Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya |
๖. มหาลิสุตฺตํ
6. Mahālisuttaṃ
พฺราหฺมณทูตวตฺถุ
Brāhmaṇadūtavatthu
๓๕๙. เอวํ เม สุตํ – อุเอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา เวสาลิยํ ปฎิวสนฺติ เกนจิเทว กรณีเยนฯ อโสฺสสุํ โข เต โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา – ‘‘สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม สกฺยปุโตฺต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายํฯ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคโต – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควา’ฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตี’’ติฯ
359. Evaṃ me sutaṃ – uekaṃ samayaṃ bhagavā vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Tena kho pana samayena sambahulā kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā vesāliyaṃ paṭivasanti kenacideva karaṇīyena. Assosuṃ kho te kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā – ‘‘samaṇo khalu, bho, gotamo sakyaputto sakyakulā pabbajito vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyaṃ. Taṃ kho pana bhavantaṃ gotamaṃ evaṃ kalyāṇo kittisaddo abbhuggato – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā’. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Sādhu kho pana tathārūpānaṃ arahataṃ dassanaṃ hotī’’ti.
๓๖๐. อถ โข เต โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา เยน มหาวนํ กูฎาคารสาลา เตนุปสงฺกมิํสุฯ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคิโต ภควโต อุปฎฺฐาโก โหติฯ อถ โข เต โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา เยนายสฺมา นาคิโต เตนุปสงฺกมิํสุฯ อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคิตํ เอตทโวจุํ – ‘‘กหํ นุ โข, โภ นาคิต, เอตรหิ โส ภวํ โคตโม วิหรติ? ทสฺสนกามา หิ มยํ ตํ ภวนฺตํ โคตม’’นฺติฯ ‘‘อกาโล โข, อาวุโส, ภควนฺตํ ทสฺสนาย, ปฎิสลฺลีโน ภควา’’ติฯ อถ โข เต โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา ตเตฺถว เอกมนฺตํ นิสีทิํสุ – ‘‘ทิสฺวาว มยํ ตํ ภวนฺตํ โคตมํ คมิสฺสามา’’ติฯ
360. Atha kho te kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā yena mahāvanaṃ kūṭāgārasālā tenupasaṅkamiṃsu. Tena kho pana samayena āyasmā nāgito bhagavato upaṭṭhāko hoti. Atha kho te kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā yenāyasmā nāgito tenupasaṅkamiṃsu. Upasaṅkamitvā āyasmantaṃ nāgitaṃ etadavocuṃ – ‘‘kahaṃ nu kho, bho nāgita, etarahi so bhavaṃ gotamo viharati? Dassanakāmā hi mayaṃ taṃ bhavantaṃ gotama’’nti. ‘‘Akālo kho, āvuso, bhagavantaṃ dassanāya, paṭisallīno bhagavā’’ti. Atha kho te kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā tattheva ekamantaṃ nisīdiṃsu – ‘‘disvāva mayaṃ taṃ bhavantaṃ gotamaṃ gamissāmā’’ti.
โอฎฺฐทฺธลิจฺฉวีวตฺถุ
Oṭṭhaddhalicchavīvatthu
๓๖๑. โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี มหติยา ลิจฺฉวีปริสาย สทฺธิํ เยน มหาวนํ กูฎาคารสาลา เยนายสฺมา นาคิโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคิตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี อายสฺมนฺตํ นาคิตํ เอตทโวจ – ‘‘กหํ นุ โข, ภเนฺต นาคิต, เอตรหิ โส ภควา วิหรติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, ทสฺสนกามา หิ มยํ ตํ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธ’’นฺติฯ ‘‘อกาโล โข, มหาลิ, ภควนฺตํ ทสฺสนาย, ปฎิสลฺลีโน ภควา’’ติฯ โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี ตเตฺถว เอกมนฺตํ นิสีทิ – ‘‘ทิสฺวาว อหํ ตํ ภควนฺตํ คมิสฺสามิ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธ’’นฺติฯ
361. Oṭṭhaddhopi licchavī mahatiyā licchavīparisāya saddhiṃ yena mahāvanaṃ kūṭāgārasālā yenāyasmā nāgito tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ nāgitaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho oṭṭhaddhopi licchavī āyasmantaṃ nāgitaṃ etadavoca – ‘‘kahaṃ nu kho, bhante nāgita, etarahi so bhagavā viharati arahaṃ sammāsambuddho, dassanakāmā hi mayaṃ taṃ bhagavantaṃ arahantaṃ sammāsambuddha’’nti. ‘‘Akālo kho, mahāli, bhagavantaṃ dassanāya, paṭisallīno bhagavā’’ti. Oṭṭhaddhopi licchavī tattheva ekamantaṃ nisīdi – ‘‘disvāva ahaṃ taṃ bhagavantaṃ gamissāmi arahantaṃ sammāsambuddha’’nti.
๓๖๒. อถ โข สีโห สมณุเทฺทโส เยนายสฺมา นาคิโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ นาคิตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข สีโห สมณุเทฺทโส อายสฺมนฺตํ นาคิตํ เอตทโวจ – ‘‘เอเต, ภเนฺต กสฺสป, สมฺพหุลา โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา อิธูปสงฺกนฺตา ภควนฺตํ ทสฺสนาย; โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี มหติยา ลิจฺฉวีปริสาย สทฺธิํ อิธูปสงฺกโนฺต ภควนฺตํ ทสฺสนาย, สาธุ, ภเนฺต กสฺสป, ลภตํ เอสา ชนตา ภควนฺตํ ทสฺสนายา’’ติฯ
362. Atha kho sīho samaṇuddeso yenāyasmā nāgito tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ nāgitaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho sīho samaṇuddeso āyasmantaṃ nāgitaṃ etadavoca – ‘‘ete, bhante kassapa, sambahulā kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā idhūpasaṅkantā bhagavantaṃ dassanāya; oṭṭhaddhopi licchavī mahatiyā licchavīparisāya saddhiṃ idhūpasaṅkanto bhagavantaṃ dassanāya, sādhu, bhante kassapa, labhataṃ esā janatā bhagavantaṃ dassanāyā’’ti.
‘‘เตน หิ, สีห, ตฺวเญฺญว ภควโต อาโรเจหี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข สีโห สมณุเทฺทโส อายสฺมโต นาคิตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข สีโห สมณุเทฺทโส ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอเต, ภเนฺต, สมฺพหุลา โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา อิธูปสงฺกนฺตา ภควนฺตํ ทสฺสนาย, โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี มหติยา ลิจฺฉวีปริสาย สทฺธิํ อิธูปสงฺกโนฺต ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ สาธุ, ภเนฺต, ลภตํ เอสา ชนตา ภควนฺตํ ทสฺสนายา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, สีห, วิหารปจฺฉายายํ อาสนํ ปญฺญเปหี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข สีโห สมณุเทฺทโส ภควโต ปฎิสฺสุตฺวา วิหารปจฺฉายายํ อาสนํ ปญฺญเปสิฯ
‘‘Tena hi, sīha, tvaññeva bhagavato ārocehī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho sīho samaṇuddeso āyasmato nāgitassa paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Ekamantaṃ ṭhito kho sīho samaṇuddeso bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘ete, bhante, sambahulā kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā idhūpasaṅkantā bhagavantaṃ dassanāya, oṭṭhaddhopi licchavī mahatiyā licchavīparisāya saddhiṃ idhūpasaṅkanto bhagavantaṃ dassanāya. Sādhu, bhante, labhataṃ esā janatā bhagavantaṃ dassanāyā’’ti. ‘‘Tena hi, sīha, vihārapacchāyāyaṃ āsanaṃ paññapehī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho sīho samaṇuddeso bhagavato paṭissutvā vihārapacchāyāyaṃ āsanaṃ paññapesi.
๓๖๓. อถ โข ภควา วิหารา นิกฺขมฺม วิหารปจฺฉายายํ ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข เต โกสลกา จ พฺราหฺมณทูตา มาคธกา จ พฺราหฺมณทูตา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิํสุฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ โอฎฺฐโทฺธปิ ลิจฺฉวี มหติยา ลิจฺฉวีปริสาย สทฺธิํ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
363. Atha kho bhagavā vihārā nikkhamma vihārapacchāyāyaṃ paññatte āsane nisīdi. Atha kho te kosalakā ca brāhmaṇadūtā māgadhakā ca brāhmaṇadūtā yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavatā saddhiṃ sammodiṃsu. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Oṭṭhaddhopi licchavī mahatiyā licchavīparisāya saddhiṃ yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi.
๓๖๔. เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข โอฎฺฐโทฺธ ลิจฺฉวี ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ปุริมานิ, ภเนฺต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ เอตทโวจ – ‘ยทเคฺค อหํ, มหาลิ, ภควนฺตํ อุปนิสฺสาย วิหรามิ, น จิรํ ตีณิ วสฺสานิ, ทิพฺพานิ หิ โข รูปานิ ปสฺสามิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน จ โข ทิพฺพานิ สทฺทานิ สุณามิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานี’ติฯ สนฺตาเนว นุ โข, ภเนฺต, สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ทิพฺพานิ สทฺทานิ นาโสฺสสิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, อุทาหุ อสนฺตานี’’ติ?
364. Ekamantaṃ nisinno kho oṭṭhaddho licchavī bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘purimāni, bhante, divasāni purimatarāni sunakkhatto licchaviputto yenāhaṃ tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā maṃ etadavoca – ‘yadagge ahaṃ, mahāli, bhagavantaṃ upanissāya viharāmi, na ciraṃ tīṇi vassāni, dibbāni hi kho rūpāni passāmi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no ca kho dibbāni saddāni suṇāmi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyānī’ti. Santāneva nu kho, bhante, sunakkhatto licchaviputto dibbāni saddāni nāssosi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, udāhu asantānī’’ti?
เอกํสภาวิตสมาธิ
Ekaṃsabhāvitasamādhi
๓๖๕. ‘‘สนฺตาเนว โข, มหาลิ, สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ทิพฺพานิ สทฺทานิ นาโสฺสสิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน อสนฺตานี’’ติฯ ‘‘โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน สนฺตาเนว สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ทิพฺพานิ สทฺทานิ นาโสฺสสิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน อสนฺตานี’’ติ?
365. ‘‘Santāneva kho, mahāli, sunakkhatto licchaviputto dibbāni saddāni nāssosi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no asantānī’’ti. ‘‘Ko nu kho, bhante, hetu, ko paccayo, yena santāneva sunakkhatto licchaviputto dibbāni saddāni nāssosi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no asantānī’’ti?
๓๖๖. ‘‘อิธ , มหาลิ, ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย ทิพฺพานิ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน จ โข ทิพฺพานิ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ
366. ‘‘Idha , mahāli, bhikkhuno puratthimāya disāya ekaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So puratthimāya disāya ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Puratthimāya disāya dibbāni rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no ca kho dibbāni saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno puratthimāya disāya ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ.
๓๖๗. ‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุโน ทกฺขิณาย ทิสาย…เป.… ปจฺฉิมาย ทิสาย … อุตฺตราย ทิสาย… อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ อุทฺธมโธ ติริยํ ทิพฺพานิ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน จ โข ทิพฺพานิ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ
367. ‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhuno dakkhiṇāya disāya…pe… pacchimāya disāya … uttarāya disāya… uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Uddhamadho tiriyaṃ dibbāni rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no ca kho dibbāni saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ.
๓๖๘. ‘‘อิธ , มหาลิ, ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย ทิพฺพานิ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน จ โข ทิพฺพานิ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ
368. ‘‘Idha , mahāli, bhikkhuno puratthimāya disāya ekaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So puratthimāya disāya ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Puratthimāya disāya dibbāni saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no ca kho dibbāni rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno puratthimāya disāya ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ.
๓๖๙. ‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุโน ทกฺขิณาย ทิสาย…เป.… ปจฺฉิมาย ทิสาย… อุตฺตราย ทิสาย… อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ อุทฺธมโธ ติริยํ ทิพฺพานิ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน จ โข ทิพฺพานิ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน อุทฺธมโธ ติริยํ เอกํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานํ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, โน จ โข ทิพฺพานํ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ
369. ‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhuno dakkhiṇāya disāya…pe… pacchimāya disāya… uttarāya disāya… uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Uddhamadho tiriyaṃ dibbāni saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no ca kho dibbāni rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno uddhamadho tiriyaṃ ekaṃsabhāvite samādhimhi dibbānaṃ saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, no ca kho dibbānaṃ rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ.
๓๗๐. ‘‘อิธ , มหาลิ, ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุภยํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุภยํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ ปุรตฺถิมาย ทิสาย ทิพฺพานิ จ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, ทิพฺพานิ จ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุภยํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ
370. ‘‘Idha , mahāli, bhikkhuno puratthimāya disāya ubhayaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So puratthimāya disāya ubhayaṃsabhāvite samādhimhi dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Puratthimāya disāya dibbāni ca rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, dibbāni ca saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno puratthimāya disāya ubhayaṃsabhāvite samādhimhi dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ.
๓๗๑. ‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุโน ทกฺขิณาย ทิสาย…เป.… ปจฺฉิมาย ทิสาย… อุตฺตราย ทิสาย… อุทฺธมโธ ติริยํ อุภยํสภาวิโต สมาธิ โหติ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ โส อุทฺธมโธ ติริยํ อุภยํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ อุทฺธมโธ ติริยํ ทิพฺพานิ จ รูปานิ ปสฺสติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, ทิพฺพานิ จ สทฺทานิ สุณาติ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? เอวเญฺหตํ, มหาลิ, โหติ ภิกฺขุโน อุทฺธมโธ ติริยํ อุภยํสภาวิเต สมาธิมฺหิ ทิพฺพานญฺจ รูปานํ ทสฺสนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํ, ทิพฺพานญฺจ สทฺทานํ สวนาย ปิยรูปานํ กามูปสํหิตานํ รชนียานํฯ อยํ โข มหาลิ, เหตุ, อยํ ปจฺจโย, เยน สนฺตาเนว สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต ทิพฺพานิ สทฺทานิ นาโสฺสสิ ปิยรูปานิ กามูปสํหิตานิ รชนียานิ, โน อสนฺตานี’’ติฯ
371. ‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhuno dakkhiṇāya disāya…pe… pacchimāya disāya… uttarāya disāya… uddhamadho tiriyaṃ ubhayaṃsabhāvito samādhi hoti dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. So uddhamadho tiriyaṃ ubhayaṃsabhāvite samādhimhi dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Uddhamadho tiriyaṃ dibbāni ca rūpāni passati piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, dibbāni ca saddāni suṇāti piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni. Taṃ kissa hetu? Evañhetaṃ, mahāli, hoti bhikkhuno uddhamadho tiriyaṃ ubhayaṃsabhāvite samādhimhi dibbānañca rūpānaṃ dassanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ, dibbānañca saddānaṃ savanāya piyarūpānaṃ kāmūpasaṃhitānaṃ rajanīyānaṃ. Ayaṃ kho mahāli, hetu, ayaṃ paccayo, yena santāneva sunakkhatto licchaviputto dibbāni saddāni nāssosi piyarūpāni kāmūpasaṃhitāni rajanīyāni, no asantānī’’ti.
๓๗๒. ‘‘เอตาสํ นูน, ภเนฺต, สมาธิภาวนานํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู ภควติ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติฯ ‘‘น โข, มหาลิ, เอตาสํ สมาธิภาวนานํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ อตฺถิ โข, มหาลิ, อเญฺญว ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ, เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติฯ
372. ‘‘Etāsaṃ nūna, bhante, samādhibhāvanānaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū bhagavati brahmacariyaṃ carantī’’ti. ‘‘Na kho, mahāli, etāsaṃ samādhibhāvanānaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti. Atthi kho, mahāli, aññeva dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca, yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ carantī’’ti.
จตุอริยผลํ
Catuariyaphalaṃ
๓๗๓. ‘‘กตเม ปน เต, ภเนฺต, ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ, เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู ภควติ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติ? ‘‘อิธ, มหาลิ, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปโนฺน โหติ อวินิปาตธโมฺม นิยโต สโมฺพธิปรายโณฯ อยมฺปิ โข, มหาลิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ, ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
373. ‘‘Katame pana te, bhante, dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca, yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū bhagavati brahmacariyaṃ carantī’’ti? ‘‘Idha, mahāli, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā sotāpanno hoti avinipātadhammo niyato sambodhiparāyaṇo. Ayampi kho, mahāli, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca, yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี โหติ, สกิเทว 1 อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กโรติฯ อยมฺปิ โข, มหาลิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ, ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhu tiṇṇaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā rāgadosamohānaṃ tanuttā sakadāgāmī hoti, sakideva 2 imaṃ lokaṃ āgantvā dukkhassantaṃ karoti. Ayampi kho, mahāli, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca, yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุ ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก โหติ, ตตฺถ ปรินิพฺพายี, อนาวตฺติธโมฺม ตสฺมา โลกาฯ อยมฺปิ โข, มหาลิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ, ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ
‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhu pañcannaṃ orambhāgiyānaṃ saṃyojanānaṃ parikkhayā opapātiko hoti, tattha parinibbāyī, anāvattidhammo tasmā lokā. Ayampi kho, mahāli, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca, yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti.
‘‘ปุน จปรํ, มหาลิ, ภิกฺขุ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อยมฺปิ โข, มหาลิ, ธโมฺม อุตฺตริตโร จ ปณีตตโร จ, ยสฺส สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติฯ อิเม โข เต, มหาลิ, ธมฺมา อุตฺตริตรา จ ปณีตตรา จ, เยสํ สจฺฉิกิริยาเหตุ ภิกฺขู มยิ พฺรหฺมจริยํ จรนฺตี’’ติฯ
‘‘Puna caparaṃ, mahāli, bhikkhu āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati. Ayampi kho, mahāli, dhammo uttaritaro ca paṇītataro ca, yassa sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ caranti. Ime kho te, mahāli, dhammā uttaritarā ca paṇītatarā ca, yesaṃ sacchikiriyāhetu bhikkhū mayi brahmacariyaṃ carantī’’ti.
อริยอฎฺฐงฺคิกมโคฺค
Ariyaaṭṭhaṅgikamaggo
๓๗๔. ‘‘อตฺถิ ปน, ภเนฺต, มโคฺค อตฺถิ ปฎิปทา เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อตฺถิ โข, มหาลิ, มโคฺค อตฺถิ ปฎิปทา เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ
374. ‘‘Atthi pana, bhante, maggo atthi paṭipadā etesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Atthi kho, mahāli, maggo atthi paṭipadā etesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāyā’’ti.
๓๗๕. ‘‘กตโม ปน, ภเนฺต, มโคฺค กตมา ปฎิปทา เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยายา’’ติ? ‘‘อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺคฯ เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิฯ อยํ โข, มหาลิ, มโคฺค อยํ ปฎิปทา เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยายฯ
375. ‘‘Katamo pana, bhante, maggo katamā paṭipadā etesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāyā’’ti? ‘‘Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo. Seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo sammāvācā sammākammanto sammāājīvo sammāvāyāmo sammāsati sammāsamādhi. Ayaṃ kho, mahāli, maggo ayaṃ paṭipadā etesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāya.
เทฺวปพฺพชิตวตฺถุ
Dvepabbajitavatthu
๓๗๖. ‘‘เอกมิทาหํ, มหาลิ, สมยํ โกสมฺพิยํ วิหรามิ โฆสิตาราเม ฯ อถ โข เทฺว ปพฺพชิตา – มุณฺฑิโย จ ปริพฺพาชโก ชาลิโย จ ทารุปตฺติกเนฺตวาสี เยนาหํ เตนุปสงฺกมิํสุฯ อุปสงฺกมิตฺวา มยา สทฺธิํ สโมฺมทิํสุฯ สโมฺมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข เต เทฺว ปพฺพชิตา มํ เอตทโวจุํ – ‘กิํ นุ โข, อาวุโส โคตม, ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ, อุทาหุ อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ?
376. ‘‘Ekamidāhaṃ, mahāli, samayaṃ kosambiyaṃ viharāmi ghositārāme . Atha kho dve pabbajitā – muṇḍiyo ca paribbājako jāliyo ca dārupattikantevāsī yenāhaṃ tenupasaṅkamiṃsu. Upasaṅkamitvā mayā saddhiṃ sammodiṃsu. Sammodanīyaṃ kathaṃ sāraṇīyaṃ vītisāretvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Ekamantaṃ ṭhitā kho te dve pabbajitā maṃ etadavocuṃ – ‘kiṃ nu kho, āvuso gotama, taṃ jīvaṃ taṃ sarīraṃ, udāhu aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti?
๓๗๗. ‘‘‘เตน หาวุโส, สุณาถ สาธุกํ มนสิ กโรถ ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘เอวมาวุโส’ติ โข เต เทฺว ปพฺพชิตา มม ปจฺจโสฺสสุํฯ อหํ เอตทโวจํ – อิธาวุโส ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ…เป.… (ยถา ๑๙๐-๒๑๒ อนุเจฺฉเทสุ เอวํ วิตฺถาเรตพฺพํ)ฯ เอวํ โข, อาวุโส, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน โหติ…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โย โข, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ นุ โข ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติ? โย โส, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา, ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติฯ อหํ โข ปเนตํ, อาวุโส, เอวํ ชานามิ เอวํ ปสฺสามิฯ อถ จ ปนาหํ น วทามิ – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วา…เป.… ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โย โข, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ นุ โข ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติ? โย โส, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ , กลฺลํ ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติฯ อหํ โข ปเนตํ, อาวุโส, เอวํ ชานามิ เอวํ ปสฺสามิฯ อถ จ ปนาหํ น วทามิ – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วา…เป.… ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมติ…เป.… โย โข, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ นุ โข ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติ? โย โส, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ 3 ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติฯ อหํ โข ปเนตํ, อาวุโส, เอวํ ชานามิ เอวํ ปสฺสามิฯ อถ จ ปนาหํ น วทามิ – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วา…เป.… นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติฯ โย โข, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ, กลฺลํ นุ โข ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติ? โย โส, อาวุโส, ภิกฺขุ เอวํ ชานาติ เอวํ ปสฺสติ น กลฺลํ ตเสฺสตํ วจนาย – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วาติฯ อหํ โข ปเนตํ, อาวุโส, เอวํ ชานามิ เอวํ ปสฺสามิฯ อถ จ ปนาหํ น วทามิ – ‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’นฺติ วา ‘อญฺญํ ชีวํ อญฺญํ สรีร’นฺติ วา’’ติฯ อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน โอฎฺฐโทฺธ ลิจฺฉวี ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
377. ‘‘‘Tena hāvuso, suṇātha sādhukaṃ manasi karotha bhāsissāmī’’ti. ‘Evamāvuso’ti kho te dve pabbajitā mama paccassosuṃ. Ahaṃ etadavocaṃ – idhāvuso tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho…pe… (yathā 190-212 anucchedesu evaṃ vitthāretabbaṃ). Evaṃ kho, āvuso, bhikkhu sīlasampanno hoti…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yo kho, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ nu kho tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti? Yo so, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā, ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti. Ahaṃ kho panetaṃ, āvuso, evaṃ jānāmi evaṃ passāmi. Atha ca panāhaṃ na vadāmi – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Yo kho, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ nu kho tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti? Yo so, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati , kallaṃ tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti. Ahaṃ kho panetaṃ, āvuso, evaṃ jānāmi evaṃ passāmi. Atha ca panāhaṃ na vadāmi – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vā…pe… ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmeti…pe… yo kho, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ nu kho tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti? Yo so, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ 4 tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti. Ahaṃ kho panetaṃ, āvuso, evaṃ jānāmi evaṃ passāmi. Atha ca panāhaṃ na vadāmi – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vā…pe… nāparaṃ itthattāyāti pajānāti. Yo kho, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati, kallaṃ nu kho tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti? Yo so, āvuso, bhikkhu evaṃ jānāti evaṃ passati na kallaṃ tassetaṃ vacanāya – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vāti. Ahaṃ kho panetaṃ, āvuso, evaṃ jānāmi evaṃ passāmi. Atha ca panāhaṃ na vadāmi – ‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’nti vā ‘aññaṃ jīvaṃ aññaṃ sarīra’nti vā’’ti. Idamavoca bhagavā. Attamano oṭṭhaddho licchavī bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.
มหาลิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ฉฎฺฐํฯ
Mahālisuttaṃ niṭṭhitaṃ chaṭṭhaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๖. มหาลิสุตฺตวณฺณนา • 6. Mahālisuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๖. มหาลิสุตฺตวณฺณนา • 6. Mahālisuttavaṇṇanā