Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๙๑] ๘. มหาโมรชาตกวณฺณนา

    [491] 8. Mahāmorajātakavaṇṇanā

    สเจ หิ ตฺยาหํ ธนเหตุ คาหิโตติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ ภิกฺขุํ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ อยํ นนฺทีราโค ตาทิสํ กิํ นาม นาโลเลสฺสติ, น หิ สิเนรุอุพฺพาหนกวาโต สามเนฺต ปุราณปณฺณสฺส ลชฺชติ, ปุเพฺพ สตฺต วสฺสสตานิ อโนฺตกิเลสสมุทาจารํ วาเรตฺวา วิหรเนฺต วิสุทฺธสเตฺตเปส อาโลเลสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Sacehi tyāhaṃ dhanahetu gāhitoti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi bhikkhuṃ satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu ayaṃ nandīrāgo tādisaṃ kiṃ nāma nālolessati, na hi sineruubbāhanakavāto sāmante purāṇapaṇṇassa lajjati, pubbe satta vassasatāni antokilesasamudācāraṃ vāretvā viharante visuddhasattepesa ālolesiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ปจฺจนฺตปเทเส โมรสกุณิยา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ คเพฺภ ปริปากคเต มาตา โคจรภูมิยํ อณฺฑํ ปาเตตฺวา ปกฺกามิฯ อณฺฑญฺจ นาม มาตุ อโรคภาเว สติ อญฺญสฺมิํ ทีฆชาติกาทิปริปเนฺถ จ อวิชฺชมาเน น นสฺสติฯ ตสฺมา ตํ อณฺฑํ กณิการมกุลํ วิย สุวณฺณวณฺณํ หุตฺวา ปริณตกาเล อตฺตโน ธมฺมตาย ภิชฺชิ, สุวณฺณวโณฺณ โมรจฺฉาโป นิกฺขมิฯ ตสฺส เทฺว อกฺขีนิ ชิญฺชุกาผลสทิสานิ, ตุณฺฑํ ปวาฬวณฺณํ, ติโสฺส รตฺตราชิโย คีวํ ปริกฺขิปิตฺวา ปิฎฺฐิมเชฺฌน อคมํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ภณฺฑสกฎมตฺตสรีโร อภิรูโป อโหสิฯ ตํ สเพฺพ นีลโมรา สนฺนิปติตฺวา ราชานํ กตฺวา ปริวารยิํสุฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto paccantapadese morasakuṇiyā kucchimhi paṭisandhiṃ aggahesi. Gabbhe paripākagate mātā gocarabhūmiyaṃ aṇḍaṃ pātetvā pakkāmi. Aṇḍañca nāma mātu arogabhāve sati aññasmiṃ dīghajātikādiparipanthe ca avijjamāne na nassati. Tasmā taṃ aṇḍaṃ kaṇikāramakulaṃ viya suvaṇṇavaṇṇaṃ hutvā pariṇatakāle attano dhammatāya bhijji, suvaṇṇavaṇṇo moracchāpo nikkhami. Tassa dve akkhīni jiñjukāphalasadisāni, tuṇḍaṃ pavāḷavaṇṇaṃ, tisso rattarājiyo gīvaṃ parikkhipitvā piṭṭhimajjhena agamaṃsu. So vayappatto bhaṇḍasakaṭamattasarīro abhirūpo ahosi. Taṃ sabbe nīlamorā sannipatitvā rājānaṃ katvā parivārayiṃsu.

    โส เอกทิวสํ อุทกโสณฺฑิยํ ปานียํ ปิวโนฺต อตฺตโน รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อหํ สพฺพโมเรหิ อติเรกรูปโสโภ, สจาหํ อิเมหิ สทฺธิํ มนุสฺสปเถ วสิสฺสามิ, ปริปโนฺถ เม อุปฺปชฺชิสฺสติ, หิมวนฺตํ คนฺตฺวา เอกโกว ผาสุกฎฺฐาเน วสิสฺสามี’’ติฯ โส รตฺติภาเค โมเรสุ ปฎิสลฺลีเนสุ กญฺจิ อชานาเปตฺวา อุปฺปติตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ติโสฺส ปพฺพตราชิโย อติกฺกมฺม จตุตฺถาย ปพฺพตราชิยา เอกสฺมิํ อรเญฺญ ปทุมสญฺฉโนฺน ชาตสฺสโร อตฺถิ, ตสฺส อวิทูเร เอกํ ปพฺพตํ นิสฺสาย ฐิโต มหานิโคฺรธรุโกฺข อตฺถิ, ตสฺส สาขาย นิลียิฯ ตสฺส ปน ปพฺพตสฺส เวมเชฺฌ มนาปา คุหา อตฺถิฯ โส ตตฺถ วสิตุกาโม หุตฺวา ตสฺสา ปมุเข ปพฺพตตเล นิลียิฯ ตํ ปน ฐานํ เนว เหฎฺฐาภาเคน อภิรุหิตุํ, น อุปริภาเคน โอตริตุํ สกฺกา, พิฬาลทีฆชาติกมนุสฺสภเยหิ วิมุตฺตํฯ โส ‘‘อิทํ เม ผาสุกฎฺฐาน’’นฺติ ตํ ทิวสํ ตเตฺถว วสิตฺวา ปุนทิวเส ปพฺพตคุหาโต อุฎฺฐาย ปพฺพตมตฺถเก ปุรตฺถาภิมุโข นิสิโนฺน อุเทนฺตํ สูริยมณฺฑลํ ทิสฺวา อตฺตโน ทิวารกฺขาวรณตฺถาย ‘‘อุเทตยํ จกฺขุมา เอกราชา’’ติ ปริตฺตํ กตฺวา โคจรภูมิยํ โอตริตฺวา โคจรํ คเหตฺวา สายํ อาคนฺตฺวา ปพฺพตมตฺถเก ปจฺฉาภิมุโข นิสิโนฺน อตฺถงฺคตํ สูริยมณฺฑลํ ทิสฺวา อตฺตโน รตฺติรกฺขาวรณตฺถาย ‘‘อเปตยํ จกฺขุมา เอกราชา’’ติ ปริตฺตํ กตฺวา เอเตนุปาเยน วสติฯ

    So ekadivasaṃ udakasoṇḍiyaṃ pānīyaṃ pivanto attano rūpasampattiṃ disvā cintesi ‘‘ahaṃ sabbamorehi atirekarūpasobho, sacāhaṃ imehi saddhiṃ manussapathe vasissāmi, paripantho me uppajjissati, himavantaṃ gantvā ekakova phāsukaṭṭhāne vasissāmī’’ti. So rattibhāge moresu paṭisallīnesu kañci ajānāpetvā uppatitvā himavantaṃ pavisitvā tisso pabbatarājiyo atikkamma catutthāya pabbatarājiyā ekasmiṃ araññe padumasañchanno jātassaro atthi, tassa avidūre ekaṃ pabbataṃ nissāya ṭhito mahānigrodharukkho atthi, tassa sākhāya nilīyi. Tassa pana pabbatassa vemajjhe manāpā guhā atthi. So tattha vasitukāmo hutvā tassā pamukhe pabbatatale nilīyi. Taṃ pana ṭhānaṃ neva heṭṭhābhāgena abhiruhituṃ, na uparibhāgena otarituṃ sakkā, biḷāladīghajātikamanussabhayehi vimuttaṃ. So ‘‘idaṃ me phāsukaṭṭhāna’’nti taṃ divasaṃ tattheva vasitvā punadivase pabbataguhāto uṭṭhāya pabbatamatthake puratthābhimukho nisinno udentaṃ sūriyamaṇḍalaṃ disvā attano divārakkhāvaraṇatthāya ‘‘udetayaṃ cakkhumā ekarājā’’ti parittaṃ katvā gocarabhūmiyaṃ otaritvā gocaraṃ gahetvā sāyaṃ āgantvā pabbatamatthake pacchābhimukho nisinno atthaṅgataṃ sūriyamaṇḍalaṃ disvā attano rattirakkhāvaraṇatthāya ‘‘apetayaṃ cakkhumā ekarājā’’ti parittaṃ katvā etenupāyena vasati.

    อถ นํ เอกทิวสํ เอโก ลุทฺทปุโตฺต อรเญฺญ วิจรโนฺต ปพฺพตมตฺถเก นิสินฺนํ โมรํ ทิสฺวา อตฺตโน นิเวสนํ อาคนฺตฺวา มรณาสนฺนกาเล ปุตฺตํ อาห – ‘‘ตาต, จตุตฺถาย ปพฺพตราชิยา อรเญฺญ สุวณฺณวโณฺณ โมโร อตฺถิ, สเจ ราชา ปุจฺฉติ, อาจิเกฺขยฺยาสี’’ติฯ อเถกสฺมิํ ทิวเส พาราณสิรโญฺญ เขมา นาม อคฺคมเหสี ปจฺจูสกาเล สุปินํ ปสฺสิฯ เอวรูโป สุปิโน อโหสิ – ‘‘สุวณฺณวโณฺณ โมโร ธมฺมํ เทเสติ, สา สาธุการํ ทตฺวา ธมฺมํ สุณาติ, โมโร ธมฺมํ เทเสตฺวา อุฎฺฐาย ปกฺกามิ’’ฯ สา ‘‘โมรราชา คจฺฉติ, คณฺหถ น’’นฺติ วทนฺตีเยว ปพุชฺฌิ, ปพุชฺฌิตฺวา จ ปน สุปินภาวํ ญตฺวา ‘‘สุปิโนติ วุเตฺต ราชา น อาทรํ กริสฺสติ, ‘โทหโฬ เม’ติ วุเตฺต กริสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา โทหฬินี วิย หุตฺวา นิปชฺชิฯ อถ นํ ราชา อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘ภเทฺท, กิํ เต อผาสุก’’นฺติฯ ‘‘โทหโฬ เม อุปฺปโนฺน’’ติฯ ‘‘กิํ อิจฺฉสิ ภเทฺท’’ติ? ‘‘สุวณฺณวณฺณสฺส โมรสฺส ธมฺมํ โสตุํ เทวา’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, กุโต เอวรูปํ โมรํ ลจฺฉามี’’ติ? ‘‘เทว, สเจ น ลภามิ, ชีวิตํ เม นตฺถี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, มา จินฺตยิ, สเจ กตฺถจิ อตฺถิ, ลภิสฺสสี’’ติ ราชา นํ อสฺสาเสตฺวา คนฺตฺวา ราชาสเน นิสิโนฺน อมเจฺจ ปุจฺฉิ ‘‘อโมฺภ, เทวี สุวณฺณวณฺณสฺส โมรสฺส ธมฺมํ โสตุกามา, โมรา นาม สุวณฺณวณฺณา โหนฺตี’’ติ? ‘‘พฺราหฺมณา ชานิสฺสนฺติ เทวา’’ติฯ

    Atha naṃ ekadivasaṃ eko luddaputto araññe vicaranto pabbatamatthake nisinnaṃ moraṃ disvā attano nivesanaṃ āgantvā maraṇāsannakāle puttaṃ āha – ‘‘tāta, catutthāya pabbatarājiyā araññe suvaṇṇavaṇṇo moro atthi, sace rājā pucchati, ācikkheyyāsī’’ti. Athekasmiṃ divase bārāṇasirañño khemā nāma aggamahesī paccūsakāle supinaṃ passi. Evarūpo supino ahosi – ‘‘suvaṇṇavaṇṇo moro dhammaṃ deseti, sā sādhukāraṃ datvā dhammaṃ suṇāti, moro dhammaṃ desetvā uṭṭhāya pakkāmi’’. Sā ‘‘morarājā gacchati, gaṇhatha na’’nti vadantīyeva pabujjhi, pabujjhitvā ca pana supinabhāvaṃ ñatvā ‘‘supinoti vutte rājā na ādaraṃ karissati, ‘dohaḷo me’ti vutte karissatī’’ti cintetvā dohaḷinī viya hutvā nipajji. Atha naṃ rājā upasaṅkamitvā pucchi ‘‘bhadde, kiṃ te aphāsuka’’nti. ‘‘Dohaḷo me uppanno’’ti. ‘‘Kiṃ icchasi bhadde’’ti? ‘‘Suvaṇṇavaṇṇassa morassa dhammaṃ sotuṃ devā’’ti. ‘‘Bhadde, kuto evarūpaṃ moraṃ lacchāmī’’ti? ‘‘Deva, sace na labhāmi, jīvitaṃ me natthī’’ti. ‘‘Bhadde, mā cintayi, sace katthaci atthi, labhissasī’’ti rājā naṃ assāsetvā gantvā rājāsane nisinno amacce pucchi ‘‘ambho, devī suvaṇṇavaṇṇassa morassa dhammaṃ sotukāmā, morā nāma suvaṇṇavaṇṇā hontī’’ti? ‘‘Brāhmaṇā jānissanti devā’’ti.

    ราชา พฺราหฺมเณ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิฯ พฺราหฺมณา เอวมาหํสุ ‘‘มหาราช ชลเชสุ มจฺฉกจฺฉปกกฺกฎกา, ถลเชสุ มิคา หํสา โมรา ติตฺติรา เอเต ติรจฺฉานคตา จ มนุสฺสา จ สุวณฺณวณฺณา โหนฺตีติ อมฺหากํ ลกฺขณมเนฺตสุ อาคต’’นฺติฯ ราชา อตฺตโน วิชิเต ลุทฺทปุเตฺต สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘สุวณฺณวโณฺณ โมโร โว ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ ปุจฺฉิฯ เสสา ‘‘น ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ อาหํสุฯ ยสฺส ปน ปิตรา อาจิกฺขิตํ, โส อาห – ‘‘มยาปิ น ทิฎฺฐปุโพฺพ, ปิตา ปน เม ‘อสุกฎฺฐาเน นาม สุวณฺณวโณฺณ โมโร อตฺถี’ติ กเถสี’’ติฯ อถ นํ ราชา ‘‘สมฺม, มยฺหญฺจ เทวิยา จ ชีวิตํ ทินฺนํ ภวิสฺสติ, คนฺตฺวา ตํ พนฺธิตฺวา อาเนหี’’ติ พหุํ ธนํ ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส ปุตฺตทารสฺส ธนํ ทตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา มหาสตฺตํ ทิสฺวา ปาเส โอเฑฺฑตฺวา ‘‘อชฺช พชฺฌิสฺสติ, อชฺช พชฺฌิสฺสตี’’ติ อพชฺฌิตฺวาว มโต, เทวีปิ ปตฺถนํ อลภนฺตี มตาฯ ราชา ‘‘ตํ โมรํ นิสฺสาย ปิยภริยา เม มตา’’ติ กุชฺฌิตฺวา โกธวสิโก หุตฺวา ‘‘หิมวเนฺต จตุตฺถาย ปพฺพตราชิยา สุวณฺณวโณฺณ โมโร จรติ, ตสฺส มํสํ ขาทิตฺวา อชรา อมรา โหนฺตี’’ติ สุวณฺณปเฎฺฎ ลิขาเปตฺวา ตํ ปฎฺฎํ สารมญฺชูสายํ ฐเปตฺวา กาลมกาสิฯ

    Rājā brāhmaṇe pakkosāpetvā pucchi. Brāhmaṇā evamāhaṃsu ‘‘mahārāja jalajesu macchakacchapakakkaṭakā, thalajesu migā haṃsā morā tittirā ete tiracchānagatā ca manussā ca suvaṇṇavaṇṇā hontīti amhākaṃ lakkhaṇamantesu āgata’’nti. Rājā attano vijite luddaputte sannipātetvā ‘‘suvaṇṇavaṇṇo moro vo diṭṭhapubbo’’ti pucchi. Sesā ‘‘na diṭṭhapubbo’’ti āhaṃsu. Yassa pana pitarā ācikkhitaṃ, so āha – ‘‘mayāpi na diṭṭhapubbo, pitā pana me ‘asukaṭṭhāne nāma suvaṇṇavaṇṇo moro atthī’ti kathesī’’ti. Atha naṃ rājā ‘‘samma, mayhañca deviyā ca jīvitaṃ dinnaṃ bhavissati, gantvā taṃ bandhitvā ānehī’’ti bahuṃ dhanaṃ datvā uyyojesi. So puttadārassa dhanaṃ datvā tattha gantvā mahāsattaṃ disvā pāse oḍḍetvā ‘‘ajja bajjhissati, ajja bajjhissatī’’ti abajjhitvāva mato, devīpi patthanaṃ alabhantī matā. Rājā ‘‘taṃ moraṃ nissāya piyabhariyā me matā’’ti kujjhitvā kodhavasiko hutvā ‘‘himavante catutthāya pabbatarājiyā suvaṇṇavaṇṇo moro carati, tassa maṃsaṃ khāditvā ajarā amarā hontī’’ti suvaṇṇapaṭṭe likhāpetvā taṃ paṭṭaṃ sāramañjūsāyaṃ ṭhapetvā kālamakāsi.

    อถ อโญฺญ ราชา อโหสิฯ โส สุวณฺณปเฎฺฎ อกฺขรานิ ทิสฺวา ‘‘อชโร อมโร ภวิสฺสามี’’ติ ตสฺส คหณตฺถาย เอกํ ลุทฺทปุตฺตํ เปเสสิฯ โสปิ ตเตฺถว มโตฯ เอวํ ฉ ราชปริวฎฺฎา คตา, ฉ ลุทฺทปุตฺตา หิมวเนฺตเยว มตาฯ สตฺตเมน ปน รญฺญา เปสิโต สตฺตโม ลุโทฺท ‘‘อชฺช อเชฺชวา’’ติ สตฺต สํวจฺฉรานิ พชฺฌิตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘กิํ นุ โข อิมสฺส โมรราชสฺส ปาเท ปาสสฺส อสญฺจรณการณ’’นฺติ? อถ นํ ปริคฺคณฺหโนฺต สายํปาตํ ปริตฺตํ กโรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน อโญฺญ โมโร นตฺถิ, อิมินา พฺรหฺมจารินา ภวิตพฺพํ, พฺรหฺมจริยานุภาเวน เจว ปริตฺตานุภาเวน จสฺส ปาโท ปาเส น พชฺฌตี’’ติ นยโต ปริคฺคเหตฺวา ปจฺจนฺตชนปทํ คนฺตฺวา เอกํ โมริํ พนฺธิตฺวา ยถา สา อจฺฉราย ปหฎาย วสฺสติ, ปาณิมฺหิ ปหเฎ นจฺจติ, เอวํ สิกฺขาเปตฺวา อาทาย คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส ปริตฺตกรณโต ปุเรตรเมว ปาสํ โอเฑฺฑตฺวา อจฺฉรํ ปหริตฺวา โมริํ วสฺสาเปสิฯ โมโร ตสฺสา สทฺทํ สุณิ, ตาวเทวสฺส สตฺต วสฺสสตานิ สนฺนิสินฺนกิเลโส ผณํ กริตฺวา ทเณฺฑน ปหฎาสีวิโส วิย อุฎฺฐหิฯ โส กิเลสาตุโร หุตฺวา ปริตฺตํ กาตุํ อสกฺกุณิตฺวาว เวเคน ตสฺสา สนฺติกํ คนฺตฺวา ปาเส ปาทํ ปเวเสโนฺตเยว อากาสา โอตริฯ สตฺต วสฺสสตานิ อสญฺจรณกปาโส ตงฺขณเญฺญว สญฺจริตฺวา ปาทํ พนฺธิฯ

    Atha añño rājā ahosi. So suvaṇṇapaṭṭe akkharāni disvā ‘‘ajaro amaro bhavissāmī’’ti tassa gahaṇatthāya ekaṃ luddaputtaṃ pesesi. Sopi tattheva mato. Evaṃ cha rājaparivaṭṭā gatā, cha luddaputtā himavanteyeva matā. Sattamena pana raññā pesito sattamo luddo ‘‘ajja ajjevā’’ti satta saṃvaccharāni bajjhituṃ asakkonto cintesi ‘‘kiṃ nu kho imassa morarājassa pāde pāsassa asañcaraṇakāraṇa’’nti? Atha naṃ pariggaṇhanto sāyaṃpātaṃ parittaṃ karontaṃ disvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne añño moro natthi, iminā brahmacārinā bhavitabbaṃ, brahmacariyānubhāvena ceva parittānubhāvena cassa pādo pāse na bajjhatī’’ti nayato pariggahetvā paccantajanapadaṃ gantvā ekaṃ moriṃ bandhitvā yathā sā accharāya pahaṭāya vassati, pāṇimhi pahaṭe naccati, evaṃ sikkhāpetvā ādāya gantvā bodhisattassa parittakaraṇato puretarameva pāsaṃ oḍḍetvā accharaṃ paharitvā moriṃ vassāpesi. Moro tassā saddaṃ suṇi, tāvadevassa satta vassasatāni sannisinnakileso phaṇaṃ karitvā daṇḍena pahaṭāsīviso viya uṭṭhahi. So kilesāturo hutvā parittaṃ kātuṃ asakkuṇitvāva vegena tassā santikaṃ gantvā pāse pādaṃ pavesentoyeva ākāsā otari. Satta vassasatāni asañcaraṇakapāso taṅkhaṇaññeva sañcaritvā pādaṃ bandhi.

    อถ นํ ลุทฺทปุโตฺต ยฎฺฐิอเคฺค โอลมฺพนฺตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิมํ โมรราชํ ฉ ลุทฺทปุตฺตา พนฺธิตุํ นาสกฺขิํสุ, อหมฺปิ สตฺต วสฺสานิ นาสกฺขิํ, อชฺช ปเนส อิมํ โมริํ นิสฺสาย กิเลสาตุโร หุตฺวา ปริตฺตํ กาตุํ อสกฺกุณิตฺวา อาคมฺม ปาเส พโทฺธ เหฎฺฐาสีสโก โอลมฺพติ, เอวรูโป เม สีลวา กิลมิโต, เอวรูปํ รโญฺญ ปณฺณาการตฺถาย เนตุํ อยุตฺตํ, กิํ เม รญฺญา ทิเนฺนน สกฺกาเรน, วิสฺสเชฺชสฺสามิ น’’นฺติฯ ปุน จิเนฺตสิ ‘‘อยํ นาคพโล ถามสมฺปโนฺน มยิ อุปสงฺกมเนฺต ‘เอส มํ มาเรตุํ อาคจฺฉตี’ติ มรณภยตชฺชิโต ผนฺทมาโน ปาทํ วา ปกฺขํ วา ภิเนฺทยฺย, อนุปคนฺตฺวา ปน ปฎิจฺฉเนฺน ฐตฺวา ขุรเปฺปนสฺส ปาสํ ฉินฺทิสฺสามิ, ตโต สยเมว ยถารุจิยา คมิสฺสตี’’ติฯ โส ปฎิจฺฉเนฺน ฐตฺวา ธนุํ อาโรเปตฺวา ขุรปฺปํ สนฺนยฺหิตฺวา อากฑฺฒิฯ โมโรปิ ‘‘อยํ ลุทฺทโก มํ กิเลสาตุรํ กตฺวา พทฺธภาวํ ญตฺวา นิราสโงฺก อาคจฺฉิสฺสติ, กหํ นุ โข โส’’ติ จิเนฺตตฺวา อิโต จิโต จ วิโลเกตฺวา ธนุํ อาโรเปตฺวา ฐิตํ ทิสฺวา ‘‘มาเรตฺวา มํ อาทาย คนฺตุกาโม ภวิสฺสตี’’ติ มญฺญมาโน มรณภยตชฺชิโต หุตฺวา ชีวิตํ ยาจโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Atha naṃ luddaputto yaṭṭhiagge olambantaṃ disvā cintesi ‘‘imaṃ morarājaṃ cha luddaputtā bandhituṃ nāsakkhiṃsu, ahampi satta vassāni nāsakkhiṃ, ajja panesa imaṃ moriṃ nissāya kilesāturo hutvā parittaṃ kātuṃ asakkuṇitvā āgamma pāse baddho heṭṭhāsīsako olambati, evarūpo me sīlavā kilamito, evarūpaṃ rañño paṇṇākāratthāya netuṃ ayuttaṃ, kiṃ me raññā dinnena sakkārena, vissajjessāmi na’’nti. Puna cintesi ‘‘ayaṃ nāgabalo thāmasampanno mayi upasaṅkamante ‘esa maṃ māretuṃ āgacchatī’ti maraṇabhayatajjito phandamāno pādaṃ vā pakkhaṃ vā bhindeyya, anupagantvā pana paṭicchanne ṭhatvā khurappenassa pāsaṃ chindissāmi, tato sayameva yathāruciyā gamissatī’’ti. So paṭicchanne ṭhatvā dhanuṃ āropetvā khurappaṃ sannayhitvā ākaḍḍhi. Moropi ‘‘ayaṃ luddako maṃ kilesāturaṃ katvā baddhabhāvaṃ ñatvā nirāsaṅko āgacchissati, kahaṃ nu kho so’’ti cintetvā ito cito ca viloketvā dhanuṃ āropetvā ṭhitaṃ disvā ‘‘māretvā maṃ ādāya gantukāmo bhavissatī’’ti maññamāno maraṇabhayatajjito hutvā jīvitaṃ yācanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๑๔๓.

    143.

    ‘‘สเจ หิ ตฺยาหํ ธนเหตุ คาหิโต, มา มํ วธี ชีวคาหํ คเหตฺวา;

    ‘‘Sace hi tyāhaṃ dhanahetu gāhito, mā maṃ vadhī jīvagāhaṃ gahetvā;

    รโญฺญ จ มํ สมฺม อุปนฺติกํ เนหิ, มเญฺญ ธนํ ลจฺฉสินปฺปรูป’’นฺติฯ

    Rañño ca maṃ samma upantikaṃ nehi, maññe dhanaṃ lacchasinapparūpa’’nti.

    ตตฺถ สเจ หิ ตฺยาหนฺติ สเจ หิ เต อหํฯ อุปนฺติกํ เนหีติ อุปสนฺติกํ เนหิฯ ลจฺฉสินปฺปรูปนฺติ ลจฺฉสิ อนปฺปกรูปํฯ

    Tattha sace hi tyāhanti sace hi te ahaṃ. Upantikaṃ nehīti upasantikaṃ nehi. Lacchasinapparūpanti lacchasi anappakarūpaṃ.

    ตํ สุตฺวา ลุทฺทปุโตฺต จิเนฺตสิ – ‘‘โมรราชา, ‘อยํ มํ วิชฺฌิตุกามตาย ขุรปฺปํ สนฺนยฺหี’ติ มญฺญติ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติฯ โส อสฺสาเสโนฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā luddaputto cintesi – ‘‘morarājā, ‘ayaṃ maṃ vijjhitukāmatāya khurappaṃ sannayhī’ti maññati, assāsessāmi na’’nti. So assāsento dutiyaṃ gāthamāha –

    ๑๔๔.

    144.

    ‘‘น เม อยํ ตุยฺห วธาย อชฺช, สมาหิโต จาปธุเร ขุรโปฺป;

    ‘‘Na me ayaṃ tuyha vadhāya ajja, samāhito cāpadhure khurappo;

    ปาสญฺจ ตฺยาหํ อธิปาตยิสฺสํ, ยถาสุขํ คจฺฉตุ โมรราชา’’ติฯ

    Pāsañca tyāhaṃ adhipātayissaṃ, yathāsukhaṃ gacchatu morarājā’’ti.

    ตตฺถ อธิปาตยิสฺสนฺติ ฉินฺทยิสฺสํฯ

    Tattha adhipātayissanti chindayissaṃ.

    ตโต โมรราชา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Tato morarājā dve gāthā abhāsi –

    ๑๔๕.

    145.

    ‘‘ยํ สตฺต วสฺสานิ มมานุพนฺธิ, รตฺตินฺทิวํ ขุปฺปิปาสํ สหโนฺต;

    ‘‘Yaṃ satta vassāni mamānubandhi, rattindivaṃ khuppipāsaṃ sahanto;

    อถ กิสฺส มํ ปาสวสูปนีตํ, ปมุตฺตเว อิจฺฉสิ พนฺธนสฺมาฯ

    Atha kissa maṃ pāsavasūpanītaṃ, pamuttave icchasi bandhanasmā.

    ๑๔๖.

    146.

    ‘‘ปาณาติปาตา วิรโต นุสชฺช, อภยํ นุ เต สพฺพภูเตสุ ทินฺนํ;

    ‘‘Pāṇātipātā virato nusajja, abhayaṃ nu te sabbabhūtesu dinnaṃ;

    ยํ มํ ตุวํ ปาสวสูปนีตํ, ปมุตฺตเว อิจฺฉสิ พนฺธนสฺมา’’ติฯ

    Yaṃ maṃ tuvaṃ pāsavasūpanītaṃ, pamuttave icchasi bandhanasmā’’ti.

    ตตฺถ นฺติ ยสฺมา มํ เอตฺตกํ กาลํ ตฺวํ อนุพนฺธิ, ตสฺมา ตํ ปุจฺฉามิ, อถ กิสฺส มํ ปาสวสํ อุปนีตํ พนฺธนสฺมา ปโมเจตุํ อิจฺฉสีติ อโตฺถฯ วิรโต นุสชฺชาติ วิรโต นุสิ อชฺชฯ สพฺพภูเตสูติ สพฺพสตฺตานํฯ

    Tattha yanti yasmā maṃ ettakaṃ kālaṃ tvaṃ anubandhi, tasmā taṃ pucchāmi, atha kissa maṃ pāsavasaṃ upanītaṃ bandhanasmā pamocetuṃ icchasīti attho. Virato nusajjāti virato nusi ajja. Sabbabhūtesūti sabbasattānaṃ.

    อิโต ปรํ –

    Ito paraṃ –

    ๑๔๗.

    147.

    ‘‘ปาณาติปาตา วิรตสฺส พฺรูหิ, อภยญฺจ โย สพฺพภูเตสุ เทติ;

    ‘‘Pāṇātipātā viratassa brūhi, abhayañca yo sabbabhūtesu deti;

    ปุจฺฉามิ ตํ โมรราเชตมตฺถํ, อิโต จุโต กิํ ลภเต สุขํ โสฯ

    Pucchāmi taṃ morarājetamatthaṃ, ito cuto kiṃ labhate sukhaṃ so.

    ๑๔๘.

    148.

    ‘‘ปาณาติปาตา วิรตสฺส พฺรูมิ, อภยญฺจ โย สพฺพภูเตสุ เทติ;

    ‘‘Pāṇātipātā viratassa brūmi, abhayañca yo sabbabhūtesu deti;

    ทิเฎฺฐว ธเมฺม ลภเต ปสํสํ, สคฺคญฺจ โส ยาติ สรีรเภทาฯ

    Diṭṭheva dhamme labhate pasaṃsaṃ, saggañca so yāti sarīrabhedā.

    ๑๔๙.

    149.

    ‘‘น สนฺติ เทวา อิติ อาหุ เอเก, อิเธว ชีโว วิภวํ อุเปติ;

    ‘‘Na santi devā iti āhu eke, idheva jīvo vibhavaṃ upeti;

    ตถา ผลํ สุกตทุกฺกฎานํ, ทตฺตุปญฺญตฺตญฺจ วทนฺติ ทานํ;

    Tathā phalaṃ sukatadukkaṭānaṃ, dattupaññattañca vadanti dānaṃ;

    เตสํ วโจ อรหตํ สทฺทหาโน, ตสฺมา อหํ สกุเณ พาธยามี’’ติฯ –

    Tesaṃ vaco arahataṃ saddahāno, tasmā ahaṃ sakuṇe bādhayāmī’’ti. –

    อิมา อุตฺตานสมฺพนฺธคาถา ปาฬินเยน เวทิตพฺพาฯ

    Imā uttānasambandhagāthā pāḷinayena veditabbā.

    ตตฺถ อิติ อาหุ เอเกติ เอกเจฺจ สมณพฺราหฺมณา เอวํ กเถนฺติฯ เตสํ วโจ อรหตํ สทฺทหาโนติ ตสฺส กิร กุลูปกา อุเจฺฉทวาทิโน นคฺคสมณกาฯ เต ตํ ปเจฺจกโพธิญาณสฺส อุปนิสฺสยสมฺปนฺนมฺปิ สตฺตํ อุเจฺฉทวาทํ คณฺหาเปสุํฯ โส เตหิ สํสเคฺคน ‘‘กุสลากุสลํ นตฺถี’’ติ คเหตฺวา สกุเณ มาเรติฯ เอวํ มหาสาวชฺชา เอสา อสปฺปุริสเสวนา นามฯ เตเยว อยํ ‘‘อรหโนฺต’’ติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ

    Tattha iti āhu eketi ekacce samaṇabrāhmaṇā evaṃ kathenti. Tesaṃ vaco arahataṃ saddahānoti tassa kira kulūpakā ucchedavādino naggasamaṇakā. Te taṃ paccekabodhiñāṇassa upanissayasampannampi sattaṃ ucchedavādaṃ gaṇhāpesuṃ. So tehi saṃsaggena ‘‘kusalākusalaṃ natthī’’ti gahetvā sakuṇe māreti. Evaṃ mahāsāvajjā esā asappurisasevanā nāma. Teyeva ayaṃ ‘‘arahanto’’ti maññamāno evamāha.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘ตเสฺสว ปรโลกสฺส อตฺถิภาวํ กเถสฺสามี’’ติ ปาสยฎฺฐิยํ อโธสิโร โอลมฺพมาโนว อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘tasseva paralokassa atthibhāvaṃ kathessāmī’’ti pāsayaṭṭhiyaṃ adhosiro olambamānova imaṃ gāthamāha –

    ๑๕๐.

    150.

    ‘‘จโนฺท จ สุริโย จ อุโภ สุทสฺสนา, คจฺฉนฺติ โอภาสยมนฺตลิเกฺข;

    ‘‘Cando ca suriyo ca ubho sudassanā, gacchanti obhāsayamantalikkhe;

    อิมสฺส โลกสฺส ปรสฺส วา เต, กถํ นุ เต อาหุ มนุสฺสโลเก’’ติฯ

    Imassa lokassa parassa vā te, kathaṃ nu te āhu manussaloke’’ti.

    ตตฺถ อิมสฺสาติ กิํ นุ เต อิมสฺส โลกสฺส สนฺติ, อุทาหุ ปรโลกสฺสาติฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ สามิวจนํฯ กถํ นุ เตติ เอเตสุ วิมาเนสุ จนฺทิมสูริยเทวปุเตฺต กถํ นุ กเถนฺติ, กิํ อตฺถีติ กเถนฺติ, อุทาหุ นตฺถีติ, กิํ วา เทวา, อุทาหุ มนุสฺสาติ?

    Tattha imassāti kiṃ nu te imassa lokassa santi, udāhu paralokassāti. Bhummatthe vā etaṃ sāmivacanaṃ. Kathaṃ nu teti etesu vimānesu candimasūriyadevaputte kathaṃ nu kathenti, kiṃ atthīti kathenti, udāhu natthīti, kiṃ vā devā, udāhu manussāti?

    ลุทฺทปุโตฺต คาถมาห –

    Luddaputto gāthamāha –

    ๑๕๑.

    151.

    ‘‘จโนฺท จ สุริโย จ อุโภ สุทสฺสนา, คจฺฉนฺติ โอภาสยมนฺตลิเกฺข;

    ‘‘Cando ca suriyo ca ubho sudassanā, gacchanti obhāsayamantalikkhe;

    ปรสฺส โลกสฺส น เต อิมสฺส, เทวาติ เต อาหุ มนุสฺสโลเก’’ติฯ

    Parassa lokassa na te imassa, devāti te āhu manussaloke’’ti.

    อถ นํ มหาสโตฺต อาห –

    Atha naṃ mahāsatto āha –

    ๑๕๒.

    152.

    ‘‘เอเตฺถว เต นีหตา หีนวาทา, อเหตุกา เย น วทนฺติ กมฺมํ;

    ‘‘Ettheva te nīhatā hīnavādā, ahetukā ye na vadanti kammaṃ;

    ตถา ผลํ สุกตทุกฺกฎานํ, ทตฺตุปญฺญตฺตํ เย จ วทนฺติ ทาน’’นฺติฯ

    Tathā phalaṃ sukatadukkaṭānaṃ, dattupaññattaṃ ye ca vadanti dāna’’nti.

    ตตฺถ เอเตฺถว เต นิหตา หีนวาทาติ สเจ จนฺทิมสูริยา เทวโลเก ฐิตา, น มนุสฺสโลเก, สเจ จ เต เทวา, น มนุสฺสา, เอเตฺถว เอตฺตเก พฺยากรเณ เต ตว กุลูปกา หีนวาทา นีหตา โหนฺติฯ อเหตุกา ‘‘วิสุทฺธิยา วา สํกิเลสสฺส วา เหตุภูตํ กมฺมํ นตฺถี’’ติ เอวํวาทาฯ ทตฺตุปญฺญตฺตนฺติ เย จ ทานํ ‘‘พาลเกหิ ปญฺญตฺต’’นฺติ วทนฺติฯ

    Tattha ettheva te nihatā hīnavādāti sace candimasūriyā devaloke ṭhitā, na manussaloke, sace ca te devā, na manussā, ettheva ettake byākaraṇe te tava kulūpakā hīnavādā nīhatā honti. Ahetukā ‘‘visuddhiyā vā saṃkilesassa vā hetubhūtaṃ kammaṃ natthī’’ti evaṃvādā. Dattupaññattanti ye ca dānaṃ ‘‘bālakehi paññatta’’nti vadanti.

    โส มหาสเตฺต กเถเนฺต สลฺลเกฺขตฺวา คาถาทฺวยมาห –

    So mahāsatte kathente sallakkhetvā gāthādvayamāha –

    ๑๕๓.

    153.

    ‘‘อทฺธา หิ สจฺจํ วจนํ ตเวทํ, กถญฺหิ ทานํ อผลํ ภเวยฺย;

    ‘‘Addhā hi saccaṃ vacanaṃ tavedaṃ, kathañhi dānaṃ aphalaṃ bhaveyya;

    ตถา ผลํ สุกตทุกฺกฎานํ, ทตฺตุปญฺญตฺตญฺจ กถํ ภเวยฺยฯ

    Tathā phalaṃ sukatadukkaṭānaṃ, dattupaññattañca kathaṃ bhaveyya.

    ๑๕๔.

    154.

    ‘‘กถํกโร กินฺติกโร กิมาจรํ, กิํ เสวมาโน เกน ตโปคุเณน;

    ‘‘Kathaṃkaro kintikaro kimācaraṃ, kiṃ sevamāno kena tapoguṇena;

    อกฺขาหิ เม โมรราเชตมตฺถํ, ยถา อหํ โน นิรยํ ปเตยฺย’’นฺติฯ

    Akkhāhi me morarājetamatthaṃ, yathā ahaṃ no nirayaṃ pateyya’’nti.

    ตตฺถ ทตฺตุปญฺญตฺตญฺจาติ ทานญฺจ ทตฺตุปญฺญตฺตํ นาม กถํ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ กถํกโรติ กตรกมฺมํ กโรโนฺตฯ กินฺติกโรติ เกน การเณน กโรโนฺต อหํ นิรยํ น คเจฺฉยฺยํฯ อิตรานิ ตเสฺสว เววจนานิฯ

    Tattha dattupaññattañcāti dānañca dattupaññattaṃ nāma kathaṃ bhaveyyāti attho. Kathaṃkaroti katarakammaṃ karonto. Kintikaroti kena kāraṇena karonto ahaṃ nirayaṃ na gaccheyyaṃ. Itarāni tasseva vevacanāni.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ อิมํ ปญฺหํ น กเถสฺสามิ, มนุสฺสโลโก ตุโจฺฉ วิย กโต ภวิสฺสติ, ตเถวสฺส ธมฺมิกานํ สมณพฺราหฺมณานํ อตฺถิภาวํ กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sacāhaṃ imaṃ pañhaṃ na kathessāmi, manussaloko tuccho viya kato bhavissati, tathevassa dhammikānaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ atthibhāvaṃ kathessāmī’’ti cintetvā dve gāthā abhāsi –

    ๑๕๕.

    155.

    ‘‘เย เกจิ อตฺถิ สมณา ปถพฺยา, กาสายวตฺถา อนคาริยา เต;

    ‘‘Ye keci atthi samaṇā pathabyā, kāsāyavatthā anagāriyā te;

    ปาโตว ปิณฺฑาย จรนฺติ กาเล, วิกาลจริยา วิรตา หิ สโนฺตฯ

    Pātova piṇḍāya caranti kāle, vikālacariyā viratā hi santo.

    ๑๕๖.

    156.

    ‘‘เต ตตฺถ กาเลนุปสงฺกมิตฺวา, ปุจฺฉาหิ ยํ เต มนโส ปิยํ สิยา;

    ‘‘Te tattha kālenupasaṅkamitvā, pucchāhi yaṃ te manaso piyaṃ siyā;

    เต เต ปวกฺขนฺติ ยถาปชานํ, อิมสฺส โลกสฺส ปรสฺส จตฺถ’’นฺติฯ

    Te te pavakkhanti yathāpajānaṃ, imassa lokassa parassa cattha’’nti.

    ตตฺถ สโนฺตติ สนฺตปาปา ปณฺฑิตา ปเจฺจกพุทฺธาฯ ยถาปชานนฺติ เต ตุยฺหํ อตฺตโน ปชานนนิยาเมน วกฺขนฺติ, กงฺขํ เต ฉินฺทิตฺวา กเถสฺสนฺติฯ อิมสฺส โลกสฺส ปรสฺส จตฺถนฺติ อิมินา นาม กเมฺมน มนุสฺสโลเก นิพฺพตฺตนฺติ, อิมินา เทวโลเก, อิมินา นิรยาทีสูติ เอวํ อิมสฺส จ ปรสฺส จ โลกสฺส อตฺถํ อาจิกฺขิสฺสนฺติ, เต ปุจฺฉาติฯ

    Tattha santoti santapāpā paṇḍitā paccekabuddhā. Yathāpajānanti te tuyhaṃ attano pajānananiyāmena vakkhanti, kaṅkhaṃ te chinditvā kathessanti. Imassa lokassa parassa catthanti iminā nāma kammena manussaloke nibbattanti, iminā devaloke, iminā nirayādīsūti evaṃ imassa ca parassa ca lokassa atthaṃ ācikkhissanti, te pucchāti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา นิรยภเยน ตเชฺชสิฯ โส ปน ปูริตปารมี ปเจฺจกโพธิสโตฺต สูริยรสฺมิสมฺผสฺสํ โอโลเกตฺวา ฐิตํ ปริณตปทุมํ วิย ปริปากคตญาโณ วิจรติฯ โส ตสฺส ธมฺมกถํ สุณโนฺต ฐิตปเทเนว ฐิโต สงฺขาเร ปริคฺคณฺหิตฺวา ติลกฺขณํ สมฺมสโนฺต ปเจฺจกโพธิญาณํ ปฎิวิชฺฌิฯ ตสฺส ปฎิเวโธ จ มหาสตฺตสฺส ปาสโต โมโกฺข จ เอกกฺขเณเยว อโหสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ สพฺพกิเลเส ปทาเลตฺวา ภวปริยเนฺต ฐิโตว อุทานํ อุทานโนฺต คาถมาห –

    Evañca pana vatvā nirayabhayena tajjesi. So pana pūritapāramī paccekabodhisatto sūriyarasmisamphassaṃ oloketvā ṭhitaṃ pariṇatapadumaṃ viya paripākagatañāṇo vicarati. So tassa dhammakathaṃ suṇanto ṭhitapadeneva ṭhito saṅkhāre pariggaṇhitvā tilakkhaṇaṃ sammasanto paccekabodhiñāṇaṃ paṭivijjhi. Tassa paṭivedho ca mahāsattassa pāsato mokkho ca ekakkhaṇeyeva ahosi. Paccekabuddho sabbakilese padāletvā bhavapariyante ṭhitova udānaṃ udānanto gāthamāha –

    ๑๕๗.

    157.

    ‘‘ตจํว ชิณฺณํ อุรโค ปุราณํ, ปณฺฑูปลาสํ หริโต ทุโมว;

    ‘‘Tacaṃva jiṇṇaṃ urago purāṇaṃ, paṇḍūpalāsaṃ harito dumova;

    เอสปฺปหีโน มม ลุทฺทภาโว, ชหามหํ ลุทฺทกภาวมชฺชา’’ติฯ

    Esappahīno mama luddabhāvo, jahāmahaṃ luddakabhāvamajjā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยถา ชิณฺณํ ปุราณํ ตจํ อุรโค ชหติ, ยถา จ หริโต สมฺปชฺชมานนีลปโตฺต ทุโม กตฺถจิ ฐิตํ ปณฺฑุปลาสํ ชหติ, เอวํ อหมฺปิ อชฺช ลุทฺทภาวํ ทารุณภาวํ ชหิตฺวา ฐิโต, โส ทานิ เอส ปหีโน มม ลุทฺทภาโว, สาธุ วต ชหามหํ ลุทฺทกภาวมชฺชาติฯ ชหามหนฺติ ปชหิํ อหนฺติ อโตฺถฯ

    Tassattho – yathā jiṇṇaṃ purāṇaṃ tacaṃ urago jahati, yathā ca harito sampajjamānanīlapatto dumo katthaci ṭhitaṃ paṇḍupalāsaṃ jahati, evaṃ ahampi ajja luddabhāvaṃ dāruṇabhāvaṃ jahitvā ṭhito, so dāni esa pahīno mama luddabhāvo, sādhu vata jahāmahaṃ luddakabhāvamajjāti. Jahāmahanti pajahiṃ ahanti attho.

    โส อิมํ อุทานํ อุทาเนตฺวา ‘‘อหํ ตาว สพฺพกิเลสพนฺธเนหิ มุโตฺต, นิเวสเน ปน เม พนฺธิตฺวา ฐปิตา พหู สกุณา อตฺถิ, เต กถํ โมเจสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มหาสตฺตํ ปุจฺฉิ – ‘‘โมรราช, นิเวสเน เม พหู สกุณา พทฺธา อตฺถิ, เต กถํ โมเจสฺสามี’’ติ? ปเจฺจกพุทฺธโตปิ สพฺพญฺญุโพธิสตฺตานเญฺญว อุปายปริคฺคหญาณํ มหนฺตตรํ โหติ, เตน นํ อาห ‘‘ยํ โว มเคฺคน กิเลเส ขเณฺฑตฺวา ปเจฺจกโพธิญาณํ ปฎิวิทฺธํ, ตํ อารพฺภ สจฺจกิริยํ กโรถ, สกลชมฺพุทีเป พนฺธนคโต สโตฺต นาม น ภวิสฺสตี’’ติฯ โส โพธิสเตฺตน ทินฺนนยทฺวาเร ฐตฺวา สจฺจกิริยํ กโรโนฺต คาถมาห –

    So imaṃ udānaṃ udānetvā ‘‘ahaṃ tāva sabbakilesabandhanehi mutto, nivesane pana me bandhitvā ṭhapitā bahū sakuṇā atthi, te kathaṃ mocessāmī’’ti cintetvā mahāsattaṃ pucchi – ‘‘morarāja, nivesane me bahū sakuṇā baddhā atthi, te kathaṃ mocessāmī’’ti? Paccekabuddhatopi sabbaññubodhisattānaññeva upāyapariggahañāṇaṃ mahantataraṃ hoti, tena naṃ āha ‘‘yaṃ vo maggena kilese khaṇḍetvā paccekabodhiñāṇaṃ paṭividdhaṃ, taṃ ārabbha saccakiriyaṃ karotha, sakalajambudīpe bandhanagato satto nāma na bhavissatī’’ti. So bodhisattena dinnanayadvāre ṭhatvā saccakiriyaṃ karonto gāthamāha –

    ๑๕๘.

    158.

    ‘‘เย จาปิ เม สกุณา อตฺถิ พทฺธา, สตานิเนกานิ นิเวสนสฺมิํ;

    ‘‘Ye cāpi me sakuṇā atthi baddhā, satāninekāni nivesanasmiṃ;

    เตสมฺปหํ ชีวิตมชฺช ทมฺมิ, โมกฺขญฺจ เต ปตฺตา สกํ นิเกต’’นฺติฯ

    Tesampahaṃ jīvitamajja dammi, mokkhañca te pattā sakaṃ niketa’’nti.

    ตตฺถ โมกฺขญฺจ เต ปตฺตาติ สฺวาหํ โมกฺขํ ปโตฺต ปเจฺจกโพธิญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโต, เต สเตฺต ชีวิตทาเนน อนุกมฺปามิ, เอเตน สเจฺจนฯ สกํ นิเกตนฺติ สเพฺพปิ เต สตฺตา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คจฺฉนฺตูติ วทติฯ

    Tattha mokkhañca te pattāti svāhaṃ mokkhaṃ patto paccekabodhiñāṇaṃ paṭivijjhitvā ṭhito, te satte jīvitadānena anukampāmi, etena saccena. Sakaṃ niketanti sabbepi te sattā attano attano vasanaṭṭhānaṃ gacchantūti vadati.

    อถสฺส สจฺจกิริยาสมกาลเมว สเพฺพ พนฺธนา มุจฺจิตฺวา ตุฎฺฐิรวํ รวนฺตา สกฎฺฐานเมว อคมิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ เตสํ เตสํ เคเหสุ พิฬาเล อาทิํ กตฺวา สกลชมฺพุทีเป พนฺธนคโต สโตฺต นาม นาโหสิฯ ปเจฺจกพุโทฺธ หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา สีสํ ปรามสิฯ ตาวเทว คิหิลิงฺคํ อนฺตรธายิ, ปพฺพชิตลิงฺคํ ปาตุรโหสิฯ โส สฎฺฐิวสฺสิกเตฺถโร วิย อากปฺปสมฺปโนฺน อฎฺฐปริกฺขารธโร หุตฺวา ‘‘ตฺวเมว มม ปติฎฺฐา อโหสี’’ติ โมรราชสฺส อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ปทกฺขิณํ กตฺวา อากาเส อุปฺปติตฺวา นนฺทมูลกปพฺภารํ อคมาสิฯ โมรราชาปิ ยฎฺฐิอคฺคโต อุปฺปติตฺวา โคจรํ คเหตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คโตฯ อิทานิ ลุทฺทสฺส สตฺต วสฺสานิ ปาสหตฺถสฺส จริตฺวาปิ โมรราชานํ นิสฺสาย ทุกฺขา มุตฺตภาวํ ปกาเสโนฺต สตฺถา โอสานคาถมาห –

    Athassa saccakiriyāsamakālameva sabbe bandhanā muccitvā tuṭṭhiravaṃ ravantā sakaṭṭhānameva agamiṃsu. Tasmiṃ khaṇe tesaṃ tesaṃ gehesu biḷāle ādiṃ katvā sakalajambudīpe bandhanagato satto nāma nāhosi. Paccekabuddho hatthaṃ ukkhipitvā sīsaṃ parāmasi. Tāvadeva gihiliṅgaṃ antaradhāyi, pabbajitaliṅgaṃ pāturahosi. So saṭṭhivassikatthero viya ākappasampanno aṭṭhaparikkhāradharo hutvā ‘‘tvameva mama patiṭṭhā ahosī’’ti morarājassa añjaliṃ paggayha padakkhiṇaṃ katvā ākāse uppatitvā nandamūlakapabbhāraṃ agamāsi. Morarājāpi yaṭṭhiaggato uppatitvā gocaraṃ gahetvā attano vasanaṭṭhānaṃ gato. Idāni luddassa satta vassāni pāsahatthassa caritvāpi morarājānaṃ nissāya dukkhā muttabhāvaṃ pakāsento satthā osānagāthamāha –

    ๑๕๙.

    159.

    ‘‘ลุโทฺท จรี ปาสหโตฺถ อรเญฺญ, พาเธตุ โมราธิปติํ ยสสฺสิํ;

    ‘‘Luddo carī pāsahattho araññe, bādhetu morādhipatiṃ yasassiṃ;

    พนฺธิตฺวา โมราธิปติํ ยสสฺสิํ, ทุกฺขา ส ปมุจฺจิ ยถาหํ ปมุโตฺต’’ติฯ

    Bandhitvā morādhipatiṃ yasassiṃ, dukkhā sa pamucci yathāhaṃ pamutto’’ti.

    ตตฺถ พาเธตูติ มาเรตุํ, อยเมว วา ปาโฐฯ พนฺธิตฺวาติ พนฺธิตฺวา ฐิตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปฎิลทฺธสํเวโค หุตฺวาติ อโตฺถฯ ยถาหนฺติ ยถา อหํ สยมฺภุญาเณน มุโตฺต, เอวเมว โสปิ มุโตฺตติฯ

    Tattha bādhetūti māretuṃ, ayameva vā pāṭho. Bandhitvāti bandhitvā ṭhitassa dhammakathaṃ sutvā paṭiladdhasaṃvego hutvāti attho. Yathāhanti yathā ahaṃ sayambhuñāṇena mutto, evameva sopi muttoti.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตทา โมรราชา อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu arahattaṃ pāpuṇi. Tadā morarājā ahameva ahosinti.

    มหาโมรชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ

    Mahāmorajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๑. มหาโมรชาตกํ • 491. Mahāmorajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact