Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๕๓] ๑๕. มหามงฺคลชาตกวณฺณนา

    [453] 15. Mahāmaṅgalajātakavaṇṇanā

    กิํสุ นโรติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต มหามงฺคลสุตฺตํ (ขุ. ปา. ๕.๑ อาทโย) อารพฺภ กเถสิฯ ราชคหนครสฺมิญฺหิ เกนจิเทว กรณีเยน สนฺถาคาเร สนฺนิปติตสฺส มหาชนสฺส มเชฺฌ เอโก ปุริโส ‘‘อชฺช เม มงฺคลกิริยา อตฺถี’’ติ อุฎฺฐาย อคมาสิฯ อปโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อยํ ‘มงฺคล’นฺติ วตฺวาว คโต, กิํ เอตํ มงฺคลํ นามา’’ติ อาห ฯ ตมโญฺญ ‘‘อภิมงฺคลรูปทสฺสนํ มงฺคลํ นามฯ เอกโจฺจ หิ กาลเสฺสว อุฎฺฐาย สพฺพเสตํ อุสภํ วา ปสฺสติ, คพฺภินิตฺถิํ วา โรหิตมจฺฉํ วา ปุณฺณฆฎํ วา นวนีตํ วา โคสปฺปิํ วา อหตวตฺถํ วา ปายาสํ วา ปสฺสติ, อิโต อุตฺตริ มงฺคลํ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ เตน กถิตํ เอกเจฺจ ‘‘สุกถิต’’นฺติ อภินนฺทิํสุฯ อปโร ‘‘เนตํ มงฺคลํ, สุตํ นาม มงฺคลํฯ เอกโจฺจ หิ ‘ปุณฺณา’ติ วทนฺตานํ สุณาติ, ตถา ‘วฑฺฒา’ติ ‘วฑฺฒมานา’ติ สุณาติ, ‘ภุญฺชา’ติ ‘ขาทา’ติ วทนฺตานํ สุณาติ, อิโต อุตฺตริ มงฺคลํ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ เตน กถิตมฺปิ เอกเจฺจ ‘‘สุกถิต’’นฺติ อภินนฺทิํสุฯ อปโร ‘‘น เอตํ มงฺคลํ, มุตํ นาม มงฺคลํฯ เอกโจฺจ หิ กาลเสฺสว อุฎฺฐาย ปถวิํ อามสติ, หริตติณํ อลฺลโคมยํ ปริสุทฺธสาฎกํ โรหิตมจฺฉํ สุวณฺณรชตภาชนํ อามสติ, อิโต อุตฺตริ มงฺคลํ นาม นตฺถี’’ติ อาหฯ เตน กถิตมฺปิ เอกเจฺจ ‘‘สุกถิต’’นฺติ อภินนฺทิํสุฯ เอวํ ทิฎฺฐมงฺคลิกา สุตมงฺคลิกา มุตมงฺคลิกาติ ติโสฺสปิ ปริสา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ สญฺญาเปตุํ นาสกฺขิํสุ, ภุมฺมเทวตา อาทิํ กตฺวา ยาว พฺรหฺมโลกา ‘‘อิทํ มงฺคล’’นฺติ ตถโต น ชานิํสุฯ

    Kiṃsunaroti idaṃ satthā jetavane viharanto mahāmaṅgalasuttaṃ (khu. pā. 5.1 ādayo) ārabbha kathesi. Rājagahanagarasmiñhi kenacideva karaṇīyena santhāgāre sannipatitassa mahājanassa majjhe eko puriso ‘‘ajja me maṅgalakiriyā atthī’’ti uṭṭhāya agamāsi. Aparo tassa vacanaṃ sutvā ‘‘ayaṃ ‘maṅgala’nti vatvāva gato, kiṃ etaṃ maṅgalaṃ nāmā’’ti āha . Tamañño ‘‘abhimaṅgalarūpadassanaṃ maṅgalaṃ nāma. Ekacco hi kālasseva uṭṭhāya sabbasetaṃ usabhaṃ vā passati, gabbhinitthiṃ vā rohitamacchaṃ vā puṇṇaghaṭaṃ vā navanītaṃ vā gosappiṃ vā ahatavatthaṃ vā pāyāsaṃ vā passati, ito uttari maṅgalaṃ nāma natthī’’ti āha. Tena kathitaṃ ekacce ‘‘sukathita’’nti abhinandiṃsu. Aparo ‘‘netaṃ maṅgalaṃ, sutaṃ nāma maṅgalaṃ. Ekacco hi ‘puṇṇā’ti vadantānaṃ suṇāti, tathā ‘vaḍḍhā’ti ‘vaḍḍhamānā’ti suṇāti, ‘bhuñjā’ti ‘khādā’ti vadantānaṃ suṇāti, ito uttari maṅgalaṃ nāma natthī’’ti āha. Tena kathitampi ekacce ‘‘sukathita’’nti abhinandiṃsu. Aparo ‘‘na etaṃ maṅgalaṃ, mutaṃ nāma maṅgalaṃ. Ekacco hi kālasseva uṭṭhāya pathaviṃ āmasati, haritatiṇaṃ allagomayaṃ parisuddhasāṭakaṃ rohitamacchaṃ suvaṇṇarajatabhājanaṃ āmasati, ito uttari maṅgalaṃ nāma natthī’’ti āha. Tena kathitampi ekacce ‘‘sukathita’’nti abhinandiṃsu. Evaṃ diṭṭhamaṅgalikā sutamaṅgalikā mutamaṅgalikāti tissopi parisā hutvā aññamaññaṃ saññāpetuṃ nāsakkhiṃsu, bhummadevatā ādiṃ katvā yāva brahmalokā ‘‘idaṃ maṅgala’’nti tathato na jāniṃsu.

    สโกฺก จิเนฺตสิ ‘‘อิมํ มงฺคลปญฺหํ สเทวเก โลเก อญฺญตฺร ภควตา อโญฺญ กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อิมํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ โส รตฺติภาเค สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ‘‘พหู เทวา มนุสฺสา จา’’ติ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส สตฺถา ทฺวาทสหิ คาถาหิ อฎฺฐติํส มหามงฺคลานิ กเถสิฯ มงฺคลสุเตฺต วินิวฎฺฎเนฺตเยว โกฎิสตสหสฺสมตฺตา เทวตา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุ, โสตาปนฺนาทีนํ คณนปโถ นตฺถิฯ สโกฺก มงฺคลํ สุตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ สตฺถารา มงฺคเล กถิเต สเทวโก โลโก ‘‘สุกถิต’’นฺติ อภินนฺทิฯ ตทา ธมฺมสภายํ ตถาคตสฺส คุณกถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, สตฺถา อเญฺญสํ อวิสยํ มงฺคลปญฺหํ สเทวกสฺส โลกสฺส จิตฺตํ คเหตฺวา กุกฺกุจฺจํ ฉินฺทิตฺวา คคนตเล จนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย กเถสิ, เอวํ มหาปโญฺญ, อาวุโส, ตถาคโต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, อิทาเนว สโมฺพธิปฺปตฺตสฺส มม มงฺคลปญฺหกถนํ, สฺวาหํ โพธิสตฺตจริยํ จรโนฺตปิ เทวมนุสฺสานํ กงฺขํ ฉินฺทิตฺวา มงฺคลปญฺหํ กเถสิ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sakko cintesi ‘‘imaṃ maṅgalapañhaṃ sadevake loke aññatra bhagavatā añño kathetuṃ samattho nāma natthi, bhagavantaṃ upasaṅkamitvā imaṃ pañhaṃ pucchissāmī’’ti. So rattibhāge satthāraṃ upasaṅkamitvā vanditvā añjaliṃ paggayha ‘‘bahū devā manussā cā’’ti pañhaṃ pucchi. Athassa satthā dvādasahi gāthāhi aṭṭhatiṃsa mahāmaṅgalāni kathesi. Maṅgalasutte vinivaṭṭanteyeva koṭisatasahassamattā devatā arahattaṃ pāpuṇiṃsu, sotāpannādīnaṃ gaṇanapatho natthi. Sakko maṅgalaṃ sutvā sakaṭṭhānameva gato. Satthārā maṅgale kathite sadevako loko ‘‘sukathita’’nti abhinandi. Tadā dhammasabhāyaṃ tathāgatassa guṇakathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, satthā aññesaṃ avisayaṃ maṅgalapañhaṃ sadevakassa lokassa cittaṃ gahetvā kukkuccaṃ chinditvā gaganatale candaṃ uṭṭhāpento viya kathesi, evaṃ mahāpañño, āvuso, tathāgato’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, idāneva sambodhippattassa mama maṅgalapañhakathanaṃ, svāhaṃ bodhisattacariyaṃ carantopi devamanussānaṃ kaṅkhaṃ chinditvā maṅgalapañhaṃ kathesi’’nti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เอกสฺมิํ คาเม วิภวสมฺปนฺนสฺส พฺราหฺมณสฺส กุเล นิพฺพตฺติ, ‘‘รกฺขิตกุมาโร’’ติสฺส นามํ อกํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ อุคฺคหิตสิโปฺป กตทารปริคฺคโห มาตาปิตูนํ อจฺจเยน รตนวิโลกนํ กตฺวา สํวิคฺคมานโส มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา กาเม ปหาย หิมวนฺตปเทเส ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญํ นิพฺพเตฺตตฺวา วนมูลผลาหาโร เอกสฺมิํ ปเทเส วาสํ กเปฺปสิฯ อนุปุเพฺพนสฺส ปริวาโร มหา อโหสิ, ปญฺจ อเนฺตวาสิกสตานิ อเหสุํฯ อเถกทิวสํ เต ตาปสา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อาจริย, วสฺสารตฺตสมเย หิมวนฺตโต โอตริตฺวา โลณมฺพิลเสวนตฺถาย ชนปทจาริกํ คจฺฉาม, เอวํ โน สรีรญฺจ ถิรํ ภวิสฺสติ, ชงฺฆวิหาโร จ กโต ภวิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ เต ‘‘เตน หิ ตุเมฺห คจฺฉถ, อหํ อิเธว วสิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ตํ วนฺทิตฺวา หิมวนฺตา โอตริตฺวา จาริกํ จรมานา พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิํสุฯ เตสํ มหาสกฺการสมฺมาโน อโหสิฯ อเถกทิวสํ พาราณสิยํ สนฺถาคาเร สนฺนิปติเต มหาชนกาเย มงฺคลปโญฺห สมุฎฺฐาติฯ สพฺพํ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto ekasmiṃ gāme vibhavasampannassa brāhmaṇassa kule nibbatti, ‘‘rakkhitakumāro’’tissa nāmaṃ akaṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ uggahitasippo katadārapariggaho mātāpitūnaṃ accayena ratanavilokanaṃ katvā saṃviggamānaso mahādānaṃ pavattetvā kāme pahāya himavantapadese pabbajitvā jhānābhiññaṃ nibbattetvā vanamūlaphalāhāro ekasmiṃ padese vāsaṃ kappesi. Anupubbenassa parivāro mahā ahosi, pañca antevāsikasatāni ahesuṃ. Athekadivasaṃ te tāpasā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘ācariya, vassārattasamaye himavantato otaritvā loṇambilasevanatthāya janapadacārikaṃ gacchāma, evaṃ no sarīrañca thiraṃ bhavissati, jaṅghavihāro ca kato bhavissatī’’ti āhaṃsu. Te ‘‘tena hi tumhe gacchatha, ahaṃ idheva vasissāmī’’ti vutte taṃ vanditvā himavantā otaritvā cārikaṃ caramānā bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasiṃsu. Tesaṃ mahāsakkārasammāno ahosi. Athekadivasaṃ bārāṇasiyaṃ santhāgāre sannipatite mahājanakāye maṅgalapañho samuṭṭhāti. Sabbaṃ paccuppannavatthunayeneva veditabbaṃ.

    ตทา ปน มนุสฺสานํ กงฺขํ ฉินฺทิตฺวา มงฺคลปญฺหํ กเถตุํ สมตฺถํ อปสฺสโนฺต มหาชโน อุยฺยานํ คนฺตฺวา อิสิคณํ มงฺคลปญฺหํ ปุจฺฉิฯ อิสโย ราชานํ อามเนฺตตฺวา ‘‘มหาราช, มยํ เอตํ กเถตุํ น สกฺขิสฺสาม, อปิจ โข อมฺหากํ อาจริโย รกฺขิตตาปโส นาม มหาปโญฺญ หิมวเนฺต วสติ, โส สเทวกสฺส โลกสฺส จิตฺตํ คเหตฺวา เอตํ มงฺคลปญฺหํ กเถสฺสตี’’ติ วทิํสุฯ ราชา ‘‘ภเนฺต, หิมวโนฺต นาม ทูเร ทุคฺคโมว, น สกฺขิสฺสาม มยํ ตตฺถ คนฺตุํ, สาธุ วต ตุเมฺหเยว อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิตฺวา อุคฺคณฺหิตฺวา ปุนาคนฺตฺวา อมฺหากํ กเถถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อาจริยสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา กตปฎิสนฺถารา อาจริเยน รโญฺญ ธมฺมิกภาเว ชนปทจาริเตฺต จ ปุจฺฉิเต ตํ ทิฎฺฐมงฺคลาทีนํ อุปฺปตฺติํ อาทิโต ปฎฺฐาย กเถตฺวา รโญฺญ ยาจนาย จ อตฺตโน ปญฺหสวนตฺถํ อาคตภาวํ ปกาเสตฺวา ‘‘สาธุ โน ภเนฺต, มงฺคลปญฺหํ ปากฎํ กตฺวา กเถถา’’ติ ยาจิํสุฯ ตโต เชฎฺฐเนฺตวาสิโก อาจริยํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Tadā pana manussānaṃ kaṅkhaṃ chinditvā maṅgalapañhaṃ kathetuṃ samatthaṃ apassanto mahājano uyyānaṃ gantvā isigaṇaṃ maṅgalapañhaṃ pucchi. Isayo rājānaṃ āmantetvā ‘‘mahārāja, mayaṃ etaṃ kathetuṃ na sakkhissāma, apica kho amhākaṃ ācariyo rakkhitatāpaso nāma mahāpañño himavante vasati, so sadevakassa lokassa cittaṃ gahetvā etaṃ maṅgalapañhaṃ kathessatī’’ti vadiṃsu. Rājā ‘‘bhante, himavanto nāma dūre duggamova, na sakkhissāma mayaṃ tattha gantuṃ, sādhu vata tumheyeva ācariyassa santikaṃ gantvā pucchitvā uggaṇhitvā punāgantvā amhākaṃ kathethā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ācariyassa santikaṃ gantvā vanditvā katapaṭisanthārā ācariyena rañño dhammikabhāve janapadacāritte ca pucchite taṃ diṭṭhamaṅgalādīnaṃ uppattiṃ ādito paṭṭhāya kathetvā rañño yācanāya ca attano pañhasavanatthaṃ āgatabhāvaṃ pakāsetvā ‘‘sādhu no bhante, maṅgalapañhaṃ pākaṭaṃ katvā kathethā’’ti yāciṃsu. Tato jeṭṭhantevāsiko ācariyaṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘กิํสุ นโร ชปฺปมธิจฺจ กาเล, กํ วา วิชฺชํ กตมํ วา สุตานํ;

    ‘‘Kiṃsu naro jappamadhicca kāle, kaṃ vā vijjaṃ katamaṃ vā sutānaṃ;

    โส มโจฺจ อสฺมิญฺจ ปรมฺหิ โลเก, กถํ กโร โสตฺถาเนน คุโตฺต’’ติฯ

    So macco asmiñca paramhi loke, kathaṃ karo sotthānena gutto’’ti.

    ตตฺถ กาเลติ มงฺคลปตฺถนกาเลฯ วิชฺชนฺติ เวทํฯ สุตานนฺติ สิกฺขิตพฺพยุตฺตกปริยตฺตีนํฯ อสฺมิญฺจาติ เอตฺถ จาติ นิปาตมตฺตํฯ โสตฺถาเนนาติ โสตฺถิภาวาวเหน มงฺคเลนฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อาจริย, ปุริโส มงฺคลํ อิจฺฉโนฺต มงฺคลกาเล กิํสุ นาม ชปฺปโนฺต ตีสุ เวเทสุ กตรํ วา เวทํ กตรํ วา สุตานํ อนฺตเร สุตปริยตฺติํ อธียิตฺวา โส มโจฺจ อิมสฺมิญฺจ โลเก ปรมฺหิ จ กถํ กโร เอเตสุ ชปฺปาทีสุ กิํ เกน นิยาเมน กโรโนฺต โสตฺถาเนน นิรปราธมงฺคเลน คุโตฺต รกฺขิโต โหติ, ตํ อุภยโลกหิตํ คเหตฺวา ฐิตมงฺคลํ อมฺหากํ กเถหี’’ติฯ

    Tattha kāleti maṅgalapatthanakāle. Vijjanti vedaṃ. Sutānanti sikkhitabbayuttakapariyattīnaṃ. Asmiñcāti ettha ti nipātamattaṃ. Sotthānenāti sotthibhāvāvahena maṅgalena. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ācariya, puriso maṅgalaṃ icchanto maṅgalakāle kiṃsu nāma jappanto tīsu vedesu kataraṃ vā vedaṃ kataraṃ vā sutānaṃ antare sutapariyattiṃ adhīyitvā so macco imasmiñca loke paramhi ca kathaṃ karo etesu jappādīsu kiṃ kena niyāmena karonto sotthānena niraparādhamaṅgalena gutto rakkhito hoti, taṃ ubhayalokahitaṃ gahetvā ṭhitamaṅgalaṃ amhākaṃ kathehī’’ti.

    เอวํ เชฎฺฐเนฺตวาสิเกน มงฺคลปญฺหํ ปุโฎฺฐ มหาสโตฺต เทวมนุสฺสานํ กงฺขํ ฉินฺทโนฺต ‘‘อิทญฺจิทญฺจ มงฺคล’’นฺติ พุทฺธลีฬาย มงฺคลํ กเถโนฺต อาห –

    Evaṃ jeṭṭhantevāsikena maṅgalapañhaṃ puṭṭho mahāsatto devamanussānaṃ kaṅkhaṃ chindanto ‘‘idañcidañca maṅgala’’nti buddhalīḷāya maṅgalaṃ kathento āha –

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘ยสฺส เทวา ปิตโร จ สเพฺพ, สรีสปา สพฺพภูตานิ จาปิ;

    ‘‘Yassa devā pitaro ca sabbe, sarīsapā sabbabhūtāni cāpi;

    เมตฺตาย นิจฺจํ อปจิตานิ โหนฺติ, ภูเตสุ เว โสตฺถานํ ตทาหู’’ติฯ

    Mettāya niccaṃ apacitāni honti, bhūtesu ve sotthānaṃ tadāhū’’ti.

    ตตฺถ ยสฺสาติ ยสฺส ปุคฺคลสฺสฯ เทวาติ ภุมฺมเทเว อาทิํ กตฺวา สเพฺพปิ กามาวจรเทวาฯ ปิตโร จาติ ตตุตฺตริ รูปาวจรพฺรหฺมาโนฯ สรีสปาติ ทีฆชาติกาฯ สพฺพภูตานิ จาปีติ วุตฺตาวเสสานิ จ สพฺพานิปิ ภูตานิฯ เมตฺตาย นิจฺจํ อปจิตานิ โหนฺตีติ เอเต สเพฺพ สตฺตา ทสทิสาผรณวเสน ปวตฺตาย อปฺปนาปฺปตฺตาย เมตฺตาภาวนาย อปจิตา โหนฺติฯ ภูเตสุ เวติ ตํ ตสฺส ปุคฺคลสฺส สพฺพสเตฺตสุ โสตฺถานํ นิรนฺตรํ ปวตฺตํ นิรปราธมงฺคลํ อาหุฯ เมตฺตาวิหารี หิ ปุคฺคโล สเพฺพสํ ปิโย โหติ ปรูปกฺกเมน อวิโกปิโยฯ อิติ โส อิมินา มงฺคเลน รกฺขิโต โคปิโต โหตีติฯ

    Tattha yassāti yassa puggalassa. Devāti bhummadeve ādiṃ katvā sabbepi kāmāvacaradevā. Pitaro cāti tatuttari rūpāvacarabrahmāno. Sarīsapāti dīghajātikā. Sabbabhūtāni cāpīti vuttāvasesāni ca sabbānipi bhūtāni. Mettāya niccaṃ apacitāni hontīti ete sabbe sattā dasadisāpharaṇavasena pavattāya appanāppattāya mettābhāvanāya apacitā honti. Bhūtesu veti taṃ tassa puggalassa sabbasattesu sotthānaṃ nirantaraṃ pavattaṃ niraparādhamaṅgalaṃ āhu. Mettāvihārī hi puggalo sabbesaṃ piyo hoti parūpakkamena avikopiyo. Iti so iminā maṅgalena rakkhito gopito hotīti.

    อิติ มหาสโตฺต ปฐมํ มงฺคลํ กเถตฺวา ทุติยาทีนิ กเถโนฺต –

    Iti mahāsatto paṭhamaṃ maṅgalaṃ kathetvā dutiyādīni kathento –

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘โย สพฺพโลกสฺส นิวาตวุตฺติ, อิตฺถีปุมานํ สหทารกานํ;

    ‘‘Yo sabbalokassa nivātavutti, itthīpumānaṃ sahadārakānaṃ;

    ขนฺตา ทุรุตฺตานมปฺปฎิกูลวาที, อธิวาสนํ โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Khantā duruttānamappaṭikūlavādī, adhivāsanaṃ sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘โย นาวชานาติ สหายมเตฺต, สิเปฺปน กุลฺยาหิ ธเนน ชจฺจา;

    ‘‘Yo nāvajānāti sahāyamatte, sippena kulyāhi dhanena jaccā;

    รุจิปโญฺญ อตฺถกาเล มตีมา, สหาเยสุ เว โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Rucipañño atthakāle matīmā, sahāyesu ve sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘มิตฺตานิ เว ยสฺส ภวนฺติ สโนฺต, สํวิสฺสตฺถา อวิสํวาทกสฺส;

    ‘‘Mittāni ve yassa bhavanti santo, saṃvissatthā avisaṃvādakassa;

    น มิตฺตทุพฺภี สํวิภาคี ธเนน, มิเตฺตสุ เว โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Na mittadubbhī saṃvibhāgī dhanena, mittesu ve sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๖๐.

    160.

    ‘‘ยสฺส ภริยา ตุลฺยวยา สมคฺคา, อนุพฺพตา ธมฺมกามา ปชาตา;

    ‘‘Yassa bhariyā tulyavayā samaggā, anubbatā dhammakāmā pajātā;

    โกลินิยา สีลวตี ปติพฺพตา, ทาเรสุ เว โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Koliniyā sīlavatī patibbatā, dāresu ve sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๖๑.

    161.

    ‘‘ยสฺส ราชา ภูตปติ ยสสฺสี, ชานาติ โสเจยฺยํ ปรกฺกมญฺจ;

    ‘‘Yassa rājā bhūtapati yasassī, jānāti soceyyaṃ parakkamañca;

    อเทฺวชฺฌตา สุหทยํ มมนฺติ, ราชูสุ เว โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Advejjhatā suhadayaṃ mamanti, rājūsu ve sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๖๒.

    162.

    ‘‘อนฺนญฺจ ปานญฺจ ททาติ สโทฺธ, มาลญฺจ คนฺธญฺจ วิเลปนญฺจ;

    ‘‘Annañca pānañca dadāti saddho, mālañca gandhañca vilepanañca;

    ปสนฺนจิโตฺต อนุโมทมาโน, สเคฺคสุ เว โสตฺถานํ ตทาหุฯ

    Pasannacitto anumodamāno, saggesu ve sotthānaṃ tadāhu.

    ๑๖๓.

    163.

    ‘‘ยมริยธเมฺมน ปุนนฺติ วุทฺธา, อาราธิตา สมจริยาย สโนฺต;

    ‘‘Yamariyadhammena punanti vuddhā, ārādhitā samacariyāya santo;

    พหุสฺสุตา อิสโย สีลวโนฺต, อรหนฺตมเชฺฌ โสตฺถานํ ตทาหู’’ติฯ –

    Bahussutā isayo sīlavanto, arahantamajjhe sotthānaṃ tadāhū’’ti. –

    อิมา คาถา อภาสิฯ

    Imā gāthā abhāsi.

    ตตฺถ นิวาตวุตฺตีติ มุทุจิตฺตตาย สพฺพโลกสฺส นีจวุตฺติ โหติฯ ขนฺตา ทุรุตฺตานนฺติ ปเรหิ วุตฺตานํ ทุฎฺฐวจนานํ อธิวาสโก โหติฯ อปฺปฎิกูลวาทีติ ‘‘อโกฺกจฺฉิ มํ, อวธิ ม’’นฺติ ยุคคฺคาหํ อกโรโนฺต อนุกูลเมว วทติฯ อธิวาสนนฺติ อิทํ อธิวาสนํ ตสฺส โสตฺถานํ นิรปราธมงฺคลํ ปณฺฑิตา วทนฺติฯ

    Tattha nivātavuttīti muducittatāya sabbalokassa nīcavutti hoti. Khantā duruttānanti parehi vuttānaṃ duṭṭhavacanānaṃ adhivāsako hoti. Appaṭikūlavādīti ‘‘akkocchi maṃ, avadhi ma’’nti yugaggāhaṃ akaronto anukūlameva vadati. Adhivāsananti idaṃ adhivāsanaṃ tassa sotthānaṃ niraparādhamaṅgalaṃ paṇḍitā vadanti.

    สหายมเตฺตติ สหาเย จ สหายมเตฺต จฯ ตตฺถ สหปํสุกีฬิตา สหายา นาม, ทส ทฺวาทส วสฺสานิ เอกโต วุตฺถา สหายมตฺตา นาม, เต สเพฺพปิ ‘‘อหํ สิปฺปวา, อิเม นิสิปฺปา’’ติ เอวํ สิเปฺปน วา ‘‘อหํ กุลีโน, อิเม น กุลีนา’’ติ เอวํ กุลสมฺปตฺติสงฺขาตาหิ กุลฺยาหิ วา, ‘‘อหํ อโฑฺฒ, อิเม ทุคฺคตา’’ติ เอวํ ธเนน วา, ‘‘อหํ ชาติสมฺปโนฺน, อิเม ทุชฺชาตา’’ติ เอวํ ชจฺจา วา นาวชานาติฯ รุจิปโญฺญติ สาธุปโญฺญ สุนฺทรปโญฺญ ฯ อตฺถกาเลติ กสฺสจิเทว อตฺถสฺส การณสฺส อุปฺปนฺนกาเลฯ มตีมาติ ตํ ตํ อตฺถํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา วิจารณสมตฺถตาย มติมา หุตฺวา เต สหาเย นาวชานาติฯ สหาเยสูติ ตํ ตสฺส อนวชานนํ สหาเยสุ โสตฺถานํ นามาติ โปราณกปณฺฑิตา อาหุฯ เตน หิ โส นิรปราธมงฺคเลน อิธโลเก จ ปรโลเก จ คุโตฺต โหติฯ ตตฺถ ปณฺฑิเต สหาเย นิสฺสาย โสตฺถิภาโว กุสนาฬิชาตเกน (ชา. ๑.๑.๑๒๑ อาทโย) กเถตโพฺพฯ

    Sahāyamatteti sahāye ca sahāyamatte ca. Tattha sahapaṃsukīḷitā sahāyā nāma, dasa dvādasa vassāni ekato vutthā sahāyamattā nāma, te sabbepi ‘‘ahaṃ sippavā, ime nisippā’’ti evaṃ sippena vā ‘‘ahaṃ kulīno, ime na kulīnā’’ti evaṃ kulasampattisaṅkhātāhi kulyāhi vā, ‘‘ahaṃ aḍḍho, ime duggatā’’ti evaṃ dhanena vā, ‘‘ahaṃ jātisampanno, ime dujjātā’’ti evaṃ jaccā vā nāvajānāti. Rucipaññoti sādhupañño sundarapañño . Atthakāleti kassacideva atthassa kāraṇassa uppannakāle. Matīmāti taṃ taṃ atthaṃ paricchinditvā vicāraṇasamatthatāya matimā hutvā te sahāye nāvajānāti. Sahāyesūti taṃ tassa anavajānanaṃ sahāyesu sotthānaṃ nāmāti porāṇakapaṇḍitā āhu. Tena hi so niraparādhamaṅgalena idhaloke ca paraloke ca gutto hoti. Tattha paṇḍite sahāye nissāya sotthibhāvo kusanāḷijātakena (jā. 1.1.121 ādayo) kathetabbo.

    สโนฺตติ ปณฺฑิตา สปฺปุริสา ยสฺส มิตฺตานิ ภวนฺติฯ สํวิสฺสตฺถาติ ฆรํ ปวิสิตฺวา อิจฺฉิติจฺฉิตเสฺสว คหณวเสน วิสฺสาสมาปนฺนาฯ อวิสํวาทกสฺสาติ อวิสํวาทนสีลสฺสฯ น มิตฺตทุพฺภีติ โย จ มิตฺตทุพฺภี น โหติฯ สํวิภาคี ธเนนาติ อตฺตโน ธเนน มิตฺตานํ สํวิภาคํ กโรติฯ มิเตฺตสูติ มิเตฺต นิสฺสาย ลทฺธพฺพํ ตสฺส ตํ มิเตฺตสุ โสตฺถานํ นาม โหติฯ โส หิ เอวรูเปหิ มิเตฺตหิ รกฺขิโต โสตฺถิํ ปาปุณาติฯ ตตฺถ มิเตฺต นิสฺสาย โสตฺถิภาโว มหาอุกฺกุสชาตกาทีหิ (ชา. ๑.๑๔.๔๔ อาทโย) กเถตโพฺพฯ

    Santoti paṇḍitā sappurisā yassa mittāni bhavanti. Saṃvissatthāti gharaṃ pavisitvā icchiticchitasseva gahaṇavasena vissāsamāpannā. Avisaṃvādakassāti avisaṃvādanasīlassa. Na mittadubbhīti yo ca mittadubbhī na hoti. Saṃvibhāgī dhanenāti attano dhanena mittānaṃ saṃvibhāgaṃ karoti. Mittesūti mitte nissāya laddhabbaṃ tassa taṃ mittesu sotthānaṃ nāma hoti. So hi evarūpehi mittehi rakkhito sotthiṃ pāpuṇāti. Tattha mitte nissāya sotthibhāvo mahāukkusajātakādīhi (jā. 1.14.44 ādayo) kathetabbo.

    ตุลฺยวยาติ สมานวยาฯ สมคฺคาติ สมคฺควาสาฯ อนุพฺพตาติ อนุวตฺติตาฯ ธมฺมกามาติ ติวิธสุจริตธมฺมํ โรเจติฯ ปชาตาติ วิชายินี, น วญฺฌาฯ ทาเรสูติ เอเตหิ สีลคุเณหิ สมนฺนาคเต มาตุคาเม เคเห วสเนฺต สามิกสฺส โสตฺถิ โหตีติ ปณฺฑิตา กเถนฺติฯ ตตฺถ สีลวนฺตํ มาตุคามํ นิสฺสาย โสตฺถิภาโว มณิโจรชาตก- (ชา. ๑.๒.๘๗ อาทโย) สมฺพูลชาตก- (ชา. ๑.๑๖.๒๙๗ อาทโย) ขณฺฑหาลชาตเกหิ (ชา. ๒.๒๒.๙๘๒ อาทโย) กเถตโพฺพฯ

    Tulyavayāti samānavayā. Samaggāti samaggavāsā. Anubbatāti anuvattitā. Dhammakāmāti tividhasucaritadhammaṃ roceti. Pajātāti vijāyinī, na vañjhā. Dāresūti etehi sīlaguṇehi samannāgate mātugāme gehe vasante sāmikassa sotthi hotīti paṇḍitā kathenti. Tattha sīlavantaṃ mātugāmaṃ nissāya sotthibhāvo maṇicorajātaka- (jā. 1.2.87 ādayo) sambūlajātaka- (jā. 1.16.297 ādayo) khaṇḍahālajātakehi (jā. 2.22.982 ādayo) kathetabbo.

    โสเจยฺยนฺติ สุจิภาวํฯ อเทฺวชฺฌตาติ อเทฺวชฺฌตาย น เอส มยา สทฺธิํ ภิชฺชิตฺวา ทฺวิธา ภวิสฺสตีติ เอวํ อเทฺวชฺฌภาเวน ยํ ชานาติฯ สุหทยํ มมนฺติ สุหโท อยํ มมนฺติ จ ยํ ชานาติฯ ราชูสุ เวติ เอวํ ราชูสุ เสวกานํ โสตฺถานํ นามาติ ปณฺฑิตา กเถนฺติฯ ททาติ สโทฺธติ กมฺมญฺจ ผลญฺจ สทฺทหิตฺวา ททาติฯ สเคฺคสุ เวติ เอวํ สเคฺค เทวโลเก โสตฺถานํ นิรปราธมงฺคลนฺติ ปณฺฑิตา กเถนฺติ, ตํ เปตวตฺถุวิมานวตฺถูหิ วิตฺถาเรตฺวา กเถตพฺพํฯ

    Soceyyanti sucibhāvaṃ. Advejjhatāti advejjhatāya na esa mayā saddhiṃ bhijjitvā dvidhā bhavissatīti evaṃ advejjhabhāvena yaṃ jānāti. Suhadayaṃ mamanti suhado ayaṃ mamanti ca yaṃ jānāti. Rājūsu veti evaṃ rājūsu sevakānaṃ sotthānaṃ nāmāti paṇḍitā kathenti. Dadātisaddhoti kammañca phalañca saddahitvā dadāti. Saggesu veti evaṃ sagge devaloke sotthānaṃ niraparādhamaṅgalanti paṇḍitā kathenti, taṃ petavatthuvimānavatthūhi vitthāretvā kathetabbaṃ.

    ปุนนฺติ วุทฺธาติ ยํ ปุคฺคลํ ญาณวุทฺธา อริยธเมฺมน ปุนนฺติ ปริโสเธนฺติฯ สมจริยายาติ สมฺมาปฎิปตฺติยาฯ พหุสฺสุตาติ ปฎิเวธพหุสฺสุตาฯ อิสโยติ เอสิตคุณาฯ สีลวโนฺตติ อริยสีเลน สมนฺนาคตาฯ อรหนฺตมเชฺฌติ อรหนฺตานํ มเชฺฌ ปฎิลภิตพฺพํ ตํ โสตฺถานนฺติ ปณฺฑิตา กเถนฺติฯ อรหโนฺต หิ อตฺตนา ปฎิวิทฺธมคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา ปฎิปาเทนฺตา อาราธกํ ปุคฺคลํ อริยมเคฺคน ปุนนฺติ, โสปิ อรหาว โหติฯ

    Punantivuddhāti yaṃ puggalaṃ ñāṇavuddhā ariyadhammena punanti parisodhenti. Samacariyāyāti sammāpaṭipattiyā. Bahussutāti paṭivedhabahussutā. Isayoti esitaguṇā. Sīlavantoti ariyasīlena samannāgatā. Arahantamajjheti arahantānaṃ majjhe paṭilabhitabbaṃ taṃ sotthānanti paṇḍitā kathenti. Arahanto hi attanā paṭividdhamaggaṃ ācikkhitvā paṭipādentā ārādhakaṃ puggalaṃ ariyamaggena punanti, sopi arahāva hoti.

    เอวํ มหาสโตฺต อรหเตฺตน เทสนาย กูฎํ คณฺหโนฺต อฎฺฐหิ คาถาหิ อฎฺฐ มหามงฺคลานิ กเถตฺวา เตสเญฺญว มงฺคลานํ ถุติํ กโรโนฺต โอสานคาถมาห –

    Evaṃ mahāsatto arahattena desanāya kūṭaṃ gaṇhanto aṭṭhahi gāthāhi aṭṭha mahāmaṅgalāni kathetvā tesaññeva maṅgalānaṃ thutiṃ karonto osānagāthamāha –

    ๑๖๔.

    164.

    ‘‘เอตานิ โข โสตฺถานานิ โลเก, วิญฺญุปฺปสตฺถานิ สุขุทฺรยานิ;

    ‘‘Etāni kho sotthānāni loke, viññuppasatthāni sukhudrayāni;

    ตานีธ เสเวถ นโร สปโญฺญ, น หิ มงฺคเล กิญฺจนมตฺถิ สจฺจ’’นฺติฯ

    Tānīdha sevetha naro sapañño, na hi maṅgale kiñcanamatthi sacca’’nti.

    ตตฺถ น หิ มงฺคเลติ ตสฺมิํ ปน ทิฎฺฐสุตมุตปฺปเภเท มงฺคเล กิญฺจนํ เอกมงฺคลมฺปิ สจฺจํ นาม นตฺถิ, นิพฺพานเมว ปเนกํ ปรมตฺถสจฺจนฺติฯ

    Tattha na hi maṅgaleti tasmiṃ pana diṭṭhasutamutappabhede maṅgale kiñcanaṃ ekamaṅgalampi saccaṃ nāma natthi, nibbānameva panekaṃ paramatthasaccanti.

    อิสโย ตานิ มงฺคลานิ สุตฺวา สตฺตฎฺฐทิวสจฺจเยน อาจริยํ อาปุจฺฉิตฺวา ตเตฺถว อคมํสุฯ ราชา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิฯ เต ตสฺส อาจริเยน กถิตนิยาเมน มงฺคลปญฺหํ กเถตฺวา หิมวนฺตเมว อาคมํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย โลเก มงฺคลํ ปากฎํ อโหสิฯ มงฺคเลสุ วตฺติตฺวา มตมตา สคฺคปถํ ปูเรสุํฯ โพธิสโตฺต จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา อิสิคณํ อาทาย พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติฯ

    Isayo tāni maṅgalāni sutvā sattaṭṭhadivasaccayena ācariyaṃ āpucchitvā tattheva agamaṃsu. Rājā tesaṃ santikaṃ gantvā pucchi. Te tassa ācariyena kathitaniyāmena maṅgalapañhaṃ kathetvā himavantameva āgamaṃsu. Tato paṭṭhāya loke maṅgalaṃ pākaṭaṃ ahosi. Maṅgalesu vattitvā matamatā saggapathaṃ pūresuṃ. Bodhisatto cattāro brahmavihāre bhāvetvā isigaṇaṃ ādāya brahmaloke nibbatti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปาหํ มงฺคลปญฺหํ กเถสิ’’นฺติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อิสิคโณ พุทฺธปริสา อโหสิ , มงฺคลปญฺหปุจฺฉโก เชฎฺฐเนฺตวาสิโก สาริปุโตฺต, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepāhaṃ maṅgalapañhaṃ kathesi’’nti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā isigaṇo buddhaparisā ahosi , maṅgalapañhapucchako jeṭṭhantevāsiko sāriputto, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.

    มหามงฺคลชาตกวณฺณนา ปนฺนรสมาฯ

    Mahāmaṅgalajātakavaṇṇanā pannarasamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๓. มหามงฺคลชาตกํ • 453. Mahāmaṅgalajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact