Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๒. มหาโกฎฺฐิกเตฺถรคาถาวณฺณนา
2. Mahākoṭṭhikattheragāthāvaṇṇanā
อุปสโนฺตติ อายสฺมโต มหาโกฎฺฐิกเตฺถรสฺส คาถาฯ ตสฺส กา อุปฺปตฺติ? อยมฺปิ เถโร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร มหาโภคกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปโตฺต มาตาปิตูนํ อจฺจเยน กุฎุมฺพํ สณฺฐเปตฺวา ฆราวาสํ วสโนฺต เอกทิวสํ ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ธมฺมเทสนากาเล หํสวตีนครวาสิเก คนฺธมาลาทิหเตฺถ เยน พุโทฺธ เยน ธโมฺม เยน สโงฺฆ, ตนฺนิเนฺน ตโปฺปเณ ตปฺปพฺภาเร คจฺฉเนฺต ทิสฺวา มหาชเนน สทฺธิํ อุปคโต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ กิร อิมสฺมิํ สาสเน ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อโคฺค, อโห วตาหมฺปิ เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อยํ วิย ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สตฺถุ เทสนาปริโยสาเน วุฎฺฐิตาย ปริสาย ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, เสฺว มยฺหํ ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตสิฯ สตฺถา อธิวาเสสิฯ โส ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา สกนิเวสนํ คนฺตฺวา สพฺพรตฺติํ พุทฺธสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ นิสชฺชฎฺฐานํ คนฺธทามมาลาทามาทีหิ อลงฺกริตฺวา ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาทาเปตฺวา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ภิกฺขุสตสหสฺสปริวารํ ภควนฺตํ วิวิธยาคุขชฺชกปริวารํ นานารสสูปพฺยญฺชนํ คนฺธสาลิโภชนํ โภเชตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน จิเนฺตสิ – ‘‘มหนฺตํ, โข, อหํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถมิ น โข ปน มยฺหํ ยุตฺตํ เอกทิวสเมว ทานํ ทตฺวา ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถตุํ, อนุปฎิปาฎิยา สตฺต ทิวเส ทานํ ทตฺวา ปเตฺถสฺสามี’’ติ ฯ โส เตเนว นิยาเมน สตฺต ทิวเส มหาทานานิ ทตฺวา ภตฺตกิจฺจปริโยสาเน ทุสฺสโกฎฺฐาคารํ วิวราเปตฺวา อุตฺตมํ ติจีวรปฺปโหนกํ สุขุมวตฺถํ พุทฺธสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส จ ติจีวรํ ทตฺวา ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘ภเนฺต, โย โส ภิกฺขุ ตุเมฺหหิ อิโต สตฺตมทิวสมตฺถเก เอตทเคฺค ฐปิโต, อหมฺปิ โส ภิกฺขุ วิย อนาคเต อุปฺปชฺชนกพุทฺธสฺส สาสเน ปพฺพชิตฺวา ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ วตฺวา สตฺถุ ปาทมูเล นิปชฺชิตฺวา ปตฺถนํ อกาสิฯ สตฺถา ตสฺส ปตฺถนาย สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต อิโต กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก โคตโม นาม พุโทฺธ โลเก อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส สาสเน ตว ปตฺถนา สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ อปทาเน (อป. เถร ๒.๕๔.๒๒๑-๒๕๐) –
Upasantoti āyasmato mahākoṭṭhikattherassa gāthā. Tassa kā uppatti? Ayampi thero padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare mahābhogakule nibbattitvā viññutaṃ patto mātāpitūnaṃ accayena kuṭumbaṃ saṇṭhapetvā gharāvāsaṃ vasanto ekadivasaṃ padumuttarassa bhagavato dhammadesanākāle haṃsavatīnagaravāsike gandhamālādihatthe yena buddho yena dhammo yena saṅgho, tanninne tappoṇe tappabbhāre gacchante disvā mahājanena saddhiṃ upagato satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ paṭisambhidāpattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā ‘‘ayaṃ kira imasmiṃ sāsane paṭisambhidāpattānaṃ aggo, aho vatāhampi ekassa buddhassa sāsane ayaṃ viya paṭisambhidāpattānaṃ aggo bhaveyya’’nti cintetvā satthu desanāpariyosāne vuṭṭhitāya parisāya bhagavantaṃ upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, sve mayhaṃ bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantesi. Satthā adhivāsesi. So bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā sakanivesanaṃ gantvā sabbarattiṃ buddhassa bhikkhusaṅghassa ca nisajjaṭṭhānaṃ gandhadāmamālādāmādīhi alaṅkaritvā paṇītaṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādāpetvā tassā rattiyā accayena sake nivesane bhikkhusatasahassaparivāraṃ bhagavantaṃ vividhayāgukhajjakaparivāraṃ nānārasasūpabyañjanaṃ gandhasālibhojanaṃ bhojetvā bhattakiccapariyosāne cintesi – ‘‘mahantaṃ, kho, ahaṃ ṭhānantaraṃ patthemi na kho pana mayhaṃ yuttaṃ ekadivasameva dānaṃ datvā taṃ ṭhānantaraṃ patthetuṃ, anupaṭipāṭiyā satta divase dānaṃ datvā patthessāmī’’ti . So teneva niyāmena satta divase mahādānāni datvā bhattakiccapariyosāne dussakoṭṭhāgāraṃ vivarāpetvā uttamaṃ ticīvarappahonakaṃ sukhumavatthaṃ buddhassa pādamūle ṭhapetvā bhikkhusatasahassassa ca ticīvaraṃ datvā tathāgataṃ upasaṅkamitvā, ‘‘bhante, yo so bhikkhu tumhehi ito sattamadivasamatthake etadagge ṭhapito, ahampi so bhikkhu viya anāgate uppajjanakabuddhassa sāsane pabbajitvā paṭisambhidāpattānaṃ aggo bhaveyya’’nti vatvā satthu pādamūle nipajjitvā patthanaṃ akāsi. Satthā tassa patthanāya samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘anāgate ito kappasatasahassamatthake gotamo nāma buddho loke uppajjissati, tassa sāsane tava patthanā samijjhissatī’’ti byākāsi. Vuttampi cetaṃ apadāne (apa. thera 2.54.221-250) –
‘‘ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน, สพฺพโลกวิทู มุนิ;
‘‘Padumuttaro nāma jino, sabbalokavidū muni;
อิโต สตสหสฺสมฺหิ, กเปฺป อุปฺปชฺชิ จกฺขุมาฯ
Ito satasahassamhi, kappe uppajji cakkhumā.
‘‘โอวาทโก วิญฺญาปโก, ตารโก สพฺพปาณินํ;
‘‘Ovādako viññāpako, tārako sabbapāṇinaṃ;
เทสนากุสโล พุโทฺธ, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ
Desanākusalo buddho, tāresi janataṃ bahuṃ.
‘‘อนุกมฺปโก การุณิโก, หิเตสี สพฺพปาณินํ;
‘‘Anukampako kāruṇiko, hitesī sabbapāṇinaṃ;
สมฺปเตฺต ติตฺถิเย สเพฺพ, ปญฺจสีเล ปติฎฺฐปิฯ
Sampatte titthiye sabbe, pañcasīle patiṭṭhapi.
‘‘เอวํ นิรากุลํ อาสิ, สุญฺญตํ ติตฺถิเยหิ จ;
‘‘Evaṃ nirākulaṃ āsi, suññataṃ titthiyehi ca;
วิจิตฺตํ อรหเนฺตหิ, วสีภูเตหิ ตาทิภิฯ
Vicittaṃ arahantehi, vasībhūtehi tādibhi.
‘‘รตนานฎฺฐปญฺญาสํ, อุคฺคโต โส มหามุนิ;
‘‘Ratanānaṭṭhapaññāsaṃ, uggato so mahāmuni;
กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโส, พาตฺติํสวรลกฺขโณฯ
Kañcanagghiyasaṅkāso, bāttiṃsavaralakkhaṇo.
‘‘วสฺสสตสหสฺสานิ, อายุ วิชฺชติ ตาวเท;
‘‘Vassasatasahassāni, āyu vijjati tāvade;
ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ
Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.
‘‘ตทาหํ หํสวติยํ, พฺราหฺมโณ เวทปารคู;
‘‘Tadāhaṃ haṃsavatiyaṃ, brāhmaṇo vedapāragū;
อุเปจฺจ สพฺพโลกคฺคํ, อโสฺสสิํ ธมฺมเทสนํฯ
Upecca sabbalokaggaṃ, assosiṃ dhammadesanaṃ.
‘‘ตทา โส สาวกํ วีโร, ปภินฺนมติโคจรํ;
‘‘Tadā so sāvakaṃ vīro, pabhinnamatigocaraṃ;
อเตฺถ ธเมฺม นิรุเตฺต จ, ปฎิภาเน จ โกวิทํฯ
Atthe dhamme nirutte ca, paṭibhāne ca kovidaṃ.
‘‘ฐเปสิ เอตทคฺคมฺหิ, ตํ สุตฺวา มุทิโต อหํ;
‘‘Ṭhapesi etadaggamhi, taṃ sutvā mudito ahaṃ;
สสาวกํ ชินวรํ, สตฺตาหํ โภชยิํ ตทาฯ
Sasāvakaṃ jinavaraṃ, sattāhaṃ bhojayiṃ tadā.
‘‘ทุเสฺสหจฺฉาทยิตฺวาน, สสิสฺสํ พุทฺธิสาครํ;
‘‘Dussehacchādayitvāna, sasissaṃ buddhisāgaraṃ;
นิปจฺจ ปาทมูลมฺหิ, ตํ ฐานํ ปตฺถยิํ อหํฯ
Nipacca pādamūlamhi, taṃ ṭhānaṃ patthayiṃ ahaṃ.
‘‘ตโต อโวจ โลกโคฺค, ปสฺสเถตํ ทิชุตฺตมํ;
‘‘Tato avoca lokaggo, passathetaṃ dijuttamaṃ;
วินตํ ปาทมูเล เม, กมโลทรสปฺปภํฯ
Vinataṃ pādamūle me, kamalodarasappabhaṃ.
‘‘พุทฺธเสฎฺฐสฺส ภิกฺขุสฺส, ฐานํ ปตฺถยเต อยํ;
‘‘Buddhaseṭṭhassa bhikkhussa, ṭhānaṃ patthayate ayaṃ;
ตาย สทฺธาย จาเคน, สทฺธมฺมสฺสวเนน จฯ
Tāya saddhāya cāgena, saddhammassavanena ca.
‘‘สพฺพตฺถ สุขิโต หุตฺวา, สํสริตฺวา ภวาภเว;
‘‘Sabbattha sukhito hutvā, saṃsaritvā bhavābhave;
อนาคตมฺหิ อทฺธาเน, ลจฺฉเสตํ มโนรถํฯ
Anāgatamhi addhāne, lacchasetaṃ manorathaṃ.
‘‘สตสหสฺสิโต กเปฺป, โอกฺกากกุลสมฺภโว;
‘‘Satasahassito kappe, okkākakulasambhavo;
โคตโม นาม โคเตฺตน, สตฺถา โลเก ภวิสฺสติฯ
Gotamo nāma gottena, satthā loke bhavissati.
‘‘ตสฺส ธเมฺมสุ ทายาโท, โอรโส ธมฺมนิมฺมิโต;
‘‘Tassa dhammesu dāyādo, oraso dhammanimmito;
โกฎฺฐิโก นาม นาเมน, เหสฺสติ สตฺถุ สาวโกฯ
Koṭṭhiko nāma nāmena, hessati satthu sāvako.
‘‘ตํ สุตฺวา มุทิโต หุตฺวา, ยาวชีวํ ตทา ชินํ;
‘‘Taṃ sutvā mudito hutvā, yāvajīvaṃ tadā jinaṃ;
เมตฺตจิโตฺต ปริจริํ, สโต ปญฺญา สมาหิโตฯ
Mettacitto paricariṃ, sato paññā samāhito.
‘‘เตน กมฺมวิปาเกน, เจตนาปณิธีหิ จ;
‘‘Tena kammavipākena, cetanāpaṇidhīhi ca;
ชหิตฺวา มานุสํ เทหํ, ตาวติํสมคจฺฉหํฯ
Jahitvā mānusaṃ dehaṃ, tāvatiṃsamagacchahaṃ.
‘‘สตานํ ตีณิกฺขตฺตุญฺจ, เทวรชฺชมการยิํ;
‘‘Satānaṃ tīṇikkhattuñca, devarajjamakārayiṃ;
สตานํ ปญฺจกฺขตฺตุญฺจ, จกฺกวตฺตี อโหสหํฯ
Satānaṃ pañcakkhattuñca, cakkavattī ahosahaṃ.
‘‘ปเทสรชฺชํ วิปุลํ, คณนาโต อสงฺขิยํ;
‘‘Padesarajjaṃ vipulaṃ, gaṇanāto asaṅkhiyaṃ;
สพฺพตฺถ สุขิโต อาสิํ, ตสฺส กมฺมสฺส วาหสาฯ
Sabbattha sukhito āsiṃ, tassa kammassa vāhasā.
‘‘ทุเว ภเว สํสรามิ, เทวเตฺต อถ มานุเส;
‘‘Duve bhave saṃsarāmi, devatte atha mānuse;
อญฺญํ คติํ น คจฺฉามิ, สุจิณฺณสฺส อิทํ ผลํฯ
Aññaṃ gatiṃ na gacchāmi, suciṇṇassa idaṃ phalaṃ.
‘‘ทุเว กุเล ปชายามิ, ขตฺติเย อถ พฺราหฺมเณ;
‘‘Duve kule pajāyāmi, khattiye atha brāhmaṇe;
นีเจ กุเล น ชายามิ, สุจิณฺณสฺส อิทํ ผลํฯ
Nīce kule na jāyāmi, suciṇṇassa idaṃ phalaṃ.
‘‘ปจฺฉิเม ภเว สมฺปเตฺต, พฺรหฺมพนฺธุ อโหสหํ;
‘‘Pacchime bhave sampatte, brahmabandhu ahosahaṃ;
สาวตฺถิยํ วิปฺปกุเล, ปจฺจาชาโต มหทฺธเนฯ
Sāvatthiyaṃ vippakule, paccājāto mahaddhane.
‘‘มาตา จนฺทวตี นาม, ปิตา เม อสฺสลายโน;
‘‘Mātā candavatī nāma, pitā me assalāyano;
ยทา เม ปิตรํ พุโทฺธ, วินยี สพฺพสุทฺธิยาฯ
Yadā me pitaraṃ buddho, vinayī sabbasuddhiyā.
‘‘ตทา ปสโนฺน สุคเต, ปพฺพชิํ อนคาริยํ;
‘‘Tadā pasanno sugate, pabbajiṃ anagāriyaṃ;
โมคฺคลฺลาโน อาจริโย, อุปชฺฌา สาริสมฺภโวฯ
Moggallāno ācariyo, upajjhā sārisambhavo.
‘‘เกเสสุ ฉิชฺชมาเนสุ, ทิฎฺฐิ ฉินฺนา สมูลิกา;
‘‘Kesesu chijjamānesu, diṭṭhi chinnā samūlikā;
นิวาเสโนฺต จ กาสาวํ, อรหตฺตมปาปุณิํฯ
Nivāsento ca kāsāvaṃ, arahattamapāpuṇiṃ.
‘‘อตฺถธมฺมนิรุตฺตีสุ, ปฎิภาเน จ เม มติ;
‘‘Atthadhammaniruttīsu, paṭibhāne ca me mati;
ปภินฺนา เตน โลกโคฺค, เอตทเคฺค ฐเปสิ มํฯ
Pabhinnā tena lokaggo, etadagge ṭhapesi maṃ.
‘‘อสนฺทิฎฺฐํ วิยากาสิํ, อุปติเสฺสน ปุจฺฉิโต;
‘‘Asandiṭṭhaṃ viyākāsiṃ, upatissena pucchito;
ปฎิสมฺภิทาสุ เตนาหํ, อโคฺค สมฺพุทฺธสาสเนฯ
Paṭisambhidāsu tenāhaṃ, aggo sambuddhasāsane.
‘‘กิเลสา ฌาปิตา มยฺหํ, ภวา สเพฺพ สมูหตา;
‘‘Kilesā jhāpitā mayhaṃ, bhavā sabbe samūhatā;
นาโคว พนฺธนํ เฉตฺวา, วิหรามิ อนาสโวฯ
Nāgova bandhanaṃ chetvā, viharāmi anāsavo.
‘‘สฺวาคตํ วต เม อาสิ, มม พุทฺธสฺส สนฺติเก;
‘‘Svāgataṃ vata me āsi, mama buddhassa santike;
ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํฯ
Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ.
‘‘ปฎิสมฺภิทา จตโสฺส, วิโมกฺขาปิ จ อฎฺฐิเม;
‘‘Paṭisambhidā catasso, vimokkhāpi ca aṭṭhime;
ฉฬภิญฺญา สจฺฉิกตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสน’’นฺติฯ
Chaḷabhiññā sacchikatā, kataṃ buddhassa sāsana’’nti.
เอวํ โส ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปุญฺญญาณสมฺภารํ สมฺภรโนฺต อปราปรํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรโนฺต อิมสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท สาวตฺถิยํ พฺราหฺมณมหาสาลกุเล นิพฺพตฺติฯ โกฎฺฐิโกติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตโย เวเท อุคฺคเหตฺวา พฺราหฺมณสิเปฺป นิปฺผตฺติํ คโต เอกทิวสํ สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา ธมฺมํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสโทฺธ ปพฺพชิตฺวา อุปสมฺปนฺนกาลโต ปฎฺฐาย วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา ปฎิสมฺภิทาสุ จิณฺณวสี หุตฺวา อภิญฺญาเต อภิญฺญาเต มหาเถเร อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺตปิ ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺตปิ ปฎิสมฺภิทาสุเยว ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เอวมยํ เถโร ตตฺถ กตาธิการตาย จิณฺณวสีภาเวน จ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อโคฺค ชาโตฯ อถ นํ สตฺถา มหาเวทลฺลสุตฺตํ (ม. นิ. ๑.๔๔๙ อาทโย) อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปสิ – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ ปฎิสมฺภิทาปตฺตานํ ยทิทํ มหาโกฎฺฐิโก’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๙, ๒๑๘)ฯ โส อปเรน สมเยน วิมุตฺติสุขํ ปฎิสํเวเทโนฺต อุทานวเสน –
Evaṃ so tattha tattha bhave puññañāṇasambhāraṃ sambharanto aparāparaṃ devamanussesu saṃsaranto imasmiṃ buddhuppāde sāvatthiyaṃ brāhmaṇamahāsālakule nibbatti. Koṭṭhikotissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto tayo vede uggahetvā brāhmaṇasippe nipphattiṃ gato ekadivasaṃ satthu santikaṃ gantvā dhammaṃ sutvā paṭiladdhasaddho pabbajitvā upasampannakālato paṭṭhāya vipassanāya kammaṃ karonto saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā paṭisambhidāsu ciṇṇavasī hutvā abhiññāte abhiññāte mahāthere upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchantopi dasabalaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchantopi paṭisambhidāsuyeva pañhaṃ pucchi. Evamayaṃ thero tattha katādhikāratāya ciṇṇavasībhāvena ca paṭisambhidāpattānaṃ aggo jāto. Atha naṃ satthā mahāvedallasuttaṃ (ma. ni. 1.449 ādayo) aṭṭhuppattiṃ katvā paṭisambhidāpattānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapesi – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ paṭisambhidāpattānaṃ yadidaṃ mahākoṭṭhiko’’ti (a. ni. 1.209, 218). So aparena samayena vimuttisukhaṃ paṭisaṃvedento udānavasena –
๒.
2.
‘‘อุปสโนฺต อุปรโต, มนฺตภาณี อนุทฺธโต;
‘‘Upasanto uparato, mantabhāṇī anuddhato;
ธุนาติ ปาปเก ธเมฺม, ทุมปตฺตํว มาลุโต’’ติฯ –
Dhunāti pāpake dhamme, dumapattaṃva māluto’’ti. –
อิตฺถํ สุทํ อายสฺมา มหาโกฎฺฐิกเตฺถโร คาถํ อภาสิฯ
Itthaṃ sudaṃ āyasmā mahākoṭṭhikatthero gāthaṃ abhāsi.
ตตฺถ อุปสโนฺตติ มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ อุปสมเนน นิพฺพิเสวนภาวกรเณน อุปสโนฺตฯ อุปรโตติ สพฺพสฺมา ปาปกรณโต โอรโต วิรโตฯ มนฺตภาณีติ มนฺตา วุจฺจติ ปญฺญา, ตาย ปน อุปปริกฺขิตฺวา ภณตีติ มนฺตภาณี, กาลวาทีอาทิภาวํ อวิสฺสเชฺชโนฺตเยว ภณตีติ อโตฺถฯ มนฺตภณนวเสน วา ภณตีติ มนฺตภาณี, ทุพฺภาสิตโต วินา อตฺตโน ภาสนวเสน จตุรงฺคสมนฺนาคตํ สุภาสิตํเยว ภณตีติ อโตฺถฯ ชาติอาทิวเสน อตฺตโน อนุกฺกํสนโต น อุทฺธโตติ อนุทฺธโต อถ วา ติณฺณํ กายทุจฺจริตานํ วูปสมเนน ตโต ปฎิวิรติยา อุปสโนฺต, ติณฺณํ มโนทุจฺจริตานํ อุปรมเณน ปชหเนน อุปรโต, จตุนฺนํ วจีทุจฺจริตานํ อปฺปวตฺติยา ปริมิตภาณิตาย มนฺตภาณี, ติวิธทุจฺจริตนิมิตฺตอุปฺปชฺชนกสฺส อุทฺธจฺจสฺส อภาวโต อนุทฺธโตฯ เอวํ ปน ติวิธทุจฺจริตปฺปหาเนน สุเทฺธ สีเล ปติฎฺฐิโต, อุทฺธจฺจปฺปหาเนน สมาหิโต, ตเมว สมาธิํ ปทฎฺฐานํ กตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา มคฺคปฎิปาฎิยา ธุนาติ ปาปเก ธเมฺม ลามกเฎฺฐน ปาปเก สเพฺพปิ สํกิเลสธเมฺม นิทฺธุนาติ, สมุเจฺฉทวเสน ปชหติ ฯ ยถา กิํ? ทุมปตฺตํว มาลุโต, ยถา นาม ทุมสฺส รุกฺขสฺส ปตฺตํ ปณฺฑุปลาสํ มาลุโต วาโต ธุนาติ, พนฺธนโต วิโยเชโนฺต นีหรติ, เอวํ ยถาวุตฺตปฎิปตฺติยํ ฐิโต ปาปธเมฺม อตฺตโน สนฺตานโต นีหรติ, เอวมยํ เถรสฺส อญฺญาปเทเสน อญฺญาพฺยากรณคาถาปิ โหตีติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha upasantoti manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ upasamanena nibbisevanabhāvakaraṇena upasanto. Uparatoti sabbasmā pāpakaraṇato orato virato. Mantabhāṇīti mantā vuccati paññā, tāya pana upaparikkhitvā bhaṇatīti mantabhāṇī, kālavādīādibhāvaṃ avissajjentoyeva bhaṇatīti attho. Mantabhaṇanavasena vā bhaṇatīti mantabhāṇī, dubbhāsitato vinā attano bhāsanavasena caturaṅgasamannāgataṃ subhāsitaṃyeva bhaṇatīti attho. Jātiādivasena attano anukkaṃsanato na uddhatoti anuddhato atha vā tiṇṇaṃ kāyaduccaritānaṃ vūpasamanena tato paṭiviratiyā upasanto, tiṇṇaṃ manoduccaritānaṃ uparamaṇena pajahanena uparato, catunnaṃ vacīduccaritānaṃ appavattiyā parimitabhāṇitāya mantabhāṇī, tividhaduccaritanimittauppajjanakassa uddhaccassa abhāvato anuddhato. Evaṃ pana tividhaduccaritappahānena suddhe sīle patiṭṭhito, uddhaccappahānena samāhito, tameva samādhiṃ padaṭṭhānaṃ katvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā maggapaṭipāṭiyā dhunāti pāpake dhamme lāmakaṭṭhena pāpake sabbepi saṃkilesadhamme niddhunāti, samucchedavasena pajahati . Yathā kiṃ? Dumapattaṃva māluto, yathā nāma dumassa rukkhassa pattaṃ paṇḍupalāsaṃ māluto vāto dhunāti, bandhanato viyojento nīharati, evaṃ yathāvuttapaṭipattiyaṃ ṭhito pāpadhamme attano santānato nīharati, evamayaṃ therassa aññāpadesena aññābyākaraṇagāthāpi hotīti veditabbā.
เอตฺถ จ กายวจีทุจฺจริตปฺปหานวจเนน ปโยคสุทฺธิํ ทเสฺสติ, มโนทุจฺจริตปฺปหานวจเนน อาสยสุทฺธิํฯ เอวํ ปโยคาสยสุทฺธสฺส ‘‘อนุทฺธโต’’ติ อิมินา อุทฺธจฺจาภาววจเนน ตเทกฎฺฐตาย นีวรณปฺปหานํ ทเสฺสติฯ เตสุ ปโยคสุทฺธิยา สีลสมฺปตฺติ วิภาวิตา, อาสยสุทฺธิยา สมถภาวนาย อุปการกธมฺมปริคฺคโห, นีวรณปฺปหาเนน สมาธิภาวนา, ‘‘ธุนาติ ปาปเก ธเมฺม’’ติ อิมินา ปญฺญาภาวนา วิภาวิตา โหติฯ เอวํ อธิสีลสิกฺขาทโย ติโสฺส สิกฺขา, ติวิธกลฺยาณํ สาสนํ, ตทงฺคปฺปหานาทีนิ ตีณิ ปหานานิ, อนฺตทฺวยปริวชฺชเนน สทฺธิํ มชฺฌิมาย ปฎิปตฺติยา ปฎิปชฺชนํ, อปายภวาทีนํ สมติกฺกมนูปาโย จ ยถารหํ นิทฺธาเรตฺวา โยเชตพฺพาฯ อิมินา นเยน เสสคาถาสุปิ ยถารหํ อตฺถโยชนา เวทิตพฺพาฯ อตฺถมตฺตเมว ปน ตตฺถ ตตฺถ อปุพฺพํ วณฺณยิสฺสามฯ ‘‘อิตฺถํ สุทํ อายสฺมา มหาโกฎฺฐิโก’’ติ อิทํ ปูชาวจนํ, ยถา ตํ มหาโมคฺคลฺลาโนติฯ
Ettha ca kāyavacīduccaritappahānavacanena payogasuddhiṃ dasseti, manoduccaritappahānavacanena āsayasuddhiṃ. Evaṃ payogāsayasuddhassa ‘‘anuddhato’’ti iminā uddhaccābhāvavacanena tadekaṭṭhatāya nīvaraṇappahānaṃ dasseti. Tesu payogasuddhiyā sīlasampatti vibhāvitā, āsayasuddhiyā samathabhāvanāya upakārakadhammapariggaho, nīvaraṇappahānena samādhibhāvanā, ‘‘dhunāti pāpake dhamme’’ti iminā paññābhāvanā vibhāvitā hoti. Evaṃ adhisīlasikkhādayo tisso sikkhā, tividhakalyāṇaṃ sāsanaṃ, tadaṅgappahānādīni tīṇi pahānāni, antadvayaparivajjanena saddhiṃ majjhimāya paṭipattiyā paṭipajjanaṃ, apāyabhavādīnaṃ samatikkamanūpāyo ca yathārahaṃ niddhāretvā yojetabbā. Iminā nayena sesagāthāsupi yathārahaṃ atthayojanā veditabbā. Atthamattameva pana tattha tattha apubbaṃ vaṇṇayissāma. ‘‘Itthaṃ sudaṃ āyasmā mahākoṭṭhiko’’ti idaṃ pūjāvacanaṃ, yathā taṃ mahāmoggallānoti.
มหาโกฎฺฐิกเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahākoṭṭhikattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๒. มหาโกฎฺฐิกเตฺถรคาถา • 2. Mahākoṭṭhikattheragāthā