Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๓. มหากปฺปินเตฺถรอปทานวณฺณนา

    3. Mahākappinattheraapadānavaṇṇanā

    ปทุมุตฺตโร นาม ชิโนติอาทิกํ อายสฺมโต กปฺปินเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร กุลเคเห นิพฺพโตฺต วิญฺญุตํ ปตฺวา สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมเทสนํ สุณโนฺต สตฺถารา เอกํ ภิกฺขุํ โอวาทกานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิตํ ทิสฺวา อธิการกมฺมํ กตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถสิฯ

    Padumuttaronāma jinotiādikaṃ āyasmato kappinattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare kulagehe nibbatto viññutaṃ patvā satthu santike dhammadesanaṃ suṇanto satthārā ekaṃ bhikkhuṃ ovādakānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapitaṃ disvā adhikārakammaṃ katvā taṃ ṭhānantaraṃ patthesi.

    โส ตตฺถ ยาวชีวํ กุสลํ กตฺวา เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต พาราณสิโต อวิทูเร เอกสฺมิํ เปสการคาเม เชฎฺฐเปสการเคเห นิพฺพโตฺต ตทา สหสฺสมตฺตา ปเจฺจกพุทฺธา หิมวเนฺต อฎฺฐ มาเส วสิตฺวา วสฺสิเก จตฺตาโร มาเส ชนปเท วสนฺติฯ เต เอกวารํ พาราณสิยา อวิทูเร โอตริตฺวา ‘‘เสนาสนํ กรณตฺถาย หตฺถกมฺมํ ยาจถา’’ติ รโญฺญ สนฺติกํ อฎฺฐ ปเจฺจกพุเทฺธ ปหิณิํสุฯ ตทา ปน รโญฺญ วปฺปมงฺคลํ อโหสิฯ โส ‘‘ปเจฺจกพุทฺธา กิร อาคตา’’ติ สุตฺวา นิกฺขมิตฺวา อาคตการณํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อชฺช, ภเนฺต, โอกาโส นตฺถิ เสฺว อมฺหากํ วปฺปมงฺคลํ , ตติยทิวเส กริสฺสามา’’ติ วตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ อนิมเนฺตตฺวาว ปาวิสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา ‘‘อญฺญํ คามํ ปวิสิสฺสามา’’ติ ปกฺกมิํสุฯ

    So tattha yāvajīvaṃ kusalaṃ katvā devamanussesu saṃsaranto bārāṇasito avidūre ekasmiṃ pesakāragāme jeṭṭhapesakāragehe nibbatto tadā sahassamattā paccekabuddhā himavante aṭṭha māse vasitvā vassike cattāro māse janapade vasanti. Te ekavāraṃ bārāṇasiyā avidūre otaritvā ‘‘senāsanaṃ karaṇatthāya hatthakammaṃ yācathā’’ti rañño santikaṃ aṭṭha paccekabuddhe pahiṇiṃsu. Tadā pana rañño vappamaṅgalaṃ ahosi. So ‘‘paccekabuddhā kira āgatā’’ti sutvā nikkhamitvā āgatakāraṇaṃ pucchitvā ‘‘ajja, bhante, okāso natthi sve amhākaṃ vappamaṅgalaṃ , tatiyadivase karissāmā’’ti vatvā paccekabuddhe animantetvāva pāvisi. Paccekabuddhā ‘‘aññaṃ gāmaṃ pavisissāmā’’ti pakkamiṃsu.

    ตสฺมิํ สมเย เชฎฺฐเปสการสฺส ภริยา เกนจิเทว กรณีเยน พาราณสิํ คจฺฉนฺตี เต ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา, ‘‘กิํ, ภเนฺต, อเวลาย อยฺยา อาคตา’’ติ ปุจฺฉิฯ เต อาทิโต ปฎฺฐาย กเถสุํฯ ตํ สุตฺวา สทฺธาสมฺปนฺนา พุทฺธิสมฺปนฺนา อิตฺถี ‘‘เสฺว, ภเนฺต, อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ ‘‘พหุกา มยํ, ภคินี’’ติฯ ‘‘กิตฺตกา, ภเนฺต’’ติ? ‘‘สหสฺสมตฺตา, ภคินี’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อิมสฺมิํ โน คาเม สหสฺสมตฺตา วสิมฺหา, เอเกโก เอเกกสฺส ภิกฺขํ ทสฺสติ, ภิกฺขํ อธิวาเสถ, อหเมว โว วสนฎฺฐานํ การาเปสฺสามี’’ติ อาหฯ ปเจฺจกพุทฺธา อธิวาเสสุํฯ

    Tasmiṃ samaye jeṭṭhapesakārassa bhariyā kenacideva karaṇīyena bārāṇasiṃ gacchantī te paccekabuddhe disvā vanditvā, ‘‘kiṃ, bhante, avelāya ayyā āgatā’’ti pucchi. Te ādito paṭṭhāya kathesuṃ. Taṃ sutvā saddhāsampannā buddhisampannā itthī ‘‘sve, bhante, amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantesi. ‘‘Bahukā mayaṃ, bhaginī’’ti. ‘‘Kittakā, bhante’’ti? ‘‘Sahassamattā, bhaginī’’ti. ‘‘Bhante, imasmiṃ no gāme sahassamattā vasimhā, ekeko ekekassa bhikkhaṃ dassati, bhikkhaṃ adhivāsetha, ahameva vo vasanaṭṭhānaṃ kārāpessāmī’’ti āha. Paccekabuddhā adhivāsesuṃ.

    สา คามํ ปวิสิตฺวา อุโคฺฆเสสิ – ‘‘อมฺมตาตา, อหํ สหสฺสมเตฺต ปเจฺจกพุเทฺธ ทิสฺวา นิมเนฺตสิํ, อยฺยานํ นิสีทนฎฺฐานํ สํวิทหถ, ยาคุภตฺตาทีนิ สมฺปาเทถา’’ติ คามมเชฺฌ มณฺฑปํ การาเปตฺวา อาสนานิ ปญฺญาเปตฺวา ปุนทิวเส ปเจฺจกพุเทฺธ นิสีทาเปตฺวา ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวิสิตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ตสฺมิํ คาเม สพฺพา อิตฺถิโย อาทาย ตาหิ สทฺธิํ ปเจฺจกพุเทฺธ วนฺทิตฺวา เตมาสํ วสนตฺถาย ปฎิญฺญํ คณฺหิตฺวา ปุน คาเม อุโคฺฆเสสิ – ‘‘อมฺมตาตา, เอเกกกุลโต เอเกกปุริโส วาสิผรสุอาทีนิ คเหตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา ทพฺพสมฺภาเร อาหริตฺวา อยฺยานํ วสนฎฺฐานํ กโรตู’’ติฯ คามวาสิโน ตสฺสาเยว วจนํ สุตฺวา เอเกโก เอเกกํ กตฺวา สทฺธิํ รตฺติทิวาฎฺฐาเนหิ ปณฺณสาลสหสฺสํ นิฎฺฐาเปตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลายํ อุปคตํ ปเจฺจกพุทฺธํ ‘‘อหํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิสฺสามิ, อหํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ วตฺวา อุปฎฺฐหิํสุฯ สา วสฺสํวุฎฺฐกาเล ‘‘อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลาย วสฺสํวุฎฺฐานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ จีวรสาฎเก สเชฺชถา’’ติ สมาทเปตฺวา เอเกกสฺส สหสฺส สหสฺสมูลํ จีวรํ ทาเปสิฯ ปเจฺจกพุทฺธา วุฎฺฐวสฺสา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกมิํสุฯ คามวาสิโนปิ อิทํ ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา ตโต จุโต ตาวติํสเทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา คณเทวตา นาม อเหสุํฯ

    Sā gāmaṃ pavisitvā ugghosesi – ‘‘ammatātā, ahaṃ sahassamatte paccekabuddhe disvā nimantesiṃ, ayyānaṃ nisīdanaṭṭhānaṃ saṃvidahatha, yāgubhattādīni sampādethā’’ti gāmamajjhe maṇḍapaṃ kārāpetvā āsanāni paññāpetvā punadivase paccekabuddhe nisīdāpetvā paṇītena khādanīyena bhojanīyena parivisitvā bhattakiccapariyosāne tasmiṃ gāme sabbā itthiyo ādāya tāhi saddhiṃ paccekabuddhe vanditvā temāsaṃ vasanatthāya paṭiññaṃ gaṇhitvā puna gāme ugghosesi – ‘‘ammatātā, ekekakulato ekekapuriso vāsipharasuādīni gahetvā araññaṃ pavisitvā dabbasambhāre āharitvā ayyānaṃ vasanaṭṭhānaṃ karotū’’ti. Gāmavāsino tassāyeva vacanaṃ sutvā ekeko ekekaṃ katvā saddhiṃ rattidivāṭṭhānehi paṇṇasālasahassaṃ niṭṭhāpetvā attano attano paṇṇasālāyaṃ upagataṃ paccekabuddhaṃ ‘‘ahaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahissāmi, ahaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti vatvā upaṭṭhahiṃsu. Sā vassaṃvuṭṭhakāle ‘‘attano attano paṇṇasālāya vassaṃvuṭṭhānaṃ paccekabuddhānaṃ cīvarasāṭake sajjethā’’ti samādapetvā ekekassa sahassa sahassamūlaṃ cīvaraṃ dāpesi. Paccekabuddhā vuṭṭhavassā anumodanaṃ katvā pakkamiṃsu. Gāmavāsinopi idaṃ puññakammaṃ katvā tato cuto tāvatiṃsadevaloke nibbattitvā gaṇadevatā nāma ahesuṃ.

    เต ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล กุฎุมฺพิกเคเหสุ นิพฺพตฺติํสุฯ ปุเพฺพ เชฎฺฐกเปสกาโร เชฎฺฐกกุฎุมฺพิกสฺส ปุโตฺต อโหสิฯ ภริยาปิสฺส เอกสฺส เชฎฺฐกกุฎุมฺพิกสฺส ธีตา อโหสิฯ เสสานํ ภริยาโย เสสกุฎุมฺพิกานํ ธีตโร อเหสุํ, ตา สพฺพาปิ วยปฺปตฺตา ปรกุลํ คจฺฉนฺติโย เตสํ เตสํเยว เคหานิ อคมํสุฯ อเถกทิวสํ วิหาเร ธมฺมสฺสวเน สงฺฆุเฎฺฐ ‘‘สตฺถา ธมฺมํ เทเสสฺสตี’’ติ สุตฺวา เต สเพฺพปิ กุฎุมฺพิกา ‘‘ธมฺมํ โสสฺสามา’’ติ ภริยาหิ สทฺธิํ วิหารํ อคมํสุฯ เตสํ วิหารมชฺฌํ ปวิฎฺฐกฺขเณ วสฺสํ วสฺสิฯ เยสํ กุลูปกา วา ญาติสามเณราทโย วา อตฺถิ, เต เตสํ ปริเวณาทีนิ ปวิสิํสุฯ เต ปน ตถารูปานํ นตฺถิตาย กตฺถจิ ปวิสิตุํ อวิสหนฺตา วิหารมเชฺฌเยว อฎฺฐํสุฯ อถ เน เชฎฺฐกกุฎุมฺพิโก อาห – ‘‘ปสฺสถ, โภ, อมฺหากํ วิปฺปการํ, กุลปุเตฺตหิ นาม เอตฺตเกน ลชฺชิตุํ ยุตฺต’’นฺติฯ ‘‘อยฺย, กิํ กโรมา’’ติ? ‘‘มยํ วิสฺสาสิกฎฺฐานสฺส อภาเวน อิมํ วิปฺปการํ ปตฺตา, สเพฺพ ธนํ สํหริตฺวา ปริเวณํ กริสฺสามา’’ติฯ ‘‘สาธุ, อยฺยา’’ติ เชฎฺฐโก สหสฺสํ อทาสิฯ เสสา ปญฺจ ปญฺจ สตานิฯ อิตฺถิโย อฑฺฒเตยฺยานิ อฑฺฒเตยฺยานิ สตานิฯ เต ตํ ธนํ อาหริตฺวา สหสฺสกูฎาคารปริวารํ สตฺถุ วสนตฺถาย มหาปริเวณํ นาม การาเปสุํฯ นวกมฺมสฺส มหนฺตตาย ธเน อปฺปโหเนฺต ปุเพฺพ ทินฺนธนโต ปุน อุปฑฺฒูปฑฺฒํ อทํสุฯ นิฎฺฐิเต ปริเวเณ วิหารมหํ กโรนฺตา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา วีสติยา ภิกฺขุสหสฺสานํ จีวรานิ สชฺชยิํสุฯ

    Te tattha dibbasampattiṃ anubhavitvā kassapasammāsambuddhakāle kuṭumbikagehesu nibbattiṃsu. Pubbe jeṭṭhakapesakāro jeṭṭhakakuṭumbikassa putto ahosi. Bhariyāpissa ekassa jeṭṭhakakuṭumbikassa dhītā ahosi. Sesānaṃ bhariyāyo sesakuṭumbikānaṃ dhītaro ahesuṃ, tā sabbāpi vayappattā parakulaṃ gacchantiyo tesaṃ tesaṃyeva gehāni agamaṃsu. Athekadivasaṃ vihāre dhammassavane saṅghuṭṭhe ‘‘satthā dhammaṃ desessatī’’ti sutvā te sabbepi kuṭumbikā ‘‘dhammaṃ sossāmā’’ti bhariyāhi saddhiṃ vihāraṃ agamaṃsu. Tesaṃ vihāramajjhaṃ paviṭṭhakkhaṇe vassaṃ vassi. Yesaṃ kulūpakā vā ñātisāmaṇerādayo vā atthi, te tesaṃ pariveṇādīni pavisiṃsu. Te pana tathārūpānaṃ natthitāya katthaci pavisituṃ avisahantā vihāramajjheyeva aṭṭhaṃsu. Atha ne jeṭṭhakakuṭumbiko āha – ‘‘passatha, bho, amhākaṃ vippakāraṃ, kulaputtehi nāma ettakena lajjituṃ yutta’’nti. ‘‘Ayya, kiṃ karomā’’ti? ‘‘Mayaṃ vissāsikaṭṭhānassa abhāvena imaṃ vippakāraṃ pattā, sabbe dhanaṃ saṃharitvā pariveṇaṃ karissāmā’’ti. ‘‘Sādhu, ayyā’’ti jeṭṭhako sahassaṃ adāsi. Sesā pañca pañca satāni. Itthiyo aḍḍhateyyāni aḍḍhateyyāni satāni. Te taṃ dhanaṃ āharitvā sahassakūṭāgāraparivāraṃ satthu vasanatthāya mahāpariveṇaṃ nāma kārāpesuṃ. Navakammassa mahantatāya dhane appahonte pubbe dinnadhanato puna upaḍḍhūpaḍḍhaṃ adaṃsu. Niṭṭhite pariveṇe vihāramahaṃ karontā buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sattāhaṃ mahādānaṃ datvā vīsatiyā bhikkhusahassānaṃ cīvarāni sajjayiṃsu.

    เชฎฺฐกกุฎุมฺพิกสฺส ปน ภริยา อตฺตโน ปญฺญาย ฐิตา อหํ เตหิ สมกํ อกตฺวา อติเรกตรํ กตฺวา ‘‘สตฺถารํ ปูเชสฺสามี’’ติ อโนชปุปฺผวเณฺณน สหสฺสมูเลน สาฎเกน สทฺธิํ อโนชปุปฺผจโงฺกฎกํ คเหตฺวา สตฺถารํ อโนชปุเปฺผหิ ปูเชตฺวา ตํ สาฎกํ สตฺถุ ปาทมูเล ฐเปตฺวา, ‘‘ภเนฺต, นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน อโนชปุปฺผวณฺณํเยว เม สรีรํ โหตุ, อโนชาเตฺวว จ นามํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ‘‘เอวํ โหตู’’ติ อนุโมทนํ อกาสิฯ เต สเพฺพปิ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุตา เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ เต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท เทวโลกา จวิตฺวา เชฎฺฐโก กุกฺกุฎวตีนคเร ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต มหากปฺปินราชา นาม อโหสิฯ เสสา อมจฺจกุเลสุ นิพฺพตฺติํสุฯ เชฎฺฐกสฺส ภริยา มทฺทรเฎฺฐ สากลนคเร ราชกุเล นิพฺพตฺติ อโนชปุปฺผวณฺณเมวสฺสา สรีรํ อโหสิ, เตน อโนชาเตฺววสฺสา นามํ อกํสุ, สา วยปฺปตฺตา มหากปฺปินรโญฺญ เคหํ คนฺตฺวา อโนชาเทวีติ ปากฎา อโหสิฯ

    Jeṭṭhakakuṭumbikassa pana bhariyā attano paññāya ṭhitā ahaṃ tehi samakaṃ akatvā atirekataraṃ katvā ‘‘satthāraṃ pūjessāmī’’ti anojapupphavaṇṇena sahassamūlena sāṭakena saddhiṃ anojapupphacaṅkoṭakaṃ gahetvā satthāraṃ anojapupphehi pūjetvā taṃ sāṭakaṃ satthu pādamūle ṭhapetvā, ‘‘bhante, nibbattanibbattaṭṭhāne anojapupphavaṇṇaṃyeva me sarīraṃ hotu, anojātveva ca nāmaṃ hotū’’ti patthanaṃ akāsi. Satthā ‘‘evaṃ hotū’’ti anumodanaṃ akāsi. Te sabbepi yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cutā devaloke nibbattiṃsu. Te imasmiṃ buddhuppāde devalokā cavitvā jeṭṭhako kukkuṭavatīnagare rājakule nibbattitvā viññutaṃ patto mahākappinarājā nāma ahosi. Sesā amaccakulesu nibbattiṃsu. Jeṭṭhakassa bhariyā maddaraṭṭhe sākalanagare rājakule nibbatti anojapupphavaṇṇamevassā sarīraṃ ahosi, tena anojātvevassā nāmaṃ akaṃsu, sā vayappattā mahākappinarañño gehaṃ gantvā anojādevīti pākaṭā ahosi.

    เสสิตฺถิโยปิ อมจฺจกุเลสุ นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปตฺตา เตสํเยว อมจฺจปุตฺตานํ เคหานิ อคมํสุฯ เต สเพฺพปิ รโญฺญ สมฺปตฺติสทิสํ สมฺปตฺติํ อนุภวิํสุฯ ยทา หิ ราชา อลงฺการปฎิมณฺฑิโต หตฺถิํ อภิรุหิตฺวา วิจรติ, ตทาปิ เต ตเถว วิจรนฺติฯ ตสฺมิํ อเสฺสน วา รเถน วา วิจรเนฺต เตปิ ตเถว วิจรนฺติฯ เอวํ เต เอกโต หุตฺวา กตานํ ปุญฺญานํ พเลน เอกโตว สมฺปตฺติํ อนุภวิํสุฯ รโญฺญ ปน วาโล, วาลวาหโน, ปุโปฺผ, ปุปฺผวาหโน, สุปโตฺตติ ปเญฺจว อสฺสา โหนฺติฯ เตสุ ราชา สุปตฺตํ อสฺสํ สยํ อาโรหติ, อิตเร จตฺตาโร อเสฺส อสฺสาโรหานํ สาสนาหรณตฺถาย อทาสิฯ ราชา เต ปาโตว โภเชตฺวา ‘‘คจฺฉถ , ภเณ, เทฺว วา ตีณิ วา โยชนานิ อาหิณฺฑิตฺวา พุทฺธสฺส วา ธมฺมสฺส วา สงฺฆสฺส วา อุปฺปนฺนภาวํ สุตฺวา มยฺหํ สุขสาสนํ อาโรเจถา’’ติ เปเสสิฯ เต จตูหิ ทฺวาเรหิ นิกฺขมิตฺวา เทฺว ตีณิ โยชนานิ อาหิณฺฑิตฺวา กิญฺจิ สาสนํ อลภิตฺวาว ปจฺจาคมิํสุฯ

    Sesitthiyopi amaccakulesu nibbattitvā vayappattā tesaṃyeva amaccaputtānaṃ gehāni agamaṃsu. Te sabbepi rañño sampattisadisaṃ sampattiṃ anubhaviṃsu. Yadā hi rājā alaṅkārapaṭimaṇḍito hatthiṃ abhiruhitvā vicarati, tadāpi te tatheva vicaranti. Tasmiṃ assena vā rathena vā vicarante tepi tatheva vicaranti. Evaṃ te ekato hutvā katānaṃ puññānaṃ balena ekatova sampattiṃ anubhaviṃsu. Rañño pana vālo, vālavāhano, puppho, pupphavāhano, supattoti pañceva assā honti. Tesu rājā supattaṃ assaṃ sayaṃ ārohati, itare cattāro asse assārohānaṃ sāsanāharaṇatthāya adāsi. Rājā te pātova bhojetvā ‘‘gacchatha , bhaṇe, dve vā tīṇi vā yojanāni āhiṇḍitvā buddhassa vā dhammassa vā saṅghassa vā uppannabhāvaṃ sutvā mayhaṃ sukhasāsanaṃ ārocethā’’ti pesesi. Te catūhi dvārehi nikkhamitvā dve tīṇi yojanāni āhiṇḍitvā kiñci sāsanaṃ alabhitvāva paccāgamiṃsu.

    อเถกทิวสํ ราชา สุปตฺตํ อารุหิตฺวา อมจฺจสหสฺสปริวุโต อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต กิลนฺตรูเป ปญฺจสตมเตฺต วาณิชเก นครํ ปวิสเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม อทฺธานกิลนฺตา, อโทฺธ อิเมสํ สนฺติกา เอกํ ภทฺทกํ สาสนํ โสสฺสามี’’ติ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, เทว, อิโต วีสติโยชนสตมตฺถเก สาวตฺถิ นาม นครํ, ตโต อาคตมฺหา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน โว เทเส กิญฺจิ สาสนํ อุปฺปนฺน’’นฺติฯ ‘‘เทว, อญฺญํ กิญฺจิ นตฺถิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติฯ ราชา ตาวเทว พลวปีติยา ผุฎฺฐสรีโร กิญฺจิ สลฺลเกฺขตุํ อสโกฺกโนฺต มุหุตฺตํ วีตินาเมตฺวา ปน, ‘‘ตาตา, กิํ วเทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘พุโทฺธ, เทว, อุปฺปโนฺน’’ติฯ ราชา ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ตเถว วีตินาเมตฺวา จตุตฺถวาเร ‘‘กิํ วเทถ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ วุเตฺต, ‘‘ตาตา, สุขสาสนสวนาย สตสหสฺสํ โว ทมฺมี’’ติ วตฺวา ‘‘อปรมฺปิ กิญฺจิ สาสนํ อตฺถิ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, เทว, ธโมฺม อุปฺปโนฺน’’ติฯ ราชา ตมฺปิ สุตฺวา ปุริมนเยเนว ตโย วาเร วีตินาเมตฺวา จตุตฺถวาเร ‘‘ธโมฺม อุปฺปโนฺน’’ติ วุเตฺต – ‘‘อิธาปิ โว สตสหสฺสํ ทมฺมี’’ติ วตฺวา ‘‘อปรมฺปิ กิญฺจิ สาสนํ อตฺถิ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, เทว, สโงฺฆ อุปฺปโนฺน’’ติฯ ราชา ตมฺปิ สุตฺวา ตเถว ตโย วาเร วีตินาเมตฺวา จตุตฺถวาเร ‘‘สโงฺฆ อุปฺปโนฺน’’ติ วุเตฺต – ‘‘อิธาปิ โว สตสหสฺสํ ทมฺมี’’ติ วตฺวา อมจฺจสหสฺสํ โอโลเกตฺวา, ‘‘ตาตา, กิํ กริสฺสามา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘อหํ, ตาตา, ‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน ธโมฺม อุปฺปโนฺน สโงฺฆ อุปฺปโนฺน’ติ สุตฺวา น ปุน นิวตฺติสฺสามิ, ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส คนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มยมฺปิ, เทว, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ราชา สุวณฺณปเฎฺฎ อกฺขรานิ ลิขาเปตฺวา วาณิชกานํ ทตฺวา ‘‘อิมํ อโนชาย นาม เทวิยา เทถ, สา ตุมฺหากํ ตีณิ สตสหสฺสานิ ทสฺสติ, เอวญฺจ ปน นํ วเทยฺยาถ ‘รญฺญา กิร เต อิสฺสริยํ วิสฺสฎฺฐํ, ยถาสุขํ สมฺปตฺติํ ปริภุญฺชาหี’ติ, สเจ ปน ‘โว ราชา กห’นฺติ ปุจฺฉติ, ‘สตฺถารํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิสฺสามี’ติ วตฺวา คโตติ อาโรเจยฺยาถา’’ติ อาหฯ อมจฺจาปิ อตฺตโน อตฺตโน ภริยานํ ตเถว สาสนํ ปหิณิํสุฯ ราชา วาณิชเก อุโยฺยเชตฺวา อสฺสํ อภิรุยฺห อมจฺจสหสฺสปริวุโต ตํขณเญฺญว นิกฺขมิฯ

    Athekadivasaṃ rājā supattaṃ āruhitvā amaccasahassaparivuto uyyānaṃ gacchanto kilantarūpe pañcasatamatte vāṇijake nagaraṃ pavisante disvā ‘‘ime addhānakilantā, addho imesaṃ santikā ekaṃ bhaddakaṃ sāsanaṃ sossāmī’’ti te pakkosāpetvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Atthi, deva, ito vīsatiyojanasatamatthake sāvatthi nāma nagaraṃ, tato āgatamhā’’ti. ‘‘Atthi pana vo dese kiñci sāsanaṃ uppanna’’nti. ‘‘Deva, aññaṃ kiñci natthi, sammāsambuddho uppanno’’ti. Rājā tāvadeva balavapītiyā phuṭṭhasarīro kiñci sallakkhetuṃ asakkonto muhuttaṃ vītināmetvā pana, ‘‘tātā, kiṃ vadethā’’ti pucchi. ‘‘Buddho, deva, uppanno’’ti. Rājā dutiyampi tatiyampi tatheva vītināmetvā catutthavāre ‘‘kiṃ vadetha, tātā’’ti pucchitvā ‘‘buddho uppanno’’ti vutte, ‘‘tātā, sukhasāsanasavanāya satasahassaṃ vo dammī’’ti vatvā ‘‘aparampi kiñci sāsanaṃ atthi, tātā’’ti pucchi. ‘‘Atthi, deva, dhammo uppanno’’ti. Rājā tampi sutvā purimanayeneva tayo vāre vītināmetvā catutthavāre ‘‘dhammo uppanno’’ti vutte – ‘‘idhāpi vo satasahassaṃ dammī’’ti vatvā ‘‘aparampi kiñci sāsanaṃ atthi, tātā’’ti pucchi. ‘‘Atthi, deva, saṅgho uppanno’’ti. Rājā tampi sutvā tatheva tayo vāre vītināmetvā catutthavāre ‘‘saṅgho uppanno’’ti vutte – ‘‘idhāpi vo satasahassaṃ dammī’’ti vatvā amaccasahassaṃ oloketvā, ‘‘tātā, kiṃ karissāmā’’ti pucchi. ‘‘Deva, tumhe kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Ahaṃ, tātā, ‘buddho uppanno dhammo uppanno saṅgho uppanno’ti sutvā na puna nivattissāmi, bhagavantaṃ uddissa gantvā tassa santike pabbajissāmī’’ti. ‘‘Mayampi, deva, tumhehi saddhiṃ pabbajissāmā’’ti. Rājā suvaṇṇapaṭṭe akkharāni likhāpetvā vāṇijakānaṃ datvā ‘‘imaṃ anojāya nāma deviyā detha, sā tumhākaṃ tīṇi satasahassāni dassati, evañca pana naṃ vadeyyātha ‘raññā kira te issariyaṃ vissaṭṭhaṃ, yathāsukhaṃ sampattiṃ paribhuñjāhī’ti, sace pana ‘vo rājā kaha’nti pucchati, ‘satthāraṃ uddissa pabbajissāmī’ti vatvā gatoti āroceyyāthā’’ti āha. Amaccāpi attano attano bhariyānaṃ tatheva sāsanaṃ pahiṇiṃsu. Rājā vāṇijake uyyojetvā assaṃ abhiruyha amaccasahassaparivuto taṃkhaṇaññeva nikkhami.

    สตฺถาปิ ตํทิวสํ ปจฺจูสกาเล โลกํ โวโลเกโนฺต มหากปฺปินราชานํ สปริวารํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มหากปฺปิโน วาณิชกานํ สนฺติกา ติณฺณํ รตนานํ อุปฺปนฺนภาวํ สุตฺวา เตสํ วจนํ ตีหิ สตสหเสฺสหิ ปูเชตฺวา รชฺชํ ปหาย อมจฺจสหสฺสปริวุโต มํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตุกาโม เสฺว นิกฺขมิสฺสติ, โส สปริวาโร สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสติ, ปจฺจุคฺคมนํ กริสฺสามี’’ติ ปุนทิวเส จกฺกวตฺตี วิย ขุทฺทกคามโภชกํ ราชานํ ปจฺจุคฺคจฺฉโนฺต สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย วีสโยชนสตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา จนฺทภาคาย นทิยา ตีเร นิโคฺรธรุกฺขมูเล ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชตฺวา นิสีทิฯ ราชาปิ อาคจฺฉโนฺต เอกํ นทิํ ปตฺวา ‘‘กา นามาย’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อปรจฺฉา นาม, เทวา’’ติฯ ‘‘กิมสฺสา ปริมาณํ, ตาตา’’ติ? ‘‘คมฺภีรโต คาวุตํ, ปุถุลโต เทฺว คาวุตานิ, เทวา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปเนตฺถ นาวา วา อุฬุโมฺป วา’’ติ? ‘‘นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ‘‘นาวาทีนิ โอโลเกเนฺต อเมฺห ชาติ ชรํ อุปเนติ, ชรา มรณํฯ อหํ นิเพฺพมติโก หุตฺวา ตีณิ รตนานิ อุทฺทิสฺส นิกฺขโนฺต, เตสํ เม อานุภาเวน ‘อิทํ อุทกํ อุทกํ วิย มา โหตู’ติ รตนตฺตยสฺส คุณํ อาวเชฺชตฺวา ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ’’’ติ พุทฺธคุณํ อนุสฺสรโนฺต สปริวาโร อสฺสสหเสฺสน อุทกปิเฎฺฐ ปกฺขนฺทิฯ สินฺธวา ปิฎฺฐิปาสาเณ วิย ปกฺขนฺทิํสุฯ ขุรานํ อคฺคฎฺฐาเนว เตมิํสุฯ

    Satthāpi taṃdivasaṃ paccūsakāle lokaṃ volokento mahākappinarājānaṃ saparivāraṃ disvā ‘‘ayaṃ mahākappino vāṇijakānaṃ santikā tiṇṇaṃ ratanānaṃ uppannabhāvaṃ sutvā tesaṃ vacanaṃ tīhi satasahassehi pūjetvā rajjaṃ pahāya amaccasahassaparivuto maṃ uddissa pabbajitukāmo sve nikkhamissati, so saparivāro saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇissati, paccuggamanaṃ karissāmī’’ti punadivase cakkavattī viya khuddakagāmabhojakaṃ rājānaṃ paccuggacchanto sayameva pattacīvaramādāya vīsayojanasataṃ maggaṃ paccuggantvā candabhāgāya nadiyā tīre nigrodharukkhamūle chabbaṇṇabuddharasmiyo vissajjetvā nisīdi. Rājāpi āgacchanto ekaṃ nadiṃ patvā ‘‘kā nāmāya’’nti pucchi. ‘‘Aparacchā nāma, devā’’ti. ‘‘Kimassā parimāṇaṃ, tātā’’ti? ‘‘Gambhīrato gāvutaṃ, puthulato dve gāvutāni, devā’’ti. ‘‘Atthi panettha nāvā vā uḷumpo vā’’ti? ‘‘Natthi, devā’’ti. ‘‘Nāvādīni olokente amhe jāti jaraṃ upaneti, jarā maraṇaṃ. Ahaṃ nibbematiko hutvā tīṇi ratanāni uddissa nikkhanto, tesaṃ me ānubhāvena ‘idaṃ udakaṃ udakaṃ viya mā hotū’ti ratanattayassa guṇaṃ āvajjetvā ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho’’’ti buddhaguṇaṃ anussaranto saparivāro assasahassena udakapiṭṭhe pakkhandi. Sindhavā piṭṭhipāsāṇe viya pakkhandiṃsu. Khurānaṃ aggaṭṭhāneva temiṃsu.

    โส ตํ อุตฺตริตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต อปรมฺปิ นทิํ ทิสฺวา ‘‘อยํ กา นามา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘นีลวาหา นาม, เทวา’’ติฯ ‘‘กิมสฺสา ปริมาณ’’นฺติ? ‘‘คมฺภีรโตปิ ปุถุลโตปิ อฑฺฒโยชนํ, เทวา’’ติฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ ตํ ปน นทิํ ทิสฺวา ‘‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธโมฺม’’ติ ธมฺมานุสฺสติํ อนุสฺสรโนฺต ปกฺขนฺทิฯ ตมฺปิ อติกฺกมิตฺวา คจฺฉโนฺต อปรมฺปิ นทิํ ทิสฺวา ‘‘อยํ กา นามา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘จนฺทภาคา นาม, เทวา’’ติฯ ‘‘กิมสฺสา ปริมาณ’’นฺติ? ‘‘คมฺภีรโตปิ ปุถุลโตปิ โยชนํ, เทวา’’ติฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ ตํ ปน นทิํ ทิสฺวา ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน ภควโต สาวกสโงฺฆ’’ติ สงฺฆานุสฺสติํ อนุสฺสรโนฺต ปกฺขนฺทิฯ ตมฺปิ นทิํ อติกฺกมิตฺวา คจฺฉโนฺต สตฺถุ สรีรโต นิกฺขนฺตา ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิโย นิโคฺรธรุกฺขสฺส สาขาวิฎปปลาสานิ โอภาสยมานา ทิสฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ โอภาโส เนว จนฺทสฺส, น สูริยสฺส, น เทวมารพฺราหฺมณสุปณฺณนาคานํ อญฺญตรสฺส, อทฺธา อหํ สตฺถารํ อุทฺทิสฺส อาคจฺฉโนฺต สมฺมาสมฺพุเทฺธน ทิโฎฺฐ ภวิสฺสามี’’ติฯ โส ตาวเทว อสฺสปิฎฺฐิโต โอตริตฺวา โอนตสรีโร รสฺมิยานุสาเรน สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา มโนสิลารเส นิมุชฺชโนฺต วิย พุทฺธรสฺมีนํ อโนฺต ปาวิสิฯ โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ สทฺธิํ อมจฺจสหเสฺสนฯ สตฺถา เตสํ อนุปุพฺพิํ กถํ กเถสิฯ เทสนาปริโยสาเน สปริวาโร ราชา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ

    So taṃ uttaritvā purato gacchanto aparampi nadiṃ disvā ‘‘ayaṃ kā nāmā’’ti pucchi. ‘‘Nīlavāhā nāma, devā’’ti. ‘‘Kimassā parimāṇa’’nti? ‘‘Gambhīratopi puthulatopi aḍḍhayojanaṃ, devā’’ti. Sesaṃ purimasadisameva. Taṃ pana nadiṃ disvā ‘‘svākkhāto bhagavatā dhammo’’ti dhammānussatiṃ anussaranto pakkhandi. Tampi atikkamitvā gacchanto aparampi nadiṃ disvā ‘‘ayaṃ kā nāmā’’ti pucchi. ‘‘Candabhāgā nāma, devā’’ti. ‘‘Kimassā parimāṇa’’nti? ‘‘Gambhīratopi puthulatopi yojanaṃ, devā’’ti. Sesaṃ purimasadisameva. Taṃ pana nadiṃ disvā ‘‘suppaṭipanno bhagavato sāvakasaṅgho’’ti saṅghānussatiṃ anussaranto pakkhandi. Tampi nadiṃ atikkamitvā gacchanto satthu sarīrato nikkhantā chabbaṇṇabuddharasmiyo nigrodharukkhassa sākhāviṭapapalāsāni obhāsayamānā disvā cintesi – ‘‘ayaṃ obhāso neva candassa, na sūriyassa, na devamārabrāhmaṇasupaṇṇanāgānaṃ aññatarassa, addhā ahaṃ satthāraṃ uddissa āgacchanto sammāsambuddhena diṭṭho bhavissāmī’’ti. So tāvadeva assapiṭṭhito otaritvā onatasarīro rasmiyānusārena satthāraṃ upasaṅkamitvā manosilārase nimujjanto viya buddharasmīnaṃ anto pāvisi. So satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi saddhiṃ amaccasahassena. Satthā tesaṃ anupubbiṃ kathaṃ kathesi. Desanāpariyosāne saparivāro rājā sotāpattiphale patiṭṭhahi.

    อถ สเพฺพ อุฎฺฐหิตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุฯ สตฺถา ‘‘อาคมิสฺสติ นุ โข อิเมสํ กุลปุตฺตานํ อิทฺธิมยปตฺตจีวร’’นฺติ อุปธาเรโนฺต ‘‘อิเม กุลปุตฺตา ปเจฺจกพุทฺธสหสฺสานํ จีวรสหสฺสํ อทํสุ, กสฺสปพุทฺธกาเล วีสติยา ภิกฺขุสหสฺสานํ วีสติจีวรสหสฺสานิปิ อทํสุ, อนจฺฉริยํ อิเมสํ กุลปุตฺตานํ อิทฺธิมยปตฺตจีวราคมน’’นฺติ ญตฺวา ทกฺขิณหตฺถํ ปสาเรตฺวา ‘‘เอถ, ภิกฺขโว, จรถ พฺรหฺมจริยํ สมฺมา ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยายา’’ติ อาหฯ เต ตาวเทว อฎฺฐปริกฺขารธรา วสฺสสฎฺฐิกเตฺถรา วิย หุตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปโจฺจโรหิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ

    Atha sabbe uṭṭhahitvā pabbajjaṃ yāciṃsu. Satthā ‘‘āgamissati nu kho imesaṃ kulaputtānaṃ iddhimayapattacīvara’’nti upadhārento ‘‘ime kulaputtā paccekabuddhasahassānaṃ cīvarasahassaṃ adaṃsu, kassapabuddhakāle vīsatiyā bhikkhusahassānaṃ vīsaticīvarasahassānipi adaṃsu, anacchariyaṃ imesaṃ kulaputtānaṃ iddhimayapattacīvarāgamana’’nti ñatvā dakkhiṇahatthaṃ pasāretvā ‘‘etha, bhikkhavo, caratha brahmacariyaṃ sammā dukkhassa antakiriyāyā’’ti āha. Te tāvadeva aṭṭhaparikkhāradharā vassasaṭṭhikattherā viya hutvā vehāsaṃ abbhuggantvā paccorohitvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdiṃsu.

    เต ปน วาณิชกา ราชเคหํ คนฺตฺวา เทวิยา รญฺญา ปหิตสาสนํ อาโรเจตฺวา เทวิยา ‘‘อาคจฺฉนฺตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ อถ เน เทวี ปุจฺฉิ – ‘‘ตาตา, กิํการณา อาคตตฺถา’’ติ? ‘‘มยํ รญฺญา ตุมฺหากํ สนฺติกํ เปสิตา, ตีณิ กิร โน สตสหสฺสานิ เทถา’’ติฯ ‘‘พหุํ, ภเณ, ภณถ, กิํ ตุเมฺหหิ รโญฺญ สนฺติเก กตํ, กิสฺมิํ โว ราชา ปสโนฺน เอตฺตกํ ธนํ ทาเปตี’’ติ? ‘‘เทวิ, น อญฺญํ กิญฺจิ กตํ, เอกํ ปน สาสนํ อาโรจยิมฺหา’’ติฯ ‘‘สกฺกา ปน, ตาตา, มยฺหมฺปิ ตํ อาโรเจตุ’’นฺติฯ ‘‘สกฺกา, เทวี’’ติ สุวณฺณภิงฺคาเรน มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ‘‘เทวิ, พุโทฺธ โลเก อุปฺปโนฺน’’ติฯ สาปิ ตํ สุตฺวา ปีติยา ผุฎฺฐสรีรา ติกฺขตฺตุํ กิญฺจิ อสลฺลเกฺขตฺวา จตุตฺถวาเร ‘‘พุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติ สุตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา, อิมสฺมิํ ปเท รญฺญา ทินฺน’’นฺติ ? ‘‘สตสหสฺสํ, เทวี’’ติฯ ‘‘ตาตา, อนนุจฺฉวิกํ รญฺญา กตํ เอวรูปํ สาสนํ สุตฺวา ตุมฺหากํ สตสหสฺสททมาเนน, อหํ โว มม ทุคฺคตปณฺณากาเร ตีณิ สตสหสฺสานิ ทมฺมิฯ อปรํ กิญฺจิ ตุเมฺหหิ อาโรจิต’’นฺติ? เต อิทญฺจ อิทญฺจาติ อิตรานิปิ เทฺว สาสนานิ อาโรเจสุํฯ เทวี ปุริมนเยเนว ตโย ตโย วาเร อสลฺลเกฺขตฺวา จตุตฺถจตุตฺถวาเร ตีณิ ตีณิ สตสหสฺสานิ อทาสิฯ เอวํ เต สพฺพานิ ทฺวาทสสตสหสฺสานิ ลภิํสุฯ

    Te pana vāṇijakā rājagehaṃ gantvā deviyā raññā pahitasāsanaṃ ārocetvā deviyā ‘‘āgacchantū’’ti vutte pavisitvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Atha ne devī pucchi – ‘‘tātā, kiṃkāraṇā āgatatthā’’ti? ‘‘Mayaṃ raññā tumhākaṃ santikaṃ pesitā, tīṇi kira no satasahassāni dethā’’ti. ‘‘Bahuṃ, bhaṇe, bhaṇatha, kiṃ tumhehi rañño santike kataṃ, kismiṃ vo rājā pasanno ettakaṃ dhanaṃ dāpetī’’ti? ‘‘Devi, na aññaṃ kiñci kataṃ, ekaṃ pana sāsanaṃ ārocayimhā’’ti. ‘‘Sakkā pana, tātā, mayhampi taṃ ārocetu’’nti. ‘‘Sakkā, devī’’ti suvaṇṇabhiṅgārena mukhaṃ vikkhāletvā ‘‘devi, buddho loke uppanno’’ti. Sāpi taṃ sutvā pītiyā phuṭṭhasarīrā tikkhattuṃ kiñci asallakkhetvā catutthavāre ‘‘buddho uppanno’’ti sutvā ‘‘kiṃ, tātā, imasmiṃ pade raññā dinna’’nti ? ‘‘Satasahassaṃ, devī’’ti. ‘‘Tātā, ananucchavikaṃ raññā kataṃ evarūpaṃ sāsanaṃ sutvā tumhākaṃ satasahassadadamānena, ahaṃ vo mama duggatapaṇṇākāre tīṇi satasahassāni dammi. Aparaṃ kiñci tumhehi ārocita’’nti? Te idañca idañcāti itarānipi dve sāsanāni ārocesuṃ. Devī purimanayeneva tayo tayo vāre asallakkhetvā catutthacatutthavāre tīṇi tīṇi satasahassāni adāsi. Evaṃ te sabbāni dvādasasatasahassāni labhiṃsu.

    อถ เน เทวี ปุจฺฉิ – ‘‘ราชา กหํ, ตาตา’’ติ? ‘‘เทวิ, ราชา ‘สตฺถารํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิสฺสามี’ติ วตฺวา คโต’’ติฯ ‘‘มยฺหํ เตน กิํ สาสนํ ทินฺน’’นฺติ? ‘‘สพฺพํ กิร อิสฺสริยํ ตุมฺหากํ วิสฺสฎฺฐํ, ‘ตุเมฺห กิร ยถาสุขํ สมฺปตฺติํ อนุภวถา’’’ติฯ ‘‘อมจฺจา ปน กุหิํ, ตาตา’’ติ? ‘‘เตปิ รญฺญา สทฺธิํ ‘ปพฺพชิสฺสามา’ติ คตา, เทวี’’ติฯ สา เตสํ ภริยาโย ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘อมฺมา, ตุมฺหากํ สามิกา รญฺญา สทฺธิํ ‘ปพฺพชิสฺสามา’ติ คตา, ตุเมฺห กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘กิํ ปน เตหิ อมฺหากํ สาสนํ ปหิตํ, เทวี’’ติ? ‘‘เตหิ กิร อตฺตโน สมฺปตฺติ ตุมฺหากํ วิสฺสฎฺฐา ‘ตุเมฺห กิร สมฺปตฺติํ ยถาสุขํ ปริภุญฺชถา’’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน, เทวิ, กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘อมฺหากํ โส ตาว ราชา มเคฺค ฐิโต ตีหิ สตสหเสฺสหิ ตีณิ รตนานิ ปูเชตฺวา เขฬปิณฺฑํ วิย สมฺปตฺติํ ปหาย ‘ปพฺพชิสฺสามี’ติ นิกฺขโนฺต, มยาปิ ติณฺณํ รตนานํ สาสนํ สุตฺวา ตานิ นวหิ สตสหเสฺสหิ ปูชิตานิ, น โข ปเนสา สมฺปตฺติ นาม รโญฺญเยว ทุกฺขา, มยฺหมฺปิ ทุกฺขา เอวฯ โก รญฺญา ฉฑฺฑิตเขฬปิณฺฑํ ชณฺณุเกหิ ภูมิยํ ปติฎฺฐหิตฺวา มุเขน คณฺหิสฺสติ, น มยฺหํ สมฺปตฺติยา อโตฺถ, สตฺถารํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เทวิ, มยมฺปิ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ‘‘สเจ สโกฺกถ, สาธู’’ติฯ ‘‘สโกฺกม, เทวี’’ติฯ เตน หิ ‘‘เอถา’’ติ รถสหสฺสํ โยชาเปตฺวา รถํ อารุยฺห ตาหิ สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา อนฺตรามเคฺค ปฐมํ นทิํ ทิสฺวา ยถา รญฺญา ปฐมํ ปุจฺฉิตา, ตเถว ปุจฺฉิตฺวา สพฺพํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘รญฺญา คตมคฺคํ โอโลเกถา’’ติ วตฺวา ‘‘สินฺธวานํ ปทวลญฺชํ น ปสฺสามา’’ติ วุเตฺต ราชา ‘‘ตีณิ รตนานิ อุทฺทิสฺส นิกฺขโนฺตสฺมี’’ติ สจฺจกิริยํ กริตฺวา ติณฺณํ รตนานํ คุเณ อนุสฺสริตฺวา คโต ภวิสฺสติ , อหมฺปิ ตีณิ รตนานิ อุทฺทิสฺส นิกฺขนฺตา, เตสํ เม อานุภาเวน ‘‘อิทํ อุทกํ อุทกํ วิย มา โหตู’’ติ ติณฺณํ รตนานํ คุเณ อนุสฺสรนฺตี รถสหสฺสํ เปเสสิฯ อุทกํ ปิฎฺฐิปาสาณสทิสํ อโหสิ, จกฺกานํ อคฺคฎฺฐาเนว เตมิํสุฯ เอเตเนว อุปาเยน อิตรา เทฺวปิ นทิโย อุตฺตริํสุฯ

    Atha ne devī pucchi – ‘‘rājā kahaṃ, tātā’’ti? ‘‘Devi, rājā ‘satthāraṃ uddissa pabbajissāmī’ti vatvā gato’’ti. ‘‘Mayhaṃ tena kiṃ sāsanaṃ dinna’’nti? ‘‘Sabbaṃ kira issariyaṃ tumhākaṃ vissaṭṭhaṃ, ‘tumhe kira yathāsukhaṃ sampattiṃ anubhavathā’’’ti. ‘‘Amaccā pana kuhiṃ, tātā’’ti? ‘‘Tepi raññā saddhiṃ ‘pabbajissāmā’ti gatā, devī’’ti. Sā tesaṃ bhariyāyo pakkosāpetvā, ‘‘ammā, tumhākaṃ sāmikā raññā saddhiṃ ‘pabbajissāmā’ti gatā, tumhe kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Kiṃ pana tehi amhākaṃ sāsanaṃ pahitaṃ, devī’’ti? ‘‘Tehi kira attano sampatti tumhākaṃ vissaṭṭhā ‘tumhe kira sampattiṃ yathāsukhaṃ paribhuñjathā’’’ti. ‘‘Tumhe pana, devi, kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Amhākaṃ so tāva rājā magge ṭhito tīhi satasahassehi tīṇi ratanāni pūjetvā kheḷapiṇḍaṃ viya sampattiṃ pahāya ‘pabbajissāmī’ti nikkhanto, mayāpi tiṇṇaṃ ratanānaṃ sāsanaṃ sutvā tāni navahi satasahassehi pūjitāni, na kho panesā sampatti nāma raññoyeva dukkhā, mayhampi dukkhā eva. Ko raññā chaḍḍitakheḷapiṇḍaṃ jaṇṇukehi bhūmiyaṃ patiṭṭhahitvā mukhena gaṇhissati, na mayhaṃ sampattiyā attho, satthāraṃ uddissa pabbajissāmī’’ti. ‘‘Devi, mayampi tumhehi saddhiṃ pabbajissāmā’’ti. ‘‘Sace sakkotha, sādhū’’ti. ‘‘Sakkoma, devī’’ti. Tena hi ‘‘ethā’’ti rathasahassaṃ yojāpetvā rathaṃ āruyha tāhi saddhiṃ nikkhamitvā antarāmagge paṭhamaṃ nadiṃ disvā yathā raññā paṭhamaṃ pucchitā, tatheva pucchitvā sabbaṃ pavattiṃ sutvā ‘‘raññā gatamaggaṃ olokethā’’ti vatvā ‘‘sindhavānaṃ padavalañjaṃ na passāmā’’ti vutte rājā ‘‘tīṇi ratanāni uddissa nikkhantosmī’’ti saccakiriyaṃ karitvā tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇe anussaritvā gato bhavissati , ahampi tīṇi ratanāni uddissa nikkhantā, tesaṃ me ānubhāvena ‘‘idaṃ udakaṃ udakaṃ viya mā hotū’’ti tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇe anussarantī rathasahassaṃ pesesi. Udakaṃ piṭṭhipāsāṇasadisaṃ ahosi, cakkānaṃ aggaṭṭhāneva temiṃsu. Eteneva upāyena itarā dvepi nadiyo uttariṃsu.

    สตฺถา ตาสํ อาคตภาวํ ญตฺวา ยถา ตา อตฺตโน สนฺติเก นิสิเนฺน สามิเก ภิกฺขู น ปสฺสนฺติ, ตถา อธิฎฺฐาสิฯ เทวีปิ อาคจฺฉนฺตี สตฺถุ สรีรโต นิกฺขนฺตา รสฺมิโย ทิสฺวา ตเถว จิเนฺตตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา, วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, มหากปฺปิโน ราชา ตุเมฺห อุทฺทิสฺส นิกฺขมิตฺวา คโต, กหํ นุ โข โส, อมฺหากํ ตํ ทเสฺสถา’’ติฯ ‘‘นิสีทถ ตาว, อิเธว นํ ปสฺสิสฺสถา’’ติฯ ตา สพฺพาปิ หฎฺฐตุฎฺฐา ‘‘อิเธว กิร นิสินฺนา สามิเก โน ปสฺสิสฺสามา’’ติ นิสีทิํสุฯ สตฺถา อนุปุพฺพิํ กถํ กเถสิฯ อโนชาเทวี เทสนาปริโยสาเน ตาหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิฯ มหากปฺปิโน เถโร ตาสํ เทสิยมานํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สปริวาโร สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตสฺมิํ ขเณ สตฺถา ตาสํ เต ภิกฺขู ทเสฺสสิฯ ตาสญฺหิ อาคตกฺขเณเยว อตฺตโน สามิเก กาสาวธเร มุณฺฑสีเส ทิสฺวา จิตฺตํ เอกคฺคํ น ภเวยฺย, มคฺคผลํ นิพฺพเตฺตตุํ สกฺกา น ภเวยฺยฯ ตสฺมา อจลสทฺธาย ปติฎฺฐิตกาลโต ปฎฺฐาย ตาสํ เต ภิกฺขู อรหตฺตปฺปเตฺต ทเสฺสสิฯ ตาปิ เต ทิสฺวา ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกปฺปตฺต’’นฺติ วตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิํสุฯ

    Satthā tāsaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā yathā tā attano santike nisinne sāmike bhikkhū na passanti, tathā adhiṭṭhāsi. Devīpi āgacchantī satthu sarīrato nikkhantā rasmiyo disvā tatheva cintetvā satthāraṃ upasaṅkamitvā, vanditvā ekamantaṃ ṭhitā pucchi – ‘‘bhante, mahākappino rājā tumhe uddissa nikkhamitvā gato, kahaṃ nu kho so, amhākaṃ taṃ dassethā’’ti. ‘‘Nisīdatha tāva, idheva naṃ passissathā’’ti. Tā sabbāpi haṭṭhatuṭṭhā ‘‘idheva kira nisinnā sāmike no passissāmā’’ti nisīdiṃsu. Satthā anupubbiṃ kathaṃ kathesi. Anojādevī desanāpariyosāne tāhi saddhiṃ sotāpattiphalaṃ pāpuṇi. Mahākappino thero tāsaṃ desiyamānaṃ dhammadesanaṃ sutvā saparivāro saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Tasmiṃ khaṇe satthā tāsaṃ te bhikkhū dassesi. Tāsañhi āgatakkhaṇeyeva attano sāmike kāsāvadhare muṇḍasīse disvā cittaṃ ekaggaṃ na bhaveyya, maggaphalaṃ nibbattetuṃ sakkā na bhaveyya. Tasmā acalasaddhāya patiṭṭhitakālato paṭṭhāya tāsaṃ te bhikkhū arahattappatte dassesi. Tāpi te disvā pañcapatiṭṭhitena vanditvā, ‘‘bhante, tumhākaṃ pabbajitakiccaṃ matthakappatta’’nti vatvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhatvā pabbajjaṃ yāciṃsu.

    เอวํ วุเตฺต สตฺถา อุปฺปลวณฺณาย เถริยา อาคมนํ จิเนฺตสิฯ สา สตฺถุ จินฺติตกฺขเณเยว อากาเสนาคนฺตฺวา ตา สพฺพา อิตฺถิโย คเหตฺวา อากาเสน ภิกฺขุนุปสฺสยํ เนตฺวา ปพฺพาเชสิฯ ตา สพฺพา นจิรเสฺสว อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ สตฺถา ภิกฺขุสหสฺสํ อาทาย อากาเสน เชตวนํ อคมาสิฯ ตตฺร สุทํ อายสฺมา มหากปฺปิโน รตฺติฎฺฐานาทีสุ ‘‘อโห สุขํ, อโห สุข’’นฺติ อุทานํ อุทาเนโนฺต วิจรติฯ ภิกฺขู ภควโต อาโรเจสุํ – ‘‘ภเนฺต, มหากปฺปิโน ‘อโห สุขํ, อโห สุข’นฺติ อุทานํ อุทาเนโนฺต วิจรติ, อตฺตโน รชฺชสุขํ อารพฺภ อุทาเนติ มเญฺญ’’ติฯ สตฺถา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา – ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, กปฺปิน, กามสุขํ อารพฺภ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ? ‘‘ภควา เม, ภเนฺต, ตํ อารพฺภ อุทานภาวํ วา อญฺญํ อารพฺภ อุทานภาวํ วา ชานาตี’’ติฯ อถ สตฺถา – ‘‘น, ภิกฺขเว, มม ปุโตฺต กามสุขํ รชฺชสุขํ อารพฺภ อุทานํ อุทาเนติ, ปุตฺตสฺส ปน เม ธมฺมํ จรโต ธมฺมปีติ นาม อุปฺปชฺชติ, โส อมตมหานิพฺพานํ อารพฺภ เอวํ อุทานํ อุทาเนสี’’ติ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ vutte satthā uppalavaṇṇāya theriyā āgamanaṃ cintesi. Sā satthu cintitakkhaṇeyeva ākāsenāgantvā tā sabbā itthiyo gahetvā ākāsena bhikkhunupassayaṃ netvā pabbājesi. Tā sabbā nacirasseva arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Satthā bhikkhusahassaṃ ādāya ākāsena jetavanaṃ agamāsi. Tatra sudaṃ āyasmā mahākappino rattiṭṭhānādīsu ‘‘aho sukhaṃ, aho sukha’’nti udānaṃ udānento vicarati. Bhikkhū bhagavato ārocesuṃ – ‘‘bhante, mahākappino ‘aho sukhaṃ, aho sukha’nti udānaṃ udānento vicarati, attano rajjasukhaṃ ārabbha udāneti maññe’’ti. Satthā taṃ pakkosāpetvā – ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, kappina, kāmasukhaṃ ārabbha udānaṃ udānesī’’ti? ‘‘Bhagavā me, bhante, taṃ ārabbha udānabhāvaṃ vā aññaṃ ārabbha udānabhāvaṃ vā jānātī’’ti. Atha satthā – ‘‘na, bhikkhave, mama putto kāmasukhaṃ rajjasukhaṃ ārabbha udānaṃ udāneti, puttassa pana me dhammaṃ carato dhammapīti nāma uppajjati, so amatamahānibbānaṃ ārabbha evaṃ udānaṃ udānesī’’ti anusandhiṃ ghaṭetvā dhammaṃ desento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ธมฺมปีติ สุขํ เสติ, วิปฺปสเนฺนน เจตสา;

    ‘‘Dhammapīti sukhaṃ seti, vippasannena cetasā;

    อริยปฺปเวทิเต ธเมฺม, สทา รมติ ปณฺฑิโต’’ติฯ (ธ. ป. ๗๙);

    Ariyappavedite dhamme, sadā ramati paṇḍito’’ti. (dha. pa. 79);

    อเถกทิวสํ สตฺถา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘กจฺจิ, ภิกฺขเว, กปฺปิโน ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสตี’’ติ? ‘‘อโปฺปสฺสุโกฺก, ภเนฺต, ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารํ อนุยุโตฺต วิหรติ, โอวาทมตฺตมฺปิ น เทตี’’ติฯ สตฺถา เถรํ ปโกฺกสาเปตฺวา – ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, กปฺปิน, อเนฺตวาสิกานํ โอวาทมตฺตมฺปิ น เทสี’’ติ? ‘‘สจฺจํ, ภควา’’ติฯ ‘‘พฺราหฺมณ, มา เอวํ อกาสิ, อชฺช ปฎฺฐาย อุปคตานํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสหี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ เถโร ภควโต วจนํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอโกวาเทเนว สมณสหสฺสํ อรหเตฺต ปติฎฺฐาเปสิฯ เตน นํ สตฺถา ปฎิปาฎิยา อตฺตโน สาวเก ฐานนฺตเร ฐเปโนฺต ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขุโอวาทกานํ ยทิทํ มหากปฺปิโน’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๑๙, ๒๓๑) เอตทเคฺค ฐเปสิฯ

    Athekadivasaṃ satthā bhikkhū āmantesi – ‘‘kacci, bhikkhave, kappino bhikkhūnaṃ dhammaṃ desetī’’ti? ‘‘Appossukko, bhante, diṭṭhadhammasukhavihāraṃ anuyutto viharati, ovādamattampi na detī’’ti. Satthā theraṃ pakkosāpetvā – ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, kappina, antevāsikānaṃ ovādamattampi na desī’’ti? ‘‘Saccaṃ, bhagavā’’ti. ‘‘Brāhmaṇa, mā evaṃ akāsi, ajja paṭṭhāya upagatānaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ desehī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante’’ti thero bhagavato vacanaṃ sirasā sampaṭicchitvā ekovādeneva samaṇasahassaṃ arahatte patiṭṭhāpesi. Tena naṃ satthā paṭipāṭiyā attano sāvake ṭhānantare ṭhapento ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhuovādakānaṃ yadidaṃ mahākappino’’ti (a. ni. 1.219, 231) etadagge ṭhapesi.

    ๖๖. เอวํ เถโร ปตฺตอรหตฺตผโล อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสชาโต ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต ปทุมุตฺตโร นาม ชิโนติอาทิมาหฯ อุทิโต อชฎากาเสติ สกลากาเส อุทิโต อุฎฺฐิโต ปากฎภูโตฯ สรทมฺพเร สรทกาเล อากาเส รวีว สูริโย อิวาติ อโตฺถฯ

    66. Evaṃ thero pattaarahattaphalo attano pubbakammaṃ saritvā somanassajāto pubbacaritāpadānaṃ pakāsento padumuttaro nāma jinotiādimāha. Udito ajaṭākāseti sakalākāse udito uṭṭhito pākaṭabhūto. Saradambare saradakāle ākāse ravīva sūriyo ivāti attho.

    ๗๐. อกฺขทโสฺส ตทา อาสินฺติ ตสฺมิํ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล สารทสฺสี หิตทสฺสี อาจริโย ปากโฎ อโหสินฺติ อโตฺถฯ

    70.Akkhadasso tadā āsinti tasmiṃ padumuttarassa bhagavato kāle sāradassī hitadassī ācariyo pākaṭo ahosinti attho.

    ๗๑. สาวกสฺส กตาวิโนติ ตสฺส ภควโต เม มนํ มม จิตฺตํ, ตปฺปยนฺตสฺส โตสยนฺตสฺส สาวกสฺส โอวาทกสฺส คุณํ ปกาสยโต อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตสฺส กตาวิโน สาตจฺจกิจฺจยุตฺตสฺส วจนํ สุตฺวาติ สมฺพโนฺธฯ

    71.Sāvakassakatāvinoti tassa bhagavato me manaṃ mama cittaṃ, tappayantassa tosayantassa sāvakassa ovādakassa guṇaṃ pakāsayato aggaṭṭhāne ṭhapentassa katāvino sātaccakiccayuttassa vacanaṃ sutvāti sambandho.

    ๗๓. หํสสมภาโคติ หํสสทิสคามิฯ หํสทุนฺทุภินิสฺสโนติ หํสรโว ทุนฺทุภิเภริสทฺทสทิสวจโน ‘‘เอตํ มหามตฺตํ ปสฺสถ, ภิกฺขโว’’ติ อาหาติ สมฺพโนฺธฯ

    73.Haṃsasamabhāgoti haṃsasadisagāmi. Haṃsadundubhinissanoti haṃsaravo dundubhibherisaddasadisavacano ‘‘etaṃ mahāmattaṃ passatha, bhikkhavo’’ti āhāti sambandho.

    ๗๔. สมุคฺคตตนูรุหนฺติ สุฎฺฐุ อุคฺคตโลมํ อุทฺธคฺคโลมํ, อุทคฺยมนํ วาฯ ชีมูตวณฺณนฺติ มุตฺตผลสมานวณฺณํ สุนฺทรสรีรปภนฺติ อโตฺถฯ ปีณํสนฺติ ปริปุณฺณํ อํสํฯ ปสนฺนนยนานนนฺติ ปสนฺนอกฺขิปสนฺนมุขนฺติ อโตฺถฯ

    74.Samuggatatanūruhanti suṭṭhu uggatalomaṃ uddhaggalomaṃ, udagyamanaṃ vā. Jīmūtavaṇṇanti muttaphalasamānavaṇṇaṃ sundarasarīrapabhanti attho. Pīṇaṃsanti paripuṇṇaṃ aṃsaṃ. Pasannanayanānananti pasannaakkhipasannamukhanti attho.

    ๗๕. กตาวิโนติ กตาธิการสฺส เอตทเคฺค ฐิตสฺส ภิกฺขุโน ฐานํ โส เอโส มุทิตาย ปหฎฺฐจิตฺตตาย ปเตฺถตีติ สมฺพโนฺธฯ

    75.Katāvinoti katādhikārassa etadagge ṭhitassa bhikkhuno ṭhānaṃ so eso muditāya pahaṭṭhacittatāya patthetīti sambandho.

    ๘๑. สตโส อนุสาสิยาติ ธเมฺมน สเมน วจเนน การณวเสน อนุสาสิตฺวาติ อโตฺถฯ พาราณสิยมาสเนฺนติ พาราณสิยา สมีเป เปสการคาเมฯ ชาโต เกนิยชาติยนฺติ ตนฺตวายชาติยา เปสการกุเล ชาโตติ อโตฺถฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ

    81.Sataso anusāsiyāti dhammena samena vacanena kāraṇavasena anusāsitvāti attho. Bārāṇasiyamāsanneti bārāṇasiyā samīpe pesakāragāme. Jāto keniyajātiyanti tantavāyajātiyā pesakārakule jātoti attho. Sesaṃ suviññeyyamevāti.

    มหากปฺปินเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Mahākappinattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๓. มหากปฺปินเตฺถรอปทานํ • 3. Mahākappinattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact