Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๑๕

    Long Discourses 15

    มหานิทานสุตฺต

    The Great Discourse on Causation

    ๑ฯ ปฏิจฺจสมุปฺปาท

    1. Dependent Origination

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Kurus, near the Kuru town named Kammāsadamma.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเตฯ ยาว คมฺภีโร จายํ, ภนฺเต, ปฏิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จ, อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายตี”ติฯ

    Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “It’s incredible, sir, it’s amazing, in that this dependent origination is deep and appears deep, yet to me it seems as plain as can be.”

    “มา เหวํ, อานนฺท, อวจ, มา เหวํ, อานนฺท, อวจฯ คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฏิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จฯ เอตสฺส, อานนฺท, ธมฺมสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมยํ ปชา ตนฺตากุลกชาตา กุลคณฺฐิกชาตา มุญฺชปพฺพชภูตา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    “Don’t say that, Ānanda, don’t say that! This dependent origination is deep and appears deep. It is because of not understanding and not penetrating this teaching that this population has become tangled like string, knotted like a ball of thread, and matted like rushes and reeds, and it doesn’t escape the places of loss, the bad places, the underworld, transmigration.

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for old age and death?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for old age and death?’ you should answer, ‘Rebirth is a condition for old age and death.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชาตี'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา ชาตี'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘ภวปจฺจยา ชาตี'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for rebirth?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for rebirth?’ you should answer, ‘Continued existence is a condition for rebirth.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ภโว'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา ภโว'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘อุปาทานปจฺจยา ภโว'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for continued existence?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for continued existence?’ you should answer, ‘Grasping is a condition for continued existence.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for grasping?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for grasping?’ you should answer, ‘Craving is a condition for grasping.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ตณฺหา'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา ตณฺหา'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for craving?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for craving?’ you should answer, ‘Feeling is a condition for craving.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา เวทนา'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา เวทนา'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for feeling?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for feeling?’ you should answer, ‘Contact is a condition for feeling.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ผโสฺส'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา ผโสฺส'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘นามรูปปจฺจยา ผโสฺส'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for contact?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for contact?’ you should answer, ‘Name and form are conditions for contact.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา นามรูปนฺ'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา นามรูปนฺ'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺ'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for name and form?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for name and form?’ you should answer, ‘Consciousness is a condition for name and form.’

    ‘อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติ อิติ ปุฏฺเฐน สตา, อานนฺท, อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ‘กึปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติ อิติ เจ วเทยฺย, ‘นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติ อิจฺจสฺส วจนียํฯ

    When asked, ‘Is there a specific condition for consciousness?’ you should answer, ‘There is.’ If they say, ‘What is a condition for consciousness?’ you should answer, ‘Name and form are conditions for consciousness.’

    อิติ โข, อานนฺท, นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ

    So: name and form are conditions for consciousness. Consciousness is a condition for name and form. Name and form are conditions for contact. Contact is a condition for feeling. Feeling is a condition for craving. Craving is a condition for grasping. Grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.

    ‘ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ชาติปจฺจยา ชรามรณํฯ ชาติ จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—เทวานํ วา เทวตฺตาย, คนฺธพฺพานํ วา คนฺธพฺพตฺตาย, ยกฺขานํ วา ยกฺขตฺตาย, ภูตานํ วา ภูตตฺตาย, มนุสฺสานํ วา มนุสฺสตฺตาย, จตุปฺปทานํ วา จตุปฺปทตฺตาย, ปกฺขีนํ วา ปกฺขิตฺตาย, สรีสปานํ วา สรีสปตฺตาย, เตสํ เตสญฺจ หิ, อานนฺท, สตฺตานํ ตทตฺตาย ชาติ นาภวิสฺสฯ สพฺพโส ชาติยา อสติ ชาตินิโรธา อปิ นุ โข ชรามรณํ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Rebirth is a condition for old age and death’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no rebirth for anyone anywhere. That is, there were no rebirth of sentient beings into their various realms—of gods, centaurs, spirits, creatures, humans, quadrupeds, birds, or reptiles, each into their own realm. When there’s no rebirth at all, with the cessation of rebirth, would old age and death still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ชรามรณสฺส, ยทิทํ ชาติฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of old age and death, namely rebirth.

    ‘ภวปจฺจยา ชาตี'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ภวปจฺจยา ชาติฯ ภโว จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—กามภโว วา รูปภโว วา อรูปภโว วา, สพฺพโส ภเว อสติ ภวนิโรธา อปิ นุ โข ชาติ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Continued existence is a condition for rebirth’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no continued existence for anyone anywhere. That is, continued existence in the sensual realm, the realm of luminous form, or the formless realm. When there’s no continued existence at all, with the cessation of continued existence, would rebirth still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ชาติยา, ยทิทํ ภโวฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of rebirth, namely continued existence.

    ‘อุปาทานปจฺจยา ภโว'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา อุปาทานปจฺจยา ภโวฯ อุปาทานญฺจ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—กามุปาทานํ วา ทิฏฺฐุปาทานํ วา สีลพฺพตุปาทานํ วา อตฺตวาทุปาทานํ วา, สพฺพโส อุปาทาเน อสติ อุปาทานนิโรธา อปิ นุ โข ภโว ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Grasping is a condition for continued existence’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no grasping for anyone anywhere. That is, grasping at sensual pleasures, views, precepts and observances, and theories of a self. When there’s no grasping at all, with the cessation of grasping, would continued existence still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ภวสฺส, ยทิทํ อุปาทานํฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of continued existence, namely grasping.

    ‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํฯ ตณฺหา จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—รูปตณฺหา สทฺทตณฺหา คนฺธตณฺหา รสตณฺหา โผฏฺฐพฺพตณฺหา ธมฺมตณฺหา, สพฺพโส ตณฺหาย อสติ ตณฺหานิโรธา อปิ นุ โข อุปาทานํ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Craving is a condition for grasping’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no craving for anyone anywhere. That is, craving for sights, sounds, smells, tastes, touches, and thoughts. When there’s no craving at all, with the cessation of craving, would grasping still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย อุปาทานสฺส, ยทิทํ ตณฺหาฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of grasping, namely craving.

    ‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหา'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา เวทนาปจฺจยา ตณฺหาฯ เวทนา จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—จกฺขุสมฺผสฺสชา เวทนา โสตสมฺผสฺสชา เวทนา ฆานสมฺผสฺสชา เวทนา ชิวฺหาสมฺผสฺสชา เวทนา กายสมฺผสฺสชา เวทนา มโนสมฺผสฺสชา เวทนา, สพฺพโส เวทนาย อสติ เวทนานิโรธา อปิ นุ โข ตณฺหา ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Feeling is a condition for craving’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no feeling for anyone anywhere. That is, feeling born of contact through the eye, ear, nose, tongue, body, and mind. When there’s no feeling at all, with the cessation of feeling, would craving still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ตณฺหาย, ยทิทํ เวทนาฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of craving, namely feeling.

    อิติ โข ปเนตํ, อานนฺท, เวทนํ ปฏิจฺจ ตณฺหา, ตณฺหํ ปฏิจฺจ ปริเยสนา, ปริเยสนํ ปฏิจฺจ ลาโภ, ลาภํ ปฏิจฺจ วินิจฺฉโย, วินิจฺฉยํ ปฏิจฺจ ฉนฺทราโค, ฉนฺทราคํ ปฏิจฺจ อชฺโฌสานํ, อชฺโฌสานํ ปฏิจฺจ ปริคฺคโห, ปริคฺคหํ ปฏิจฺจ มจฺฉริยํ, มจฺฉริยํ ปฏิจฺจ อารกฺโขฯ อารกฺขาธิกรณํ ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติฯ

    So it is, Ānanda, that feeling is a cause of craving. Craving is a cause of seeking. Seeking is a cause of gaining material possessions. Gaining material possessions is a cause of assessing. Assessing is a cause of desire and lust. Desire and lust is a cause of attachment. Attachment is a cause of ownership. Ownership is a cause of stinginess. Stinginess is a cause of safeguarding. Owing to safeguarding, many bad, unskillful things come to be: taking up the rod and the sword, quarrels, arguments, and disputes, accusations, divisive speech, and lies.

    ‘อารกฺขาธิกรณํ ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺตี'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา อารกฺขาธิกรณํ ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภวนฺติฯ อารกฺโข จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส อารกฺเข อสติ อารกฺขนิโรธา อปิ นุ โข ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทา อเนเก ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สมฺภเวยฺยุนฺ”ติ?

    ‘Owing to safeguarding, many bad, unskillful things come to be: taking up the rod and the sword, quarrels, arguments, and disputes, accusations, divisive speech, and lies’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no safeguarding for anyone anywhere. When there’s no safeguarding at all, with the cessation of safeguarding, would those many bad, unskillful things still come to be?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ทณฺฑาทานสตฺถาทานกลหวิคฺคหวิวาทตุวํตุวํเปสุญฺญมุสาวาทานํ อเนเกสํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ สมฺภวาย ยทิทํ อารกฺโขฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason for the origination of those many bad, unskillful things, namely safeguarding.

    ‘มจฺฉริยํ ปฏิจฺจ อารกฺโข'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา มจฺฉริยํ ปฏิจฺจ อารกฺโขฯ มจฺฉริยญฺจ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส มจฺฉริเย อสติ มจฺฉริยนิโรธา อปิ นุ โข อารกฺโข ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Stinginess is a cause of safeguarding’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no stinginess for anyone anywhere. When there’s no stinginess at all, with the cessation of stinginess, would safeguarding still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย อารกฺขสฺส, ยทิทํ มจฺฉริยํฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of safeguarding, namely stinginess.

    ‘ปริคฺคหํ ปฏิจฺจ มจฺฉริยนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ปริคฺคหํ ปฏิจฺจ มจฺฉริยํฯ ปริคฺคโห จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส ปริคฺคเห อสติ ปริคฺคหนิโรธา อปิ นุ โข มจฺฉริยํ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Ownership is a cause of stinginess’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no ownership for anyone anywhere. When there’s no ownership at all, with the cessation of ownership, would stinginess still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย มจฺฉริยสฺส, ยทิทํ ปริคฺคโหฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of stinginess, namely ownership.

    ‘อชฺโฌสานํ ปฏิจฺจ ปริคฺคโห'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา อชฺโฌสานํ ปฏิจฺจ ปริคฺคโหฯ อชฺโฌสานญฺจ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส อชฺโฌสาเน อสติ อชฺโฌสานนิโรธา อปิ นุ โข ปริคฺคโห ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Attachment is a cause of ownership’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no attachment for anyone anywhere. When there’s no attachment at all, with the cessation of attachment, would ownership still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ปริคฺคหสฺส—ยทิทํ อชฺโฌสานํฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of ownership, namely attachment.

    ‘ฉนฺทราคํ ปฏิจฺจ อชฺโฌสานนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ฉนฺทราคํ ปฏิจฺจ อชฺโฌสานํฯ ฉนฺทราโค จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส ฉนฺทราเค อสติ ฉนฺทราคนิโรธา อปิ นุ โข อชฺโฌสานํ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Desire and lust is a cause of attachment’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no desire and lust for anyone anywhere. When there’s no desire and lust at all, with the cessation of desire and lust, would attachment still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย อชฺโฌสานสฺส, ยทิทํ ฉนฺทราโคฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of attachment, namely desire and lust.

    ‘วินิจฺฉยํ ปฏิจฺจ ฉนฺทราโค'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา วินิจฺฉยํ ปฏิจฺจ ฉนฺทราโคฯ วินิจฺฉโย จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส วินิจฺฉเย อสติ วินิจฺฉยนิโรธา อปิ นุ โข ฉนฺทราโค ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Assessing is a cause of desire and lust’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no assessing for anyone anywhere. When there’s no assessing at all, with the cessation of assessing, would desire and lust still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ฉนฺทราคสฺส, ยทิทํ วินิจฺฉโยฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of desire and lust, namely assessing.

    ‘ลาภํ ปฏิจฺจ วินิจฺฉโย'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ลาภํ ปฏิจฺจ วินิจฺฉโยฯ ลาโภ จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส ลาเภ อสติ ลาภนิโรธา อปิ นุ โข วินิจฺฉโย ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Gaining material possessions is a cause of assessing’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no gaining of material possessions for anyone anywhere. When there’s no gaining of material possessions at all, with the cessation of gaining material possessions, would assessing still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย วินิจฺฉยสฺส, ยทิทํ ลาโภฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of assessing, namely the gaining of material possessions.

    ‘ปริเยสนํ ปฏิจฺจ ลาโภ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ปริเยสนํ ปฏิจฺจ ลาโภฯ ปริเยสนา จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, สพฺพโส ปริเยสนาย อสติ ปริเยสนานิโรธา อปิ นุ โข ลาโภ ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Seeking is a cause of gaining material possessions’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no seeking for anyone anywhere. When there’s no seeking at all, with the cessation of seeking, would the gaining of material possessions still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ลาภสฺส, ยทิทํ ปริเยสนาฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of gaining material possessions, namely seeking.

    ‘ตณฺหํ ปฏิจฺจ ปริเยสนา'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ตณฺหํ ปฏิจฺจ ปริเยสนาฯ ตณฺหา จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา, สพฺพโส ตณฺหาย อสติ ตณฺหานิโรธา อปิ นุ โข ปริเยสนา ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Craving is a cause of seeking’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no craving for anyone anywhere. That is, craving for sensual pleasures, craving for continued existence, and craving to end existence. When there’s no craving at all, with the cessation of craving, would seeking still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ปริเยสนาย, ยทิทํ ตณฺหาฯ อิติ โข, อานนฺท, อิเม เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of seeking, namely craving. And so, Ānanda, these two things are united by the two aspects of feeling.

    ‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา ผสฺสปจฺจยา เวทนาฯ ผโสฺส จ หิ, อานนฺท, นาภวิสฺส สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ กสฺสจิ กิมฺหิจิ, เสยฺยถิทํ—จกฺขุสมฺผโสฺส โสตสมฺผโสฺส ฆานสมฺผโสฺส ชิวฺหาสมฺผโสฺส กายสมฺผโสฺส มโนสมฺผโสฺส, สพฺพโส ผเสฺส อสติ ผสฺสนิโรธา อปิ นุ โข เวทนา ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Contact is a condition for feeling’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were totally and utterly no contact for anyone anywhere. That is, contact through the eye, ear, nose, tongue, body, and mind. When there’s no contact at all, with the cessation of contact, would feeling still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย เวทนาย, ยทิทํ ผโสฺสฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of feeling, namely contact.

    ‘นามรูปปจฺจยา ผโสฺส'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา นามรูปปจฺจยา ผโสฺสฯ เยหิ, อานนฺท, อากาเรหิ เยหิ ลิงฺเคหิ เยหิ นิมิตฺเตหิ เยหิ อุทฺเทเสหิ นามกายสฺส ปญฺญตฺติ โหติ, เตสุ อากาเรสุ เตสุ ลิงฺเคสุ เตสุ นิมิตฺเตสุ เตสุ อุทฺเทเสสุ อสติ อปิ นุ โข รูปกาเย อธิวจนสมฺผโสฺส ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Name and form are conditions for contact’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. Suppose there were none of the features, attributes, signs, and details by which the set of mental phenomena known as name is found. Would labeling contact still be found in the set of physical phenomena?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เยหิ, อานนฺท, อากาเรหิ เยหิ ลิงฺเคหิ เยหิ นิมิตฺเตหิ เยหิ อุทฺเทเสหิ รูปกายสฺส ปญฺญตฺติ โหติ, เตสุ อากาเรสุ …เป… เตสุ อุทฺเทเสสุ อสติ อปิ นุ โข นามกาเย ปฏิฆสมฺผโสฺส ปญฺญาเยถา”ติ?

    “Suppose there were none of the features, attributes, signs, and details by which the set of physical phenomena known as form is found. Would impingement contact still be found in the set of mental phenomena?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เยหิ, อานนฺท, อากาเรหิ …เป… เยหิ อุทฺเทเสหิ นามกายสฺส จ รูปกายสฺส จ ปญฺญตฺติ โหติ, เตสุ อากาเรสุ …เป… เตสุ อุทฺเทเสสุ อสติ อปิ นุ โข อธิวจนสมฺผโสฺส วา ปฏิฆสมฺผโสฺส วา ปญฺญาเยถา”ติ?

    “Suppose there were none of the features, attributes, signs, and details by which the set of phenomena known as name and the set of phenomena known as form are found. Would either labeling contact or impingement contact still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เยหิ, อานนฺท, อากาเรหิ …เป… เยหิ อุทฺเทเสหิ นามรูปสฺส ปญฺญตฺติ โหติ, เตสุ อากาเรสุ …เป… เตสุ อุทฺเทเสสุ อสติ อปิ นุ โข ผโสฺส ปญฺญาเยถา”ติ?

    “Suppose there were none of the features, attributes, signs, and details by which name and form are found. Would contact still be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย ผสฺสสฺส, ยทิทํ นามรูปํฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of contact, namely name and form.

    ‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํฯ วิญฺญาณญฺจ หิ, อานนฺท, มาตุกุจฺฉิสฺมึ น โอกฺกมิสฺสถ, อปิ นุ โข นามรูปํ มาตุกุจฺฉิสฺมึ สมุจฺจิสฺสถา”ติ?

    ‘Consciousness is a condition for name and form’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. If consciousness were not conceived in the mother’s womb, would name and form coagulate there?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “วิญฺญาณญฺจ หิ, อานนฺท, มาตุกุจฺฉิสฺมึ โอกฺกมิตฺวา โวกฺกมิสฺสถ, อปิ นุ โข นามรูปํ อิตฺถตฺตาย อภินิพฺพตฺติสฺสถา”ติ?

    “If consciousness, after being conceived in the mother’s womb, were to be miscarried, would name and form be born into this state of existence?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “วิญฺญาณญฺจ หิ, อานนฺท, ทหรเสฺสว สโต โวจฺฉิชฺชิสฺสถ กุมารกสฺส วา กุมาริกาย วา, อปิ นุ โข นามรูปํ วุทฺธึ วิรูฬฺหึ เวปุลฺลํ อาปชฺชิสฺสถา”ติ?

    “If the consciousness of a young boy or girl were to be cut off, would name and form achieve growth, increase, and maturity?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย นามรูปสฺส—ยทิทํ วิญฺญาณํฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of name and form, namely consciousness.

    ‘นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตทานนฺท, อิมินาเปตํ ปริยาเยน เวทิตพฺพํ, ยถา นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณํฯ วิญฺญาณญฺจ หิ, อานนฺท, นามรูเป ปติฏฺฐํ น ลภิสฺสถ, อปิ นุ โข อายตึ ชาติชรามรณํ ทุกฺขสมุทยสมฺภโว ปญฺญาเยถา”ติ?

    ‘Name and form are conditions for consciousness’—that’s what I said. And this is a way to understand how this is so. If consciousness were not to gain a footing in name and form, would the coming to be of the origin of suffering—of rebirth, old age, and death in the future—be found?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเสว เหตุ เอตํ นิทานํ เอส สมุทโย เอส ปจฺจโย วิญฺญาณสฺส ยทิทํ นามรูปํฯ เอตฺตาวตา โข, อานนฺท, ชาเยถ วา ชีเยถ วา มีเยถ วา จเวถ วา อุปปชฺเชถ วาฯ เอตฺตาวตา อธิวจนปโถ, เอตฺตาวตา นิรุตฺติปโถ, เอตฺตาวตา ปญฺญตฺติปโถ, เอตฺตาวตา ปญฺญาวจรํ, เอตฺตาวตา วฏฺฏํ วตฺตติ อิตฺถตฺตํ ปญฺญาปนาย ยทิทํ นามรูปํ สห วิญฺญาเณน อญฺญมญฺญปจฺจยตา ปวตฺตติฯ

    “That’s why this is the cause, source, origin, and reason of consciousness, namely name and form. This is the extent to which one may be reborn, grow old, die, pass away, or reappear. This is how far the scope of labeling, terminology, and description extends; how far the sphere of wisdom extends; how far the cycle of rebirths proceeds so that this state of existence may be be found; namely, name and form together with consciousness.

    ๒ฯ อตฺตปญฺญตฺติ

    2. Describing the Self

    กิตฺตาวตา จ, อานนฺท, อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ? รูปึ วา หิ, อานนฺท, ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ: ‘รูปี เม ปริตฺโต อตฺตา'ติฯ รูปึ วา หิ, อานนฺท, อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ: ‘รูปี เม อนนฺโต อตฺตา'ติฯ อรูปึ วา หิ, อานนฺท, ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ: ‘อรูปี เม ปริตฺโต อตฺตา'ติฯ อรูปึ วา หิ, อานนฺท, อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ: ‘อรูปี เม อนนฺโต อตฺตา'ติฯ

    How do those who describe the self describe it? They describe it as physical and limited: ‘My self is physical and limited.’ Or they describe it as physical and infinite: ‘My self is physical and infinite.’ Or they describe it as formless and limited: ‘My self is formless and limited.’ Or they describe it as formless and infinite: ‘My self is formless and infinite.’

    ตตฺรานนฺท, โย โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, รูปึ ปริตฺตตฺตานุทิฏฺฐิ อนุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ

    Now, take those who describe the self as physical and limited. They describe the self as physical and limited in the present; or as sure to become physical and limited in some other place; or else they think: ‘Though it is not like that, I will ensure it is provided with what it needs to become like that.’ This being so, it’s appropriate to say that a view of self as physical and limited underlies them.

    ตตฺรานนฺท, โย โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, รูปึ อนนฺตตฺตานุทิฏฺฐิ อนุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ ตตฺรานนฺท, โย โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, อรูปึ ปริตฺตตฺตานุทิฏฺฐิ อนุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ ตตฺรานนฺท, โย โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, อรูปึ อนนฺตตฺตานุทิฏฺฐิ อนุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ เอตฺตาวตา โข, อานนฺท, อตฺตานํ ปญฺญเปนฺโต ปญฺญเปติฯ

    Now, take those who describe the self as physical and infinite … formless and limited … formless and infinite. They describe the self as formless and infinite in the present; or as sure to become formless and infinite in some other place; or else they think: ‘Though it is not like that, I will ensure it is provided with what it needs to become like that.’ This being so, it’s appropriate to say that a view of self as formless and infinite underlies them. That’s how those who describe the self describe it.

    ๓ฯ นอตฺตปญฺญตฺติ

    3. Not Describing the Self

    กิตฺตาวตา จ, อานนฺท, อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ? รูปึ วา หิ, อานนฺท, ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ: ‘รูปี เม ปริตฺโต อตฺตา'ติฯ รูปึ วา หิ, อานนฺท, อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ: ‘รูปี เม อนนฺโต อตฺตา'ติฯ อรูปึ วา หิ, อานนฺท, ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ: ‘อรูปี เม ปริตฺโต อตฺตา'ติฯ อรูปึ วา หิ, อานนฺท, อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ: ‘อรูปี เม อนนฺโต อตฺตา'ติฯ

    How do those who don’t describe the self not describe it? They don’t describe it as physical and limited … physical and infinite … formless and limited … formless and infinite: ‘My self is formless and infinite.’

    ตตฺรานนฺท, โย โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส รูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส น โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, รูปึ ปริตฺตตฺตานุทิฏฺฐิ นานุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ ตตฺรานนฺท, โย โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส รูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส น โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, รูปึ อนนฺตตฺตานุทิฏฺฐิ นานุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ ตตฺรานนฺท, โย โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส อรูปึ ปริตฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส น โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, อรูปึ ปริตฺตตฺตานุทิฏฺฐิ นานุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ ตตฺรานนฺท, โย โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติฯ เอตรหิ วา โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ตตฺถ ภาวึ วา โส อรูปึ อนนฺตํ อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติ, ‘อตถํ วา ปน สนฺตํ ตถตฺตาย อุปกปฺเปสฺสามี'ติ อิติ วา ปนสฺส น โหติฯ เอวํ สนฺตํ โข, อานนฺท, อรูปึ อนนฺตตฺตานุทิฏฺฐิ นานุเสตีติ อิจฺจาลํ วจนายฯ เอตฺตาวตา โข, อานนฺท, อตฺตานํ น ปญฺญเปนฺโต น ปญฺญเปติฯ

    Now, take those who don’t describe the self as physical and limited … physical and infinite … formless and limited … formless and infinite. They don’t describe the self as formless and infinite in the present; or as sure to become formless and infinite in some other place; and they don’t think: ‘Though it is not like that, I will ensure it is provided with what it needs to become like that.’ This being so, it’s appropriate to say that a view of self as formless and infinite doesn’t underlie them. That’s how those who don’t describe the self don’t describe it.

    ๔ฯ อตฺตสมนุปสฺสนา

    4. Regarding a Self

    กิตฺตาวตา จ, อานนฺท, อตฺตานํ สมนุปสฺสมาโน สมนุปสฺสติ? เวทนํ วา หิ, อานนฺท, อตฺตานํ สมนุปสฺสมาโน สมนุปสฺสติ: ‘เวทนา เม อตฺตา'ติฯ ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา'ติ อิติ วา หิ, อานนฺท, อตฺตานํ สมนุปสฺสมาโน สมนุปสฺสติฯ ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, โนปิ อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา, อตฺตา เม เวทิยติ, เวทนาธมฺโม หิ เม อตฺตา'ติ อิติ วา หิ, อานนฺท, อตฺตานํ สมนุปสฺสมาโน สมนุปสฺสติฯ

    How do those who regard the self regard it? They regard feeling as self: ‘Feeling is my self.’ Or they regard it like this: ‘Feeling is definitely not my self. My self does not experience feeling.’ Or they regard it like this: ‘Feeling is definitely not my self. But it’s not that my self does not experience feeling. My self feels, for my self is liable to feel.’

    ตตฺรานนฺท, โย โส เอวมาห: ‘เวทนา เม อตฺตา'ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย: ‘ติโสฺส โข อิมา, อาวุโส, เวทนา—สุขา เวทนา ทุกฺขา เวทนา อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ อิมาสํ โข ตฺวํ ติสฺสนฺนํ เวทนานํ กตมํ อตฺตโต สมนุปสฺสสี'ติ? ยสฺมึ, อานนฺท, สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมึ สมเย ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, น อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ; สุขํเยว ตสฺมึ สมเย เวทนํ เวเทติฯ ยสฺมึ, อานนฺท, สมเย ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมึ สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, น อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ; ทุกฺขํเยว ตสฺมึ สมเย เวทนํ เวเทติฯ ยสฺมึ, อานนฺท, สมเย อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมึ สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, น ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ; อทุกฺขมสุขํเยว ตสฺมึ สมเย เวทนํ เวเทติฯ

    Now, as to those who say: ‘Feeling is my self.’ You should say this to them: ‘Friend, there are three feelings: pleasant, painful, and neutral. Which one of these do you regard as self?’ Ānanda, at a time when you feel a pleasant feeling, you don’t feel a painful or neutral feeling; you only feel a pleasant feeling. At a time when you feel a painful feeling, you don’t feel a pleasant or neutral feeling; you only feel a painful feeling. At a time when you feel a neutral feeling, you don’t feel a pleasant or painful feeling; you only feel a neutral feeling.

    สุขาปิ โข, อานนฺท, เวทนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมาฯ ทุกฺขาปิ โข, อานนฺท, เวทนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมาฯ อทุกฺขมสุขาปิ โข, อานนฺท, เวทนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมาฯ ตสฺส สุขํ เวทนํ เวทิยมานสฺส ‘เอโส เม อตฺตา'ติ โหติฯ ตสฺสาเยว สุขาย เวทนาย นิโรธา ‘พฺยคา เม อตฺตา'ติ โหติฯ ทุกฺขํ เวทนํ เวทิยมานสฺส ‘เอโส เม อตฺตา'ติ โหติฯ ตสฺสาเยว ทุกฺขาย เวทนาย นิโรธา ‘พฺยคา เม อตฺตา'ติ โหติฯ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทิยมานสฺส ‘เอโส เม อตฺตา'ติ โหติฯ ตสฺสาเยว อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา ‘พฺยคา เม อตฺตา'ติ โหติฯ อิติ โส ทิฏฺเฐว ธมฺเม อนิจฺจสุขทุกฺขโวกิณฺณํ อุปฺปาทวยธมฺมํ อตฺตานํ สมนุปสฺสมาโน สมนุปสฺสติ, โย โส เอวมาห: ‘เวทนา เม อตฺตา'ติฯ ตสฺมาติหานนฺท, เอเตน เปตํ นกฺขมติ: ‘เวทนา เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสิตุํฯ

    Pleasant feelings, painful feelings, and neutral feelings are all impermanent, conditioned, dependently originated, liable to end, vanish, fade away, and cease. When feeling a pleasant feeling they think: ‘This is my self.’ When their pleasant feeling ceases they think: ‘My self has disappeared.’ When feeling a painful feeling they think: ‘This is my self.’ When their painful feeling ceases they think: ‘My self has disappeared.’ When feeling a neutral feeling they think: ‘This is my self.’ When their neutral feeling ceases they think: ‘My self has disappeared.’ So those who say ‘feeling is my self’ regard as self that which is evidently impermanent, mixed with pleasure and pain, and liable to rise and fall. That’s why it’s not acceptable to regard feeling as self.

    ตตฺรานนฺท, โย โส เอวมาห: ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา'ติ, โส เอวมสฺส วจนีโย: ‘ยตฺถ ปนาวุโส, สพฺพโส เวทยิตํ นตฺถิ อปิ นุ โข, ตตฺถ “อยมหมสฺมี”ติ สิยา'”ติ?

    Now, as to those who say: ‘Feeling is definitely not my self. My self does not experience feeling.’ You should say this to them, ‘But friend, where there is nothing felt at all, would the thought “I am” occur there?’”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเตน เปตํ นกฺขมติ: ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสิตุํฯ

    “That’s why it’s not acceptable to regard self as that which does not experience feeling.

    ตตฺรานนฺท, โย โส เอวมาห: ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, โนปิ อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา, อตฺตา เม เวทิยติ, เวทนาธมฺโม หิ เม อตฺตา'ติฯ โส เอวมสฺส วจนีโย—เวทนา จ หิ, อาวุโส, สพฺเพน สพฺพํ สพฺพถา สพฺพํ อปริเสสา นิรุชฺเฌยฺยุํฯ สพฺพโส เวทนาย อสติ เวทนานิโรธา อปิ นุ โข ตตฺถ ‘อยมหมสฺมี'ติ สิยา”ติ?

    Now, as to those who say: ‘Feeling is definitely not my self. But it’s not that my self does not experience feeling. My self feels, for my self is liable to feel.’ You should say this to them, ‘Suppose feelings were to totally and utterly cease without anything left over. When there’s no feeling at all, with the cessation of feeling, would the thought “I am this” occur there?’”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, เอเตน เปตํ นกฺขมติ: ‘น เหว โข เม เวทนา อตฺตา, โนปิ อปฺปฏิสํเวทโน เม อตฺตา, อตฺตา เม เวทิยติ, เวทนาธมฺโม หิ เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสิตุํฯ

    “That’s why it’s not acceptable to regard self as that which is liable to feel.

    ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ เนว เวทนํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ, โนปิ อปฺปฏิสํเวทนํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ, โนปิ ‘อตฺตา เม เวทิยติ, เวทนาธมฺโม หิ เม อตฺตา'ติ สมนุปสฺสติฯ โส เอวํ น สมนุปสฺสนฺโต น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ, อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ, อปริตสฺสํ ปจฺจตฺตญฺเญว ปรินิพฺพายติ, ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ

    Not regarding anything in this way, they don’t grasp at anything in the world. Not grasping, they’re not anxious. Not being anxious, they personally become extinguished. They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’

    เอวํ วิมุตฺตจิตฺตํ โข, อานนฺท, ภิกฺขุํ โย เอวํ วเทยฺย: ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติสฺส ทิฏฺฐี'ติ, ตทกลฺลํฯ ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติสฺส ทิฏฺฐี'ติ, ตทกลฺลํฯ ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติสฺส ทิฏฺฐี'ติ, ตทกลฺลํฯ ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา อิติสฺส ทิฏฺฐี'ติ, ตทกลฺลํฯ

    It wouldn’t be appropriate to say that a bhikkhu whose mind is freed like this holds the following views: ‘A Realized One still exists after death’; ‘A Realized One no longer exists after death’; ‘A Realized One both still exists and no longer exists after death’; ‘A Realized One neither still exists nor no longer exists after death’.

    ตํ กิสฺส เหตุ? ยาวตา, อานนฺท, อธิวจนํ ยาวตา อธิวจนปโถ, ยาวตา นิรุตฺติ ยาวตา นิรุตฺติปโถ, ยาวตา ปญฺญตฺติ ยาวตา ปญฺญตฺติปโถ, ยาวตา ปญฺญา ยาวตา ปญฺญาวจรํ, ยาวตา วฏฺฏํ, ยาวตา วฏฺฏติ, ตทภิญฺญาวิมุตฺโต ภิกฺขุ, ตทภิญฺญาวิมุตฺตํ ภิกฺขุํ ‘น ชานาติ น ปสฺสติ อิติสฺส ทิฏฺฐี'ติ, ตทกลฺลํฯ

    Why is that? A bhikkhu is freed by directly knowing this: how far labeling and the scope of labeling extend; how far terminology and the scope of terminology extend; how far description and the scope of description extend; how far wisdom and the sphere of wisdom extend; how far the cycle of rebirths and its continuation extend. It wouldn’t be appropriate to say that a bhikkhu freed by directly knowing this holds the view: ‘There is no such thing as knowing and seeing.’

    ๕ฯ สตฺตวิญฺญาณฏฺฐิติ

    5. Planes of Consciousness

    สตฺต โข, อานนฺท, วิญฺญาณฏฺฐิติโย, เทฺว อายตนานิฯ กตมา สตฺต?

    Ānanda, there are seven planes of consciousness and two dimensions. What seven?

    สนฺตานนฺท, สตฺตา นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, เสยฺยถาปิ มนุสฺสา, เอกจฺเจ จ เทวา, เอกจฺเจ จ วินิปาติกาฯ อยํ ปฐมา วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that are diverse in body and diverse in perception, such as human beings, some gods, and some beings in the underworld. This is the first plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน, เสยฺยถาปิ เทวา พฺรหฺมกายิกา ปฐมาภินิพฺพตฺตาฯ อยํ ทุติยา วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that are diverse in body and unified in perception, such as the gods reborn in Brahmā’s Host through the first jhāna. This is the second plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา เอกตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, เสยฺยถาปิ เทวา อาภสฺสราฯ อยํ ตติยา วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that are unified in body and diverse in perception, such as the gods of streaming radiance. This is the third plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา เอกตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโน, เสยฺยถาปิ เทวา สุภกิณฺหาฯ อยํ จตุตฺถี วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that are unified in body and unified in perception, such as the gods replete with glory. This is the fourth plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนูปคาฯ อยํ ปญฺจมี วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that have gone totally beyond perceptions of form. With the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, they have been reborn in the dimension of infinite space. This is the fifth plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนูปคาฯ อยํ ฉฏฺฐี วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that have gone totally beyond the dimension of infinite space. Aware that ‘consciousness is infinite’, they have been reborn in the dimension of infinite consciousness. This is the sixth plane of consciousness.

    สนฺตานนฺท, สตฺตา สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนูปคาฯ อยํ สตฺตมี วิญฺญาณฏฺฐิติฯ

    There are sentient beings that have gone totally beyond the dimension of infinite consciousness. Aware that ‘there is nothing at all’, they have been reborn in the dimension of nothingness. This is the seventh plane of consciousness.

    อสญฺญสตฺตายตนํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนเมว ทุติยํฯ

    Then there is the dimension of non-percipient beings, and secondly, the dimension of neither perception nor non-perception.

    ตตฺรานนฺท, ยายํ ปฐมา วิญฺญาณฏฺฐิติ นานตฺตกายา นานตฺตสญฺญิโน, เสยฺยถาปิ มนุสฺสา, เอกจฺเจ จ เทวา, เอกจฺเจ จ วินิปาติกาฯ โย นุ โข, อานนฺท, ตญฺจ ปชานาติ, ตสฺสา จ สมุทยํ ปชานาติ, ตสฺสา จ อตฺถงฺคมํ ปชานาติ, ตสฺสา จ อสฺสาทํ ปชานาติ, ตสฺสา จ อาทีนวํ ปชานาติ, ตสฺสา จ นิสฺสรณํ ปชานาติ, กลฺลํ นุ เตน ตทภินนฺทิตุนฺ”ติ?

    Now, regarding these seven planes of consciousness and two dimensions, is it appropriate for someone who understands them—and their origin, ending, gratification, drawback, and escape—to take pleasure in them?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต” …เป…

    “No, sir.”

    “ตตฺรานนฺท, ยมิทํ อสญฺญสตฺตายตนํฯ โย นุ โข, อานนฺท, ตญฺจ ปชานาติ, ตสฺส จ สมุทยํ ปชานาติ, ตสฺส จ อตฺถงฺคมํ ปชานาติ, ตสฺส จ อสฺสาทํ ปชานาติ, ตสฺส จ อาทีนวํ ปชานาติ, ตสฺส จ นิสฺสรณํ ปชานาติ, กลฺลํ นุ เตน ตทภินนฺทิตุนฺ”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “ตตฺรานนฺท, ยมิทํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํฯ โย นุ โข, อานนฺท, ตญฺจ ปชานาติ, ตสฺส จ สมุทยํ ปชานาติ, ตสฺส จ อตฺถงฺคมํ ปชานาติ, ตสฺส จ อสฺสาทํ ปชานาติ, ตสฺส จ อาทีนวํ ปชานาติ, ตสฺส จ นิสฺสรณํ ปชานาติ, กลฺลํ นุ เตน ตทภินนฺทิตุนฺ”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อิมาสญฺจ สตฺตนฺนํ วิญฺญาณฏฺฐิตีนํ อิเมสญฺจ ทฺวินฺนํ อายตนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทา วิมุตฺโต โหติ, อยํ วุจฺจตานนฺท, ภิกฺขุ ปญฺญาวิมุตฺโตฯ

    “When a bhikkhu, having truly understood the origin, ending, gratification, drawback, and escape regarding these seven planes of consciousness and these two dimensions, is freed by not grasping, they’re called a bhikkhu who is freed by wisdom.

    ๖ฯ อฏฺฐวิโมกฺข

    6. The Eight Liberations

    อฏฺฐ โข อิเม, อานนฺท, วิโมกฺขาฯ กตเม อฏฺฐ?

    Ānanda, there are these eight liberations. What eight?

    รูปี รูปานิ ปสฺสติ อยํ ปฐโม วิโมกฺโขฯ

    Having physical form, they see visions. This is the first liberation.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ทุติโย วิโมกฺโขฯ

    Not perceiving form internally, they see visions externally. This is the second liberation.

    สุภนฺเตว อธิมุตฺโต โหติ, อยํ ตติโย วิโมกฺโขฯ

    They’re focused only on beauty. This is the third liberation.

    สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ จตุตฺโถ วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite space. This is the fourth liberation.

    สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ปญฺจโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite consciousness. This is the fifth liberation.

    สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ฉฏฺโฐ วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, they enter and remain in the dimension of nothingness. This is the sixth liberation.

    สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ สตฺตโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of nothingness, they enter and remain in the dimension of neither perception nor non-perception. This is the seventh liberation.

    สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ อฏฺฐโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of neither perception nor non-perception, they enter and remain in the cessation of perception and feeling. This is the eighth liberation.

    อิเม โข, อานนฺท, อฏฺฐ วิโมกฺขาฯ

    These are the eight liberations.

    ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อิเม อฏฺฐ วิโมกฺเข อนุโลมมฺปิ สมาปชฺชติ, ปฏิโลมมฺปิ สมาปชฺชติ, อนุโลมปฏิโลมมฺปิ สมาปชฺชติ, ยตฺถิจฺฉกํ ยทิจฺฉกํ ยาวติจฺฉกํ สมาปชฺชติปิ วุฏฺฐาติปิฯ อาสวานญฺจ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ วุจฺจตานนฺท, ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุตฺโตฯ อิมาย จ, อานนฺท, อุภโตภาควิมุตฺติยา อญฺญา อุภโตภาควิมุตฺติ อุตฺตริตรา วา ปณีตตรา วา นตฺถี”ติฯ

    When a bhikkhu enters into and withdraws from these eight liberations—in forward order, in reverse order, and in forward and reverse order—wherever they wish, whenever they wish, and for as long as they wish; and when they realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with their own insight due to the ending of defilements, they’re called a bhikkhu who is freed both ways. And, Ānanda, there is no other freedom both ways that is better or finer than this.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.

    มหานิทานสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทุติยํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact