’ติ จิเนฺตโนฺต นิปชฺชิฯ

    So taṃ lataṃ ādāya ekaṃ koṭiṃ gaṅgātīre patiṭṭhitarukkhe bandhitvā ekaṃ attano kaṭiyaṃ bandhitvā vātacchinnavalāhako viya vegena dhanusatamattaṃ ṭhānaṃ laṅghitvā kaṭiyaṃ bandhanaṭṭhānassa asallakkhitattā rukkhaṃ pāpuṇituṃ asakkonto ubhohi hatthehi ambasākhaṃ daḷhaṃ gaṇhitvā vānaragaṇassa saññamadāsi ‘‘sīghaṃ mama piṭṭhiṃ maddamānā vettalatāya sotthigamanaṃ gacchathā’’ti. Asītisahassavānarā mahāsattaṃ vanditvā khamāpetvā tathā agamaṃsu. Tadā devadattopi makkaṭo hutvā tesaṃ abbhantare hoti. So ‘‘ayaṃ me paccāmittassa piṭṭhiṃ passituṃ kālo’’ti uccaṃ sākhaṃ āruyha vegaṃ janetvā tassa piṭṭhiyaṃ pati. Mahāsattassa hadayaṃ bhijji, balavavedanā uppajji. Sopi taṃ vedanāppattaṃ katvā pakkāmi. Mahāsatto ekakova ahosi. Rājā aniddāyanto vānarehi ca mahāsattena ca katakiriyaṃ sabbaṃ disvā ‘‘ayaṃ tiracchāno hutvā attano jīvitaṃ agaṇetvā parisāya sotthibhāvameva akāsī’’ti cintento nipajji.

    โส ปภาตาย รตฺติยา มหาสตฺตสฺส ตุสฺสิตฺวา ‘‘น ยุตฺตํ อิมํ กปิราชานํ นาเสตุํ, อุปาเยน นํ โอตาเรตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ อโนฺตคงฺคาย นาวาสงฺฆาฎํ ฐเปตฺวา ตตฺถ อฎฺฎกํ พนฺธาเปตฺวา สณิกํ มหาสตฺตํ โอตาราเปตฺวา ปิฎฺฐิยํ กาสาววตฺถํ ปตฺถราเปตฺวา คโงฺคทเกน นฺหาเปตฺวา ผาณิโตทกํ ปาเยตฺวา ปริสุทฺธสรีรํ สหสฺสปากเตเลน อพฺภญฺชาเปตฺวา สยนปิเฎฺฐ เอฬกจมฺมํ สนฺถราเปตฺวา สณิกํ ตตฺถ นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตนา นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    So pabhātāya rattiyā mahāsattassa tussitvā ‘‘na yuttaṃ imaṃ kapirājānaṃ nāsetuṃ, upāyena naṃ otāretvā paṭijaggissāmī’’ti antogaṅgāya nāvāsaṅghāṭaṃ ṭhapetvā tattha aṭṭakaṃ bandhāpetvā saṇikaṃ mahāsattaṃ otārāpetvā piṭṭhiyaṃ kāsāvavatthaṃ pattharāpetvā gaṅgodakena nhāpetvā phāṇitodakaṃ pāyetvā parisuddhasarīraṃ sahassapākatelena abbhañjāpetvā sayanapiṭṭhe eḷakacammaṃ santharāpetvā saṇikaṃ tattha nipajjāpetvā attanā nīce āsane nisīditvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๘๓.

    83.

    ‘‘อตฺตานํ สงฺกมํ กตฺวา, โย โสตฺถิํ สมตารยิ;

    ‘‘Attānaṃ saṅkamaṃ katvā, yo sotthiṃ samatārayi;

    กิํ ตฺวํ เตสํ กิเม ตุยฺหํ, โหนฺติ เอเต มหากปี’’ติฯ

    Kiṃ tvaṃ tesaṃ kime tuyhaṃ, honti ete mahākapī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อโมฺภ มหากปิ, โย ตฺวํ อตฺตานํ สงฺกมํ กตฺวา ตุลํ อาโรเปตฺวา ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา อิเม วานเร โสตฺถิํ สมตารยิ, เขเมน สนฺตาเรสิ; กิํ ตฺวํ เตสํ โหสิ, กิเม ตุยฺหํ วา กิํสุ เอเต โหนฺตีติ?

    Tassattho – ambho mahākapi, yo tvaṃ attānaṃ saṅkamaṃ katvā tulaṃ āropetvā jīvitaṃ pariccajitvā ime vānare sotthiṃ samatārayi, khemena santāresi; kiṃ tvaṃ tesaṃ hosi, kime tuyhaṃ vā kiṃsu ete hontīti?

    ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ราชานํ โอวทโนฺต เสสคาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā bodhisatto rājānaṃ ovadanto sesagāthā abhāsi –

    ๘๔.

    84.

    ‘‘ราชาหํ อิสฺสโร เตสํ, ยูถสฺส ปริหารโก;

    ‘‘Rājāhaṃ issaro tesaṃ, yūthassa parihārako;

    เตสํ โสกปเรตานํ, ภีตานํ เต อรินฺทมฯ

    Tesaṃ sokaparetānaṃ, bhītānaṃ te arindama.

    ๘๕.

    85.

    ‘‘อุลฺลงฺฆยิตฺวา อตฺตานํ, วิสฺสฎฺฐธนุโน สตํ;

    ‘‘Ullaṅghayitvā attānaṃ, vissaṭṭhadhanuno sataṃ;

    ตโต อปรปาเทสุ, ทฬฺหํ พนฺธํ ลตาคุณํฯ

    Tato aparapādesu, daḷhaṃ bandhaṃ latāguṇaṃ.

    ๘๖.

    86.

    ‘‘ฉินฺนพฺภมิว วาเตน, นุโณฺณ รุกฺขํ อุปาคมิํ;

    ‘‘Chinnabbhamiva vātena, nuṇṇo rukkhaṃ upāgamiṃ;

    โสหํ อปฺปภวํ ตตฺถ, สาขํ หเตฺถหิ อคฺคหิํฯ

    Sohaṃ appabhavaṃ tattha, sākhaṃ hatthehi aggahiṃ.

    ๘๗.

    87.

    ‘‘ตํ มํ วิยายตํ สนฺตํ, สาขาย จ ลตาย จ;

    ‘‘Taṃ maṃ viyāyataṃ santaṃ, sākhāya ca latāya ca;

    สมนุกฺกมนฺตา ปาเทหิ, โสตฺถิํ สาขามิคา คตาฯ

    Samanukkamantā pādehi, sotthiṃ sākhāmigā gatā.

    ๘๘.

    88.

    ‘‘ตํ มํ น ตปเต พโนฺธ, มโต เม น ตเปสฺสติ;

    ‘‘Taṃ maṃ na tapate bandho, mato me na tapessati;

    สุขมาหริตํ เตสํ, เยสํ รชฺชมการยิํฯ

    Sukhamāharitaṃ tesaṃ, yesaṃ rajjamakārayiṃ.

    ๘๙.

    89.

    ‘‘เอสา เต อุปมา ราช, ตํ สุโณหิ อรินฺทม;

    ‘‘Esā te upamā rāja, taṃ suṇohi arindama;

    รญฺญา รฎฺฐสฺส โยคฺคสฺส, พลสฺส นิคมสฺส จ;

    Raññā raṭṭhassa yoggassa, balassa nigamassa ca;

    สเพฺพสํ สุขเมฎฺฐพฺพํ, ขตฺติเยน ปชานตา’’ติฯ

    Sabbesaṃ sukhameṭṭhabbaṃ, khattiyena pajānatā’’ti.

    ตตฺถ เตสนฺติ เตสํ อสีติสหสฺสานํ วานรานํฯ ภีตานํ เตติ ตว วิชฺฌนตฺถาย อาณาเปตฺวา ฐิตสฺส ภีตานํฯ อรินฺทมาติ ราชานํ อาลปติฯ ราชา หิ โจราทีนํ อรีนํ ทมนโต ‘‘อรินฺทโม’’ติ วุจฺจติฯ วิสฺสฎฺฐธนุโน สตนฺติ อนาโรปิตธนุสตปฺปมาณํ ฐานํ อตฺตานํ อากาเส อุลฺลงฺฆยิตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา ตโต อิมมฺหา รุกฺขา ลงฺฆยิตฺวา คตฎฺฐานโตฯ อปรปาเทสูติ ปจฺฉาปาเทสุฯ อิทํ กฎิภาคํ สนฺธาย วุตฺตํฯ โพธิสโตฺต หิ กฎิภาเค ตํ ลตาคุณํ ทฬฺหํ พนฺธิตฺวา ปจฺฉิมปาเทหิ ภูมิยํ อกฺกมิตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา วาตเวเคน อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ นุโณฺณ รุกฺขํ อุปาคมินฺติ วาตจฺฉินฺนํ อพฺภมิว อตฺตโน เวคชนิเตน วาเตน นุโณฺณฯ ยถา วาตจฺฉินฺนพฺภํ วาเตน, เอวํ อตฺตโน เวเคน นุโณฺณ หุตฺวา อิมํ อมฺพรุกฺขํ อุปาคมิํ ฯ อปฺปภวนฺติ โส อหํ ตตฺถ อากาสปฺปเทเส รุกฺขํ ปาปุณิตุํ อปฺปโหโนฺต ตสฺส รุกฺขสฺส สาขํ หเตฺถหิ อคฺคเหสินฺติ อโตฺถฯ

    Tattha tesanti tesaṃ asītisahassānaṃ vānarānaṃ. Bhītānaṃ teti tava vijjhanatthāya āṇāpetvā ṭhitassa bhītānaṃ. Arindamāti rājānaṃ ālapati. Rājā hi corādīnaṃ arīnaṃ damanato ‘‘arindamo’’ti vuccati. Vissaṭṭhadhanuno satanti anāropitadhanusatappamāṇaṃ ṭhānaṃ attānaṃ ākāse ullaṅghayitvā vissajjetvā tato imamhā rukkhā laṅghayitvā gataṭṭhānato. Aparapādesūti pacchāpādesu. Idaṃ kaṭibhāgaṃ sandhāya vuttaṃ. Bodhisatto hi kaṭibhāge taṃ latāguṇaṃ daḷhaṃ bandhitvā pacchimapādehi bhūmiyaṃ akkamitvā vissajjetvā vātavegena ākāsaṃ pakkhandi. Nuṇṇorukkhaṃ upāgaminti vātacchinnaṃ abbhamiva attano vegajanitena vātena nuṇṇo. Yathā vātacchinnabbhaṃ vātena, evaṃ attano vegena nuṇṇo hutvā imaṃ ambarukkhaṃ upāgamiṃ . Appabhavanti so ahaṃ tattha ākāsappadese rukkhaṃ pāpuṇituṃ appahonto tassa rukkhassa sākhaṃ hatthehi aggahesinti attho.

    วิยายตนฺติ รุกฺขสาขาย จ เวตฺตลตาย จ วีณาย ภมรตนฺติ วิย วิตตํ อากฑฺฒิตสรีรํฯ สมนุกฺกมนฺตาติ มยา อนุญฺญาตา มํ วนฺทิตฺวา ปาเทหิ อนุกฺกมนฺตา นิรนฺตรเมว อกฺกมนฺตา โสตฺถิํ คตาฯ ตํ มํ น ตปเต พโนฺธติ ตํ มํ นาปิ โส วลฺลิยา พโนฺธ ตปติ, นาปิ อิทานิ มรณํ ตเปสฺสติฯ กิํการณา? สุขมาหริตํ เตสนฺติ ยสฺมา เยสํ อหํ รชฺชมการยิํ, เตสํ มยา สุขมาหริตํฯ เอเต หิ ‘‘มหาราช, อยํ โน อุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ หริตฺวา สุขํ อาหริสฺสตี’’ติ มํ ราชานํ อกํสุฯ อหมฺปิ ‘‘ตุมฺหากํ อุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ หริสฺสามิ’’เจฺจว เอเตสํ ราชา ชาโตฯ ตํ อชฺช มยา เอเตสํ มรณทุกฺขํ หริตฺวา ชีวิตสุขํ อาหฎํ, เตน มํ นาปิ พโนฺธ ตปติ, น มรณวโธ ตเปสฺสติฯ

    Viyāyatanti rukkhasākhāya ca vettalatāya ca vīṇāya bhamaratanti viya vitataṃ ākaḍḍhitasarīraṃ. Samanukkamantāti mayā anuññātā maṃ vanditvā pādehi anukkamantā nirantarameva akkamantā sotthiṃ gatā. Taṃ maṃ na tapate bandhoti taṃ maṃ nāpi so valliyā bandho tapati, nāpi idāni maraṇaṃ tapessati. Kiṃkāraṇā? Sukhamāharitaṃ tesanti yasmā yesaṃ ahaṃ rajjamakārayiṃ, tesaṃ mayā sukhamāharitaṃ. Ete hi ‘‘mahārāja, ayaṃ no uppannaṃ dukkhaṃ haritvā sukhaṃ āharissatī’’ti maṃ rājānaṃ akaṃsu. Ahampi ‘‘tumhākaṃ uppannaṃ dukkhaṃ harissāmi’’cceva etesaṃ rājā jāto. Taṃ ajja mayā etesaṃ maraṇadukkhaṃ haritvā jīvitasukhaṃ āhaṭaṃ, tena maṃ nāpi bandho tapati, na maraṇavadho tapessati.

    เอสา เต อุปมาติ เอสา เต มหาราช, มยา กตกิริยาย อุปมาฯ ตํ สุโณหีติ ตสฺมา อิมาย อุปมาย สํสเนฺทตฺวา อตฺตโน ทิยฺยมานํ โอวาทํ สุณาหิฯ รญฺญา รฎฺฐสฺสาติ มหาราช, รญฺญา นาม อุจฺฉุยเนฺต อุจฺฉุํ วิย รฎฺฐํ อปีเฬตฺวา จตุพฺพิธํ อคติคมนํ ปหาย จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคณฺหเนฺตน ทสสุ ราชธเมฺมสุ ปติฎฺฐาย มยา วิย อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา ‘‘กินฺติเม รฎฺฐวาสิโน วิคตภยา คิมฺหกาเล วิวฎทฺวาเร ญาตีหิ จ ปริวารเกหิ จ ปริวาริตา อุเร ปุเตฺต นเจฺจนฺตา สีเตน วาเตน พีชิยมานา ยถารุจิ อตฺตโน อตฺตโน สนฺตกํ ปริภุญฺชนฺตา กายิกเจตสิกสุขสมงฺคิโน ภเวยฺยุ’’นฺติ สกลรฎฺฐสฺส จ รถสกฎาทิยุตฺตวาหนสฺส โยคฺคสฺส จ ปตฺติสงฺขาตสฺส พลสฺส จ นิคมชนปทสงฺขาตสฺส นิคมสฺส จ สเพฺพสํ สุขเมว เอสิตพฺพํ คเวสิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ขตฺติเยน ปชานตาติ เขตฺตานํ อธิปติภาเวน ‘‘ขตฺติโย’’ติ ลทฺธนาเมน ปน เอเตน อวเสสสเตฺต อติกฺกมฺม ปชานตา ญาณสมฺปเนฺนน ภวิตพฺพนฺติฯ

    Esā te upamāti esā te mahārāja, mayā katakiriyāya upamā. Taṃ suṇohīti tasmā imāya upamāya saṃsandetvā attano diyyamānaṃ ovādaṃ suṇāhi. Raññā raṭṭhassāti mahārāja, raññā nāma ucchuyante ucchuṃ viya raṭṭhaṃ apīḷetvā catubbidhaṃ agatigamanaṃ pahāya catūhi saṅgahavatthūhi saṅgaṇhantena dasasu rājadhammesu patiṭṭhāya mayā viya attano jīvitaṃ pariccajitvā ‘‘kintime raṭṭhavāsino vigatabhayā gimhakāle vivaṭadvāre ñātīhi ca parivārakehi ca parivāritā ure putte naccentā sītena vātena bījiyamānā yathāruci attano attano santakaṃ paribhuñjantā kāyikacetasikasukhasamaṅgino bhaveyyu’’nti sakalaraṭṭhassa ca rathasakaṭādiyuttavāhanassa yoggassa ca pattisaṅkhātassa balassa ca nigamajanapadasaṅkhātassa nigamassa ca sabbesaṃ sukhameva esitabbaṃ gavesitabbanti attho. Khattiyena pajānatāti khettānaṃ adhipatibhāvena ‘‘khattiyo’’ti laddhanāmena pana etena avasesasatte atikkamma pajānatā ñāṇasampannena bhavitabbanti.

    เอวํ มหาสโตฺต ราชานํ โอวทโนฺต อนุสาสโนฺตว กาลมกาสิฯ ราชา อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมสฺส กปิราชสฺส ราชูนํ วิย สรีรกิจฺจํ กโรถา’’ติ วตฺวา อิตฺถาคารมฺปิ อาณาเปสิ ‘‘ตุเมฺห รตฺตวตฺถนิวตฺถา วิกิณฺณเกสา ทณฺฑทีปิกหตฺถา กปิราชานํ ปริวาเรตฺวา อาฬาหนํ คจฺฉถา’’ติฯ อมจฺจา ทารูนํ สกฎสตมเตฺตน จิตกํ กริตฺวา ราชูนํ กรณนิยาเมเนว มหาสตฺตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา สีสกปาลํ คเหตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา มหาสตฺตสฺส อาฬาหเน เจติยํ กาเรตฺวา ทีเป ชาลาเปตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา สีสกปาลํ สุวณฺณขจิตํ กาเรตฺวา กุนฺตเคฺค ฐเปตฺวา ปุรโต กตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชโนฺต พาราณสิํ คนฺตฺวา อโนฺตราชทฺวาเร ฐเปตฺวา สกลนครํ สชฺชาเปตฺวา สตฺตาหํ ธาตุปูชํ กาเรสิฯ อถ นํ ธาตุํ คเหตฺวา เจติยํ กาเรตฺวา ยาวชีวํ คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา โพธิสตฺตสฺส โอวาเท ปติฎฺฐาย ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กโรโนฺต ธเมฺมน รชฺชํ กาเรตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ

    Evaṃ mahāsatto rājānaṃ ovadanto anusāsantova kālamakāsi. Rājā amacce pakkosāpetvā ‘‘imassa kapirājassa rājūnaṃ viya sarīrakiccaṃ karothā’’ti vatvā itthāgārampi āṇāpesi ‘‘tumhe rattavatthanivatthā vikiṇṇakesā daṇḍadīpikahatthā kapirājānaṃ parivāretvā āḷāhanaṃ gacchathā’’ti. Amaccā dārūnaṃ sakaṭasatamattena citakaṃ karitvā rājūnaṃ karaṇaniyāmeneva mahāsattassa sarīrakiccaṃ katvā sīsakapālaṃ gahetvā rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā mahāsattassa āḷāhane cetiyaṃ kāretvā dīpe jālāpetvā gandhamālādīhi pūjetvā sīsakapālaṃ suvaṇṇakhacitaṃ kāretvā kuntagge ṭhapetvā purato katvā gandhamālādīhi pūjento bārāṇasiṃ gantvā antorājadvāre ṭhapetvā sakalanagaraṃ sajjāpetvā sattāhaṃ dhātupūjaṃ kāresi. Atha naṃ dhātuṃ gahetvā cetiyaṃ kāretvā yāvajīvaṃ gandhamālādīhi pūjetvā bodhisattassa ovāde patiṭṭhāya dānādīni puññāni karonto dhammena rajjaṃ kāretvā saggaparāyaṇo ahosi.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, ทุฎฺฐกปิ เทวทโตฺต, ปริสา พุทฺธปริสา, กปิราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājā ānando ahosi, duṭṭhakapi devadatto, parisā buddhaparisā, kapirājā pana ahameva ahosi’’nti.

    มหากปิชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ

    Mahākapijātakavaṇṇanā dutiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๐๗. มหากปิชาตกํ • 407. Mahākapijātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact