Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā

    ๑๘. จตฺตาลีสนิปาโต

    18. Cattālīsanipāto

    ๑. มหากสฺสปเตฺถรคาถาวณฺณนา

    1. Mahākassapattheragāthāvaṇṇanā

    จตฺตาลีสนิปาเต น คเณน ปุรกฺขโตติอาทิกา อายสฺมโต มหากสฺสปเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยํ กิร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร เวเทโห นาม อสีติโกฎิวิภโว กุฎุมฺพิโก อโหสิฯ โส พุทฺธมามโก, ธมฺมมามโก, สงฺฆมามโก อุปาสโก หุตฺวา วิหรโนฺต เอกสฺมิํ อุโปสถทิวเส ปาโตว สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย คนฺธปุปฺผาทีนิ คเหตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา สตฺถารํ ปูเชตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Cattālīsanipāte na gaṇena purakkhatotiādikā āyasmato mahākassapattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayaṃ kira padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare vedeho nāma asītikoṭivibhavo kuṭumbiko ahosi. So buddhamāmako, dhammamāmako, saṅghamāmako upāsako hutvā viharanto ekasmiṃ uposathadivase pātova subhojanaṃ bhuñjitvā uposathaṅgāni adhiṭṭhāya gandhapupphādīni gahetvā vihāraṃ gantvā satthāraṃ pūjetvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi.

    ตสฺมิญฺจ ขเณ สตฺถา มหานิสภเตฺถรํ นาม ตติยสาวกํ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ, ยทิทํ นิสโภ’’ติ เอตทเคฺค ฐเปสิฯ อุปาสโก ตํ สุตฺวา ปสโนฺน ธมฺมกถาวสาเน มหาชเน อุฎฺฐาย คเต สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ ‘‘มหา โข, อุปาสก , ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติฯ ‘‘กิตฺตโก, ภเนฺต’’ติ? ‘‘อฎฺฐสฎฺฐิภิกฺขุสตสหสฺส’’นฺติฯ ‘‘ภเนฺต, เอกํ สามเณรมฺปิ วิหาเร อเสเสตฺวา มยฺหํ ภิกฺขํ อธิวาเสถา’’ติฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ อุปาสโก สตฺถุ อธิวาสนํ วิทิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา มหาทานํ สเชฺชตฺวา ปุนทิวเส สตฺถุ กาลํ อาโรจาเปสิฯ สตฺถา ปตฺตจีวรมาทาย ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปาสกสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสิโนฺน ทกฺขิโณทกาวสาเน ยาคุอาทีนิ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ภตฺตวิสฺสคฺคํ อกาสิฯ อุปาสโกปิ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ

    Tasmiñca khaṇe satthā mahānisabhattheraṃ nāma tatiyasāvakaṃ ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ, yadidaṃ nisabho’’ti etadagge ṭhapesi. Upāsako taṃ sutvā pasanno dhammakathāvasāne mahājane uṭṭhāya gate satthāraṃ vanditvā ‘‘sve mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethā’’ti nimantesi. ‘‘Mahā kho, upāsaka , bhikkhusaṅgho’’ti. ‘‘Kittako, bhante’’ti? ‘‘Aṭṭhasaṭṭhibhikkhusatasahassa’’nti. ‘‘Bhante, ekaṃ sāmaṇerampi vihāre asesetvā mayhaṃ bhikkhaṃ adhivāsethā’’ti. Satthā adhivāsesi. Upāsako satthu adhivāsanaṃ viditvā gehaṃ gantvā mahādānaṃ sajjetvā punadivase satthu kālaṃ ārocāpesi. Satthā pattacīvaramādāya bhikkhusaṅghaparivuto upāsakassa gharaṃ gantvā paññattāsane nisinno dakkhiṇodakāvasāne yāguādīni sampaṭicchanto bhattavissaggaṃ akāsi. Upāsakopi satthu santike nisīdi.

    ตสฺมิํ อนฺตเร มหานิสภเตฺถโร ปิณฺฑาย จรโนฺต ตเมว วีถิํ ปฎิปชฺชิฯ อุปาสโก ทิสฺวา อุฎฺฐาย คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถา’’ติ อาหฯ เถโร ปตฺตํ อทาสิฯ ‘‘ภเนฺต, อิเธว ปวิสถ, สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺน’’ติฯ ‘‘น วฎฺฎิสฺสติ, อุปาสกา’’ติฯ โส เถรสฺส ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ ตโต เถรํ อนุคนฺตฺวา นิวโตฺต สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘มหานิสภเตฺถโร, ภเนฺต, ‘สตฺถาปิ เคเห นิสิโนฺน’ติ วุเตฺตปิ ปวิสิตุํ น อิจฺฉิ, อตฺถิ นุ โข เอตสฺส ตุมฺหากํ คุเณหิ อติเรกคุโณ’’ติฯ พุทฺธานญฺจ วณฺณมเจฺฉรํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา สตฺถา เอวมาห – ‘‘อุปาสก, มยํ ภิกฺขํ อาคมยมานา เคเห นิสีทาม, โส ปน ภิกฺขุ น เอวํ นิสีทิตฺวา ภิกฺขํ อุทิกฺขติ, มยํ คามนฺตเสนาสเน วสาม, โส อรญฺญสฺมิํเยว วสติ, มยํ ฉเนฺน วสาม, โส อโพฺภกาเสเยว วสตี’’ติ ภควา ‘‘อยญฺจ อยเญฺจตสฺส คุโณ’’ติ มหาสมุทฺทํ ปูรยมาโน วิย ตสฺส คุณํ กเถสิฯ

    Tasmiṃ antare mahānisabhatthero piṇḍāya caranto tameva vīthiṃ paṭipajji. Upāsako disvā uṭṭhāya gantvā theraṃ vanditvā ‘‘pattaṃ, bhante, dethā’’ti āha. Thero pattaṃ adāsi. ‘‘Bhante, idheva pavisatha, satthāpi gehe nisinno’’ti. ‘‘Na vaṭṭissati, upāsakā’’ti. So therassa pattaṃ gahetvā piṇḍapātassa pūretvā adāsi. Tato theraṃ anugantvā nivatto satthu santike nisīditvā evamāha – ‘‘mahānisabhatthero, bhante, ‘satthāpi gehe nisinno’ti vuttepi pavisituṃ na icchi, atthi nu kho etassa tumhākaṃ guṇehi atirekaguṇo’’ti. Buddhānañca vaṇṇamaccheraṃ nāma natthi, tasmā satthā evamāha – ‘‘upāsaka, mayaṃ bhikkhaṃ āgamayamānā gehe nisīdāma, so pana bhikkhu na evaṃ nisīditvā bhikkhaṃ udikkhati, mayaṃ gāmantasenāsane vasāma, so araññasmiṃyeva vasati, mayaṃ channe vasāma, so abbhokāseyeva vasatī’’ti bhagavā ‘‘ayañca ayañcetassa guṇo’’ti mahāsamuddaṃ pūrayamāno viya tassa guṇaṃ kathesi.

    อุปาสโก ปกติยาปิ ชลมานปทีโป เตเลน อาสิโตฺต วิย สุฎฺฐุตรํ ปสโนฺน หุตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘กิํ มยฺหํ อญฺญาย สมฺปตฺติยา, อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก ธุตวาทานํ อคฺคภาวตฺถาย ปตฺถนํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ปุนปิ สตฺถารํ นิมเนฺตตฺวา เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวเส มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส พุทฺธปฺปมุขสฺส มหาภิกฺขุสงฺฆสฺส ติจีวรานิ ทตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา เอวมาห – ‘‘ยํ เม, ภเนฺต, สตฺต ทิวเส ทานํ เทนฺตสฺส เมตฺตํ กายกมฺมํ, เมตฺตํ วจีกมฺมํ, เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฎฺฐิตํ, อิมินาหํ น อญฺญํ เทวสมฺปตฺติํ วา สกฺกมารพฺรหฺมสมฺปตฺติํ วา ปเตฺถมิ, อิทํ ปน เม กมฺมํ อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สนฺติเก มหานิสภเตฺถเรน ปตฺตฎฺฐานนฺตรํ ปาปุณนตฺถาย เตรสธุตงฺคธรานํ อคฺคภาวสฺส อธิกาโร โหตู’’ติฯ สตฺถา ‘‘มหนฺตํ ฐานํ อิมินา ปตฺถิตํ, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข, โน’’ติ โอโลเกโนฺต สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา อาห – ‘‘มนาปํ เต ฐานํ ปตฺถิตํ, อนาคเต สตสหสฺสกปฺปาวสาเน โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ , ตสฺส ตฺวํ ตติยสาวโก มหากสฺสปเตฺถโร นาม ภวิสฺสสี’’ติ พฺยากาสิฯ ตํ สุตฺวา อุปาสโก ‘‘พุทฺธานํ เทฺว กถา นาม นตฺถี’’ติ ปุนทิวเส ปตฺตพฺพํ วิย ตํ สมฺปตฺติํ อมญฺญิตฺถฯ โส ยาวตายุกํ ทานํ ทตฺวา, สีลํ สมาทาย รกฺขิตฺวา, นานปฺปการํ กลฺยาณกมฺมํ กตฺวา, กาลํ กตฺวา, สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    Upāsako pakatiyāpi jalamānapadīpo telena āsitto viya suṭṭhutaraṃ pasanno hutvā cintesi – ‘‘kiṃ mayhaṃ aññāya sampattiyā, anāgate ekassa buddhassa santike dhutavādānaṃ aggabhāvatthāya patthanaṃ karissāmī’’ti. So punapi satthāraṃ nimantetvā teneva niyāmena satta divase mahādānaṃ datvā sattame divase buddhappamukhassa mahābhikkhusaṅghassa ticīvarāni datvā satthu pādamūle nipajjitvā evamāha – ‘‘yaṃ me, bhante, satta divase dānaṃ dentassa mettaṃ kāyakammaṃ, mettaṃ vacīkammaṃ, mettaṃ manokammaṃ paccupaṭṭhitaṃ, imināhaṃ na aññaṃ devasampattiṃ vā sakkamārabrahmasampattiṃ vā patthemi, idaṃ pana me kammaṃ anāgate ekassa buddhassa santike mahānisabhattherena pattaṭṭhānantaraṃ pāpuṇanatthāya terasadhutaṅgadharānaṃ aggabhāvassa adhikāro hotū’’ti. Satthā ‘‘mahantaṃ ṭhānaṃ iminā patthitaṃ, samijjhissati nu kho, no’’ti olokento samijjhanabhāvaṃ disvā āha – ‘‘manāpaṃ te ṭhānaṃ patthitaṃ, anāgate satasahassakappāvasāne gotamo nāma buddho uppajjissati , tassa tvaṃ tatiyasāvako mahākassapatthero nāma bhavissasī’’ti byākāsi. Taṃ sutvā upāsako ‘‘buddhānaṃ dve kathā nāma natthī’’ti punadivase pattabbaṃ viya taṃ sampattiṃ amaññittha. So yāvatāyukaṃ dānaṃ datvā, sīlaṃ samādāya rakkhitvā, nānappakāraṃ kalyāṇakammaṃ katvā, kālaṃ katvā, sagge nibbatti.

    ตโต ปฎฺฐาย เทวมนุเสฺสสุ สมฺปตฺติํ อนุภวโนฺต อิโต เอกนวุเต กเปฺป วิปสฺสิสมฺมาสมฺพุเทฺธ พนฺธุมตีนครํ อุปนิสฺสาย เขเม มิคทาเย วิหรเนฺต เทวโลกา จวิตฺวา อญฺญตรสฺมิํ ปริชิณฺณพฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺมิญฺจ กาเล วิปสฺสี ภควา สตฺตเม สตฺตเม สํวจฺฉเร ธมฺมํ กเถสิ, มหนฺตํ โกลาหลํ โหติฯ สกลชมฺพุทีเป เทวตา ‘‘สตฺถา ธมฺมํ กเถสฺสตี’’ติ อาโรเจสุํฯ พฺราหฺมโณ ตํ สาสนํ อโสฺสสิ ฯ ตสฺส จ นิวาสนสาฎโก เอโกเยว โหติ, ตถา พฺราหฺมณิยาฯ ปารุปนํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ เอกเมวฯ โส สกลนคเร ‘‘เอกสาฎกพฺราหฺมโณ’’ติ ปญฺญายิฯ โส พฺราหฺมณานํ เกนจิเทว กิเจฺจน สนฺนิปาเต สติ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา สยํ ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติฯ พฺราหฺมณีนํ สนฺนิปาเต สติ สยํ เคเห อจฺฉติ, พฺราหฺมณี ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา คจฺฉติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ อาห – ‘‘โภติ, กิํ รตฺติํ ธมฺมํ สุณิสฺสสิ, ทิวา’’ติ? ‘‘มยํ มาตุคามชาติกา นาม รตฺติํ โสตุํ น สโกฺกม, ทิวา โสสฺสามา’’ติ พฺราหฺมณํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา อุปาสิกาหิ สทฺธิํ ทิวา คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมเนฺต นิสินฺนา ธมฺมํ สุตฺวา อุปาสิกาหิเยว สทฺธิํ อาคมาสิฯ อถ พฺราหฺมโณ พฺราหฺมณิํ เคเห ฐเปตฺวา ตํ วตฺถํ ปารุปิตฺวา วิหารํ คโตฯ

    Tato paṭṭhāya devamanussesu sampattiṃ anubhavanto ito ekanavute kappe vipassisammāsambuddhe bandhumatīnagaraṃ upanissāya kheme migadāye viharante devalokā cavitvā aññatarasmiṃ parijiṇṇabrāhmaṇakule nibbatti. Tasmiñca kāle vipassī bhagavā sattame sattame saṃvacchare dhammaṃ kathesi, mahantaṃ kolāhalaṃ hoti. Sakalajambudīpe devatā ‘‘satthā dhammaṃ kathessatī’’ti ārocesuṃ. Brāhmaṇo taṃ sāsanaṃ assosi . Tassa ca nivāsanasāṭako ekoyeva hoti, tathā brāhmaṇiyā. Pārupanaṃ pana dvinnampi ekameva. So sakalanagare ‘‘ekasāṭakabrāhmaṇo’’ti paññāyi. So brāhmaṇānaṃ kenacideva kiccena sannipāte sati brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā sayaṃ taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati. Brāhmaṇīnaṃ sannipāte sati sayaṃ gehe acchati, brāhmaṇī taṃ vatthaṃ pārupitvā gacchati. Tasmiṃ pana divase brāhmaṇo brāhmaṇiṃ āha – ‘‘bhoti, kiṃ rattiṃ dhammaṃ suṇissasi, divā’’ti? ‘‘Mayaṃ mātugāmajātikā nāma rattiṃ sotuṃ na sakkoma, divā sossāmā’’ti brāhmaṇaṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā upāsikāhi saddhiṃ divā gantvā satthāraṃ vanditvā ekamante nisinnā dhammaṃ sutvā upāsikāhiyeva saddhiṃ āgamāsi. Atha brāhmaṇo brāhmaṇiṃ gehe ṭhapetvā taṃ vatthaṃ pārupitvā vihāraṃ gato.

    ตสฺมิํ สมเย สตฺถา ปริสมเชฺฌ อลงฺกตธมฺมาสเน นิสิโนฺน จิตฺตพีชนิํ อาทาย อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย, สิเนรุํ มนฺถํ กตฺวา สาครํ นิมฺมเถโนฺต วิย, ธมฺมกถํ กเถสิฯ พฺราหฺมณสฺส ปริสปริยเนฺต นิสินฺนสฺส ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ปฐมยามสฺมิํเยว สกลสรีรํ ปูรยมานา ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปารุตวตฺถํ สงฺฆริตฺวา ‘‘ทสพลสฺส ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ อถสฺส อาทีนวสหสฺสํ ทสฺสยมานํ มเจฺฉรํ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘พฺราหฺมณิยา มยฺหญฺจ เอกเมว วตฺถํ, อญฺญํ กิญฺจิ ปารุปนํ นตฺถิ, อปารุปิตฺวา จ นาม พหิ วิจริตุํ น สกฺกา’’ติ สพฺพถาปิ อทาตุกาโม อโหสิ, อถสฺส นิกฺขเนฺต ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ ตเถว จิเนฺตตฺวา ตเถว อทาตุกาโม อโหสิฯ อถสฺส มชฺฌิมยาเม นิกฺขเนฺต ปจฺฉิมยาเมปิ ตเถว ปีติ อุปฺปชฺชิฯ ตทา โส ‘‘ยํ วา โหตุ ตํ วา ปจฺฉาปิ ชานิสฺสามี’’ติ วตฺถํ สงฺฆริตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล ฐเปสิฯ ตโต วามหตฺถํ อาภุชิตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน ติกฺขตฺตุํ อโปฺผเฎตฺวา ‘‘ชิตํ เม, ชิตํ เม’’ติ ตโย วาเร นทิฯ

    Tasmiṃ samaye satthā parisamajjhe alaṅkatadhammāsane nisinno cittabījaniṃ ādāya ākāsagaṅgaṃ otārento viya, sineruṃ manthaṃ katvā sāgaraṃ nimmathento viya, dhammakathaṃ kathesi. Brāhmaṇassa parisapariyante nisinnassa dhammaṃ suṇantassa paṭhamayāmasmiṃyeva sakalasarīraṃ pūrayamānā pañcavaṇṇā pīti uppajji. So pārutavatthaṃ saṅgharitvā ‘‘dasabalassa dassāmī’’ti cintesi. Athassa ādīnavasahassaṃ dassayamānaṃ maccheraṃ uppajji. So ‘‘brāhmaṇiyā mayhañca ekameva vatthaṃ, aññaṃ kiñci pārupanaṃ natthi, apārupitvā ca nāma bahi vicarituṃ na sakkā’’ti sabbathāpi adātukāmo ahosi, athassa nikkhante paṭhamayāme majjhimayāmepi tatheva pīti uppajji. Tatheva cintetvā tatheva adātukāmo ahosi. Athassa majjhimayāme nikkhante pacchimayāmepi tatheva pīti uppajji. Tadā so ‘‘yaṃ vā hotu taṃ vā pacchāpi jānissāmī’’ti vatthaṃ saṅgharitvā satthu pādamūle ṭhapesi. Tato vāmahatthaṃ ābhujitvā dakkhiṇena hatthena tikkhattuṃ apphoṭetvā ‘‘jitaṃ me, jitaṃ me’’ti tayo vāre nadi.

    ตสฺมิญฺจ สมเย พนฺธุมราชา ธมฺมาสนสฺส ปจฺฉโต อโนฺตสาณิยํ นิสิโนฺน ธมฺมํ สุณาติฯ รโญฺญ จ นาม ‘‘ชิตํ เม’’ติ สโทฺท อมนาโป โหติ ฯ โส ปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, เอตํ ปุจฺฉ กิํ วทสี’’ติฯ โส เตน คนฺตฺวา ปุจฺฉิโต ‘‘อวเสสา หตฺถิยานาทีนิ อารุยฺห อสิจมฺมาทีนิ คเหตฺวา ปรเสนํ ชินนฺติ, น ตํ อจฺฉริยํฯ อหํ ปน ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺตสฺส กูฎโคณสฺส มุคฺคเรน สีสํ ภินฺทิตฺวา ตํ ปลาเปโนฺต วิย มเจฺฉรจิตฺตํ มทฺทิตฺวา ปารุตวตฺถํ ทสพลสฺส อทาสิํ, ตํ เม มจฺฉริยํ ชิต’’นฺติ อาหฯ โส ปุริโส อาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา อาห – ‘‘อเมฺห, ภเณ, ทสพลสฺส อนุรูปํ น ชานิมฺห, พฺราหฺมโณ ชานี’’ติ วตฺถยุคํ เปเสสิฯ ตํ ทิสฺวา พฺราหฺมโณ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ มยฺหํ ตุณฺหีนิสินฺนสฺส ปฐมํ กิญฺจิ อทตฺวา สตฺถุ คุเณ กเถนฺตสฺส อทาสิฯ สตฺถุ คุเณ ปฎิจฺจ อุปฺปเนฺนน ปน มยฺหํ โก อโตฺถ’’ติ ตมฺปิ วตฺถยุคํ ทสพลเสฺสว อทาสิฯ ราชาปิ ‘‘กิํ พฺราหฺมเณน กต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตมฺปิ เตน วตฺถยุคํ ตถาคตเสฺสว ทินฺน’’นฺติ สุตฺวา อญฺญานิปิ เทฺว วตฺถยุคานิ เปเสสิ, โส ตานิปิ อทาสิฯ ราชา อญฺญานิปิ จตฺตารีติ เอวํ ยาว ทฺวตฺติํสวตฺถยุคานิ เปเสสิฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘อิทํ วเฑฺฒตฺวา วเฑฺฒตฺวา คหณํ วิย โหตี’’ติ อตฺตโน อตฺถาย เอกํ, พฺราหฺมณิยา เอกนฺติ เทฺว วตฺถยุคานิ คเหตฺวา ติํสยุคานิ ตถาคตเสฺสว อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ โส สตฺถุ วิสฺสาสิโก ชาโตฯ

    Tasmiñca samaye bandhumarājā dhammāsanassa pacchato antosāṇiyaṃ nisinno dhammaṃ suṇāti. Rañño ca nāma ‘‘jitaṃ me’’ti saddo amanāpo hoti . So purisaṃ pesesi – ‘‘gaccha, etaṃ puccha kiṃ vadasī’’ti. So tena gantvā pucchito ‘‘avasesā hatthiyānādīni āruyha asicammādīni gahetvā parasenaṃ jinanti, na taṃ acchariyaṃ. Ahaṃ pana pacchato āgacchantassa kūṭagoṇassa muggarena sīsaṃ bhinditvā taṃ palāpento viya maccheracittaṃ madditvā pārutavatthaṃ dasabalassa adāsiṃ, taṃ me macchariyaṃ jita’’nti āha. So puriso āgantvā taṃ pavattiṃ rañño ārocesi. Rājā āha – ‘‘amhe, bhaṇe, dasabalassa anurūpaṃ na jānimha, brāhmaṇo jānī’’ti vatthayugaṃ pesesi. Taṃ disvā brāhmaṇo cintesi – ‘‘ayaṃ mayhaṃ tuṇhīnisinnassa paṭhamaṃ kiñci adatvā satthu guṇe kathentassa adāsi. Satthu guṇe paṭicca uppannena pana mayhaṃ ko attho’’ti tampi vatthayugaṃ dasabalasseva adāsi. Rājāpi ‘‘kiṃ brāhmaṇena kata’’nti pucchitvā ‘‘tampi tena vatthayugaṃ tathāgatasseva dinna’’nti sutvā aññānipi dve vatthayugāni pesesi, so tānipi adāsi. Rājā aññānipi cattārīti evaṃ yāva dvattiṃsavatthayugāni pesesi. Atha brāhmaṇo ‘‘idaṃ vaḍḍhetvā vaḍḍhetvā gahaṇaṃ viya hotī’’ti attano atthāya ekaṃ, brāhmaṇiyā ekanti dve vatthayugāni gahetvā tiṃsayugāni tathāgatasseva adāsi. Tato paṭṭhāya ca so satthu vissāsiko jāto.

    อถ นํ ราชา เอกทิวสํ สีตสมเย สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณนฺตํ ทิสฺวา สตสหสฺสคฺฆนกํ อตฺตนา ปารุตรตฺตกมฺพลํ ทตฺวา อาห – ‘‘อิโต ปฎฺฐาย อิมํ ปารุปิตฺวา ธมฺมํ สุณาหี’’ติฯ โส ‘‘กิํ เม อิมินา กมฺพเลน อิมสฺมิํ ปูติกาเย อุปนีเตนา’’ติ จิเนฺตตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ ตถาคตสฺส มญฺจสฺส อุปริ วิตานํ กตฺวา อคมาสิฯ อเถกทิวสํ ราชา ปาโตว วิหารํ คนฺตฺวา อโนฺตคนฺธกุฎิยํ สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ฉพฺพณฺณา พุทฺธรสฺมิโย กมฺพเล ปฎิหญฺญนฺติ, กมฺพโล อติวิย วิโรจติฯ ราชา อุโลฺลเกโนฺต สญฺชานิตฺวา อาห – ‘‘อมฺหากํ, ภเนฺต, เอส กมฺพโล, อเมฺหหิ เอกสาฎกพฺราหฺมณสฺส ทิโนฺน’’ติฯ ‘‘ตุเมฺหหิ, มหาราช, พฺราหฺมโณ ปูชิโต, พฺราหฺมเณน มยํ ปูชิตา’’ติฯ ราชา ‘‘พฺราหฺมโณ ยุตฺตํ อญฺญาสิ, น มย’’นฺติ ปสีทิตฺวา ยํ มนุสฺสานํ อุปการภูตํ, ตํ สพฺพํ อฎฺฐฎฺฐกํ กตฺวา สพฺพฎฺฐกํ นาม ทานํ ทตฺวา ปุโรหิตฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โสปิ ‘‘อฎฺฐฎฺฐกํ นาล จตุสฎฺฐิ โหตี’’ติ จตุสฎฺฐิ สลากภตฺตานิ อุปนิพนฺธาเปตฺวา ยาวชีวํ ทานํ ทตฺวา สีลํ รกฺขิตฺวา ตโต จุโต สเคฺค นิพฺพตฺติฯ

    Atha naṃ rājā ekadivasaṃ sītasamaye satthu santike dhammaṃ suṇantaṃ disvā satasahassagghanakaṃ attanā pārutarattakambalaṃ datvā āha – ‘‘ito paṭṭhāya imaṃ pārupitvā dhammaṃ suṇāhī’’ti. So ‘‘kiṃ me iminā kambalena imasmiṃ pūtikāye upanītenā’’ti cintetvā antogandhakuṭiyaṃ tathāgatassa mañcassa upari vitānaṃ katvā agamāsi. Athekadivasaṃ rājā pātova vihāraṃ gantvā antogandhakuṭiyaṃ satthu santike nisīdi. Tasmiñca samaye chabbaṇṇā buddharasmiyo kambale paṭihaññanti, kambalo ativiya virocati. Rājā ullokento sañjānitvā āha – ‘‘amhākaṃ, bhante, esa kambalo, amhehi ekasāṭakabrāhmaṇassa dinno’’ti. ‘‘Tumhehi, mahārāja, brāhmaṇo pūjito, brāhmaṇena mayaṃ pūjitā’’ti. Rājā ‘‘brāhmaṇo yuttaṃ aññāsi, na maya’’nti pasīditvā yaṃ manussānaṃ upakārabhūtaṃ, taṃ sabbaṃ aṭṭhaṭṭhakaṃ katvā sabbaṭṭhakaṃ nāma dānaṃ datvā purohitaṭṭhāne ṭhapesi. Sopi ‘‘aṭṭhaṭṭhakaṃ nāla catusaṭṭhi hotī’’ti catusaṭṭhi salākabhattāni upanibandhāpetvā yāvajīvaṃ dānaṃ datvā sīlaṃ rakkhitvā tato cuto sagge nibbatti.

    ปุน ตโต จุโต อิมสฺมิํ กเปฺป โกณาคมนสฺส จ ภควโต กสฺสปทสพลสฺส จาติ ทฺวินฺนํ พุทฺธานํ อนฺตเร พาราณสิยํ กุฎุมฺพิยฆเร นิพฺพโตฺตฯ โส วุทฺธิมนฺวาย ฆราวาสํ วสโนฺต เอกทิวสํ อรเญฺญ ชงฺฆวิหารํ จรติฯ ตสฺมิญฺจ สมเย ปเจฺจกพุโทฺธ นทีตีเร จีวรกมฺมํ กโรโนฺต อนุวาเต อปฺปโหเนฺต สงฺฆริตฺวา ฐเปตุํ อารโทฺธฯ โส ทิสฺวา ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สงฺฆริตฺวา ฐเปถา’’ติ อาหฯ ‘‘อนุวาโต นปฺปโหตี’’ติฯ ‘‘อิมินา, ภเนฺต, กโรถา’’ติ อุตฺตรสาฎกํ ทตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม เกนจิ ปริหานิ มา โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ

    Puna tato cuto imasmiṃ kappe koṇāgamanassa ca bhagavato kassapadasabalassa cāti dvinnaṃ buddhānaṃ antare bārāṇasiyaṃ kuṭumbiyaghare nibbatto. So vuddhimanvāya gharāvāsaṃ vasanto ekadivasaṃ araññe jaṅghavihāraṃ carati. Tasmiñca samaye paccekabuddho nadītīre cīvarakammaṃ karonto anuvāte appahonte saṅgharitvā ṭhapetuṃ āraddho. So disvā ‘‘kasmā, bhante, saṅgharitvā ṭhapethā’’ti āha. ‘‘Anuvāto nappahotī’’ti. ‘‘Iminā, bhante, karothā’’ti uttarasāṭakaṃ datvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kenaci parihāni mā hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi.

    ฆเรปิสฺส ภคินิยา สทฺธิํ ภริยาย กลหํ กโรนฺติยา ปเจฺจกพุโทฺธ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถสฺส ภคินี ปเจฺจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ตสฺส ภริยํ สนฺธาย ‘‘เอวรูปํ พาลํ โยชนสเตน ปริวเชฺชยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ สา เคหงฺคเณ ฐิตา สุตฺวา ‘‘อิมาย ทินฺนภตฺตํ มา เอส ภุญฺชตู’’ติ ปตฺตํ คเหตฺวา ปิณฺฑปาตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลสฺส ปูเรตฺวา อทาสิฯ อิตรา ทิสฺวา ‘‘พาเล, ตฺวํ มํ ตาว อโกฺกส วา ปหร วา, เอวรูปสฺส ปน เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิสฺส ปตฺตโต ภตฺตํ ฉเฑฺฑตฺวา กลลํ ทาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ อาหฯ อถสฺส ภริยาย ปฎิสงฺขานํ อุปฺปชฺชิฯ สา ‘‘ติฎฺฐถ, ภเนฺต’’ติ กลลํ ฉเฑฺฑตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา คนฺธจุเณฺณน ฯ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ปณีตภตฺตสฺส จตุมธุรสฺส จ ปูเรตฺวา อุปริ อาสิเตฺตน ปทุมคพฺภวเณฺณน สปฺปินา วิโชฺชตมานํ ปเจฺจกพุทฺธสฺส หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ยถา อยํ ปิณฺฑปาโต โอภาสชาโต, เอวํ โอภาสชาตํ เม สรีรํ โหตู’’ติ ปตฺถนํ ปฎฺฐเปสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ อนุโมทิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ

    Gharepissa bhaginiyā saddhiṃ bhariyāya kalahaṃ karontiyā paccekabuddho piṇḍāya pāvisi. Athassa bhaginī paccekabuddhassa piṇḍapātaṃ datvā tassa bhariyaṃ sandhāya ‘‘evarūpaṃ bālaṃ yojanasatena parivajjeyya’’nti patthanaṃ paṭṭhapesi. Sā gehaṅgaṇe ṭhitā sutvā ‘‘imāya dinnabhattaṃ mā esa bhuñjatū’’ti pattaṃ gahetvā piṇḍapātaṃ chaḍḍetvā kalalassa pūretvā adāsi. Itarā disvā ‘‘bāle, tvaṃ maṃ tāva akkosa vā pahara vā, evarūpassa pana dve asaṅkhyeyyāni pūritapāramissa pattato bhattaṃ chaḍḍetvā kalalaṃ dātuṃ na yutta’’nti āha. Athassa bhariyāya paṭisaṅkhānaṃ uppajji. Sā ‘‘tiṭṭhatha, bhante’’ti kalalaṃ chaḍḍetvā pattaṃ dhovitvā gandhacuṇṇena . Ubbaṭṭetvā paṇītabhattassa catumadhurassa ca pūretvā upari āsittena padumagabbhavaṇṇena sappinā vijjotamānaṃ paccekabuddhassa hatthe ṭhapetvā ‘‘yathā ayaṃ piṇḍapāto obhāsajāto, evaṃ obhāsajātaṃ me sarīraṃ hotū’’ti patthanaṃ paṭṭhapesi. Paccekabuddho anumoditvā ākāsaṃ pakkhandi.

    เตปิ ชายมฺปติกา ยาวตายุกํ กุสลํ กตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ปุน ตโต จวิตฺวา อุปาสโก กสฺสปสมฺมาสมฺพุทฺธกาเล พาราณสิยํ อสีติโกฎิวิภวสฺส เสฎฺฐิโน ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, อิตราปิ ตาทิสเสฺสว เสฎฺฐิโน ธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส วุทฺธิปฺปตฺตสฺส ตเมว เสฎฺฐิธีตรํ อานยิํสุฯ ตสฺสา ปุเพฺพ อนิฎฺฐวิปากสฺส ปาปกมฺมสฺส อานุภาเวน ปติกุลํ ปวิฎฺฐมตฺตาย อุมฺมารพฺภนฺตเร สกลสรีรํ อุคฺฆาฎิตวจฺจกุฎิ วิย ทุคฺคนฺธํ ชาตํฯ เสฎฺฐิกุมาโร ‘‘กสฺสายํ คโนฺธ’’ติ ปุจฺฉิตฺวา, ‘‘เสฎฺฐิกญฺญายา’’ติ สุตฺวา, ‘‘นีหรถ, นีหรถา’’ติ อาภตนิยาเมเนว กุลฆรํ เปเสสิฯ สา เอเตเนว นีหาเรน สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติตาฯ

    Tepi jāyampatikā yāvatāyukaṃ kusalaṃ katvā sagge nibbattitvā puna tato cavitvā upāsako kassapasammāsambuddhakāle bārāṇasiyaṃ asītikoṭivibhavassa seṭṭhino putto hutvā nibbatti, itarāpi tādisasseva seṭṭhino dhītā hutvā nibbatti. Tassa vuddhippattassa tameva seṭṭhidhītaraṃ ānayiṃsu. Tassā pubbe aniṭṭhavipākassa pāpakammassa ānubhāvena patikulaṃ paviṭṭhamattāya ummārabbhantare sakalasarīraṃ ugghāṭitavaccakuṭi viya duggandhaṃ jātaṃ. Seṭṭhikumāro ‘‘kassāyaṃ gandho’’ti pucchitvā, ‘‘seṭṭhikaññāyā’’ti sutvā, ‘‘nīharatha, nīharathā’’ti ābhataniyāmeneva kulagharaṃ pesesi. Sā eteneva nīhārena sattasu ṭhānesu paṭinivattitā.

    เตน จ สมเยน กสฺสปทสพโล ปรินิพฺพายิฯ ตสฺส ฆนโกฎฺฎิมาหิ สตสหสฺสคฺฆนิกาหิ รตฺตสุวณฺณิฎฺฐกาหิ โยชนุเพฺพธํ เจติยํ อารภิํสุฯ ตสฺมิํ เจติเย กรียมาเน สา เสฎฺฐิธีตา จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สตฺตสุ ฐาเนสุ ปฎินิวตฺติตา, กิํ เม ชีวิเตนา’’ติ อตฺตโน อาภรณภณฺฑํ ภญฺชาเปตฺวา สุวณฺณิฎฺฐกํ กาเรสิ รตนายตํ วิทตฺถิวิตฺถินฺนํ จตุรงฺคุลุเพฺพธํฯ ตโต หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ คเหตฺวา อฎฺฐ อุปฺปลหตฺถเก อาทาย เจติยกรณฎฺฐานํ คตาฯ ตสฺมิญฺจ ขเณ เอกา อิฎฺฐกาปนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา อาคจฺฉมานา ฆฎนิฎฺฐกาย อูนา โหติ, เสฎฺฐิธีตา วฑฺฒกิํ อาห – ‘‘อิมํ อิฎฺฐกํ เอตฺถ ฐเปถา’’ติฯ ‘‘อมฺม, ภทฺทเก กาเล อาคตาสิ, สยเมว ฐเปหี’’ติฯ สา อารุยฺห เตเลน หริตาลมโนสิลาปิณฺฑํ โยเชตฺวา เตน พนฺธเนน อิฎฺฐกํ ปติฎฺฐเปตฺวา อุปริ อฎฺฐหิ อุปฺปลหตฺถเกหิ ปูชํ กตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘นิพฺพตฺตนิพฺพตฺตฎฺฐาเน เม กายโต จนฺทนคโนฺธ วายตุ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา เจติยํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา อคมาสิฯ

    Tena ca samayena kassapadasabalo parinibbāyi. Tassa ghanakoṭṭimāhi satasahassagghanikāhi rattasuvaṇṇiṭṭhakāhi yojanubbedhaṃ cetiyaṃ ārabhiṃsu. Tasmiṃ cetiye karīyamāne sā seṭṭhidhītā cintesi – ‘‘ahaṃ sattasu ṭhānesu paṭinivattitā, kiṃ me jīvitenā’’ti attano ābharaṇabhaṇḍaṃ bhañjāpetvā suvaṇṇiṭṭhakaṃ kāresi ratanāyataṃ vidatthivitthinnaṃ caturaṅgulubbedhaṃ. Tato haritālamanosilāpiṇḍaṃ gahetvā aṭṭha uppalahatthake ādāya cetiyakaraṇaṭṭhānaṃ gatā. Tasmiñca khaṇe ekā iṭṭhakāpanti parikkhipitvā āgacchamānā ghaṭaniṭṭhakāya ūnā hoti, seṭṭhidhītā vaḍḍhakiṃ āha – ‘‘imaṃ iṭṭhakaṃ ettha ṭhapethā’’ti. ‘‘Amma, bhaddake kāle āgatāsi, sayameva ṭhapehī’’ti. Sā āruyha telena haritālamanosilāpiṇḍaṃ yojetvā tena bandhanena iṭṭhakaṃ patiṭṭhapetvā upari aṭṭhahi uppalahatthakehi pūjaṃ katvā vanditvā ‘‘nibbattanibbattaṭṭhāne me kāyato candanagandho vāyatu, mukhato uppalagandho’’ti patthanaṃ katvā cetiyaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā agamāsi.

    อถ ตสฺมิํเยว ขเณ ยสฺส เสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปฐมํ เคหํ นีตา, ตสฺส ตํ อารพฺภ สติ อุทปาทิฯ นคเรปิ นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํ โหติฯ โส อุปฎฺฐาเก อาห – ‘‘ตทา อิธ อานีตา เสฎฺฐิธีตา อตฺถิ, กหํ สา’’ติ? ‘‘กุลเคเห สามี’’ติฯ ‘‘อาเนถ นํ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามา’’ติฯ เต คนฺตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา ฐิตา ‘‘กิํ, ตาตา, อาคตตฺถา’’ติ ตาย ปุฎฺฐา ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิํสุฯ ‘‘ตาตา, มยา อาภรณภเณฺฑน เจติยํ ปูชิตํ, อาภรณํ เม นตฺถี’’ติ ฯ เต คนฺตฺวา เสฎฺฐิปุตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ อาเนถ นํ, ปิฬนฺธนํ ลภิสฺสตีติฯ เต อานยิํสุฯ ตสฺสา สห ฆรปเวสเนน สกลเคหํ จนฺทนคโนฺธ เจว นีลุปฺปลคโนฺธ จ วายิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ปฐมํ ตว สรีรโต ทุคฺคโนฺธ วายิ, อิทานิ ปน เต สรีรโต จนฺทนคโนฺธ, มุขโต อุปฺปลคโนฺธ วายติฯ กิํ เอต’’นฺติ? สา อาทิโต ปฎฺฐาย อตฺตนา กตกมฺมํ อาโรเจสิฯ เสฎฺฐิปุโตฺต ‘‘นิยฺยานิกํ วต พุทฺธสาสน’’นฺติ ปสีทิตฺวา โยชนิกํ สุวณฺณเจติยํ กมฺพลกญฺจุเกน ปริกฺขิปิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ รถจกฺกปฺปมาเณหิ สุวณฺณปทุเมหิ อลงฺกริฯ เตสํ ทฺวาทสหตฺถา โอลมฺพกา โหนฺติฯ

    Atha tasmiṃyeva khaṇe yassa seṭṭhiputtassa paṭhamaṃ gehaṃ nītā, tassa taṃ ārabbha sati udapādi. Nagarepi nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ hoti. So upaṭṭhāke āha – ‘‘tadā idha ānītā seṭṭhidhītā atthi, kahaṃ sā’’ti? ‘‘Kulagehe sāmī’’ti. ‘‘Ānetha naṃ, nakkhattaṃ kīḷissāmā’’ti. Te gantvā taṃ vanditvā ṭhitā ‘‘kiṃ, tātā, āgatatthā’’ti tāya puṭṭhā taṃ pavattiṃ ācikkhiṃsu. ‘‘Tātā, mayā ābharaṇabhaṇḍena cetiyaṃ pūjitaṃ, ābharaṇaṃ me natthī’’ti . Te gantvā seṭṭhiputtassa ārocesuṃ. Ānetha naṃ, piḷandhanaṃ labhissatīti. Te ānayiṃsu. Tassā saha gharapavesanena sakalagehaṃ candanagandho ceva nīluppalagandho ca vāyi. Seṭṭhiputto taṃ pucchi – ‘‘paṭhamaṃ tava sarīrato duggandho vāyi, idāni pana te sarīrato candanagandho, mukhato uppalagandho vāyati. Kiṃ eta’’nti? Sā ādito paṭṭhāya attanā katakammaṃ ārocesi. Seṭṭhiputto ‘‘niyyānikaṃ vata buddhasāsana’’nti pasīditvā yojanikaṃ suvaṇṇacetiyaṃ kambalakañcukena parikkhipitvā tattha tattha rathacakkappamāṇehi suvaṇṇapadumehi alaṅkari. Tesaṃ dvādasahatthā olambakā honti.

    โส ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิโต โยชนมเตฺต ฐาเน อญฺญตรสฺมิํ อมจฺจกุเล นิพฺพตฺติ, เสฎฺฐิกญฺญาปิ เทวโลกโต จวิตฺวา ราชกุเล เชฎฺฐธีตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ เตสุ วยปฺปเตฺตสุ กุมารสฺส วสนคาเม นกฺขตฺตํ สงฺฆุฎฺฐํฯ โส มาตรํ อาห – ‘‘สาฎกํ เม, อมฺม, เทหิ, นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามี’’ติ ฯ สา โธตวตฺถํ นีหริตฺวา อทาสิฯ ‘‘อมฺม, ถูลํ อิท’’นฺติ อาหฯ สา อญฺญํ นีหริตฺวา อทาสิ, ตมฺปิ ปฎิกฺขิปิฯ อถ นํ มาตา อาห – ‘‘ตาต, ยาทิเส เคเห มยํ ชาตา, นตฺถิ โน อิโต สุขุมตรสฺส ปฎิลาภาย ปุญฺญ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ ลภนฎฺฐานํ คจฺฉามิ อมฺมา’’ติฯ ‘‘ปุตฺต, อหํ อเชฺชว ตุยฺหํ พาราณสินคเร รชฺชปฎิลาภมฺปิ อิจฺฉามี’’ติฯ โส มาตรํ วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘คจฺฉามิ, อมฺมา’’ติฯ ‘‘คจฺฉ, ตาตา’’ติฯ เอวํ กิรสฺสา จิตฺตํ อโหสิ – ‘‘กหํ คมิสฺสติ? อิธ วา เอตฺถ วา เคเห นิสีทิสฺสตี’’ติฯ โส ปน ปุญฺญนิยาเมน นิกฺขมิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา อุยฺยาเน มงฺคลสิลาปเฎฺฎ สสีสํ ปารุปิตฺวา นิปชฺชิฯ โส จ พาราณสิรโญฺญ กาลงฺกตสฺส สตฺตโม ทิวโส โหติฯ

    So tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasito yojanamatte ṭhāne aññatarasmiṃ amaccakule nibbatti, seṭṭhikaññāpi devalokato cavitvā rājakule jeṭṭhadhītā hutvā nibbatti. Tesu vayappattesu kumārassa vasanagāme nakkhattaṃ saṅghuṭṭhaṃ. So mātaraṃ āha – ‘‘sāṭakaṃ me, amma, dehi, nakkhattaṃ kīḷissāmī’’ti . Sā dhotavatthaṃ nīharitvā adāsi. ‘‘Amma, thūlaṃ ida’’nti āha. Sā aññaṃ nīharitvā adāsi, tampi paṭikkhipi. Atha naṃ mātā āha – ‘‘tāta, yādise gehe mayaṃ jātā, natthi no ito sukhumatarassa paṭilābhāya puñña’’nti. ‘‘Tena hi labhanaṭṭhānaṃ gacchāmi ammā’’ti. ‘‘Putta, ahaṃ ajjeva tuyhaṃ bārāṇasinagare rajjapaṭilābhampi icchāmī’’ti. So mātaraṃ vanditvā āha – ‘‘gacchāmi, ammā’’ti. ‘‘Gaccha, tātā’’ti. Evaṃ kirassā cittaṃ ahosi – ‘‘kahaṃ gamissati? Idha vā ettha vā gehe nisīdissatī’’ti. So pana puññaniyāmena nikkhamitvā bārāṇasiṃ gantvā uyyāne maṅgalasilāpaṭṭe sasīsaṃ pārupitvā nipajji. So ca bārāṇasirañño kālaṅkatassa sattamo divaso hoti.

    อมจฺจา รโญฺญ สรีรกิจฺจํ กตฺวา ราชงฺคเณ นิสีทิตฺวา มนฺตยิํสุ – ‘‘รโญฺญ เอกา ธีตาว อตฺถิ, ปุโตฺต นตฺถิ, อราชกํ รชฺชํ นสฺสติ, โก ราชา โหตี’’ติ? ‘‘ตฺวํ โหหิ, ตฺวํ โหหี’’ติ อาหํสุฯ ปุโรหิโต อาห – ‘‘พหุํ โอโลเกตุํ น วฎฺฎติ, ผุสฺสรถํ วิสฺสเชฺชมา’’ติฯ เต กุมุทวเณฺณ จตฺตาโร สินฺธเว โยเชตฺวา ปญฺจวิธํ ราชกกุธภณฺฑํ เสตจฺฉตฺตญฺจ รถสฺมิํเยว ฐเปตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ปจฺฉโต ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสุํฯ รโถ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานาภิมุโข อโหสิฯ ‘‘ปริจเยน อุยฺยานาภิมุโข คจฺฉติ, นิวเตฺตมา’’ติ เกจิ อาหํสุฯ ปุโรหิโต ‘‘มา นิวตฺตยิตฺถา’’ติ อาหฯ รโถ กุมารํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาโรหนสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิ, ปุโรหิโต ปารุปนกณฺณํ อปเนตฺวา ปาทตลานิ โอโลเกโนฺต, ‘‘ติฎฺฐตุ อยํ ทีโป, ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เอส รชฺชํ กาเรตุํ ยุโตฺต’’ติ วตฺวา ‘‘ปุนปิ ตูริยานิ ปคฺคณฺหถ, ปุนปิ ปคฺคณฺหถา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ตูริยานิ ปคฺคณฺหาเปสิฯ

    Amaccā rañño sarīrakiccaṃ katvā rājaṅgaṇe nisīditvā mantayiṃsu – ‘‘rañño ekā dhītāva atthi, putto natthi, arājakaṃ rajjaṃ nassati, ko rājā hotī’’ti? ‘‘Tvaṃ hohi, tvaṃ hohī’’ti āhaṃsu. Purohito āha – ‘‘bahuṃ oloketuṃ na vaṭṭati, phussarathaṃ vissajjemā’’ti. Te kumudavaṇṇe cattāro sindhave yojetvā pañcavidhaṃ rājakakudhabhaṇḍaṃ setacchattañca rathasmiṃyeva ṭhapetvā rathaṃ vissajjetvā pacchato tūriyāni paggaṇhāpesuṃ. Ratho pācīnadvārena nikkhamitvā uyyānābhimukho ahosi. ‘‘Paricayena uyyānābhimukho gacchati, nivattemā’’ti keci āhaṃsu. Purohito ‘‘mā nivattayitthā’’ti āha. Ratho kumāraṃ padakkhiṇaṃ katvā ārohanasajjo hutvā aṭṭhāsi, purohito pārupanakaṇṇaṃ apanetvā pādatalāni olokento, ‘‘tiṭṭhatu ayaṃ dīpo, dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu esa rajjaṃ kāretuṃ yutto’’ti vatvā ‘‘punapi tūriyāni paggaṇhatha, punapi paggaṇhathā’’ti tikkhattuṃ tūriyāni paggaṇhāpesi.

    อถ กุมาโร มุขํ วิวริตฺวา โอโลเกตฺวา, ‘‘เกน กเมฺมน อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ รชฺชํ ปาปุณาตี’’ติฯ ‘‘ราชา กห’’นฺติ? ‘‘เทวตฺตํ คโต, สามี’’ติฯ ‘‘กติ ทิวสา อติกฺกนฺตา’’ติ? ‘‘อชฺช สตฺตโม ทิวโส’’ติฯ ‘‘ปุโตฺต วา ธีตา วา นตฺถี’’ติ? ‘‘ธีตา อตฺถิ เทว, ปุโตฺต นตฺถี’’ติฯ ‘‘กริสฺสามิ รชฺช’’นฺติฯ เต ตาวเทว อภิเสกมณฺฑปํ กาเรตฺวา ราชธีตรํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา, อุยฺยานํ อาเนตฺวา กุมารสฺส อภิเสกํ อกํสุฯ อถสฺส กตาภิเสกสฺส สตสหสฺสคฺฆนกํ วตฺถํ อุปหริํสุฯ โส ‘‘กิมิทํ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘นิวาสนวตฺถํ เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ, ตาตา, ถูล’’นฺติ? ‘‘มนุสฺสานํ ปริโภควเตฺถสุ อิโต สุขุมตรํ นตฺถิ, เทวา’’ติฯ ‘‘ตุมฺหากํ ราชา เอวรูปํ นิวาเสสี’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘น มเญฺญ ปุญฺญวา ตุมฺหากํ ราชา, สุวณฺณภิงฺคารํ อาหรถ, ลภิสฺสาม วตฺถ’’นฺติฯ สุวณฺณภิงฺคารํ อาหริํสุฯ โส อุฎฺฐาย หเตฺถ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถน อุทกํ อาทาย ปุรตฺถิมทิสายํ อพฺภุกฺกิริฯ ตาวเทว ฆนปถวิํ ภินฺทิตฺวา อฎฺฐ กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ ปุน อุทกํ คเหตฺวา ทกฺขิณายํ ปจฺฉิมายํ อุตฺตรายนฺติ เอวํ จตูสุ ทิสาสุ อพฺภุกฺกิริฯ สพฺพทิสาสุ อฎฺฐฎฺฐกํ กตฺวา ทฺวตฺติํส กปฺปรุกฺขา อุฎฺฐหิํสุฯ โส เอกํ ทิพฺพทุสฺสํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา ‘‘นนฺทรโญฺญ วิชิเต สุตฺตกนฺติกา อิตฺถิโย มา สุตฺตํ กนฺติํสูติ เอวํ เภริํ จราเปถา’’ติ วตฺวา ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหาสมฺปตฺติํ อนุภวิฯ

    Atha kumāro mukhaṃ vivaritvā oloketvā, ‘‘kena kammena āgatatthā’’ti āha. ‘‘Deva, tumhākaṃ rajjaṃ pāpuṇātī’’ti. ‘‘Rājā kaha’’nti? ‘‘Devattaṃ gato, sāmī’’ti. ‘‘Kati divasā atikkantā’’ti? ‘‘Ajja sattamo divaso’’ti. ‘‘Putto vā dhītā vā natthī’’ti? ‘‘Dhītā atthi deva, putto natthī’’ti. ‘‘Karissāmi rajja’’nti. Te tāvadeva abhisekamaṇḍapaṃ kāretvā rājadhītaraṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā, uyyānaṃ ānetvā kumārassa abhisekaṃ akaṃsu. Athassa katābhisekassa satasahassagghanakaṃ vatthaṃ upahariṃsu. So ‘‘kimidaṃ, tātā’’ti āha. ‘‘Nivāsanavatthaṃ devā’’ti. ‘‘Nanu, tātā, thūla’’nti? ‘‘Manussānaṃ paribhogavatthesu ito sukhumataraṃ natthi, devā’’ti. ‘‘Tumhākaṃ rājā evarūpaṃ nivāsesī’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Na maññe puññavā tumhākaṃ rājā, suvaṇṇabhiṅgāraṃ āharatha, labhissāma vattha’’nti. Suvaṇṇabhiṅgāraṃ āhariṃsu. So uṭṭhāya hatthe dhovitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthena udakaṃ ādāya puratthimadisāyaṃ abbhukkiri. Tāvadeva ghanapathaviṃ bhinditvā aṭṭha kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. Puna udakaṃ gahetvā dakkhiṇāyaṃ pacchimāyaṃ uttarāyanti evaṃ catūsu disāsu abbhukkiri. Sabbadisāsu aṭṭhaṭṭhakaṃ katvā dvattiṃsa kapparukkhā uṭṭhahiṃsu. So ekaṃ dibbadussaṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ‘‘nandarañño vijite suttakantikā itthiyo mā suttaṃ kantiṃsūti evaṃ bheriṃ carāpethā’’ti vatvā chattaṃ ussāpetvā alaṅkatapaṭiyatto hatthikkhandhavaragato nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ āruyha mahāsampattiṃ anubhavi.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต เอกทิวสํ เทวี รโญฺญ มหาสมฺปตฺติํ ทิสฺวา, ‘‘อโห ตปสฺสี’’ติ การุญฺญาการํ ทเสฺสติฯ ‘‘กิมิทํ, เทวี’’ติ จ ปุฎฺฐา ‘‘อติมหตี เต, เทว, สมฺปตฺติฯ อตีเต พุทฺธานํ สทฺทหิตฺวา กลฺยาณํ อกตฺถ, อิทานิ อนาคตสฺส ปจฺจยํ กุสลํ น กโรถา’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺส ทสฺสาม, สีลวโนฺต นตฺถี’’ติ? ‘‘อสุโญฺญ, เทว, ชมฺพุทีโป อรหเนฺตหิ, ตุเมฺห ทานเมว สเชฺชถ, อหํ อรหเนฺต ลจฺฉามี’’ติ อาหฯ ราชา ปุนทิวเส ปาจีนทฺวาเร ทานํ สชฺชาเปสิฯ เทวี ปาโตว อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย อุปริปาสาเท ปุรตฺถาภิมุขา อุเรน นิปชฺชิตฺวา ‘‘สเจ เอติสฺสํ ทิสายํ อรหโนฺต อตฺถิ, เสฺวว อาคนฺตฺวา อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหนฺตู’’ติ อาหฯ ตสฺสํ ทิสายํ อรหโนฺต นาเหสุํ, ตํ สกฺการํ กปณยาจกานํ อทํสุฯ ปุนทิวเส ทกฺขิณทฺวาเร ทานํ สเชฺชตฺวา ตเถว อกาสิ, ปุนทิวเส ปจฺฉิมทฺวาเรฯ อุตฺตรทฺวาเร สชฺชิตทิวเส ปน เทวิยา ตเถว นิมเนฺตนฺติยา หิมวเนฺต วสนฺตานํ ปทุมวติยา ปุตฺตานํ ปญฺจสตานํ ปเจฺจกพุทฺธานํ เชฎฺฐโก มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ภาติเก อามเนฺตสิ, ‘‘มาริสา, นนฺทราชา, ตุเมฺห นิมเนฺตติ, อธิวาเสถ ตสฺสา’’ติฯ เต อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส อโนตตฺตทเห มุขํ โธวิตฺวา, อากาเสน อาคนฺตฺวา อุตฺตรทฺวาเร โอตริํสุฯ มนุสฺสา ทิสฺวา คนฺตฺวา ‘‘ปญฺจสตา, เทว, ปเจฺจกพุทฺธา อาคตา’’ติ รโญฺช อาโรเจสุํฯ ราชา สทฺธิํ เทวิยา คนฺตฺวา, วนฺทิตฺวา, ปตฺตํ คเหตฺวา ปเจฺจกพุเทฺธ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา, ตตฺร เนสํ ทานํ ทตฺวา, ภตฺตกิจฺจาวสาเน ราชา สงฺฆเตฺถรสฺส, เทวี, สงฺฆนวกสฺส ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ‘‘อยฺยา ปจฺจเยหิ น กิลมิสฺสนฺติ, มยํ ปุเญฺญน น หายิสฺสามฯ อมฺหากํ ยาวชีวํ อิธ นิวาสาย ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา อุยฺยาเน ปญฺจปณฺณสาลาสตานิ ปญฺจจงฺกมนสตานีติ สพฺพากาเรน นิวาสนฎฺฐานานิ สมฺปาเทตฺวา ตตฺถ วสาเปสุํฯ

    Evaṃ kāle gacchante ekadivasaṃ devī rañño mahāsampattiṃ disvā, ‘‘aho tapassī’’ti kāruññākāraṃ dasseti. ‘‘Kimidaṃ, devī’’ti ca puṭṭhā ‘‘atimahatī te, deva, sampatti. Atīte buddhānaṃ saddahitvā kalyāṇaṃ akattha, idāni anāgatassa paccayaṃ kusalaṃ na karothā’’ti āha. ‘‘Kassa dassāma, sīlavanto natthī’’ti? ‘‘Asuñño, deva, jambudīpo arahantehi, tumhe dānameva sajjetha, ahaṃ arahante lacchāmī’’ti āha. Rājā punadivase pācīnadvāre dānaṃ sajjāpesi. Devī pātova uposathaṅgāni adhiṭṭhāya uparipāsāde puratthābhimukhā urena nipajjitvā ‘‘sace etissaṃ disāyaṃ arahanto atthi, sveva āgantvā amhākaṃ bhikkhaṃ gaṇhantū’’ti āha. Tassaṃ disāyaṃ arahanto nāhesuṃ, taṃ sakkāraṃ kapaṇayācakānaṃ adaṃsu. Punadivase dakkhiṇadvāre dānaṃ sajjetvā tatheva akāsi, punadivase pacchimadvāre. Uttaradvāre sajjitadivase pana deviyā tatheva nimantentiyā himavante vasantānaṃ padumavatiyā puttānaṃ pañcasatānaṃ paccekabuddhānaṃ jeṭṭhako mahāpadumapaccekabuddho bhātike āmantesi, ‘‘mārisā, nandarājā, tumhe nimanteti, adhivāsetha tassā’’ti. Te adhivāsetvā punadivase anotattadahe mukhaṃ dhovitvā, ākāsena āgantvā uttaradvāre otariṃsu. Manussā disvā gantvā ‘‘pañcasatā, deva, paccekabuddhā āgatā’’ti rañjo ārocesuṃ. Rājā saddhiṃ deviyā gantvā, vanditvā, pattaṃ gahetvā paccekabuddhe pāsādaṃ āropetvā, tatra nesaṃ dānaṃ datvā, bhattakiccāvasāne rājā saṅghattherassa, devī, saṅghanavakassa pādamūle nipajjitvā ‘‘ayyā paccayehi na kilamissanti, mayaṃ puññena na hāyissāma. Amhākaṃ yāvajīvaṃ idha nivāsāya paṭiññaṃ dethā’’ti paṭiññaṃ kāretvā uyyāne pañcapaṇṇasālāsatāni pañcacaṅkamanasatānīti sabbākārena nivāsanaṭṭhānāni sampādetvā tattha vasāpesuṃ.

    เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต รโญฺญ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ โส ‘‘อหํ ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ คจฺฉามิ, ตฺวํ ปเจฺจกพุเทฺธสุ มา ปมชฺชี’’ติ เทวิํ โอวทิตฺวา คโตฯ ตสฺมิํ อนาคเตเยว ปเจฺจกพุทฺธานํ อายุสงฺขารา ขีณาฯ มหาปทุมปเจฺจกพุโทฺธ ติยามรตฺติํ ฌานกีฬํ กีฬิตฺวา อรุณุคฺคมเน อาลมฺพนผลกํ อาลมฺพิตฺวา ฐิตโกว อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ เอเตนุปาเยน เสสาปีติ สเพฺพว ปรินิพฺพุตาฯ ปุนทิวเส เทวี ปเจฺจกพุทฺธานํ นิสีทนฎฺฐานํ หริตูปลิตฺตํ กาเรตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา, ธูปํ ทตฺวา เตสํ อาคมนํ โอโลกยนฺตี นิสินฺนา อาคมนํ อปสฺสนฺตี ปุริสํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, ตาต, ชานาหิ, กิํ อยฺยานํ กิญฺจิ อผาสุก’’นฺติ? โส คนฺตฺวา มหาปทุมสฺส ปณฺณสาลาย ทฺวารํ วิวริตฺวา ตตฺถ อปสฺสโนฺต จงฺกมนํ คนฺตฺวา อาลมฺพนผลกํ นิสฺสาย ฐิตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กาโล, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ‘‘ปรินิพฺพุตสรีรํ กิํ กเถสฺสติ? โส นิทฺทายติ มเญฺญ’’ติ คนฺตฺวา ปิฎฺฐิปาเท หเตฺถน ปรามสิตฺวา ปาทานํ สีตลตาย เจว ถทฺธตาย จ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา, ทุติยสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เอวํ ตติยสฺสาติ สเพฺพสํ ปรินิพฺพุตภาวํ ญตฺวา ราชกุลํ คโตฯ ‘‘กหํ, ตาต, ปเจฺจกพุทฺธา’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘ปรินิพฺพุตา, เทวี’’ติ อาหฯ เทวี กนฺทนฺตี โรทนฺตี นิกฺขมิตฺวา นาคเรหิ สทฺธิํ ตตฺถ คนฺตฺวา สาธุกีฬิตํ กาเรตฺวา ปเจฺจกพุทฺธานํ สรีรกิจฺจํ กาเรตฺวา ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ ปติฎฺฐาเปสิฯ

    Evaṃ kāle gacchante rañño paccanto kupito. So ‘‘ahaṃ paccantaṃ vūpasametuṃ gacchāmi, tvaṃ paccekabuddhesu mā pamajjī’’ti deviṃ ovaditvā gato. Tasmiṃ anāgateyeva paccekabuddhānaṃ āyusaṅkhārā khīṇā. Mahāpadumapaccekabuddho tiyāmarattiṃ jhānakīḷaṃ kīḷitvā aruṇuggamane ālambanaphalakaṃ ālambitvā ṭhitakova anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Etenupāyena sesāpīti sabbeva parinibbutā. Punadivase devī paccekabuddhānaṃ nisīdanaṭṭhānaṃ haritūpalittaṃ kāretvā pupphāni vikiritvā, dhūpaṃ datvā tesaṃ āgamanaṃ olokayantī nisinnā āgamanaṃ apassantī purisaṃ pesesi – ‘‘gaccha, tāta, jānāhi, kiṃ ayyānaṃ kiñci aphāsuka’’nti? So gantvā mahāpadumassa paṇṇasālāya dvāraṃ vivaritvā tattha apassanto caṅkamanaṃ gantvā ālambanaphalakaṃ nissāya ṭhitaṃ disvā vanditvā ‘‘kālo, bhante’’ti āha. ‘‘Parinibbutasarīraṃ kiṃ kathessati? So niddāyati maññe’’ti gantvā piṭṭhipāde hatthena parāmasitvā pādānaṃ sītalatāya ceva thaddhatāya ca parinibbutabhāvaṃ ñatvā, dutiyassa santikaṃ agamāsi. Evaṃ tatiyassāti sabbesaṃ parinibbutabhāvaṃ ñatvā rājakulaṃ gato. ‘‘Kahaṃ, tāta, paccekabuddhā’’ti puṭṭho ‘‘parinibbutā, devī’’ti āha. Devī kandantī rodantī nikkhamitvā nāgarehi saddhiṃ tattha gantvā sādhukīḷitaṃ kāretvā paccekabuddhānaṃ sarīrakiccaṃ kāretvā dhātuyo gahetvā cetiyaṃ patiṭṭhāpesi.

    ราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต ปจฺจุคฺคมนํ อาคตํ เทวิํ ปุจฺฉิ – ‘‘กิํ, ภเทฺท, ปเจฺจกพุเทฺธสุ นปฺปมชฺชิ, นิโรคา อยฺยา’’ติ? ‘‘ปรินิพฺพุตา เทวา’’ติฯ ราชา จิเนฺตติ ‘‘เอวรูปานมฺปิ ปณฺฑิตานํ มรณํ อุปฺปชฺชติ, อมฺหากํ กุโต โมโกฺข’’ติฯ โส นครํ อคนฺตฺวา, อุยฺยานเมว ปวิสิตฺวา เชฎฺฐปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ตสฺส รชฺชํ นิยฺยาเตตฺวา, สยํ สมณปพฺพชฺชํ ปพฺพชิฯ เทวีปิ ‘‘อิมสฺมิํ ปพฺพชิเต อหํ กิํ กริสฺสามี’’ติ ตเตฺถว อุยฺยาเน ปพฺพชิตฺวา เทฺวปิ ฌานํ ภาเวตฺวา ตโต จุตา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ

    Rājā paccantaṃ vūpasametvā āgato paccuggamanaṃ āgataṃ deviṃ pucchi – ‘‘kiṃ, bhadde, paccekabuddhesu nappamajji, nirogā ayyā’’ti? ‘‘Parinibbutā devā’’ti. Rājā cinteti ‘‘evarūpānampi paṇḍitānaṃ maraṇaṃ uppajjati, amhākaṃ kuto mokkho’’ti. So nagaraṃ agantvā, uyyānameva pavisitvā jeṭṭhaputtaṃ pakkosāpetvā, tassa rajjaṃ niyyātetvā, sayaṃ samaṇapabbajjaṃ pabbaji. Devīpi ‘‘imasmiṃ pabbajite ahaṃ kiṃ karissāmī’’ti tattheva uyyāne pabbajitvā dvepi jhānaṃ bhāvetvā tato cutā brahmaloke nibbattiṃsu.

    เตสุ ตเตฺถว วสเนฺตสุ อมฺหากํ สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก อนุปุเพฺพน ราชคหํ ปาวิสิฯ สตฺถริ ตตฺถ ปฎิวสเนฺต อยํ ปิปฺปลิมาณโว มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถพฺราหฺมณคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺตฯ อยํ ภทฺทา กาปิลานี มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร โกสิยโคตฺตพฺราหฺมณสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ นิพฺพตฺตาฯ เตสํ อนุกฺกเมน วฑฺฒมานานํ ปิปฺปลิมาณวสฺส วีสติเม, ภทฺทาย โสฬสเม วเสฺส สมฺปเตฺต มาตาปิตโร ปุตฺตํ โอโลเกตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ วยปฺปโตฺต, กุลวํโส นาม ปติฎฺฐเปตโพฺพ’’ติ อติวิย นิปฺปีฬยิํสุฯ มาณโว อาห ‘‘มยฺหํ โสตปเถ เอวรูปํ กถํ มา กเถถฯ อหํ ยาว ตุเมฺห ธรถ, ตาว ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ตุมฺหากํ อจฺจเยน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เต กติปาหํ อติกฺกมิตฺวา ปุน กถยิํสุฯ โสปิ ตเถว ปฎิกฺขิปิฯ ตโต ปฎฺฐาย นิรนฺตรํ กเถติเยวฯ

    Tesu tattheva vasantesu amhākaṃ satthā loke uppajjitvā pavattitavaradhammacakko anupubbena rājagahaṃ pāvisi. Satthari tattha paṭivasante ayaṃ pippalimāṇavo magadharaṭṭhe mahātitthabrāhmaṇagāme kapilabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatto. Ayaṃ bhaddā kāpilānī maddaraṭṭhe sāgalanagare kosiyagottabrāhmaṇassa aggamahesiyā kucchismiṃ nibbattā. Tesaṃ anukkamena vaḍḍhamānānaṃ pippalimāṇavassa vīsatime, bhaddāya soḷasame vasse sampatte mātāpitaro puttaṃ oloketvā ‘‘tāta, tvaṃ vayappatto, kulavaṃso nāma patiṭṭhapetabbo’’ti ativiya nippīḷayiṃsu. Māṇavo āha ‘‘mayhaṃ sotapathe evarūpaṃ kathaṃ mā kathetha. Ahaṃ yāva tumhe dharatha, tāva paṭijaggissāmi, tumhākaṃ accayena nikkhamitvā pabbajissāmī’’ti. Te katipāhaṃ atikkamitvā puna kathayiṃsu. Sopi tatheva paṭikkhipi. Tato paṭṭhāya nirantaraṃ kathetiyeva.

    มาณโว ‘‘มม มาตรํ สญฺญาเปสฺสามี’’ติ รตฺตสุวณฺณสฺส นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา สพฺพกาเมหิ สนฺตเปฺปตฺวา สุวณฺณกาเรหิ เอกํ อิตฺถิรูปํ การาเปตฺวา ตสฺส มชฺชนฆฎฺฎนาทิกมฺมปริโยสาเน ตํ รตฺตวตฺถํ นิวาสาเปตฺวา วณฺณสมฺปเนฺนหิ ปุเปฺผหิ เจว นานาอลงฺกาเรหิ จ อลงฺการาเปตฺวา มาตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห ‘‘อมฺม, เอวรูปํ อารมฺมณํ ลภโนฺต เคเห วสิสฺสามิ อลภโนฺต น วสิสฺสามี’’ติฯ ปณฺฑิตา พฺราหฺมณี จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต ปุญฺญวา ทินฺนทาโน กตาภินีหาโร, ปุญฺญํ กโรโนฺต น เอกโกว อกาสิ, อทฺธา เอเตน สหกตปุญฺญา สุวณฺณรูปปฎิภาคาว ภวิสฺสตี’’ติ อฎฺฐ พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา สพฺพกาเมหิ สนฺตเปฺปตฺวา สุวณฺณรูปกํ รถํ อาโรเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ, ตาตา, ยตฺถ อมฺหากํ ชาติโคตฺตโภเคหิ สมาเน กุเล เอวรูปํ ทาริกํ ปสฺสถ, อิมเมว สุวณฺณรูปกํ ปณฺณาการํ กตฺวา เอถา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ

    Māṇavo ‘‘mama mātaraṃ saññāpessāmī’’ti rattasuvaṇṇassa nikkhasahassaṃ datvā sabbakāmehi santappetvā suvaṇṇakārehi ekaṃ itthirūpaṃ kārāpetvā tassa majjanaghaṭṭanādikammapariyosāne taṃ rattavatthaṃ nivāsāpetvā vaṇṇasampannehi pupphehi ceva nānāalaṅkārehi ca alaṅkārāpetvā mātaraṃ pakkosāpetvā āha ‘‘amma, evarūpaṃ ārammaṇaṃ labhanto gehe vasissāmi alabhanto na vasissāmī’’ti. Paṇḍitā brāhmaṇī cintesi – ‘‘mayhaṃ putto puññavā dinnadāno katābhinīhāro, puññaṃ karonto na ekakova akāsi, addhā etena sahakatapuññā suvaṇṇarūpapaṭibhāgāva bhavissatī’’ti aṭṭha brāhmaṇe pakkosāpetvā sabbakāmehi santappetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathaṃ āropetvā ‘‘gacchatha, tātā, yattha amhākaṃ jātigottabhogehi samāne kule evarūpaṃ dārikaṃ passatha, imameva suvaṇṇarūpakaṃ paṇṇākāraṃ katvā ethā’’ti uyyojesi.

    เต ‘‘อมฺหากํ นาม เอตํ กมฺม’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา ‘‘กตฺถ คมิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มทฺทรฎฺฐํ นาม อิตฺถากโร, มทฺทรฎฺฐํ คมิสฺสามา’’ติ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ อคมํสุฯ ตตฺถ ตํ สุวณฺณรูปกํ นฺหานติเตฺถ ฐเปตฺวา เอกมเนฺต นิสีทิํสุฯ อถ ภทฺทาย ธาตี ภทฺทํ นฺหาเปตฺวา, อลงฺกริตฺวา, สิริคเพฺภ นิสีทาเปตฺวา สยํ นฺหายิตุํ อุทกติตฺถํ คตา ตตฺถ ตํ สุวณฺณรูปกํ ทิสฺวา ‘‘กิสฺสายํ อวินีตา อิธาคนฺตฺวา ฐิตา’’ติ ปิฎฺฐิปเสฺส ปหริตฺวา ‘‘สุวณฺณรูปก’’นฺติ ญตฺวา ‘‘อยฺยธีตา เม’’ติ สญฺญํ อุปฺปาเทสิํ, ‘‘อยํ ปน เม อยฺยธีตาย นิวาสนปฎิคฺคาหิกายาปิ อสทิสา’’ติ อาหฯ อถ นํ เต มนุสฺสา ปริวาเรตฺวา ‘‘เอวรูปา เต สามิธีตา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘กิํ เอสา, อิมาย สุวณฺณปฎิมาย สตคุเณน สหสฺสคุเณน มยฺหํ อยฺยธีตา อภิรูปตรา, ทฺวาทสหเตฺถ คเพฺภ นิสินฺนาย ปทีปกิจฺจํ นตฺถิ, สรีโรภาเสเนว ตมํ วิธมตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ อาคจฺฉา’’ติ ตํ ขุชฺชํ คเหตฺวา สุวณฺณรูปกํ รเถ อาโรเปตฺวา โกสิยโคตฺตสฺส พฺราหฺมณสฺส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อาคมนํ นิเวทยิํสุฯ

    Te ‘‘amhākaṃ nāma etaṃ kamma’’nti nikkhamitvā ‘‘kattha gamissāmā’’ti cintetvā ‘‘maddaraṭṭhaṃ nāma itthākaro, maddaraṭṭhaṃ gamissāmā’’ti maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ agamaṃsu. Tattha taṃ suvaṇṇarūpakaṃ nhānatitthe ṭhapetvā ekamante nisīdiṃsu. Atha bhaddāya dhātī bhaddaṃ nhāpetvā, alaṅkaritvā, sirigabbhe nisīdāpetvā sayaṃ nhāyituṃ udakatitthaṃ gatā tattha taṃ suvaṇṇarūpakaṃ disvā ‘‘kissāyaṃ avinītā idhāgantvā ṭhitā’’ti piṭṭhipasse paharitvā ‘‘suvaṇṇarūpaka’’nti ñatvā ‘‘ayyadhītā me’’ti saññaṃ uppādesiṃ, ‘‘ayaṃ pana me ayyadhītāya nivāsanapaṭiggāhikāyāpi asadisā’’ti āha. Atha naṃ te manussā parivāretvā ‘‘evarūpā te sāmidhītā’’ti pucchiṃsu. ‘‘Kiṃ esā, imāya suvaṇṇapaṭimāya sataguṇena sahassaguṇena mayhaṃ ayyadhītā abhirūpatarā, dvādasahatthe gabbhe nisinnāya padīpakiccaṃ natthi, sarīrobhāseneva tamaṃ vidhamatī’’ti. ‘‘Tena hi āgacchā’’ti taṃ khujjaṃ gahetvā suvaṇṇarūpakaṃ rathe āropetvā kosiyagottassa brāhmaṇassa gharadvāre ṭhatvā āgamanaṃ nivedayiṃsu.

    พฺราหฺมโณ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มคธรเฎฺฐ มหาติตฺถคาเม กปิลพฺราหฺมณสฺส ฆรโต’’ติฯ ‘‘กิํ การณา อาคตา’’ติ? ‘‘อิมินา นาม การเณนา’’ติฯ ‘‘กลฺยาณํ, ตาตา, สมชาติโคตฺตวิภโว อมฺหากํ พฺราหฺมโณ, ทสฺสามิ ทาริก’’นฺติ ปณฺณาการํ คณฺหิฯ เต กปิลพฺราหฺมณสฺส สาสนํ ปหิณิํสุ ‘‘ลทฺธา ทาริกา , กตฺตพฺพํ กโรถา’’ติฯ ตํ สาสนํ สุตฺวา ปิปฺปลิมาณวสฺส อาโรจยิํสุ ‘‘ลทฺธา กิร ทาริกา’’ติฯ มาณโว ‘‘อหํ ‘น ลภิสฺสนฺตี’ติ จิเนฺตสิํ, อิเม ‘ลทฺธา’ติ วทนฺติ, อนตฺถิโก หุตฺวา ปณฺณํ เปเสสฺสามี’’ติ รโหคโต ปณฺณํ ลิขิ ‘‘ภทฺทา, อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุ, อหํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารินี อโหสี’’ติฯ ภทฺทาปิ ‘‘อสุกสฺส กิร มํ ทาตุกาโม’’ติ สุตฺวา ‘‘ปณฺณํ เปเสสฺสามี’’ติ รโหคตา ปณฺณํ ลิขิ ‘‘อยฺยปุโตฺต อตฺตโน ชาติโคตฺตโภคานุรูปํ ฆราวาสํ ลภตุ, อหํ ปพฺพชิสฺสามิ, มา ปจฺฉา วิปฺปฎิสารี อโหสี’’ติฯ เทฺวปิ ปณฺณานิ อนฺตรามเคฺค สมาคจฺฉิํสุฯ ‘‘อิทํ กสฺส ปณฺณ’’นฺติ? ‘‘ปิปฺปลิมาณเวน ภทฺทาย ปหิต’’นฺติฯ ‘‘อิทํ กสฺสา’’ติ? ‘‘ภทฺทาย ปิปฺปลิมาณวสฺส ปหิต’’นฺติ จ วุเตฺต เต เทฺวปิ วาเจตฺวา ‘‘ปสฺสถ ทารกานํ กมฺม’’นฺติ ผาเลตฺวา อรเญฺญ ฉเฑฺฑตฺวา อญฺญํ ตํสมานํ ปณฺณํ ลิขิตฺวา อิโต เอโตฺต จ เปเสสุํฯ อิติ กุมารสฺส กุมาริกาย จ สทิสํ ปณฺณํ โลกสฺสาทรหิตเมวาติ อนิจฺฉมานานํเยว ทฺวินฺนํ สมาคโม อโหสิฯ

    Brāhmaṇo paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti pucchi. ‘‘Magadharaṭṭhe mahātitthagāme kapilabrāhmaṇassa gharato’’ti. ‘‘Kiṃ kāraṇā āgatā’’ti? ‘‘Iminā nāma kāraṇenā’’ti. ‘‘Kalyāṇaṃ, tātā, samajātigottavibhavo amhākaṃ brāhmaṇo, dassāmi dārika’’nti paṇṇākāraṃ gaṇhi. Te kapilabrāhmaṇassa sāsanaṃ pahiṇiṃsu ‘‘laddhā dārikā , kattabbaṃ karothā’’ti. Taṃ sāsanaṃ sutvā pippalimāṇavassa ārocayiṃsu ‘‘laddhā kira dārikā’’ti. Māṇavo ‘‘ahaṃ ‘na labhissantī’ti cintesiṃ, ime ‘laddhā’ti vadanti, anatthiko hutvā paṇṇaṃ pesessāmī’’ti rahogato paṇṇaṃ likhi ‘‘bhaddā, attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu, ahaṃ nikkhamitvā pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārinī ahosī’’ti. Bhaddāpi ‘‘asukassa kira maṃ dātukāmo’’ti sutvā ‘‘paṇṇaṃ pesessāmī’’ti rahogatā paṇṇaṃ likhi ‘‘ayyaputto attano jātigottabhogānurūpaṃ gharāvāsaṃ labhatu, ahaṃ pabbajissāmi, mā pacchā vippaṭisārī ahosī’’ti. Dvepi paṇṇāni antarāmagge samāgacchiṃsu. ‘‘Idaṃ kassa paṇṇa’’nti? ‘‘Pippalimāṇavena bhaddāya pahita’’nti. ‘‘Idaṃ kassā’’ti? ‘‘Bhaddāya pippalimāṇavassa pahita’’nti ca vutte te dvepi vācetvā ‘‘passatha dārakānaṃ kamma’’nti phāletvā araññe chaḍḍetvā aññaṃ taṃsamānaṃ paṇṇaṃ likhitvā ito etto ca pesesuṃ. Iti kumārassa kumārikāya ca sadisaṃ paṇṇaṃ lokassādarahitamevāti anicchamānānaṃyeva dvinnaṃ samāgamo ahosi.

    ตํ ทิวสํเยว ปิปฺปลิมาณโว เอกํ ปุปฺผทามํ คนฺถาเปสิ ภทฺทาปิฯ ตานิ สยนมเชฺฌ ฐเปสุํ ภุตฺตสายมาสา อุโภปิ ‘‘สยนํ อารุหิสฺสามา’’ติ มาณโว ทกฺขิณปเสฺสน สยนํ อารุหิฯ ภทฺทา วามปเสฺสน อภิรุหิตฺวา อาห – ‘‘ยสฺส ปเสฺส ปุปฺผานิ มิลายนฺติ, ตสฺส ราคจิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ วิชานิสฺสาม, อิมํ ปุปฺผทามํ น อลฺลิยิตพฺพ’’นฺติฯ เต ปน อญฺญมญฺญํ สรีรสมฺผสฺสภเยน ติยามรตฺติํ นิทฺทํ อโนกฺกมนฺตาว วีตินาเมนฺติ, ทิวา ปน หสิตมตฺตมฺปิ นาโหสิฯ เต โลกามิเสน อสํสฎฺฐา ยาว มาตาปิตโร ธรนฺติ, ตาว กุฎุมฺพํ อวิจาเรตฺวา เตสุ กาลงฺกเตสุ วิจารยิํสุฯ มหตี มาณวสฺส สมฺปตฺติ – เอกทิวสํ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ฉเฑฺฑตพฺพํ สุวณฺณจุณฺณํ เอว มคธนาฬิยา ทฺวาทสนาฬิมตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติฯ ยนฺตพทฺธานิ สฎฺฐิมหาตฬากานิ, กมฺมโนฺต ทฺวาทสโยชนิโก, อนุราธปุรปมาณา จุทฺทส คามา, จุทฺทส หตฺถานีกานิ, จุทฺทส อสฺสานีกานิ, จุทฺทส รถานีกานิฯ

    Taṃ divasaṃyeva pippalimāṇavo ekaṃ pupphadāmaṃ ganthāpesi bhaddāpi. Tāni sayanamajjhe ṭhapesuṃ bhuttasāyamāsā ubhopi ‘‘sayanaṃ āruhissāmā’’ti māṇavo dakkhiṇapassena sayanaṃ āruhi. Bhaddā vāmapassena abhiruhitvā āha – ‘‘yassa passe pupphāni milāyanti, tassa rāgacittaṃ uppannanti vijānissāma, imaṃ pupphadāmaṃ na alliyitabba’’nti. Te pana aññamaññaṃ sarīrasamphassabhayena tiyāmarattiṃ niddaṃ anokkamantāva vītināmenti, divā pana hasitamattampi nāhosi. Te lokāmisena asaṃsaṭṭhā yāva mātāpitaro dharanti, tāva kuṭumbaṃ avicāretvā tesu kālaṅkatesu vicārayiṃsu. Mahatī māṇavassa sampatti – ekadivasaṃ sarīraṃ ubbaṭṭetvā chaḍḍetabbaṃ suvaṇṇacuṇṇaṃ eva magadhanāḷiyā dvādasanāḷimattaṃ laddhuṃ vaṭṭati. Yantabaddhāni saṭṭhimahātaḷākāni, kammanto dvādasayojaniko, anurādhapurapamāṇā cuddasa gāmā, cuddasa hatthānīkāni, cuddasa assānīkāni, cuddasa rathānīkāni.

    โส เอกทิวสํ อลงฺกตอสฺสํ อารุยฺห มหาชนปริวุโต กมฺมนฺตํ คนฺตฺวา เขตฺตโกฎิยํ ฐิโต นงฺคเลหิ ภินฺนฎฺฐานโต กากาทโย สกุเณ คณฺฑุปฺปาทาทิปาณเก อุทฺธริตฺวา ขาทเนฺต ทิสฺวา, ‘‘ตาตา, อิเม กิํ ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘คณฺฑุปฺปาเท, อยฺยา’’ติฯ ‘‘เอเตหิ กตํ ปาปํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, อยฺยา’’ติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ เอเตหิ กตํ ปาปํ มยฺหํ โหติ, กิํ เม กริสฺสติ สตฺตอสีติโกฎิธนํ, กิํ ทฺวาทสโยชโน กมฺมโนฺต, กิํ ยนฺตพทฺธานิ ตฬากานิ, กิํ จุทฺทส คามา, สพฺพเมตํ ภทฺทาย กาปิลานิยา นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    So ekadivasaṃ alaṅkataassaṃ āruyha mahājanaparivuto kammantaṃ gantvā khettakoṭiyaṃ ṭhito naṅgalehi bhinnaṭṭhānato kākādayo sakuṇe gaṇḍuppādādipāṇake uddharitvā khādante disvā, ‘‘tātā, ime kiṃ khādantī’’ti pucchi. ‘‘Gaṇḍuppāde, ayyā’’ti. ‘‘Etehi kataṃ pāpaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, ayyā’’ti. So cintesi – ‘‘sace etehi kataṃ pāpaṃ mayhaṃ hoti, kiṃ me karissati sattaasītikoṭidhanaṃ, kiṃ dvādasayojano kammanto, kiṃ yantabaddhāni taḷākāni, kiṃ cuddasa gāmā, sabbametaṃ bhaddāya kāpilāniyā niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.

    ภทฺทาปิ กาปิลานี ตสฺมิํ ขเณ อนฺตรวตฺถุมฺหิ ตโย ติลกุเมฺภ ปตฺถราเปตฺวา ธาตีหิ ปริวุตา นิสินฺนา กาเก ติลปาณเก ขาทมาเน ทิสฺวา, ‘‘อมฺมา, กิํ อิเม ขาทนฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปาณเก อเยฺย’’ติฯ ‘‘อกุสลํ กสฺส โหตี’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ, อเยฺย’’ติฯ สา จิเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ จตุหตฺถวตฺถํ นาฬิโกทนมตฺตญฺจ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ยทิ ปเนตํ เอตฺตเกน ชเนน กตํ อกุสลํ มยฺหํ โหติ, ภวสหเสฺสนปิ วฎฺฎโต สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สกฺกาฯ อยฺยปุเตฺต อาคตมเตฺตเยว สพฺพํ ตสฺส นิยฺยาเตตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ

    Bhaddāpi kāpilānī tasmiṃ khaṇe antaravatthumhi tayo tilakumbhe pattharāpetvā dhātīhi parivutā nisinnā kāke tilapāṇake khādamāne disvā, ‘‘ammā, kiṃ ime khādantī’’ti pucchi. ‘‘Pāṇake ayye’’ti. ‘‘Akusalaṃ kassa hotī’’ti? ‘‘Tumhākaṃ, ayye’’ti. Sā cintesi – ‘‘mayhaṃ catuhatthavatthaṃ nāḷikodanamattañca laddhuṃ vaṭṭati, yadi panetaṃ ettakena janena kataṃ akusalaṃ mayhaṃ hoti, bhavasahassenapi vaṭṭato sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkā. Ayyaputte āgatamatteyeva sabbaṃ tassa niyyātetvā nikkhamma pabbajissāmī’’ti.

    มาณโว อาคนฺตฺวา, นฺหตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทิฯ อถสฺส จกฺกวตฺติโน อนุจฺฉวิกํ โภชนํ สชฺชยิํสุฯ เทฺวปิ ภุญฺชิตฺวา ปริชเน นิกฺขเนฺต รโหคตา ผาสุกฎฺฐาเน นิสีทิํสุฯ ตโต มาณโว ภทฺทํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อิมํ ฆรํ อาคจฺฉนฺตี ตฺวํ กิตฺตกํ ธนํ อาหรสี’’ติ? ‘‘ปญฺจปณฺณาส สกฎสหสฺสานิ, อยฺยา’’ติฯ ‘‘ตํ สพฺพํ, ยา จ อิมสฺมิํ ฆเร สตฺตอสีติโกฎิโย ยนฺตพทฺธสฎฺฐิตฬากาทิเภทา จ สมฺปตฺติ อตฺถิ, ตํ สพฺพญฺจ ตุยฺหํเยว นิยฺยาเทมี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห ปน กหํ คจฺฉถ, อยฺยา’’ติ? ‘‘อหํ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อยฺย, อหมฺปิ ตุมฺหากํเยว อาคมนํ โอโลกยมานา นิสินฺนาฯ อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ เตสํ อาทิตฺตปณฺณกุฎิ วิย ตโย ภวา อุปฎฺฐหิํสุฯ เต อนฺตราปณโต กสายรสปีตานิ วตฺถานิ มตฺติกาปเตฺต จ อาหราเปตฺวา อญฺญมญฺญํ เกเส โอโรเปตฺวา ‘‘เย โลเก อรหโนฺต, เต อุทฺทิสฺส อมฺหากํ ปพฺพชฺชา’’ติ ปพฺพชิตฺวา, ถวิกาสุ ปเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อํเส ลเคฺคตฺวา ปาสาทโต โอตริํสุฯ เคเห ทาเสสุ วา กมฺมกเรสุ วา น โกจิ สญฺชานิฯ

    Māṇavo āgantvā, nhatvā pāsādaṃ āruyha mahārahe pallaṅke nisīdi. Athassa cakkavattino anucchavikaṃ bhojanaṃ sajjayiṃsu. Dvepi bhuñjitvā parijane nikkhante rahogatā phāsukaṭṭhāne nisīdiṃsu. Tato māṇavo bhaddaṃ āha – ‘‘bhadde, imaṃ gharaṃ āgacchantī tvaṃ kittakaṃ dhanaṃ āharasī’’ti? ‘‘Pañcapaṇṇāsa sakaṭasahassāni, ayyā’’ti. ‘‘Taṃ sabbaṃ, yā ca imasmiṃ ghare sattaasītikoṭiyo yantabaddhasaṭṭhitaḷākādibhedā ca sampatti atthi, taṃ sabbañca tuyhaṃyeva niyyādemī’’ti. ‘‘Tumhe pana kahaṃ gacchatha, ayyā’’ti? ‘‘Ahaṃ pabbajissāmī’’ti. ‘‘Ayya, ahampi tumhākaṃyeva āgamanaṃ olokayamānā nisinnā. Ahampi pabbajissāmī’’ti. Tesaṃ ādittapaṇṇakuṭi viya tayo bhavā upaṭṭhahiṃsu. Te antarāpaṇato kasāyarasapītāni vatthāni mattikāpatte ca āharāpetvā aññamaññaṃ kese oropetvā ‘‘ye loke arahanto, te uddissa amhākaṃ pabbajjā’’ti pabbajitvā, thavikāsu patte pakkhipitvā aṃse laggetvā pāsādato otariṃsu. Gehe dāsesu vā kammakaresu vā na koci sañjāni.

    อถ เน พฺราหฺมณคามโต นิกฺขมฺม ทาสคามทฺวาเรน คจฺฉเนฺต อากปฺปกุตฺตวเสน ทาสคามวาสิโน สญฺชานิํสุฯ เต โรทนฺตา ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘กิํ, อเมฺห, อนาเถ กโรถ อยฺยา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘มยํ, ‘ภเณ, อาทิตฺตปณฺณสาลา วิย ตโย ภวา’ติ ปพฺพชิมฺหาฯ สเจ ตุเมฺหสุ เอเกกํ ภุชิสฺสํ กโรม, วสฺสสตมฺปิ นปฺปโหติฯ ตุเมฺหว ตุมฺหากํ สีสํ โธวิตฺวา ภุชิสฺสา หุตฺวา ชีวถา’’ติ วตฺวา เตสํ โรทนฺตานํเยว ปกฺกมิํสุฯ

    Atha ne brāhmaṇagāmato nikkhamma dāsagāmadvārena gacchante ākappakuttavasena dāsagāmavāsino sañjāniṃsu. Te rodantā pādesu nipatitvā ‘‘kiṃ, amhe, anāthe karotha ayyā’’ti āhaṃsu. ‘‘Mayaṃ, ‘bhaṇe, ādittapaṇṇasālā viya tayo bhavā’ti pabbajimhā. Sace tumhesu ekekaṃ bhujissaṃ karoma, vassasatampi nappahoti. Tumheva tumhākaṃ sīsaṃ dhovitvā bhujissā hutvā jīvathā’’ti vatvā tesaṃ rodantānaṃyeva pakkamiṃsu.

    เถโร ปุรโต คจฺฉโนฺต นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ, ภทฺทา กาปิลานี, สกลชมฺพุทีปคฺฆนิกา อิตฺถี มยฺหํ ปจฺฉโต อาคจฺฉติ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยํ โกจิเทว เอวํ จิเนฺตยฺย ‘อิเม ปพฺพชิตาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺติ, อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺตี’ติ, โกจิ ปาเปน มนํ ปทูเสตฺวา อปายปูรโก ภเวยฺย, อิมํ ปหาย มยฺหํ คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ โส ปุรโต คจฺฉโนฺต เทฺวธาปถํ ทิสฺวา ตสฺส มตฺถเก อฎฺฐาสิฯ ภทฺทาปิ อาคนฺตฺวา, วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ นํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ตาทิสิํ อิตฺถิํ มม ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘อิเม ปพฺพชิตาปิ วินา ภวิตุํ น สโกฺกนฺตี’ติ จิเนฺตตฺวา อเมฺหสุ ปทุฎฺฐจิโตฺต มหาชโน อปายปูรโก ภเวยฺยฯ อิมสฺมิํ เทฺวธาปเถ ตฺวํ เอกํ คณฺห, อหเมเกน คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาม, อยฺย, ปพฺพชิตานํ มาตุคาโม ปลิโพโธ, ‘ปพฺพชิตฺวาปิ วินา น ภวนฺตี’ติ อมฺหากํ โทสํ ทเสฺสสฺสนฺติ, ตุเมฺห เอกํ มคฺคํ คณฺหถ, วินา ภวิสฺสามา’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘สตสหสฺสกปฺปปริมาเณ อทฺธาเน กโต มิตฺตสนฺถโว อชฺช ภิชฺชตี’’ติ วตฺวา ‘‘ตุเมฺห ทกฺขิณชาติกา นาม, ตุมฺหากํ ทกฺขิณมโคฺค วฎฺฎติ, มยํ มาตุคามา นาม วามชาติกา, อมฺหากํ วามมโคฺค วฎฺฎตี’’ติ วนฺทิตฺวา มคฺคํ ปฎิปนฺนาฯ เตสํ เทฺวธาภูตกาเล อยํ มหาปถวี ‘‘อหํ จกฺกวาฬสิเนรุปพฺพเต ธาเรตุํ สโกฺกนฺตีปิ ตุมฺหากํ คุเณ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย วิรวมานา กมฺปิ, อากาเส อสนิสโทฺท วิย ปวตฺติ, จกฺกวาฬสิเนรุปพฺพโต อุนฺนทิฯ

    Thero purato gacchanto nivattitvā olokento cintesi – ‘‘ayaṃ, bhaddā kāpilānī, sakalajambudīpagghanikā itthī mayhaṃ pacchato āgacchati, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yaṃ kocideva evaṃ cinteyya ‘ime pabbajitāpi vinā bhavituṃ na sakkonti, ananucchavikaṃ karontī’ti, koci pāpena manaṃ padūsetvā apāyapūrako bhaveyya, imaṃ pahāya mayhaṃ gantuṃ vaṭṭatī’’ti cittaṃ uppādesi. So purato gacchanto dvedhāpathaṃ disvā tassa matthake aṭṭhāsi. Bhaddāpi āgantvā, vanditvā aṭṭhāsi. Atha naṃ āha – ‘‘bhadde, tādisiṃ itthiṃ mama pacchato āgacchantiṃ disvā ‘ime pabbajitāpi vinā bhavituṃ na sakkontī’ti cintetvā amhesu paduṭṭhacitto mahājano apāyapūrako bhaveyya. Imasmiṃ dvedhāpathe tvaṃ ekaṃ gaṇha, ahamekena gamissāmī’’ti. ‘‘Āma, ayya, pabbajitānaṃ mātugāmo palibodho, ‘pabbajitvāpi vinā na bhavantī’ti amhākaṃ dosaṃ dassessanti, tumhe ekaṃ maggaṃ gaṇhatha, vinā bhavissāmā’’ti tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu pañcapatiṭṭhitena vanditvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha ‘‘satasahassakappaparimāṇe addhāne kato mittasanthavo ajja bhijjatī’’ti vatvā ‘‘tumhe dakkhiṇajātikā nāma, tumhākaṃ dakkhiṇamaggo vaṭṭati, mayaṃ mātugāmā nāma vāmajātikā, amhākaṃ vāmamaggo vaṭṭatī’’ti vanditvā maggaṃ paṭipannā. Tesaṃ dvedhābhūtakāle ayaṃ mahāpathavī ‘‘ahaṃ cakkavāḷasinerupabbate dhāretuṃ sakkontīpi tumhākaṃ guṇe dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya viravamānā kampi, ākāse asanisaddo viya pavatti, cakkavāḷasinerupabbato unnadi.

    สมฺมาสมฺพุโทฺธ เวฬุวนมหาวิหาเร คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺน ปถวีกมฺปนสทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิสฺส นุ โข ปถวี กมฺปตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘ปิปฺปลิมาณโว จ ภทฺทา จ กาปิลานี มํ อุทฺทิสฺส อปฺปเมยฺยํ สมฺปตฺติํ ปหาย ปพฺพชิตาฯ เตสํ วิโยคฎฺฐาเน อุภินฺนํ คุณพเลน อยํ ปถวีกโมฺป ชาโตฯ มยาปิ เอเตสํ สงฺคหํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม สยเมว ปตฺตจีวรมาทาย อสีติมหาเถเรสุ กญฺจิปิ อนามเนฺตตฺวา ติคาวุตํ มคฺคํ ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ราชคหสฺส จ นาลนฺทาย จ อนฺตเร พหุปุตฺตกนิโคฺรธรุกฺขมูเล ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทิฯ นิสีทโนฺต ปน อญฺญตรปํสุกูลิโก วิย อนิสีทิตฺวา พุทฺธเวสํ คเหตฺวา อสีติหตฺถฆนพุทฺธรสฺมิโย วิสฺสเชฺชโนฺต นิสีทิฯ อิติ ตสฺมิํ ขเณ ปณฺณจฺฉตฺตสกฎจกฺกกูฎาคาราทิปฺปมาณา พุทฺธรสฺมิโย อิโต จิโต จ วิปฺผรนฺติโย วิธาวนฺติโย จนฺทสหสฺสสูริยสหสฺสอุคฺคมนกาโล วิย กุรุมานา ตํ วนนฺตํ เอโกภาสํ อกํสุฯ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณสิริยา สมุชฺชลตาราคเณน วิย คคนํ, สุปุปฺผิตกมลกุวลเยน วิย สลิลํ, วนนฺตํ วิโรจิตฺถฯ นิโคฺรธรุกฺขสฺส นาม ขโนฺธ เสโต โหติ, ปตฺตานิ นีลานิ, ปกฺกานิ รตฺตานิฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส สตสาโข นิโคฺรโธ สุวณฺณวโณฺณว อโหสิฯ

    Sammāsambuddho veḷuvanamahāvihāre gandhakuṭiyaṃ nisinno pathavīkampanasaddaṃ sutvā ‘‘kissa nu kho pathavī kampatī’’ti āvajjento ‘‘pippalimāṇavo ca bhaddā ca kāpilānī maṃ uddissa appameyyaṃ sampattiṃ pahāya pabbajitā. Tesaṃ viyogaṭṭhāne ubhinnaṃ guṇabalena ayaṃ pathavīkampo jāto. Mayāpi etesaṃ saṅgahaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti gandhakuṭito nikkhamma sayameva pattacīvaramādāya asītimahātheresu kañcipi anāmantetvā tigāvutaṃ maggaṃ paccuggamanaṃ katvā rājagahassa ca nālandāya ca antare bahuputtakanigrodharukkhamūle pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdi. Nisīdanto pana aññatarapaṃsukūliko viya anisīditvā buddhavesaṃ gahetvā asītihatthaghanabuddharasmiyo vissajjento nisīdi. Iti tasmiṃ khaṇe paṇṇacchattasakaṭacakkakūṭāgārādippamāṇā buddharasmiyo ito cito ca vippharantiyo vidhāvantiyo candasahassasūriyasahassauggamanakālo viya kurumānā taṃ vanantaṃ ekobhāsaṃ akaṃsu. Dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇasiriyā samujjalatārāgaṇena viya gaganaṃ, supupphitakamalakuvalayena viya salilaṃ, vanantaṃ virocittha. Nigrodharukkhassa nāma khandho seto hoti, pattāni nīlāni, pakkāni rattāni. Tasmiṃ pana divase satasākho nigrodho suvaṇṇavaṇṇova ahosi.

    มหากสฺสปเตฺถโร ‘‘อยํ อมฺหากํ สตฺถา ภวิสฺสติ, อิมํ อหํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิโต’’ติ ทิฎฺฐฎฺฐานโต ปฎฺฐาย โอณโตณโตว คนฺตฺวา ตีสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ‘‘สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา, สาวโกหมสฺมิ, สตฺถา เม, ภเนฺต, ภควา สาวโกหมสฺมี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อาหฯ อถ นํ ภควา อาห ‘‘กสฺสป, สเจ ตฺวํ อิมํ นิปจฺจการํ มหาปถวิยา กเรยฺยาสิ, สาปิ ธาเรตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ ตถาคตสฺส เอวํ คุณมหนฺตตํ ชานตา ตยา กโต นิปจฺจกาโร มยฺหํ, โลมมฺปิ จาเลตุํ น สโกฺกติฯ นิสีท, กสฺสป, ทายชฺชํ เต ทสฺสามี’’ติฯ อถสฺส ภควา ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทมทาสิฯ ทตฺวา พหุปุตฺตกนิโคฺรธมูลโต นิกฺขมิตฺวา เถรํ ปจฺฉาสมณํ กตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ สตฺถุ สรีรํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตํ, มหากสฺสปสฺส สรีรํ สตฺตมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ, โส กญฺจนมหานาวาย ปจฺฉาพโทฺธ วิย สตฺถุ ปทานุปทิกํ อนุคจฺฉิฯ สตฺถา โถกํ มคฺคํ คนฺตฺวา มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสชฺชาการํ ทเสฺสสิฯ เถโร ‘‘นิสีทิตุกาโม สตฺถา’’ติ ญตฺวา อตฺตโน ปารุปิตปฎปิโลติกสงฺฆาฎิํ จตุคฺคุณํ กตฺวา ปญฺญเปสิฯ

    Mahākassapatthero ‘‘ayaṃ amhākaṃ satthā bhavissati, imaṃ ahaṃ uddissa pabbajito’’ti diṭṭhaṭṭhānato paṭṭhāya oṇatoṇatova gantvā tīsu ṭhānesu vanditvā ‘‘satthā me, bhante, bhagavā, sāvakohamasmi, satthā me, bhante, bhagavā sāvakohamasmī’’ti (saṃ. ni. 2.154) āha. Atha naṃ bhagavā āha ‘‘kassapa, sace tvaṃ imaṃ nipaccakāraṃ mahāpathaviyā kareyyāsi, sāpi dhāretuṃ na sakkuṇeyya. Tathāgatassa evaṃ guṇamahantataṃ jānatā tayā kato nipaccakāro mayhaṃ, lomampi cāletuṃ na sakkoti. Nisīda, kassapa, dāyajjaṃ te dassāmī’’ti. Athassa bhagavā tīhi ovādehi upasampadamadāsi. Datvā bahuputtakanigrodhamūlato nikkhamitvā theraṃ pacchāsamaṇaṃ katvā maggaṃ paṭipajji. Satthu sarīraṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇavicittaṃ, mahākassapassa sarīraṃ sattamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ, so kañcanamahānāvāya pacchābaddho viya satthu padānupadikaṃ anugacchi. Satthā thokaṃ maggaṃ gantvā maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle nisajjākāraṃ dassesi. Thero ‘‘nisīditukāmo satthā’’ti ñatvā attano pārupitapaṭapilotikasaṅghāṭiṃ catugguṇaṃ katvā paññapesi.

    สตฺถา ตตฺถ นิสีทิตฺวา หเตฺถน จีวรํ ปริมชฺชโนฺต ‘‘มุทุกา โข ตฺยายํ, กสฺสป, ปฎปิโลติกสงฺฆาฎี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๕๔) อาหฯ เถโร ‘‘สตฺถา มม สงฺฆาฎิยา มุทุภาวํ กเถติ, ปารุปิตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘ปารุปตุ, ภเนฺต, ภควา สงฺฆาฎิ’’นฺติ อาหฯ ‘‘ตฺวํ กิํ ปารุปิสฺสสิ, กสฺสปา’’ติ? ‘‘ตุมฺหากํ นิวาสนํ ลภโนฺต ปารุปิสฺสามิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, กสฺสป, อิมํ ปริโภคชิณฺณํ ปํสุกูลํ ธาเรตุํ สกฺขิสฺสสิ? มยา หิ อิมสฺส ปํสุกูลสฺส คหิตทิวเส อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาปถวี กมฺปิ, อิมํ พุทฺธานํ ปริโภคชิณฺณจีวรํ นาม น สกฺกา ปริตฺตคุเณน ธาเรตุํ, ปฎิพเลเนวิทํ ปฎิปตฺติปูรณสมเตฺถน ชาติปํสุกูลิเกน ธาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา เถเรน สทฺธิํ จีวรํ ปริวเตฺตสิฯ

    Satthā tattha nisīditvā hatthena cīvaraṃ parimajjanto ‘‘mudukā kho tyāyaṃ, kassapa, paṭapilotikasaṅghāṭī’’ti (saṃ. ni. 2.154) āha. Thero ‘‘satthā mama saṅghāṭiyā mudubhāvaṃ katheti, pārupitukāmo bhavissatī’’ti ñatvā ‘‘pārupatu, bhante, bhagavā saṅghāṭi’’nti āha. ‘‘Tvaṃ kiṃ pārupissasi, kassapā’’ti? ‘‘Tumhākaṃ nivāsanaṃ labhanto pārupissāmi, bhante’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, kassapa, imaṃ paribhogajiṇṇaṃ paṃsukūlaṃ dhāretuṃ sakkhissasi? Mayā hi imassa paṃsukūlassa gahitadivase udakapariyantaṃ katvā mahāpathavī kampi, imaṃ buddhānaṃ paribhogajiṇṇacīvaraṃ nāma na sakkā parittaguṇena dhāretuṃ, paṭibalenevidaṃ paṭipattipūraṇasamatthena jātipaṃsukūlikena dhāretuṃ vaṭṭatī’’ti vatvā therena saddhiṃ cīvaraṃ parivattesi.

    เอวํ ปน จีวรปริวตฺตนํ กตฺวา เถรสฺส ปารุตจีวรํ ภควา ปารุปิ, สตฺถุ จีวรํ เถโรฯ ตสฺมิํ สมเย อเจตนาปิ อยํ มหาปถวี ‘‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, อกตฺถ, อตฺตนา ปารุตจีวรํ สาวกสฺส ทินฺนปุโพฺพ นาม นตฺถิ, อหํ ตุมฺหากํ คุณํ ธาเรตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทนฺตี วิย อุทกปริยนฺตํ กตฺวา กมฺปิฯ เถโรปิ ‘‘ลทฺธํ ทานิ มยา พุทฺธานํ ปริโภคจีวรํ, กิํ เม อิทานิ อุตฺตริ กตฺตพฺพํ อตฺถี’’ติ อุนฺนติํ อกตฺวา พุทฺธานํ สนฺติเกเยว เตรส ธุตคุเณ สมาทาย สตฺตทิวสมตฺตํ ปุถุชฺชโน อโหสิ, อฎฺฐเม ทิวเส สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ อปทาเน (อป. เถร ๑.๑.๓๙๘-๔๒๐) –

    Evaṃ pana cīvaraparivattanaṃ katvā therassa pārutacīvaraṃ bhagavā pārupi, satthu cīvaraṃ thero. Tasmiṃ samaye acetanāpi ayaṃ mahāpathavī ‘‘dukkaraṃ, bhante, akattha, attanā pārutacīvaraṃ sāvakassa dinnapubbo nāma natthi, ahaṃ tumhākaṃ guṇaṃ dhāretuṃ na sakkomī’’ti vadantī viya udakapariyantaṃ katvā kampi. Theropi ‘‘laddhaṃ dāni mayā buddhānaṃ paribhogacīvaraṃ, kiṃ me idāni uttari kattabbaṃ atthī’’ti unnatiṃ akatvā buddhānaṃ santikeyeva terasa dhutaguṇe samādāya sattadivasamattaṃ puthujjano ahosi, aṭṭhame divase saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ apadāne (apa. thera 1.1.398-420) –

    ‘‘ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต, โลกเชฎฺฐสฺส ตาทิโน;

    ‘‘Padumuttarassa bhagavato, lokajeṭṭhassa tādino;

    นิพฺพุเต โลกนาถมฺหิ, ปูชํ กุพฺพนฺติ สตฺถุโนฯ

    Nibbute lokanāthamhi, pūjaṃ kubbanti satthuno.

    ‘‘อุทคฺคจิตฺตา ชนตา, อาโมทิตปโมทิตา;

    ‘‘Udaggacittā janatā, āmoditapamoditā;

    เตสุ สํเวคชาเตสุ, ปีติ เส อุทปชฺชถฯ

    Tesu saṃvegajātesu, pīti se udapajjatha.

    ‘‘ญาติมิเตฺต สมาเนตฺวา, อิทํ วจนมพฺรวิํ;

    ‘‘Ñātimitte samānetvā, idaṃ vacanamabraviṃ;

    ปรินิพฺพุโต มหาวีโร, หนฺท ปูชํ กโรมเสฯ

    Parinibbuto mahāvīro, handa pūjaṃ karomase.

    ‘‘สาธูติ เต ปฎิสฺสุตฺวา, ภิโยฺย หาสํ ชนิํสุ เม;

    ‘‘Sādhūti te paṭissutvā, bhiyyo hāsaṃ janiṃsu me;

    พุทฺธสฺมิํ โลกนาถมฺหิ, กาหาม ปุญฺญสญฺจยํฯ

    Buddhasmiṃ lokanāthamhi, kāhāma puññasañcayaṃ.

    ‘‘อคฺฆิยํ สุกตํ กตฺวา, สตหตฺถสมุคฺคตํ;

    ‘‘Agghiyaṃ sukataṃ katvā, satahatthasamuggataṃ;

    ทิยฑฺฒหตฺถปตฺถฎํ, วิมานํ นภมุคฺคตํฯ

    Diyaḍḍhahatthapatthaṭaṃ, vimānaṃ nabhamuggataṃ.

    ‘‘กตฺวาน หมฺมิยํ ตตฺถ, ตาลปนฺตีหิ จิตฺติตํ;

    ‘‘Katvāna hammiyaṃ tattha, tālapantīhi cittitaṃ;

    สกํ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, เจติยํ ปูชยุตฺตมํฯ

    Sakaṃ cittaṃ pasādetvā, cetiyaṃ pūjayuttamaṃ.

    ‘‘อคฺคิกฺขโนฺธว ชลิโต, กิํสุโก อิว ผุลฺลิโต;

    ‘‘Aggikkhandhova jalito, kiṃsuko iva phullito;

    อินฺทลฎฺฐีว อากาเส, โอภาเสติ จตุทฺทิสาฯ

    Indalaṭṭhīva ākāse, obhāseti catuddisā.

    ‘‘ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา, กตฺวาน กุสลํ พหุํ;

    ‘‘Tattha cittaṃ pasādetvā, katvāna kusalaṃ bahuṃ;

    ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวาน, ติทสํ อุปปชฺชหํฯ

    Pubbakammaṃ saritvāna, tidasaṃ upapajjahaṃ.

    ‘‘สหสฺสยุตฺตํ หยวาหิํ, ทิพฺพยานมธิฎฺฐิโต;

    ‘‘Sahassayuttaṃ hayavāhiṃ, dibbayānamadhiṭṭhito;

    อุพฺพิทฺธํ ภวนํ มยฺหํ, สตฺตภูมํ สมุคฺคตํฯ

    Ubbiddhaṃ bhavanaṃ mayhaṃ, sattabhūmaṃ samuggataṃ.

    ‘‘กูฎาคารสหสฺสานิ, สพฺพโสณฺณมยา อหุํ;

    ‘‘Kūṭāgārasahassāni, sabbasoṇṇamayā ahuṃ;

    ชลนฺติ สกเตเชน, ทิสา สพฺพา ปภาสยํฯ

    Jalanti sakatejena, disā sabbā pabhāsayaṃ.

    ‘‘สนฺติ อเญฺญปิ นิยฺยูหา, โลหิตงฺคมยา ตทา;

    ‘‘Santi aññepi niyyūhā, lohitaṅgamayā tadā;

    เตปิ โชตนฺติ อาภาย, สมนฺตา จตุโร ทิสาฯ

    Tepi jotanti ābhāya, samantā caturo disā.

    ‘‘ปุญฺญกมฺมาภินิพฺพตฺตา, กูฎาคารา สุนิมฺมิตา;

    ‘‘Puññakammābhinibbattā, kūṭāgārā sunimmitā;

    มณิมยาปิ โชตนฺติ, ทิสา ทส สมนฺตโตฯ

    Maṇimayāpi jotanti, disā dasa samantato.

    ‘‘เตสํ อุโชฺชตมานานํ, โอภาโส วิปุโล อหุ;

    ‘‘Tesaṃ ujjotamānānaṃ, obhāso vipulo ahu;

    สเพฺพ เทเว อภิโภมิ, ปุญฺญกมฺมสฺสิทํ ผลํฯ

    Sabbe deve abhibhomi, puññakammassidaṃ phalaṃ.

    ‘‘สฎฺฐิกปฺปสหสฺสมฺหิ, อุพฺพิโทฺธ นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Saṭṭhikappasahassamhi, ubbiddho nāma khattiyo;

    จาตุรโนฺต วิชิตาวี, ปถวิํ อาวสิํ อหํฯ

    Cāturanto vijitāvī, pathaviṃ āvasiṃ ahaṃ.

    ‘‘ตเถว ภทฺทเก กเปฺป, ติํสกฺขตฺตุํ อโหสหํ;

    ‘‘Tatheva bhaddake kappe, tiṃsakkhattuṃ ahosahaṃ;

    สกกมฺมาภิรโทฺธมฺหิ, จกฺกวตฺตี มหพฺพโลฯ

    Sakakammābhiraddhomhi, cakkavattī mahabbalo.

    ‘‘สตฺตรตนสมฺปโนฺน, จตุทีปมฺหิ อิสฺสโร;

    ‘‘Sattaratanasampanno, catudīpamhi issaro;

    ตตฺถาปิ ภวนํ มยฺหํ, อินฺทลฎฺฐีว อุคฺคตํฯ

    Tatthāpi bhavanaṃ mayhaṃ, indalaṭṭhīva uggataṃ.

    ‘‘อายามโต จตุพฺพีสํ, วิตฺถาเรน จ ทฺวาทส;

    ‘‘Āyāmato catubbīsaṃ, vitthārena ca dvādasa;

    รมฺมณํ นาม นครํ, ทฬฺหปาการโตรณํฯ

    Rammaṇaṃ nāma nagaraṃ, daḷhapākāratoraṇaṃ.

    ‘‘อายามโต ปญฺจสตํ, วิตฺถาเรน ตทฑฺฒกํ;

    ‘‘Āyāmato pañcasataṃ, vitthārena tadaḍḍhakaṃ;

    อากิณฺณํ ชนกาเยหิ, ติทสานํ ปุรํ วิยฯ

    Ākiṇṇaṃ janakāyehi, tidasānaṃ puraṃ viya.

    ‘‘ยถา สูจิฆเร สูจี, ปกฺขิตฺตา ปณฺณวีสติ;

    ‘‘Yathā sūcighare sūcī, pakkhittā paṇṇavīsati;

    อญฺญมญฺญํ ปฆเฎฺฎนฺติ, อากิณฺณํ โหติ ลงฺกตํฯ

    Aññamaññaṃ paghaṭṭenti, ākiṇṇaṃ hoti laṅkataṃ.

    ‘‘เอวมฺปิ นครํ มยฺหํ, หตฺถิสฺสรถสํกุลํ;

    ‘‘Evampi nagaraṃ mayhaṃ, hatthissarathasaṃkulaṃ;

    มนุเสฺสหิ สทากิณฺณํ, รมฺมณํ นครุตฺตมํฯ

    Manussehi sadākiṇṇaṃ, rammaṇaṃ nagaruttamaṃ.

    ‘‘ตตฺถ ภุตฺวา ปิวิตฺวา จ, ปุน เทวตฺตนํ คโต;

    ‘‘Tattha bhutvā pivitvā ca, puna devattanaṃ gato;

    ภเว ปจฺฉิมเก มยฺหํ, อโหสิ กุลสมฺปทาฯ

    Bhave pacchimake mayhaṃ, ahosi kulasampadā.

    ‘‘พฺรหฺมญฺญกุลสมฺภูโต, มหารตนสญฺจโย;

    ‘‘Brahmaññakulasambhūto, mahāratanasañcayo;

    อสีติโกฎิโย หิตฺวา, หิรญฺญสฺสาปิ ปพฺพชิํฯ

    Asītikoṭiyo hitvā, hiraññassāpi pabbajiṃ.

    ‘‘ปฎิสมฺภิทา จตโสฺส…เป.… กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ

    ‘‘Paṭisambhidā catasso…pe… kataṃ buddhassa sāsana’’nti.

    อถ นํ สตฺถา ‘‘กสฺสโป, ภิกฺขเว, จนฺทูปโม กุลานิ อุปสงฺกมติ อปกเสฺสว กายํ, อปกสฺส จิตฺตํ, นิจฺจนวโก กุเลสุ อปฺปคโพฺภ’’ติ เอวมาทินา (สํ. นิ. ๒.๑๔๖) ปสํสิตฺวา อปรภาเค อริยคณมเชฺฌ นิสิโนฺน ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ธุตวาทานํ ยทิทํ มหากสฺสโป’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๘, ๑๙๑) ธุตงฺคธรานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิฯ โส วิเวกาภิรติกิตฺตนมุเขน ภิกฺขูนํ โอวาทํ เทโนฺต อตฺตโน ปฎิปตฺติํ ปกาเสโนฺต –

    Atha naṃ satthā ‘‘kassapo, bhikkhave, candūpamo kulāni upasaṅkamati apakasseva kāyaṃ, apakassa cittaṃ, niccanavako kulesu appagabbho’’ti evamādinā (saṃ. ni. 2.146) pasaṃsitvā aparabhāge ariyagaṇamajjhe nisinno ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ dhutavādānaṃ yadidaṃ mahākassapo’’ti (a. ni. 1.188, 191) dhutaṅgadharānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi. So vivekābhiratikittanamukhena bhikkhūnaṃ ovādaṃ dento attano paṭipattiṃ pakāsento –

    ๑๐๕๔.

    1054.

    ‘‘น คเณน ปุรกฺขโต จเร, วิมโน โหติ สมาธิ ทุลฺลโภ;

    ‘‘Na gaṇena purakkhato care, vimano hoti samādhi dullabho;

    นานาชนสงฺคโห ทุโข, อิติ ทิสฺวาน คณํ น โรจเยฯ

    Nānājanasaṅgaho dukho, iti disvāna gaṇaṃ na rocaye.

    ๑๐๕๕.

    1055.

    ‘‘น กุลานิ อุปพฺพเช มุนิ, วิมโน โหติ สมาธิ ทุลฺลโภ;

    ‘‘Na kulāni upabbaje muni, vimano hoti samādhi dullabho;

    โส อุสฺสุโกฺก รสานุคิโทฺธ, อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาวโหฯ

    So ussukko rasānugiddho, atthaṃ riñcati yo sukhāvaho.

    ๑๐๕๖.

    1056.

    ‘‘ปโงฺกติ หิ นํ อเวทยุํ, ยายํ วนฺทนปูชนา กุเลสุ;

    ‘‘Paṅkoti hi naṃ avedayuṃ, yāyaṃ vandanapūjanā kulesu;

    สุขุมํ สลฺลํ ทุรุพฺพหํ, สกฺกาโร กาปุริเสน ทุชฺชโหฯ

    Sukhumaṃ sallaṃ durubbahaṃ, sakkāro kāpurisena dujjaho.

    ๑๐๕๗.

    1057.

    ‘‘เสนาสนมฺหา โอรุยฺห, นครํ ปิณฺฑาย ปาวิสิํ;

    ‘‘Senāsanamhā oruyha, nagaraṃ piṇḍāya pāvisiṃ;

    ภุญฺชนฺตํ ปุริสํ กุฎฺฐิํ, สกฺกจฺจํ ตํ อุปฎฺฐหิํฯ

    Bhuñjantaṃ purisaṃ kuṭṭhiṃ, sakkaccaṃ taṃ upaṭṭhahiṃ.

    ๑๐๕๘.

    1058.

    ‘‘โส เม ปเกฺกน หเตฺถน, อาโลปํ อุปนามยิ;

    ‘‘So me pakkena hatthena, ālopaṃ upanāmayi;

    อาโลปํ ปกฺขิปนฺตสฺส, องฺคุลิ เจตฺถ ฉิชฺชถฯ

    Ālopaṃ pakkhipantassa, aṅguli cettha chijjatha.

    ๑๐๕๙.

    1059.

    ‘‘กุฎฺฎมูลญฺจ นิสฺสาย, อาโลปํ ตํ อภุญฺชิสํ;

    ‘‘Kuṭṭamūlañca nissāya, ālopaṃ taṃ abhuñjisaṃ;

    ภุญฺชมาเน วา ภุเตฺต วา, เชคุจฺฉํ เม น วิชฺชติฯ

    Bhuñjamāne vā bhutte vā, jegucchaṃ me na vijjati.

    ๑๐๖๐.

    1060.

    ‘‘อุตฺติฎฺฐปิโณฺฑ อาหาโร, ปูติมุตฺตญฺจ โอสธํ;

    ‘‘Uttiṭṭhapiṇḍo āhāro, pūtimuttañca osadhaṃ;

    เสนาสนํ รุกฺขมูลํ, ปํสุกูลญฺจ จีวรํ;

    Senāsanaṃ rukkhamūlaṃ, paṃsukūlañca cīvaraṃ;

    ยเสฺสเต อภิสมฺภุตฺวา, ส เว จาตุทฺทิโส นโรฯ

    Yassete abhisambhutvā, sa ve cātuddiso naro.

    ๑๐๖๑.

    1061.

    ‘‘ยตฺถ เอเก วิหญฺญนฺติ, อารุหนฺตา สิลุจฺจยํ;

    ‘‘Yattha eke vihaññanti, āruhantā siluccayaṃ;

    ตตฺถ พุทฺธสฺส ทายาโท, สมฺปชาโน ปฎิสฺสโต;

    Tattha buddhassa dāyādo, sampajāno paṭissato;

    อิทฺธิพเลนุปตฺถโทฺธ, กสฺสโป อภิรูหติฯ

    Iddhibalenupatthaddho, kassapo abhirūhati.

    ๑๐๖๒.

    1062.

    ‘‘ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต, เสลมารุยฺห กสฺสโป;

    ‘‘Piṇḍapātapaṭikkanto, selamāruyha kassapo;

    ฌายติ อนุปาทาโน, ปหีนภยเภรโวฯ

    Jhāyati anupādāno, pahīnabhayabheravo.

    ๑๐๖๓.

    1063.

    ‘‘ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต, เสลมารุยฺห กสฺสโป;

    ‘‘Piṇḍapātapaṭikkanto, selamāruyha kassapo;

    ฌายติ อนุปาทาโน, ฑยฺหมาเนสุ นิพฺพุโตฯ

    Jhāyati anupādāno, ḍayhamānesu nibbuto.

    ๑๐๖๔.

    1064.

    ‘‘ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต, เสลมารุยฺห กสฺสโป;

    ‘‘Piṇḍapātapaṭikkanto, selamāruyha kassapo;

    ฌายติ อนุปาทาโน, กตกิโจฺจ อนาสโวฯ

    Jhāyati anupādāno, katakicco anāsavo.

    ๑๐๖๕.

    1065.

    ‘‘กเรริมาลาวิตตา, ภูมิภาคา มโนรมา;

    ‘‘Karerimālāvitatā, bhūmibhāgā manoramā;

    กุญฺชราภิรุทา รมฺมา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Kuñjarābhirudā rammā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๖๖.

    1066.

    ‘‘นีลพฺภวณฺณา รุจิรา, วาริสีตา สุจินฺธรา;

    ‘‘Nīlabbhavaṇṇā rucirā, vārisītā sucindharā;

    อินฺทโคปกสญฺฉนฺนา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Indagopakasañchannā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๖๗.

    1067.

    ‘‘นีลพฺภกูฎสทิสา, กูฎาคารวรูปมา;

    ‘‘Nīlabbhakūṭasadisā, kūṭāgāravarūpamā;

    วารณาภิรุทา รมฺมา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Vāraṇābhirudā rammā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๖๘.

    1068.

    ‘‘อภิวุฎฺฐา รมฺมตลา, นคา อิสิภิ เสวิตา;

    ‘‘Abhivuṭṭhā rammatalā, nagā isibhi sevitā;

    อพฺภุนฺนทิตา สิขีหิ, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Abbhunnaditā sikhīhi, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๖๙.

    1069.

    ‘‘อลํ ฌายิตุกามสฺส, ปหิตตฺตสฺส เม สโต;

    ‘‘Alaṃ jhāyitukāmassa, pahitattassa me sato;

    อลํ เม อตฺถกามสฺส, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโนฯ

    Alaṃ me atthakāmassa, pahitattassa bhikkhuno.

    ๑๐๗๐.

    1070.

    ‘‘อลํ เม ผาสุกามสฺส, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน;

    ‘‘Alaṃ me phāsukāmassa, pahitattassa bhikkhuno;

    อลํ เม โยคกามสฺส, ปหิตตฺตสฺส ตาทิโนฯ

    Alaṃ me yogakāmassa, pahitattassa tādino.

    ๑๐๗๑.

    1071.

    ‘‘อุมาปุเปฺผน สมานา, คคนาวพฺภฉาทิตา;

    ‘‘Umāpupphena samānā, gaganāvabbhachāditā;

    นานาทิชคณากิณฺณา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Nānādijagaṇākiṇṇā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๗๒.

    1072.

    ‘‘อนากิณฺณา คหเฎฺฐหิ, มิคสงฺฆนิเสวิตา;

    ‘‘Anākiṇṇā gahaṭṭhehi, migasaṅghanisevitā;

    นานาทิชคณากิณฺณา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Nānādijagaṇākiṇṇā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๗๓.

    1073.

    ‘‘อโจฺฉทิกา ปุถุสิลา, โคนงฺคุลมิคายุตา;

    ‘‘Acchodikā puthusilā, gonaṅgulamigāyutā;

    อมฺพุเสวาลสญฺฉนฺนา, เต เสลา รมยนฺติ มํฯ

    Ambusevālasañchannā, te selā ramayanti maṃ.

    ๑๐๗๔.

    1074.

    ‘‘น ปญฺจงฺคิเกน ตูริเยน, รติ เม โหติ ตาทิสี;

    ‘‘Na pañcaṅgikena tūriyena, rati me hoti tādisī;

    ยถา เอกคฺคจิตฺตสฺส, สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสโตฯ

    Yathā ekaggacittassa, sammā dhammaṃ vipassato.

    ๑๐๗๕.

    1075.

    ‘‘กมฺมํ พหุกํ น การเย, ปริวเชฺชยฺย ชนํ น อุยฺยเม;

    ‘‘Kammaṃ bahukaṃ na kāraye, parivajjeyya janaṃ na uyyame;

    อุสฺสุโกฺก โส รสานุคิโทฺธ, อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาวโหฯ

    Ussukko so rasānugiddho, atthaṃ riñcati yo sukhāvaho.

    ๑๐๗๖.

    1076.

    ‘‘กมฺมํ พหุกํ น การเย, ปริวเชฺชยฺย อนตฺตเนยฺยเมตํ;

    ‘‘Kammaṃ bahukaṃ na kāraye, parivajjeyya anattaneyyametaṃ;

    กิจฺฉติ กาโย กิลมติ, ทุกฺขิโต โส สมถํ น วินฺทติฯ

    Kicchati kāyo kilamati, dukkhito so samathaṃ na vindati.

    ๑๐๗๗.

    1077.

    ‘‘โอฎฺฐปฺปหตมเตฺตน, อตฺตานมฺปิ น ปสฺสติ;

    ‘‘Oṭṭhappahatamattena, attānampi na passati;

    ปตฺถทฺธคีโว จรติ, อหํ เสโยฺยติ มญฺญติฯ

    Patthaddhagīvo carati, ahaṃ seyyoti maññati.

    ๑๐๗๘.

    1078.

    ‘‘อเสโยฺย เสยฺยสมานํ, พาโล มญฺญติ อตฺตานํ;

    ‘‘Aseyyo seyyasamānaṃ, bālo maññati attānaṃ;

    น ตํ วิญฺญู ปสํสนฺติ, ปตฺถทฺธมานสํ นรํฯ

    Na taṃ viññū pasaṃsanti, patthaddhamānasaṃ naraṃ.

    ๑๐๗๙.

    1079.

    ‘‘โย จ เสโยฺยหมสฺมีติ, นาหํ เสโยฺยติ วา ปน;

    ‘‘Yo ca seyyohamasmīti, nāhaṃ seyyoti vā pana;

    หีโน ตํสทิโส วาติ, วิธาสุ น วิกมฺปติฯ

    Hīno taṃsadiso vāti, vidhāsu na vikampati.

    ๑๐๘๐.

    1080.

    ‘‘ปญฺญวนฺตํ ตถา ตาทิํ, สีเลสุ สุสมาหิตํ;

    ‘‘Paññavantaṃ tathā tādiṃ, sīlesu susamāhitaṃ;

    เจโตสมถมนุยุตฺตํ, ตเญฺจ วิญฺญู ปสํสเรฯ

    Cetosamathamanuyuttaṃ, tañce viññū pasaṃsare.

    ๑๐๘๑.

    1081.

    ‘‘ยสฺส สพฺรหฺมจารีสุ, คารโว นูปลพฺภติ;

    ‘‘Yassa sabrahmacārīsu, gāravo nūpalabbhati;

    อารกา โหติ สทฺธมฺมา, นภโต ปุถวี ยถาฯ

    Ārakā hoti saddhammā, nabhato puthavī yathā.

    ๑๐๘๒.

    1082.

    ‘‘เยสญฺจ หิริ โอตฺตปฺปํ, สทา สมฺมา อุปฎฺฐิตํ;

    ‘‘Yesañca hiri ottappaṃ, sadā sammā upaṭṭhitaṃ;

    วิรูฬฺหพฺรหฺมจริยา เต, เตสํ ขีณา ปุนพฺภวาฯ

    Virūḷhabrahmacariyā te, tesaṃ khīṇā punabbhavā.

    ๑๐๘๓.

    1083.

    ‘‘อุทฺธโต จปโล ภิกฺขุ, ปํสุกูเลน ปารุโต;

    ‘‘Uddhato capalo bhikkhu, paṃsukūlena pāruto;

    กปีว สีหจเมฺมน, น โส เตนุปโสภติฯ

    Kapīva sīhacammena, na so tenupasobhati.

    ๑๐๘๔.

    1084.

    ‘‘อนุทฺธโต อจปโล, นิปโก สํวุตินฺทฺริโย;

    ‘‘Anuddhato acapalo, nipako saṃvutindriyo;

    โสภติ ปํสุกูเลน, สีโหว คิริคพฺภเรฯ

    Sobhati paṃsukūlena, sīhova girigabbhare.

    ๑๐๘๕.

    1085.

    ‘‘เอเต สมฺพหุลา เทวา, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Ete sambahulā devā, iddhimanto yasassino;

    ทสเทวสหสฺสานิ, สเพฺพ เต พฺรหฺมกายิกาฯ

    Dasadevasahassāni, sabbe te brahmakāyikā.

    ๑๐๘๖.

    1086.

    ‘‘ธมฺมเสนาปติํ วีรํ, มหาฌายิํ สมาหิตํ;

    ‘‘Dhammasenāpatiṃ vīraṃ, mahājhāyiṃ samāhitaṃ;

    สาริปุตฺตํ นมสฺสนฺตา, ติฎฺฐนฺติ ปญฺชลีกตาฯ

    Sāriputtaṃ namassantā, tiṭṭhanti pañjalīkatā.

    ๑๐๘๗.

    1087.

    ‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม;

    ‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama;

    ยสฺส เต นาภิชานาม, ยมฺปิ นิสฺสาย ฌายติฯ

    Yassa te nābhijānāma, yampi nissāya jhāyati.

    ๑๐๘๘.

    1088.

    ‘‘อเจฺฉรํ วต พุทฺธานํ, คมฺภีโร โคจโร สโก;

    ‘‘Accheraṃ vata buddhānaṃ, gambhīro gocaro sako;

    เย มยํ นาภิชานาม, วาลเวธิสมาคตาฯ

    Ye mayaṃ nābhijānāma, vālavedhisamāgatā.

    ๑๐๘๙.

    1089.

    ‘‘ตํ ตถา เทวกาเยหิ, ปูชิตํ ปูชนารหํ;

    ‘‘Taṃ tathā devakāyehi, pūjitaṃ pūjanārahaṃ;

    สาริปุตฺตํ ตทา ทิสฺวา, กปฺปินสฺส สิตํ อหุฯ

    Sāriputtaṃ tadā disvā, kappinassa sitaṃ ahu.

    ๑๐๙๐.

    1090.

    ‘‘ยาวตา พุทฺธเขตฺตมฺหิ, ฐปยิตฺวา มหามุนิํ;

    ‘‘Yāvatā buddhakhettamhi, ṭhapayitvā mahāmuniṃ;

    ธุตคุเณ วิสิโฎฺฐหํ, สทิโส เม น วิชฺชติฯ

    Dhutaguṇe visiṭṭhohaṃ, sadiso me na vijjati.

    ๑๐๙๑.

    1091.

    ‘‘ปริจิโณฺณ มยา สตฺถา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํ;

    ‘‘Pariciṇṇo mayā satthā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ;

    โอหิโต ครุโก ภาโร, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโวฯ

    Ohito garuko bhāro, natthi dāni punabbhavo.

    ๑๐๙๒.

    1092.

    ‘‘น จีวเร น สยเน, โภชเน นุปลิมฺปติ;

    ‘‘Na cīvare na sayane, bhojane nupalimpati;

    โคตโม อนปฺปเมโยฺย, มูฬาลปุปฺผํ วิมลํว;

    Gotamo anappameyyo, mūḷālapupphaṃ vimalaṃva;

    อมฺพุนา เนกฺขมฺมนิโนฺน, ติภวาภินิสฺสโฎฯ

    Ambunā nekkhammaninno, tibhavābhinissaṭo.

    ๑๐๙๓.

    1093.

    ‘‘สติปฎฺฐานคีโว โส, สทฺธาหโตฺถ มหามุนิ;

    ‘‘Satipaṭṭhānagīvo so, saddhāhattho mahāmuni;

    ปญฺญาสีโส มหาญาณี, สทา จรติ นิพฺพุโต’’ติฯ –

    Paññāsīso mahāñāṇī, sadā carati nibbuto’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ ตตฺถ อาทิโต ติโสฺส คาถา คเณสุ กุเลสุ จ สํสเฎฺฐ ภิกฺขู ทิสฺวา เตสํ โอวาททานวเสน วุตฺตาฯ

    Imā gāthā abhāsi. Tattha ādito tisso gāthā gaṇesu kulesu ca saṃsaṭṭhe bhikkhū disvā tesaṃ ovādadānavasena vuttā.

    ตตฺถ น คเณน ปุรกฺขโต จเรติ ภิกฺขุคเณหิ ปุรกฺขโต ปริวาริโต หุตฺวา น จเรยฺย น วิหเรยฺยฯ กสฺมา? วิมโน โหติ สมาธิ ทุลฺลโภ คณํ ปริหรนฺตสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยา พฺยากุลมนตาย, อุเทฺทเสน โอวาเทน อนุสาสนิยา อนุคฺคหํ กโรโนฺต ยถานุสิฎฺฐํ อปฺปฎิปตฺติยา จ วิมโน วิการิภูตจิโตฺต โหติ, ตโต สํสเคฺคน เอกคฺคตํ อลภนฺตสฺส สมาธิ ทุลฺลโภ โหติฯ ตถารูปสฺส หิ อุปจารสมาธิมตฺตมฺปิ น อิชฺฌติ, ปเคว อิตโรฯ นานาชนสงฺคโหติ นานชฺฌาสยสฺส นานารุจิกสฺส ชนสฺส เปยฺยขชฺชาทินา สงฺคโหฯ ทุโขติ กิโจฺฉ กสิโรฯ อิติ ทิสฺวานาติ เอวํ คณสงฺคเห พหุวิธํ อาทีนวํ ทิสฺวา ญาณจกฺขุนา โอโลเกตฺวาฯ คณํ คณวาสํ น โรจเย น โรเจยฺย น อิเจฺฉยฺยฯ

    Tattha na gaṇena purakkhato careti bhikkhugaṇehi purakkhato parivārito hutvā na careyya na vihareyya. Kasmā? Vimano hoti samādhi dullabho gaṇaṃ pariharantassa dukkhuppattiyā byākulamanatāya, uddesena ovādena anusāsaniyā anuggahaṃ karonto yathānusiṭṭhaṃ appaṭipattiyā ca vimano vikāribhūtacitto hoti, tato saṃsaggena ekaggataṃ alabhantassa samādhi dullabho hoti. Tathārūpassa hi upacārasamādhimattampi na ijjhati, pageva itaro. Nānājanasaṅgahoti nānajjhāsayassa nānārucikassa janassa peyyakhajjādinā saṅgaho. Dukhoti kiccho kasiro. Iti disvānāti evaṃ gaṇasaṅgahe bahuvidhaṃ ādīnavaṃ disvā ñāṇacakkhunā oloketvā. Gaṇaṃ gaṇavāsaṃ na rocaye na roceyya na iccheyya.

    น กุลานิ อุปพฺพเช มุนีติ อิมสฺมิํ สาสเน ปพฺพชิโต ขตฺติยาทิกุลูปโก หุตฺวา น อุปคเจฺฉยฺยฯ กิํการณา? วิมโน โหติ สมาธิ ทุลฺลโภฯ โส อุสฺสุโกฺก กุลูปสงฺกมเน อุสฺสุกฺกํ อาปโนฺน กุเลสุ ลทฺธเพฺพสุ มธุราทิรเสสุ อนุคิโทฺธ เคธํ อาปโนฺน ตตฺถ อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนาว โยคํ อาปชฺชโนฺตฯ อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาวโหติ โย อตฺตโน มคฺคผลนิพฺพานสุขาวโห ตํ สีลวิสุทฺธิอาทิสงฺขาตํ อตฺถํ ริญฺจติ ชหติ, นานุยุญฺชตีติ อโตฺถฯ

    Na kulāni upabbaje munīti imasmiṃ sāsane pabbajito khattiyādikulūpako hutvā na upagaccheyya. Kiṃkāraṇā? Vimano hoti samādhi dullabho. So ussukko kulūpasaṅkamane ussukkaṃ āpanno kulesu laddhabbesu madhurādirasesu anugiddho gedhaṃ āpanno tattha uppannesu kiccakaraṇīyesu attanāva yogaṃ āpajjanto. Atthaṃ riñcati yo sukhāvahoti yo attano maggaphalanibbānasukhāvaho taṃ sīlavisuddhiādisaṅkhātaṃ atthaṃ riñcati jahati, nānuyuñjatīti attho.

    ตติยคาถา เหฎฺฐา วุตฺตา เอวฯ

    Tatiyagāthā heṭṭhā vuttā eva.

    เสนาสนมฺหา โอรุยฺหาติอาทิกา จตโสฺส คาถา ปจฺจเยสุ อตฺตโน สโนฺตสทสฺสนมุเขน ‘‘ภิกฺขุนา นาม เอวํ ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ ภิกฺขูนํ โอวาททานวเสน วุตฺตาฯ ตตฺถ เสนาสนมฺหา โอรุยฺหาติ ปพฺพตเสนาสนตฺตา วุตฺตํฯ สกฺกจฺจํ ตํ อุปฎฺฐหินฺติ ตํ กุฎฺฐิปุริสํ อุฬารสมฺปตฺติํ ปาเปตุกามตาย ภิกฺขาย อตฺถิโก หุตฺวา ปณีตภิกฺขทายกํ กุลํ มหิจฺฉปุคฺคโล วิย อาทเรน อุปคนฺตฺวา อฎฺฐาสิํฯ

    Senāsanamhā oruyhātiādikā catasso gāthā paccayesu attano santosadassanamukhena ‘‘bhikkhunā nāma evaṃ paṭipajjitabba’’nti bhikkhūnaṃ ovādadānavasena vuttā. Tattha senāsanamhā oruyhāti pabbatasenāsanattā vuttaṃ. Sakkaccaṃ taṃ upaṭṭhahinti taṃ kuṭṭhipurisaṃ uḷārasampattiṃ pāpetukāmatāya bhikkhāya atthiko hutvā paṇītabhikkhadāyakaṃ kulaṃ mahicchapuggalo viya ādarena upagantvā aṭṭhāsiṃ.

    ปเกฺกนาติ อฎฺฐิคตกุฎฺฐโรคตาย อุปเกฺกน กุถิเตนฯ องฺคุลิ เจตฺถ ฉิชฺชถาติ เอตฺถ ปเตฺต ตสฺส องฺคุลิ ฉิชฺชิตฺวา อาหาเรน สทฺธิํ ปตตีติ อโตฺถฯ

    Pakkenāti aṭṭhigatakuṭṭharogatāya upakkena kuthitena. Aṅguli cettha chijjathāti ettha patte tassa aṅguli chijjitvā āhārena saddhiṃ patatīti attho.

    กุฎฺฎมูลํ นิสฺสายาติ ตสฺส ปุริสสฺส ปสาทชนนตฺถํ ตาทิเส ฆรภิตฺติสมีเป นิสีทิตฺวา อาโลปํ ตํ อภุญฺชิสํ ปริภุญฺชิํฯ อยํ ปน เถรสฺส ปฎิปตฺติ สิกฺขาปเท อปญฺญเตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปฎิกฺกูเล จ อปฺปฎิกฺกูเล อิว อปฺปฎิกฺกูลสญฺญิตาย อริยิทฺธิยา อุกฺกํสคตตฺตา เถรสฺส ตํ อโชฺฌหรนฺตสฺส ชิคุจฺฉา น อุปฺปชฺชิ, ปุถุชฺชนสฺส ปน ตาทิสํ ภุญฺชนฺตสฺส อนฺตานิ นิกฺขเมยฺยุํฯ เตนาห ‘‘ภุญฺชมาเน วา ภุเตฺต วา, เชคุจฺฉํ เม น วิชฺชตี’’ติฯ

    Kuṭṭamūlaṃ nissāyāti tassa purisassa pasādajananatthaṃ tādise gharabhittisamīpe nisīditvā ālopaṃ taṃ abhuñjisaṃ paribhuñjiṃ. Ayaṃ pana therassa paṭipatti sikkhāpade apaññatteti daṭṭhabbaṃ. Paṭikkūle ca appaṭikkūle iva appaṭikkūlasaññitāya ariyiddhiyā ukkaṃsagatattā therassa taṃ ajjhoharantassa jigucchā na uppajji, puthujjanassa pana tādisaṃ bhuñjantassa antāni nikkhameyyuṃ. Tenāha ‘‘bhuñjamāne vā bhutte vā, jegucchaṃ me na vijjatī’’ti.

    อุตฺติฎฺฐปิโณฺฑติ อุตฺติฎฺฐิตฺวา ปเรสํ ฆรทฺวาเร ฐตฺวา คเหตพฺพปิโณฺฑ, ชงฺฆพลํ นิสฺสาย อนุฆรํ คนฺตฺวา ลทฺธพฺพมิสฺสกภิกฺขาติ อโตฺถฯ ปูติมุตฺตนฺติ โคมุตฺตปริภาวิตหรีฎกาทิ จฯ ยเสฺสเต อภิสมฺภุตฺวาติ, โย ภิกฺขุ เอเต อุตฺติฎฺฐปิณฺฑาทโย จตฺตาโร ปจฺจเย อนฺติมเนฺตน อภิรมิตฺวา ปริภุญฺชติฯ ส เว จาตุทฺทิโส นโรติ โส ปุคฺคโล เอกํเสน จาตุทฺทิโส ปุรตฺถิมาทิจตุทิสาโยโคฺย, กตฺถจิ อปฺปฎิโฆ ยาย กายจิ ทิสาย วิหริตุํ สโกฺกตีติ อโตฺถฯ

    Uttiṭṭhapiṇḍoti uttiṭṭhitvā paresaṃ gharadvāre ṭhatvā gahetabbapiṇḍo, jaṅghabalaṃ nissāya anugharaṃ gantvā laddhabbamissakabhikkhāti attho. Pūtimuttanti gomuttaparibhāvitaharīṭakādi ca. Yassete abhisambhutvāti, yo bhikkhu ete uttiṭṭhapiṇḍādayo cattāro paccaye antimantena abhiramitvā paribhuñjati. Sa ve cātuddiso naroti so puggalo ekaṃsena cātuddiso puratthimādicatudisāyogyo, katthaci appaṭigho yāya kāyaci disāya viharituṃ sakkotīti attho.

    อถ เถโร อตฺตโน มหลฺลกกาเล มนุเสฺสหิ ‘‘กถํ, ภเนฺต, ตุเมฺห เอวรูปาย ชราย วตฺตมานาย ทิเน ทิเน ปพฺพตํ อภิรุหถา’’ติ วุเตฺต ‘‘ยตฺถ เอเก’’ติอาทิกา จตโสฺส คาถา อภาสิฯ ตตฺถ ยตฺถาติ ยสฺมิํ ปจฺฉิมวเยฯ เอเกติ เอกเจฺจฯ วิหญฺญนฺตีติ สรีรกิลมเถน จิเตฺตน วิฆาตํ อาปชฺชนฺติฯ สิลุจฺจยนฺติ ปพฺพตํฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ชราชิณฺณกาเลปิฯ สมฺปชาโน ปฎิสฺสโตติ อิมินา จิตฺตเขทาภาวํ ทเสฺสติ, อิทฺธิพเลนุปตฺถโทฺธติ อิมินา สรีรเขทาภาวํฯ

    Atha thero attano mahallakakāle manussehi ‘‘kathaṃ, bhante, tumhe evarūpāya jarāya vattamānāya dine dine pabbataṃ abhiruhathā’’ti vutte ‘‘yattha eke’’tiādikā catasso gāthā abhāsi. Tattha yatthāti yasmiṃ pacchimavaye. Eketi ekacce. Vihaññantīti sarīrakilamathena cittena vighātaṃ āpajjanti. Siluccayanti pabbataṃ. Tatthāti tasmiṃ jarājiṇṇakālepi. Sampajāno paṭissatoti iminā cittakhedābhāvaṃ dasseti, iddhibalenupatthaddhoti iminā sarīrakhedābhāvaṃ.

    ภยเหตูนํ กิเลสานํ สมุจฺฉินฺนตฺตา ปหีนภยเภรโว

    Bhayahetūnaṃ kilesānaṃ samucchinnattā pahīnabhayabheravo.

    ฑยฺหมาเนสูติ ราคคฺคิอาทีหิ เอกาทสหิ อคฺคีหิ สเตฺตสุ ฑยฺหมาเนสุฯ สํกิเลสปริฬาหาภาเวน นิพฺพุโต สีติภูโตฯ

    Ḍayhamānesūti rāgaggiādīhi ekādasahi aggīhi sattesu ḍayhamānesu. Saṃkilesapariḷāhābhāvena nibbuto sītibhūto.

    ปุน มนุเสฺสหิ ‘‘กิํ, ภเนฺต, ชิณฺณกาเลปิ อรญฺญปพฺพเตเยว วิหรถ, นนุ อิเม เวฬุวนาทโย วิหารา มโนรมา’’ติ วุเตฺต อรญฺญปพฺพตา เอว มยฺหํ มโนรมาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘กเรริมาลาวิตตา’’ติอาทิกา ทฺวาทส คาถา อภาสิฯ ตตฺถ กเรริมาลาวิตตาติ วรุณรุกฺขปนฺตีหิ สมาคตาฯ ‘‘กาลวณฺณปุเปฺผหิ โอตฺถฎา’’ติปิ วทนฺติฯ กุญฺชราภิรุทาติ ปฎิโฆสาทิคุณีภูเตหิ หตฺถีนํ โคจเรสีนํ คชฺชิเตหิ อภิตฺถนิตาฯ

    Puna manussehi ‘‘kiṃ, bhante, jiṇṇakālepi araññapabbateyeva viharatha, nanu ime veḷuvanādayo vihārā manoramā’’ti vutte araññapabbatā eva mayhaṃ manoramāti dassento ‘‘karerimālāvitatā’’tiādikā dvādasa gāthā abhāsi. Tattha karerimālāvitatāti varuṇarukkhapantīhi samāgatā. ‘‘Kālavaṇṇapupphehi otthaṭā’’tipi vadanti. Kuñjarābhirudāti paṭighosādiguṇībhūtehi hatthīnaṃ gocaresīnaṃ gajjitehi abhitthanitā.

    อภิวุฎฺฐาติ มหาเมเฆน อภิปฺปวุฎฺฐาฯ รมฺมตลาติ เตเนว รโชชลฺลปเณฺณยฺยาทีนํ อปคเมน รมณียตลาฯ นคาติ เทสนฺตรํ อคมนโต ‘‘นคา’’ติ เสลมยตาย ‘‘เสลา’’ติ จ ลทฺธนามา ปพฺพตาฯ อพฺภุนฺนทิตา สิขีหีติ มธุรสฺสเรน อุนฺนทิตาฯ

    Abhivuṭṭhāti mahāmeghena abhippavuṭṭhā. Rammatalāti teneva rajojallapaṇṇeyyādīnaṃ apagamena ramaṇīyatalā. Nagāti desantaraṃ agamanato ‘‘nagā’’ti selamayatāya ‘‘selā’’ti ca laddhanāmā pabbatā. Abbhunnaditā sikhīhīti madhurassarena unnaditā.

    อลนฺติ ยุตฺตํ สมตฺถํ วาฯ ฌายิตุกามสฺส อตฺถกามสฺสาติอาทีสุปิ อิมินา นเยน โยเชตพฺพํฯ ภิกฺขุโนติ ภินฺนกิเลสภิกฺขุโน, เมติ สมฺพโนฺธฯ

    Alanti yuttaṃ samatthaṃ vā. Jhāyitukāmassa atthakāmassātiādīsupi iminā nayena yojetabbaṃ. Bhikkhunoti bhinnakilesabhikkhuno, meti sambandho.

    อุมาปุเปฺผน สมานาติ เมจกนิภตาย อุมากุสุมสทิสาฯ คคนาวพฺภ ฉาทิตาติ ตโต เอว สรทสฺส คคนอพฺภา วิย กาฬเมฆสญฺฉาทิตา, นีลวณฺณาติ อโตฺถฯ

    Umāpupphenasamānāti mecakanibhatāya umākusumasadisā. Gaganāvabbha chāditāti tato eva saradassa gaganaabbhā viya kāḷameghasañchāditā, nīlavaṇṇāti attho.

    อนากิณฺณาติ อสํกิณฺณา อสมฺพาธาฯ ปญฺจงฺคิเกนาติ อาตตาทีหิ ปญฺจหิ อเงฺคหิ ยุเตฺตน ตูริเยน ปริวาริยมานสฺส ตาทิสีปิ น โหติ, ยถา ยาทิสี เอกคฺคจิตฺตสฺส สมาหิตจิตฺตสฺส สมฺมเทว รูปารูปธมฺมํ อนิจฺจาทิวเสน วิปสฺสนฺตสฺส รติ โหติฯ เตนาห ภควา –

    Anākiṇṇāti asaṃkiṇṇā asambādhā. Pañcaṅgikenāti ātatādīhi pañcahi aṅgehi yuttena tūriyena parivāriyamānassa tādisīpi na hoti, yathā yādisī ekaggacittassa samāhitacittassa sammadeva rūpārūpadhammaṃ aniccādivasena vipassantassa rati hoti. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ยโต ยโต สมฺมสติ, ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ;

    ‘‘Yato yato sammasati, khandhānaṃ udayabbayaṃ;

    ลภตี ปีติปาโมชฺชํ, อมตํ ตํ วิชานต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๗๔)

    Labhatī pītipāmojjaṃ, amataṃ taṃ vijānata’’nti. (dha. pa. 374)

    กมฺมํ พหุกนฺติอาทินา เทฺว คาถา กมฺมารามานํ ปจฺจยคิทฺธานํ ภิกฺขูนํ โอวาททานวเสน วุตฺตาฯ ตตฺถ กมฺมํ พหุกํ น การเยติ กมฺมาราโม หุตฺวา พหุํ นาม กมฺมํ น การเย น อธิฎฺฐเห, ขณฺฑผุลฺลปฎิสงฺขรณํ ปน สตฺถารา อนุญฺญาตเมวฯ ปริวเชฺชยฺย ชนนฺติ อกลฺยาณมิตฺตภูตํ ชนํ วเชฺชยฺยฯ น อุยฺยเมติ ปจฺจยุปฺปาทนคณพนฺธาทิวเสน วายามํ น กเรยฺยฯ

    Kammaṃ bahukantiādinā dve gāthā kammārāmānaṃ paccayagiddhānaṃ bhikkhūnaṃ ovādadānavasena vuttā. Tattha kammaṃ bahukaṃ na kārayeti kammārāmo hutvā bahuṃ nāma kammaṃ na kāraye na adhiṭṭhahe, khaṇḍaphullapaṭisaṅkharaṇaṃ pana satthārā anuññātameva. Parivajjeyya jananti akalyāṇamittabhūtaṃ janaṃ vajjeyya. Na uyyameti paccayuppādanagaṇabandhādivasena vāyāmaṃ na kareyya.

    อนตฺตเนยฺยเมตนฺติ เอตํ นวกมฺมาธิฎฺฐานาทิกํ อตฺตโน อตฺถาวหํ น โหตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ การณมาห ‘‘กิจฺฉติ กาโย กิลมตี’’ติฯ นวกมฺมาทิปสุตสฺส หิ ตหํ ตหํ วิจรโต กายสุขาทิอลาเภน กิจฺฉปฺปโตฺต โหติ กิลมติ เขทํ อาปชฺชติ, เตน จ กายกิลมเถน ทุกฺขิโตฯ วตฺถุวิสทอตฺตเนยฺยกิริยาทีนํ อภาเวน โส ปุคฺคโล สมถํ น วินฺทติ จิตฺตสมาธานํ น ลภตีติฯ

    Anattaneyyametanti etaṃ navakammādhiṭṭhānādikaṃ attano atthāvahaṃ na hotīti attho. Tattha kāraṇamāha ‘‘kicchati kāyo kilamatī’’ti. Navakammādipasutassa hi tahaṃ tahaṃ vicarato kāyasukhādialābhena kicchappatto hoti kilamati khedaṃ āpajjati, tena ca kāyakilamathena dukkhito. Vatthuvisadaattaneyyakiriyādīnaṃ abhāvena so puggalo samathaṃ na vindati cittasamādhānaṃ na labhatīti.

    โอฎฺฐปฺปหตมเตฺตนาติอาทินา เทฺว คาถา สุตปรมสฺส ปณฺฑิตมานิโน ครหวเสน, ตโต ปรา เทฺว ปณฺฑิตสฺส ปสํสาวเสน วุตฺตาฯ ตตฺถ โอฎฺฐปฺปหตมเตฺตนาติ สชฺฌายสีเสน โอฎฺฐปริวตฺตนมเตฺตน, พุทฺธวจนํ สชฺฌายกรณมเตฺตนาติ อโตฺถฯ อตฺตานมฺปิ น ปสฺสตีติ อนตฺถญฺญุตาย อตฺตโน ปจฺจกฺขภูตมฺปิ อตฺถํ น ชานาติ, ยาถาวโต อตฺตโน ปมาณํ น ปริจฺฉินฺทตีติ อโตฺถฯ ปตฺถทฺธคีโว จรตีติ ‘‘อหํ พหุสฺสุโต, สติมา, ปญฺญวา, น มยา สทิโส อโญฺญ อตฺถี’’ติ มานตฺถโทฺธ หุตฺวา ครุฎฺฐานิยานมฺปิ อปจิติํ อทเสฺสโนฺต อโยสลากํ คิลิตฺวา ฐิโต วิย ถทฺธคีโว จรติฯ อหํ เสโยฺยติ มญฺญตีติ อหเมว เสโยฺย อุตฺตโมติ มญฺญติฯ

    Oṭṭhappahatamattenātiādinā dve gāthā sutaparamassa paṇḍitamānino garahavasena, tato parā dve paṇḍitassa pasaṃsāvasena vuttā. Tattha oṭṭhappahatamattenāti sajjhāyasīsena oṭṭhaparivattanamattena, buddhavacanaṃ sajjhāyakaraṇamattenāti attho. Attānampi na passatīti anatthaññutāya attano paccakkhabhūtampi atthaṃ na jānāti, yāthāvato attano pamāṇaṃ na paricchindatīti attho. Patthaddhagīvo caratīti ‘‘ahaṃ bahussuto, satimā, paññavā, na mayā sadiso añño atthī’’ti mānatthaddho hutvā garuṭṭhāniyānampi apacitiṃ adassento ayosalākaṃ gilitvā ṭhito viya thaddhagīvo carati. Ahaṃ seyyoti maññatīti ahameva seyyo uttamoti maññati.

    อเสโยฺย เสยฺยสมานํ, พาโล มญฺญติ อตฺตานนฺติ อยํ อเสโยฺย หีโน สมาโน อเญฺญน เสเยฺยน อุตฺตเมน สมานํ สทิสํ กตฺวา อตฺตานํ พาโล มนฺทพุทฺธิ พาลภาเวเนว มญฺญตีติฯ น ตํ วิญฺญู ปสํสนฺตีติ ตํ ตาทิสํ พาลํ ปคฺคหิตจิตฺตตาย ปตฺถทฺธมานสํ ถมฺภิตตฺตํ นรํ วิญฺญู ปณฺฑิตา น ปสํสนฺติ, อญฺญทตฺถุ ครหนฺติเยวฯ

    Aseyyo seyyasamānaṃ, bālo maññati attānanti ayaṃ aseyyo hīno samāno aññena seyyena uttamena samānaṃ sadisaṃ katvā attānaṃ bālo mandabuddhi bālabhāveneva maññatīti. Na taṃ viññū pasaṃsantīti taṃ tādisaṃ bālaṃ paggahitacittatāya patthaddhamānasaṃ thambhitattaṃ naraṃ viññū paṇḍitā na pasaṃsanti, aññadatthu garahantiyeva.

    เสโยฺยหมสฺมีติ โย ปน ปณฺฑิโต ปุคฺคโล ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติ วา หีนสทิสมานวเสน ‘‘นาหํ เสโยฺย’’ติ วา กญฺจิปิ มานํ อชเปฺปโนฺต วิธาสุ นวสุ มานโกฎฺฐาเสสุ กสฺสจิปิ วเสน น วิกมฺปติฯ

    Seyyohamasmīti yo pana paṇḍito puggalo ‘‘seyyohamasmī’’ti vā hīnasadisamānavasena ‘‘nāhaṃ seyyo’’ti vā kañcipi mānaṃ ajappento vidhāsu navasu mānakoṭṭhāsesu kassacipi vasena na vikampati.

    ปญฺญวนฺตนฺติ อคฺคผลปญฺญาวเสน ปญฺญวนฺตํ อิฎฺฐาทีสุ ตาทิภาวปฺปตฺติยา ตาทิํ, อเสกฺขผลสีเลสุ สุฎฺฐุ ปติฎฺฐิตตฺตา สีเลสุ สุสมาหิตํ, อรหตฺตผลสมาปตฺติสมาปชฺชเนน เจโตสมถมนุยุตฺตนฺติ ตาทิสํ สพฺพโส ปหีนมานํ ขีณาสวํ วิญฺญู พุทฺธาทโย ปณฺฑิตา ปสํสเร วเณฺณนฺติ โถเมนฺตีติ อโตฺถฯ

    Paññavantanti aggaphalapaññāvasena paññavantaṃ iṭṭhādīsu tādibhāvappattiyā tādiṃ, asekkhaphalasīlesu suṭṭhu patiṭṭhitattā sīlesu susamāhitaṃ, arahattaphalasamāpattisamāpajjanena cetosamathamanuyuttanti tādisaṃ sabbaso pahīnamānaṃ khīṇāsavaṃ viññū buddhādayo paṇḍitā pasaṃsare vaṇṇenti thomentīti attho.

    ปุน อญฺญตรํ ทุพฺพจํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา โทวจสฺสตาย อาทีนวํ, โสวจสฺสตาย อานิสํสญฺจ ปกาเสโนฺต ‘‘ยสฺส สพฺรหฺมจารีสู’’ติอาทิกา เทฺว คาถา อภาสิฯ ตา วุตฺตตฺถา เอวฯ

    Puna aññataraṃ dubbacaṃ bhikkhuṃ disvā dovacassatāya ādīnavaṃ, sovacassatāya ānisaṃsañca pakāsento ‘‘yassa sabrahmacārīsū’’tiādikā dve gāthā abhāsi. Tā vuttatthā eva.

    ปุน อุทฺธตํ อุนฺนฬํ เอกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา อุทฺธตาทิภาเว โทสํ, อนุทฺธตาทิภาเว จ คุณํ วิภาเวโนฺต ‘‘อุทฺธโต จปโล ภิกฺขู’’ติอาทิกา เทฺว คาถา อภาสิฯ ตตฺถ กปีว สีหจเมฺมนาติ สีหจเมฺมน ปารุโต มกฺกโฎ วิยฯ โส อุทฺธตาทิโทสสํยุโตฺต ภิกฺขุ เตน ปํสุกูเลน อริยทฺธเชน น อุปโสภติ อริยคุณานํ อภาวโตฯ

    Puna uddhataṃ unnaḷaṃ ekaṃ bhikkhuṃ disvā uddhatādibhāve dosaṃ, anuddhatādibhāve ca guṇaṃ vibhāvento ‘‘uddhato capalo bhikkhū’’tiādikā dve gāthā abhāsi. Tattha kapīva sīhacammenāti sīhacammena pāruto makkaṭo viya. So uddhatādidosasaṃyutto bhikkhu tena paṃsukūlena ariyaddhajena na upasobhati ariyaguṇānaṃ abhāvato.

    โย ปน อุปโสภติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุทฺธโต’’ติอาทิ วุตฺตํ;

    Yo pana upasobhati, taṃ dassetuṃ ‘‘anuddhato’’tiādi vuttaṃ;

    เอเต สมฺพหุลาติอาทิกา ปญฺจ คาถา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ นมสฺสเนฺต พฺรหฺมกายิเก เทเว ทิสฺวา อายสฺมโต กปฺปินสฺส สิตปาตุกมฺมนิมิตฺตํ วุตฺตาฯ ตตฺถ เอเตติ เตสํ ปจฺจกฺขตาย วุตฺตํ ฯ สมฺพหุลาติ พหุภาวโต, ตํ ปน พหุภาวํ ‘‘ทสเทวสหสฺสานี’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา อาหฯ เทวาติ อุปปตฺติเทวาฯ ตํ เตสํ เทวภาวํ อเญฺญหิ วิเสเสตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘สเพฺพ เต พฺรหฺมกายิกา’’ติ อาหฯ ยสฺมา เต อตฺตโน อุปปตฺติทฺธิยา มหติยา เทวิทฺธิยา สมนฺนาคตา ปริวารสมฺปนฺนา จ, ตสฺมา อาห ‘‘อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน’’ติฯ

    Ete sambahulātiādikā pañca gāthā āyasmantaṃ sāriputtaṃ namassante brahmakāyike deve disvā āyasmato kappinassa sitapātukammanimittaṃ vuttā. Tattha eteti tesaṃ paccakkhatāya vuttaṃ . Sambahulāti bahubhāvato, taṃ pana bahubhāvaṃ ‘‘dasadevasahassānī’’ti paricchinditvā āha. Devāti upapattidevā. Taṃ tesaṃ devabhāvaṃ aññehi visesetvā dassento ‘‘sabbe te brahmakāyikā’’ti āha. Yasmā te attano upapattiddhiyā mahatiyā deviddhiyā samannāgatā parivārasampannā ca, tasmā āha ‘‘iddhimanto yasassino’’ti.

    ‘‘โก นุ เสนาปติ โภโต’’ติ ปุจฺฉาย วิสฺสชฺชนวเสน ‘‘มยา ปวตฺติตํ ธมฺมจกฺกํ อนุตฺตรํ สาริปุโตฺต อนุวเตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๙๙) วทเนฺตน ภควตา อายสฺมโต สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ธมฺมเสนาปติภาโว อนุญฺญาโตติ อาห – ‘‘ธมฺมเสนาปติํ วีรํ มหาฌายิํ สมาหิตํ สาริปุตฺต’’นฺติฯ ตตฺถ วีรนฺติ กิเลสมาราทีนํ นิมฺมถเนน วีริยวนฺตํ มหาวิกฺกนฺตํฯ มหาฌายินฺติ ทิพฺพวิหาราทีนํ อุกฺกํสคมเนน มหนฺตํ ฌายิํฯ ตโต เอว สพฺพโส วิเกฺขปวิทฺธํสนวเสน สมาหิตํฯ นมสฺสนฺตาติ สิรสิ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห นมสฺสมานา ติฎฺฐนฺติฯ

    ‘‘Ko nu senāpati bhoto’’ti pucchāya vissajjanavasena ‘‘mayā pavattitaṃ dhammacakkaṃ anuttaraṃ sāriputto anuvattetī’’ti (ma. ni. 2.399) vadantena bhagavatā āyasmato sāriputtattherassa dhammasenāpatibhāvo anuññātoti āha – ‘‘dhammasenāpatiṃ vīraṃ mahājhāyiṃ samāhitaṃ sāriputta’’nti. Tattha vīranti kilesamārādīnaṃ nimmathanena vīriyavantaṃ mahāvikkantaṃ. Mahājhāyinti dibbavihārādīnaṃ ukkaṃsagamanena mahantaṃ jhāyiṃ. Tato eva sabbaso vikkhepaviddhaṃsanavasena samāhitaṃ. Namassantāti sirasi añjaliṃ paggayha namassamānā tiṭṭhanti.

    ยมฺปิ นิสฺสายาติ ยํ นุ โข อารมฺมณํ นิสฺสาย อารพฺภ ฌายตีติ นาภิชานามาติ ปุถุชฺชนภาเวน พฺรหฺมาโน เอวํ อาหํสุฯ

    Yampinissāyāti yaṃ nu kho ārammaṇaṃ nissāya ārabbha jhāyatīti nābhijānāmāti puthujjanabhāvena brahmāno evaṃ āhaṃsu.

    อเจฺฉรํ วตาติ อจฺฉริยํ วตฯ พุทฺธานนฺติ จตุสจฺจพุทฺธานํฯ คมฺภีโร โคจโร สโกติ ปรมคมฺภีโร อติทุทฺทโส ทุรนุโพโธ ปุถุชฺชเนหิ อสาธารโณ อวิสโยฯ อิทานิ ตสฺส คมฺภีรภาเว การณํ ทเสฺสตุํ ‘‘เย มย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ วาลเวธิสมาคตาติ เย มยํ วาลเวธิธนุคฺคหสทิสา อติสุขุมมฺปิ วิสยํ ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถา อาคตา อุปปริกฺขนฺตา นาภิชานาม, คมฺภีโร วต พุทฺธานํ วิสโยติ อโตฺถฯ ตํ ตถา เทวกาเยหีติ ตํ ตถารูปํ สาริปุตฺตํ สเทวกสฺส โลกสฺส ปูชนารหํ เตหิ พฺรหฺมกายิเกหิ ตทา ตถา ปูชิตํ ทิสฺวา อายสฺมโต มหากปฺปินสฺส สิตํ อโหสิฯ อิเมสํ โลกสมฺมตานํ พฺรหฺมูนมฺปิ อวิสโย, ยตฺถ สาวกานํ วิสโยติฯ

    Accheraṃ vatāti acchariyaṃ vata. Buddhānanti catusaccabuddhānaṃ. Gambhīro gocaro sakoti paramagambhīro atiduddaso duranubodho puthujjanehi asādhāraṇo avisayo. Idāni tassa gambhīrabhāve kāraṇaṃ dassetuṃ ‘‘ye maya’’ntiādi vuttaṃ. Tattha vālavedhisamāgatāti ye mayaṃ vālavedhidhanuggahasadisā atisukhumampi visayaṃ paṭivijjhituṃ samatthā āgatā upaparikkhantā nābhijānāma, gambhīro vata buddhānaṃ visayoti attho. Taṃ tathā devakāyehīti taṃ tathārūpaṃ sāriputtaṃ sadevakassa lokassa pūjanārahaṃ tehi brahmakāyikehi tadā tathā pūjitaṃ disvā āyasmato mahākappinassa sitaṃ ahosi. Imesaṃ lokasammatānaṃ brahmūnampi avisayo, yattha sāvakānaṃ visayoti.

    ยาวตา พุทฺธเขตฺตมฺหีติ คาถา เถเรน อตฺตานํ อารพฺภ สีหนาทํ นทเนฺตน ภาสิตาฯ ตตฺถ พุทฺธเขตฺตมฺหีติ อาณาเขตฺตํ สนฺธาย วทติฯ ฐปยิตฺวา มหามุนินฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธํ ฐเปตฺวา ฯ พุทฺธา หิ ภควโนฺต ธุตคุเณหิปิ สพฺพสเตฺตหิ ปรมุกฺกํสคตา เอว, เกวลํ ปน มหากรุณาสโญฺจทิตมานสา สตฺตานํ ตาทิสํ มหนฺตํ อุปการํ โอโลเกตฺวา คามนฺตเสนาสนวาสาทิํ อนุวตฺตนฺตีติ ตํ ตํ ธุตธมฺมวิโรธี โหติฯ ธุตคุเณติ กิเลสานํ ธุเตน คุเณน อารญฺญกาทิภาเวน อเปกฺขิตคุเณฯ กรณเตฺถ วา เอตํ ภุมฺมวจนํฯ สทิโส เม น วิชฺชติ, กุโต ปน อุตฺตรีติ อธิปฺปาโยฯ ตถา เหส เถโร ตตฺถ อคฺคฎฺฐาเน ฐปิโตฯ

    Yāvatā buddhakhettamhīti gāthā therena attānaṃ ārabbha sīhanādaṃ nadantena bhāsitā. Tattha buddhakhettamhīti āṇākhettaṃ sandhāya vadati. Ṭhapayitvā mahāmuninti sammāsambuddhaṃ ṭhapetvā . Buddhā hi bhagavanto dhutaguṇehipi sabbasattehi paramukkaṃsagatā eva, kevalaṃ pana mahākaruṇāsañcoditamānasā sattānaṃ tādisaṃ mahantaṃ upakāraṃ oloketvā gāmantasenāsanavāsādiṃ anuvattantīti taṃ taṃ dhutadhammavirodhī hoti. Dhutaguṇeti kilesānaṃ dhutena guṇena āraññakādibhāvena apekkhitaguṇe. Karaṇatthe vā etaṃ bhummavacanaṃ. Sadiso me na vijjati, kuto pana uttarīti adhippāyo. Tathā hesa thero tattha aggaṭṭhāne ṭhapito.

    น จีวเรติ คาถาย ‘‘ฐปยิตฺวา มหามุนิ’’นฺติ วุตฺตเมวตฺถํ ปากฎตรํ กโรติ, จีวราทีสุ ตณฺหาย อนุปเลโป ธุตงฺคผลํฯ ตตฺถ น จีวเร สมฺปเตฺต ตณฺหาเลเปนาติ โยชนาฯ สยเนติ เสนาสเนฯ โคตโมติ ภควนฺตํ โคเตฺตน กิเตฺตติฯ อนปฺปเมโยฺยติ ปมาณกรกิเลสาภาวโต อปริมาณคุณตาย จ อนปฺปเมโยฺยฯ มุฬาลปุปฺผํ วิมลํว อมฺพุนาติ ยถา นิมฺมลํ วิรชํ นฬินํ อุทเกน น ลิมฺปติ, เอวํ โคตโม ภควา ตณฺหาเลปาทินา น ลิมฺปตีติ อโตฺถฯ เนกฺขมฺมนิโนฺน อภินิกฺขมฺมนิโนฺน ตโต เอว ติภวาภินิสฺสโฎ ภวตฺตยโต วินิสฺสโฎ วิสํยุโตฺตฯ

    Na cīvareti gāthāya ‘‘ṭhapayitvā mahāmuni’’nti vuttamevatthaṃ pākaṭataraṃ karoti, cīvarādīsu taṇhāya anupalepo dhutaṅgaphalaṃ. Tattha na cīvare sampatte taṇhālepenāti yojanā. Sayaneti senāsane. Gotamoti bhagavantaṃ gottena kitteti. Anappameyyoti pamāṇakarakilesābhāvato aparimāṇaguṇatāya ca anappameyyo. Muḷālapupphaṃ vimalaṃva ambunāti yathā nimmalaṃ virajaṃ naḷinaṃ udakena na limpati, evaṃ gotamo bhagavā taṇhālepādinā na limpatīti attho. Nekkhammaninno abhinikkhammaninno tato eva tibhavābhinissaṭo bhavattayato vinissaṭo visaṃyutto.

    เยสํ สติปฎฺฐานคีวาทีนํ ภาวนาปาริปูริยา ยตฺถ กตฺถจิ อนุปลิโตฺต เนกฺขมฺมนิโนฺนว อโหสิ, เต องฺคภูเต ทเสฺสโนฺต ‘‘สติปฎฺฐานคีโว’’ติ โอสานคาถมาหฯ ตตฺถ คุณราสิโต อุตฺตมงฺคภูตาย ปญฺญาย อธิฎฺฐานภาวโต สติปฎฺฐานํ คีวา เอตสฺสาติ สติปฎฺฐานคีโว, อนวชฺชธมฺมานํ อาทาเน สทฺธา หโตฺถ เอตสฺสาติ สทฺธาหโตฺถฯ คุณสรีรสฺส อุตฺตมงฺคภาวโต ปญฺญา สีสํ เอตสฺสาติ ปญฺญาสีโสฯ มหาสมุทาคมนตาย มหาวิสยตาย มหานุภาวตาย มหาพลตาย จ มหนฺตํ สพฺพญฺญุตสงฺขาตํ ญาณํ เอตสฺส อตฺถีติ มหาญาณีฯ สทา สพฺพกาลํ นิพฺพุโต สีติภูโต จรติฯ ‘‘สุสมาหิโต…เป.… นาโค’’ติ (อ. นิ. ๖.๔๓) สุตฺตปทเญฺจตฺถ นิทเสฺสตพฺพํฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต อวิภตฺตํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ

    Yesaṃ satipaṭṭhānagīvādīnaṃ bhāvanāpāripūriyā yattha katthaci anupalitto nekkhammaninnova ahosi, te aṅgabhūte dassento ‘‘satipaṭṭhānagīvo’’ti osānagāthamāha. Tattha guṇarāsito uttamaṅgabhūtāya paññāya adhiṭṭhānabhāvato satipaṭṭhānaṃ gīvā etassāti satipaṭṭhānagīvo, anavajjadhammānaṃ ādāne saddhā hattho etassāti saddhāhattho. Guṇasarīrassa uttamaṅgabhāvato paññā sīsaṃ etassāti paññāsīso. Mahāsamudāgamanatāya mahāvisayatāya mahānubhāvatāya mahābalatāya ca mahantaṃ sabbaññutasaṅkhātaṃ ñāṇaṃ etassa atthīti mahāñāṇī. Sadā sabbakālaṃ nibbuto sītibhūto carati. ‘‘Susamāhito…pe… nāgo’’ti (a. ni. 6.43) suttapadañcettha nidassetabbaṃ. Yaṃ panettha atthato avibhattaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayameva.

    มหากสฺสปเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahākassapattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.

    จตฺตาลีสนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cattālīsanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๑. มหากสฺสปเตฺถรคาถา • 1. Mahākassapattheragāthā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact