Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) |
๖. มหาลิสุตฺตวณฺณนา
6. Mahālisuttavaṇṇanā
พฺราหฺมณทูตวตฺถุวณฺณนา
Brāhmaṇadūtavatthuvaṇṇanā
๓๕๙. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยนฺติ มหาลิสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนาฯ เวสาลิยนฺติ ปุนปฺปุนํ วิสาลภาวูปคมนโต เวสาลีติ ลทฺธนามเก นคเรฯ มหาวเนติ พหินคเร หิมวเนฺตน สทฺธิํ เอกาพทฺธํ หุตฺวา ฐิตํ สยํ ชาตวนํ อตฺถิ, ยํ มหนฺตภาเวเนว มหาวนนฺติ วุจฺจติ, ตสฺมิํ มหาวเนฯ กูฎาคารสาลายนฺติ ตสฺมิํ วนสเณฺฑ สงฺฆารามํ ปติฎฺฐเปสุํฯ ตตฺถ กณฺณิกํ โยเชตฺวา ถมฺภานํ อุปริ กูฎาคารสาลาสเงฺขเปน เทววิมานสทิสํ ปาสาทํ อกํสุ, ตํ อุปาทาย สกโลปิ สงฺฆาราโม ‘‘กูฎาคารสาลา’’ติ ปญฺญายิตฺถฯ ภควา ตํ เวสาลิํ อุปนิสฺสาย ตสฺมิํ สงฺฆาราเม วิหรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลาย’’นฺติฯ โกสลกาติ โกสลรฎฺฐวาสิโนฯ มาคธกาติ มคธรฎฺฐวาสิโนฯ กรณีเยนาติ อวสฺสํ กตฺตพฺพกเมฺมนฯ ยญฺหิ อกาตุมฺปิ วฎฺฎติ, ตํ กิจฺจนฺติ วุจฺจติ, ยํ อวสฺสํ กาตพฺพเมว, ตํ กรณียํ นามฯ
359.Evaṃme sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā vesāliyanti mahālisuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā. Vesāliyanti punappunaṃ visālabhāvūpagamanato vesālīti laddhanāmake nagare. Mahāvaneti bahinagare himavantena saddhiṃ ekābaddhaṃ hutvā ṭhitaṃ sayaṃ jātavanaṃ atthi, yaṃ mahantabhāveneva mahāvananti vuccati, tasmiṃ mahāvane. Kūṭāgārasālāyanti tasmiṃ vanasaṇḍe saṅghārāmaṃ patiṭṭhapesuṃ. Tattha kaṇṇikaṃ yojetvā thambhānaṃ upari kūṭāgārasālāsaṅkhepena devavimānasadisaṃ pāsādaṃ akaṃsu, taṃ upādāya sakalopi saṅghārāmo ‘‘kūṭāgārasālā’’ti paññāyittha. Bhagavā taṃ vesāliṃ upanissāya tasmiṃ saṅghārāme viharati. Tena vuttaṃ – ‘‘vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāya’’nti. Kosalakāti kosalaraṭṭhavāsino. Māgadhakāti magadharaṭṭhavāsino. Karaṇīyenāti avassaṃ kattabbakammena. Yañhi akātumpi vaṭṭati, taṃ kiccanti vuccati, yaṃ avassaṃ kātabbameva, taṃ karaṇīyaṃ nāma.
๓๖๐. ปฎิสลฺลีโน ภควาติ นานารมฺมณจารโต ปฎิกฺกมฺม สลฺลีโน นิลีโน, เอกีภาวํ อุปคมฺม เอกตฺตารมฺมเณ ฌานรติํ อนุภวตีติ อโตฺถฯ ตเตฺถวาติ ตสฺมิเญฺญว วิหาเรฯ เอกมนฺตนฺติ ตสฺมา ฐานา อปกฺกมฺม ตาสุ ตาสุ รุกฺขจฺฉายาสุ นิสีทิํสุฯ
360.Paṭisallīno bhagavāti nānārammaṇacārato paṭikkamma sallīno nilīno, ekībhāvaṃ upagamma ekattārammaṇe jhānaratiṃ anubhavatīti attho. Tatthevāti tasmiññeva vihāre. Ekamantanti tasmā ṭhānā apakkamma tāsu tāsu rukkhacchāyāsu nisīdiṃsu.
โอฎฺฐทฺธลิจฺฉวีวตฺถุวณฺณนา
Oṭṭhaddhalicchavīvatthuvaṇṇanā
๓๖๑. โอฎฺฐโทฺธติ อโทฺธฎฺฐตาย เอวํลทฺธนาโมฯ มหติยา ลิจฺฉวีปริสายาติ ปุเรภตฺตํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา ภควโต สนฺติเก อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐหิตฺวา คนฺธมาลาทีนิ คาหาเปตฺวา อุโคฺฆสนาย มหติํ ลิจฺฉวิราชปริสํ สนฺนิปาตาเปตฺวา ตาย นีลปีตาทิวณฺณวตฺถาภรณวิเลปนปฎิมณฺฑิตาย ตาวติํสปริสสปฺปฎิภาคาย มหติยา ลิจฺฉวิปริสาย สทฺธิํ อุปสงฺกมิฯ อกาโล โข มหาลีติ ตสฺส โอฎฺฐทฺธสฺส มหาลีติ มูลนามํ, เตน มูลนามมเตฺตน นํ เถโร มหาลีติ อาลปติฯ เอกมนฺตํ นิสีทีติ ปติรูปาสุ รุกฺขจฺฉายาสุ ตาย ลิจฺฉวิปริสาย สทฺธิํ รตนตฺตยสฺส วณฺณํ กถยโนฺต นิสีทิฯ
361.Oṭṭhaddhoti addhoṭṭhatāya evaṃladdhanāmo. Mahatiyā licchavīparisāyāti purebhattaṃ buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānaṃ datvā bhagavato santike uposathaṅgāni adhiṭṭhahitvā gandhamālādīni gāhāpetvā ugghosanāya mahatiṃ licchavirājaparisaṃ sannipātāpetvā tāya nīlapītādivaṇṇavatthābharaṇavilepanapaṭimaṇḍitāya tāvatiṃsaparisasappaṭibhāgāya mahatiyā licchaviparisāya saddhiṃ upasaṅkami. Akālo kho mahālīti tassa oṭṭhaddhassa mahālīti mūlanāmaṃ, tena mūlanāmamattena naṃ thero mahālīti ālapati. Ekamantaṃ nisīdīti patirūpāsu rukkhacchāyāsu tāya licchaviparisāya saddhiṃ ratanattayassa vaṇṇaṃ kathayanto nisīdi.
๓๖๒. สีโห สมณุเทฺทโสติ อายสฺมโต นาคิตสฺส ภาคิเนโยฺย สตฺตวสฺสกาเล ปพฺพชิตฺวา สาสเน ยุตฺตปยุโตฺต ‘‘สีโห’’ติ เอวํนามโก สามเณโร, โส กิร ตํ มหาปริสํ ทิสฺวา – ‘‘อยํ ปริสา มหตี, สกลํ วิหารํ ปูเรตฺวา นิสินฺนา, อทฺธา ภควา อชฺช อิมิสฺสา ปริสาย มหเนฺตน อุสฺสาเหน ธมฺมํ เทเสสฺสติ, ยํนูนาหํ อุปชฺฌายสฺสาจิกฺขิตฺวา ภควโต มหาปริสาย สนฺนิปติตภาวํ อาโรจาเปยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เยนายสฺมา นาคิโต เตนุปสงฺกมิฯ ภเนฺต กสฺสปาติ เถรํ โคเตฺตน อาลปติฯ เอสา ชนตาติ เอโส ชนสมูโหฯ
362.Sīho samaṇuddesoti āyasmato nāgitassa bhāgineyyo sattavassakāle pabbajitvā sāsane yuttapayutto ‘‘sīho’’ti evaṃnāmako sāmaṇero, so kira taṃ mahāparisaṃ disvā – ‘‘ayaṃ parisā mahatī, sakalaṃ vihāraṃ pūretvā nisinnā, addhā bhagavā ajja imissā parisāya mahantena ussāhena dhammaṃ desessati, yaṃnūnāhaṃ upajjhāyassācikkhitvā bhagavato mahāparisāya sannipatitabhāvaṃ ārocāpeyya’’nti cintetvā yenāyasmā nāgito tenupasaṅkami. Bhante kassapāti theraṃ gottena ālapati. Esā janatāti eso janasamūho.
ตฺวเญฺญว ภควโต อาโรเจหีติ สีโห กิร ภควโต วิสฺสาสิโก, อยญฺหิ เถโร ถูลสรีโร, เตนสฺส สรีรครุตาย อุฎฺฐานนิสชฺชาทีสุ อาลสิยภาโว อีสกํ อปฺปหีโน วิย โหติฯ อถายํ สามเณโร ภควโต กาเลน กาลํ วตฺตํ กโรติฯ เตน นํ เถโร ‘‘ตฺวมฺปิ ทสพลสฺส วิสฺสาสิโก’’ติ วตฺวา คจฺฉ ตฺวเญฺญวาโรเจหีติ อาหฯ วิหารปจฺฉายายนฺติ วิหารฉายายํ, กูฎาคารมหาเคหจฺฉายาย ผริโตกาเสติ อโตฺถฯ สา กิร กูฎาคารสาลา ทกฺขิณุตฺตรโต ทีฆา ปาจีนมุขา, เตนสฺสา ปุรโต มหตี ฉายา ปตฺถฎา โหติ, สีโห ตตฺถ ภควโต อาสนํ ปญฺญเปสิฯ
Tvaññeva bhagavato ārocehīti sīho kira bhagavato vissāsiko, ayañhi thero thūlasarīro, tenassa sarīragarutāya uṭṭhānanisajjādīsu ālasiyabhāvo īsakaṃ appahīno viya hoti. Athāyaṃ sāmaṇero bhagavato kālena kālaṃ vattaṃ karoti. Tena naṃ thero ‘‘tvampi dasabalassa vissāsiko’’ti vatvā gaccha tvaññevārocehīti āha. Vihārapacchāyāyanti vihārachāyāyaṃ, kūṭāgāramahāgehacchāyāya pharitokāseti attho. Sā kira kūṭāgārasālā dakkhiṇuttarato dīghā pācīnamukhā, tenassā purato mahatī chāyā patthaṭā hoti, sīho tattha bhagavato āsanaṃ paññapesi.
๓๖๓. อถ โข ภควา ทฺวารนฺตเรหิ เจว วาตปานนฺตเรหิ จ นิกฺขมิตฺวา วิธาวนฺตาหิ วิปฺผรนฺตีหิ ฉพฺพณฺณาหิ พุทฺธรสฺมีหิ สํสูจิตนิกฺขมโน วลาหกนฺตรโต ปุณฺณจโนฺท วิย กูฎาคารสาลโต นิกฺขมิตฺวา ปญฺญตฺตวรพุทฺธาสเน นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา วิหารา นิกฺขมฺม วิหารปจฺฉายาย ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีที’’ติฯ
363. Atha kho bhagavā dvārantarehi ceva vātapānantarehi ca nikkhamitvā vidhāvantāhi vippharantīhi chabbaṇṇāhi buddharasmīhi saṃsūcitanikkhamano valāhakantarato puṇṇacando viya kūṭāgārasālato nikkhamitvā paññattavarabuddhāsane nisīdi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā vihārā nikkhamma vihārapacchāyāya paññatte āsane nisīdī’’ti.
๓๖๔-๓๖๕. ปุริมานิ , ภเนฺต, ทิวสานิ ปุริมตรานีติ เอตฺถ หิโยฺย ทิวสํ ปุริมํ นาม, ตโต ปรํ ปุริมตรํฯ ตโต ปฎฺฐาย ปน สพฺพานิ ปุริมานิ เจว ปุริมตรานิ จ โหนฺติฯ ยทเคฺคติ มูลทิวสโต ปฎฺฐาย ยํ ทิวสํ อคฺคํ ปรโกฎิํ กตฺวา วิหรามีติ อโตฺถ, ยาว วิหาสินฺติ วุตฺตํ โหติฯ อิทานิ ตสฺส ปริมาณํ ทเสฺสโนฺต ‘‘นจิรํ ตีณิ วสฺสานี’’ติ อาหฯ อถ วา ยทเคฺคติ ยํ ทิวสํ อคฺคํ กตฺวา นจิรํ ตีณิ วสฺสานิ วิหรามีติปิ อโตฺถ ฯ ยํ ทิวสํ อาทิํ กตฺวา นจิรํ วิหาสิํ ตีณิเยว วสฺสานีติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ กิร ภควโต ปตฺตจีวรํ คณฺหโนฺต ตีณิ สํวจฺฉรานิ ภควนฺตํ อุปฎฺฐาสิ, ตํ สนฺธาย เอวํ วทติฯ ปิยรูปานีติ ปิยชาติกานิ สาตชาติกานิฯ กามูปสํหิตานีติ กามสฺสาทยุตฺตานิฯ รชนียานีติ ราคชนกานิฯ โน จ โข ทิพฺพานิ สทฺทานีติ กสฺมา สุนกฺขโตฺต ตานิ น สุณาติ? โส กิร ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมํ ยาจิ, ตสฺส ภควา อาจิกฺขิ, โส ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปโนฺน ทิพฺพจกฺขุํ อุปฺปาเทตฺวา เทวตานํ รูปานิ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิมสฺมิํ สรีรสณฺฐาเน สเทฺทน มธุเรน ภวิตพฺพํ, กถํ นุ โข นํ สุเณยฺย’’นฺติ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพโสตปริกมฺมํ ปุจฺฉิฯ อยญฺจ อตีเต เอกํ สีลวนฺตํ ภิกฺขุํ กณฺณสกฺขลิยํ ปหริตฺวา พธิรมกาสิฯ ตสฺมา ปริกมฺมํ กโรโนฺตปิ อภโพฺพ ทิพฺพโสตาธิคมายฯ เตนสฺส น ภควา ปริกมฺมํ กเถสิฯ โส เอตฺตาวตา ภควติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อทฺธา สมณสฺส โคตมสฺส เอวํ โหติ – ‘อหมฺปิ ขตฺติโย อยมฺปิ ขตฺติโย, สจสฺส ญาณํ วฑฺฒิสฺสติ, อยมฺปิ สพฺพญฺญู ภวิสฺสตี’ติ อุสูยาย มยฺหํ น กเถสี’’ติฯ โส อนุกฺกเมน คิหิภาวํ ปตฺวา ตมตฺถํ มหาลิลิจฺฉวิโน กเถโนฺต เอวมาหฯ
364-365.Purimāni, bhante, divasāni purimatarānīti ettha hiyyo divasaṃ purimaṃ nāma, tato paraṃ purimataraṃ. Tato paṭṭhāya pana sabbāni purimāni ceva purimatarāni ca honti. Yadaggeti mūladivasato paṭṭhāya yaṃ divasaṃ aggaṃ parakoṭiṃ katvā viharāmīti attho, yāva vihāsinti vuttaṃ hoti. Idāni tassa parimāṇaṃ dassento ‘‘naciraṃ tīṇi vassānī’’ti āha. Atha vā yadaggeti yaṃ divasaṃ aggaṃ katvā naciraṃ tīṇi vassāni viharāmītipi attho . Yaṃ divasaṃ ādiṃ katvā naciraṃ vihāsiṃ tīṇiyeva vassānīti vuttaṃ hoti. Ayaṃ kira bhagavato pattacīvaraṃ gaṇhanto tīṇi saṃvaccharāni bhagavantaṃ upaṭṭhāsi, taṃ sandhāya evaṃ vadati. Piyarūpānīti piyajātikāni sātajātikāni. Kāmūpasaṃhitānīti kāmassādayuttāni. Rajanīyānīti rāgajanakāni. No ca kho dibbāni saddānīti kasmā sunakkhatto tāni na suṇāti? So kira bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dibbacakkhuparikammaṃ yāci, tassa bhagavā ācikkhi, so yathānusiṭṭhaṃ paṭipanno dibbacakkhuṃ uppādetvā devatānaṃ rūpāni disvā cintesi ‘‘imasmiṃ sarīrasaṇṭhāne saddena madhurena bhavitabbaṃ, kathaṃ nu kho naṃ suṇeyya’’nti bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dibbasotaparikammaṃ pucchi. Ayañca atīte ekaṃ sīlavantaṃ bhikkhuṃ kaṇṇasakkhaliyaṃ paharitvā badhiramakāsi. Tasmā parikammaṃ karontopi abhabbo dibbasotādhigamāya. Tenassa na bhagavā parikammaṃ kathesi. So ettāvatā bhagavati āghātaṃ bandhitvā cintesi – ‘‘addhā samaṇassa gotamassa evaṃ hoti – ‘ahampi khattiyo ayampi khattiyo, sacassa ñāṇaṃ vaḍḍhissati, ayampi sabbaññū bhavissatī’ti usūyāya mayhaṃ na kathesī’’ti. So anukkamena gihibhāvaṃ patvā tamatthaṃ mahālilicchavino kathento evamāha.
๓๖๖-๓๗๑. เอกํสภาวิโตติ เอกํสาย เอกโกฎฺฐาสาย ภาวิโต, ทิพฺพานํ วา รูปานํ ทสฺสนตฺถาย ทิพฺพานํ วา สทฺทานํ สวนตฺถาย ภาวิโตติ อโตฺถฯ ติริยนฺติ อนุทิสายฯ อุภยํสภาวิโตติ อุภยํสาย อุภยโกฎฺฐาสาย ภาวิโตติ อโตฺถฯ อยํ โข มหาลิ เหตูติ อยํ ทิพฺพานํเยว รูปานํ ทสฺสนาย เอกํสภาวิโต สมาธิ เหตุฯ อิมมตฺถํ สุตฺวา โส ลิจฺฉวี จิเนฺตสิ – ‘‘อิทํ ทิพฺพโสเตน สทฺทสุณนํ อิมสฺมิํ สาสเน อุตฺตมตฺถภูตํ มเญฺญ อิมสฺส นูน อตฺถาย เอเต ภิกฺขู ปญฺญาสมฺปิ สฎฺฐิปิ วสฺสานิ อปณฺณกํ พฺรหฺมจริยํ จรนฺติ, ยํนูนาหํ ทสพลํ เอตมตฺถํ ปุเจฺฉยฺย’’นฺติฯ
366-371.Ekaṃsabhāvitoti ekaṃsāya ekakoṭṭhāsāya bhāvito, dibbānaṃ vā rūpānaṃ dassanatthāya dibbānaṃ vā saddānaṃ savanatthāya bhāvitoti attho. Tiriyanti anudisāya. Ubhayaṃsabhāvitoti ubhayaṃsāya ubhayakoṭṭhāsāya bhāvitoti attho. Ayaṃ kho mahāli hetūti ayaṃ dibbānaṃyeva rūpānaṃ dassanāya ekaṃsabhāvito samādhi hetu. Imamatthaṃ sutvā so licchavī cintesi – ‘‘idaṃ dibbasotena saddasuṇanaṃ imasmiṃ sāsane uttamatthabhūtaṃ maññe imassa nūna atthāya ete bhikkhū paññāsampi saṭṭhipi vassāni apaṇṇakaṃ brahmacariyaṃ caranti, yaṃnūnāhaṃ dasabalaṃ etamatthaṃ puccheyya’’nti.
๓๗๒. ตโต ตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘เอตาสํ นูน, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ สมาธิภาวนานนฺติ เอตฺถ สมาธิเยว สมาธิภาวนา, อุภยํสภาวิตานํ สมาธีนนฺติ อโตฺถฯ อถ ยสฺมา สาสนโต พาหิรา เอตา สมาธิภาวนา, น อชฺฌตฺติกาฯ ตสฺมา ตา ปฎิกฺขิปิตฺวา ยทตฺถํ ภิกฺขู พฺรหฺมจริยํ จรนฺติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘น โข มหาลี’’ติอาทิมาหฯ
372. Tato tamatthaṃ pucchanto ‘‘etāsaṃ nūna, bhante’’tiādimāha. Samādhibhāvanānanti ettha samādhiyeva samādhibhāvanā, ubhayaṃsabhāvitānaṃ samādhīnanti attho. Atha yasmā sāsanato bāhirā etā samādhibhāvanā, na ajjhattikā. Tasmā tā paṭikkhipitvā yadatthaṃ bhikkhū brahmacariyaṃ caranti, taṃ dassento bhagavā ‘‘na kho mahālī’’tiādimāha.
จตุอริยผลวณฺณนา
Catuariyaphalavaṇṇanā
๓๗๓. ติณฺณํ สํโยชนานนฺติ สกฺกายทิฎฺฐิอาทีนํ ติณฺณํ พนฺธนานํฯ ตานิ หิ วฎฺฎทุกฺขมเย รเถ สเตฺต สํโยเชนฺติ, ตสฺมา สํโยชนานีติ วุจฺจนฺติฯ โสตาปโนฺน โหตีติ มคฺคโสตํ อาปโนฺน โหติฯ อวินิปาตธโมฺมติ จตูสุ อปาเยสุ อปตนธโมฺมฯ นิยโตติ ธมฺมนิยาเมน นิยโตฯ สโมฺพธิปรายโณติ อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สโมฺพธิ ปรํ อยนํ อสฺส, อเนน วา ปตฺตพฺพาติ สโมฺพธิปรายโณฯ
373.Tiṇṇaṃsaṃyojanānanti sakkāyadiṭṭhiādīnaṃ tiṇṇaṃ bandhanānaṃ. Tāni hi vaṭṭadukkhamaye rathe satte saṃyojenti, tasmā saṃyojanānīti vuccanti. Sotāpannohotīti maggasotaṃ āpanno hoti. Avinipātadhammoti catūsu apāyesu apatanadhammo. Niyatoti dhammaniyāmena niyato. Sambodhiparāyaṇoti uparimaggattayasaṅkhātā sambodhi paraṃ ayanaṃ assa, anena vā pattabbāti sambodhiparāyaṇo.
ตนุตฺตาติ ปริยุฎฺฐานมนฺทตาย จ กทาจิ กรหจิ อุปฺปตฺติยา จ ตนุภาวาฯ โอรมฺภาคิยานนฺติ เหฎฺฐาภาคิยานํ, เย หิ พโทฺธ อุปริ สุทฺธาวาสภูมิยํ นิพฺพตฺติตุํ น สโกฺกติฯ โอปปาติโกติ เสสโยนิปฎิเกฺขปวจนเมตํฯ ตตฺถ ปรินิพฺพายีติ ตสฺมิํ อุปริภเวเยว ปรินิพฺพานธโมฺมฯ อนาวตฺติธโมฺมติ ตโต พฺรหฺมโลกา ปุน ปฎิสนฺธิวเสน อนาวตฺตนธโมฺมฯ เจโตวิมุตฺตินฺติ จิตฺตวิสุทฺธิํ, สพฺพกิเลสพนฺธนวิมุตฺตสฺส อรหตฺตผลจิตฺตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปญฺญาวิมุตฺตินฺติ เอตฺถาปิ สพฺพกิเลสพนฺธนวิมุตฺตา อรหตฺตผลปญฺญาว ปญฺญาวิมุตฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ทิเฎฺฐว ธเมฺมติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเวฯ สยนฺติ สามํฯ อภิญฺญาติ อภิชานิตฺวาฯ สจฺฉิกตฺวาติ ปจฺจกฺขํ กตฺวาฯ อถ วา อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวาติ อภิญฺญาย อภิวิสิเฎฺฐน ญาเณน สจฺฉิกริตฺวาติปิ อโตฺถฯ อุปสมฺปชฺชาติ ปตฺวา ปฎิลภิตฺวาฯ อิทํ สุตฺวา ลิจฺฉวิราชา จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ปน ธโมฺม น สกุเณน วิย อุปฺปติตฺวา, นาปิ โคธาย วิย อุเรน คนฺตฺวา สกฺกา ปฎิวิชฺฌิตุํ , อทฺธา ปน อิมํ ปฎิวิชฺฌนฺตสฺส ปุพฺพภาคปฺปฎิปทาย ภวิตพฺพํ, ปุจฺฉามิ ตาว น’’นฺติฯ
Tanuttāti pariyuṭṭhānamandatāya ca kadāci karahaci uppattiyā ca tanubhāvā. Orambhāgiyānanti heṭṭhābhāgiyānaṃ, ye hi baddho upari suddhāvāsabhūmiyaṃ nibbattituṃ na sakkoti. Opapātikoti sesayonipaṭikkhepavacanametaṃ. Tattha parinibbāyīti tasmiṃ uparibhaveyeva parinibbānadhammo. Anāvattidhammoti tato brahmalokā puna paṭisandhivasena anāvattanadhammo. Cetovimuttinti cittavisuddhiṃ, sabbakilesabandhanavimuttassa arahattaphalacittassetaṃ adhivacanaṃ. Paññāvimuttinti etthāpi sabbakilesabandhanavimuttā arahattaphalapaññāva paññāvimuttīti veditabbā. Diṭṭheva dhammeti imasmiṃyeva attabhāve. Sayanti sāmaṃ. Abhiññāti abhijānitvā. Sacchikatvāti paccakkhaṃ katvā. Atha vā abhiññā sacchikatvāti abhiññāya abhivisiṭṭhena ñāṇena sacchikaritvātipi attho. Upasampajjāti patvā paṭilabhitvā. Idaṃ sutvā licchavirājā cintesi – ‘‘ayaṃ pana dhammo na sakuṇena viya uppatitvā, nāpi godhāya viya urena gantvā sakkā paṭivijjhituṃ , addhā pana imaṃ paṭivijjhantassa pubbabhāgappaṭipadāya bhavitabbaṃ, pucchāmi tāva na’’nti.
อริยอฎฺฐงฺคิกมคฺควณฺณนา
Ariyaaṭṭhaṅgikamaggavaṇṇanā
๓๗๔-๓๗๕. ตโต ภควนฺตํ ปุจฺฉโนฺต ‘‘อตฺถิ ปน ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ อฎฺฐงฺคิโกติ ปญฺจงฺคิกํ ตุริยํ วิย อฎฺฐงฺคิโก คาโม วิย จ อฎฺฐงฺคมโตฺตเยว หุตฺวา อฎฺฐงฺคิโก, น องฺคโต อโญฺญ มโคฺค นาม อตฺถิฯ เตเนวาห – ‘‘เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธี’’ติฯ ตตฺถ สมฺมาทสฺสนลกฺขณา สมฺมาทิฎฺฐิฯ สมฺมา อภินิโรปนลกฺขโณ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สมฺมา ปริคฺคหณลกฺขณา สมฺมาวาจาฯ สมฺมา สมุฎฺฐาปนลกฺขโณ สมฺมากมฺมโนฺตฯ สมฺมา โวทาปนลกฺขโณ สมฺมาอาชีโวฯ สมฺมา ปคฺคหลกฺขโณ สมฺมาวายาโมฯ สมฺมา อุปฎฺฐานลกฺขณา สมฺมาสติฯ สมฺมา สมาธานลกฺขโณ สมฺมาสมาธิฯ เอเตสุ เอเกกสฺส ตีณิ ตีณิ กิจฺจานิ โหนฺติฯ เสยฺยถิทํ, สมฺมาทิฎฺฐิ ตาว อเญฺญหิปิ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธิํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปชหติ, นิโรธํ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปสฺสติ ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหวิธมนวเสน อสโมฺมหโตฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ตเถว มิจฺฉาสงฺกปฺปาทีนิ ปชหนฺติ, นิโรธญฺจ อารมฺมณํ กโรนฺติ, วิเสสโต ปเนตฺถ สมฺมาสงฺกโปฺป สหชาตธเมฺม อภินิโรเปติฯ สมฺมาวาจา สมฺมา ปริคฺคณฺหติฯ สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมา สมุฎฺฐาเปติฯ สมฺมาอาชีโว สมฺมา โวทาเปติฯ สมฺมาวายาโม สมฺมา ปคฺคณฺหติฯ สมฺมาสติ สมฺมา อุปฎฺฐาเปติฯ สมฺมาสมาธิ สมฺมา ปทหติฯ
374-375. Tato bhagavantaṃ pucchanto ‘‘atthi pana bhante’’tiādimāha. Aṭṭhaṅgikoti pañcaṅgikaṃ turiyaṃ viya aṭṭhaṅgiko gāmo viya ca aṭṭhaṅgamattoyeva hutvā aṭṭhaṅgiko, na aṅgato añño maggo nāma atthi. Tenevāha – ‘‘seyyathidaṃ, sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhī’’ti. Tattha sammādassanalakkhaṇā sammādiṭṭhi. Sammā abhiniropanalakkhaṇo sammāsaṅkappo. Sammā pariggahaṇalakkhaṇā sammāvācā. Sammā samuṭṭhāpanalakkhaṇo sammākammanto. Sammā vodāpanalakkhaṇo sammāājīvo. Sammā paggahalakkhaṇo sammāvāyāmo. Sammā upaṭṭhānalakkhaṇā sammāsati. Sammā samādhānalakkhaṇo sammāsamādhi. Etesu ekekassa tīṇi tīṇi kiccāni honti. Seyyathidaṃ, sammādiṭṭhi tāva aññehipi attano paccanīkakilesehi saddhiṃ micchādiṭṭhiṃ pajahati, nirodhaṃ ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca passati tappaṭicchādakamohavidhamanavasena asammohato. Sammāsaṅkappādayopi tatheva micchāsaṅkappādīni pajahanti, nirodhañca ārammaṇaṃ karonti, visesato panettha sammāsaṅkappo sahajātadhamme abhiniropeti. Sammāvācā sammā pariggaṇhati. Sammākammanto sammā samuṭṭhāpeti. Sammāājīvo sammā vodāpeti. Sammāvāyāmo sammā paggaṇhati. Sammāsati sammā upaṭṭhāpeti. Sammāsamādhi sammā padahati.
อปิ เจสา สมฺมาทิฎฺฐิ นาม ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา โหติ, มคฺคกฺขเณ เอกกฺขณา เอการมฺมณาฯ กิจฺจโต ปน ‘‘ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา โหนฺติฯ มคฺคกฺขเณ เอกกฺขณา เอการมฺมณาฯ เตสุ สมฺมาสงฺกโปฺป กิจฺจโต ‘‘เนกฺขมฺมสงฺกโปฺป’’ติอาทีนิ ตีณิ นามานิ ลภติฯ สมฺมา วาจาทโย ติโสฺส วิรติโยปิ โหนฺติ, เจตนาทโยปิ โหนฺติ, มคฺคกฺขเณ ปน วิรติเยวฯ สมฺมาวายาโม สมฺมาสตีติ อิทมฺปิ ทฺวยํ กิจฺจโต สมฺมปฺปธานสติปฎฺฐานวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสมาธิ ปน ปุพฺพภาเคปิ มคฺคกฺขเณปิ สมฺมาสมาธิเยวฯ
Api cesā sammādiṭṭhi nāma pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā hoti, maggakkhaṇe ekakkhaṇā ekārammaṇā. Kiccato pana ‘‘dukkhe ñāṇa’’ntiādīni cattāri nāmāni labhati. Sammāsaṅkappādayopi pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā honti. Maggakkhaṇe ekakkhaṇā ekārammaṇā. Tesu sammāsaṅkappo kiccato ‘‘nekkhammasaṅkappo’’tiādīni tīṇi nāmāni labhati. Sammā vācādayo tisso viratiyopi honti, cetanādayopi honti, maggakkhaṇe pana viratiyeva. Sammāvāyāmo sammāsatīti idampi dvayaṃ kiccato sammappadhānasatipaṭṭhānavasena cattāri nāmāni labhati. Sammāsamādhi pana pubbabhāgepi maggakkhaṇepi sammāsamādhiyeva.
อิติ อิเมสุ อฎฺฐสุ ธเมฺมสุ ภควตา นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตาฯ อยญฺหิ ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต ปญฺญาสตฺถ’’นฺติ (ธ. ส. ๒๐) จ วุตฺตาฯ ตสฺมา เอตาย ปุพฺพภาเค วิปสฺสนาญาณสงฺขาตาย สมฺมาทิฎฺฐิยา อวิชฺชนฺธการํ วิธมิตฺวา กิเลสโจเร ฆาเตโนฺต เขเมน โยคาวจโร นิพฺพานํ ปาปุณาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหุการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตา’’ติฯ
Iti imesu aṭṭhasu dhammesu bhagavatā nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahukārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā. Ayañhi ‘‘paññāpajjoto paññāsattha’’nti (dha. sa. 20) ca vuttā. Tasmā etāya pubbabhāge vipassanāñāṇasaṅkhātāya sammādiṭṭhiyā avijjandhakāraṃ vidhamitvā kilesacore ghātento khemena yogāvacaro nibbānaṃ pāpuṇāti. Tena vuttaṃ – ‘‘nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahukārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā’’ti.
สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหุกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺตฯ ยถา หิ เหรญฺญิโก หเตฺถน ปริวเฎฺฎตฺวา ปริวเฎฺฎตฺวา จกฺขุนา กหาปณํ โอโลเกโนฺต – ‘‘อยํ เฉโก, อยํ กูโฎ’’ติ ชานาติฯ เอวํ โยคาวจโรปิ ปุพฺพภาเค วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิปสฺสนาปญฺญาย โอโลกยมาโน – ‘‘อิเม ธมฺมา กามาวจรา, อิเม ธมฺมา รูปาวจราทโย’’ติ ปชานาติฯ ยถา วา ปน ปุริเสน โกฎิยํ คเหตฺวา ปริวเฎฺฎตฺวา ปริวเฎฺฎตฺวา ทินฺนํ มหารุกฺขํ ตจฺฉโก วาสิยา ตเจฺฉตฺวา กเมฺม อุปเนติ, เอวํ วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิตเกฺกตฺวา ทิเนฺน ธเมฺม โยคาวจโร ปญฺญาย – ‘‘อิเม กามาวจรา, อิเม รูปาวจรา’’ติอาทินา นเยน ปริจฺฉินฺทิตฺวา กเมฺม อุปเนติ ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหุกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺต’’ติฯ สฺวายํ ยถา สมฺมาทิฎฺฐิยา เอวํ สมฺมาวาจายปิ อุปการโกฯ ยถาห – ‘‘ปุเพฺพ โข, วิสาข, วิตเกฺกตฺวา วิจาเรตฺวา ปจฺฉา วาจํ ภินฺทตี’’ติ, (ม. นิ. ๑.๔๖๓) ตสฺมา ตทนนฺตรํ สมฺมาวาจา วุตฺตาฯ
Sammāsaṅkappo pana tassā bahukāro, tasmā tadanantaraṃ vutto. Yathā hi heraññiko hatthena parivaṭṭetvā parivaṭṭetvā cakkhunā kahāpaṇaṃ olokento – ‘‘ayaṃ cheko, ayaṃ kūṭo’’ti jānāti. Evaṃ yogāvacaropi pubbabhāge vitakkena vitakketvā vipassanāpaññāya olokayamāno – ‘‘ime dhammā kāmāvacarā, ime dhammā rūpāvacarādayo’’ti pajānāti. Yathā vā pana purisena koṭiyaṃ gahetvā parivaṭṭetvā parivaṭṭetvā dinnaṃ mahārukkhaṃ tacchako vāsiyā tacchetvā kamme upaneti, evaṃ vitakkena vitakketvā vitakketvā dinne dhamme yogāvacaro paññāya – ‘‘ime kāmāvacarā, ime rūpāvacarā’’tiādinā nayena paricchinditvā kamme upaneti . Tena vuttaṃ – ‘‘sammāsaṅkappo pana tassā bahukāro, tasmā tadanantaraṃ vutto’’ti. Svāyaṃ yathā sammādiṭṭhiyā evaṃ sammāvācāyapi upakārako. Yathāha – ‘‘pubbe kho, visākha, vitakketvā vicāretvā pacchā vācaṃ bhindatī’’ti, (ma. ni. 1.463) tasmā tadanantaraṃ sammāvācā vuttā.
ยสฺมา ปน – ‘‘อิทญฺจิทญฺจ กริสฺสามา’’ติ ปฐมํ วาจาย สํวิทหิตฺวา โลเก กมฺมเนฺต ปโยเชนฺติ; ตสฺมา วาจา กายกมฺมสฺส อุปการิกาติ สมฺมาวาจาย อนนฺตรํ สมฺมากมฺมโนฺต วุโตฺตฯ จตุพฺพิธํ ปน วจีทุจฺจริตํ, ติวิธญฺจ กายทุจฺจริตํ ปหาย อุภยํ สุจริตํ ปูเรนฺตเสฺสว ยสฺมา อาชีวฎฺฐมกํ สีลํ ปูเรติ, น อิตรสฺส, ตสฺมา ตทุภยานนฺตรํ สมฺมาอาชีโว วุโตฺตฯ เอวํ วิสุทฺธาชีเวน ปน ‘‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว’’ติ เอตฺตาวตา จ ปริโตสํ กตฺวา สุตฺตปมเตฺตน วิหริตุํ น ยุตฺตํ, อถ โข ‘‘สพฺพิริยาปเถสุ อิทํ วีริยํ สมารภิตพฺพ’’นฺติ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ สมฺมาวายาโม วุโตฺตฯ ตโต ‘‘อารทฺธวีริเยนปิ กายาทีสุ จตูสุ วตฺถูสุ สติ สูปฎฺฐิตา กาตพฺพา’’ติ ทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมฺมาสติ เทสิตาฯ ยสฺมา ปเนวํ สูปฎฺฐิตา สติ สมาธิสฺสุปการานุปการานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺนสิตฺวา ปโหติ เอกตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ สมาธาตุํ, ตสฺมา สมฺมาสติยา อนนฺตรํ สมฺมาสมาธิ เทสิโตติ เวทิตโพฺพฯ เอเตสํ ธมฺมานํ สจฺฉิกิริยายาติ เอเตสํ โสตาปตฺติผลาทีนํ ปจฺจกฺขกิริยตฺถายฯ
Yasmā pana – ‘‘idañcidañca karissāmā’’ti paṭhamaṃ vācāya saṃvidahitvā loke kammante payojenti; tasmā vācā kāyakammassa upakārikāti sammāvācāya anantaraṃ sammākammanto vutto. Catubbidhaṃ pana vacīduccaritaṃ, tividhañca kāyaduccaritaṃ pahāya ubhayaṃ sucaritaṃ pūrentasseva yasmā ājīvaṭṭhamakaṃ sīlaṃ pūreti, na itarassa, tasmā tadubhayānantaraṃ sammāājīvo vutto. Evaṃ visuddhājīvena pana ‘‘parisuddho me ājīvo’’ti ettāvatā ca paritosaṃ katvā suttapamattena viharituṃ na yuttaṃ, atha kho ‘‘sabbiriyāpathesu idaṃ vīriyaṃ samārabhitabba’’nti dassetuṃ tadanantaraṃ sammāvāyāmo vutto. Tato ‘‘āraddhavīriyenapi kāyādīsu catūsu vatthūsu sati sūpaṭṭhitā kātabbā’’ti dassanatthaṃ tadanantaraṃ sammāsati desitā. Yasmā panevaṃ sūpaṭṭhitā sati samādhissupakārānupakārānaṃ dhammānaṃ gatiyo samannesitvā pahoti ekattārammaṇe cittaṃ samādhātuṃ, tasmā sammāsatiyā anantaraṃ sammāsamādhi desitoti veditabbo. Etesaṃ dhammānaṃ sacchikiriyāyāti etesaṃ sotāpattiphalādīnaṃ paccakkhakiriyatthāya.
เทฺว ปพฺพชิตวตฺถุวณฺณนา
Dve pabbajitavatthuvaṇṇanā
๓๗๖-๓๗๗. เอกมิทาหนฺติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? อยํ กิร ราชา – ‘‘รูปํ อตฺตา’’ติ เอวํลทฺธิโก, เตนสฺส เทสนาย จิตฺตํ นาธิมุจฺจติฯ อถ ภควตา ตสฺส ลทฺธิยา อาวิกรณตฺถํ เอกํ การณํ อาหริตุํ อิทมารทฺธํฯ ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ‘‘อหํ เอกํ สมยํ โฆสิตาราเม วิหรามิ, ตตฺร วสนฺตํ มํ เต เทฺว ปพฺพชิตา เอวํ ปุจฺฉิํสุฯ อถาหํ เตสํ พุทฺธุปฺปาทํ ทเสฺสตฺวา ตนฺติธมฺมํ นาม กเถโนฺต อิทมโวจํ – ‘‘อาวุโส, สทฺธาสมฺปโนฺน นาม กุลปุโตฺต เอวรูปสฺส สตฺถุ สาสเน ปพฺพชิโต, เอวํ ติวิธํ สีลํ ปูเรตฺวา ปฐมชฺฌานาทีนิ ปตฺวา ฐิโต ‘ตํ ชีว’นฺติอาทีนิ วเทยฺย, ยุตฺตํ นุ โข เอตมสฺสา’’ติ? ตโต เตหิ ‘‘ยุตฺต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อหํ โข ปเนตํ, อาวุโส, เอวํ ชานามิ, เอวํ ปสฺสามิ, อถ จ ปนาหํ น วทามี’’ติ ตํ วาทํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อุตฺตริ ขีณาสวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อิมสฺส เอวํ วตฺตุํ น ยุตฺต’’นฺติ อโวจํฯ เต มม วจนํ สุตฺวา อตฺตมนา อเหสุนฺติฯ เอวํ วุเตฺต โสปิ อตฺตมโน อโหสิ ฯ เตนาห – ‘‘อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน โอฎฺฐโทฺธ ลิจฺฉวี ภควโต ภาสิตํ อภินนฺที’’ติฯ
376-377.Ekamidāhanti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Ayaṃ kira rājā – ‘‘rūpaṃ attā’’ti evaṃladdhiko, tenassa desanāya cittaṃ nādhimuccati. Atha bhagavatā tassa laddhiyā āvikaraṇatthaṃ ekaṃ kāraṇaṃ āharituṃ idamāraddhaṃ. Tatrāyaṃ saṅkhepattho – ‘‘ahaṃ ekaṃ samayaṃ ghositārāme viharāmi, tatra vasantaṃ maṃ te dve pabbajitā evaṃ pucchiṃsu. Athāhaṃ tesaṃ buddhuppādaṃ dassetvā tantidhammaṃ nāma kathento idamavocaṃ – ‘‘āvuso, saddhāsampanno nāma kulaputto evarūpassa satthu sāsane pabbajito, evaṃ tividhaṃ sīlaṃ pūretvā paṭhamajjhānādīni patvā ṭhito ‘taṃ jīva’ntiādīni vadeyya, yuttaṃ nu kho etamassā’’ti? Tato tehi ‘‘yutta’’nti vutte ‘‘ahaṃ kho panetaṃ, āvuso, evaṃ jānāmi, evaṃ passāmi, atha ca panāhaṃ na vadāmī’’ti taṃ vādaṃ paṭikkhipitvā uttari khīṇāsavaṃ dassetvā ‘‘imassa evaṃ vattuṃ na yutta’’nti avocaṃ. Te mama vacanaṃ sutvā attamanā ahesunti. Evaṃ vutte sopi attamano ahosi . Tenāha – ‘‘idamavoca bhagavā. Attamano oṭṭhaddho licchavī bhagavato bhāsitaṃ abhinandī’’ti.
อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ
Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ
มหาลิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahālisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๖. มหาลิสุตฺตํ • 6. Mahālisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๖. มหาลิสุตฺตวณฺณนา • 6. Mahālisuttavaṇṇanā