Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๑๕. มหาโลมหํสจริยาวณฺณนา
15. Mahālomahaṃsacariyāvaṇṇanā
๑๑๙. ปนฺนรสเม ‘‘สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมี’’ติ เอตฺถายํ อนุปุพฺพิกถา –
119. Pannarasame ‘‘susāne seyyaṃ kappemī’’ti etthāyaṃ anupubbikathā –
มหาสโตฺต หิ ตทา มหติ อุฬารโภเค กุเล นิพฺพตฺติตฺวา วุทฺธิมนฺวาย ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก ครุวาสํ วสโนฺต สพฺพสิปฺปานํ นิปฺผตฺติํ ปตฺวา กุลฆรํ อาคนฺตฺวา มาตาปิตูนํ อจฺจเยน ญาตเกหิ ‘‘กุฎุมฺพํ สณฺฐเปหี’’ติ ยาจิยมาโนปิ อนิจฺจตามนสิการมุเขน สพฺพภเวสุ อภิวฑฺฒมานสํเวโค กาเย จ อสุภสญฺญํ ปฎิลภิตฺวา ฆราวาสปลิโพธาธิภูตํ กิเลสคหนํ อโนคาเหตฺวาว จิรกาลสมฺปริจิตํ เนกฺขมฺมชฺฌาสยํ อุปพฺรูหยมาโน มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ ปหาย ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘สจาหํ ปพฺพชิสฺสามิ, คุณสมฺภาวนาปากโฎ ภวิสฺสามี’’ติฯ
Mahāsatto hi tadā mahati uḷārabhoge kule nibbattitvā vuddhimanvāya disāpāmokkhassa ācariyassa santike garuvāsaṃ vasanto sabbasippānaṃ nipphattiṃ patvā kulagharaṃ āgantvā mātāpitūnaṃ accayena ñātakehi ‘‘kuṭumbaṃ saṇṭhapehī’’ti yāciyamānopi aniccatāmanasikāramukhena sabbabhavesu abhivaḍḍhamānasaṃvego kāye ca asubhasaññaṃ paṭilabhitvā gharāvāsapalibodhādhibhūtaṃ kilesagahanaṃ anogāhetvāva cirakālasamparicitaṃ nekkhammajjhāsayaṃ upabrūhayamāno mahantaṃ bhogakkhandhaṃ pahāya pabbajitukāmo hutvā puna cintesi – ‘‘sacāhaṃ pabbajissāmi, guṇasambhāvanāpākaṭo bhavissāmī’’ti.
โส ลาภสกฺการํ ชิคุจฺฉโนฺต ปพฺพชฺชํ อนุปคนฺตฺวา ‘‘ปโหมิ จาหํ ลาภาลาภาทีสุ นิพฺพิกาโร โหตุ’’นฺติ อตฺตานํ ตเกฺกโนฺต ‘‘วิเสสโต ปรปริภวสหนาทิปฎิปทํ ปูเรโนฺต อุเปกฺขาปารมิํ มตฺถกํ ปาเปสฺสามี’’ติ นิวตฺถวเตฺถเนว เคหโต นิกฺขมิตฺวา ปรมสเลฺลขวุตฺติโกปิ อพลพโล อมนฺทมโนฺท วิย ปเรสํ อจิตฺตกรูเปน หีฬิตปริภูโต หุตฺวา คามนิคมราชธานีสุ เอกรตฺติวาเสเนว วิจรติฯ ยตฺถ ปน มหนฺตํ ปริภวํ ปฎิลภติ, ตตฺถ จิรมฺปิ วสติฯ โส นิวตฺถวเตฺถ ชิเณฺณ ปิโลติกขเณฺฑน ตสฺมิมฺปิ ชิเณฺณ เกนจิ ทินฺนํ อคฺคณฺหโนฺต หิริโกปีนปฎิจฺฉาทนมเตฺตเนว จรติฯ เอวํ คจฺฉเนฺต กาเล เอกํ นิคมคามํ อคมาสิฯ
So lābhasakkāraṃ jigucchanto pabbajjaṃ anupagantvā ‘‘pahomi cāhaṃ lābhālābhādīsu nibbikāro hotu’’nti attānaṃ takkento ‘‘visesato paraparibhavasahanādipaṭipadaṃ pūrento upekkhāpāramiṃ matthakaṃ pāpessāmī’’ti nivatthavattheneva gehato nikkhamitvā paramasallekhavuttikopi abalabalo amandamando viya paresaṃ acittakarūpena hīḷitaparibhūto hutvā gāmanigamarājadhānīsu ekarattivāseneva vicarati. Yattha pana mahantaṃ paribhavaṃ paṭilabhati, tattha cirampi vasati. So nivatthavatthe jiṇṇe pilotikakhaṇḍena tasmimpi jiṇṇe kenaci dinnaṃ aggaṇhanto hirikopīnapaṭicchādanamatteneva carati. Evaṃ gacchante kāle ekaṃ nigamagāmaṃ agamāsi.
ตตฺถ คามทารกา ธุตฺตชาติกา เวธเวรา เกจิ ราชวลฺลภานํ ปุตฺตนตฺตุทาสาทโย จ อุทฺธตา อุนฺนฬา จปลา มุขรา วิกิณฺณวาจา กาเลน กาลํ กีฬาพหุลา วิจรนฺติฯ ทุคฺคเต มหลฺลเก ปุริเส จ อิตฺถิโย จ คจฺฉเนฺต ทิสฺวา ภสฺมปุเฎน ปิฎฺฐิยํ อากิรนฺติ, เกตกีปณฺณํ กจฺฉนฺตเร โอลเมฺพนฺติ, เตน วิปฺปกาเรน ปริวเตฺตตฺวา โอโลเกเนฺต ยถาวชฺชกีฬิตํ ทเสฺสตฺวา อุปหสนฺติฯ มหาปุริโส ตสฺมิํ นิคเม เต เอวํ วิจรเนฺต ธุตฺตทารเก ทิสฺวา ‘‘ลโทฺธ วต ทานิ เม อุเปกฺขาปารมิยา ปริปูรณูปาโย’’ติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ วิหาสิฯ ตํ เต ธุตฺตทารกา ปสฺสิตฺวา วิปฺปการํ กาตุํ อารภนฺติฯ
Tattha gāmadārakā dhuttajātikā vedhaverā keci rājavallabhānaṃ puttanattudāsādayo ca uddhatā unnaḷā capalā mukharā vikiṇṇavācā kālena kālaṃ kīḷābahulā vicaranti. Duggate mahallake purise ca itthiyo ca gacchante disvā bhasmapuṭena piṭṭhiyaṃ ākiranti, ketakīpaṇṇaṃ kacchantare olambenti, tena vippakārena parivattetvā olokente yathāvajjakīḷitaṃ dassetvā upahasanti. Mahāpuriso tasmiṃ nigame te evaṃ vicarante dhuttadārake disvā ‘‘laddho vata dāni me upekkhāpāramiyā paripūraṇūpāyo’’ti cintetvā tattha vihāsi. Taṃ te dhuttadārakā passitvā vippakāraṃ kātuṃ ārabhanti.
มหาสโตฺต ตํ อสหโนฺต วิย จ เตหิ ภายโนฺต วิย จ อุฎฺฐหิตฺวา คจฺฉติฯ เต ตํ อนุพนฺธนฺติฯ โส เตหิ อนุพนฺธิยมาโน ‘‘เอตฺถ นตฺถิ โกจิ ปฎิวตฺตา’’ติ สุสานํ คนฺตฺวา อฎฺฐิกํ สีสูปธานํ กตฺวา สยติฯ ธุตฺตทารกาปิ ตตฺถ คนฺตฺวา โอฎฺฐุภนาทิกํ นานปฺปการํ วิปฺปการํ กตฺวา ปกฺกมนฺติฯ เอวํ เต ทิวเส ทิวเส กโรนฺติ เอวฯ เย ปน วิญฺญู ปุริสา, เต เอวํ กโรเนฺต ปสฺสนฺติฯ เต เต ปฎิพาหิตฺวา ‘‘อยํ มหานุภาโว ตปสฺสี มหาโยคี’’ติ จ ญตฺวา อุฬารํ สกฺการสมฺมานํ กโรนฺติฯ มหาสโตฺต ปน สพฺพตฺถ เอกสทิโสว โหติ มชฺฌตฺตภูโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมี’’ติอาทิฯ
Mahāsatto taṃ asahanto viya ca tehi bhāyanto viya ca uṭṭhahitvā gacchati. Te taṃ anubandhanti. So tehi anubandhiyamāno ‘‘ettha natthi koci paṭivattā’’ti susānaṃ gantvā aṭṭhikaṃ sīsūpadhānaṃ katvā sayati. Dhuttadārakāpi tattha gantvā oṭṭhubhanādikaṃ nānappakāraṃ vippakāraṃ katvā pakkamanti. Evaṃ te divase divase karonti eva. Ye pana viññū purisā, te evaṃ karonte passanti. Te te paṭibāhitvā ‘‘ayaṃ mahānubhāvo tapassī mahāyogī’’ti ca ñatvā uḷāraṃ sakkārasammānaṃ karonti. Mahāsatto pana sabbattha ekasadisova hoti majjhattabhūto. Tena vuttaṃ ‘‘susāne seyyaṃ kappemī’’tiādi.
ตตฺถ สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมิ, ฉวฎฺฐิกํ อุปนิธายาติ อามกสุสาเน ฉฑฺฑิตกเฬวรโต โสณสิงฺคาลาทีหิ ตหิํ ตหิํ วิกฺขิเตฺตสุ อฎฺฐิเกสุ เอกํ อฎฺฐิกํ สีสูปธานํ กตฺวา สุจิมฺหิ จ อสุจิมฺหิ จ สมานจิตฺตตาย ตสฺมิํ สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมิ, สยามีติ อโตฺถฯ คามณฺฑลาติ คามทารกาฯ รูปํ ทเสฺสนฺตินปฺปกนฺติ ยถาวชฺชกีฬิตาย โอฎฺฐุภนอุปหสนอุมฺมิหนาทีหิ กณฺณโสเต สลากปฺปเวสนาทีหิ จ อติกกฺขฬํ อนปฺปกํ นานปฺปการํ รูปํ วิการํ กโรนฺติฯ
Tattha susāne seyyaṃ kappemi, chavaṭṭhikaṃ upanidhāyāti āmakasusāne chaḍḍitakaḷevarato soṇasiṅgālādīhi tahiṃ tahiṃ vikkhittesu aṭṭhikesu ekaṃ aṭṭhikaṃ sīsūpadhānaṃ katvā sucimhi ca asucimhi ca samānacittatāya tasmiṃ susāne seyyaṃ kappemi, sayāmīti attho. Gāmaṇḍalāti gāmadārakā. Rūpaṃ dassentinappakanti yathāvajjakīḷitāya oṭṭhubhanaupahasanaummihanādīhi kaṇṇasote salākappavesanādīhi ca atikakkhaḷaṃ anappakaṃ nānappakāraṃ rūpaṃ vikāraṃ karonti.
๑๒๐. อปเรติ เตสุ เอว คามทารเกสุ เอกเจฺจฯ อุปายนานูปเนนฺตีติ ‘‘อยํ อิเมสุ ปริภววเสน เอวรูปํ วิปฺปการํ กโรเนฺตสุ น กิญฺจิ วิการํ ทเสฺสติ, สมฺมานเน นุ โข กีทิโส’’ติ ปริคฺคณฺหนฺตา วิวิธํ พหุํ คนฺธมาลํ โภชนํ อญฺญานิ จ อุปายนานิ ปณฺณาการานิ อุปเนนฺติ อุปหรนฺติฯ อปเรหิ วา เตหิ อนาจารคามทารเกหิ อเญฺญ วิญฺญู มนุสฺสา ‘‘อยํ อิเมสํ เอวํ วิวิธมฺปิ วิปฺปการํ กโรนฺตานํ น กุปฺปติ, อญฺญทตฺถุ ขนฺติเมตฺตานุทฺทยํเยว เตสุ อุปฎฺฐเปติ, อโห อจฺฉริยปุริโส’’ติ หฎฺฐา ‘‘พหุ วติเมหิ เอตสฺมิํ วิปฺปฎิปชฺชเนฺตหิ อปุญฺญํ ปสุต’’นฺติ สํวิคฺคมานสาว หุตฺวา พหุํ คนฺธมาลํ วิวิธํ โภชนํ อญฺญานิ จ อุปายนานิ อุปเนนฺติ อุปหรนฺติฯ
120.Apareti tesu eva gāmadārakesu ekacce. Upāyanānūpanentīti ‘‘ayaṃ imesu paribhavavasena evarūpaṃ vippakāraṃ karontesu na kiñci vikāraṃ dasseti, sammānane nu kho kīdiso’’ti pariggaṇhantā vividhaṃ bahuṃ gandhamālaṃ bhojanaṃ aññāni ca upāyanāni paṇṇākārāni upanenti upaharanti. Aparehi vā tehi anācāragāmadārakehi aññe viññū manussā ‘‘ayaṃ imesaṃ evaṃ vividhampi vippakāraṃ karontānaṃ na kuppati, aññadatthu khantimettānuddayaṃyeva tesu upaṭṭhapeti, aho acchariyapuriso’’ti haṭṭhā ‘‘bahu vatimehi etasmiṃ vippaṭipajjantehi apuññaṃ pasuta’’nti saṃviggamānasāva hutvā bahuṃ gandhamālaṃ vividhaṃ bhojanaṃ aññāni ca upāyanāni upanenti upaharanti.
๑๒๑. เย เม ทุกฺขํ อุปหรนฺตีติ เย คามทารกา มยฺหํ สรีรทุกฺขํ อุปหรนฺติ อุปเนนฺติฯ ‘‘อุปทหนฺตี’’ติปิ ปาโฐ, อุปฺปาเทนฺตีติ อโตฺถฯ เย จ เทนฺติ สุขํ มมาติ เย จ วิญฺญู มนุสฺสา มม มยฺหํ สุขํ เทนฺติ, มาลาคนฺธโภชนาทิสุขูปกรเณหิ มม สุขํ อุปหรนฺติฯ สเพฺพสํ สมโก โหมีติ กตฺถจิปิ วิการานุปฺปตฺติยา สมานจิตฺตตาย วิวิธานมฺปิ เตสํ ชนานํ สมโก เอกสทิโส โหมิ ภวามิฯ ทยา โกโป น วิชฺชตีติ ยสฺมา มยฺหํ อุปการเก เมตฺตจิตฺตตาสงฺขาตา ทยา, อปการเก มโนปโทสสงฺขาโต โกโปปิ น วิชฺชติ, ตสฺมา สเพฺพสํ สมโก โหมีติ ทเสฺสติฯ
121.Yeme dukkhaṃ upaharantīti ye gāmadārakā mayhaṃ sarīradukkhaṃ upaharanti upanenti. ‘‘Upadahantī’’tipi pāṭho, uppādentīti attho. Ye ca denti sukhaṃ mamāti ye ca viññū manussā mama mayhaṃ sukhaṃ denti, mālāgandhabhojanādisukhūpakaraṇehi mama sukhaṃ upaharanti. Sabbesaṃ samako homīti katthacipi vikārānuppattiyā samānacittatāya vividhānampi tesaṃ janānaṃ samako ekasadiso homi bhavāmi. Dayā kopo na vijjatīti yasmā mayhaṃ upakārake mettacittatāsaṅkhātā dayā, apakārake manopadosasaṅkhāto kopopi na vijjati, tasmā sabbesaṃ samako homīti dasseti.
๑๒๒. อิทานิ ภควา ตทา อุปการีสุ อปการีสุ จ สเตฺตสุ สมุปจิตญาณสมฺภารสฺส อตฺตโน สมานจิตฺตตา วิการาภาโว ยา จ โลกธเมฺมสุ อนุปลิตฺตตา อโหสิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สุขทุเกฺข ตุลาภูโต’’ติ โอสานคาถมาหฯ
122. Idāni bhagavā tadā upakārīsu apakārīsu ca sattesu samupacitañāṇasambhārassa attano samānacittatā vikārābhāvo yā ca lokadhammesu anupalittatā ahosi, taṃ dassetuṃ ‘‘sukhadukkhe tulābhūto’’ti osānagāthamāha.
ตตฺถ สุขทุเกฺขติ สุเข จ ทุเกฺข จฯ ตุลาภูโตติ สมกํ คหิตตุลา วิย โอนติอุนฺนติอปนติํ วเชฺชตฺวา มชฺฌตฺตภูโต, สุขทุกฺขคฺคหเณเนว เจตฺถ ตํนิมิตฺตภาวโต ลาภาลาภาปิ คหิตาติ เวทิตพฺพํฯ ยเสสูติ กิตฺตีสุฯ อยเสสูติ นินฺทาสุฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ สุขาทีสุ โลกธเมฺมสุฯ อิติ ภควา ตทา สพฺพสเตฺตสุ สพฺพโลกธเมฺมสุ จ อนญฺญสาธารณํ อตฺตโน มชฺฌตฺตภาวํ กิเตฺตตฺวา เตน ตสฺมิํ อตฺตภาเว อตฺตโน อุเปกฺขาปารมิยา สิขาปฺปตฺตภาวํ วิภาเวโนฺต ‘‘เอสา เม อุเปกฺขาปารมี’’ติ เทสนํ นิฎฺฐาเปสิฯ
Tattha sukhadukkheti sukhe ca dukkhe ca. Tulābhūtoti samakaṃ gahitatulā viya onatiunnatiapanatiṃ vajjetvā majjhattabhūto, sukhadukkhaggahaṇeneva cettha taṃnimittabhāvato lābhālābhāpi gahitāti veditabbaṃ. Yasesūti kittīsu. Ayasesūti nindāsu. Sabbatthāti sabbesu sukhādīsu lokadhammesu. Iti bhagavā tadā sabbasattesu sabbalokadhammesu ca anaññasādhāraṇaṃ attano majjhattabhāvaṃ kittetvā tena tasmiṃ attabhāve attano upekkhāpāramiyā sikhāppattabhāvaṃ vibhāvento ‘‘esā me upekkhāpāramī’’ti desanaṃ niṭṭhāpesi.
อิธาปิ มหาสตฺตสฺส ปฐมํ ทานปารมี นาม วิเสสโต สพฺพวิภวปริจฺจาโค ‘‘เย เกจิ อิมํ สรีรํ คเหตฺวา ยํกิญฺจิ อตฺตโน อิจฺฉิตํ กโรนฺตู’’ติ อนเปกฺขภาเวน อตฺตโน อตฺตภาวปริจฺจาโค จ ทานปารมี, หีนาทิกสฺส สพฺพสฺส อกตฺตพฺพสฺส อกรณํ สีลปารมี, กามสฺสาทวิมุขสฺส เคหโต นิกฺขนฺตสฺส สโต กาเย อสุภสญฺญานุพฺรูหนา เนกฺขมฺมปารมี, สโมฺพธิสมฺภารานํ อุปการธมฺมปริคฺคหเณ ตปฺปฎิปกฺขปฺปหาเน จ โกสลฺลํ อวิปรีตโต ธมฺมสภาวจินฺตนา จ ปญฺญาปารมี , กามวิตกฺกาทิวิโนทนํ ทุกฺขาธิวาสนวีริยญฺจ วีริยปารมี, สพฺพาปิ อธิวาสนขนฺติ ขนฺติปารมี, วจีสจฺจํ สมาทานาวิสํวาทเนน วิรติสจฺจญฺจ สจฺจปารมี , อนวชฺชธเมฺม อจลสมาทานาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานปารมี, อโนธิโส สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตานุทฺทยภาโว เมตฺตาปารมี, อุเปกฺขาปารมี ปนสฺส ยถาวุตฺตวเสเนว เวทิตพฺพาติ ทส ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ อุเปกฺขาปารมี เจตฺถ อติสยวตีติ กตฺวา สาเยว เทสนํ อารุฬฺหาฯ ตถา อิธ มหาสตฺตสฺส มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ มหนฺตญฺจ ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย มหาภินิกฺขมนสทิสํ เคหโต นิกฺขมนํ, ตถา นิกฺขมิตฺวา ลาภสกฺการํ ชิคุจฺฉโต ปเรสํ สมฺภาวนํ ปริหริตุกามสฺส ปพฺพชฺชาลิงฺคํ อคฺคเหตฺวา จิเตฺตเนว อนวเสสํ ปพฺพชฺชาคุเณ อธิฎฺฐหิตฺวา ปรมสุขวิหาโร, ปรมปฺปิจฺฉตา, ปวิเวกาภิรติ, อุเปกฺขณาธิปฺปาเยน อตฺตโน กายชีวิตนิรเปกฺขา, ปเรหิ อตฺตโน อุปริ กตวิปฺปการาธิวาสนํ, อุกฺกํสคตสเลฺลขวุตฺติ, โพธิสมฺภารปฎิปกฺขานํ กิเลสานํ ตนุภาเวน ขีณาสวานํ วิย ปเรสํ อุปการาปกาเรสุ นิพฺพิการภาวเหตุภูเตน สพฺพตฺถ มชฺฌตฺตภาเวน สมุฎฺฐาปิโต โลกธเมฺมหิ อนุปเลโป, สพฺพปารมีนํ มุทฺธภูตาย อุเปกฺขาปารมิยา สิขาปฺปตฺตีติ เอวมาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ
Idhāpi mahāsattassa paṭhamaṃ dānapāramī nāma visesato sabbavibhavapariccāgo ‘‘ye keci imaṃ sarīraṃ gahetvā yaṃkiñci attano icchitaṃ karontū’’ti anapekkhabhāvena attano attabhāvapariccāgo ca dānapāramī, hīnādikassa sabbassa akattabbassa akaraṇaṃ sīlapāramī, kāmassādavimukhassa gehato nikkhantassa sato kāye asubhasaññānubrūhanā nekkhammapāramī, sambodhisambhārānaṃ upakāradhammapariggahaṇe tappaṭipakkhappahāne ca kosallaṃ aviparītato dhammasabhāvacintanā ca paññāpāramī , kāmavitakkādivinodanaṃ dukkhādhivāsanavīriyañca vīriyapāramī, sabbāpi adhivāsanakhanti khantipāramī, vacīsaccaṃ samādānāvisaṃvādanena viratisaccañca saccapāramī , anavajjadhamme acalasamādānādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānapāramī, anodhiso sabbasattesu mettānuddayabhāvo mettāpāramī, upekkhāpāramī panassa yathāvuttavaseneva veditabbāti dasa pāramiyo labbhanti. Upekkhāpāramī cettha atisayavatīti katvā sāyeva desanaṃ āruḷhā. Tathā idha mahāsattassa mahantaṃ bhogakkhandhaṃ mahantañca ñātiparivaṭṭaṃ pahāya mahābhinikkhamanasadisaṃ gehato nikkhamanaṃ, tathā nikkhamitvā lābhasakkāraṃ jigucchato paresaṃ sambhāvanaṃ pariharitukāmassa pabbajjāliṅgaṃ aggahetvā citteneva anavasesaṃ pabbajjāguṇe adhiṭṭhahitvā paramasukhavihāro, paramappicchatā, pavivekābhirati, upekkhaṇādhippāyena attano kāyajīvitanirapekkhā, parehi attano upari katavippakārādhivāsanaṃ, ukkaṃsagatasallekhavutti, bodhisambhārapaṭipakkhānaṃ kilesānaṃ tanubhāvena khīṇāsavānaṃ viya paresaṃ upakārāpakāresu nibbikārabhāvahetubhūtena sabbattha majjhattabhāvena samuṭṭhāpito lokadhammehi anupalepo, sabbapāramīnaṃ muddhabhūtāya upekkhāpāramiyā sikhāppattīti evamādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.
มหาโลมหํสจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahālomahaṃsacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อุเปกฺขาปารมี นิฎฺฐิตาฯ
Upekkhāpāramī niṭṭhitā.
ตติยวคฺคสฺส อตฺถวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyavaggassa atthavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๕. มหาโลมหํสจริยา • 15. Mahālomahaṃsacariyā