Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā |
๓-๓. มหากสฺสปเตฺถรอปทานวณฺณนา
3-3. Mahākassapattheraapadānavaṇṇanā
ปทุมุตฺตรสฺส ภควโตตฺยาทิกํ อายสฺมโต มหากสฺสปเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยมฺปิ ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญสมฺภารานิ อุปจินโนฺต ปทุมุตฺตรภควโต กาเล หํสวตีนคเร เวเทโห นาม อสีติโกฎิวิภโว กุฎุมฺพิโก อโหสิฯ โส พุทฺธมามโก, ธมฺมมามโก, สงฺฆมามโก, อุปาสโก หุตฺวา วิหรโนฺต เอกสฺมิํ อุโปสถทิวเส ปาโตว สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย คนฺธปุปฺผาทีนิ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Padumuttarassabhagavatotyādikaṃ āyasmato mahākassapattherassa apadānaṃ. Ayampi purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññasambhārāni upacinanto padumuttarabhagavato kāle haṃsavatīnagare vedeho nāma asītikoṭivibhavo kuṭumbiko ahosi. So buddhamāmako, dhammamāmako, saṅghamāmako, upāsako hutvā viharanto ekasmiṃ uposathadivase pātova subhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya gandhapupphādīni gahetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi.
ตสฺมิญฺจ ขเณ สตฺถา มหานิสภเตฺถรํ นาม ตติยสาวกํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ นิสโภ’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อุปาสโก ตํ สุตฺวา ปสโนฺน ธมฺมกถาวสาเน มหาชเน อุฎฺฐาย คเต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘เสฺว, ภเนฺต, มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ ‘‘มหา โข, อุปาสก, ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติฯ ‘‘กิตฺตโก, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺส’’นฺติฯ ‘‘ภเนฺต, เอกํ สามเณรมฺปิ วิหาเร อเสเสตฺวา มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ อุปาสโก สตฺถุ อธิวาสนํ ญตฺวา เคหํ คนฺตฺวา มหาทานํ สเชฺชตฺวา ปุนทิวเส สตฺถุ กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ปตฺตจีวรมาทาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปาสกสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ทกฺขิโณทกาวสาเน ยาคุอาทีนิ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ภตฺตวิสฺสคฺคํ อกาสิฯ อุปาสโกปิ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ
Tasmiñca khaṇe satthā mahānisabhattheraṃ nāma tatiyasāvakaṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ nisabho’’ti etadagge ṭhapesi. Upāsako taṃ sutvā pasanno dhammakathāvasāne mahājane uṭṭhāya gate satthāraṃ vanditvā ‘‘sve, bhante, mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethā’’ti nimantesi. ‘‘Mahā kho, upāsaka, bhikkhusaṅgho’’ti. ‘‘Kittako, bhante’’ti? ‘‘Aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassa’’nti. ‘‘Bhante, ekaṃ sāmaṇerampi vihāre asesetvā mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti. Satthā adhivāsesi. Upāsako satthu adhivāsanaṃ ñatvā gehaṃ gantvā mahādānaṃ sajjetvā punadivase satthu kālaṃ ārocāpesi. Satthā pattacīvaramādāya bhikkhusaṅghaparivuto upāsakassa gharaṃ gantvā paññattāsane nisinno dakkhiṇodakāvasāne yāguādīni sampaṭicchanto bhattavissaggaṃ akāsi. Upāsakopi satthu santike nisīdi.
ตสฺมิํ อนฺตเร มหานิสภเตฺถโร ปิณฺฑาย จรโนฺต ตเมว วีถิํ ปฎิปชฺชิฯ อุปาสโก ทิสฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถา’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ อทาสิฯ ‘‘ภเนฺต, อิเธว ปวิสถ, สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺน’’ติฯ ‘‘น วฎฺฎิสฺสติ, อุปาสกา’’ติฯ โส เถรสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ ตโต เถรํ อนุคนฺตฺวา นิวโตฺต สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘มหานิสภเตฺถโร, ภเนฺต, ‘สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺน’ติ วุเตฺตปิ ปวิสิตุํ น อิจฺฉิฯ อตฺถิ นุ โข เอตสฺส ตุมฺหากํ คุเณหิ อติเรกคุโณ’’ติ? พุทฺธานญฺจ วณฺณมเจฺฉรํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา สตฺถา เอวมาห – ‘‘อุปาสก, มยํ ภิกฺขํ อาคมยมานา เคเห นิสีทาม, โส ภิกฺขุ น เอวํ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ อุทิกฺขติฯ มยํ คามนฺตเสนาสเน วสาม, โส อรเญฺญเยว วสติฯ มยํ ฉเนฺน วสาม, โส อโพฺภกาเสเยว วสตี’’ติ ภควา ‘‘อยญฺจ อยเญฺจตสฺส คุโณ’’ติ มหาสมุทฺทํ ปูรยมาโน วิย ตสฺส คุณํ กเถสิฯ
Tasmiṃ antare mahānisabhatthero piṇḍāya caranto tameva vīthiṃ paṭipajji. Upāsako disvā uṭṭhāya gantvā theraṃ vanditvā ‘‘pattaṃ, bhante, dethā’’ti āha. Thero pattaṃ adāsi. ‘‘Bhante, idheva pavisatha, satthāpi gehe nisinno’’ti. ‘‘Na vaṭṭissati, upāsakā’’ti. So therassa pattaṃ gahetvā piṇḍapātassa pūretvā adāsi. Tato theraṃ anugantvā nivatto satthu santike nisīditvā evamāha – ‘‘mahānisabhatthero, bhante, ‘satthāpi gehe nisinno’ti vuttepi pavisituṃ na icchi. Atthi nu kho etassa tumhākaṃ guṇehi atirekaguṇo’’ti? Buddhānañca vaṇṇamaccheraṃ nāma natthi, tasmā satthā evamāha – ‘‘upāsaka, mayaṃ bhikkhaṃ āgamayamānā gehe nisīdāma, so bhikkhu na evaṃ nisīditvā bhikkhaṃ udikkhati. Mayaṃ gāmantasenāsane vasāma, so araññeyeva vasati. Mayaṃ channe vasāma, so abbhokāseyeva vasatī’’ti bhagavā ‘‘ayañca ayañcetassa guṇo’’ti mahāsamuddaṃ pūrayamāno viya tassa guṇaṃ kathesi.
อุปาสโกปิ ปกติยา ชลมานทีโป เตเลน อาสิโตฺต วิย สุฎฺฐุตรํ ปสโนฺน หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ มยฺหํ อญฺญาย สมฺปตฺติยา, ยํนูนาหํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ธุตวาทานํ อคฺคภาวตฺถาย ปตฺถนํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ปุนปิ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวเส มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส ติจีวรานิ ทตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ เม, ภเนฺต, สตฺต ทิวเส ทานํ เทนฺตสฺส เมตฺตํ กายกมฺมํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ, อิมินาหํ น อญฺญํ เทวสมฺปตฺติํ วา สกฺกมารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ วา ปเตฺถมิ, อิทํ ปน เม กมฺมํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก มหานิสภเตฺถเรน ปตฺตฎฺฐานนฺตรํ ปาปุณนตฺถาย เตรสธุตงฺคธรานํ อคฺคภาวสฺส อธิกาโร โหตู’’ติฯ สตฺถา ‘‘มหนฺตํ ฐานํ อิมินา ปตฺถิตํ, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา อาห – ‘‘มนาปํ เต ฐานํ ปตฺถิตํ, อนาคเต สตสหสฺสกปฺปาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส ตฺวํ ตติยสาวโก มหากสฺสปเตฺถโร นาม ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตํ สุตฺวา อุปาสโก ‘‘พุทฺธานํ เทฺว กถา นาม นตฺถี’’ติ ปุนทิวเส ปตฺตพฺพํ วิย ตํ สมฺปตฺติํ อมญฺญิตฺถฯ โส ยาวตายุกํ ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทาย รกฺขิตฺวา นานปฺปการํ ปุญฺญกมฺมํ กตฺวา กาลํกตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติฯ
Upāsakopi pakatiyā jalamānadīpo telena āsitto viya suṭṭhutaraṃ pasanno hutvā cintesi – ‘‘kiṃ mayhaṃ aññāya sampattiyā, yaṃnūnāhaṃ anāgate ekassa buddhassa santike dhutavādānaṃ aggabhāvatthāya patthanaṃ karissāmī’’ti. So punapi satthāraṃ nimantetvā teneva niyāmena satta divase mahādānaṃ datvā sattame divase buddhappamukhassa mahābhikkhusaṅghassa ticīvarāni datvā satthu pādamūle nipajjitvā evamāha – ‘‘yaṃ me, bhante, satta divase dānaṃ dentassa mettaṃ kāyakammaṃ mettaṃ vacīkammaṃ mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ, imināhaṃ na aññaṃ devasampattiṃ vā sakkamārabrahmasampattiṃ vā patthemi, idaṃ pana me kammaṃ anāgate ekassa buddhassa santike mahānisabhattherena pattaṭṭhānantaraṃ pāpuṇanatthāya terasadhutaṅgadharānaṃ aggabhāvassa adhikāro hotū’’ti. Satthā ‘‘mahantaṃ ṭhānaṃ iminā patthitaṃ, samijjhissati nu kho, no’’ti olokento samijjhanabhāvaṃ disvā āha – ‘‘manāpaṃ te ṭhānaṃ patthitaṃ, anāgate satasahassakappāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati, tassa tvaṃ tatiyasāvako mahākassapatthero nāma bhavissasī’’ti byākāsi. Taṃ sutvā upāsako ‘‘buddhānaṃ dve kathā nāma natthī’’ti punadivase pattabbaṃ viya taṃ sampattiṃ amaññittha. So yāvatāyukaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ samādāya rakkhitvā nānappakāraṃ puññakammaṃ katvā kālaṃkatvā sagge nibbatti.
ตโต ปฎฺฐาย เทวมนุเสฺสสุ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต อิโต เอกนวุติกเปฺป วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุเทฺธ พนฺธุมตีนครํ อุปนิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เทวโลกา จวิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ปริชิณฺณพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิญฺจ กาเล วิปสฺสี ภควา สตฺตเม สํวจฺฉเร ธมฺมํ กเถสิ, มหนฺตํ โกลาหลํ อโหสิฯ สกลชมฺพุทีเป เทวตา ‘‘สตฺถา ธมฺมํ กเถสฺสตี’’ติ อาโรเจสุํฯ พฺราหฺมโณ ตํ สาสนํ อโสฺสสิฯ ตสฺส นิวาสนสาฎโก เอโกเยว, ตถา พฺราหฺมณิยาฯ ปารุปนํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ เอกเมวฯ โส สกลนคเร ‘‘เอกสาฎกพฺราหฺมโณ’’ติ ปญฺญายิ ฯ โส พฺราหฺมโณ เกนจิเทว กิเจฺจน พฺราหฺมณานํ สนฺนิปาเต สติ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา สยํ ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติ, พฺราหฺมณีนํ สนฺนิปาเต สติ สยํ เคเห อจฺฉติ, พฺราหฺมณี ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส โส พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘โภติ, กิํ ตฺวํ รตฺติํ ธมฺมํ สุณิสฺสสิ, อุทาหุ ทิวา’’ติ? ‘‘สามิ, อหํ มาตุคาโม ภีรุกชาติกา รตฺติํ โสตุํ น สโกฺกมิ, ทิวา โสสฺสามี’’ติ ตํ พฺราหฺมณํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา อุปาสิกาหิ สทฺธิํ วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสินฺนา ธมฺมํ สุตฺวา อุปาสิกาหิ สทฺธิํ อคมาสิฯ อถ พฺราหฺมโณ ตํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา วิหารํ คโตฯ
Tato paṭṭhāya devamanussesu sampattiṃ anubhavanto ito ekanavutikappe vipassisammāsambuddhe bandhumatīnagaraṃ upanissāya kheme migadāye viharante devalokā cavitvā aññatarasmiṃ parijiṇṇabrāhmaṇakule nibbatti. Tasmiñca kāle vipassī bhagavā sattame saṃvacchare dhammaṃ kathesi, mahantaṃ kolāhalaṃ ahosi. Sakalajambudīpe devatā ‘‘satthā dhammaṃ kathessatī’’ti ārocesuṃ. Brāhmaṇo taṃ sāsanaṃ assosi. Tassa nivāsanasāṭako ekoyeva, tathā brāhmaṇiyā. Pārupanaṃ pana dvinnampi ekameva. So sakalanagare ‘‘ekasāṭakabrāhmaṇo’’ti paññāyi . So brāhmaṇo kenacideva kiccena brāhmaṇānaṃ sannipāte sati brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā sayaṃ taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati, brāhmaṇīnaṃ sannipāte sati sayaṃ gehe acchati, brāhmaṇī taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati. Tasmiṃ pana divase so brāhmaṇiṃ āha – ‘‘bhoti, kiṃ tvaṃ rattiṃ dhammaṃ suṇissasi, udāhu divā’’ti? ‘‘Sāmi, ahaṃ mātugāmo bhīrukajātikā rattiṃ sotuṃ na sakkomi, divā sossāmī’’ti taṃ brāhmaṇaṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā upāsikāhi saddhiṃ vihāraṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ekamantaṃ nisinnā dhammaṃ sutvā upāsikāhi saddhiṃ agamāsi. Atha brāhmaṇo taṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā vihāraṃ gato.
ตสฺมิญฺจ สมเย สตฺถา ปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน นิสิโนฺน จิตฺตพีชนิํ คเหตฺวา อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย สิเนรุํ มนฺถํ กตฺวา สาครํ นิมฺมเนฺถโนฺต วิย จ ธมฺมกถํ กเถสิฯ พฺราหฺมณสฺส ปริสปริยเนฺตน นิสินฺนสฺส ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปฐมยาเมเยว สกลสรีรํ ปูรยมานา ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปารุตวตฺถํ สงฺฆริตฺวา ‘‘ทสพลสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส อาทีนวสหสฺสํ ทสฺสยมานํ มเจฺฉรํ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘พฺราหฺมณิยา ตุยฺหญฺจ เอกเมว วตฺถํ, อญฺญํ กิญฺจิ ปารุปนํ นาม นตฺถิ, อปารุปิตฺวา พหิ วิจริตุํ น สโกฺกมี’’ติ สพฺพถาปิ อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส นิกฺขเนฺต ปฐเม มชฺฌิมยาเมติ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ตเถว จิเนฺตตฺวา ตเถว อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส มชฺฌิเม ยาเม นิกฺขเนฺต ปจฺฉิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ ตทา โส มเจฺฉรํ ชินิตฺวา วตฺถํ สงฺฆริตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล ฐเปสิฯ ตโต วามหตฺถํ อาภุชิตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน อโปฺผเฎตฺวา ‘‘ชิตํ เม, ชิตํ เม’’ติ ติกฺขตฺตุํ นทิฯ
Tasmiñca samaye satthā parisamajjhe alaṅkatadhammāsane nisinno cittabījaniṃ gahetvā ākāsagaṅgaṃ otārento viya sineruṃ manthaṃ katvā sāgaraṃ nimmanthento viya ca dhammakathaṃ kathesi. Brāhmaṇassa parisapariyantena nisinnassa dhammaṃ suṇantassa paṭhamayāmeyeva sakalasarīraṃ pūrayamānā pañcavaṇṇā pīti uppajji. So pārutavatthaṃ saṅgharitvā ‘‘dasabalassa dassāmī’’ti cintesi. Athassa ādīnavasahassaṃ dassayamānaṃ maccheraṃ uppajji. So ‘‘brāhmaṇiyā tuyhañca ekameva vatthaṃ, aññaṃ kiñci pārupanaṃ nāma natthi, apārupitvā bahi vicarituṃ na sakkomī’’ti sabbathāpi adātukāmo ahosi. Athassa nikkhante paṭhame majjhimayāmeti tatheva pīti uppajji. So tatheva cintetvā tatheva adātukāmo ahosi. Athassa majjhime yāme nikkhante pacchimayāmepi tatheva pīti uppajji. Tadā so maccheraṃ jinitvā vatthaṃ saṅgharitvā satthu pādamūle ṭhapesi. Tato vāmahatthaṃ ābhujitvā dakkhiṇena hatthena apphoṭetvā ‘‘jitaṃ me, jitaṃ me’’ti tikkhattuṃ nadi.
ตสฺมิํ สมเย พนฺธุมา ราชา ธมฺมาสนสฺส ปจฺฉโต อโนฺตสาณิยํ นิสิโนฺน ธมฺมํ สุณาติฯ รโญฺญ จ นาม ‘‘ชิตํ เม’’ติ สโทฺท อมนาโป โหติฯ ราชา ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉ, ภเณ, เอตํ ปุจฺฉ – ‘กิํ โส วทตี’’’ติ? พฺราหฺมโณ เตนาคนฺตฺวา ปุจฺฉิโต ‘‘อวเสสา หตฺถิยานาทีนิ อารุยฺห อสิจมฺมาทีนิ คเหตฺวา ปรเสนํ ชินนฺติ, น ตํ อจฺฉริยํฯ อหํ ปน ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตสฺส กูฎโคณสฺส มุคฺคเรน สีสํ ภินฺทิตฺวา ตํ ปลาเปโนฺต วิย มเจฺฉรจิตฺตํ ชินิตฺวา ปารุตวตฺถํ ทสพลสฺส อทาสิํ, ตํ เม ชิตํ มเจฺฉรํ อจฺฉริย’’นฺติ อาหฯ โส อาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อเมฺห, ภเณ, ทสพลสฺส อนุรูปํ น ชานาม, พฺราหฺมโณ ชานาตี’’ติ ตสฺส ปสีทิตฺวา วตฺถยุคํ เปเสสิฯ ตํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘ราชา มยฺหํ ตุณฺหี นิสินฺนสฺส ปฐมํ กิญฺจิ อทตฺวา สตฺถุ คุเณ กเถนฺตสฺส อทาสิ, สตฺถุ คุเณ ปฎิจฺจ อิทํ อุปฺปนฺนํ, สตฺถุเยว อนุจฺฉวิก’’นฺติ ตมฺปิ วตฺถยุคํ ทสพลสฺส อทาสิฯ ราชา ‘‘กิํ พฺราหฺมเณน กต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตมฺปิ เตน วตฺถยุคํ ตถาคตเสฺสว ทินฺน’’นฺติ สุตฺวา อญฺญานิปิ เทฺว วตฺถยุคานิ เปเสสิ, โส ตานิปิ สตฺถุ อทาสิฯ ปุน ราชา ‘อญฺญานิปิ จตฺตารี’ติ เอวํ วตฺวา ยาว เอวํ ทฺวตฺติํส วตฺถยุคานิ เปเสสิฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘อิทํ วเฑฺฒตฺวา วเฑฺฒตฺวา คหณํ วิย โหตี’’ติ อตฺตโน อตฺถาย เอกํ, พฺราหฺมณิยา เอกนฺติ เทฺว วตฺถยุคานิ คเหตฺวา, ติํส ยุคานิ ตถาคตเสฺสว อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ โส สตฺถุ วิสฺสาสิโก ชาโตฯ
Tasmiṃ samaye bandhumā rājā dhammāsanassa pacchato antosāṇiyaṃ nisinno dhammaṃ suṇāti. Rañño ca nāma ‘‘jitaṃ me’’ti saddo amanāpo hoti. Rājā purisaṃ āṇāpesi ‘‘gaccha, bhaṇe, etaṃ puccha – ‘kiṃ so vadatī’’’ti? Brāhmaṇo tenāgantvā pucchito ‘‘avasesā hatthiyānādīni āruyha asicammādīni gahetvā parasenaṃ jinanti, na taṃ acchariyaṃ. Ahaṃ pana pacchato āgacchantassa kūṭagoṇassa muggarena sīsaṃ bhinditvā taṃ palāpento viya maccheracittaṃ jinitvā pārutavatthaṃ dasabalassa adāsiṃ, taṃ me jitaṃ maccheraṃ acchariya’’nti āha. So āgantvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘amhe, bhaṇe, dasabalassa anurūpaṃ na jānāma, brāhmaṇo jānātī’’ti tassa pasīditvā vatthayugaṃ pesesi. Taṃ disvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘rājā mayhaṃ tuṇhī nisinnassa paṭhamaṃ kiñci adatvā satthu guṇe kathentassa adāsi, satthu guṇe paṭicca idaṃ uppannaṃ, satthuyeva anucchavika’’nti tampi vatthayugaṃ dasabalassa adāsi. Rājā ‘‘kiṃ brāhmaṇena kata’’nti pucchitvā ‘‘tampi tena vatthayugaṃ tathāgatasseva dinna’’nti sutvā aññānipi dve vatthayugāni pesesi, so tānipi satthu adāsi. Puna rājā ‘aññānipi cattārī’ti evaṃ vatvā yāva evaṃ dvattiṃsa vatthayugāni pesesi. Atha brāhmaṇo ‘‘idaṃ vaḍḍhetvā vaḍḍhetvā gahaṇaṃ viya hotī’’ti attano atthāya ekaṃ, brāhmaṇiyā ekanti dve vatthayugāni gahetvā, tiṃsa yugāni tathāgatasseva adāsi. Tato paṭṭhāya ca so satthu vissāsiko jāto.
อถ ตํ ราชา เอกทิวสํ สีตสมเย สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณนฺตํ ทิสฺวา สตสหสฺสคฺฆนกํ อตฺตโน ปารุตํ รตฺตกมฺพลํ ทตฺวา อาห – ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิมํ ปารุปิตฺวา ธมฺมํ สุณาหี’’ติฯ โส ‘‘กิํ เม อิมินา กมฺพเลน อิมสฺมิํ ปูติกาเย อุปนีเตนา’’ติ จิเนฺตตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ ตถาคตสฺส มญฺจสฺส อุปริ วิตานํ กตฺวา อคมาสิฯ อเถกทิวสํ ราชา ปาโตว วิหารํ คนฺตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ ฉพฺพณฺณา พุทฺธรสฺมิโย กมฺพเล ปฎิหญฺญนฺติ, กมฺพโล อติวิย วิโรจิตฺถฯ ราชา อุโลฺลเกโนฺต สญฺชานิตฺวา อาห – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, เอส กมฺพโล, อเมฺหหิ เอกสาฎกพฺราหฺมณสฺส ทิโนฺน’’ติฯ ‘‘ตุเมฺหหิ, มหาราช, พฺราหฺมโณ ปูชิโต, พฺราหฺมเณน มยํ ปูชิตา’’ติฯ ราชา ‘‘พฺราหฺมโณ ยุตฺตํ อญฺญาสิ, น มย’’นฺติ ปสีทิตฺวา ยํ มนุสฺสานํ อุปการภูตํ, ตํ สพฺพํ อฎฺฐฎฺฐกํ กตฺวา สพฺพฎฺฐกํ นาม ทานํ ทตฺวา ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โสปิ ‘‘อฎฺฐฎฺฐกํ นาม จตุสฎฺฐิ โหตี’’ติ จตุสฎฺฐิสลากภตฺตานิ อุปฎฺฐเปตฺวา ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ
Atha taṃ rājā ekadivasaṃ sītasamaye satthu santike dhammaṃ suṇantaṃ disvā satasahassagghanakaṃ attano pārutaṃ rattakambalaṃ datvā āha – ‘‘ito paṭṭhāya imaṃ pārupitvā dhammaṃ suṇāhī’’ti. So ‘‘kiṃ me iminā kambalena imasmiṃ pūtikāye upanītenā’’ti cintetvā antogandhakuṭiyaṃ tathāgatassa mañcassa upari vitānaṃ katvā agamāsi. Athekadivasaṃ rājā pātova vihāraṃ gantvā antogandhakuṭiyaṃ satthu santike nisīdi. Tasmiṃ khaṇe chabbaṇṇā buddharasmiyo kambale paṭihaññanti, kambalo ativiya virocittha. Rājā ullokento sañjānitvā āha – ‘‘amhākaṃ, bhante, esa kambalo, amhehi ekasāṭakabrāhmaṇassa dinno’’ti. ‘‘Tumhehi, mahārāja, brāhmaṇo pūjito, brāhmaṇena mayaṃ pūjitā’’ti. Rājā ‘‘brāhmaṇo yuttaṃ aññāsi, na maya’’nti pasīditvā yaṃ manussānaṃ upakārabhūtaṃ, taṃ sabbaṃ aṭṭhaṭṭhakaṃ katvā sabbaṭṭhakaṃ nāma dānaṃ datvā purohitaṭṭhāne ṭhapesi. Sopi ‘‘aṭṭhaṭṭhakaṃ nāma catusaṭṭhi hotī’’ti catusaṭṭhisalākabhattāni upaṭṭhapetvā yāvajīvaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā tato cuto sagge nibbatti.
ปุน ตโต จุโต อิมสฺมิํ กเปฺป ภควโต โกณาคมนสฺส ภควโต กสฺสปสฺส จาติ ทฺวินฺนํ อนฺตเร พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยกุเล นิพฺพโตฺตฯ โส วฑฺฒิมนฺวาย ฆราวาสํ วสโนฺต เอกทิวสํ อรเญฺญ ชงฺฆวิหารํ วิจรติฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ปเจฺจกพุโทฺธ นทีตีเร จีวรกมฺมํ กโรโนฺต อนุวาเต อปฺปโหเนฺต สงฺฆริตฺวา ฐเปตุมารโทฺธฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สงฺฆริตฺวา ฐเปถา’’ติ อาหฯ ‘‘อนุวาโต นปฺปโหตี’’ติฯ ‘‘อิมินา, ภเนฺต, กโรถา’’ติ อุตฺตริสาฎกํ ทตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม กาจิ หานิ มา โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ
Puna tato cuto imasmiṃ kappe bhagavato koṇāgamanassa bhagavato kassapassa cāti dvinnaṃ antare bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyakule nibbatto. So vaḍḍhimanvāya gharāvāsaṃ vasanto ekadivasaṃ araññe jaṅghavihāraṃ vicarati. Tasmiñca samaye paccekabuddho nadītīre cīvarakammaṃ karonto anuvāte appahonte saṅgharitvā ṭhapetumāraddho. So taṃ disvā ‘‘kasmā, bhante, saṅgharitvā ṭhapethā’’ti āha. ‘‘Anuvāto nappahotī’’ti. ‘‘Iminā, bhante, karothā’’ti uttarisāṭakaṃ datvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kāci hāni mā hotū’’ti patthanaṃ akāsi.
ฆเรปิสฺส ภคินิยา สทฺธิํ ภริยาย กลหํ กโรนฺติยา ปเจฺจกพุโทฺธ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถสฺส ภคินี ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ตสฺส ภริยํ สนฺธาย – ‘‘เอวรูปํ พาลํ โยชนสเต ปริวเชฺชยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ ฐเปสิฯ สา เคหงฺคเณ ฐิตา สุตฺวา ‘‘อิมาย ทินฺนภตฺตํ เอส มา ภุญฺชตู’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ อิตรา ทิสฺวา ‘‘พาเล, มํ ตาว อโกฺกส วา ปหร วา, เอวรูปสฺส ปน เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิสฺส ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปตฺตโต ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลํ ทาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ อาหฯ อถสฺส ภริยาย ปฎิสงฺขานํ อุปฺปชฺชิฯ สา ‘‘ติฎฺฐถ, ภเนฺต’’ติ กลลํ ฉเฑฺฑตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา คนฺธจุเณฺณน อุพฺพเฎฺฎตฺวา ปณีตภตฺตสฺส จตุมธุรสฺส จ ปูเรตฺวา อุปริ อาสิเตฺตน ปทุมคพฺภวเณฺณน สปฺปินา วิโชฺชตมานํ ปตฺตํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ยถา อยํ ปิณฺฑปาโต โอภาสชาโต, เอวํ โอภาสชาตํ เม สรีรํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ อกาสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ อนุโมทิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ เตปิ เทฺว ชายมฺปติกา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุตา สเคฺค นิพฺพตฺติํสุฯ ปุน ตโต จวิตฺวา อุปาสโก กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ อสีติโกฎิวิภวสมฺปเนฺน กุเล นิพฺพตฺติ, อิตราปิ ตาทิสเสฺสว เสฎฺฐิโน ธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺส วยปฺปตฺตสฺส ตเมว เสฎฺฐิธีตรํ อานยิํสุฯ ตสฺสา ปุเพฺพ อนิฎฺฐวิปากสฺส ปาปกมฺมสฺส อานุภาเวน ปติกุลํ ปวิฎฺฐมตฺตาย อุมฺมารนฺตรโต ปฎฺฐาย สกลํ เคหํ อุคฺฆาฎิตวจฺจกูโป วิย ทุคฺคนฺธํ ชาตํฯ กุมาโร ‘‘กสฺสายํ คโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เสฎฺฐิกญฺญายา’’ติ สุตฺวา ‘‘นีหรถ น’’นฺติ ตสฺสาเยว กุลฆรํ เปเสสิฯ สา เตเนว นีหาเรน สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติฯ
Gharepissa bhaginiyā saddhiṃ bhariyāya kalahaṃ karontiyā paccekabuddho piṇḍāya pāvisi. Athassa bhaginī paccekabuddhassa piṇḍapātaṃ datvā tassa bhariyaṃ sandhāya – ‘‘evarūpaṃ bālaṃ yojanasate parivajjeyya’’nti patthanaṃ ṭhapesi. Sā gehaṅgaṇe ṭhitā sutvā ‘‘imāya dinnabhattaṃ esa mā bhuñjatū’’ti pattaṃ gahetvā bhattaṃ chaḍḍetvā kalalassa pūretvā adāsi. Itarā disvā ‘‘bāle, maṃ tāva akkosa vā pahara vā, evarūpassa pana dve asaṅkhyeyyāni pūritapāramissa paccekabuddhassa pattato bhattaṃ chaḍḍetvā kalalaṃ dātuṃ na yutta’’nti āha. Athassa bhariyāya paṭisaṅkhānaṃ uppajji. Sā ‘‘tiṭṭhatha, bhante’’ti kalalaṃ chaḍḍetvā pattaṃ dhovitvā gandhacuṇṇena ubbaṭṭetvā paṇītabhattassa catumadhurassa ca pūretvā upari āsittena padumagabbhavaṇṇena sappinā vijjotamānaṃ pattaṃ paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā ‘‘yathā ayaṃ piṇḍapāto obhāsajāto, evaṃ obhāsajātaṃ me sarīraṃ hotū’’ti patthanaṃ akāsi. Paccekabuddho anumoditvā ākāsaṃ pakkhandi. Tepi dve jāyampatikā yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cutā sagge nibbattiṃsu. Puna tato cavitvā upāsako kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ asītikoṭivibhavasampanne kule nibbatti, itarāpi tādisasseva seṭṭhino dhītā hutvā nibbatti, tassa vayappattassa tameva seṭṭhidhītaraṃ ānayiṃsu. Tassā pubbe aniṭṭhavipākassa pāpakammassa ānubhāvena patikulaṃ paviṭṭhamattāya ummārantarato paṭṭhāya sakalaṃ gehaṃ ugghāṭitavaccakūpo viya duggandhaṃ jātaṃ. Kumāro ‘‘kassāyaṃ gandho’’ti pucchitvā ‘‘seṭṭhikaññāyā’’ti sutvā ‘‘nīharatha na’’nti tassāyeva kulagharaṃ pesesi. Sā teneva nīhārena sattasu ṭhānesu paṭinivatti.
เตน สมเยน กสฺสปทสพโล ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส สตสหสคฺฆนิกาหิ สุวณฺณิฎฺฐกาหิ โยชนุเพฺพธํ เจติยํ อารภิํสุฯ ตสฺมิํ เจติเย กริยมาเน สา เสฎฺฐิธีตา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺตา, กิํ เม ชีวิเตนา’’ติ อตฺตโน อาภรณภณฺฑํ ภญฺชาเปตฺวา สุวณฺณิฎฺฐกํ กาเรสิ รตนายตํ วิทตฺถิวิตฺถิณฺณํ จตุรงฺคุลุเพฺพธํฯ ตโต หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ คเหตฺวา อฎฺฐ อุปฺปลปุปฺผหตฺถเก อาทาย เจติยกรณฎฺฐานํ คตาฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ เอกา อิฎฺฐกาปนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา อาคจฺฉมานา ฆฎนิฎฺฐกาย อูนา โหติฯ เสฎฺฐิธีตา วฑฺฒกิํ อาห ‘‘อิมํ เม อิฎฺฐกํ เอตฺถ ฐเปถา’’ติฯ ‘‘อมฺม ภทฺทเก, กาเล อาคตาสิ, สยเมว ฐเปหี’’ติฯ สา อารุยฺห เตเลน หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ โยเชตฺวา เตน พนฺธเนน อิฎฺฐกํ ปติฎฺฐเปตฺวา อุปริ อฎฺฐหิ อุปฺปลปุปฺผหตฺถเกหิ ปูชํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม กายโต จนฺทนคโนฺธ วายตุ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา เจติยํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เคหํ อคมาสิฯ
Tena samayena kassapadasabalo parinibbāyi. Tassa satasahasagghanikāhi suvaṇṇiṭṭhakāhi yojanubbedhaṃ cetiyaṃ ārabhiṃsu. Tasmiṃ cetiye kariyamāne sā seṭṭhidhītā cintesi – ‘‘ahaṃ sattasu ṭhānesu paṭinivattā, kiṃ me jīvitenā’’ti attano ābharaṇabhaṇḍaṃ bhañjāpetvā suvaṇṇiṭṭhakaṃ kāresi ratanāyataṃ vidatthivitthiṇṇaṃ caturaṅgulubbedhaṃ. Tato haritālamanosilāpiṇḍaṃ gahetvā aṭṭha uppalapupphahatthake ādāya cetiyakaraṇaṭṭhānaṃ gatā. Tasmiñca khaṇe ekā iṭṭhakāpanti parikkhipitvā āgacchamānā ghaṭaniṭṭhakāya ūnā hoti. Seṭṭhidhītā vaḍḍhakiṃ āha ‘‘imaṃ me iṭṭhakaṃ ettha ṭhapethā’’ti. ‘‘Amma bhaddake, kāle āgatāsi, sayameva ṭhapehī’’ti. Sā āruyha telena haritālamanosilāpiṇḍaṃ yojetvā tena bandhanena iṭṭhakaṃ patiṭṭhapetvā upari aṭṭhahi uppalapupphahatthakehi pūjaṃ katvā vanditvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kāyato candanagandho vāyatu, mukhato uppalagandho’’ti patthanaṃ katvā cetiyaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā gehaṃ agamāsi.
ตสฺมิํเยว ขเณ สา ยสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปฐมํ เคหํ นีตา, ตสฺส ตํ อารพฺภ สติ อุทปาทิฯ นคเรปิ นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ โหติฯ โส อุปฎฺฐาเก อาห ‘‘อิธ อานีตา เสฎฺฐิธีตา กุหิ’’นฺติ? ‘‘กุลเคเห, สามี’’ติฯ ‘‘อาเนถ นํ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติฯ เต คนฺตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา ฐิตาฯ ‘‘กิํ, ตาตา, อาคตตฺถา’’ติ ตาย ปุฎฺฐา ตสฺสา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ ‘‘ตาตา, มยา อาภรณภเณฺฑหิ เจติยํ ปูชิตํ, อาภรณํ เม นตฺถี’’ติฯ เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ ‘‘อาเนถ นํ, ปิฬนฺธนํ ลภิสฺสตี’’ติฯ เต ตํ อานยิํสุฯ ตสฺสา สห เคหปเวสเนน สกลเคหํ จนฺทนคโนฺธ เจว อุปฺปลคโนฺธ จ วายิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเทฺท, ตว สรีรโต ปฐมํ ทุคฺคโนฺธ วายิ, อิทานิ ปน เต สรีรโต จนฺทนคโนฺธ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ วายติ, กิเมต’’นฺติ? สา อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตนา กตกมฺมํ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘นิยฺยานิกํ วต พุทฺธสาสน’’นฺติ ปสีทิตฺวา โยชนิกํ สุวณฺณเจติยํ กมฺพลกญฺจุเกน ปฎิจฺฉาเทตฺวา ตตฺถ ตตฺถ รถจกฺกปมาเณหิ สุวณฺณปทุเมหิ อลงฺกริฯ เตสํ ทฺวาทสหตฺถา โอลมฺพกา โหนฺติฯ
Tasmiṃyeva khaṇe sā yassa seṭṭhiputtassa paṭhamaṃ gehaṃ nītā, tassa taṃ ārabbha sati udapādi. Nagarepi nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ hoti. So upaṭṭhāke āha ‘‘idha ānītā seṭṭhidhītā kuhi’’nti? ‘‘Kulagehe, sāmī’’ti. ‘‘Ānetha naṃ, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti. Te gantvā taṃ vanditvā ṭhitā. ‘‘Kiṃ, tātā, āgatatthā’’ti tāya puṭṭhā tassā taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. ‘‘Tātā, mayā ābharaṇabhaṇḍehi cetiyaṃ pūjitaṃ, ābharaṇaṃ me natthī’’ti. Te gantvā seṭṭhiputtassa ārocesuṃ. ‘‘Ānetha naṃ, piḷandhanaṃ labhissatī’’ti. Te taṃ ānayiṃsu. Tassā saha gehapavesanena sakalagehaṃ candanagandho ceva uppalagandho ca vāyi. Seṭṭhiputto taṃ pucchi – ‘‘bhadde, tava sarīrato paṭhamaṃ duggandho vāyi, idāni pana te sarīrato candanagandho, mukhato uppalagandho vāyati, kimeta’’nti? Sā ādito paṭṭhāya attanā katakammaṃ ārocesi. Seṭṭhiputto ‘‘niyyānikaṃ vata buddhasāsana’’nti pasīditvā yojanikaṃ suvaṇṇacetiyaṃ kambalakañcukena paṭicchādetvā tattha tattha rathacakkapamāṇehi suvaṇṇapadumehi alaṅkari. Tesaṃ dvādasahatthā olambakā honti.
โส ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จุโต สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา, ปุน ตโต จวิตฺวา พาราณสิโต โยชนมเตฺต ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติฯ ภริยา ปนสฺส เทวโลกโต จวิตฺวา ราชกุเล เชฎฺฐราชธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เตสุ วยปฺปเตฺตสุ กุมารสฺส วสนคาเม นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํฯ โส มาตรํ อาห – ‘‘อมฺม, สาฎกํ เม เทหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติฯ สา โธตวตฺถํ นีหริตฺวา อทาสิฯ ‘‘อมฺม, ถูลมิท’’นฺติ อาหฯ สา อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิฯ โส ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, ยาทิเส เคเห มยํ ชาตา, นตฺถิ โน อิโต สุขุมตรสฺส ปฎิลาภาย ปุญฺญ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ ลภนฎฺฐานํ คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘ปุตฺต, อหํ อเชฺชว ตุยฺหํ พาราณสินครรชฺชปฎิลาภํ อิจฺฉามี’’ติฯ โส มาตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ โส ปน ปุญฺญนิยาเมน นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา อุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชิฯ โส จ พาราณสิรโญฺญ กาลงฺกตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ
So tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cuto sagge nibbattitvā, puna tato cavitvā bārāṇasito yojanamatte ṭhāne aññatarasmiṃ amaccakule nibbatti. Bhariyā panassa devalokato cavitvā rājakule jeṭṭharājadhītā hutvā nibbatti. Tesu vayappattesu kumārassa vasanagāme nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ. So mātaraṃ āha – ‘‘amma, sāṭakaṃ me dehi, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti. Sā dhotavatthaṃ nīharitvā adāsi. ‘‘Amma, thūlamida’’nti āha. Sā aññaṃ nīharitvā adāsi. So tampi paṭikkhipi. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, yādise gehe mayaṃ jātā, natthi no ito sukhumatarassa paṭilābhāya puñña’’nti. ‘‘Tena hi labhanaṭṭhānaṃ gacchāmi, ammā’’ti. ‘‘Putta, ahaṃ ajjeva tuyhaṃ bārāṇasinagararajjapaṭilābhaṃ icchāmī’’ti. So mātaraṃ vanditvā ‘‘gacchāmi, ammā’’ti. ‘‘Gaccha, tātā’’ti. So pana puññaniyāmena nikkhamitvā bārāṇasiṃ gantvā uyyāne maṅgalasilāpaṭṭe sasīsaṃ pārupitvā nipajji. So ca bārāṇasirañño kālaṅkatassa sattamo divaso hoti.
อมจฺจา รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ราชงฺคเณ นิสีทิตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘รโญฺญ เอกา ธีตาว อตฺถิ, ปุโตฺต นตฺถิ, อราชกํ รชฺชํ นสฺสิสฺสติ, โก ราชา ภวิตุํ อรหตี’’ติ? ‘‘ตฺวํ โหหิ, ตฺวํ โหหี’’ติฯ ปุโรหิโต อาห – ‘‘พหุํ โอโลเกตุํ น วฎฺฎติ, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชสฺสามา’’ติฯ เต กุมุทวเณฺณ จตฺตาโร สินฺธเว โยเชตฺวา ปญฺจวิธราชกกุธภณฺฑํ เสตจฺฉตฺตญฺจ ตสฺมิํ ฐเปตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปจฺฉโต ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสุํฯ รโถ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข อคมาสิฯ ‘‘ปริจเยน อุยฺยานาภิมุโข คจฺฉติ, นิวเตฺตมา’’ติ เกจิ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถา’’ติ อาหฯ รโถ คนฺตฺวา กุมารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อารุหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ปุโรหิโต ปารุปนกณฺณํ อปเนตฺวา ปาทตลานิ โอโลเกโนฺต ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ ทีโป, ทฺวิสหสฺสปริตฺตทีปวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เอส รชฺชํ กาเรตุํ ยุโตฺต’’ติ วตฺวา ‘‘ตูริยานิ ปคฺคณฺหถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปติฯ
Amaccā rañño sarīrakiccaṃ katvā rājaṅgaṇe nisīditvā mantayiṃsu – ‘‘rañño ekā dhītāva atthi, putto natthi, arājakaṃ rajjaṃ nassissati, ko rājā bhavituṃ arahatī’’ti? ‘‘Tvaṃ hohi, tvaṃ hohī’’ti. Purohito āha – ‘‘bahuṃ oloketuṃ na vaṭṭati, phussarathaṃ vissajjessāmā’’ti. Te kumudavaṇṇe cattāro sindhave yojetvā pañcavidharājakakudhabhaṇḍaṃ setacchattañca tasmiṃ ṭhapetvā rathaṃ vissajjetvā pacchato tūriyāni paggaṇhāpesuṃ. Ratho pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukho agamāsi. ‘‘Paricayena uyyānābhimukho gacchati, nivattemā’’ti keci āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayitthā’’ti āha. Ratho gantvā kumāraṃ padakkhiṇaṃ katvā āruhanasajjo hutvā aṭṭhāsi. Purohito pārupanakaṇṇaṃ apanetvā pādatalāni olokento ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ dīpo, dvisahassaparittadīpavāresu catūsu mahādīpesu esa rajjaṃ kāretuṃ yutto’’ti vatvā ‘‘tūriyāni paggaṇhathā’’ti tikkhattuṃ tūriyāni paggaṇhāpeti.
อถ กุมาโร มุขํ วิวริตฺวา โอโลเกโนฺต ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ รชฺชํ ปาปุณาตี’’ติฯ ‘‘ราชา โว กห’’นฺติ? ‘‘เทวตฺตํ คโต, สามี’’ติฯ ‘‘กติ ทิวสา อติกฺกนฺตา’’ติ ? ‘‘อชฺช สตฺตโม ทิวโส’’ติฯ ‘‘ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถี’’ติ ? ‘‘ธีตา อตฺถิ, เทว, ปุโตฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กริสฺสามิ รชฺช’’นฺติฯ เต ตาวเทว อภิเสกมณฺฑปํ กาเรตฺวา ราชธีตรํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา อุยฺยานํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อภิเสกํ อกํสุฯ อถสฺส กตาภิเสกสฺส สตสหสฺสคฺฆนกํ วตฺถํ อุปนยิํสุฯ โส ‘‘กิมิทํ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘นิวาสนวตฺถํ, เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ, ตาตา, ถูล’’นฺติ? ‘‘มนุสฺสปริโภควเตฺถสุ อิโต มุทุตรํ นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา เอวรูปํ นิวาเสสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘น มเญฺญ ปุญฺญวา ตุมฺหากํ ราชา’’ติ ‘‘สุวณฺณภิงฺคารํ อาหรถ, ลภิสฺสามิ วตฺถ’’นฺติ สุวณฺณภิงฺคารํ อาหราเปตฺวา อุฎฺฐาย หเตฺถ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถน อุทกํ คเหตฺวา ปุรตฺถิมทิสายํ อพฺภุกฺกิริฯ ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ ปุน อุทกํ คเหตฺวา ทกฺขิณปจฺฉิมอุตฺตรทิสายนฺติ เอวํ จตูสุ ทิสาสุ อพฺภุกฺกิริฯ สพฺพทิสาสุ อฎฺฐอฎฺฐกํ กตฺวา ทฺวตฺติํส กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ โส เอกํ ทิพฺพทุสฺสํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ‘‘นนฺทรโญฺญ วิชิเต สุตฺตกนฺติกา อิตฺถิโย ‘มา สุตฺตํ กนฺติํสู’ติ เอวํ เภริํ จราเปถา’’ติ วตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อภิรุยฺห มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ
Atha kumāro mukhaṃ vivaritvā olokento ‘‘kena kammena āgatatthā’’ti āha. ‘‘Deva, tumhākaṃ rajjaṃ pāpuṇātī’’ti. ‘‘Rājā vo kaha’’nti? ‘‘Devattaṃ gato, sāmī’’ti. ‘‘Kati divasā atikkantā’’ti ? ‘‘Ajja sattamo divaso’’ti. ‘‘Putto vā dhītā vā natthī’’ti ? ‘‘Dhītā atthi, deva, putto natthī’’ti. ‘‘Tena hi karissāmi rajja’’nti. Te tāvadeva abhisekamaṇḍapaṃ kāretvā rājadhītaraṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā uyyānaṃ ānetvā kumārassa abhisekaṃ akaṃsu. Athassa katābhisekassa satasahassagghanakaṃ vatthaṃ upanayiṃsu. So ‘‘kimidaṃ, tātā’’ti āha. ‘‘Nivāsanavatthaṃ, devā’’ti. ‘‘Nanu, tātā, thūla’’nti? ‘‘Manussaparibhogavatthesu ito mudutaraṃ natthi, devā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ rājā evarūpaṃ nivāsesī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Na maññe puññavā tumhākaṃ rājā’’ti ‘‘suvaṇṇabhiṅgāraṃ āharatha, labhissāmi vattha’’nti suvaṇṇabhiṅgāraṃ āharāpetvā uṭṭhāya hatthe dhovitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthena udakaṃ gahetvā puratthimadisāyaṃ abbhukkiri. Ghanapathaviṃ bhinditvā aṭṭha kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Puna udakaṃ gahetvā dakkhiṇapacchimauttaradisāyanti evaṃ catūsu disāsu abbhukkiri. Sabbadisāsu aṭṭhaaṭṭhakaṃ katvā dvattiṃsa kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. So ekaṃ dibbadussaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ‘‘nandarañño vijite suttakantikā itthiyo ‘mā suttaṃ kantiṃsū’ti evaṃ bheriṃ carāpethā’’ti vatvā chattaṃ ussāpetvā alaṅkatapaṭiyatto hatthikkhandhavaragato nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ abhiruyha mahāsampattiṃ anubhavi.
เอวํ คจฺฉเนฺต กาเล เทวี รโญฺญ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อโห วต ตปสฺสี’’ติ การุญฺญาการํ ทเสฺสสิฯ ‘‘กิมิทํ, เทวี’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘อติมหตี, เทว, เต สมฺปตฺติ, อตีเต พุทฺธานํ สทฺทหิตฺวา กตกลฺยาณสฺส ผลํ, อิทานิ อนาคตสฺส ปจฺจยํ ปุญฺญํ น กโรถา’’ติ อาหฯ กสฺส ทสฺสาม, สีลวโนฺต นตฺถีติฯ ‘‘อสุโญฺญ, เทว, ชมฺพุทีโป อรหเนฺตหิ; ตุเมฺห, เทว, ทานํ สเชฺชถ, อหํ อรหเนฺต ลจฺฉามี’’ติ อาหฯ ปุนทิวเส ราชา ปาจีนทฺวาเร ทานํ สชฺชาเปสิฯ เทวี ปาโตว อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย อุปริปาสาเท ปุรตฺถาภิมุขา อุเรน นิปชฺชิตฺวา ‘‘สเจ เอติสฺสาย ทิสาย อรหโนฺต อตฺถิ, เสฺว อาคนฺตฺวา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ อาหฯ ตสฺสํ ทิสายํ อรหโนฺต นาเหสุํ, ตํ สกฺการํ กปณยาจกานํ อทํสุฯ
Evaṃ gacchante kāle devī rañño sampattiṃ disvā ‘‘aho vata tapassī’’ti kāruññākāraṃ dassesi. ‘‘Kimidaṃ, devī’’ti puṭṭhā ‘‘atimahatī, deva, te sampatti, atīte buddhānaṃ saddahitvā katakalyāṇassa phalaṃ, idāni anāgatassa paccayaṃ puññaṃ na karothā’’ti āha. Kassa dassāma, sīlavanto natthīti. ‘‘Asuñño, deva, jambudīpo arahantehi; tumhe, deva, dānaṃ sajjetha, ahaṃ arahante lacchāmī’’ti āha. Punadivase rājā pācīnadvāre dānaṃ sajjāpesi. Devī pātova uposathaṅgāni adhiṭṭhāya uparipāsāde puratthābhimukhā urena nipajjitvā ‘‘sace etissāya disāya arahanto atthi, sve āgantvā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti āha. Tassaṃ disāyaṃ arahanto nāhesuṃ, taṃ sakkāraṃ kapaṇayācakānaṃ adaṃsu.
ปุนทิวเส ทกฺขิณทฺวาเร สเชฺชตฺวา ตเถว ทกฺขิเณยฺยํ นาลตฺถ, ปุนทิวเสปิ ปจฺฉิมทฺวาเร ตเถวฯ อุตฺตรทฺวาเร สชฺชิตทิวเสน ปน เทวิยา ตเถว นิมเนฺตนฺติยา หิมวเนฺต วสนฺตานํ ปทุมวติยา ปุตฺตานํ ปญฺจสตานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ เชฎฺฐโก มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ภาติเก อามเนฺตสิ – ‘‘มาริสา, นนฺทราชา ตุเมฺห นิมเนฺตติ, อธิวาเสถ ตสฺสา’’ติฯ เต อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา อุตฺตรทฺวาเร โอตริํสุฯ มนุสฺสา ทิสฺวา คนฺตฺวา ‘‘ปญฺจสตา, เทว, ปเจฺจกพุทฺธา อาคตา’’ติ รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา สทฺธิํ เทวิยา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ตตฺร เนสํ ทานํ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจาวสาเน ราชา สงฺฆเตฺถรสฺส, เทวี สงฺฆนวกสฺส ปาทมูเล นิปติตฺวา ‘‘อยฺยา, ภเนฺต, ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสนฺติ, มยญฺจ ปุเญฺญน น ปริหายิสฺสามี, อมฺหากํ ยาวชีวํ อิธ นิวาสาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อุยฺยาเน ปญฺจ ปณฺณสาลาสตานิ, ปญฺจ จงฺกมนสตานีติ สพฺพากาเรน นิวาสนฎฺฐานานิ สมฺปาเทตฺวา ตตฺถ วสาเปสุํฯ
Punadivase dakkhiṇadvāre sajjetvā tatheva dakkhiṇeyyaṃ nālattha, punadivasepi pacchimadvāre tatheva. Uttaradvāre sajjitadivasena pana deviyā tatheva nimantentiyā himavante vasantānaṃ padumavatiyā puttānaṃ pañcasatānaṃ paccekabuddhānaṃ jeṭṭhako mahāpadumapaccekabuddho bhātike āmantesi – ‘‘mārisā, nandarājā tumhe nimanteti, adhivāsetha tassā’’ti. Te adhivāsetvā punadivase anotattadahe mukhaṃ dhovitvā ākāsenāgantvā uttaradvāre otariṃsu. Manussā disvā gantvā ‘‘pañcasatā, deva, paccekabuddhā āgatā’’ti rañño ārocesuṃ. Rājā saddhiṃ deviyā gantvā vanditvā paccekabuddhe pāsādaṃ āropetvā tatra nesaṃ dānaṃ datvā bhattakiccāvasāne rājā saṅghattherassa, devī saṅghanavakassa pādamūle nipatitvā ‘‘ayyā, bhante, paccayehi na kilamissanti, mayañca puññena na parihāyissāmī, amhākaṃ yāvajīvaṃ idha nivāsāya paṭiññaṃ dethā’’ti paṭiññaṃ kāretvā uyyāne pañca paṇṇasālāsatāni, pañca caṅkamanasatānīti sabbākārena nivāsanaṭṭhānāni sampādetvā tattha vasāpesuṃ.
เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต รโญฺญ ปจฺจเนฺต กุปิเต ราชา ‘‘อหํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ คจฺฉามิ, ตฺวํ ปเจฺจกพุเทฺธสุ มา ปมชฺชา’’ติ เทวิํ โอวทิตฺวา คโตฯ ตสฺมิํ อนาคเตเยว ปเจฺจกพุทฺธานํ อายุสงฺขารา ขีณาฯ มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ติยามรตฺติํ ฌานกีฬํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมนสมเย อาลมฺพนผลกํ อาลมฺพิตฺวา ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ เอเตนุปาเยน เสสาปีติ สเพฺพว ปรินิพฺพุตาฯ ปุนทิวเส เทวี ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสีทนฎฺฐานานิ สเชฺชตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ธูปํ วาเสตฺวา เตสํ อาคมนํ โอโลเกนฺตี นิสินฺนา อาคมนํ อทิสฺวา ปุริเส เปเสสิ – ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, ชานาถ กิํ อยฺยานํ อผาสุก’’นฺติ? เต คนฺตฺวา มหาปทุมสฺส ปณฺณสาลาย ทฺวารํ วิวริตฺวา ตตฺถ ตํ อปสฺสนฺตา จงฺกมนํ คนฺตฺวา อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กาโล, ภเนฺต’’ติ อาหํสุฯ ปรินิพฺพุตสรีรํ กิํ กเถสฺสติ, เต ‘‘นิทฺทายติ มเญฺญ’’ติ วตฺวา ปิฎฺฐิปาเท หเตฺถน ปรามสิตฺวา ปาทานํ สีตลตาย เจว ถทฺธตาย จ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ทุติยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตเถว ญตฺวา ปุน ตติยสฺสาติ เอวํ สเพฺพปิ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ราชกุลํ อาคมิํสุฯ ‘‘กหํ, ตาตา, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ ปุฎฺฐา ‘‘ปรินิพฺพุตา, เทวี’’ติ อาหํสุฯ เทวี กนฺทนฺตี โรทนฺตี นิกฺขมิตฺวา นาคเรหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา สาธุกีฬิตํ กาเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา ธาตุโย คาหาเปตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสิฯ
Evaṃ kāle gacchante rañño paccante kupite rājā ‘‘ahaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ gacchāmi, tvaṃ paccekabuddhesu mā pamajjā’’ti deviṃ ovaditvā gato. Tasmiṃ anāgateyeva paccekabuddhānaṃ āyusaṅkhārā khīṇā. Mahāpadumapaccekabuddho tiyāmarattiṃ jhānakīḷaṃ kīḷitvā aruṇuggamanasamaye ālambanaphalakaṃ ālambitvā ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Etenupāyena sesāpīti sabbeva parinibbutā. Punadivase devī paccekabuddhānaṃ nisīdanaṭṭhānāni sajjetvā pupphāni vikiritvā dhūpaṃ vāsetvā tesaṃ āgamanaṃ olokentī nisinnā āgamanaṃ adisvā purise pesesi – ‘‘gacchatha, tātā, jānātha kiṃ ayyānaṃ aphāsuka’’nti? Te gantvā mahāpadumassa paṇṇasālāya dvāraṃ vivaritvā tattha taṃ apassantā caṅkamanaṃ gantvā ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhitaṃ disvā vanditvā ‘‘kālo, bhante’’ti āhaṃsu. Parinibbutasarīraṃ kiṃ kathessati, te ‘‘niddāyati maññe’’ti vatvā piṭṭhipāde hatthena parāmasitvā pādānaṃ sītalatāya ceva thaddhatāya ca parinibbutabhāvaṃ ñatvā dutiyassa santikaṃ gantvā tatheva ñatvā puna tatiyassāti evaṃ sabbepi parinibbutabhāvaṃ ñatvā rājakulaṃ āgamiṃsu. ‘‘Kahaṃ, tātā, paccekabuddhā’’ti puṭṭhā ‘‘parinibbutā, devī’’ti āhaṃsu. Devī kandantī rodantī nikkhamitvā nāgarehi saddhiṃ tattha gantvā sādhukīḷitaṃ kāretvā paccekabuddhānaṃ sarīrakiccaṃ kāretvā dhātuyo gāhāpetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesi.
ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต ปจฺจุคฺคมนํ อาคตํ เทวิํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, ภเทฺท, ตฺวํ ปเจฺจกพุเทฺธสุ น ปมชฺชสิ, นิโรคา จ อยฺยา’’ติ? ‘‘ปรินิพฺพุตา, เทวา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา จิเนฺตสิ – ‘‘เอวรูปานมฺปิ ปณฺฑิตานํ มรณํ อุปฺปชฺชติ, อมฺหากํ กุโต โมกฺขา’’ติ? โส นครํ อปวิสิตฺวา อุยฺยานเมว คนฺตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส รชฺชํ นิยฺยาเตตฺวา สยํ สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ เทวีปิ ‘‘รเญฺญ ปพฺพชิเต อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ ตเถว อุยฺยาเน ปพฺพชิฯ เทฺวปิ ฌานํ ภาเวตฺวา ตโต จุตา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ
Rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato paccuggamanaṃ āgataṃ deviṃ pucchi – ‘‘kiṃ, bhadde, tvaṃ paccekabuddhesu na pamajjasi, nirogā ca ayyā’’ti? ‘‘Parinibbutā, devā’’ti. Taṃ sutvā rājā cintesi – ‘‘evarūpānampi paṇḍitānaṃ maraṇaṃ uppajjati, amhākaṃ kuto mokkhā’’ti? So nagaraṃ apavisitvā uyyānameva gantvā jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā tassa rajjaṃ niyyātetvā sayaṃ samaṇapabbajjaṃ pabbaji. Devīpi ‘‘raññe pabbajite ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti tatheva uyyāne pabbaji. Dvepi jhānaṃ bhāvetvā tato cutā brahmaloke nibbattiṃsu.
เตสุ ตเตฺถว วสเนฺตสุ อมฺหากํ สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปาปุณิฯ สตฺถริ ตตฺถ ปฎิวสเนฺต อยํ ปิปฺปลิมาณโว มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถพฺราหฺมณคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส ภริยาย กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺตฯ อยํ ภทฺทกาปิลานี มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร โกสิยโคตฺตพฺราหฺมณสฺส ภริยาย กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตาฯ เตสํ อนุกฺกเมน วฑฺฒมานานํ ปิปฺปลิมาณวสฺส วีสติเม, ภทฺทาย โสฬสเม วเย สมฺปเตฺต มาตาปิตโร ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ วยปฺปโตฺต, กุลวํสํ ปติฎฺฐเปตุํ ยุโตฺต’’ติ อติวิย นิปฺปีฬิยิํสุฯ มาณโว อาห – ‘‘มยฺหํ โสตปเถ เอวรูปํ กถํ มา กถยิตฺถ, อหํ ยาว ตุเมฺห ธรถ, ตาว ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ตุมฺหากํ อจฺจเยน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต กติปาหํ อติกฺกมิตฺวา ปุน กถยิํสุฯ โสปิ ปุน ปฎิกฺขิปิฯ ตโต ปฎฺฐาย มาตา นิรนฺตรํ กเถติเยวฯ
Tesu tattheva vasantesu amhākaṃ satthā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ pāpuṇi. Satthari tattha paṭivasante ayaṃ pippalimāṇavo magadharaṭṭhe mahātitthabrāhmaṇagāme kapilabrāhmaṇassa bhariyāya kucchimhi nibbatto. Ayaṃ bhaddakāpilānī maddaraṭṭhe sāgalanagare kosiyagottabrāhmaṇassa bhariyāya kucchimhi nibbattā. Tesaṃ anukkamena vaḍḍhamānānaṃ pippalimāṇavassa vīsatime, bhaddāya soḷasame vaye sampatte mātāpitaro puttaṃ oloketvā ‘‘tāta, tvaṃ vayappatto, kulavaṃsaṃ patiṭṭhapetuṃ yutto’’ti ativiya nippīḷiyiṃsu. Māṇavo āha – ‘‘mayhaṃ sotapathe evarūpaṃ kathaṃ mā kathayittha, ahaṃ yāva tumhe dharatha, tāva paṭijaggissāmi, tumhākaṃ accayena nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. Te katipāhaṃ atikkamitvā puna kathayiṃsu. Sopi puna paṭikkhipi. Tato paṭṭhāya mātā nirantaraṃ kathetiyeva.
มาณโว ‘‘มาตรํ สญฺญาเปสฺสามี’’ติ รตฺตสุวณฺณสฺส นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา สุวณฺณกาเรหิ อิตฺถิรูปกํ กาเรตฺวา ตสฺส มชฺชนฆฎฺฎนาทิกมฺมปริโยสาเน ตํ รตฺตวตฺถํ นิวาเสตฺวา สุวณฺณสมฺปเนฺนหิ ปุเปฺผหิ เจว นานาลงฺกาเรหิ จ อลงฺการาเปตฺวา ‘‘อมฺม, เอวรูปํ อารมฺมณํ ลภโนฺต เคเห วสิสฺสามิ, อลภโนฺต น วสิสฺสามี’’ติฯ ปณฺฑิตา พฺราหฺมณี จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ปุญฺญวา ทินฺนทาโน กตาภินีหาโร ปุเพฺพ ปุญฺญานิ กโรโนฺต น เอกโกว อกาสิ, อทฺธา เอเตน สห กตปุญฺญา สุวณฺณรูปกปฎิภาคา ภวิสฺสตี’’ติฯ อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพโภเคหิ สนฺตเปฺปตฺวา สุวณฺณรูปกํ รเถ อาโรเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, ยตฺถ อเมฺหหิ ชาติโคตฺตโภคาทิสมานกุเล เอวรูปํ ทาริกํ ปสฺสถ, ตตฺถ อิทเมว สุวณฺณรูปกํ สจฺจาการํ กตฺวา เทถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ
Māṇavo ‘‘mātaraṃ saññāpessāmī’’ti rattasuvaṇṇassa nikkhasahassaṃ datvā suvaṇṇakārehi itthirūpakaṃ kāretvā tassa majjanaghaṭṭanādikammapariyosāne taṃ rattavatthaṃ nivāsetvā suvaṇṇasampannehi pupphehi ceva nānālaṅkārehi ca alaṅkārāpetvā ‘‘amma, evarūpaṃ ārammaṇaṃ labhanto gehe vasissāmi, alabhanto na vasissāmī’’ti. Paṇḍitā brāhmaṇī cintesi – ‘‘mayhaṃ putto puññavā dinnadāno katābhinīhāro pubbe puññāni karonto na ekakova akāsi, addhā etena saha katapuññā suvaṇṇarūpakapaṭibhāgā bhavissatī’’ti. Aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sabbabhogehi santappetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathe āropetvā ‘‘gacchatha, tātā, yattha amhehi jātigottabhogādisamānakule evarūpaṃ dārikaṃ passatha, tattha idameva suvaṇṇarūpakaṃ saccākāraṃ katvā dethā’’ti uyyojesi.
เต ‘‘อมฺหากํ นาม เอตํ กมฺม’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา ‘‘กตฺถ ลภิสฺสาม, มทฺทรฎฺฐํ นาม อิตฺถาคารํ, มทฺทรฎฺฐํ คมิสฺสามา’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมํสุฯ อตฺถ ตํ สุวณฺณรูปกํ นฺหานติเตฺถ ฐเปตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ อถ ภทฺทาย ธาตี ภทฺทํ นฺหาเปตฺวา อลงฺกริตฺวา สยํ นฺหายิตุํ อุทกติตฺถํ คนฺตฺวา สุวณฺณรูปกํ ทิสฺวา ‘‘กิสฺสายํ อวินีตา อิธาคนฺตฺวา ฐิตา’’ติ ปิฎฺฐิปเสฺส ปหริตฺวา สุวณฺณรูปกํ ญตฺวา ‘‘อยฺยธีตา เมติ สญฺญํ อุปฺปาเทสิ, อยํ ปน อยฺยธีตาย นิวาสนปฎิคฺคหิตายปิ อสทิสา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต พฺราหฺมณา ‘‘เอวรูปา กิร เต สามิธีตา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ สา ‘‘อิมาย สุวณฺณปฎิมาย สตคุเณน สหสฺสคุเณน มยฺหํ อยฺยธีตา อภิรูปตรา’’, ตถา หิ ‘‘อปฺปทีเปปิ ทฺวาทสหเตฺถ คเพฺภ นิสินฺนา สรีโรภาเสน ตมํ วิธมตี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ ตสฺสา มาตาปิตูนํ สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ สุวณฺณรูปกํ รเถ อาโรเปตฺวา ตํ ธาติํ อนุคนฺตฺวา โกสิยโคตฺตสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อาคมนํ อาโรจยิํสุฯ
Te ‘‘amhākaṃ nāma etaṃ kamma’’nti nikkhamitvā ‘‘kattha labhissāma, maddaraṭṭhaṃ nāma itthāgāraṃ, maddaraṭṭhaṃ gamissāmā’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamaṃsu. Attha taṃ suvaṇṇarūpakaṃ nhānatitthe ṭhapetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Atha bhaddāya dhātī bhaddaṃ nhāpetvā alaṅkaritvā sayaṃ nhāyituṃ udakatitthaṃ gantvā suvaṇṇarūpakaṃ disvā ‘‘kissāyaṃ avinītā idhāgantvā ṭhitā’’ti piṭṭhipasse paharitvā suvaṇṇarūpakaṃ ñatvā ‘‘ayyadhītā meti saññaṃ uppādesi, ayaṃ pana ayyadhītāya nivāsanapaṭiggahitāyapi asadisā’’ti āha. Atha naṃ te brāhmaṇā ‘‘evarūpā kira te sāmidhītā’’ti pucchiṃsu. Sā ‘‘imāya suvaṇṇapaṭimāya sataguṇena sahassaguṇena mayhaṃ ayyadhītā abhirūpatarā’’, tathā hi ‘‘appadīpepi dvādasahatthe gabbhe nisinnā sarīrobhāsena tamaṃ vidhamatī’’ti āha. ‘‘Tena hi tassā mātāpitūnaṃ santikaṃ gacchāmā’’ti suvaṇṇarūpakaṃ rathe āropetvā taṃ dhātiṃ anugantvā kosiyagottassa gharadvāre ṭhatvā āgamanaṃ ārocayiṃsu.
พฺราหฺมโณ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ เต ‘‘มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส ฆรโต อิมินา นาม การเณน อาคตมฺหา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘สาธุ, ตาตา, อเมฺหหิ สมชาติโคตฺตวิภโว โส พฺราหฺมโณ, ทสฺสาม ทาริก’’นฺติ ปณฺณาการํ คณฺหิฯ เต กปิลพฺราหฺมณสฺส สาสนํ ปหิณิํสุ – ‘‘ลทฺธา โน ภทฺทา นาม ทาริกา, กตฺตพฺพํ ชานาถา’’ติฯ ตํ สาสนํ สุตฺวา ปิปฺปลิมาณวสฺส อาโรจยิํสุ ‘‘ลทฺธา ทาริกา’’ติฯ ปิปฺปลิมาณโว ‘‘อหํ ‘น ลภิสฺสนฺตี’ติ จิเนฺตสิํ, อิเม ‘ลทฺธา’ติ เปเสนฺติ, อนตฺถิโก หุตฺวา ปณฺณํ เปเสสฺสามี’’ติ รโหคโต ปณฺณํ ลิขิ ‘‘ภทฺทา อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ปติํ ลภตุ, อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารินี อโหสี’’ติฯ ภทฺทาปิ ‘‘อสุกสฺส กิร มํ ทาตุกามา’’ติ สุตฺวา รโหคตา ปณฺณํ ลิขิ – ‘‘อยฺยปุโตฺต อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ทาริกํ ลภตุ, อหํ ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารี ภวาหี’’ติฯ เทฺวปิ ปณฺณานิ อนฺตรามเคฺค สมาคจฺฉิํสุฯ ‘‘อิทํ กสฺส ปณฺณ’’นฺติ? ‘‘ปิปฺปลิมาณเวน ภทฺทาย ปหิต’’นฺติฯ ‘‘อิทํ กสฺสา’’ติ? ‘‘ภทฺทาย ปิปฺปลิมาณวสฺส ปหิต’’นฺติ จ วุเตฺต เต เทฺวปิ วาเจตฺวา ‘‘ปสฺสถ ทารกานํ กมฺม’’นฺติ ผาเลตฺวา อรเญฺญ ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญํ ตํสมานํ ปณฺณํ ลิขิตฺวา อิโต เอโตฺต จ เปเสสุํฯ อิติ กุมารสฺส กุมาริกาย จ สทิสํ ปณฺณํ โลกสฺสาทรหิตเมวาติ อนิจฺฉมานานมฺปิ เตสํ ทฺวินฺนํ สมาคโม อโหสิฯ
Brāhmaṇo paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. Te ‘‘magadharaṭṭhe mahātitthagāme kapilabrāhmaṇassa gharato iminā nāma kāraṇena āgatamhā’’ti āhaṃsu. ‘‘Sādhu, tātā, amhehi samajātigottavibhavo so brāhmaṇo, dassāma dārika’’nti paṇṇākāraṃ gaṇhi. Te kapilabrāhmaṇassa sāsanaṃ pahiṇiṃsu – ‘‘laddhā no bhaddā nāma dārikā, kattabbaṃ jānāthā’’ti. Taṃ sāsanaṃ sutvā pippalimāṇavassa ārocayiṃsu ‘‘laddhā dārikā’’ti. Pippalimāṇavo ‘‘ahaṃ ‘na labhissantī’ti cintesiṃ, ime ‘laddhā’ti pesenti, anatthiko hutvā paṇṇaṃ pesessāmī’’ti rahogato paṇṇaṃ likhi ‘‘bhaddā attano jātigottabhogānurūpaṃ patiṃ labhatu, ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārinī ahosī’’ti. Bhaddāpi ‘‘asukassa kira maṃ dātukāmā’’ti sutvā rahogatā paṇṇaṃ likhi – ‘‘ayyaputto attano jātigottabhogānurūpaṃ dārikaṃ labhatu, ahaṃ pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārī bhavāhī’’ti. Dvepi paṇṇāni antarāmagge samāgacchiṃsu. ‘‘Idaṃ kassa paṇṇa’’nti? ‘‘Pippalimāṇavena bhaddāya pahita’’nti. ‘‘Idaṃ kassā’’ti? ‘‘Bhaddāya pippalimāṇavassa pahita’’nti ca vutte te dvepi vācetvā ‘‘passatha dārakānaṃ kamma’’nti phāletvā araññe chaḍḍetvā aññaṃ taṃsamānaṃ paṇṇaṃ likhitvā ito etto ca pesesuṃ. Iti kumārassa kumārikāya ca sadisaṃ paṇṇaṃ lokassādarahitamevāti anicchamānānampi tesaṃ dvinnaṃ samāgamo ahosi.
ตํทิวสเมว ปิปฺปลิมาณโวปิ ภทฺทํ เอกํ ปุปฺผทามํ คณฺหาเปสิฯ ภทฺทาปิ ตานิ สยนมเชฺฌ ฐเปสิฯ อุโภปิ ภุตฺตสายมาสา สยนํ อารุหิตุํ อารภิํสุฯ เตสุ มาณโว ทกฺขิณปเสฺสน สยนํ อารุหิ, ภทฺทา วามปเสฺสน อภิรุหิตฺวา อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺส ปุปฺผานิ มิลายนฺติ, ตสฺส ราคจิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ วิชานิสฺสาม, อิมํ ปุปฺผทามํ น อลฺลียิตพฺพ’’นฺติฯ เต ปน อญฺญมญฺญํ สรีรสมฺผสฺสภเยน สกลรตฺติํ นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตาว วีตินาเมสุํฯ ทิวา ปน หสิตมตฺตมฺปิ นากํสุฯ เต โลกามิเสน อสํสฎฺฐา ยาว มาตาปิตโร ธรนฺติ, ตาว กุฎุมฺพํ อวิจาเรตฺวา เตสุ กาลงฺกเตสุ วิจารยิํสุฯ มหตี มาณวสฺส สมฺปตฺติฯ เอกทิวสํ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ฉเฑฺฑตพฺพํ สุวณฺณจุณฺณํ เอว มคธนาฬิยา ทฺวาทสนาฬิมตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิ มหาตฬากานิ, กมฺมโนฺต ทฺวาทสโยชนิโก, อนุราธปุรปฺปมาณา จุทฺทสคามา, จุทฺทส หตฺถานีกานิ, จุทฺทส อสฺสานีกานิ, จุทฺทส รถานีกานิฯ
Taṃdivasameva pippalimāṇavopi bhaddaṃ ekaṃ pupphadāmaṃ gaṇhāpesi. Bhaddāpi tāni sayanamajjhe ṭhapesi. Ubhopi bhuttasāyamāsā sayanaṃ āruhituṃ ārabhiṃsu. Tesu māṇavo dakkhiṇapassena sayanaṃ āruhi, bhaddā vāmapassena abhiruhitvā āha – ‘‘yassa passe pupphāni milāyanti, tassa rāgacittaṃ uppannanti vijānissāma, imaṃ pupphadāmaṃ na allīyitabba’’nti. Te pana aññamaññaṃ sarīrasamphassabhayena sakalarattiṃ niddaṃ anokkamantāva vītināmesuṃ. Divā pana hasitamattampi nākaṃsu. Te lokāmisena asaṃsaṭṭhā yāva mātāpitaro dharanti, tāva kuṭumbaṃ avicāretvā tesu kālaṅkatesu vicārayiṃsu. Mahatī māṇavassa sampatti. Ekadivasaṃ sarīraṃ ubbaṭṭetvā chaḍḍetabbaṃ suvaṇṇacuṇṇaṃ eva magadhanāḷiyā dvādasanāḷimattaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Yantabaddhāni saṭṭhi mahātaḷākāni, kammanto dvādasayojaniko, anurādhapurappamāṇā cuddasagāmā, cuddasa hatthānīkāni, cuddasa assānīkāni, cuddasa rathānīkāni.
โส เอกทิวสํ อลงฺกตอสฺสํ อารุยฺห มหาชนปริวุโต กมฺมนฺตฎฺฐานํ คนฺตฺวา เขตฺตโกฎิยํ ฐิโต นงฺคเลหิ ฉินฺนฎฺฐานโต กากาทโย สกุเณ คณฺฑุปฺปาทาทิเก ปาณเก อุทฺธริตฺวา ขาทเนฺต ทิสฺวา ‘‘ตาตา, อิเม กิํ ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘คณฺฑุปฺปาเท, อยฺยา’’ติฯ ‘‘เอเตหิ กตปาปํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, อยฺยา’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ เอเตหิ กตปาปํ มยฺหํ โหติ, กิํ เม กริสฺสติ สตฺตอสีติโกฎิธนํ, ทฺวาทสโยชนกมฺมโนฺต กิํ กริสฺสติ, กิํ ยนฺตพทฺธานิ ตฬากานิ, กิํ จุทฺทส คามานิ, สพฺพเมตํ ภทฺทาย กาปิลานิยา นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ
So ekadivasaṃ alaṅkataassaṃ āruyha mahājanaparivuto kammantaṭṭhānaṃ gantvā khettakoṭiyaṃ ṭhito naṅgalehi chinnaṭṭhānato kākādayo sakuṇe gaṇḍuppādādike pāṇake uddharitvā khādante disvā ‘‘tātā, ime kiṃ khādantī’’ti pucchi. ‘‘Gaṇḍuppāde, ayyā’’ti. ‘‘Etehi katapāpaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, ayyā’’ti. So cintesi – ‘‘sace etehi katapāpaṃ mayhaṃ hoti, kiṃ me karissati sattaasītikoṭidhanaṃ, dvādasayojanakammanto kiṃ karissati, kiṃ yantabaddhāni taḷākāni, kiṃ cuddasa gāmāni, sabbametaṃ bhaddāya kāpilāniyā niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.
ภทฺทา กาปิลานี ตสฺมิํ ขเณ อนฺตรวตฺถุสฺมิํ ตโย ติลกุเมฺภ ปตฺถริตฺวา ธาตีหิ ปริวุตา นิสินฺนา กาเก ติลปาณเก ขาทมาเน ทิสฺวา ‘‘อมฺมา, กิํ อิเม ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปาณเก, อเยฺย’’ติฯ ‘‘อกุสลํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, อเยฺย’’ติฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ จตุหตฺถํ วตฺถํ นาฬิโกทนมตฺตญฺจ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ยทิ ปเนตํ เอเตหิ กตํ อกุสลํ มยฺหํ โหติ, ภวสหเสฺสนปิ วฎฺฎโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สกฺกา, อยฺยปุเตฺต อาคตมเตฺตเยว สพฺพํ ตสฺส นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ
Bhaddā kāpilānī tasmiṃ khaṇe antaravatthusmiṃ tayo tilakumbhe pattharitvā dhātīhi parivutā nisinnā kāke tilapāṇake khādamāne disvā ‘‘ammā, kiṃ ime khādantī’’ti pucchi. ‘‘Pāṇake, ayye’’ti. ‘‘Akusalaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, ayye’’ti. Sā cintesi – ‘‘mayhaṃ catuhatthaṃ vatthaṃ nāḷikodanamattañca laddhuṃ vaṭṭati, yadi panetaṃ etehi kataṃ akusalaṃ mayhaṃ hoti, bhavasahassenapi vaṭṭato sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkā, ayyaputte āgatamatteyeva sabbaṃ tassa niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.
มาณโว อาคนฺตฺวา นฺหตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทิ, อถสฺส จกฺกวตฺติโน อนุจฺฉวิกโภชนํ อุปนยิํสุฯ เทฺวปิ ภุญฺชิตฺวา ปริชเน นิกฺขเนฺต รโหคตา ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิํสุฯ ตโต มาณโว ภทฺทํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อิมํ ฆรํ อาคจฺฉนฺตี กิตฺตกํ ธนมาหรสี’’ติ? ‘‘ปญฺจปณฺณาส สกฎสหสฺสานิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘สพฺพํ ตํ, ยา จ อิมสฺมิํ ฆเร สตฺตาสีติ โกฎิโย ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิ ตฬากานีติ เอวมาทิเภทา สมฺปตฺติ อตฺถิ, ตํ สพฺพํ ตุเยฺหว นิยฺยาเตมี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน กุหิํ คจฺฉถ, อยฺยา’’ติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อยฺย, อหมฺปิ ตุมฺหากํ อาคมนํ โอโลกยมานา นิสินฺนา, อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เตสํ อาทิตฺตปณฺณกุฎิ วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหนฺติฯ เต ‘‘ปพฺพชิสฺสามา’’ติ วตฺวา อนฺตราปณโต กาสายรสปีตานิ จีวรานิ มตฺติกาปเตฺต จ อาหราเปตฺวา อญฺญมญฺญํ เกเส โอหาเรตฺวา ‘‘เย โลเก อรหโนฺต อตฺถิ, เต อุทฺทิสฺส อมฺหากํ ปพฺพชฺชา’’ติ ปพฺพชิตฺวา ถวิกาสุ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อํเส ลเคฺคตฺวา ปาสาทโต โอตริํสุฯ เคเห ทาเสสุ จ กมฺมกาเรสุ จ น โกจิ สญฺชานิฯ
Māṇavo āgantvā nhatvā pāsādaṃ āruyha mahārahe pallaṅke nisīdi, athassa cakkavattino anucchavikabhojanaṃ upanayiṃsu. Dvepi bhuñjitvā parijane nikkhante rahogatā phāsukaṭṭhāne nisīdiṃsu. Tato māṇavo bhaddaṃ āha – ‘‘bhadde, imaṃ gharaṃ āgacchantī kittakaṃ dhanamāharasī’’ti? ‘‘Pañcapaṇṇāsa sakaṭasahassāni, ayyā’’ti. ‘‘Sabbaṃ taṃ, yā ca imasmiṃ ghare sattāsīti koṭiyo yantabaddhāni saṭṭhi taḷākānīti evamādibhedā sampatti atthi, taṃ sabbaṃ tuyheva niyyātemī’’ti. ‘‘Tumhe pana kuhiṃ gacchatha, ayyā’’ti? ‘‘Ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Ayya, ahampi tumhākaṃ āgamanaṃ olokayamānā nisinnā, ahampi pabbajissāmī’’ti. Tesaṃ ādittapaṇṇakuṭi viya tayo bhavā upaṭṭhahanti. Te ‘‘pabbajissāmā’’ti vatvā antarāpaṇato kāsāyarasapītāni cīvarāni mattikāpatte ca āharāpetvā aññamaññaṃ kese ohāretvā ‘‘ye loke arahanto atthi, te uddissa amhākaṃ pabbajjā’’ti pabbajitvā thavikāsu patte pakkhipitvā aṃse laggetvā pāsādato otariṃsu. Gehe dāsesu ca kammakāresu ca na koci sañjāni.
อถ เน พฺราหฺมณคามโต นิกฺขมิตฺวา ทาสคามทฺวาเรน คจฺฉเนฺต อากปฺปกุตวเสน ทาสคามวาสิโน สญฺชานิํสุฯ เต โรทนฺตา ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘กิํ อเมฺห อนาเถ กโรถ, อยฺยา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยํ, ภเณ, ‘ตโย ภวา อาทิตฺตปณฺณสาลา วิยา’ติ ปพฺพชิมฺห, สเจ ตุเมฺหสุ เอเกกํ ภุชิสฺสํ กโรม, วสฺสสตมฺปิ นปฺปโหติฯ ตุเมฺหว ตุมฺหากํ สีสํ โธวิตฺวา ภุชิสฺสา หุตฺวา ชีวถา’’ติ วตฺวา เตสํ โรทนฺตานํเยว ปกฺกมิํสุฯ
Atha ne brāhmaṇagāmato nikkhamitvā dāsagāmadvārena gacchante ākappakutavasena dāsagāmavāsino sañjāniṃsu. Te rodantā pādesu patitvā ‘‘kiṃ amhe anāthe karotha, ayyā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayaṃ, bhaṇe, ‘tayo bhavā ādittapaṇṇasālā viyā’ti pabbajimha, sace tumhesu ekekaṃ bhujissaṃ karoma, vassasatampi nappahoti. Tumheva tumhākaṃ sīsaṃ dhovitvā bhujissā hutvā jīvathā’’ti vatvā tesaṃ rodantānaṃyeva pakkamiṃsu.
เถโร ปุรโต คจฺฉโนฺต นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ภทฺทา กาปิลานี สกลชมฺพุทีปคฺฆนิกา อิตฺถี มยฺหํ ปจฺฉโต อาคจฺฉติ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โกจิเทว เอวํ จิเนฺตยฺย ‘อิเม ปพฺพชิตาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺตี’ติฯ เอวํ โกจิ ปาปเกน มนสา ปทูเสตฺวา อปายปูรโก ภเวยฺย, อิมํ ปหาย มยา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต เทฺวธาปถํ ทิสฺวา ตสฺส มตฺถเก อฎฺฐาสิฯ ภทฺทาปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ตาทิสิํ อิตฺถิํ มม ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘อิเม ปพฺพชิตาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺตี’ติ อเมฺหสุ ปทุฎฺฐจิโตฺต มหาชโน อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมสฺมิํ เทฺวธาปเถ ตฺวํ เอตํ คณฺห, อหํ เอเกน คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาม, อยฺย, มาตุคาโม ‘ปพฺพชิตานํ ปลิโพโธ, ปพฺพชิตาปิ วินา น ภวนฺตี’ติ อมฺหากํ โทสํ ทเสฺสยฺยุ’’นฺติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘สตสหสฺสกปฺปปมาเณ อทฺธาเน กโต มิตฺตสนฺถโว อชฺช ภิชฺชติ, ตุเมฺหว ทกฺขิณา นาม, ตุมฺหากํ ทกฺขิณมโคฺค วฎฺฎติ, มยํ มาตุคามา นาม วามชาติกา, อมฺหากํ วามมโคฺค วฎฺฎตี’’ติ วนฺทิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ เตสํ เทฺวธาภูตกาเล อยํ มหาปถวี ‘‘อหํ จกฺกวาฬสิเนรุปพฺพตาทโย ธาเรตุํ สโกฺกนฺตีปิ ตุมฺหากํ คุเณ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย วิรวมานา อกมฺปิตฺถฯ อากาเส อสนิสโทฺท วิย ปวตฺติ, จกฺกวาฬปพฺพโต อุนฺนาทิฯ
Thero purato gacchanto nivattitvā olokento cintesi – ‘‘ayaṃ bhaddā kāpilānī sakalajambudīpagghanikā itthī mayhaṃ pacchato āgacchati, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ kocideva evaṃ cinteyya ‘ime pabbajitāpi vinā bhavituṃ na sakkonti, ananucchavikaṃ karontī’ti. Evaṃ koci pāpakena manasā padūsetvā apāyapūrako bhaveyya, imaṃ pahāya mayā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppādetvā purato gacchanto dvedhāpathaṃ disvā tassa matthake aṭṭhāsi. Bhaddāpi āgantvā vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ āha – ‘‘bhadde, tādisiṃ itthiṃ mama pacchato āgacchantiṃ disvā ‘ime pabbajitāpi vinā bhavituṃ na sakkontī’ti amhesu paduṭṭhacitto mahājano apāyapūrako bhaveyya. Imasmiṃ dvedhāpathe tvaṃ etaṃ gaṇha, ahaṃ ekena gamissāmī’’ti. ‘‘Āma, ayya, mātugāmo ‘pabbajitānaṃ palibodho, pabbajitāpi vinā na bhavantī’ti amhākaṃ dosaṃ dasseyyu’’nti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha ‘‘satasahassakappapamāṇe addhāne kato mittasanthavo ajja bhijjati, tumheva dakkhiṇā nāma, tumhākaṃ dakkhiṇamaggo vaṭṭati, mayaṃ mātugāmā nāma vāmajātikā, amhākaṃ vāmamaggo vaṭṭatī’’ti vanditvā maggaṃ paṭipajji. Tesaṃ dvedhābhūtakāle ayaṃ mahāpathavī ‘‘ahaṃ cakkavāḷasinerupabbatādayo dhāretuṃ sakkontīpi tumhākaṃ guṇe dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya viravamānā akampittha. Ākāse asanisaddo viya pavatti, cakkavāḷapabbato unnādi.
สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ เวฬุวนมหาวิหาเร กุฎิยํ นิสิโนฺน ปถวีกมฺปนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิสฺส นุ โข ปถวี กมฺปตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ปิปฺปลิมาณโว จ ภทฺทา จ กาปิลานี มํ อุทฺทิสฺส อปฺปเมยฺยํ สมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตา, เตสํ วิโยคฎฺฐาเน อุภินฺนํ คุณพเลน อยํ ปถวีกโมฺป ชาโต, มยาปิ เอเตสํ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย อสีติมหาเถเรสุ กญฺจิ อนาปุจฺฉา ติคาวุตมคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ราชคหสฺส จ นาลนฺทาย จ อนฺตเร พหุปุตฺตนิโคฺรธมูเล ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ นิสิโนฺน ปน อญฺญตรปํสุกูลิโก วิย อนิสีทิตฺวา พุทฺธเวสํ คเหตฺวา อสีติหตฺถา พุทฺธรํสิโย วิสฺสเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อิติ ตสฺมิํ ขเณ ปณฺณจฺฉตฺตสกฎจกฺกกูฎาคาราทิปฺปมาณา พุทฺธรํสิโย อิโต จิโต จ วิปฺผรนฺติโย วิธาวนฺติโย จนฺทสหสฺสสูริยสหสฺสอุคฺคมนกาลํ วิย กุรุมานา ตํ วนนฺตรํ เอโกภาสํ อกํสุฯ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสิริยา สมุชฺชลตาราคเณน วิย คคนํ, สุปุปฺผิตกมลกุวลเยน วิย สลิลํ วนนฺตรํ วิโรจิตฺถฯ นิโคฺรธรุกฺขสฺส ขโนฺธ ปกติยา เสโต โหติ, ปตฺตานิ นีลานิ ปกฺกานิ รตฺตานิฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส สโพฺพ นิโคฺรโธ สุวณฺณวโณฺณว อโหสิฯ
Sammāsambuddhopi veḷuvanamahāvihāre kuṭiyaṃ nisinno pathavīkampanasaddaṃ sutvā ‘‘kissa nu kho pathavī kampatī’’ti āvajjento ‘‘pippalimāṇavo ca bhaddā ca kāpilānī maṃ uddissa appameyyaṃ sampattiṃ pahāya pabbajitā, tesaṃ viyogaṭṭhāne ubhinnaṃ guṇabalena ayaṃ pathavīkampo jāto, mayāpi etesaṃ saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti gandhakuṭito nikkhamma sayameva pattacīvaramādāya asītimahātheresu kañci anāpucchā tigāvutamaggaṃ paccuggamanaṃ katvā rājagahassa ca nālandāya ca antare bahuputtanigrodhamūle pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Nisinno pana aññatarapaṃsukūliko viya anisīditvā buddhavesaṃ gahetvā asītihatthā buddharaṃsiyo vissajjento nisīdi. Iti tasmiṃ khaṇe paṇṇacchattasakaṭacakkakūṭāgārādippamāṇā buddharaṃsiyo ito cito ca vippharantiyo vidhāvantiyo candasahassasūriyasahassauggamanakālaṃ viya kurumānā taṃ vanantaraṃ ekobhāsaṃ akaṃsu. Dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasiriyā samujjalatārāgaṇena viya gaganaṃ, supupphitakamalakuvalayena viya salilaṃ vanantaraṃ virocittha. Nigrodharukkhassa khandho pakatiyā seto hoti, pattāni nīlāni pakkāni rattāni. Tasmiṃ pana divase sabbo nigrodho suvaṇṇavaṇṇova ahosi.
มหากสฺสปเตฺถโร ตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อมฺหากํ สตฺถา ภวิสฺสติ, อิมํ อหํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอนโต คนฺตฺวา ตีสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมิ, สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อาหฯ อถ นํ ภควา อาห – ‘‘กสฺสป, สเจ ตฺวํ อิมํ นิปจฺจการํ มหาปถวิยา กเรยฺยาสิ, สาปิ ธาเรตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตถาคตสฺส ปน เอวํ คุณมหนฺตตํ ชานตา ตยา กโต นิปจฺจกาโร มยฺหํ โลมมฺปิ จาเลตุํ น สโกฺกติฯ นิสีท, กสฺสป, ทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติฯ อถสฺส ภควา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทํ อทาสิฯ ทตฺวา จ พหุปุตฺตนิโคฺรธมูลโต นิกฺขมิตฺวา เถรํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สตฺถุ สรีรํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตํ, มหากสฺสปสฺส สตฺตมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ, โส กญฺจนนาวาย ปจฺฉาพโทฺธ วิย สตฺถุ ปทานุปทิกํ อนุคญฺฉิฯ สตฺถา โถกํ มคฺคํ คนฺตฺวา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสชฺชาการํ ทเสฺสสิฯ เถโร ‘‘สตฺถา นิสีทิตุกาโม’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปฎปิโลติกํ สงฺฆาฎิํ จตุคฺคุณํ กตฺวา ปญฺญเปสิฯ
Mahākassapatthero taṃ disvā ‘‘ayaṃ amhākaṃ satthā bhavissati, imaṃ ahaṃ uddissa pabbajito’’ti diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya onato gantvā tīsu ṭhānesu vanditvā ‘‘satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmi, satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmī’’ti (saṃ. ni. 2.154) āha. Atha naṃ bhagavā āha – ‘‘kassapa, sace tvaṃ imaṃ nipaccakāraṃ mahāpathaviyā kareyyāsi, sāpi dhāretuṃ na sakkuṇeyya. Tathāgatassa pana evaṃ guṇamahantataṃ jānatā tayā kato nipaccakāro mayhaṃ lomampi cāletuṃ na sakkoti. Nisīda, kassapa, dāyajjaṃ te dassāmī’’ti. Athassa bhagavā tīhi ovādehi upasampadaṃ adāsi. Datvā ca bahuputtanigrodhamūlato nikkhamitvā theraṃ pacchāsamaṇaṃ katvā maggaṃ paṭipajji. Satthu sarīraṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇavicittaṃ, mahākassapassa sattamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ, so kañcananāvāya pacchābaddho viya satthu padānupadikaṃ anugañchi. Satthā thokaṃ maggaṃ gantvā maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle nisajjākāraṃ dassesi. Thero ‘‘satthā nisīditukāmo’’ti ñatvā attano paṭapilotikaṃ saṅghāṭiṃ catugguṇaṃ katvā paññapesi.
สตฺถา ตตฺถ นิสีทิตฺวา หเตฺถน จีวรํ ปริมชฺชโนฺต ‘‘มุทุกา โข ตฺยายํ, กสฺสป, ปฎปิโลติกา สงฺฆาฎี’’ติ อาห (สํ. นิ. ๒.๑๕๔)ฯ โส ‘‘สตฺถา เม สงฺฆาฎิยา มุทุภาวํ กเถสิ, ปารุปิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ปารุปตุ, ภเนฺต, ภควา สงฺฆาฎิ’’นฺติ อาหฯ ‘‘กิํ ตฺวํ ปารุปิสฺสสิ, กสฺสปา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ นิวาสนํ ลภโนฺต ปารุปิสฺสามิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, กสฺสป, อิมํ ปริโภคชิณฺณํ ปํสุกูลํ ธาเรตุํ สกฺขิสฺสสิ, มยา หิ อิมสฺส ปํสุกูลสฺส คหิตทิวเส อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาปถวี กมฺปิ, อิมํ พุทฺธปริโภคชิณฺณจีวรํ นาม น สกฺกา ปริตฺตคุเณน ธาเรตุํ, ปฎิพเลเนวิทํ ปฎิปตฺติปูรณสมเตฺถน ชาติปํสุกูลิเกน ธาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เถเรน สทฺธิํ จีวรํ ปริวเตฺตสิฯ
Satthā tattha nisīditvā hatthena cīvaraṃ parimajjanto ‘‘mudukā kho tyāyaṃ, kassapa, paṭapilotikā saṅghāṭī’’ti āha (saṃ. ni. 2.154). So ‘‘satthā me saṅghāṭiyā mudubhāvaṃ kathesi, pārupitukāmo bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘pārupatu, bhante, bhagavā saṅghāṭi’’nti āha. ‘‘Kiṃ tvaṃ pārupissasi, kassapā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ nivāsanaṃ labhanto pārupissāmi, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, kassapa, imaṃ paribhogajiṇṇaṃ paṃsukūlaṃ dhāretuṃ sakkhissasi, mayā hi imassa paṃsukūlassa gahitadivase udakapariyantaṃ katvā mahāpathavī kampi, imaṃ buddhaparibhogajiṇṇacīvaraṃ nāma na sakkā parittaguṇena dhāretuṃ, paṭibalenevidaṃ paṭipattipūraṇasamatthena jātipaṃsukūlikena dhāretuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā therena saddhiṃ cīvaraṃ parivattesi.
เอวํ จีวรํ ปริวเตฺตตฺวา เถรสฺส จีวรํ ภควา ปารุปิ, สตฺถุ จีวรํ เถโรฯ ตสฺมิํ ขเณ อเจตนาปิ อยํ มหาปถวี ‘‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, อกตฺถ, อตฺตโน ปารุตจีวรํ สาวเกน ปริวตฺติตปุพฺพํ นาม นาโหสิ, อหํ ตุมฺหากํ คุณํ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย อุทกปริยนฺตํ กตฺวา กมฺปิฯ เถโรปิ ‘‘ลทฺธํ เม พุทฺธานํ ปริโภคจีวรํ, กิํ เม อิทานิ อุตฺตริ กตฺตพฺพ’’นฺติ อุนฺนติํ อกตฺวา สตฺถุ สนฺติเกเยว เตรส ธุตคุเณ สมาทาย สตฺตทิวสมตฺตํ ปุถุชฺชโน อโหสิฯ อฎฺฐเม ทิวเส สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กสฺสโป, ภิกฺขเว, จนฺทูปโม กุลานิ อุปสงฺกมติ, อปกเสฺสว กายํ อปกสฺส จิตฺตํ นิจฺจนวโก กุเลสุ อปฺปคโพฺภ’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๖) เอวมาทินา ปสํสิตฺวา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๑) ธุตวาทานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ
Evaṃ cīvaraṃ parivattetvā therassa cīvaraṃ bhagavā pārupi, satthu cīvaraṃ thero. Tasmiṃ khaṇe acetanāpi ayaṃ mahāpathavī ‘‘dukkaraṃ, bhante, akattha, attano pārutacīvaraṃ sāvakena parivattitapubbaṃ nāma nāhosi, ahaṃ tumhākaṃ guṇaṃ dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya udakapariyantaṃ katvā kampi. Theropi ‘‘laddhaṃ me buddhānaṃ paribhogacīvaraṃ, kiṃ me idāni uttari kattabba’’nti unnatiṃ akatvā satthu santikeyeva terasa dhutaguṇe samādāya sattadivasamattaṃ puthujjano ahosi. Aṭṭhame divase saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Atha naṃ satthā ‘‘kassapo, bhikkhave, candūpamo kulāni upasaṅkamati, apakasseva kāyaṃ apakassa cittaṃ niccanavako kulesu appagabbho’’ti (saṃ. ni. 2.146) evamādinā pasaṃsitvā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ mahākassapo’’ti (a. ni. 1.188, 191) dhutavādānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi.
๓๙๘. เอวํ ภควตา เอตทคฺคฎฺฐาเน ฐปิโต อายสฺมา มหากสฺสโป มหาสาวกภาวํ ปโตฺต อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสวเสนํ ปุพฺพจริตาปทานํ ปกาเสโนฺต ปทุมุตฺตรสฺส ภควโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปทุมุตฺตรสฺสาติ ตสฺส กิร ภควโต มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนกาลโต ปฎฺฐาย ปาทานํ นิเกฺขปนสมเย อกฺกนฺตกฺกนฺตปาเท สตสหสฺสปตฺตา ปทุมา ปถวิํ ภินฺทิตฺวา อุฎฺฐหิํสุฯ ตสฺมาสฺส ตํ นามํ อโหสิฯ สกลสตฺตนิกาเยสุ เอเกเกน สตสตปุเญฺญ กเต ตสฺส ปุญฺญสฺส สตคุณปุญฺญานํ กตตฺตา ภควโตติ อโตฺถฯ โลกเชฎฺฐสฺส ตาทิโนติ สตฺตโลกสฺส ปธานภูตสฺส อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ อกมฺปิยภาวํ ปตฺตตฺตา ตาทิโนฯ นิพฺพุเต โลกนาถมฺหีติ สตฺตโลกสฺส ปฎิสรณภูเต ภควติ ขนฺธปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุเต, อทสฺสนํ คเตติ อโตฺถฯ ปูชํ กุพฺพนฺติ สนฺถุโนติ สเทวกสฺส โลกสฺส สาสนโต ‘‘สตฺถา’’ติ ลทฺธนามสฺส ภควโต สาธุกีฬํ กีฬนฺตา ปูชํ กโรนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
398. Evaṃ bhagavatā etadaggaṭṭhāne ṭhapito āyasmā mahākassapo mahāsāvakabhāvaṃ patto attano pubbakammaṃ saritvā somanassavasenaṃ pubbacaritāpadānaṃ pakāsento padumuttarassa bhagavatotiādimāha. Tattha padumuttarassāti tassa kira bhagavato mātukucchito nikkhamanakālato paṭṭhāya pādānaṃ nikkhepanasamaye akkantakkantapāde satasahassapattā padumā pathaviṃ bhinditvā uṭṭhahiṃsu. Tasmāssa taṃ nāmaṃ ahosi. Sakalasattanikāyesu ekekena satasatapuññe kate tassa puññassa sataguṇapuññānaṃ katattā bhagavatoti attho. Lokajeṭṭhassa tādinoti sattalokassa padhānabhūtassa iṭṭhāniṭṭhesu akampiyabhāvaṃ pattattā tādino. Nibbute lokanāthamhīti sattalokassa paṭisaraṇabhūte bhagavati khandhaparinibbānena parinibbute, adassanaṃ gateti attho. Pūjaṃ kubbanti santhunoti sadevakassa lokassa sāsanato ‘‘satthā’’ti laddhanāmassa bhagavato sādhukīḷaṃ kīḷantā pūjaṃ karontīti sambandho.
๓๙๙. อคฺคิํ จินนฺตี ชนตาติ ชนสมูหา อาฬาหนตฺถาย อคฺคิํ จินนฺตา ราสิํ กโรนฺตา อาสมนฺตโต โมทิตา สนฺตุฎฺฐา ปกาเรน โมทิตา สนฺตุฎฺฐา ปูชํ กโรนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ เตสุ สํเวคชาเตสูติ เตสุ ชนสมูเหสุ สํเวคปฺปเตฺตสุ อุตฺราสํ ลภเนฺตสุ เม มยฺหํ ปีติ หาโส อุทปชฺชถ ปาตุภวีติ อโตฺถฯ
399.Aggiṃcinantī janatāti janasamūhā āḷāhanatthāya aggiṃ cinantā rāsiṃ karontā āsamantato moditā santuṭṭhā pakārena moditā santuṭṭhā pūjaṃ karontīti sambandho. Tesusaṃvegajātesūti tesu janasamūhesu saṃvegappattesu utrāsaṃ labhantesu me mayhaṃ pīti hāso udapajjatha pātubhavīti attho.
๔๐๐. ญาติมิเตฺต สมาเนตฺวาติ มม พนฺธุสหาเย สมาเนตฺวา ราสิํ กตฺวาฯ มหาวีโร ภควา ปรินิพฺพุโต อทสฺสนํ อคมาสีติ อิทํ วจนํ อพฺรวิํ กเถสินฺติ สมฺพโนฺธฯ หนฺท ปูชํ กโรมเสติ หนฺทาติ โวสฺสคฺคเตฺถ นิปาโต, เตน การเณน มยํ สเพฺพ สมาคตา ปูชํ กโรมาติ อโตฺถฯ เสติ นิปาโตฯ
400.Ñātimitte samānetvāti mama bandhusahāye samānetvā rāsiṃ katvā. Mahāvīro bhagavā parinibbuto adassanaṃ agamāsīti idaṃ vacanaṃ abraviṃ kathesinti sambandho. Handa pūjaṃ karomaseti handāti vossaggatthe nipāto, tena kāraṇena mayaṃ sabbe samāgatā pūjaṃ karomāti attho. Seti nipāto.
๔๐๑. สาธูติ เต ปฎิสฺสุตฺวาติ เต มม ญาติมิตฺตา สาธุ อิติ สุนฺทรํ ภทฺทกํ อิติ ปฎิสุณิตฺวา มม วจนํ สมฺปฎิฉิตฺวา เม มยฺหํ ภิโยฺย อติเรกํ หาสํ ปีติํ ชนิํสุ อุปฺปาเทสุนฺติ อโตฺถฯ
401.Sādhūti te paṭissutvāti te mama ñātimittā sādhu iti sundaraṃ bhaddakaṃ iti paṭisuṇitvā mama vacanaṃ sampaṭichitvā me mayhaṃ bhiyyo atirekaṃ hāsaṃ pītiṃ janiṃsu uppādesunti attho.
๔๐๒. ตโต อตฺตโน กตปุญฺญสญฺจยํ ทเสฺสโนฺต พุทฺธสฺมิํ โลกนาถมฺหีติอาทิมาหฯ สตหตฺถํ อุคฺคตํ อุพฺพิทฺธํ ทิยฑฺฒหตฺถสตํ วิตฺถตํ, วิมานํ นภสิ อากาเส อุคฺคตํ อคฺฆิยํ, สุกตํ สุนฺทรากาเรน กตํ, กตฺวา กาเรตฺวา จ ปุญฺญสญฺจยํ ปุญฺญราสิํ กาหาสิํ อกาสินฺติ สมฺพโนฺธฯ
402. Tato attano katapuññasañcayaṃ dassento buddhasmiṃ lokanāthamhītiādimāha. Satahatthaṃ uggataṃ ubbiddhaṃ diyaḍḍhahatthasataṃ vitthataṃ, vimānaṃ nabhasi ākāse uggataṃ agghiyaṃ, sukataṃ sundarākārena kataṃ, katvā kāretvā ca puññasañcayaṃ puññarāsiṃ kāhāsiṃ akāsinti sambandho.
๔๐๓. กตฺวาน อคฺฆิยํ ตตฺถาติ ตสฺมิํ เจติยปูชนฎฺฐาเน ตาลปนฺตีหิ ตาลปาฬีหิ จิตฺติตํ โสภิตํ อคฺฆิยํ กตฺวาน กาเรตฺวา จ สกํ จิตฺตํ อตฺตโน จิตฺตํ ปสาเทตฺวา เจติยํ ปูชยุตฺตมนฺติ อุตฺตมํ พุทฺธธาตุนิธาปิตํ เจติยํ ปูชยินฺติ สมฺพโนฺธฯ
403.Katvāna agghiyaṃ tatthāti tasmiṃ cetiyapūjanaṭṭhāne tālapantīhi tālapāḷīhi cittitaṃ sobhitaṃ agghiyaṃ katvāna kāretvā ca sakaṃ cittaṃ attano cittaṃ pasādetvā cetiyaṃ pūjayuttamanti uttamaṃ buddhadhātunidhāpitaṃ cetiyaṃ pūjayinti sambandho.
๔๐๔. ตสฺส เจติยสฺส มหิมํ ทเสฺสโนฺต อคฺคิกฺขโนฺธวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อคฺคิกฺขโนฺธวาติ อากาเส ชลมาโน อคฺคิกฺขโนฺธว อคฺคิราสิ อิว ตํ เจติยํ สตฺตหิ รตเนหิ ชลติ ผุลฺลิโต วิกสิตปุโปฺผ สาลรุกฺขราชา อิว อากาเส อินฺทลฎฺฐีว อินฺทธนุ อิว จ จตุทฺทิสา จตูสุ ทิสาสุ โอภาสติ วิโชฺชตตีติ สมฺพโนฺธฯ
404. Tassa cetiyassa mahimaṃ dassento aggikkhandhovātiādimāha. Tattha aggikkhandhovāti ākāse jalamāno aggikkhandhova aggirāsi iva taṃ cetiyaṃ sattahi ratanehi jalati phullito vikasitapuppho sālarukkharājā iva ākāse indalaṭṭhīva indadhanu iva ca catuddisā catūsu disāsu obhāsati vijjotatīti sambandho.
๔๐๕. ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวาติ ตสฺมิํ โชตมานธาตุคพฺภมฺหิ จิตฺตํ มนํ ปสาเทตฺวา โสมนสฺสํ กตฺวา เตน จิตฺตปฺปสาเทน พหุํ อเนกปฺปการํ กุสลํ ปุญฺญํ กตฺวาน ‘‘ธาตุคเพฺภ จ สาสเน จ เอตฺตกานิ ปุญฺญานิ มยา กตานี’’ติ เอวํ ปุญฺญกมฺมํ สริตฺวาน กาลํกตฺวา ติทสํ ตาวติํสภวนํ สุตฺตปฺปพุโทฺธ วิย อหํ อุปปชฺชิํ ชาโตติ สมฺพโนฺธฯ
405.Tatthacittaṃ pasādetvāti tasmiṃ jotamānadhātugabbhamhi cittaṃ manaṃ pasādetvā somanassaṃ katvā tena cittappasādena bahuṃ anekappakāraṃ kusalaṃ puññaṃ katvāna ‘‘dhātugabbhe ca sāsane ca ettakāni puññāni mayā katānī’’ti evaṃ puññakammaṃ saritvāna kālaṃkatvā tidasaṃ tāvatiṃsabhavanaṃ suttappabuddho viya ahaṃ upapajjiṃ jātoti sambandho.
๔๐๖. อตฺตโน อุปฺปนฺนเทวโลเก ลทฺธสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต สหสฺสยุตฺตนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ หยวาหิํ สินฺธวสหสฺสโยชิตํ ทิพฺพรถํ อธิฎฺฐิโตฯ สตฺตหิ ภูมีหิ สํ สุฎฺฐุ อุคฺคตํ อุพฺพิทฺธํ อุจฺจํ มยฺหํ ภวนํ วิมานํ อโหสีติ อโตฺถฯ
406. Attano uppannadevaloke laddhasampattiṃ dassento sahassayuttantiādimāha. Tattha hayavāhiṃ sindhavasahassayojitaṃ dibbarathaṃ adhiṭṭhito. Sattahi bhūmīhi saṃ suṭṭhu uggataṃ ubbiddhaṃ uccaṃ mayhaṃ bhavanaṃ vimānaṃ ahosīti attho.
๔๐๗. ตสฺมิํ วิมาเน สพฺพโสวณฺณมยา สกลโสวณฺณมยานิ กูฎาคารสหสฺสานิ อหุํ อเหสุนฺติ อโตฺถฯ สกเตเชน อตฺตโน อานุภาเวน สพฺพา ทส ทิสา ปภาสยํ โอภาเสนฺตานิ ชลนฺติ วิโชฺชตนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
407. Tasmiṃ vimāne sabbasovaṇṇamayā sakalasovaṇṇamayāni kūṭāgārasahassāni ahuṃ ahesunti attho. Sakatejena attano ānubhāvena sabbā dasa disā pabhāsayaṃ obhāsentāni jalanti vijjotantīti sambandho.
๔๐๘. ตสฺมิํ มยฺหํ ปาตุภูตวิมาเน อเญฺญปิ นิยฺยูหา ปมุขสาลาโย สนฺติ วิชฺชนฺติฯ กิํ ภูตา? โลหิตงฺคมยา รตฺตมณิมยา ตทา เตปิ นิยฺยูหา จตโสฺส ทิสา อาภาย ปภาย โชตนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ
408. Tasmiṃ mayhaṃ pātubhūtavimāne aññepi niyyūhā pamukhasālāyo santi vijjanti. Kiṃ bhūtā? Lohitaṅgamayā rattamaṇimayā tadā tepi niyyūhā catasso disā ābhāya pabhāya jotantīti sambandho.
๔๑๐. สเพฺพ เทเว สกลฉเทวโลเก เทเว อภิโภมิ อภิภวามิฯ กสฺส ผลนฺติ เจ? มยา กตสฺส ปุญฺญกมฺมสฺส อิทํ ผลนฺติ อโตฺถฯ
410.Sabbedeve sakalachadevaloke deve abhibhomi abhibhavāmi. Kassa phalanti ce? Mayā katassa puññakammassa idaṃ phalanti attho.
๔๑๑. ตโต มนุสฺสสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต สฎฺฐิกปฺปสหสฺสมฺหีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิโต กปฺปโต เหฎฺฐา สฎฺฐิสหสฺสกปฺปมตฺถเก จาตุรโนฺต จตุมหาทีปวโนฺต วิชิตาวี สพฺพํ ปจฺจตฺถิกํ วิชิตวโนฺต อหํ อุพฺพิโทฺธ นาม จกฺกวตฺตี ราชา หุตฺวา ปถวิํ อาวสิํ รชฺชํ กาเรสินฺติ สมฺพโนฺธฯ
411. Tato manussasampattiṃ dassento saṭṭhikappasahassamhītiādimāha. Tattha ito kappato heṭṭhā saṭṭhisahassakappamatthake cāturanto catumahādīpavanto vijitāvī sabbaṃ paccatthikaṃ vijitavanto ahaṃ ubbiddho nāma cakkavattī rājā hutvā pathaviṃ āvasiṃ rajjaṃ kāresinti sambandho.
๔๑๒-๔. ตเถว ภทฺทเก กเปฺปติ ปญฺจพุทฺธปฎิมณฺฑิตตฺตา ภทฺทเก นาม กเปฺปฯ ติํสกฺขตฺตุํ ติํสชาติยา จตุทีปมฺหิ อิสฺสโร ปธาโน จกฺกรตนาทีหิ สตฺตหิ รตเนหิ สมฺปโนฺน สมงฺคีภูโต สกกมฺมาภิรโทฺธ อตฺตโน กเมฺม ทส ราชธเมฺม อภิรโทฺธ อลฺลีโน จกฺกวตฺตี ราชา อมฺหี อโหสินฺติ สมฺพโนฺธฯ อตฺตโน จกฺกวตฺติกาเล อนุภูตสมฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถาปิ ภวนํ มยฺห’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตสฺมิํ จกฺกวตฺติรชฺชมฺหิ มยฺหํ ภวนํ มม ปาสาทํ อินฺทลฎฺฐีว อุคฺคตํ อากาเส ฐิตวิโชฺชตมานา วิชฺชุลฺลตา อิว อุคฺคตํ สตฺตภูมิกาทิเภเทหิ อุจฺจํ อายามโต ทีฆโต จ อุจฺจโต จ จตุวีสติโยชนํ วิตฺถารโต ทฺวาทสโยชนํ อโหสีติ สมฺพโนฺธฯ สเพฺพสํ ชนานํ มนํ อลฺลีนภาเวน รมฺมณํ นาม นครํ อโหสีติ อโตฺถฯ ทเฬฺหหิ ทฺวาทสหเตฺถหิ วา ติํสหเตฺถหิ วา อุเจฺจหิ ปาการโตรเณหิ สมฺปนฺนนฺติ ทเสฺสติฯ
412-4.Tatheva bhaddake kappeti pañcabuddhapaṭimaṇḍitattā bhaddake nāma kappe. Tiṃsakkhattuṃ tiṃsajātiyā catudīpamhi issaro padhāno cakkaratanādīhi sattahi ratanehi sampanno samaṅgībhūto sakakammābhiraddho attano kamme dasa rājadhamme abhiraddho allīno cakkavattī rājā amhī ahosinti sambandho. Attano cakkavattikāle anubhūtasampattiṃ dassento ‘‘tatthāpi bhavanaṃ mayha’’ntiādimāha. Tattha tasmiṃ cakkavattirajjamhi mayhaṃ bhavanaṃ mama pāsādaṃ indalaṭṭhīva uggataṃ ākāse ṭhitavijjotamānā vijjullatā iva uggataṃ sattabhūmikādibhedehi uccaṃ āyāmato dīghato ca uccato ca catuvīsatiyojanaṃ vitthārato dvādasayojanaṃ ahosīti sambandho. Sabbesaṃ janānaṃ manaṃ allīnabhāvena rammaṇaṃ nāma nagaraṃ ahosīti attho. Daḷhehi dvādasahatthehi vā tiṃsahatthehi vā uccehi pākāratoraṇehi sampannanti dasseti.
๔๑๕-๒๐. ตทฑฺฒกํ ตโต อฑฺฒกํ อฑฺฒติยสตโยชนนฺติ อโตฺถฯ ปกฺขิตฺตา ปณฺณวีสตีติ วีสติอาปณปกฺขิตฺตํ นิรนฺตรํ วีถิปริเจฺฉทนฺติ อโตฺถฯ พฺราหฺมญฺญกุลสมฺภูโตติ พฺราหฺมณกุเล สุชาโตฯ เสสํ วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวาติฯ
415-20.Tadaḍḍhakaṃ tato aḍḍhakaṃ aḍḍhatiyasatayojananti attho. Pakkhittā paṇṇavīsatīti vīsatiāpaṇapakkhittaṃ nirantaraṃ vīthiparicchedanti attho. Brāhmaññakulasambhūtoti brāhmaṇakule sujāto. Sesaṃ vuttanayattā suviññeyyamevāti.
มหากสฺสปเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ
Mahākassapattheraapadānavaṇṇanā samattā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๓-๓. มหากสฺสปเตฺถรอปทานํ • 3-3. Mahākassapattheraapadānaṃ