Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อปทาน-อฎฺฐกถา • Apadāna-aṭṭhakathā

    ๓-๒. มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรอปทานวณฺณนา

    3-2. Mahāmoggallānattheraapadānavaṇṇanā

    อโนมทสฺสี ภควาตฺยาทิกํ อายสฺมโต โมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส อปทานํฯ อยญฺจ เถโร ปุริมพุเทฺธสุ กตาธิกาโร ตตฺถ ตตฺถ ภเว วิวฎฺฎูปนิสฺสยานิ ปุญฺญานิ อุปจินโนฺต อโนมทสฺสิสฺส ภควโต กาเลติอาทิ สาริปุตฺตเตฺถรสฺส ธมฺมเสนาปติโน วตฺถุมฺหิ วุตฺตเมวฯ เถโร หิ ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย สตฺตเม ทิวเส มคธรเฎฺฐ กลฺลวาลคามกํ อุปนิสฺสาย สมณธมฺมํ กโรโนฺต ถินมิเทฺธ โอกฺกมเนฺต สตฺถารา ‘‘โมคฺคลฺลาน, มา ตุโจฺฉ ตว วายาโม’’ติอาทินา สํเวชิโต ถินมิทฺธํ วิโนเทตฺวา ภควตา วุจฺจมานํ ธาตุกมฺมฎฺฐานํ สุณโนฺต เอว วิปสฺสนาปฎิปาฎิยา อุปริมคฺคตฺตยํ อธิคนฺตฺวา อคฺคผลกฺขเณ สาวกญาณสฺส มตฺถกํ ปาปุณิฯ

    Anomadassībhagavātyādikaṃ āyasmato moggallānattherassa apadānaṃ. Ayañca thero purimabuddhesu katādhikāro tattha tattha bhave vivaṭṭūpanissayāni puññāni upacinanto anomadassissa bhagavato kāletiādi sāriputtattherassa dhammasenāpatino vatthumhi vuttameva. Thero hi pabbajitadivasato paṭṭhāya sattame divase magadharaṭṭhe kallavālagāmakaṃ upanissāya samaṇadhammaṃ karonto thinamiddhe okkamante satthārā ‘‘moggallāna, mā tuccho tava vāyāmo’’tiādinā saṃvejito thinamiddhaṃ vinodetvā bhagavatā vuccamānaṃ dhātukammaṭṭhānaṃ suṇanto eva vipassanāpaṭipāṭiyā uparimaggattayaṃ adhigantvā aggaphalakkhaṇe sāvakañāṇassa matthakaṃ pāpuṇi.

    ๓๗๕. เอวํ ทุติยสาวกภาวํ ปตฺวา อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ สริตฺวา โสมนสฺสวเสน ปุพฺพจริยํ อปทานํ ปกาเสโนฺต อโนมทสฺสี ภควาติอาทิมาหฯ ตตฺถ น โอมํ อลามกํ ทสฺสนํ ปสฺสนํ อสฺสาติ อโนมทสฺสีฯ ตสฺส หิ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตสรีรตฺตา สกลํ ทิวสํ สกลํ มาสํ สกลํ สํวจฺฉรํ สํวจฺฉรสตสหสฺสมฺปิ ปสฺสนฺตานํ เทวมนุสฺสานํ อติตฺติกรํ ทสฺสนนฺติ, อโนมํ อลามกํ นิพฺพานํ ทสฺสนสีโลติ วา ‘‘อโนมทสฺสี’’ติ ลทฺธนาโม ภาคฺยวนฺตตาทีหิ การเณหิ ภควาฯ โลกเชโฎฺฐติ สกลสตฺตโลกสฺส เชโฎฺฐ ปธาโนฯ อาสภสทิสตฺตา อาสโภ, นรานํ อาสโภ นราสโภฯ โส โลกเชโฎฺฐ นราสโภ อโนมทสฺสี ภควา เทวสงฺฆปุรกฺขโต เทวสมูเหหิ ปริวาริโตฯ หิมวนฺตมฺหิ วิหาสีติ สมฺพโนฺธฯ

    375. Evaṃ dutiyasāvakabhāvaṃ patvā āyasmā mahāmoggallānatthero attano pubbakammaṃ saritvā somanassavasena pubbacariyaṃ apadānaṃ pakāsento anomadassī bhagavātiādimāha. Tattha na omaṃ alāmakaṃ dassanaṃ passanaṃ assāti anomadassī. Tassa hi dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitasarīrattā sakalaṃ divasaṃ sakalaṃ māsaṃ sakalaṃ saṃvaccharaṃ saṃvaccharasatasahassampi passantānaṃ devamanussānaṃ atittikaraṃ dassananti, anomaṃ alāmakaṃ nibbānaṃ dassanasīloti vā ‘‘anomadassī’’ti laddhanāmo bhāgyavantatādīhi kāraṇehi bhagavā. Lokajeṭṭhoti sakalasattalokassa jeṭṭho padhāno. Āsabhasadisattā āsabho, narānaṃ āsabho narāsabho. So lokajeṭṭho narāsabho anomadassī bhagavā devasaṅghapurakkhato devasamūhehi parivārito. Himavantamhi vihāsīti sambandho.

    ๓๗๖. ยทา ทุติยสาวกภาวาย ทุติยวาเร ปตฺถนํ อกาสิ, ตทา นาเมน วรุโณ นาม อหํ นาคราชา หุตฺวา นิพฺพโตฺต อโหสินฺติ อโตฺถฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วรุโณ นาม นาเมน, นาคราชา อหํ ตทา’’ติฯ กามรูปีติ ยทิจฺฉิตกามนิมฺมานสีโลฯ วิกุพฺพามีติ วิวิธํ อิทฺธิวิกุพฺพนํ กโรมิฯ มโหทธินิวาสหนฺติ มเญฺชริกา นาคา, ภูมิคตา นาคา, ปพฺพตฎฺฐา นาคา, คงฺคาวเหยฺยา นาคา, สามุทฺทิกา นาคาติ อิเมสํ นาคานํ อนฺตเร สามุทฺทิกนาโค อหํ มโหทธิมฺหิ สมุเทฺท นิวาสิํ, วาสํ กเปฺปสินฺติ อโตฺถฯ

    376. Yadā dutiyasāvakabhāvāya dutiyavāre patthanaṃ akāsi, tadā nāmena varuṇo nāma ahaṃ nāgarājā hutvā nibbatto ahosinti attho. Tena vuttaṃ – ‘‘varuṇo nāma nāmena, nāgarājā ahaṃ tadā’’ti. Kāmarūpīti yadicchitakāmanimmānasīlo. Vikubbāmīti vividhaṃ iddhivikubbanaṃ karomi. Mahodadhinivāsahanti mañjerikā nāgā, bhūmigatā nāgā, pabbataṭṭhā nāgā, gaṅgāvaheyyā nāgā, sāmuddikā nāgāti imesaṃ nāgānaṃ antare sāmuddikanāgo ahaṃ mahodadhimhi samudde nivāsiṃ, vāsaṃ kappesinti attho.

    ๓๗๗. สงฺคณิยํ คณํ หิตฺวาติ นิจฺจปริวารภูตํ สกปริวารํ นาคสมูหํ หิตฺวา วินา หุตฺวา ฯ ตูริยํ ปฎฺฐเปสหนฺติ อหํ ตูริยํ ปฎฺฐเปสิํ, วชฺชาเปสินฺติ อโตฺถฯ สมฺพุทฺธํ ปริวาเรตฺวาติ อโนมทสฺสิสมฺพุทฺธํ สมนฺตโต เสวมานา อจฺฉรา นาคมาณวิกา วาเทสุํ ทิพฺพวาเทหิ คีตา วากฺยาทีหิ วาเทสุํ ลทฺธานุรูปโต วเชฺชสุํ ตทาติ อโตฺถฯ

    377.Saṅgaṇiyaṃ gaṇaṃ hitvāti niccaparivārabhūtaṃ sakaparivāraṃ nāgasamūhaṃ hitvā vinā hutvā . Tūriyaṃ paṭṭhapesahanti ahaṃ tūriyaṃ paṭṭhapesiṃ, vajjāpesinti attho. Sambuddhaṃ parivāretvāti anomadassisambuddhaṃ samantato sevamānā accharā nāgamāṇavikā vādesuṃ dibbavādehi gītā vākyādīhi vādesuṃ laddhānurūpato vajjesuṃ tadāti attho.

    ๓๗๘. วชฺชมาเนสุ ตูเรสูติ มนุสฺสนาคตูริเยสุ ปญฺจงฺคิเกสุ วชฺชมาเนสุ ฯ เทวา ตูรานิ วชฺชยุนฺติ จาตุมหาราชิกา เทวา ทิพฺพตูริยานิ วชฺชิํสุ วาเทสุนฺติ อโตฺถฯ อุภินฺนํ สทฺทํ สุตฺวานาติ อุภินฺนํ เทวมนุสฺสานํ เภริสทฺทํ สุตฺวาฯ ติโลกครุสมาโนปิ พุโทฺธ สมฺปพุชฺฌถ ชานาติ สุณาตีติ อโตฺถฯ

    378.Vajjamānesu tūresūti manussanāgatūriyesu pañcaṅgikesu vajjamānesu . Devā tūrāni vajjayunti cātumahārājikā devā dibbatūriyāni vajjiṃsu vādesunti attho. Ubhinnaṃ saddaṃ sutvānāti ubhinnaṃ devamanussānaṃ bherisaddaṃ sutvā. Tilokagarusamānopi buddho sampabujjhatha jānāti suṇātīti attho.

    ๓๗๙. นิมเนฺตตฺวาน สมฺพุทฺธนฺติ สสาวกสงฺฆํ สมฺพุทฺธํ สฺวาตนาย นิมเนฺตตฺวา ปริวาเรตฺวาฯ สกภวนนฺติ อตฺตโน นาคภวนํ อุปาคมิํฯ คนฺตฺวา จ อาสนํ ปญฺญเปตฺวานาติ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานกุฎิมณฺฑปสยนนิสีทนฎฺฐานานิ ปญฺญาเปตฺวา สเชฺชตฺวาติ อโตฺถฯ กาลมาโรจยิํ อหนฺติ เอวํ กตปุพฺพวิธาโน อหํ ‘‘กาโล, ภเนฺต, นิฎฺฐิตํ ภตฺต’’นฺติ กาลํ อาโรจยิํ วิญฺญาเปสิํฯ

    379.Nimantetvāna sambuddhanti sasāvakasaṅghaṃ sambuddhaṃ svātanāya nimantetvā parivāretvā. Sakabhavananti attano nāgabhavanaṃ upāgamiṃ. Gantvā ca āsanaṃ paññapetvānāti rattiṭṭhānadivāṭṭhānakuṭimaṇḍapasayananisīdanaṭṭhānāni paññāpetvā sajjetvāti attho. Kālamārocayiṃ ahanti evaṃ katapubbavidhāno ahaṃ ‘‘kālo, bhante, niṭṭhitaṃ bhatta’’nti kālaṃ ārocayiṃ viññāpesiṃ.

    ๓๘๐. ขีณาสวสหเสฺสหีติ ตทา โส ภควา อรหนฺตสหเสฺสหิ ปริวุโต โลกนายโก สพฺพา ทิสา โอภาเสโนฺต เม ภวนํ อุปาคมิ สมฺปโตฺตติ อโตฺถฯ

    380.Khīṇāsavasahassehīti tadā so bhagavā arahantasahassehi parivuto lokanāyako sabbā disā obhāsento me bhavanaṃ upāgami sampattoti attho.

    ๓๘๑. อตฺตโน ภวนํ ปวิฎฺฐํ ภควนฺตํ โภชนาการํ ทเสฺสโนฺต อุปวิฎฺฐํ มหาวีรนฺติอาทิมาหฯ ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    381. Attano bhavanaṃ paviṭṭhaṃ bhagavantaṃ bhojanākāraṃ dassento upaviṭṭhaṃ mahāvīrantiādimāha. Taṃ suviññeyyameva.

    ๓๘๖. โอกฺกากกุลสมฺภโวติ โอกฺกากรโญฺญ ปรมฺปราคตราชกุเล อุปฺปโนฺน สกลชมฺพุทีเป ปากฎราชกุเล อุปฺปโนฺน วา โคเตฺตน โคตฺตวเสน โคตโม นาม สตฺถา มนุสฺสโลเก ภวิสฺสติฯ

    386.Okkākakulasambhavoti okkākarañño paramparāgatarājakule uppanno sakalajambudīpe pākaṭarājakule uppanno vā gottena gottavasena gotamo nāma satthā manussaloke bhavissati.

    ๓๘๘. โส ปจฺฉา ปพฺพชิตฺวานาติ โส นาคราชา ปจฺฉา ปจฺฉิมภเว กุสลมูเลน ปุญฺญสมฺภาเรน โจทิโต อุโยฺยชิโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา โคตมสฺส ภควโต ทุติโย อคฺคสาวโก เหสฺสตีติ พฺยากรณมกาสิฯ

    388.So pacchā pabbajitvānāti so nāgarājā pacchā pacchimabhave kusalamūlena puññasambhārena codito uyyojito sāsane pabbajitvā gotamassa bhagavato dutiyo aggasāvako hessatīti byākaraṇamakāsi.

    ๓๘๙. อารทฺธวีริโยติ ฐานนิสชฺชาทีสุ อิริยาปเถสุ วีริยวาฯ ปหิตโตฺตติ นิพฺพาเน เปสิตจิโตฺต ฯ อิทฺธิยา ปารมิํ คโตติ ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ อิทฺธิมนฺตานํ ยทิทํ มหาโมคฺคลฺลาโน’’ติ (อ. นิ. ๑.๑๘๐, ๑๙๐) อธิฎฺฐานิทฺธิวิกุพฺพนิทฺธิกมฺมวิปากชิทฺธิอาทีสุ ปารมิํ ปริโยสานํ คโต ปโตฺตฯ สพฺพาสเวติ อา สมนฺตโต สวนโต ปวตฺตนโต ‘‘อาสวา’’ติ ลทฺธนาเม กามภวทิฎฺฐิอวิชฺชาธเมฺม สเพฺพ ปริญฺญาย สมนฺตโต อญฺญาย ชานิตฺวา ปชหิตฺวา อนาสโว นิกฺกิเลโสฯ นิพฺพายิสฺสตีติ กิเลสขนฺธปรินิพฺพาเนน นิพฺพายิสฺสตีติ สมฺพโนฺธฯ

    389.Āraddhavīriyoti ṭhānanisajjādīsu iriyāpathesu vīriyavā. Pahitattoti nibbāne pesitacitto . Iddhiyā pāramiṃ gatoti ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ iddhimantānaṃ yadidaṃ mahāmoggallāno’’ti (a. ni. 1.180, 190) adhiṭṭhāniddhivikubbaniddhikammavipākajiddhiādīsu pāramiṃ pariyosānaṃ gato patto. Sabbāsaveti ā samantato savanato pavattanato ‘‘āsavā’’ti laddhanāme kāmabhavadiṭṭhiavijjādhamme sabbe pariññāya samantato aññāya jānitvā pajahitvā anāsavo nikkileso. Nibbāyissatīti kilesakhandhaparinibbānena nibbāyissatīti sambandho.

    ๓๙๐. เอวํ เถโร อตฺตโน ปุญฺญวเสน ลทฺธพฺยากรณํ วตฺวา ปุน ปาปจริยํ ปกาเสโนฺต ปาปมิโตฺตปนิสฺสายาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาปมิเตฺต ปาปเก ลามเก มิเตฺต อุปนิสฺสาย นิสฺสเย กตฺวา เตหิ สํสโคฺค หุตฺวาติ อโตฺถฯ

    390. Evaṃ thero attano puññavasena laddhabyākaraṇaṃ vatvā puna pāpacariyaṃ pakāsento pāpamittopanissāyātiādimāha. Tattha pāpamitte pāpake lāmake mitte upanissāya nissaye katvā tehi saṃsaggo hutvāti attho.

    ตตฺรายมนุปุพฺพี กถา – เอกสฺมิํ สมเย ติตฺถิยา สนฺนิปติตฺวา มเนฺตสุํ – ‘‘ชานาถาวุโส, เกน การเณน สมณสฺส โคตมสฺส ลาภสกฺกาโร มหา หุตฺวา นิพฺพโตฺต’’ติ? ‘‘น ชานาม’’ฯ ‘‘ตุเมฺห ปน น ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, ชานาม’’ – โมคฺคลฺลานํ นาม เอกํ ภิกฺขุํ นิสฺสาย อุปฺปโนฺน ฯ โส หิ เทวโลกํ คนฺตฺวา เทวตาหิ กตกมฺมํ ปุจฺฉิตฺวา อาคนฺตฺวา มนุสฺสานํ กเถสิ – ‘‘อิทํ นาม กตฺวา เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ลภนฺตี’’ติฯ นิรเย นิพฺพตฺตานมฺปิ กมฺมํ ปุจฺฉิตฺวา อาคนฺตฺวา มนุสฺสานํ กเถสิ – ‘‘อิทํ นาม กตฺวา เอวรูปํ ทุกฺขํ อนุภวนฺตี’’ติฯ มนุสฺสา ตสฺส กถํ สุตฺวา มหนฺตํ ลาภสกฺการํ อภิหรนฺติฯ สเจ ตํ มาเรตุํ สกฺขิสฺสาม, โส ลาภสกฺกาโร อมฺหากํ นิพฺพตฺติสฺสติ, อเตฺถโส อุปาโยติ สเพฺพ เอกจฺฉนฺทา หุตฺวา ‘‘ยํกิญฺจิ กตฺวา ตํ มาเรสฺสามา’’ติ อตฺตโน อุปฎฺฐาเก สมาทเปตฺวา กหาปณสหสฺสํ ลภิตฺวา ปุริสฆาตเก โจเร ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร นาม สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก กาฬสิลายํ วสติ, ตุเมฺห ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ มาเรถา’’ติ เตสํ ตํ สหสฺสํ อทํสุฯ โจรา ธนลาเภน สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เถรํ มาเรสฺสามา’’ติ คนฺตฺวา ตสฺส วสนฎฺฐานํ ปริวาเรสุํฯ เถโร เตหิ ปริกฺขิตฺตภาวํ ญตฺวา กุญฺจิกจฺฉิเทฺทน นิกฺขมิตฺวา ปกฺกามิฯ โจรา ตํ ทิวสํ เถรํ อทิสฺวา ปุเนกทิวสํ ตสฺส วสนฎฺฐานํ ปริกฺขิปิํสุฯ เถโร ญตฺวา กณฺณิกามณฺฑลํ ภินฺทิตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ เอวํ เต ปฐมมาเสปิ, มชฺฌิมมาเสปิ เถรํ คเหตุํ นาสกฺขิํสุฯ ปจฺฉิมมาเส ปน สมฺปเตฺต เถโร อตฺตนา กตกมฺมสฺส อากฑฺฒนภาวํ ญตฺวา น อปคจฺฉิฯ โจรา ตํ ปหรนฺตา ตณฺฑุลกมตฺตานิ อฎฺฐีนิ กโรนฺตา ภินฺทิํสุฯ อถ นํ ‘‘มโต’’ติ สญฺญาย เอกสฺมิํ คุมฺพปิเฎฺฐ ขิปิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ

    Tatrāyamanupubbī kathā – ekasmiṃ samaye titthiyā sannipatitvā mantesuṃ – ‘‘jānāthāvuso, kena kāraṇena samaṇassa gotamassa lābhasakkāro mahā hutvā nibbatto’’ti? ‘‘Na jānāma’’. ‘‘Tumhe pana na jānāthā’’ti? ‘‘Āma, jānāma’’ – moggallānaṃ nāma ekaṃ bhikkhuṃ nissāya uppanno . So hi devalokaṃ gantvā devatāhi katakammaṃ pucchitvā āgantvā manussānaṃ kathesi – ‘‘idaṃ nāma katvā evarūpaṃ sampattiṃ labhantī’’ti. Niraye nibbattānampi kammaṃ pucchitvā āgantvā manussānaṃ kathesi – ‘‘idaṃ nāma katvā evarūpaṃ dukkhaṃ anubhavantī’’ti. Manussā tassa kathaṃ sutvā mahantaṃ lābhasakkāraṃ abhiharanti. Sace taṃ māretuṃ sakkhissāma, so lābhasakkāro amhākaṃ nibbattissati, attheso upāyoti sabbe ekacchandā hutvā ‘‘yaṃkiñci katvā taṃ māressāmā’’ti attano upaṭṭhāke samādapetvā kahāpaṇasahassaṃ labhitvā purisaghātake core pakkosāpetvā ‘‘mahāmoggallānatthero nāma samaṇassa gotamassa sāvako kāḷasilāyaṃ vasati, tumhe tattha gantvā taṃ mārethā’’ti tesaṃ taṃ sahassaṃ adaṃsu. Corā dhanalābhena sampaṭicchitvā ‘‘theraṃ māressāmā’’ti gantvā tassa vasanaṭṭhānaṃ parivāresuṃ. Thero tehi parikkhittabhāvaṃ ñatvā kuñcikacchiddena nikkhamitvā pakkāmi. Corā taṃ divasaṃ theraṃ adisvā punekadivasaṃ tassa vasanaṭṭhānaṃ parikkhipiṃsu. Thero ñatvā kaṇṇikāmaṇḍalaṃ bhinditvā ākāsaṃ pakkhandi. Evaṃ te paṭhamamāsepi, majjhimamāsepi theraṃ gahetuṃ nāsakkhiṃsu. Pacchimamāse pana sampatte thero attanā katakammassa ākaḍḍhanabhāvaṃ ñatvā na apagacchi. Corā taṃ paharantā taṇḍulakamattāni aṭṭhīni karontā bhindiṃsu. Atha naṃ ‘‘mato’’ti saññāya ekasmiṃ gumbapiṭṭhe khipitvā pakkamiṃsu.

    เถโร , ‘‘สตฺถารํ ปสฺสิตฺวา วนฺทิตฺวาว ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ อตฺตภาวํ ฌานเวฐเนน เวเฐตฺวา อากาเสน สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ปรินิพฺพายิสฺสสิ, โมคฺคลฺลานา’’ติ? ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘กตฺถ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสสี’’ติ? ‘‘กาฬสิลาปเทสํ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘เตน หิ, โมคฺคลฺลาน, มยฺหํ ธมฺมํ กเถตฺวา ยาหิฯ ตาทิสสฺส หิ เม สาวกสฺส น ทานิ ทสฺสนํ อตฺถี’’ติฯ โส ‘‘เอวํ กริสฺสามิ, ภเนฺต’’ติ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อากาสํ อุปฺปติตฺวา สาริปุตฺตเตฺถโร วิย ปรินิพฺพานทิวเส นานปฺปการา อิทฺธิโย กตฺวา ธมฺมํ กเถตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา กาฬสิลาปเทสํ คนฺตฺวา ปรินิพฺพายิฯ ‘‘เถรํ กิร โจรา มาเรสุ’’นฺติ อยํ กถา สกลชมฺพุทีเป ปตฺถริฯ

    Thero , ‘‘satthāraṃ passitvā vanditvāva parinibbāyissāmī’’ti attabhāvaṃ jhānaveṭhanena veṭhetvā ākāsena satthu santikaṃ gantvā satthāraṃ vanditvā ‘‘bhante, parinibbāyissāmī’’ti āha. ‘‘Parinibbāyissasi, moggallānā’’ti? ‘‘Āma, bhante’’ti. ‘‘Kattha gantvā parinibbāyissasī’’ti? ‘‘Kāḷasilāpadesaṃ, bhante’’ti. ‘‘Tena hi, moggallāna, mayhaṃ dhammaṃ kathetvā yāhi. Tādisassa hi me sāvakassa na dāni dassanaṃ atthī’’ti. So ‘‘evaṃ karissāmi, bhante’’ti satthāraṃ vanditvā ākāsaṃ uppatitvā sāriputtatthero viya parinibbānadivase nānappakārā iddhiyo katvā dhammaṃ kathetvā satthāraṃ vanditvā kāḷasilāpadesaṃ gantvā parinibbāyi. ‘‘Theraṃ kira corā māresu’’nti ayaṃ kathā sakalajambudīpe patthari.

    ราชา อชาตสตฺตุ โจเร ปริเยสนตฺถาย จรปุริเส ปโยเชสิฯ เตสุ โจเรสุ สุราปาเน สุรํ ปิวเนฺตสุ มเทฺทสุ เอโก เอกสฺส ปิฎฺฐิํ ปหริตฺวา ปาเตสิฯ โส ตํ สนฺตเชฺชโนฺต ‘‘อโมฺภ ทุพฺพินีต ตฺวํ, กสฺมา เม ปิฎฺฐิํ ปหริตฺวา ปาเตสิ, กิํ ปน, อเร ทุฎฺฐโจร, ตยา มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร ปฐมํ ปหโต’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ มยา ปฐมํ ปหตภาวํ น ชานาสี’’ติ? เอวํ เอเตสํ ‘‘มยา ปหโต, มยา ปหโต’’ติ วทนฺตานํ สุตฺวา เต จรปุริสา สเพฺพ เต โจเร คเหตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา เต โจเร ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ตุเมฺหหิ เถโร มาริโต’’ติ? ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘เกหิ ตุเมฺห อุโยฺยชิตา’’ติ? ‘‘นคฺคสมเณหิ, เทวา’’ติฯ ราชา ปญฺจสเต นคฺคสมเณ คาหาเปตฺวา ปญฺจสเตหิ โจเรหิ สทฺธิํ ราชงฺคเณ นาภิปมาเณสุ อาวาเฎสุ นิขณาเปตฺวา ปลาเลหิ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อคฺคิํ ทาเปสิฯ อถ เนสํ ฌามภาวํ ชานิตฺวา อยนงฺคเลหิ กสาเปตฺวา สเพฺพ ขณฺฑาขณฺฑํ การาเปสิฯ ตทา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร อตฺตโน อนนุรูปมรณํ ปโตฺต’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นาม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘โมคฺคลฺลานสฺส, ภิกฺขเว, อิมเสฺสว อตฺตภาวสฺส อนนุรูปํ มรณํ, ปุเพฺพ ปน เตน กตกมฺมสฺส อนุรูปเมวา’’ติ วตฺวา ‘‘กิํ ปนสฺส, ภเนฺต, ปุพฺพกมฺม’’นฺติ ปุโฎฺฐ ตํ วิตฺถาเรตฺวา กเถสิฯ

    Rājā ajātasattu core pariyesanatthāya carapurise payojesi. Tesu coresu surāpāne suraṃ pivantesu maddesu eko ekassa piṭṭhiṃ paharitvā pātesi. So taṃ santajjento ‘‘ambho dubbinīta tvaṃ, kasmā me piṭṭhiṃ paharitvā pātesi, kiṃ pana, are duṭṭhacora, tayā mahāmoggallānatthero paṭhamaṃ pahato’’ti āha. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ mayā paṭhamaṃ pahatabhāvaṃ na jānāsī’’ti? Evaṃ etesaṃ ‘‘mayā pahato, mayā pahato’’ti vadantānaṃ sutvā te carapurisā sabbe te core gahetvā rañño ārocesuṃ. Rājā te core pakkosāpetvā pucchi – ‘‘tumhehi thero mārito’’ti? ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Kehi tumhe uyyojitā’’ti? ‘‘Naggasamaṇehi, devā’’ti. Rājā pañcasate naggasamaṇe gāhāpetvā pañcasatehi corehi saddhiṃ rājaṅgaṇe nābhipamāṇesu āvāṭesu nikhaṇāpetvā palālehi paṭicchādetvā aggiṃ dāpesi. Atha nesaṃ jhāmabhāvaṃ jānitvā ayanaṅgalehi kasāpetvā sabbe khaṇḍākhaṇḍaṃ kārāpesi. Tadā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘mahāmoggallānatthero attano ananurūpamaraṇaṃ patto’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāma, bhante’’ti vutte ‘‘moggallānassa, bhikkhave, imasseva attabhāvassa ananurūpaṃ maraṇaṃ, pubbe pana tena katakammassa anurūpamevā’’ti vatvā ‘‘kiṃ panassa, bhante, pubbakamma’’nti puṭṭho taṃ vitthāretvā kathesi.

    อตีเต, ภิกฺขเว, พาราณสิยํ เอโก กุลปุโตฺต สยเมว โกฎฺฎนปจนาทีนิ กโรโนฺต มาตาปิตโร ปฎิชคฺคิฯ อถสฺส มาตาปิตโร ‘‘ตาต, ตฺวํ เอกโกว เคเห จ อรเญฺญ จ กมฺมํ กโรโนฺต กิลมสิ, เอกํ เต กุมาริกํ อาเนสฺสามา’’ติ วตฺวา ‘‘อมฺมตาตา, ยาว ตุเมฺห ชีวถ, ตาว โว สหตฺถา อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ เตน ปฎิกฺขิตฺตาปิ ปุนปฺปุนํ ยาจิตฺวา กุมาริกํ อาเนสุํฯ สา กติปาหเมว เต อุปฎฺฐหิตฺวา ปจฺฉา เตสํ ทสฺสนมปิ อนิจฺฉนฺตี – ‘‘น สกฺกา ตว มาตาปิตูหิ สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วสิตุ’’นฺติ อุชฺฌายิตฺวา ตสฺมิํ อตฺตโน กถํ อคฺคณฺหเนฺต ตสฺส พหิคตกาเล มกจิวากขณฺฑานิ จ ยาคุเผณเก จ คเหตฺวา ตตฺถ ตตฺถ อากิริตฺวา เตนาคนฺตฺวา ‘‘กิํ อิท’’นฺติ ปุฎฺฐา ‘‘อิเมสํ มหลฺลกอนฺธานํ เอตํ กมฺมํ, สพฺพํ เคหํ กิลิฎฺฐา กโรนฺตา วิจรนฺติ, น สกฺกา เอเตหิ สทฺธิํ เอกฎฺฐาเน วสิตุ’’นฺติ เอวํ ตาย ปุนปฺปุนํ กถิยมานาย เอวรูโปปิ ปูริตปารมี สโตฺต มาตาปิตูหิ สทฺธิํ ภิชฺชิฯ โส ‘‘โหตุ, ชานิสฺสามิ เนสํ กตฺตพฺพกมฺม’’นฺติ เต โภเชตฺวา ‘‘อมฺมตาตา, อสุกฎฺฐาเน นาม ตุมฺหากํ ญาตกา อาคมนํ ปจฺจาสีสนฺติ, ตตฺถ คมิสฺสามา’’ติ เต ยานกํ อาโรเปตฺวา อาทาย คจฺฉโนฺต อฎวิมชฺฌํ ปตฺตกาเล ‘‘ตาต, รสฺมิโย คณฺหถ, โคณา ทณฺฑสญฺญาย คมิสฺสนฺติ, อิมสฺมิํ ฐาเน โจรา วสนฺติ, อหํ โอตริตฺวา จรามี’’ติ ปิตุ หเตฺถ รสฺมิโย ทตฺวา โอตริตฺวา คจฺฉโนฺต สทฺทํ ปริวเตฺตตฺวา โจรานํ อุฎฺฐิตสทฺทมกาสิฯ มาตาปิตโร สทฺทํ สุตฺวา ‘‘โจรา อุฎฺฐิตา’’ติ สญฺญาย ‘‘ตาต, โจรา อุฎฺฐิตา, มหลฺลกา มยํ, ตฺวํ อตฺตานเมว รกฺขาหี’’ติ อาหํสุฯ โส มาตาปิตโร วิรวเนฺตปิ โจรสทฺทํ กโรโนฺต โกเฎฺฎตฺวา มาเรตฺวา อฎวิยํ ขิปิตฺวา ปจฺจาคมิฯ

    Atīte, bhikkhave, bārāṇasiyaṃ eko kulaputto sayameva koṭṭanapacanādīni karonto mātāpitaro paṭijaggi. Athassa mātāpitaro ‘‘tāta, tvaṃ ekakova gehe ca araññe ca kammaṃ karonto kilamasi, ekaṃ te kumārikaṃ ānessāmā’’ti vatvā ‘‘ammatātā, yāva tumhe jīvatha, tāva vo sahatthā upaṭṭhahissāmī’’ti tena paṭikkhittāpi punappunaṃ yācitvā kumārikaṃ ānesuṃ. Sā katipāhameva te upaṭṭhahitvā pacchā tesaṃ dassanamapi anicchantī – ‘‘na sakkā tava mātāpitūhi saddhiṃ ekaṭṭhāne vasitu’’nti ujjhāyitvā tasmiṃ attano kathaṃ aggaṇhante tassa bahigatakāle makacivākakhaṇḍāni ca yāgupheṇake ca gahetvā tattha tattha ākiritvā tenāgantvā ‘‘kiṃ ida’’nti puṭṭhā ‘‘imesaṃ mahallakaandhānaṃ etaṃ kammaṃ, sabbaṃ gehaṃ kiliṭṭhā karontā vicaranti, na sakkā etehi saddhiṃ ekaṭṭhāne vasitu’’nti evaṃ tāya punappunaṃ kathiyamānāya evarūpopi pūritapāramī satto mātāpitūhi saddhiṃ bhijji. So ‘‘hotu, jānissāmi nesaṃ kattabbakamma’’nti te bhojetvā ‘‘ammatātā, asukaṭṭhāne nāma tumhākaṃ ñātakā āgamanaṃ paccāsīsanti, tattha gamissāmā’’ti te yānakaṃ āropetvā ādāya gacchanto aṭavimajjhaṃ pattakāle ‘‘tāta, rasmiyo gaṇhatha, goṇā daṇḍasaññāya gamissanti, imasmiṃ ṭhāne corā vasanti, ahaṃ otaritvā carāmī’’ti pitu hatthe rasmiyo datvā otaritvā gacchanto saddaṃ parivattetvā corānaṃ uṭṭhitasaddamakāsi. Mātāpitaro saddaṃ sutvā ‘‘corā uṭṭhitā’’ti saññāya ‘‘tāta, corā uṭṭhitā, mahallakā mayaṃ, tvaṃ attānameva rakkhāhī’’ti āhaṃsu. So mātāpitaro viravantepi corasaddaṃ karonto koṭṭetvā māretvā aṭaviyaṃ khipitvā paccāgami.

    สตฺถา อิทํ ตสฺส ปุพฺพกมฺมํ กเถตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, โมคฺคลฺลาโน เอตฺตกํ กมฺมํ กตฺวา อเนกวสฺสสตสหสฺสานิ นิรเย ปจฺจิตฺวา ตาว ปกฺกาวเสเสน อตฺตภาวสเต เอวเมว โกเฎฺฎตฺวา สํจุโณฺณ มรณํ ปโตฺต, เอวํ โมคฺคลฺลาเนน อตฺตโน กมฺมานุรูปเมว มรณํ ลทฺธํฯ ปญฺจหิ โจรสเตหิ สทฺธิํ ปญฺจติตฺถิยสตานิปิ มม ปุตฺตํ อปฺปทุฎฺฐํ ทุเสฺสตฺวา อนุรูปเมว มรณํ ลภิํสุฯ อปฺปทุเฎฺฐสุ หิ ปทุสฺสโนฺต ทสหิ การเณหิ อนยพฺยสนํ ปาปุณาติเยวา’’ติ อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –

    Satthā idaṃ tassa pubbakammaṃ kathetvā ‘‘bhikkhave, moggallāno ettakaṃ kammaṃ katvā anekavassasatasahassāni niraye paccitvā tāva pakkāvasesena attabhāvasate evameva koṭṭetvā saṃcuṇṇo maraṇaṃ patto, evaṃ moggallānena attano kammānurūpameva maraṇaṃ laddhaṃ. Pañcahi corasatehi saddhiṃ pañcatitthiyasatānipi mama puttaṃ appaduṭṭhaṃ dussetvā anurūpameva maraṇaṃ labhiṃsu. Appaduṭṭhesu hi padussanto dasahi kāraṇehi anayabyasanaṃ pāpuṇātiyevā’’ti anusandhiṃ ghaṭetvā dhammaṃ desento imā gāthā abhāsi –

    ‘‘โย ทเณฺฑน อทเณฺฑสุ, อปฺปทุเฎฺฐสุ ทุสฺสติ;

    ‘‘Yo daṇḍena adaṇḍesu, appaduṭṭhesu dussati;

    ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ, ขิปฺปเมว นิคจฺฉติฯ

    Dasannamaññataraṃ ṭhānaṃ, khippameva nigacchati.

    ‘‘เวทนํ ผรุสํ ชานิํ, สรีรสฺส ว เภทนํ;

    ‘‘Vedanaṃ pharusaṃ jāniṃ, sarīrassa va bhedanaṃ;

    ครุกํ วาปิ อาพาธํ, จิตฺตเกฺขปํ ว ปาปุเณฯ

    Garukaṃ vāpi ābādhaṃ, cittakkhepaṃ va pāpuṇe.

    ‘‘ราชโต วา อุปสคฺคํ, อพฺภกฺขานํ ว ทารุณํ;

    ‘‘Rājato vā upasaggaṃ, abbhakkhānaṃ va dāruṇaṃ;

    ปริกฺขยํ ว ญาตีนํ, โภคานํ ว ปภงฺคุนํฯ

    Parikkhayaṃ va ñātīnaṃ, bhogānaṃ va pabhaṅgunaṃ.

    ‘‘อถวสฺส อคารานิ, อคฺคิ ฑหติ ปาวโก;

    ‘‘Athavassa agārāni, aggi ḍahati pāvako;

    กายสฺส เภทา ทุปฺปโญฺญ, นิรยํ โสปปชฺชตี’’ติฯ (ธ. ป. ๑๓๗-๑๔๐);

    Kāyassa bhedā duppañño, nirayaṃ sopapajjatī’’ti. (dha. pa. 137-140);

    ๓๙๓. ปวิเวกมนุยุโตฺตติ ปกาเรน วิเวกํ เอกีภาวํ อนุยุโตฺต โยชิโต ยุตฺตปฺปยุโตฺตฯ สมาธิภาวนารโตติ ปฐมชฺฌานาทิภาวนาย รโต อลฺลีโน จฯ สพฺพาสเว สกลกิเลเส, ปริญฺญาย ชานิตฺวา ปชหิตฺวา, อนาสโว นิกฺกิเลโส วิหรามีติ สมฺพโนฺธฯ

    393.Pavivekamanuyuttoti pakārena vivekaṃ ekībhāvaṃ anuyutto yojito yuttappayutto. Samādhibhāvanāratoti paṭhamajjhānādibhāvanāya rato allīno ca. Sabbāsave sakalakilese, pariññāya jānitvā pajahitvā, anāsavo nikkileso viharāmīti sambandho.

    ๓๙๔. อิทานิ อตฺตโน ปุญฺญสมฺภารวเสน ปุพฺพจริตสฺส ผลํ ทเสฺสโนฺต ธรณิมฺปิ สุคมฺภีรนฺติอาทิมาหฯ

    394. Idāni attano puññasambhāravasena pubbacaritassa phalaṃ dassento dharaṇimpi sugambhīrantiādimāha.

    ตตฺรายมนุปุพฺพีกถา – พุเทฺธน โจทิโตติ สมฺมาสมฺพุเทฺธน โจทิโต อุโยฺยชิโตฯ ภิกฺขุสงฺฆสฺส เปกฺขโตติ มหโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปสฺสนฺตสฺสฯ มิคารมาตุปาสาทํ, ปาทงฺคุเฎฺฐน กมฺปยีติ ปุพฺพาราเม วิสาขาย มหาอุปาสิกาย การิตํ สหสฺสตฺถมฺภปฎิมณฺฑิตํ มหาปาสาทํ อตฺตโน ปาทงฺคุเฎฺฐน กเมฺปสิํฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย ปุพฺพาราเม ยถาวุตฺตปาสาเท ภควติ วิหรเนฺต สมฺพหุลา นวกตรา ภิกฺขู อุปริปาสาเท นิสินฺนา สตฺถารมฺปิ อจิเนฺตตฺวา ติรจฺฉานกถํ กเถตุมารทฺธาฯ ตํ สุตฺวา ภควา เต สํเวเชตฺวา อตฺตโน ธมฺมเทสนาย ภาชนภูเต กาตุกาโม อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรํ อามเนฺตสิ – ‘‘ปสฺสสิ ตฺวํ, โมคฺคลฺลาน, นเว ภิกฺขู ติรจฺฉานกถมนุยุเตฺต’’ติ ตํ สุตฺวา เถโร สตฺถุ อชฺฌาสยํ ญตฺวา อภิญฺญาปาทกํ อาโปกสิณารมฺมณํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ‘‘ปาสาทสฺส ปติฎฺฐิโตกาสํ อุทกํ โหตู’’ติ อธิฎฺฐาย ปาสาทมตฺถเก ถุปิกํ ปาทงฺคุเฎฺฐน ปหริ, ปาสาโท โอนมิตฺวา เอเกน ปเสฺสน อฎฺฐาสิฯ ปุนปิ ปหริ, อปเรนปิ ปเสฺสน อฎฺฐาสิฯ เต ภิกฺขู ภีตา สํวิคฺคา ปาสาทสฺส ปตนภเยน ตโต นิกฺขมิตฺวา ภควโต สมีเป อฎฺฐํสุฯ สตฺถา เตสํ อชฺฌาสยํ โอโลเกตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ ตํ สุตฺวา เตสุ เกจิ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิํสุ, เกจิ สกทาคามิผเล, เกจิ อนาคามิผเล, เกจิ อรหตฺตผเล ปติฎฺฐหิํสุฯ สฺวายมโตฺถ ปาสาทกมฺปนสุเตฺตน ทีเปตโพฺพฯ

    Tatrāyamanupubbīkathā – buddhena coditoti sammāsambuddhena codito uyyojito. Bhikkhusaṅghassa pekkhatoti mahato bhikkhusaṅghassa passantassa. Migāramātupāsādaṃ, pādaṅguṭṭhena kampayīti pubbārāme visākhāya mahāupāsikāya kāritaṃ sahassatthambhapaṭimaṇḍitaṃ mahāpāsādaṃ attano pādaṅguṭṭhena kampesiṃ. Ekasmiñhi samaye pubbārāme yathāvuttapāsāde bhagavati viharante sambahulā navakatarā bhikkhū uparipāsāde nisinnā satthārampi acintetvā tiracchānakathaṃ kathetumāraddhā. Taṃ sutvā bhagavā te saṃvejetvā attano dhammadesanāya bhājanabhūte kātukāmo āyasmantaṃ mahāmoggallānattheraṃ āmantesi – ‘‘passasi tvaṃ, moggallāna, nave bhikkhū tiracchānakathamanuyutte’’ti taṃ sutvā thero satthu ajjhāsayaṃ ñatvā abhiññāpādakaṃ āpokasiṇārammaṇaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya ‘‘pāsādassa patiṭṭhitokāsaṃ udakaṃ hotū’’ti adhiṭṭhāya pāsādamatthake thupikaṃ pādaṅguṭṭhena pahari, pāsādo onamitvā ekena passena aṭṭhāsi. Punapi pahari, aparenapi passena aṭṭhāsi. Te bhikkhū bhītā saṃviggā pāsādassa patanabhayena tato nikkhamitvā bhagavato samīpe aṭṭhaṃsu. Satthā tesaṃ ajjhāsayaṃ oloketvā dhammaṃ desesi. Taṃ sutvā tesu keci sotāpattiphale patiṭṭhahiṃsu, keci sakadāgāmiphale, keci anāgāmiphale, keci arahattaphale patiṭṭhahiṃsu. Svāyamattho pāsādakampanasuttena dīpetabbo.

    เวชยนฺตปาสาทนฺติ โส เวชยนฺตปาสาโท ตาวติํสภวเน โยชนสหสฺสุเพฺพโธ อเนกสหสฺสนิยฺยูหกูฎาคารปฎิมณฺฑิโต เทวาสุรสงฺคาเม อสุเร ชินิตฺวา สเกฺก เทวานมิเนฺท นครมเชฺฌ ฐิเต อุฎฺฐิโต วิชยเนฺตน นิพฺพตฺตตฺตา ‘‘เวชยโนฺต’’ติ ลทฺธนาโม ปาสาโท, ตํ สนฺธายาห – ‘‘เวชยนฺตปาสาท’’นฺติ, ตมฺปิ อยํ เถโร ปาทงฺคุเฎฺฐน กเมฺปติฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย ภควนฺตํ ปุพฺพาราเม วิหรนฺตํ สโกฺก เทวราชา อุปสงฺกมิตฺวา ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ปุจฺฉิฯ ตสฺส ภควา วิสฺสเชฺชสิฯ โส ตํ สุตฺวา อตฺตมโน ปมุทิโต อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา อตฺตโน เทวโลกเมว คโตฯ อถายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอวํ จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ สโกฺก ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวรูปํ คมฺภีรนิพฺพานปฎิสํยุตฺตํ ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ภควตา จ ปโญฺห วิสฺสชฺชิโต, กิํ นุ โข ชานิตฺวา คโต, อุทาหุ อชานิตฺวา ฯ ยํนูนาหํ เทวโลกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ ชาเนยฺย’’นฺติ? โส ตาวเทว ตาวติํสภวนํ คนฺตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ สโกฺก ทิพฺพสมฺปตฺติยา ปมโตฺต หุตฺวา วิเกฺขปํ อกาสิฯ เถโร ตสฺส สํเวคชนนตฺถํ เวชยนฺตปาสาทํ ปาทงฺคุเฎฺฐน กเมฺปสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Vejayantapāsādanti so vejayantapāsādo tāvatiṃsabhavane yojanasahassubbedho anekasahassaniyyūhakūṭāgārapaṭimaṇḍito devāsurasaṅgāme asure jinitvā sakke devānaminde nagaramajjhe ṭhite uṭṭhito vijayantena nibbattattā ‘‘vejayanto’’ti laddhanāmo pāsādo, taṃ sandhāyāha – ‘‘vejayantapāsāda’’nti, tampi ayaṃ thero pādaṅguṭṭhena kampeti. Ekasmiñhi samaye bhagavantaṃ pubbārāme viharantaṃ sakko devarājā upasaṅkamitvā taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ pucchi. Tassa bhagavā vissajjesi. So taṃ sutvā attamano pamudito abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā attano devalokameva gato. Athāyasmā mahāmoggallāno evaṃ cintesi – ‘‘ayaṃ sakko bhagavantaṃ upasaṅkamitvā evarūpaṃ gambhīranibbānapaṭisaṃyuttaṃ pañhaṃ pucchi, bhagavatā ca pañho vissajjito, kiṃ nu kho jānitvā gato, udāhu ajānitvā . Yaṃnūnāhaṃ devalokaṃ gantvā tamatthaṃ jāneyya’’nti? So tāvadeva tāvatiṃsabhavanaṃ gantvā sakkaṃ devānamindaṃ tamatthaṃ pucchi. Sakko dibbasampattiyā pamatto hutvā vikkhepaṃ akāsi. Thero tassa saṃvegajananatthaṃ vejayantapāsādaṃ pādaṅguṭṭhena kampesi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘โย เวชยนฺตปาสาทํ, ปาทงฺคุเฎฺฐน กมฺปยิ;

    ‘‘Yo vejayantapāsādaṃ, pādaṅguṭṭhena kampayi;

    อิทฺธิพเลนุปตฺถโทฺธ, สํเวเชสิ จ เทวตา’’ติฯ (ม. นิ. ๑.๕๑๓);

    Iddhibalenupatthaddho, saṃvejesi ca devatā’’ti. (ma. ni. 1.513);

    อยํ ปนโตฺถ – จูฬตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติสุเตฺตน (ม. นิ. ๑.๓๙๐ อาทโย) ทีเปตโพฺพฯ กมฺปิตากาโร เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ ‘‘สกฺกํ โส ปริปุจฺฉตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ยถาวุตฺตเมว เถรสฺส ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติปุจฺฉํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เตนาห – ‘‘อปาวุโส, ชานาสิ, ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโย’’ติ? ตสฺส สโกฺก วิยากาสิฯ อิทํ เถเรน ปาสาทกมฺปเน กเต สํวิคฺคหทเยน ปมาทํ ปหาย โยนิโส มนสิ กริตฺวา ปญฺหสฺส พฺยากตภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สตฺถารา เทสิตนิยาเมเนว หิ โส ตทา กเถสิฯ เตนาห – ‘‘ปญฺหํ ปุโฎฺฐ ยถาตถ’’นฺติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓)ฯ ตตฺถ สกฺกํ โส ปริปุจฺฉตีติ สกฺกํ เทวราชํ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร สตฺถารา เทสิตาย ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติยา สมฺมเทว คหิตภาวํ ปุจฺฉิฯ อตีตเตฺถ หิ อิทํ วตฺตมานวจนํฯ อปาวุโส, ชานาสีติ อาวุโส, อปิ ชานาสิ, กิํ ชานาสิ? ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโยติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติโย สตฺถารา ตุยฺหํ เทสิตา, ตถา ‘‘กิํ ชานาสี’’ติ ปุจฺฉติฯ ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโยติ วา ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติสุตฺตสฺส เทสนํ ปุจฺฉติฯ

    Ayaṃ panattho – cūḷataṇhāsaṅkhayavimuttisuttena (ma. ni. 1.390 ādayo) dīpetabbo. Kampitākāro heṭṭhā vuttoyeva. ‘‘Sakkaṃ so paripucchatī’’ti (ma. ni. 1.513) yathāvuttameva therassa taṇhāsaṅkhayavimuttipucchaṃ sandhāya vuttaṃ. Tenāha – ‘‘apāvuso, jānāsi, taṇhakkhayavimuttiyo’’ti? Tassa sakko viyākāsi. Idaṃ therena pāsādakampane kate saṃviggahadayena pamādaṃ pahāya yoniso manasi karitvā pañhassa byākatabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Satthārā desitaniyāmeneva hi so tadā kathesi. Tenāha – ‘‘pañhaṃ puṭṭho yathātatha’’nti (ma. ni. 1.513). Tattha sakkaṃ so paripucchatīti sakkaṃ devarājaṃ mahāmoggallānatthero satthārā desitāya taṇhāsaṅkhayavimuttiyā sammadeva gahitabhāvaṃ pucchi. Atītatthe hi idaṃ vattamānavacanaṃ. Apāvuso, jānāsīti āvuso, api jānāsi, kiṃ jānāsi? Taṇhakkhayavimuttiyoti (ma. ni. 1.513) taṇhāsaṅkhayavimuttiyo satthārā tuyhaṃ desitā, tathā ‘‘kiṃ jānāsī’’ti pucchati. Taṇhakkhayavimuttiyoti vā taṇhāsaṅkhayavimuttisuttassa desanaṃ pucchati.

    พฺรหฺมานนฺติ มหาพฺรหฺมานํฯ สุธมฺมายาภิโต สภนฺติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) สุธมฺมาย สภายฯ อยํ ปน พฺรหฺมโลเก สุธมฺมา สภา, น ตาวติํสภวเนฯ สุธมฺมาสภาวิรหิโต เทวโลโก นาม นตฺถิฯ ‘‘อชฺชาปิ เต, อาวุโส, สา ทิฎฺฐิ, ยา เต ทิฎฺฐิ ปุเร อหู’’ติ อิมํ พฺรหฺมโลกํ อุปคนฺตุํ สมโตฺถ นตฺถิ โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วาฯ สตฺถุ อิธาคมนโต ปุเพฺพ ยา ตุยฺหํ ทิฎฺฐิ อโหสิ, กิํ อชฺชาปิ อิทานิปิ สา ทิฎฺฐิ น วิคตาติ? ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรนฺติ พฺรหฺมโลเก วีติปตนฺตํ มหากปฺปินมหากสฺสปาทีหิ สาวเกหิ ปริวาริตสฺส เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นิสินฺนสฺส สสาวกสฺส ภควโต โอกาสํ ปสฺสสีติ อโตฺถฯ เอกสฺมิญฺหิ สมเย ภควา พฺรหฺมโลเก สุธมฺมาย สภาย สนฺนิปติตฺวา สนฺนิสินฺนสฺส ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํมหิทฺธิโก, โส อิธ อาคนฺตุํ สกฺกุเณยฺยา’’ติ จิเนฺตนฺตสฺส พฺรหฺมุโน จิตฺตมญฺญาย ตตฺถ คนฺตฺวา พฺรหฺมุโน มตฺถเก อากาเส นิสิโนฺน เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา โอภาสํ มุญฺจโนฺต มหาโมคฺคลฺลานาทีนํ อาคมนํ จิเนฺตสิฯ สห จินฺตเนน เตปิ ตตฺถ คนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา สตฺถุ อชฺฌาสยํ ญตฺวา เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา ปเจฺจกทิสาสุ นิสีทิตฺวา โอภาสํ วิสฺสเชฺชสุํฯ สกลพฺรหฺมโลโก เอโกภาโส อโหสิฯ สตฺถา พฺรหฺมุโน กลฺลจิตฺตตํ ญตฺวา จตุสจฺจปกาสนํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน อเนกานิ พฺรหฺมสหสฺสานิ มคฺคผเลสุ ปติฎฺฐหิํสุฯ ตํ สนฺธาย โจเทโนฺต อชฺชาปิ เต, อาวุโส, สา ทิฎฺฐีติ คาถมาหฯ อยํ ปนโตฺถ พกพฺรหฺมสุเตฺตน (สํ. นิ. ๑.๑๗๕) ทีเปตโพฺพฯ วุตฺตํ เหตํ (สํ. นิ. ๑.๑๗๖) –

    Brahmānanti mahābrahmānaṃ. Sudhammāyābhito sabhanti (ma. ni. 1.513) sudhammāya sabhāya. Ayaṃ pana brahmaloke sudhammā sabhā, na tāvatiṃsabhavane. Sudhammāsabhāvirahito devaloko nāma natthi. ‘‘Ajjāpi te, āvuso, sā diṭṭhi, yā te diṭṭhi pure ahū’’ti imaṃ brahmalokaṃ upagantuṃ samattho natthi koci samaṇo vā brāhmaṇo vā. Satthu idhāgamanato pubbe yā tuyhaṃ diṭṭhi ahosi, kiṃ ajjāpi idānipi sā diṭṭhi na vigatāti? Passasi vītivattantaṃbrahmaloke pabhassaranti brahmaloke vītipatantaṃ mahākappinamahākassapādīhi sāvakehi parivāritassa tejodhātuṃ samāpajjitvā nisinnassa sasāvakassa bhagavato okāsaṃ passasīti attho. Ekasmiñhi samaye bhagavā brahmaloke sudhammāya sabhāya sannipatitvā sannisinnassa ‘‘atthi nu kho koci samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃmahiddhiko, so idha āgantuṃ sakkuṇeyyā’’ti cintentassa brahmuno cittamaññāya tattha gantvā brahmuno matthake ākāse nisinno tejodhātuṃ samāpajjitvā obhāsaṃ muñcanto mahāmoggallānādīnaṃ āgamanaṃ cintesi. Saha cintanena tepi tattha gantvā satthāraṃ vanditvā satthu ajjhāsayaṃ ñatvā tejodhātuṃ samāpajjitvā paccekadisāsu nisīditvā obhāsaṃ vissajjesuṃ. Sakalabrahmaloko ekobhāso ahosi. Satthā brahmuno kallacittataṃ ñatvā catusaccapakāsanaṃ dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne anekāni brahmasahassāni maggaphalesu patiṭṭhahiṃsu. Taṃ sandhāya codento ajjāpi te, āvuso, sā diṭṭhīti gāthamāha. Ayaṃ panattho bakabrahmasuttena (saṃ. ni. 1.175) dīpetabbo. Vuttaṃ hetaṃ (saṃ. ni. 1.176) –

    ‘‘เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน อญฺญตรสฺส พฺรหฺมุโน เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ – ‘นตฺถิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา โย อิธ อาคเจฺฉยฺยา’ติฯ อถ โข ภควา ตสฺส พฺรหฺมุโน เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย , ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย; เอวเมว เชตวเน อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อถ โข ภควา ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสีทิ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวาฯ

    ‘‘Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena aññatarassa brahmuno evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti – ‘natthi samaṇo vā brāhmaṇo vā yo idha āgaccheyyā’ti. Atha kho bhagavā tassa brahmuno cetasā cetoparivitakkamaññāya seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya , pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya; evameva jetavane antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Atha kho bhagavā tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisīdi tejodhātuṃ samāpajjitvā.

    ‘‘อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ ‘กหํ นุ โข ภควา เอตรหิ วิหรตี’ติ? อทฺทส โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควนฺตํ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ เตโชธาตุํ สมาปนฺนํฯ ทิสฺวาน เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย; เอวเมว เชตวเน อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปุรตฺถิมํ ทิสํ นิสฺสาย ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสีทิ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นีจตรํ ภควโตฯ

    ‘‘Atha kho āyasmato mahāmoggallānassa etadahosi ‘kahaṃ nu kho bhagavā etarahi viharatī’ti? Addasa kho āyasmā mahāmoggallāno bhagavantaṃ dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisinnaṃ tejodhātuṃ samāpannaṃ. Disvāna seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya; evameva jetavane antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Atha kho āyasmā mahāmoggallāno puratthimaṃ disaṃ nissāya tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisīdi tejodhātuṃ samāpajjitvā nīcataraṃ bhagavato.

    ‘‘อถ โข อายสฺมโต มหากสฺสปสฺส เอตทโหสิ – ‘กหํ นุ โข ภควา เอตรหิ วิหรตี’ติ? อทฺทส โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภควนฺตํ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ เตโชธาตุํ สมาปนฺนํฯ ทิสฺวาน เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส…เป.… เอวเมว เชตวเน อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ทกฺขิณํ ทิสํ นิสฺสาย ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสีทิ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นีจตรํ ภควโตฯ

    ‘‘Atha kho āyasmato mahākassapassa etadahosi – ‘kahaṃ nu kho bhagavā etarahi viharatī’ti? Addasa kho āyasmā mahākassapo bhagavantaṃ dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisinnaṃ tejodhātuṃ samāpannaṃ. Disvāna seyyathāpi nāma balavā puriso…pe… evameva jetavane antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Atha kho āyasmā mahākassapo dakkhiṇaṃ disaṃ nissāya tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisīdi tejodhātuṃ samāpajjitvā nīcataraṃ bhagavato.

    ‘‘อถ โข อายสฺมโต มหากปฺปินสฺส เอตทโหสิ – ‘กหํ นุ โข ภควา เอตรหิ วิหรตี’ติ? อทฺทส โข อายสฺมา มหากปฺปิโน ภควนฺตํ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ เตโชธาตุํ สมาปนฺนํฯ ทิสฺวาน เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส…เป.… เอวเมว เชตวเน อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อถ โข อายสฺมา มหากปฺปิโน ปจฺฉิมํ ทิสํ นิสฺสาย ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสีทิ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นีจตรํ ภควโตฯ

    ‘‘Atha kho āyasmato mahākappinassa etadahosi – ‘kahaṃ nu kho bhagavā etarahi viharatī’ti? Addasa kho āyasmā mahākappino bhagavantaṃ dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisinnaṃ tejodhātuṃ samāpannaṃ. Disvāna seyyathāpi nāma balavā puriso…pe… evameva jetavane antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Atha kho āyasmā mahākappino pacchimaṃ disaṃ nissāya tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisīdi tejodhātuṃ samāpajjitvā nīcataraṃ bhagavato.

    ‘‘อถ โข อายสฺมโต อนุรุทฺธสฺส เอตทโหสิ – ‘กหํ นุ โข ภควา เอตรหิ วิหรตี’ติ? อทฺทส โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ ภควนฺตํ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ เตโชธาตุํ สมาปนฺนํฯ ทิสฺวาน เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส…เป.… เอวเมว เชตวเน อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อถ โข อายสฺมา อนุรุโทฺธ อุตฺตรํ ทิสํ นิสฺสาย ตสฺส พฺรหฺมุโน อุปริเวหาสํ ปลฺลเงฺกน นิสีทิ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา นีจตรํ ภควโต’’ฯ

    ‘‘Atha kho āyasmato anuruddhassa etadahosi – ‘kahaṃ nu kho bhagavā etarahi viharatī’ti? Addasa kho āyasmā anuruddho bhagavantaṃ dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisinnaṃ tejodhātuṃ samāpannaṃ. Disvāna seyyathāpi nāma balavā puriso…pe… evameva jetavane antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Atha kho āyasmā anuruddho uttaraṃ disaṃ nissāya tassa brahmuno uparivehāsaṃ pallaṅkena nisīdi tejodhātuṃ samāpajjitvā nīcataraṃ bhagavato’’.

    อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตํ พฺรหฺมานํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha kho āyasmā mahāmoggallāno taṃ brahmānaṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘อชฺชาปิ เต อาวุโส สา ทิฎฺฐิ, ยา เต ทิฎฺฐิ ปุเร อหุ;

    ‘‘Ajjāpi te āvuso sā diṭṭhi, yā te diṭṭhi pure ahu;

    ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสร’’นฺติฯ

    Passasi vītivattantaṃ, brahmaloke pabhassara’’nti.

    ‘‘น เม มาริส สา ทิฎฺฐิ, ยา เม ทิฎฺฐิ ปุเร อหุ;

    ‘‘Na me mārisa sā diṭṭhi, yā me diṭṭhi pure ahu;

    ปสฺสามิ วีติวตฺตนฺตํ, พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํ;

    Passāmi vītivattantaṃ, brahmaloke pabhassaraṃ;

    สฺวาหํ อชฺช กถํ วชฺชํ, อหํ นิโจฺจมฺหิ สสฺสโต’’ติฯ

    Svāhaṃ ajja kathaṃ vajjaṃ, ahaṃ niccomhi sassato’’ti.

    ‘‘อถ โข ภควา ตํ พฺรหฺมานํ สํเวเชตฺวา เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส…เป.… เอวเมว ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต เชตวเน ปาตุรโหสิฯ อถ โข โส พฺรหฺมา อญฺญตรํ พฺรหฺมปาริสชฺชํ อามเนฺตสิ – ‘เอหิ ตฺวํ, มาริส, เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกม, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เอวํ วเทหิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, อเญฺญปิ ตสฺส ภควโต สาวกา เอวํมหิทฺธิกา เอวํมหานุภาวา เสยฺยถาปิ ภวํ โมคฺคลฺลาโน กสฺสโป กปฺปิโน อนุรุโทฺธ’’ติ? ‘เอวํ, มาริสา’ติ โข โส พฺรหฺมปาริสโชฺช ตสฺส พฺรหฺมุโน ปฎิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เอตทโวจ – ‘อตฺถิ นุ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, อเญฺญปิ ตสฺส ภควโต สาวกา เอวํมหิทฺธิกา เอวํมหานุภาวา เสยฺยถาปิ ภวํ โมคฺคลฺลาโน กสฺสโป กปฺปิโน อนุรุโทฺธ’ติ ? อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตํ พฺรหฺมปาริสชฺชํ คาถาย อชฺฌภาสิ –

    ‘‘Atha kho bhagavā taṃ brahmānaṃ saṃvejetvā seyyathāpi nāma balavā puriso…pe… evameva tasmiṃ brahmaloke antarahito jetavane pāturahosi. Atha kho so brahmā aññataraṃ brahmapārisajjaṃ āmantesi – ‘ehi tvaṃ, mārisa, yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkama, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ evaṃ vadehi – ‘‘atthi nu kho, mārisa moggallāna, aññepi tassa bhagavato sāvakā evaṃmahiddhikā evaṃmahānubhāvā seyyathāpi bhavaṃ moggallāno kassapo kappino anuruddho’’ti? ‘Evaṃ, mārisā’ti kho so brahmapārisajjo tassa brahmuno paṭissutvā yenāyasmā mahāmoggallāno tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ etadavoca – ‘atthi nu kho, mārisa moggallāna, aññepi tassa bhagavato sāvakā evaṃmahiddhikā evaṃmahānubhāvā seyyathāpi bhavaṃ moggallāno kassapo kappino anuruddho’ti ? Atha kho āyasmā mahāmoggallāno taṃ brahmapārisajjaṃ gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘เตวิชฺชา อิทฺธิปตฺตา จ, เจโตปริยายโกวิทา;

    ‘‘Tevijjā iddhipattā ca, cetopariyāyakovidā;

    ขีณาสวา อรหโนฺต, พหู พุทฺธสฺส สาวกา’’ติฯ

    Khīṇāsavā arahanto, bahū buddhassa sāvakā’’ti.

    ‘‘อถ โข โส พฺรหฺมปาริสโชฺช อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา เยน โส พฺรหฺมา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ตํ พฺรหฺมานํ เอตทโวจ – ‘อายสฺมา มาริส มหาโมคฺคลฺลาโน เอวมาห –

    ‘‘Atha kho so brahmapārisajjo āyasmato mahāmoggallānassa bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā yena so brahmā tenupasaṅkami, upasaṅkamitvā taṃ brahmānaṃ etadavoca – ‘āyasmā mārisa mahāmoggallāno evamāha –

    ‘‘‘เตวิชฺชา อิทฺธิปตฺตา จ, เจโตปริยายโกวิทา;

    ‘‘‘Tevijjā iddhipattā ca, cetopariyāyakovidā;

    ขีณาสวา อรหโนฺต, พหู พุทฺธสฺส สาวกา’’’ติฯ –

    Khīṇāsavā arahanto, bahū buddhassa sāvakā’’’ti. –

    อิทมโวจ โส พฺรหฺมปาริสโชฺชฯ อตฺตมโน จ โส พฺรหฺมา ตสฺส พฺรหฺมปาริสชฺชสฺส ภาสิตํ อภินนฺทีติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๖)ฯ

    Idamavoca so brahmapārisajjo. Attamano ca so brahmā tassa brahmapārisajjassa bhāsitaṃ abhinandīti (saṃ. ni. 1.176).

    อิทํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อยํ ปนโตฺถ พกพฺรหฺมสุเตฺตน ทีเปตโพฺพ’’ติฯ

    Idaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘ayaṃ panattho bakabrahmasuttena dīpetabbo’’ti.

    มหาเนรุโน กูฎนฺติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) กูฎสีเสน สกลเมว สิเนรุปพฺพตราชํ วทสิฯ วิโมเกฺขน อปสฺสยีติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ฌานวิโมเกฺขน นิสฺสเยน อภิญฺญาเยน ปสฺสยีติ อธิปฺปาโยฯ วนนฺติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ชมฺพุทีปํฯ โส หิ วนพาหุลฺลตาย ‘‘วน’’นฺติ วุโตฺตฯ เตนาห ‘‘ชมฺพุมณฺฑสฺส อิสฺสโร’’ติฯ ปุพฺพวิเทหานนฺติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ปุพฺพวิเทหฎฺฐานญฺจ ปุพฺพวิเทหนฺติ อโตฺถฯ เย จ ภูมิสยา นราติ (ม. นิ. ๑.๕๑๓) ภูมิสยา นรา นาม อปรโคยานอุตฺตรกุรุกา จ มนุสฺสาฯ เต หิ เคหาภาวโต ‘‘ภูมิสยา’’ติ วุตฺตาฯ เตปิ สเพฺพ อปสฺสยีติ สมฺพโนฺธฯ อยํ ปนโตฺถ นโนฺทปนนฺททมเนน ทีเปตโพฺพ – เอกสฺมิํ กิร สมเย อนาถปิณฺฑิโก คหปติ ภควโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ‘‘เสฺว, ภเนฺต, ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ มยฺหํ เคเห ภิกฺขํ คณฺหถา’’ติ นิมเนฺตตฺวา ปกฺกามิฯ ตํทิวสญฺจ ภควโต ปจฺจูสสมเย ทสสหสฺสิโลกธาตุํ โอโลเกนฺตสฺส นโนฺทปนโนฺท นาม นาคราชา ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉิฯ ภควา ‘‘อยํ นาคราชา มยฺหํ ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉติ, กิํ นุ โข ภวิสฺสตี’’ติ อาวเชฺชโนฺต สรณคมนสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มิจฺฉาทิฎฺฐิโก ตีสุ รตเนสุ อปฺปสโนฺน, โก นุ โข อิมํ มิจฺฉาทิฎฺฐิโก วิโมเจยฺยา’’ติ อาวเชฺชโนฺต มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรํ อทฺทสฯ ตโต ปภาตาย รตฺติยา สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อานนฺท, ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ อาโรเจหิ – ‘ตถาคโต เทวจาริกํ คจฺฉตี’’’ติฯ ตํทิวสญฺจ นโนฺทปนนฺทสฺส อาปานภูมิํ สชฺชยิํสุฯ โส ทิพฺพรตนปลฺลเงฺก ทิเพฺพน เสตจฺฉเตฺตน ธาริยมาโน ติวิธนาฎเกหิ เจว นาคปริสาย จ ปริวุโต ทิพฺพภาชเนสุ อุปฎฺฐาปิตอนฺนปานํ โอโลกยมาโน นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข ภควา ยถา นาคราชา ปสฺสติ, ตถา กตฺวา ตสฺส วิมานมตฺถเกเนว ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ ตาวติํสเทวโลกาภิมุโข ปายาสิฯ

    Mahānerunokūṭanti (ma. ni. 1.513) kūṭasīsena sakalameva sinerupabbatarājaṃ vadasi. Vimokkhena apassayīti (ma. ni. 1.513) jhānavimokkhena nissayena abhiññāyena passayīti adhippāyo. Vananti (ma. ni. 1.513) jambudīpaṃ. So hi vanabāhullatāya ‘‘vana’’nti vutto. Tenāha ‘‘jambumaṇḍassa issaro’’ti. Pubbavidehānanti (ma. ni. 1.513) pubbavidehaṭṭhānañca pubbavidehanti attho. Ye ca bhūmisayā narāti (ma. ni. 1.513) bhūmisayā narā nāma aparagoyānauttarakurukā ca manussā. Te hi gehābhāvato ‘‘bhūmisayā’’ti vuttā. Tepi sabbe apassayīti sambandho. Ayaṃ panattho nandopanandadamanena dīpetabbo – ekasmiṃ kira samaye anāthapiṇḍiko gahapati bhagavato dhammadesanaṃ sutvā ‘‘sve, bhante, pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ mayhaṃ gehe bhikkhaṃ gaṇhathā’’ti nimantetvā pakkāmi. Taṃdivasañca bhagavato paccūsasamaye dasasahassilokadhātuṃ olokentassa nandopanando nāma nāgarājā ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchi. Bhagavā ‘‘ayaṃ nāgarājā mayhaṃ ñāṇamukhe āpāthaṃ āgacchati, kiṃ nu kho bhavissatī’’ti āvajjento saraṇagamanassa upanissayaṃ disvā ‘‘ayaṃ micchādiṭṭhiko tīsu ratanesu appasanno, ko nu kho imaṃ micchādiṭṭhiko vimoceyyā’’ti āvajjento mahāmoggallānattheraṃ addasa. Tato pabhātāya rattiyā sarīrapaṭijagganaṃ katvā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘ānanda, pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ ārocehi – ‘tathāgato devacārikaṃ gacchatī’’’ti. Taṃdivasañca nandopanandassa āpānabhūmiṃ sajjayiṃsu. So dibbaratanapallaṅke dibbena setacchattena dhāriyamāno tividhanāṭakehi ceva nāgaparisāya ca parivuto dibbabhājanesu upaṭṭhāpitaannapānaṃ olokayamāno nisinno hoti. Atha kho bhagavā yathā nāgarājā passati, tathā katvā tassa vimānamatthakeneva pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ tāvatiṃsadevalokābhimukho pāyāsi.

    เตน โข ปน สมเยน นโนฺทปนนฺทสฺส นาคราชสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ ‘‘อิเม หิ นาม มุณฺฑสมณกา อมฺหากํ อุปริภวเนน เทวานํ ตาวติํสานํ ภวนํ ปวิสนฺติปิ นิกฺขมนฺติปิ, น ทานิ อิโต ปฎฺฐาย อิเมสํ อมฺหากํ มตฺถเก ปาทปํสุํ โอกิรนฺตานํ คนฺตุํ ทสฺสามี’’ติ อุฎฺฐาย สิเนรุปาทํ คนฺตฺวา ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา สิเนรุํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริ ผณํ กตฺวา ตาวติํสภวนํ อวกุเชฺชน ผเณน ปริคฺคเหตฺวา อทสฺสนํ คเมสิฯ

    Tena kho pana samayena nandopanandassa nāgarājassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti ‘‘ime hi nāma muṇḍasamaṇakā amhākaṃ uparibhavanena devānaṃ tāvatiṃsānaṃ bhavanaṃ pavisantipi nikkhamantipi, na dāni ito paṭṭhāya imesaṃ amhākaṃ matthake pādapaṃsuṃ okirantānaṃ gantuṃ dassāmī’’ti uṭṭhāya sinerupādaṃ gantvā taṃ attabhāvaṃ vijahitvā sineruṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā upari phaṇaṃ katvā tāvatiṃsabhavanaṃ avakujjena phaṇena pariggahetvā adassanaṃ gamesi.

    อถ โข อายสฺมา รฎฺฐปาโล ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ปุเพฺพ, ภเนฺต, อิมสฺมิํ ปเทเส ฐิโต สิเนรุํ ปสฺสามิ, สิเนรุปริภณฺฑํ ปสฺสามิ, ตาวติํสํ ปสฺสามิ, เวชยนฺตํ ปสฺสามิ, เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส อุปริธชํ ปสฺสามิฯ โก นุ โข, ภเนฺต, เหตุ โก ปจฺจโย, ยํ เอตรหิ เนว สิเนรุํ ปสฺสามิ…เป.… น เวชยนฺตสฺส ปาสาทสฺส อุปริธชํ ปสฺสามี’’ติฯ ‘‘อยํ, รฎฺฐปาล, นโนฺทปนโนฺท นาม นาคราชา ตุมฺหากํ กุปิโต สิเนรุํ สตฺตกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา อุปริ ผเณน ปฎิจฺฉาเทตฺวา อนฺธการํ กตฺวา ฐิโต’’ติฯ ‘‘ทเมมิ นํ, ภเนฺต’’ติฯ น ภควา นํ อนุชานิฯ อถ โข อายสฺมา ภทฺทิโย, อายสฺมา ราหุโลติ อนุกฺกเมน สเพฺพปิ ภิกฺขู อุฎฺฐหิํสุฯ ภควา อนุชานิฯ

    Atha kho āyasmā raṭṭhapālo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘pubbe, bhante, imasmiṃ padese ṭhito sineruṃ passāmi, sineruparibhaṇḍaṃ passāmi, tāvatiṃsaṃ passāmi, vejayantaṃ passāmi, vejayantassa pāsādassa uparidhajaṃ passāmi. Ko nu kho, bhante, hetu ko paccayo, yaṃ etarahi neva sineruṃ passāmi…pe… na vejayantassa pāsādassa uparidhajaṃ passāmī’’ti. ‘‘Ayaṃ, raṭṭhapāla, nandopanando nāma nāgarājā tumhākaṃ kupito sineruṃ sattakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā upari phaṇena paṭicchādetvā andhakāraṃ katvā ṭhito’’ti. ‘‘Damemi naṃ, bhante’’ti. Na bhagavā naṃ anujāni. Atha kho āyasmā bhaddiyo, āyasmā rāhuloti anukkamena sabbepi bhikkhū uṭṭhahiṃsu. Bhagavā anujāni.

    อวสาเน มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร – ‘‘อหํ, ภเนฺต, ทเมมิ น’’นฺติ อาหฯ ‘‘ทเมหิ, โมคฺคลฺลานา’’ติ ภควา อนุชานิฯ เถโร อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา มหนฺตํ นาคราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา นโนฺทปนนฺทํ จุทฺทสกฺขตฺตุํ โภเคหิ ปริกฺขิปิตฺวา ตสฺส ผณมตฺถเก อตฺตโน ผณํ ฐเปตฺวา สิเนรุนา สทฺธิํ อภินิปฺปีเฬสิฯ นาคราชา ธูมายิฯ เถโรปิ ‘‘น ตุยฺหํเยว สรีเร ธูโม อตฺถิ, มยฺหมฺปิ อตฺถี’’ติ ธูมายิฯ นาคราชสฺส ธูโม เถรํ น พาธติ, เถรสฺส ปน ธูโม นาคราชํ พาธติฯ ตโต นาคราชา ปชฺชลิ, เถโรปิ ‘‘น ตุยฺหํเยว สรีเร อคฺคิ อตฺถิ, มยฺหมฺปิ อตฺถี’’ติ ปชฺชลิฯ นาคราชสฺส เตโช เถรํ น พาธติ, เถรสฺส ปน เตโช นาคราชานํ พาธติฯ นาคราชา – ‘‘อยํ มํ สิเนรุนา อภินิปฺปีเฬตฺวา ธูมายติ เจว ปชฺชลติ จา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘โภ, ตุวํ โกสี’’ติ ปฎิปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ โข, นนฺท, โมคฺคลฺลาโน’’ติฯ ‘‘ภเนฺต, อตฺตโน ภิกฺขุภาเวน ติฎฺฐาหี’’ติฯ

    Avasāne mahāmoggallānatthero – ‘‘ahaṃ, bhante, damemi na’’nti āha. ‘‘Damehi, moggallānā’’ti bhagavā anujāni. Thero attabhāvaṃ vijahitvā mahantaṃ nāgarājavaṇṇaṃ abhinimminitvā nandopanandaṃ cuddasakkhattuṃ bhogehi parikkhipitvā tassa phaṇamatthake attano phaṇaṃ ṭhapetvā sinerunā saddhiṃ abhinippīḷesi. Nāgarājā dhūmāyi. Theropi ‘‘na tuyhaṃyeva sarīre dhūmo atthi, mayhampi atthī’’ti dhūmāyi. Nāgarājassa dhūmo theraṃ na bādhati, therassa pana dhūmo nāgarājaṃ bādhati. Tato nāgarājā pajjali, theropi ‘‘na tuyhaṃyeva sarīre aggi atthi, mayhampi atthī’’ti pajjali. Nāgarājassa tejo theraṃ na bādhati, therassa pana tejo nāgarājānaṃ bādhati. Nāgarājā – ‘‘ayaṃ maṃ sinerunā abhinippīḷetvā dhūmāyati ceva pajjalati cā’’ti cintetvā ‘‘bho, tuvaṃ kosī’’ti paṭipucchi. ‘‘Ahaṃ kho, nanda, moggallāno’’ti. ‘‘Bhante, attano bhikkhubhāvena tiṭṭhāhī’’ti.

    เถโร ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา ตสฺส ทกฺขิณกณฺณโสเตน ปวิสิตฺวา วามกณฺณโสเตน นิกฺขมิ, วามกณฺณโสเตน ปวิสิตฺวา ทกฺขิณกณฺณโสเตน นิกฺขมิฯ ตถา ทกฺขิณนาสโสเตน ปวิสิตฺวา วามนาสโสเตน นิกฺขมิ, วามนาสโสเตน ปวิสิตฺวา ทกฺขิณนาสโสเตน นิกฺขมิฯ ตโต นาคราชา มุขํ วิวริ, เถโร มุเขน ปวิสิตฺวา อโนฺตกุจฺฉิยํ ปาจีเนน จ ปจฺฉิเมน จ จงฺกมติฯ ภควา – ‘‘โมคฺคลฺลาน, มนสิ กโรหิ, มหิทฺธิโก นาโค’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘มยฺหํ โข, ภเนฺต, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฎฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, ติฎฺฐตุ, ภเนฺต, นโนฺทปนโนฺท, อหํ นโนฺทปนนฺทสทิสานํ นาคราชานํ สตมฺปิ สหสฺสมฺปิ ทเมยฺย’’นฺติอาทิมาหฯ

    Thero taṃ attabhāvaṃ vijahitvā tassa dakkhiṇakaṇṇasotena pavisitvā vāmakaṇṇasotena nikkhami, vāmakaṇṇasotena pavisitvā dakkhiṇakaṇṇasotena nikkhami. Tathā dakkhiṇanāsasotena pavisitvā vāmanāsasotena nikkhami, vāmanāsasotena pavisitvā dakkhiṇanāsasotena nikkhami. Tato nāgarājā mukhaṃ vivari, thero mukhena pavisitvā antokucchiyaṃ pācīnena ca pacchimena ca caṅkamati. Bhagavā – ‘‘moggallāna, manasi karohi, mahiddhiko nāgo’’ti āha. Thero ‘‘mayhaṃ kho, bhante, cattāro iddhipādā bhāvitā bahulīkatā yānīkatā vatthukatā anuṭṭhitā paricitā susamāraddhā, tiṭṭhatu, bhante, nandopanando, ahaṃ nandopanandasadisānaṃ nāgarājānaṃ satampi sahassampi dameyya’’ntiādimāha.

    นาคราชา จิเนฺตสิ – ‘‘ปวิสโนฺต ตาว เม น ทิโฎฺฐ, นิกฺขมนกาเล ทานิ นํ ทาฐนฺตเร ปกฺขิปิตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘นิกฺขมถ, ภเนฺต, มา มํ อโนฺตกุจฺฉิยํ อปราปรํ จงฺกมโนฺต พาธยิตฺถา’’ติ อาหฯ เถโร นิกฺขมิตฺวา พหิ อฎฺฐาสิฯ นาคราชา ‘‘อยํ โส’’ติ ทิสฺวา นาสวาตํ วิสฺสชฺชิ, เถโร จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิ, โลมกูปมฺปิสฺส วาโต จาเลตุํ นาสกฺขิฯ อวเสสา ภิกฺขู กิร อาทิโต ปฎฺฐาย สพฺพปาฎิหาริยานิ กาตุํ สกฺกุเณยฺยุํ, อิมํ ปน ฐานํ ปตฺวา เอวํ ขิปฺปนิสนฺติโน หุตฺวา สมาปชฺชิตุํ น สกฺขิสฺสนฺตีติ เนสํ ภควา นาคราชทมนํ นานุชานิฯ

    Nāgarājā cintesi – ‘‘pavisanto tāva me na diṭṭho, nikkhamanakāle dāni naṃ dāṭhantare pakkhipitvā khādissāmī’’ti cintetvā ‘‘nikkhamatha, bhante, mā maṃ antokucchiyaṃ aparāparaṃ caṅkamanto bādhayitthā’’ti āha. Thero nikkhamitvā bahi aṭṭhāsi. Nāgarājā ‘‘ayaṃ so’’ti disvā nāsavātaṃ vissajji, thero catutthajjhānaṃ samāpajji, lomakūpampissa vāto cāletuṃ nāsakkhi. Avasesā bhikkhū kira ādito paṭṭhāya sabbapāṭihāriyāni kātuṃ sakkuṇeyyuṃ, imaṃ pana ṭhānaṃ patvā evaṃ khippanisantino hutvā samāpajjituṃ na sakkhissantīti nesaṃ bhagavā nāgarājadamanaṃ nānujāni.

    นาคราชา ‘‘อหํ อิมสฺส สมณสฺส นาสวาเตน โลมกูปมฺปิ จาเลตุํ นาสกฺขิ, มหิทฺธิโก โส สมโณ’’ติ จิเนฺตสิฯ เถโร อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา สุปณฺณรูปํ อภินิมฺมินิตฺวา สุปณฺณวาตํ ทเสฺสโนฺต นาคราชานํ อนุพนฺธิฯ นาคราชา ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา มาณวกวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ วทโนฺต เถรสฺส ปาเท วนฺทิฯ เถโร ‘‘สตฺถา, นนฺท, อาคโต, เอหิ คมิสฺสามา’’ติ นาคราชานํ ทเมตฺวา นิพฺพิสํ กตฺวา คเหตฺวา ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ นาคราชา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ สรณํ คจฺฉามี’’ติ อาหฯ ภควา ‘‘สุขี โหหิ, นาคราชา’’ติ วตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อนาถปิณฺฑิกสฺส นิเวสนํ อคมาสิฯ

    Nāgarājā ‘‘ahaṃ imassa samaṇassa nāsavātena lomakūpampi cāletuṃ nāsakkhi, mahiddhiko so samaṇo’’ti cintesi. Thero attabhāvaṃ vijahitvā supaṇṇarūpaṃ abhinimminitvā supaṇṇavātaṃ dassento nāgarājānaṃ anubandhi. Nāgarājā taṃ attabhāvaṃ vijahitvā māṇavakavaṇṇaṃ abhinimminitvā ‘‘bhante, tumhākaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti vadanto therassa pāde vandi. Thero ‘‘satthā, nanda, āgato, ehi gamissāmā’’ti nāgarājānaṃ dametvā nibbisaṃ katvā gahetvā bhagavato santikaṃ agamāsi. Nāgarājā bhagavantaṃ vanditvā ‘‘bhante, tumhākaṃ saraṇaṃ gacchāmī’’ti āha. Bhagavā ‘‘sukhī hohi, nāgarājā’’ti vatvā bhikkhusaṅghaparivuto anāthapiṇḍikassa nivesanaṃ agamāsi.

    อนาถปิณฺฑิโก ‘‘กิํ, ภเนฺต, อติทิวา อาคตตฺถา’’ติ อาหฯ ‘‘โมคฺคลฺลานสฺส จ นโนฺทปนนฺทสฺส จ สงฺคาโม อโหสี’’ติฯ ‘‘กสฺส ปน, ภเนฺต, ชโย, กสฺส ปราชโย’’ติ? ‘‘โมคฺคลฺลานสฺส ชโย, นนฺทสฺส ปราชโย’’ติฯ อนาถปิณฺฑิโก ‘‘อธิวาเสตุ เม, ภเนฺต, ภควา สตฺตาหํ เอกปฎิปาฎิยา ภตฺตํ สตฺตาหํ เถรสฺส สกฺการํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา สตฺตาหํ พุทฺธปฺปมุขานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ มหาสกฺการํ อกาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘นโนฺทปนนฺททมเนน ทีเปตโพฺพ’’ติฯ

    Anāthapiṇḍiko ‘‘kiṃ, bhante, atidivā āgatatthā’’ti āha. ‘‘Moggallānassa ca nandopanandassa ca saṅgāmo ahosī’’ti. ‘‘Kassa pana, bhante, jayo, kassa parājayo’’ti? ‘‘Moggallānassa jayo, nandassa parājayo’’ti. Anāthapiṇḍiko ‘‘adhivāsetu me, bhante, bhagavā sattāhaṃ ekapaṭipāṭiyā bhattaṃ sattāhaṃ therassa sakkāraṃ karissāmī’’ti vatvā sattāhaṃ buddhappamukhānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ mahāsakkāraṃ akāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘nandopanandadamanena dīpetabbo’’ti.

    เอกสฺมิญฺหิ สมเย ปุพฺพาราเม วิสาขาย มหาอุปาสิกาย การิตสหสฺสคพฺภปฎิมณฺฑิเต ปาสาเท ภควติ วิหรเนฺต…เป.… สํเวเชสิ จ เทวตาติฯ เตน วุตฺตํ –

    Ekasmiñhi samaye pubbārāme visākhāya mahāupāsikāya kāritasahassagabbhapaṭimaṇḍite pāsāde bhagavati viharante…pe… saṃvejesi ca devatāti. Tena vuttaṃ –

    ‘‘ธรณิมฺปิ สุคมฺภีรํ, พหลํ ทุปฺปธํสิยํ;

    ‘‘Dharaṇimpi sugambhīraṃ, bahalaṃ duppadhaṃsiyaṃ;

    วามงฺคุเฎฺฐน โขเภยฺยํ, อิทฺธิยา ปารมิํ คโต’’ติฯ

    Vāmaṅguṭṭhena khobheyyaṃ, iddhiyā pāramiṃ gato’’ti.

    ตตฺถ อิทฺธิยา ปารมิํ คโตติ วิกุพฺพนิทฺธิอาทิอิทฺธิยา ปริโยสานํ คโต ปโตฺตฯ

    Tattha iddhiyā pāramiṃ gatoti vikubbaniddhiādiiddhiyā pariyosānaṃ gato patto.

    ๓๙๕. อสฺมิมานนฺติ อหมสฺมิ ปญฺญาสีลสมาธิสมฺปโนฺนติอาทิ อสฺมิมานํ น ปสฺสามิ น อกฺขามีติ อโตฺถฯ ตเทว ทีเปโนฺต มาโน มยฺหํ น วิชฺชตีติ อาหฯ สามเณเร อุปาทายาติ สามเณเร อาทิํ กตฺวา สกเล ภิกฺขุสเงฺฆ ครุจิตฺตํ คารวจิตฺตํ อาทรพหุมานํ อหํ กโรมีติ อโตฺถฯ

    395.Asmimānanti ahamasmi paññāsīlasamādhisampannotiādi asmimānaṃ na passāmi na akkhāmīti attho. Tadeva dīpento māno mayhaṃ na vijjatīti āha. Sāmaṇere upādāyāti sāmaṇere ādiṃ katvā sakale bhikkhusaṅghe garucittaṃ gāravacittaṃ ādarabahumānaṃ ahaṃ karomīti attho.

    ๓๙๖. อปริเมเยฺย อิโต กเปฺปติ อิโต อมฺหากํ อุปฺปนฺนกปฺปโต อนฺตรกปฺปาทีหิ อปริเมเยฺย เอกอสเงฺขฺยยฺยสฺส อุปริ สตสหสฺสกปฺปมตฺถเกติ อโตฺถฯ ยํ กมฺมมภินีหรินฺติ อคฺคสาวกภาวสฺส ปทํ ปุญฺญสมฺปตฺติํ ปูเรสิํฯ ตาหํ ภูมิมนุปฺปโตฺตติ อหํ ตํ สาวกภูมิํ อนุปฺปโตฺต อาสวกฺขยสงฺขาตํ นิพฺพานํ ปโตฺต อสฺมิ อมฺหีติ อโตฺถฯ

    396.Aparimeyye ito kappeti ito amhākaṃ uppannakappato antarakappādīhi aparimeyye ekaasaṅkhyeyyassa upari satasahassakappamatthaketi attho. Yaṃ kammamabhinīharinti aggasāvakabhāvassa padaṃ puññasampattiṃ pūresiṃ. Tāhaṃ bhūmimanuppattoti ahaṃ taṃ sāvakabhūmiṃ anuppatto āsavakkhayasaṅkhātaṃ nibbānaṃ patto asmi amhīti attho.

    ๓๙๗. อตฺถปฎิสมฺภิทาทโย จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา โสตาปตฺติมคฺคาทโย อฎฺฐ วิโมกฺขา อิทฺธิวิธาทโย ฉ อภิญฺญาโย เม มยา สจฺฉิกตา ปจฺจกฺขํ กตาฯ พุทฺธสฺส ภควโต โอวาทานุสาสนีสงฺขาตํ สาสนํ มยา กตํ สีลปฎิปตฺตินิปฺผาทนวเสน ปริโยสาปิตนฺติ อโตฺถฯ

    397. Atthapaṭisambhidādayo catasso paṭisambhidā sotāpattimaggādayo aṭṭha vimokkhā iddhividhādayo cha abhiññāyo me mayā sacchikatā paccakkhaṃ katā. Buddhassa bhagavato ovādānusāsanīsaṅkhātaṃ sāsanaṃ mayā kataṃ sīlapaṭipattinipphādanavasena pariyosāpitanti attho.

    อิตฺถนฺติ อิมินา ปกาเรน เหฎฺฐา วุตฺตกฺกเมนฯ เอวํ โส เอกเสฺสว อโนมทสฺสีพุทฺธสฺส สนฺติเก ทฺวิกฺขตฺตุํ พฺยากรณํ ลภิฯ กถํ? เหฎฺฐา วุตฺตนเยน เสฎฺฐิ หุตฺวา ตสฺส ภควโต สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ ตโต จุโต สามุทฺทิเก นาคภวเน นิพฺพโตฺต ตเสฺสว ภควโต สนฺติเก ทีฆายุกภาเวน อุปหารํ กตฺวา นิมเนฺตตฺวา โภเชตฺวา มหาปูชํ อกาสิฯ ตทาปิ ภควา พฺยากรณํ กเถสิฯ สุทนฺติ ปทปูรเณ นิปาโตฯ อายสฺมาติ ปิยวจนํ ครุคารวาธิวจนํฯ มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร อิมา อปทานคาถาโย อภาสิตฺถ กเถสิฯ อิตีติ ปริสมาปนเตฺถ นิปาโตฯ

    Itthanti iminā pakārena heṭṭhā vuttakkamena. Evaṃ so ekasseva anomadassībuddhassa santike dvikkhattuṃ byākaraṇaṃ labhi. Kathaṃ? Heṭṭhā vuttanayena seṭṭhi hutvā tassa bhagavato santike laddhabyākaraṇo tato cuto sāmuddike nāgabhavane nibbatto tasseva bhagavato santike dīghāyukabhāvena upahāraṃ katvā nimantetvā bhojetvā mahāpūjaṃ akāsi. Tadāpi bhagavā byākaraṇaṃ kathesi. Sudanti padapūraṇe nipāto. Āyasmāti piyavacanaṃ garugāravādhivacanaṃ. Mahāmoggallānatthero imā apadānagāthāyo abhāsittha kathesi. Itīti parisamāpanatthe nipāto.

    มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรอปทานวณฺณนา สมตฺตาฯ

    Mahāmoggallānattheraapadānavaṇṇanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อปทานปาฬิ • Apadānapāḷi / ๓-๒. มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรอปทานํ • 3-2. Mahāmoggallānattheraapadānaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact