A World of Knowledge
    Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. มหานิทานสุตฺตวณฺณนา

    2. Mahānidānasuttavaṇṇanā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    ๙๕. เอวํ เม สุตํ…เป.… กุรูสูติ มหานิทานสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนาฯ กุรูสุ วิหรตีติ กุรู นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีสเทฺทน ‘‘กุรู’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺมิํ กุรูสุ ชนปเทฯ อฎฺฐกถาจริยา ปนาหุ – มนฺธาตุกาเล ตีสุ ทีเปสุ มนุสฺสา ‘‘ชมฺพุทีโป นาม พุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหาสาวกจกฺกวตฺติปฺปภุตีนํ อุตฺตมมนุสฺสานํ อุปฺปตฺติภูมิ อุตฺตมทีโป อติรมณีโย’’ติ สุตฺวา รญฺญา มนฺธาตุจกฺกวตฺตินา จกฺกรตนํ ปุรกฺขตฺวา จตฺตาโร ทีเป อนุสํยายเนฺตน สทฺธิํ อาคมํสุฯ ตโต ราชา ปริณายกรตนํ ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข มนุสฺสโลกโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติฯ กสฺมา เทว เอวํ ภณสิ? กิํ น ปสฺสสิ จนฺทิมสูริยานํ อานุภาวํ, นนุ เอเตสํ ฐานํ อิโต รมณียตรนฺติ? ราชา จกฺกรตนํ ปุรกฺขตฺวา ตตฺถ อคมาสิฯ จตฺตาโร มหาราชาโน – ‘‘มนฺธาตุมหาราชา อาคโต’’ติ สุตฺวาว ‘‘มหิทฺธิโก มหานุภาโว ราชา, น สกฺกา ยุเทฺธน ปฎิพาหิตุ’’นฺติ สกํ รชฺชํ นิยฺยาเตสุํฯ โส ตํ คเหตฺวา ปุน ปุจฺฉิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข อิโต รมณียตรํ ฐาน’’นฺติ?

    95.Evaṃme sutaṃ…pe… kurūsūti mahānidānasuttaṃ. Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanā. Kurūsu viharatīti kurū nāma jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīsaddena ‘‘kurū’’ti vuccati. Tasmiṃ kurūsu janapade. Aṭṭhakathācariyā panāhu – mandhātukāle tīsu dīpesu manussā ‘‘jambudīpo nāma buddhapaccekabuddhamahāsāvakacakkavattippabhutīnaṃ uttamamanussānaṃ uppattibhūmi uttamadīpo atiramaṇīyo’’ti sutvā raññā mandhātucakkavattinā cakkaratanaṃ purakkhatvā cattāro dīpe anusaṃyāyantena saddhiṃ āgamaṃsu. Tato rājā pariṇāyakaratanaṃ pucchi – ‘‘atthi nu kho manussalokato ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti. Kasmā deva evaṃ bhaṇasi? Kiṃ na passasi candimasūriyānaṃ ānubhāvaṃ, nanu etesaṃ ṭhānaṃ ito ramaṇīyataranti? Rājā cakkaratanaṃ purakkhatvā tattha agamāsi. Cattāro mahārājāno – ‘‘mandhātumahārājā āgato’’ti sutvāva ‘‘mahiddhiko mahānubhāvo rājā, na sakkā yuddhena paṭibāhitu’’nti sakaṃ rajjaṃ niyyātesuṃ. So taṃ gahetvā puna pucchi – ‘‘atthi nu kho ito ramaṇīyataraṃ ṭhāna’’nti?

    อถสฺส ตาวติํสภวนํ กถยิํสุฯ ‘‘ตาวติํสภวนํ, เทว, อิโต รมณียตรํฯ ตตฺถ สกฺกสฺส เทวรโญฺญ อิเม จตฺตาโร มหาราชาโน ปริจารกา โทวาริกภูมิยํ ติฎฺฐนฺติ, สโกฺก เทวราชา มหิทฺธิโก มหานุภาโว, ตสฺสิมานิ อุปโภคฎฺฐานานิ – โยชนสหสฺสุเพฺพโธ เวชยโนฺต ปาสาโท, ปญฺจโยชนสตุเพฺพธา สุธมฺมา เทวสภา, ทิยฑฺฒโยชนสติโก เวชยนฺตรโถ ตถา เอราวโณ หตฺถี , ทิพฺพรุกฺขสหสฺสปฺปฎิมณฺฑิตํ นนฺทนวนํ, จิตฺตลตาวนํ, ผารุสกวนํ, มิสฺสกวนํ, โยชนสตุเพฺพโธ ปาริจฺฉตฺตโก โกวิฬาโร, ตสฺส เหฎฺฐา สฎฺฐิโยชนายามา ปญฺญาสโยชนวิตฺถตา ปญฺจทสโยชนุเพฺพธา ชยกุสุมปุปฺผวณฺณา ปณฺฑุกมฺพลสิลา, ยสฺสา มุทุตาย สกฺกสฺส นิสีทโต อุปฑฺฒกาโย อนุปวิสตี’’ติฯ

    Athassa tāvatiṃsabhavanaṃ kathayiṃsu. ‘‘Tāvatiṃsabhavanaṃ, deva, ito ramaṇīyataraṃ. Tattha sakkassa devarañño ime cattāro mahārājāno paricārakā dovārikabhūmiyaṃ tiṭṭhanti, sakko devarājā mahiddhiko mahānubhāvo, tassimāni upabhogaṭṭhānāni – yojanasahassubbedho vejayanto pāsādo, pañcayojanasatubbedhā sudhammā devasabhā, diyaḍḍhayojanasatiko vejayantaratho tathā erāvaṇo hatthī , dibbarukkhasahassappaṭimaṇḍitaṃ nandanavanaṃ, cittalatāvanaṃ, phārusakavanaṃ, missakavanaṃ, yojanasatubbedho pāricchattako koviḷāro, tassa heṭṭhā saṭṭhiyojanāyāmā paññāsayojanavitthatā pañcadasayojanubbedhā jayakusumapupphavaṇṇā paṇḍukambalasilā, yassā mudutāya sakkassa nisīdato upaḍḍhakāyo anupavisatī’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ตตฺถ คนฺตุกาโม จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริฯ ตํ อากาเส ปติฎฺฐาสิ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ อถ ทฺวินฺนํ เทวโลกานํ เวมชฺฌโต จกฺกรตนํ โอตริตฺวา ปถวิยํ ปติฎฺฐาสิ สทฺธิํ ปริณายกรตนปมุขาย จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ราชา เอกโกว ตาวติํสภวนํ อคมาสิฯ สโกฺก – ‘‘มนฺธาตา อาคโต’’ติ สุตฺวาว ตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา – ‘‘สฺวาคตํ, เต มหาราช, สกํ เต มหาราช, อนุสาส มหาราชา’’ติ วตฺวา สทฺธิํ นาฎเกหิ รชฺชํ เทฺว ภาเค กตฺวา เอกํ ภาคมทาสิฯ รโญฺญ ตาวติํสภวเน ปติฎฺฐิตมตฺตเสฺสว มนุสฺสภาโว วิคจฺฉิ, เทวภาโว ปาตุรโหสิฯ ตสฺส กิร สเกฺกน สทฺธิํ ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ นิสินฺนสฺส อกฺขินิมิสมเตฺตน นานตฺตํ ปญฺญายติฯ ตํ อสลฺลเกฺขนฺตา เทวา สกฺกสฺส จ ตสฺส จ นานเตฺต มุยฺหนฺติฯ โส ตตฺถ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาโน ยาว ฉตฺติํส สกฺกา อุปฺปชฺชิตฺวา จุตา, ตาว รชฺชํ กาเรตฺวา อติโตฺตว กาเมหิ ตโต จวิตฺวา อตฺตโน อุยฺยาเน ปติฎฺฐิโต วาตาตเปน ผุฎฺฐคโตฺต กาลมกาสิฯ

    Taṃ sutvā rājā tattha gantukāmo cakkaratanaṃ abbhukkiri. Taṃ ākāse patiṭṭhāsi saddhiṃ caturaṅginiyā senāya. Atha dvinnaṃ devalokānaṃ vemajjhato cakkaratanaṃ otaritvā pathaviyaṃ patiṭṭhāsi saddhiṃ pariṇāyakaratanapamukhāya caturaṅginiyā senāya. Rājā ekakova tāvatiṃsabhavanaṃ agamāsi. Sakko – ‘‘mandhātā āgato’’ti sutvāva tassa paccuggamanaṃ katvā – ‘‘svāgataṃ, te mahārāja, sakaṃ te mahārāja, anusāsa mahārājā’’ti vatvā saddhiṃ nāṭakehi rajjaṃ dve bhāge katvā ekaṃ bhāgamadāsi. Rañño tāvatiṃsabhavane patiṭṭhitamattasseva manussabhāvo vigacchi, devabhāvo pāturahosi. Tassa kira sakkena saddhiṃ paṇḍukambalasilāyaṃ nisinnassa akkhinimisamattena nānattaṃ paññāyati. Taṃ asallakkhentā devā sakkassa ca tassa ca nānatte muyhanti. So tattha dibbasampattiṃ anubhavamāno yāva chattiṃsa sakkā uppajjitvā cutā, tāva rajjaṃ kāretvā atittova kāmehi tato cavitvā attano uyyāne patiṭṭhito vātātapena phuṭṭhagatto kālamakāsi.

    จกฺกรตเน ปน ปุน ปถวิยํ ปติฎฺฐิเต ปริณายกรตนํ สุวณฺณปเฎฺฎ มนฺธาตุ อุปาหนํ ลิขาเปตฺวา อิทํ มนฺธาตุ รชฺชนฺติ รชฺชมนุสาสิฯ เตปิ ตีหิ ทีเปหิ อาคตมนุสฺสา ปุน คนฺตุํ อสโกฺกนฺตา ปริณายกรตนํ อุปสงฺกมิตฺวา – ‘‘เทว, มยํ รโญฺญ อานุภาเวน อาคตา, อิทานิ คนฺตุํ น สโกฺกม, วสนฎฺฐานํ โน เทหี’’ติ ยาจิํสุฯ โส เตสํ เอกเมกํ ชนปทมทาสิฯ ตตฺถ ปุพฺพวิเทหโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส ตาเยว ปุริมสญฺญาย – ‘‘วิเทหรฎฺฐ’’นฺติ นามํ ลภิ, อปรโคยานโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส ‘‘อปรนฺตชนปโท’’ติ นามํ ลภิ, อุตฺตรกุรุโต อาคตมนุเสฺสหิ อาวสิตปเทโส ‘‘กุรุรฎฺฐ’’นฺติ นามํ ลภิ, พหุเก ปน คามนิคมาทโย อุปาทาย พหุวจเนน โวหริยติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘กุรูสุ วิหรตี’’ติฯ

    Cakkaratane pana puna pathaviyaṃ patiṭṭhite pariṇāyakaratanaṃ suvaṇṇapaṭṭe mandhātu upāhanaṃ likhāpetvā idaṃ mandhātu rajjanti rajjamanusāsi. Tepi tīhi dīpehi āgatamanussā puna gantuṃ asakkontā pariṇāyakaratanaṃ upasaṅkamitvā – ‘‘deva, mayaṃ rañño ānubhāvena āgatā, idāni gantuṃ na sakkoma, vasanaṭṭhānaṃ no dehī’’ti yāciṃsu. So tesaṃ ekamekaṃ janapadamadāsi. Tattha pubbavidehato āgatamanussehi āvasitapadeso tāyeva purimasaññāya – ‘‘videharaṭṭha’’nti nāmaṃ labhi, aparagoyānato āgatamanussehi āvasitapadeso ‘‘aparantajanapado’’ti nāmaṃ labhi, uttarakuruto āgatamanussehi āvasitapadeso ‘‘kururaṭṭha’’nti nāmaṃ labhi, bahuke pana gāmanigamādayo upādāya bahuvacanena vohariyati. Tena vuttaṃ – ‘‘kurūsu viharatī’’ti.

    กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมติ กมฺมาสธมฺมนฺติ เอตฺถ เกจิ ธ-การสฺส ท-กาเรน อตฺถํ วณฺณยนฺติฯ กมฺมาโส เอตฺถ ทมิโตติ กมฺมาสทโมฺมฯ กมฺมาโสติ กมฺมาสปาโท โปริสาโท วุจฺจติฯ ตสฺส กิร ปาเท ขาณุเกน วิทฺธฎฺฐาเน วโณ รุหโนฺต จิตฺตทารุสทิโส หุตฺวา รุหิฯ ตสฺมา กมฺมาสปาโทติ ปญฺญายิตฺถฯ โส จ ตสฺมิํ โอกาเส ทมิโต โปริสาทภาวโต ปฎิเสธิโต ฯ เกน? มหาสเตฺตนฯ กตรสฺมิํ ชาตเกติ? มหาสุตโสมชาตเกติ เอเกฯ อิเม ปน เถรา ชยทฺทิสชาตเกติ วทนฺติฯ ตทา หิ มหาสเตฺตน กมฺมาสปาโท ทมิโตฯ ยถาห –

    Kammāsadhammaṃ nāma kurūnaṃ nigamoti kammāsadhammanti ettha keci dha-kārassa da-kārena atthaṃ vaṇṇayanti. Kammāso ettha damitoti kammāsadammo.Kammāsoti kammāsapādo porisādo vuccati. Tassa kira pāde khāṇukena viddhaṭṭhāne vaṇo ruhanto cittadārusadiso hutvā ruhi. Tasmā kammāsapādoti paññāyittha. So ca tasmiṃ okāse damito porisādabhāvato paṭisedhito . Kena? Mahāsattena. Katarasmiṃ jātaketi? Mahāsutasomajātaketi eke. Ime pana therā jayaddisajātaketi vadanti. Tadā hi mahāsattena kammāsapādo damito. Yathāha –

    ‘‘ปุโตฺต ยทา โหมิ ชยทฺทิสสฺส;

    ‘‘Putto yadā homi jayaddisassa;

    ปญฺจาลรฎฺฐธิปติสฺส อตฺรโชฯ

    Pañcālaraṭṭhadhipatissa atrajo.

    จชิตฺวาน ปาณํ ปิตรํ ปโมจยิํ;

    Cajitvāna pāṇaṃ pitaraṃ pamocayiṃ;

    กมฺมาสปาทมฺปิ จหํ ปสาทยิ’’นฺติฯ

    Kammāsapādampi cahaṃ pasādayi’’nti.

    เกจิ ปน ธ-กาเรเนว อตฺถํ วณฺณยนฺติฯ กุรูรฎฺฐวาสีนํ กิร กุรุวตฺตธโมฺม, ตสฺมิํ กมฺมาโส ชาโต, ตสฺมา ตํ ฐานํ กมฺมาโส เอตฺถ ธโมฺม ชาโตติ กมฺมาสธมฺมนฺติ วุจฺจติฯ ตตฺถ นิวิฎฺฐนิคมสฺสาปิ เอตเทว นามํฯ ภุมฺมวจเนน กสฺมา น วุตฺตนฺติฯ อวสโนกาสโตฯ ภควโต กิร ตสฺมิํ นิคเม วสโนกาโส โกจิ วิหาโร นาม นาโหสิฯ นิคมโต ปน อปกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ อุทกสมฺปเนฺน รมณีเย ภูมิภาเค มหาวนสโณฺฑ อโหสิ ตตฺถ ภควา วิหาสิ, ตํ นิคมํ โคจรคามํ กตฺวาฯ ตสฺมา เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพ – ‘‘กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโม, ตํ โคจรคามํ กตฺวา’’ติฯ

    Keci pana dha-kāreneva atthaṃ vaṇṇayanti. Kurūraṭṭhavāsīnaṃ kira kuruvattadhammo, tasmiṃ kammāso jāto, tasmā taṃ ṭhānaṃ kammāso ettha dhammo jātoti kammāsadhammanti vuccati. Tattha niviṭṭhanigamassāpi etadeva nāmaṃ. Bhummavacanena kasmā na vuttanti. Avasanokāsato. Bhagavato kira tasmiṃ nigame vasanokāso koci vihāro nāma nāhosi. Nigamato pana apakkamma aññatarasmiṃ udakasampanne ramaṇīye bhūmibhāge mahāvanasaṇḍo ahosi tattha bhagavā vihāsi, taṃ nigamaṃ gocaragāmaṃ katvā. Tasmā evamettha attho veditabbo – ‘‘kurūsu viharati kammāsadhammaṃ nāma kurūnaṃ nigamo, taṃ gocaragāmaṃ katvā’’ti.

    อายสฺมาติ ปิยวจนเมตํ, คารววจนเมตํฯ อานโนฺทติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ เอกมนฺตนฺติ ภาวนปุํสกนิเทฺทโส – ‘‘วิสมํ จนฺทิมสูริยา ปริวตฺตนฺตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๗๐) วิยฯ ตสฺมา ยถา นิสิโนฺน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหติ, ตถา นิสีทีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ภุมฺมเตฺถ วา เอตํ อุปโยควจนํ นิสีทีติ อุปาวิสิฯ ปณฺฑิตา หิ ครุฎฺฐานิยํ อุปสงฺกมิตฺวา อาสนกุสลตาย เอกมนฺตํ นิสีทนฺติฯ อยญฺจ เตสํ อญฺญตโร, ตสฺมา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Āyasmāti piyavacanametaṃ, gāravavacanametaṃ. Ānandoti tassa therassa nāmaṃ. Ekamantanti bhāvanapuṃsakaniddeso – ‘‘visamaṃ candimasūriyā parivattantī’’tiādīsu (a. ni. 4.70) viya. Tasmā yathā nisinno ekamantaṃ nisinno hoti, tathā nisīdīti evamettha attho daṭṭhabbo. Bhummatthe vā etaṃ upayogavacanaṃ nisīdīti upāvisi. Paṇḍitā hi garuṭṭhāniyaṃ upasaṅkamitvā āsanakusalatāya ekamantaṃ nisīdanti. Ayañca tesaṃ aññataro, tasmā ekamantaṃ nisīdi.

    กถํ นิสิโนฺน โข ปน เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โหตีติ? ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวาฯ เสยฺยถิทํ – อติทูรํ, อจฺจาสนฺนํ, อุปริวาตํ, อุนฺนตปฺปเทสํ, อติสมฺมุขํ, อติปจฺฉาติฯ อติทูเร นิสิโนฺน หิ สเจ กเถตุกาโม โหติ, อุจฺจาสเทฺทน กเถตพฺพํ โหติฯ อจฺจาสเนฺน นิสิโนฺน สงฺฆฎฺฎนํ กโรติฯ อุปริวาเต นิสิโนฺน สรีรคเนฺธน พาธติฯ อุนฺนตปฺปเทเส นิสิโนฺน อคารวํ ปกาเสติฯ อติสมฺมุขา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, จกฺขุนา จกฺขุํ อาหจฺจ ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ อติปจฺฉา นิสิโนฺน สเจ ทฎฺฐุกาโม โหติ, คีวํ ปริวเตฺตตฺวา ทฎฺฐพฺพํ โหติฯ ตสฺมา อยมฺปิ ติกฺขตฺตุํ ภควนฺตํ ปทกฺขิณํ กตฺวา สกฺกจฺจํ วนฺทิตฺวา เอเต ฉ นิสชฺชโทเส วเชฺชตฺวา ทกฺขิณชาณุมณฺฑลสฺส อภิมุขฎฺฐาเน ฉพฺพณฺณานํ พุทฺธรสฺมีนํ อโนฺต ปวิสิตฺวา ปสนฺนลาขารสํ วิคาหโนฺต วิย สุวณฺณปฎํ ปารุปโนฺต วิย รตฺตุปฺปลมาลาวิตานมชฺฌํ ปวิสโนฺต วิย จ ธมฺมภณฺฑาคาริโก อายสฺมา อานโนฺท นิสีทิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอกมนฺตํ นิสีที’’ติฯ

    Kathaṃ nisinno kho pana ekamantaṃ nisinno hotīti? Cha nisajjadose vajjetvā. Seyyathidaṃ – atidūraṃ, accāsannaṃ, uparivātaṃ, unnatappadesaṃ, atisammukhaṃ, atipacchāti. Atidūre nisinno hi sace kathetukāmo hoti, uccāsaddena kathetabbaṃ hoti. Accāsanne nisinno saṅghaṭṭanaṃ karoti. Uparivāte nisinno sarīragandhena bādhati. Unnatappadese nisinno agāravaṃ pakāseti. Atisammukhā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, cakkhunā cakkhuṃ āhacca daṭṭhabbaṃ hoti. Atipacchā nisinno sace daṭṭhukāmo hoti, gīvaṃ parivattetvā daṭṭhabbaṃ hoti. Tasmā ayampi tikkhattuṃ bhagavantaṃ padakkhiṇaṃ katvā sakkaccaṃ vanditvā ete cha nisajjadose vajjetvā dakkhiṇajāṇumaṇḍalassa abhimukhaṭṭhāne chabbaṇṇānaṃ buddharasmīnaṃ anto pavisitvā pasannalākhārasaṃ vigāhanto viya suvaṇṇapaṭaṃ pārupanto viya rattuppalamālāvitānamajjhaṃ pavisanto viya ca dhammabhaṇḍāgāriko āyasmā ānando nisīdi. Tena vuttaṃ – ‘‘ekamantaṃ nisīdī’’ti.

    กาย ปน เวลาย, เกน การเณน อยมายสฺมา ภควนฺตํ อุปสงฺกมโนฺตติ? สายนฺหเวลายํ ปจฺจยาการปญฺหปุจฺฉนการเณนฯ ตํ ทิวสํ กิรายมายสฺมา กุลสงฺคหตฺถาย ฆรทฺวาเร ฆรทฺวาเร สหสฺสภณฺฑิกํ นิกฺขิปโนฺต วิย กมฺมาสธมฺมคามํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต สตฺถุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา สตฺถริ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ทิวาฎฺฐานํ คนฺตฺวา อเนฺตวาสิเกสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ปฎิกฺกเนฺตสุ ทิวาฎฺฐานํ ปฎิสมฺมชฺชิตฺวา จมฺมกฺขณฺฑํ ปญฺญเปตฺวา อุทกตุมฺพโต อุทกํ คเหตฺวา อุทเกน หตฺถปาเท สีตเล กตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺน โสตาปตฺติผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิฯ อถ ปริจฺฉินฺนกาลวเสน สมาปตฺติโต อุฎฺฐาย ปจฺจยากาเร ญาณํ โอตาเรสิฯ โส – ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทิโต ปฎฺฐาย อนฺตํ, อนฺตโต ปฎฺฐาย อาทิํ, อุภยนฺตโต ปฎฺฐาย มชฺฌํ, มชฺฌโต ปฎฺฐาย อุโภ อเนฺต ปาเปโนฺต ติกฺขตฺตุํ ทฺวาทสปทํ ปจฺจยาการํ สมฺมสิฯ ตเสฺสวํ สมฺมสนฺตสฺส ปจฺจยากาโร วิภูโต หุตฺวา อุตฺตานกุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ

    Kāya pana velāya, kena kāraṇena ayamāyasmā bhagavantaṃ upasaṅkamantoti? Sāyanhavelāyaṃ paccayākārapañhapucchanakāraṇena. Taṃ divasaṃ kirāyamāyasmā kulasaṅgahatthāya gharadvāre gharadvāre sahassabhaṇḍikaṃ nikkhipanto viya kammāsadhammagāmaṃ piṇḍāya caritvā piṇḍapātapaṭikkanto satthu vattaṃ dassetvā satthari gandhakuṭiṃ paviṭṭhe satthāraṃ vanditvā attano divāṭṭhānaṃ gantvā antevāsikesu vattaṃ dassetvā paṭikkantesu divāṭṭhānaṃ paṭisammajjitvā cammakkhaṇḍaṃ paññapetvā udakatumbato udakaṃ gahetvā udakena hatthapāde sītale katvā pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno sotāpattiphalasamāpattiṃ samāpajji. Atha paricchinnakālavasena samāpattito uṭṭhāya paccayākāre ñāṇaṃ otāresi. So – ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādito paṭṭhāya antaṃ, antato paṭṭhāya ādiṃ, ubhayantato paṭṭhāya majjhaṃ, majjhato paṭṭhāya ubho ante pāpento tikkhattuṃ dvādasapadaṃ paccayākāraṃ sammasi. Tassevaṃ sammasantassa paccayākāro vibhūto hutvā uttānakuttānako viya upaṭṭhāsi.

    ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ ปจฺจยากาโร สพฺพพุเทฺธหิ – ‘คมฺภีโร เจว คมฺภีราวภาโส จา’ติ กถิโต, มยฺหํ โข ปน ปเทสญาเณ ฐิตสฺส สาวกสฺส สโต อุตฺตาโน วิภูโต ปากโฎ หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, มยฺหํเยว นุ โข เอส อุตฺตานโก หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อุทาหุ อเญฺญสมฺปี’’ติ? อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘หนฺทาหํ อิมํ ปญฺหํ คเหตฺวา ภควนฺตํ ปุจฺฉามิ, อทฺธา เม ภควา อิมํ อตฺถุปฺปตฺติํ กตฺวา สาลินฺทํ สิเนรุํ อุกฺขิปโนฺต วิย เอกํ สุตฺตนฺตกถํ กเถตฺวา ทเสฺสสฺสติฯ พุทฺธานญฺหิ วินยปญฺญตฺติํ, ภุมฺมนฺตรํ, ปจฺจยาการํ, สมยนฺตรนฺติ อิมานิ จตฺตาริ ฐานานิ ปตฺวา คชฺชิตํ มหนฺตํ โหติ, ญาณํ อนุปวิสติ, พุทฺธญาณสฺส มหนฺตภาโว ปญฺญายติ, เทสนา คมฺภีรา โหติ ติลกฺขณพฺภาหตา สุญฺญตปฎิสํยุตฺตา’’ติฯ

    Tato cintesi – ‘‘ayaṃ paccayākāro sabbabuddhehi – ‘gambhīro ceva gambhīrāvabhāso cā’ti kathito, mayhaṃ kho pana padesañāṇe ṭhitassa sāvakassa sato uttāno vibhūto pākaṭo hutvā upaṭṭhāti, mayhaṃyeva nu kho esa uttānako hutvā upaṭṭhāti, udāhu aññesampī’’ti? Athassa etadahosi – ‘‘handāhaṃ imaṃ pañhaṃ gahetvā bhagavantaṃ pucchāmi, addhā me bhagavā imaṃ atthuppattiṃ katvā sālindaṃ sineruṃ ukkhipanto viya ekaṃ suttantakathaṃ kathetvā dassessati. Buddhānañhi vinayapaññattiṃ, bhummantaraṃ, paccayākāraṃ, samayantaranti imāni cattāri ṭhānāni patvā gajjitaṃ mahantaṃ hoti, ñāṇaṃ anupavisati, buddhañāṇassa mahantabhāvo paññāyati, desanā gambhīrā hoti tilakkhaṇabbhāhatā suññatapaṭisaṃyuttā’’ti.

    โส กิญฺจาปิ ปกติยาว เอกทิวเส สตวารมฺปิ สหสฺสวารมฺปิ ภควนฺตํ อุปสงฺกมโนฺต น อเหตุอการเณน อุปสงฺกมติ, ตํ ทิวสํ ปน อิมํ ปญฺหํ คเหตฺวา – ‘‘อิมํ พุทฺธคนฺธหตฺถิํ อาปชฺช ญาณโกญฺจนาทํ โสสฺสามิ, พุทฺธสีหํ อาปชฺช ญาณสีหนาทํ โสสฺสามิ, พุทฺธสินฺธวํ อาปชฺช ญาณปทวิกฺกมํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทิวาฎฺฐานา อุฎฺฐาย จมฺมกฺขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา อาทาย สายนฺหสมเย ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สายนฺหเวลายํ ปจฺจยาการปญฺหปุจฺฉนการเณน อุปสงฺกมโนฺต’’ติฯ

    So kiñcāpi pakatiyāva ekadivase satavārampi sahassavārampi bhagavantaṃ upasaṅkamanto na ahetuakāraṇena upasaṅkamati, taṃ divasaṃ pana imaṃ pañhaṃ gahetvā – ‘‘imaṃ buddhagandhahatthiṃ āpajja ñāṇakoñcanādaṃ sossāmi, buddhasīhaṃ āpajja ñāṇasīhanādaṃ sossāmi, buddhasindhavaṃ āpajja ñāṇapadavikkamaṃ passissāmī’’ti cintetvā divāṭṭhānā uṭṭhāya cammakkhaṇḍaṃ papphoṭetvā ādāya sāyanhasamaye bhagavantaṃ upasaṅkami. Tena vuttaṃ – ‘‘sāyanhavelāyaṃ paccayākārapañhapucchanakāraṇena upasaṅkamanto’’ti.

    ยาว คมฺภีโรติ เอตฺถ ยาวสโทฺท ปมาณาติกฺกเม, อติกฺกมฺม ปมาณํ คมฺภีโร, อติคมฺภีโรติ อโตฺถฯ คมฺภีราวภาโสติ คมฺภีโรว หุตฺวา อวภาสติ, ทิสฺสตีติ อโตฺถฯ เอกญฺหิ อุตฺตานเมว คมฺภีราวภาสํ โหติ ปูติปณฺณาทิวเสน กาฬวณฺณปุราณอุทกํ วิยฯ ตญฺหิ ชาณุปฺปมาณมฺปิ สตโปริสํ วิย ทิสฺสติฯ เอกํ คมฺภีรํ อุตฺตานาวภาสํ โหติ มณิคงฺคาย วิปฺปสนฺนอุทกํ วิยฯ ตญฺหิ สตโปริสมฺปิ ชาณุปฺปมาณํ วิย ขายติฯ เอกํ อุตฺตานํ อุตฺตานาวภาสํ โหติ จาฎิอาทีสุ อุทกํ วิยฯ เอกํ คมฺภีรํ คมฺภีราวภาสํ โหติ สิเนรุปาทกมหาสมุเทฺท อุทกํ วิยฯ เอวํ อุทกเมว จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ ปฎิจฺจสมุปฺปาเท ปเนตํ นตฺถิฯ อยญฺหิ คมฺภีโร เจว คมฺภีราวภาโส จาติ เอกเมว นามํ ลภติฯ เอวรูโป สมาโนปิ อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ, ยทิทํ อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ ภเนฺตติฯ เอวํ อตฺตโน วิมฺหยํ ปกาเสโนฺต ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ตุณฺหีภูโต นิสีทิฯ

    Yāva gambhīroti ettha yāvasaddo pamāṇātikkame, atikkamma pamāṇaṃ gambhīro, atigambhīroti attho. Gambhīrāvabhāsoti gambhīrova hutvā avabhāsati, dissatīti attho. Ekañhi uttānameva gambhīrāvabhāsaṃ hoti pūtipaṇṇādivasena kāḷavaṇṇapurāṇaudakaṃ viya. Tañhi jāṇuppamāṇampi sataporisaṃ viya dissati. Ekaṃ gambhīraṃ uttānāvabhāsaṃ hoti maṇigaṅgāya vippasannaudakaṃ viya. Tañhi sataporisampi jāṇuppamāṇaṃ viya khāyati. Ekaṃ uttānaṃ uttānāvabhāsaṃ hoti cāṭiādīsu udakaṃ viya. Ekaṃ gambhīraṃ gambhīrāvabhāsaṃ hoti sinerupādakamahāsamudde udakaṃ viya. Evaṃ udakameva cattāri nāmāni labhati. Paṭiccasamuppāde panetaṃ natthi. Ayañhi gambhīro ceva gambhīrāvabhāso cāti ekameva nāmaṃ labhati. Evarūpo samānopi atha ca pana me uttānakuttānako viya khāyati, yadidaṃ acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ bhanteti. Evaṃ attano vimhayaṃ pakāsento pañhaṃ pucchitvā tuṇhībhūto nisīdi.

    ภควา ตสฺส วจนํ สุตฺวา – ‘‘อานโนฺท ภวคฺคคฺคหณาย หตฺถํ ปสาเรโนฺต วิย, สิเนรุํ ฉินฺทิตฺวา มิญฺชํ นีหริตุํ วายมมาโน วิย, วินา นาวาย มหาสมุทฺทํ ตริตุกาโม วิย, ปถวิํ ปริวเตฺตตฺวา ปถโวชํ คเหตุํ วายมมาโน วิย พุทฺธวิสยปญฺหํ อตฺตโน อุตฺตานํ วทติฯ หนฺทสฺส คมฺภีรภาวํ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มา เหวนฺติอาทิมาหฯ

    Bhagavā tassa vacanaṃ sutvā – ‘‘ānando bhavaggaggahaṇāya hatthaṃ pasārento viya, sineruṃ chinditvā miñjaṃ nīharituṃ vāyamamāno viya, vinā nāvāya mahāsamuddaṃ taritukāmo viya, pathaviṃ parivattetvā pathavojaṃ gahetuṃ vāyamamāno viya buddhavisayapañhaṃ attano uttānaṃ vadati. Handassa gambhīrabhāvaṃ ācikkhissāmī’’ti cintetvā mā hevantiādimāha.

    ตตฺถ มา เหวนฺติ ห-กาโร นิปาตมตฺตํฯ เอวํ มา ภณีติ อโตฺถฯ มา เหวนฺติ จ อิทํ วจนํ ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อุสฺสาเทโนฺตปิ ภณติ อปสาเทโนฺตปิฯ

    Tattha mā hevanti ha-kāro nipātamattaṃ. Evaṃ mā bhaṇīti attho. Mā hevanti ca idaṃ vacanaṃ bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ ussādentopi bhaṇati apasādentopi.

    อุสฺสาทนาวณฺณนา

    Ussādanāvaṇṇanā

    ตตฺถ อุสฺสาเทโนฺต – อานนฺท, ตฺวํ มหาปโญฺญ วิสทญาโณ, เตน เต คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย ขายติฯ อเญฺญสํ ปเนส อุตฺตานโกติ น สลฺลเกฺขตโพฺพ, คมฺภีโรเยว จ คมฺภีราวภาโส จฯ ตตฺถ จตโสฺส อุปมา วทนฺติฯ ฉมาเส สุโภชนรสปุฎฺฐสฺส กิร กตโยคสฺส มหามลฺลสฺส สมชฺชสมเย กตมลฺลปาสาณปริจยสฺส ยุทฺธภูมิํ คจฺฉนฺตสฺส อนฺตรา มลฺลปาสาณํ ทเสฺสสุํ, โส – กิํ เอตนฺติ อาหฯ มลฺลปาสาโณติฯ อาหรถ นนฺติฯ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกมาติ วุเตฺต สยํ คนฺตฺวา กุหิํ อิมสฺส ภาริยฎฺฐานนฺติ วตฺวา ทฺวีหิ หเตฺถหิ เทฺว ปาสาเณ อุกฺขิปิตฺวา กีฬาคุเฬ วิย ขิปิตฺวา อคมาสิฯ ตตฺถ มลฺลสฺส มลฺลปาสาโณ ลหุโกปิ น อเญฺญสํ ลหุโกติ วตฺตโพฺพฯ ฉมาเส สุโภชนรสปุโฎฺฐ มโลฺล วิย หิ กปฺปสตสหสฺสํ อภินีหารสมฺปโนฺน อายสฺมา อานโนฺท, ยถา มลฺลสฺส มหาพลตาย มลฺลปาสาโณ ลหุโก, เอวํ เถรสฺส มหาปญฺญตาย ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโน, โส อเญฺญสํ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    Tattha ussādento – ānanda, tvaṃ mahāpañño visadañāṇo, tena te gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya khāyati. Aññesaṃ panesa uttānakoti na sallakkhetabbo, gambhīroyeva ca gambhīrāvabhāso ca. Tattha catasso upamā vadanti. Chamāse subhojanarasapuṭṭhassa kira katayogassa mahāmallassa samajjasamaye katamallapāsāṇaparicayassa yuddhabhūmiṃ gacchantassa antarā mallapāsāṇaṃ dassesuṃ, so – kiṃ etanti āha. Mallapāsāṇoti. Āharatha nanti. Ukkhipituṃ na sakkomāti vutte sayaṃ gantvā kuhiṃ imassa bhāriyaṭṭhānanti vatvā dvīhi hatthehi dve pāsāṇe ukkhipitvā kīḷāguḷe viya khipitvā agamāsi. Tattha mallassa mallapāsāṇo lahukopi na aññesaṃ lahukoti vattabbo. Chamāse subhojanarasapuṭṭho mallo viya hi kappasatasahassaṃ abhinīhārasampanno āyasmā ānando, yathā mallassa mahābalatāya mallapāsāṇo lahuko, evaṃ therassa mahāpaññatāya paṭiccasamuppādo uttāno, so aññesaṃ uttānoti na vattabbo.

    มหาสมุเทฺท จ ติมินาม มโจฺฉ ทฺวิโยชนสติโก ติมิงฺคโล ติโยชนสติโก, ติมิปิงฺคโล จตุโยชนสติโก ติมิรปิงฺคโล ปญฺจโยชนสติโก, อานโนฺท ติมินโนฺท อชฺฌาโรโห มหาติมีติ อิเม จตฺตาโร โยชนสหสฺสิกาฯ ตตฺถ ติมิรปิงฺคเลเนว ทีเปนฺติฯ ตสฺส กิร ทกฺขิณกณฺณํ จาเลนฺตสฺส ปญฺจโยชนสเต ปเทเส อุทกํ จลติฯ ตถา วามกณฺณํฯ ตถา นงฺคุฎฺฐํ, ตถา สีสํฯ เทฺว ปน กเณฺณ จาเลตฺวา นงฺคุเฎฺฐน อุทกํ ปหริตฺวา สีสํ อปราปรํ กตฺวา กีฬิตุํ อารทฺธสฺส สตฺตฎฺฐโยชนสเต ปเทเส ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา อุทฺธเน อาโรปิตํ วิย อุทกํ ปกฺกุถติ, ติโยชนสตมเตฺต ปเทเส อุทกํ ปิฎฺฐิํ ฉาเทตุํ น สโกฺกติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ มหาสมุโทฺท คมฺภีโร คมฺภีโรติ วทนฺติ กุตสฺส คมฺภีรตา, มยํ ปิฎฺฐิปฎิจฺฉาทนมตฺตมฺปิ อุทกํ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายุปปนฺนสฺส ติมิรปิงฺคลสฺส มหาสมุโทฺท อุตฺตาโนติ, อเญฺญสํ ขุทฺทกมจฺฉานํ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพ, เอวเมว ญาณุปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ, อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    Mahāsamudde ca timināma maccho dviyojanasatiko timiṅgalo tiyojanasatiko, timipiṅgalo catuyojanasatiko timirapiṅgalo pañcayojanasatiko, ānando timinando ajjhāroho mahātimīti ime cattāro yojanasahassikā. Tattha timirapiṅgaleneva dīpenti. Tassa kira dakkhiṇakaṇṇaṃ cālentassa pañcayojanasate padese udakaṃ calati. Tathā vāmakaṇṇaṃ. Tathā naṅguṭṭhaṃ, tathā sīsaṃ. Dve pana kaṇṇe cāletvā naṅguṭṭhena udakaṃ paharitvā sīsaṃ aparāparaṃ katvā kīḷituṃ āraddhassa sattaṭṭhayojanasate padese bhājane pakkhipitvā uddhane āropitaṃ viya udakaṃ pakkuthati, tiyojanasatamatte padese udakaṃ piṭṭhiṃ chādetuṃ na sakkoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ mahāsamuddo gambhīro gambhīroti vadanti kutassa gambhīratā, mayaṃ piṭṭhipaṭicchādanamattampi udakaṃ na labhāmā’’ti. Tattha kāyupapannassa timirapiṅgalassa mahāsamuddo uttānoti, aññesaṃ khuddakamacchānaṃ uttānoti na vattabbo, evameva ñāṇupapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti, aññesampi uttānoti na vattabbo.

    สุปณฺณราชา จ ทิยฑฺฒโยชนสติโก, ตสฺส ทกฺขิณปโกฺข ปญฺญาสโยชนิโก โหติ ตถา วามปโกฺข, ปิญฺฉวฎฺฎิ สฎฺฐิโยชนิกา, คีวา ติํสโยชนิกา, มุขํ นวโยชนํ, ปาทา ทฺวาทสโยชนิกาฯ ตสฺมิํ สุปณฺณวาตํ ทเสฺสตุํ อารเทฺธ สตฺตฎฺฐโยชนสตํ ฐานํ นปฺปโหติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ อากาโส อนโนฺต อนโนฺตติ วทนฺติ, กุตสฺส อนนฺตตา, มยํ ปกฺขวาตปฺปสารโณกาสมฺปิ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายุปปนฺนสฺส สุปณฺณรโญฺญ อากาโส ปริโตฺตติ, อเญฺญสํ ขุทฺทกปกฺขีนํ ปริโตฺตติ น วตฺตโพฺพ, เอวเมว ญาณุปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ, อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ

    Supaṇṇarājā ca diyaḍḍhayojanasatiko, tassa dakkhiṇapakkho paññāsayojaniko hoti tathā vāmapakkho, piñchavaṭṭi saṭṭhiyojanikā, gīvā tiṃsayojanikā, mukhaṃ navayojanaṃ, pādā dvādasayojanikā. Tasmiṃ supaṇṇavātaṃ dassetuṃ āraddhe sattaṭṭhayojanasataṃ ṭhānaṃ nappahoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ ākāso ananto anantoti vadanti, kutassa anantatā, mayaṃ pakkhavātappasāraṇokāsampi na labhāmā’’ti. Tattha kāyupapannassa supaṇṇarañño ākāso parittoti, aññesaṃ khuddakapakkhīnaṃ parittoti na vattabbo, evameva ñāṇupapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti, aññesampi uttānoti na vattabbo.

    ราหุ อสุริโนฺท ปน ปาทนฺตโต ยาว เกสนฺตา โยชนานํ จตฺตาริ สหสฺสานิ อฎฺฐ จ สตานิ โหติฯ ตสฺส ทฺวินฺนํ พาหานํ อนฺตรํ ทฺวาทสโยชนสติกํฯ พหลเตฺตน ฉโยชนสติกํ ฯ หตฺถปาทตลานิ ติโยชนสติกานิ, ตถา มุขํฯ เอเกกํ องฺคุลิปพฺพํ ปญฺญาสโยชนํ, ตถา ภมุกนฺตรํฯ นลาฎํ ติโยชนสติกํฯ สีสํ นวโยชนสติกํฯ ตสฺส มหาสมุทฺทํ โอติณฺณสฺส คมฺภีรํ อุทกํ ชาณุปฺปมาณํ โหติฯ โส เอวํ วเทยฺย – ‘‘อยํ มหาสมุโทฺท คมฺภีโร คมฺภีโรติ วทนฺติ, กุตสฺส คมฺภีรตา, มยํ ชาณุปฺปฎิจฺฉาทนมตฺตมฺปิ อุทกํ น ลภามา’’ติฯ ตตฺถ กายุปปนฺนสฺส ราหุโน มหาสมุโทฺท อุตฺตาโนติ, อเญฺญสํ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพ, เอวเมว ญาณุปปนฺนสฺส เถรสฺส ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ, อเญฺญสมฺปิ อุตฺตาโนติ น วตฺตโพฺพฯ เอตมตฺถํ สนฺธาย ภควา – ‘‘มา เหวํ, อานนฺท, อวจ; มา เหวํ, อานนฺท อวจา’’ติ อาหฯ

    Rāhu asurindo pana pādantato yāva kesantā yojanānaṃ cattāri sahassāni aṭṭha ca satāni hoti. Tassa dvinnaṃ bāhānaṃ antaraṃ dvādasayojanasatikaṃ. Bahalattena chayojanasatikaṃ . Hatthapādatalāni tiyojanasatikāni, tathā mukhaṃ. Ekekaṃ aṅgulipabbaṃ paññāsayojanaṃ, tathā bhamukantaraṃ. Nalāṭaṃ tiyojanasatikaṃ. Sīsaṃ navayojanasatikaṃ. Tassa mahāsamuddaṃ otiṇṇassa gambhīraṃ udakaṃ jāṇuppamāṇaṃ hoti. So evaṃ vadeyya – ‘‘ayaṃ mahāsamuddo gambhīro gambhīroti vadanti, kutassa gambhīratā, mayaṃ jāṇuppaṭicchādanamattampi udakaṃ na labhāmā’’ti. Tattha kāyupapannassa rāhuno mahāsamuddo uttānoti, aññesaṃ uttānoti na vattabbo, evameva ñāṇupapannassa therassa paṭiccasamuppādo uttānoti, aññesampi uttānoti na vattabbo. Etamatthaṃ sandhāya bhagavā – ‘‘mā hevaṃ, ānanda, avaca; mā hevaṃ, ānanda avacā’’ti āha.

    เถรสฺส หิ จตูหิ การเณหิ คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตาโนติ อุปฎฺฐาติฯ กตเมหิ จตูหิ? ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา, ติตฺถวาเสน, โสตาปนฺนตาย, พหุสฺสุตภาเวนาติฯ

    Therassa hi catūhi kāraṇehi gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānoti upaṭṭhāti. Katamehi catūhi? Pubbūpanissayasampattiyā, titthavāsena, sotāpannatāya, bahussutabhāvenāti.

    ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติกถา

    Pubbūpanissayasampattikathā

    อิโต กิร สตสหสฺสิเม กเปฺป ปทุมุตฺตโร นาม สตฺถา โลเก อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส หํสวตี นาม นครํ อโหสิ, อานโนฺท นาม ราชา ปิตา , สุเมธา นาม เทวี มาตา, โพธิสโตฺต อุตฺตรกุมาโร นาม อโหสิฯ โส ปุตฺตสฺส ชาตทิวเส มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา ปธานมนุยุญฺชโนฺต อนุกฺกเมน สพฺพญฺญุตํ ปตฺวา – ‘‘อเนกชาติสํสาร’’นฺติ อุทานํ อุทาเนตฺวา สตฺตาหํ โพธิปลฺลเงฺก วีตินาเมตฺวา ปถวิยํ ฐเปสฺสามีติ ปาทํ อภินีหริฯ อถ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา มหนฺตํ ปทุมํ อุฎฺฐาสิฯ ตสฺส ธุรปตฺตานิ นวุติหตฺถานิ, เกสรํ ติํสหตฺถํ, กณฺณิกา ทฺวาทสหตฺถา, นวฆฎปฺปมาโณ เรณุ อโหสิฯ

    Ito kira satasahassime kappe padumuttaro nāma satthā loke uppajji. Tassa haṃsavatī nāma nagaraṃ ahosi, ānando nāma rājā pitā , sumedhā nāma devī mātā, bodhisatto uttarakumāro nāma ahosi. So puttassa jātadivase mahābhinikkhamanaṃ nikkhamma pabbajitvā padhānamanuyuñjanto anukkamena sabbaññutaṃ patvā – ‘‘anekajātisaṃsāra’’nti udānaṃ udānetvā sattāhaṃ bodhipallaṅke vītināmetvā pathaviyaṃ ṭhapessāmīti pādaṃ abhinīhari. Atha pathaviṃ bhinditvā mahantaṃ padumaṃ uṭṭhāsi. Tassa dhurapattāni navutihatthāni, kesaraṃ tiṃsahatthaṃ, kaṇṇikā dvādasahatthā, navaghaṭappamāṇo reṇu ahosi.

    สตฺถา ปน อุเพฺพธโต อฎฺฐปณฺณาสหตฺถุเพฺพโธ อโหสิฯ ตสฺส อุภินฺนํ พาหานมนฺตรํ อฎฺฐารสหตฺถํ, นลาฎํ ปญฺจหตฺถํ, หตฺถปาทา เอกาทสหตฺถาฯ ตสฺส เอกาทสหเตฺถน ปาเทน ทฺวาทสหตฺถาย กณฺณิกาย อกฺกนฺตมตฺตาย นวฆฎปฺปมาโณ เรณุ อุฎฺฐาย อฎฺฐปณฺณาสหตฺถํ ปเทสํ อุคฺคนฺตฺวา โอกิณฺณมโนสิลาจุณฺณํ วิย ปโจฺจกิโณฺณฯ ตทุปาทาย ภควา ปทุมุตฺตโรเตฺวว ปญฺญายิตฺถฯ ตสฺส เทวิโล จ สุชาโต จ เทฺว อคฺคสาวกา อเหสุํฯ อมิตา จ อสมา จ เทฺว อคฺคสาวิกาฯ สุมโน นาม อุปฎฺฐาโกฯ ปทุมุตฺตโร ภควา ปิตุสงฺคหํ กุรุมาโน ภิกฺขุสตสหสฺสปริวาโร หํสวติยา ราชธานิยา วสติฯ

    Satthā pana ubbedhato aṭṭhapaṇṇāsahatthubbedho ahosi. Tassa ubhinnaṃ bāhānamantaraṃ aṭṭhārasahatthaṃ, nalāṭaṃ pañcahatthaṃ, hatthapādā ekādasahatthā. Tassa ekādasahatthena pādena dvādasahatthāya kaṇṇikāya akkantamattāya navaghaṭappamāṇo reṇu uṭṭhāya aṭṭhapaṇṇāsahatthaṃ padesaṃ uggantvā okiṇṇamanosilācuṇṇaṃ viya paccokiṇṇo. Tadupādāya bhagavā padumuttarotveva paññāyittha. Tassa devilo ca sujāto ca dve aggasāvakā ahesuṃ. Amitā ca asamā ca dve aggasāvikā. Sumano nāma upaṭṭhāko. Padumuttaro bhagavā pitusaṅgahaṃ kurumāno bhikkhusatasahassaparivāro haṃsavatiyā rājadhāniyā vasati.

    กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส สุมนกุมาโร นามฯ ตสฺส ราชา หํสวติโต วีสติโยชนสเต ฐาเน โภคคามํ อทาสิฯ โส กทาจิ อาคนฺตฺวา ปิตรญฺจ สตฺถารญฺจ ปสฺสติฯ อเถกทิวสํ ปจฺจโนฺต กุปิโตฯ สุมโน รโญฺญ เปเสสิ – ‘‘ปจฺจโนฺต กุปิโต’’ติฯ ราชา ‘‘มยา ตฺวํ ตตฺถ กสฺมา ฐปิโต’’ติ ปฎิเปเสสิฯ โส นิกฺขมฺม โจเร วูปสเมตฺวา – ‘‘อุปสโนฺต, เทว, ชนปโท’’ติ รโญฺญ เปเสสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ – ‘‘สีฆํ มม ปุโตฺต อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ ตสฺส สหสฺสมตฺตา อมจฺจา โหนฺติฯ โส เตหิ สทฺธิํ อนฺตรามเคฺค มเนฺตสิ – ‘‘มยฺหํ ปิตา ตุโฎฺฐ, สเจ เม วรํ เทติ, กิํ คณฺหามี’’ติฯ อถ นํ เอกเจฺจ ‘‘หตฺถิํ คณฺหถ, อสฺสํ คณฺหถ, รถํ คณฺหถ, ชนปทํ คณฺหถ, สตฺตรตนานิ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ อปเร – ‘‘ตุเมฺห ปถวิสฺสรสฺส ปุตฺตา, ตุมฺหากํ ธนํ น ทุลฺลภํ, ลทฺธมฺปิ เจตํ สพฺพํ ปหาย คมนียํ, ปุญฺญเมว เอกํ อาทาย คมนียํ; ตสฺมา เต เทเว วรํ ททมาเน เตมาสํ ปทุมุตฺตรํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ วรํ คณฺหถา’’ติฯ โส – ‘‘ตุเมฺห มยฺหํ กลฺยาณมิตฺตา, น มเมตํ จิตฺตํ อตฺถิ, ตุเมฺหหิ ปน อุปฺปาทิตํ, เอวํ กริสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปิตราปิ อาลิเงฺคตฺวา ตสฺส มตฺถเก จุมฺพิตฺวา – ‘‘วรํ เต ปุตฺต, เทมี’’ติ วุเตฺต ‘‘สาธุ มหาราช, อิจฺฉามหํ มหาราช ภควนฺตํ เตมาสํ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐหโนฺต ชีวิตํ อวญฺฌํ กาตุํ, อิมเมว วรํ เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘น สกฺกา ตาต, อญฺญํ วเรหี’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, ขตฺติยานํ นาม เทฺว กถา นตฺถิ, เอตเมว เทหิ, น เม อเญฺญนโตฺถ’’ติฯ ตาต พุทฺธานํ นาม จิตฺตํ ทุชฺชานํ, สเจ ภควา น อิจฺฉิสฺสติ, มยา ทิเนฺนปิ กิํ ภวิสฺสตีติ? โส – ‘‘สาธุ, เทว, อหํ ภควโต จิตฺตํ ชานิสฺสามี’’ติ วิหารํ คโตฯ

    Kaniṭṭhabhātā panassa sumanakumāro nāma. Tassa rājā haṃsavatito vīsatiyojanasate ṭhāne bhogagāmaṃ adāsi. So kadāci āgantvā pitarañca satthārañca passati. Athekadivasaṃ paccanto kupito. Sumano rañño pesesi – ‘‘paccanto kupito’’ti. Rājā ‘‘mayā tvaṃ tattha kasmā ṭhapito’’ti paṭipesesi. So nikkhamma core vūpasametvā – ‘‘upasanto, deva, janapado’’ti rañño pesesi. Rājā tuṭṭho – ‘‘sīghaṃ mama putto āgacchatū’’ti āha. Tassa sahassamattā amaccā honti. So tehi saddhiṃ antarāmagge mantesi – ‘‘mayhaṃ pitā tuṭṭho, sace me varaṃ deti, kiṃ gaṇhāmī’’ti. Atha naṃ ekacce ‘‘hatthiṃ gaṇhatha, assaṃ gaṇhatha, rathaṃ gaṇhatha, janapadaṃ gaṇhatha, sattaratanāni gaṇhathā’’ti āhaṃsu. Apare – ‘‘tumhe pathavissarassa puttā, tumhākaṃ dhanaṃ na dullabhaṃ, laddhampi cetaṃ sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, puññameva ekaṃ ādāya gamanīyaṃ; tasmā te deve varaṃ dadamāne temāsaṃ padumuttaraṃ bhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ varaṃ gaṇhathā’’ti. So – ‘‘tumhe mayhaṃ kalyāṇamittā, na mametaṃ cittaṃ atthi, tumhehi pana uppāditaṃ, evaṃ karissāmī’’ti gantvā pitaraṃ vanditvā pitarāpi āliṅgetvā tassa matthake cumbitvā – ‘‘varaṃ te putta, demī’’ti vutte ‘‘sādhu mahārāja, icchāmahaṃ mahārāja bhagavantaṃ temāsaṃ catūhi paccayehi upaṭṭhahanto jīvitaṃ avañjhaṃ kātuṃ, imameva varaṃ dehī’’ti āha. ‘‘Na sakkā tāta, aññaṃ varehī’’ti vutte ‘‘deva, khattiyānaṃ nāma dve kathā natthi, etameva dehi, na me aññenattho’’ti. Tāta buddhānaṃ nāma cittaṃ dujjānaṃ, sace bhagavā na icchissati, mayā dinnepi kiṃ bhavissatīti? So – ‘‘sādhu, deva, ahaṃ bhagavato cittaṃ jānissāmī’’ti vihāraṃ gato.

    เตน จ สมเยน ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐเปตฺวา ภควา คนฺธกุฎิํ ปวิโฎฺฐ โหติฯ โส มณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ ภิกฺขูนํ สนฺติกํ อคมาสิฯ เต ตํ อาหํสุ – ‘‘ราชปุตฺต, กสฺมา อาคโตสี’’ติ? ภควนฺตํ ทสฺสนาย, ทเสฺสถ เม ภควนฺตนฺติฯ น มยํ, ราชปุตฺต, อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ สตฺถารํ ทฎฺฐุํ ลภามาติฯ โก ปน, ภเนฺต, ลภตีติ? สุมนเตฺถโร นาม ราชปุตฺตาติฯ ‘‘โส กุหิํ, ภเนฺต, เถโร’’ติฯ เถรสฺส นิสินฺนฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘อิจฺฉามหํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ ปสฺสิตุํ, ทเสฺสถ เม’’ติ อาหฯ เถโร – ‘‘เอหิ ราชปุตฺตา’’ติ ตํ คเหตฺวา ตํ คนฺธกุฎิปริเวเณ ฐเปตฺวา คนฺธกุฎิํ อภิรุหิฯ อถ นํ ภควา – ‘‘สุมน, กสฺมา อาคโตสี’’ติ อาหฯ ราชปุโตฺต, ภเนฺต, ภควนฺตํ ทสฺสนาย อาคโตติฯ เตน หิ ภิกฺขุ อาสนํ ปญฺญาเปหีติฯ เถโร อาสนํ ปญฺญาเปสิ, นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ ราชปุโตฺต ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ อกาสิฯ กทา อาคโตสิ ราชปุตฺตาติ? ภเนฺต, ตุเมฺหสุ คนฺธกุฎิํ ปวิเฎฺฐสุฯ ภิกฺขู ปน – ‘‘น มยํ อิจฺฉิติจฺฉิตกฺขเณ ภควนฺตํ ทฎฺฐุํ ลภามา’’ติ มํ เถรสฺส สนฺติกํ ปาเหสุํฯ เถโร ปน เอกวจเนเนว ทเสฺสสิฯ เถโร, ภเนฺต, ตุมฺหากํ สาสเน วลฺลโภ มเญฺญติฯ อาม ราชกุมาร, วลฺลโภ เอส ภิกฺขุ มยฺหํ สาสเนติฯ ภเนฺต, พุทฺธานํ สาสเน กิํ กตฺวา วลฺลโภ โหตีติ? ทานํ ทตฺวา สีลํ สมาทิยิตฺวา อุโปสถกมฺมํ กตฺวา กุมาราติฯ ภควา, อหํ เถโร วิย พุทฺธสาสเน วลฺลโภ โหตุกาโม, เตมาสํ เม วสฺสาวาสํ อธิวาเสถาติฯ ภควา – ‘‘อตฺถิ นุ โข ตตฺถ คเตน อโตฺถ’’ติ โอโลเกตฺวา อตฺถีติ ทิสฺวา ‘‘สุญฺญาคาเร, โข ราชกุมาร ตถาคตา อภิรมนฺตี’’ติ อาหฯ กุมาโร ‘‘อญฺญาตํ ภควา, อญฺญาตํ สุคตา’’ติ วตฺวา ‘‘อหํ, ภเนฺต, ปุริมตรํ คนฺตฺวา วิหารํ กาเรมิ, มยา เปสิเต ภิกฺขุสตสหเสฺสน สทฺธิํ อาคจฺฉถา’’ติ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปิตุสนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ทินฺนา เม, เทว, ภควตา ปฎิญฺญา, มยา ปหิเต ภควนฺตํ เปเสยฺยาถา’’ติ ปิตรํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา โยชเน โยชเน วิหารํ กาเรตฺวา วีสโยชนสตํ อทฺธานํ คนฺตฺวา อตฺตโน นคเร วิหารฎฺฐานํ วิจินโนฺต โสภนํ นาม กุฎุมฺพิกสฺส อุยฺยานํ ทิสฺวา สตสหเสฺสน กิณิตฺวา สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิหารํ กาเรสิฯ ตตฺถ ภควโต คนฺธกุฎิํ เสสภิกฺขูนญฺจ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานตฺถาย กุฎิเลณมณฺฑเป การาเปตฺวา ปาการปริเกฺขเป กตฺวา ทฺวารโกฎฺฐกญฺจ นิฎฺฐเปตฺวา ปิตุสนฺติกํ เปเสสิ – ‘‘นิฎฺฐิตํ มยฺหํ กิจฺจํ, สตฺถารํ ปหิณถา’’ติฯ

    Tena ca samayena bhattakiccaṃ niṭṭhapetvā bhagavā gandhakuṭiṃ paviṭṭho hoti. So maṇḍalamāḷe sannisinnānaṃ bhikkhūnaṃ santikaṃ agamāsi. Te taṃ āhaṃsu – ‘‘rājaputta, kasmā āgatosī’’ti? Bhagavantaṃ dassanāya, dassetha me bhagavantanti. Na mayaṃ, rājaputta, icchiticchitakkhaṇe satthāraṃ daṭṭhuṃ labhāmāti. Ko pana, bhante, labhatīti? Sumanatthero nāma rājaputtāti. ‘‘So kuhiṃ, bhante, thero’’ti. Therassa nisinnaṭṭhānaṃ pucchitvā gantvā vanditvā – ‘‘icchāmahaṃ, bhante, bhagavantaṃ passituṃ, dassetha me’’ti āha. Thero – ‘‘ehi rājaputtā’’ti taṃ gahetvā taṃ gandhakuṭipariveṇe ṭhapetvā gandhakuṭiṃ abhiruhi. Atha naṃ bhagavā – ‘‘sumana, kasmā āgatosī’’ti āha. Rājaputto, bhante, bhagavantaṃ dassanāya āgatoti. Tena hi bhikkhu āsanaṃ paññāpehīti. Thero āsanaṃ paññāpesi, nisīdi bhagavā paññatte āsane. Rājaputto bhagavantaṃ vanditvā paṭisanthāraṃ akāsi. Kadā āgatosi rājaputtāti? Bhante, tumhesu gandhakuṭiṃ paviṭṭhesu. Bhikkhū pana – ‘‘na mayaṃ icchiticchitakkhaṇe bhagavantaṃ daṭṭhuṃ labhāmā’’ti maṃ therassa santikaṃ pāhesuṃ. Thero pana ekavacaneneva dassesi. Thero, bhante, tumhākaṃ sāsane vallabho maññeti. Āma rājakumāra, vallabho esa bhikkhu mayhaṃ sāsaneti. Bhante, buddhānaṃ sāsane kiṃ katvā vallabho hotīti? Dānaṃ datvā sīlaṃ samādiyitvā uposathakammaṃ katvā kumārāti. Bhagavā, ahaṃ thero viya buddhasāsane vallabho hotukāmo, temāsaṃ me vassāvāsaṃ adhivāsethāti. Bhagavā – ‘‘atthi nu kho tattha gatena attho’’ti oloketvā atthīti disvā ‘‘suññāgāre, kho rājakumāra tathāgatā abhiramantī’’ti āha. Kumāro ‘‘aññātaṃ bhagavā, aññātaṃ sugatā’’ti vatvā ‘‘ahaṃ, bhante, purimataraṃ gantvā vihāraṃ kāremi, mayā pesite bhikkhusatasahassena saddhiṃ āgacchathā’’ti paṭiññaṃ gahetvā pitusantikaṃ gantvā ‘‘dinnā me, deva, bhagavatā paṭiññā, mayā pahite bhagavantaṃ peseyyāthā’’ti pitaraṃ vanditvā nikkhamitvā yojane yojane vihāraṃ kāretvā vīsayojanasataṃ addhānaṃ gantvā attano nagare vihāraṭṭhānaṃ vicinanto sobhanaṃ nāma kuṭumbikassa uyyānaṃ disvā satasahassena kiṇitvā satasahassaṃ vissajjetvā vihāraṃ kāresi. Tattha bhagavato gandhakuṭiṃ sesabhikkhūnañca rattiṭṭhānadivāṭṭhānatthāya kuṭileṇamaṇḍape kārāpetvā pākāraparikkhepe katvā dvārakoṭṭhakañca niṭṭhapetvā pitusantikaṃ pesesi – ‘‘niṭṭhitaṃ mayhaṃ kiccaṃ, satthāraṃ pahiṇathā’’ti.

    ราชา ภควนฺตํ โภเชตฺวา – ‘‘ภควา, สุมนสฺส กิจฺจํ นิฎฺฐิตํ, ตุมฺหากํ คมนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ อาหฯ ภควา สตสหสฺสภิกฺขุปริวาโร โยชเน โยชเน วิหาเรสุ วสมาโน อคมาสิฯ กุมาโร ‘‘สตฺถา อาคโต’’ติ สุตฺวา โยชนํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา มาลาทีหิ ปูชยมาโน วิหารํ ปเวเสตฺวา –

    Rājā bhagavantaṃ bhojetvā – ‘‘bhagavā, sumanassa kiccaṃ niṭṭhitaṃ, tumhākaṃ gamanaṃ paccāsīsatī’’ti āha. Bhagavā satasahassabhikkhuparivāro yojane yojane vihāresu vasamāno agamāsi. Kumāro ‘‘satthā āgato’’ti sutvā yojanaṃ paccuggantvā mālādīhi pūjayamāno vihāraṃ pavesetvā –

    ‘‘สตสหเสฺสน เม กีตํ, สตสหเสฺสน มาปิตํ;

    ‘‘Satasahassena me kītaṃ, satasahassena māpitaṃ;

    โสภนํ นาม อุยฺยานํ, ปฎิคฺคณฺห มหามุนี’’ติฯ

    Sobhanaṃ nāma uyyānaṃ, paṭiggaṇha mahāmunī’’ti.

    วิหารํ นิยฺยาเตสิฯ โส วสฺสูปนายิกทิวเส ทานํ ทตฺวา อตฺตโน ปุตฺตทาเร จ อมเจฺจ จ ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘อยํ สตฺถา อมฺหากํ สนฺติกํ ทูรโต อาคโต, พุทฺธา จ นาม ธมฺมครุโน น อามิสครุกาฯ ตสฺมา อหํ เตมาสํ เทฺว สาฎเก นิวาเสตฺวา ทส สีลานิ สมาทิยิตฺวา อิเธว วสิสฺสามิ, ตุเมฺห ขีณาสวสตสหสฺสสฺส อิมินาว นีหาเรน เตมาสํ ทานํ ทเทยฺยาถา’’ติฯ

    Vihāraṃ niyyātesi. So vassūpanāyikadivase dānaṃ datvā attano puttadāre ca amacce ca pakkosāpetvā āha – ‘‘ayaṃ satthā amhākaṃ santikaṃ dūrato āgato, buddhā ca nāma dhammagaruno na āmisagarukā. Tasmā ahaṃ temāsaṃ dve sāṭake nivāsetvā dasa sīlāni samādiyitvā idheva vasissāmi, tumhe khīṇāsavasatasahassassa imināva nīhārena temāsaṃ dānaṃ dadeyyāthā’’ti.

    โส สุมนเตฺถรสฺส วสนฎฺฐานสภาเคเยว ฐาเน วสโนฺต ยํ เถโร ภควโต วตฺตํ กโรติ, ตํ สพฺพํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน เอกนฺตวลฺลโภ เอส เถโร, เอตเสฺสว เม ฐานนฺตรํ ปเตฺถตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปกฎฺฐาย ปวารณาย คามํ ปวิสิตฺวา สตฺตาหํ มหาทานํ ทตฺวา สตฺตเม ทิวเส ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ปาทมูเล ติจีวรํ ฐเปตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา – ‘‘ภเนฺต, ยเทตํ มยา มเคฺค โยชนนฺตริกํ โยชนนฺตริกํ วิหารํ การาปนโต ปฎฺฐาย ปุญฺญํ กตํ, ตํ เนว สกฺกสมฺปตฺติํ, น มารสมฺปตฺติํ, น พฺรหฺมสมฺปตฺติํ ปตฺถยเนฺตน, พุทฺธสฺส ปน อุปฎฺฐากภาวํ ปตฺถยเนฺตน กตํฯ ตสฺมา อหมฺปิ, ภควา, อนาคเต สุมนเตฺถโร วิย พุทฺธสฺส อุปฎฺฐาโก ภเวยฺย’’นฺติ ปญฺจปติฎฺฐิเตน นิปติตฺวา วนฺทิฯ

    So sumanattherassa vasanaṭṭhānasabhāgeyeva ṭhāne vasanto yaṃ thero bhagavato vattaṃ karoti, taṃ sabbaṃ disvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne ekantavallabho esa thero, etasseva me ṭhānantaraṃ patthetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā upakaṭṭhāya pavāraṇāya gāmaṃ pavisitvā sattāhaṃ mahādānaṃ datvā sattame divase bhikkhusatasahassassa pādamūle ticīvaraṃ ṭhapetvā bhagavantaṃ vanditvā – ‘‘bhante, yadetaṃ mayā magge yojanantarikaṃ yojanantarikaṃ vihāraṃ kārāpanato paṭṭhāya puññaṃ kataṃ, taṃ neva sakkasampattiṃ, na mārasampattiṃ, na brahmasampattiṃ patthayantena, buddhassa pana upaṭṭhākabhāvaṃ patthayantena kataṃ. Tasmā ahampi, bhagavā, anāgate sumanatthero viya buddhassa upaṭṭhāko bhaveyya’’nti pañcapatiṭṭhitena nipatitvā vandi.

    ภควา – ‘‘มหนฺตํ กุลปุตฺตสฺส จิตฺตํ, สมิชฺฌิสฺสติ นุ โข โน’’ติ โอโลเกโนฺต – ‘‘อนาคเต อิโต สตสหสฺสิเม กเปฺป โคตโม นาม พุโทฺธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, ตเสฺสว อุปฎฺฐาโก ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา –

    Bhagavā – ‘‘mahantaṃ kulaputtassa cittaṃ, samijjhissati nu kho no’’ti olokento – ‘‘anāgate ito satasahassime kappe gotamo nāma buddho uppajjissati, tasseva upaṭṭhāko bhavissatī’’ti ñatvā –

    ‘‘อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ, สพฺพเมว สมิชฺฌตุ;

    ‘‘Icchitaṃ patthitaṃ tuyhaṃ, sabbameva samijjhatu;

    สเพฺพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา, จโนฺท ปนฺนรโส ยถา’’ติฯ

    Sabbe pūrentu saṅkappā, cando pannaraso yathā’’ti.

    อาหฯ กุมาโร ตํ สุตฺวา – ‘‘พุทฺธา นาม อเทฺวชฺฌกถา โหนฺตี’’ติ ทุติยทิวเสเยว ตสฺส ภควโต ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คจฺฉโนฺต วิย อโหสิฯ โส ตสฺมิํ พุทฺธุปฺปาเท วสฺสสตสหสฺสํ ทานํ ทตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา กสฺสปพุทฺธกาเลปิ ปิณฺฑาย จรโต เถรสฺส ปตฺตคฺคหณตฺถํ อุตฺตริสาฎกํ ทตฺวา ปูชมกาสิฯ ปุน สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต พาราณสิราชา หุตฺวา อฎฺฐนฺนํ ปเจฺจกพุทฺธานํ ปณฺณสาลาโย กาเรตฺวา มณิอาธารเก อุปฎฺฐเปตฺวา จตูหิ ปจฺจเยหิ ทสวสฺสสหสฺสานิ อุปฎฺฐานํ อกาสิฯ เอตานิ ปากฎฎฺฐานานิฯ

    Āha. Kumāro taṃ sutvā – ‘‘buddhā nāma advejjhakathā hontī’’ti dutiyadivaseyeva tassa bhagavato pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito piṭṭhito gacchanto viya ahosi. So tasmiṃ buddhuppāde vassasatasahassaṃ dānaṃ datvā sagge nibbattitvā kassapabuddhakālepi piṇḍāya carato therassa pattaggahaṇatthaṃ uttarisāṭakaṃ datvā pūjamakāsi. Puna sagge nibbattitvā tato cuto bārāṇasirājā hutvā aṭṭhannaṃ paccekabuddhānaṃ paṇṇasālāyo kāretvā maṇiādhārake upaṭṭhapetvā catūhi paccayehi dasavassasahassāni upaṭṭhānaṃ akāsi. Etāni pākaṭaṭṭhānāni.

    กปฺปสตสหสฺสํ ปน ทานํ ททมาโนว อมฺหากํ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ ตุสิตปุเร นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต อมิโตทนสกฺกสฺส เคเห ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา อนุปุเพฺพน กตาภินิกฺขมโน สมฺมาสโมฺพธิํ ปตฺวา ปฐมคมเนน กปิลวตฺถุํ อาคนฺตฺวา ตโต นิกฺขมเนฺต ภควติ ภควโต ปริวารตฺถํ ราชกุมาเรสุ ปพฺพชิเตสุ ภทฺทิยาทีหิ สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ภควโต สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา นจิรเสฺสว อายสฺมโต ปุณฺณสฺส มนฺตาณิปุตฺตสฺส สนฺติเก ธมฺมกถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิ (สํ. นิ. ๓.๘๓)ฯ เอวเมส อายสฺมา ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปโนฺน ตสฺสิมาย ปุพฺพูปนิสฺสยสมฺปตฺติยา คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ

    Kappasatasahassaṃ pana dānaṃ dadamānova amhākaṃ bodhisattena saddhiṃ tusitapure nibbattitvā tato cuto amitodanasakkassa gehe paṭisandhiṃ gahetvā anupubbena katābhinikkhamano sammāsambodhiṃ patvā paṭhamagamanena kapilavatthuṃ āgantvā tato nikkhamante bhagavati bhagavato parivāratthaṃ rājakumāresu pabbajitesu bhaddiyādīhi saddhiṃ nikkhamitvā bhagavato santike pabbajitvā nacirasseva āyasmato puṇṇassa mantāṇiputtassa santike dhammakathaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhahi (saṃ. ni. 3.83). Evamesa āyasmā pubbūpanissayasampanno tassimāya pubbūpanissayasampattiyā gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya upaṭṭhāsi.

    ติตฺถวาสาทิวณฺณนา

    Titthavāsādivaṇṇanā

    ติตฺถวาโสติ ปุนปฺปุนํ ครูนํ สนฺติเก อุคฺคหณสวนปริปุจฺฉนธารณานิ วุจฺจนฺติฯ โส เถรสฺส อติวิย ปริสุโทฺธ, เตนาปิสฺสายํ คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ

    Titthavāsoti punappunaṃ garūnaṃ santike uggahaṇasavanaparipucchanadhāraṇāni vuccanti. So therassa ativiya parisuddho, tenāpissāyaṃ gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya upaṭṭhāsi.

    โสตาปนฺนานญฺจ นาม ปจฺจยากาโร อุตฺตานโกว หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อยญฺจ อายสฺมา โสตาปโนฺนฯ พหุสฺสุตานญฺจ จตุหเตฺถ โอวรเก ปทีเป ชลมาเน มญฺจปีฐํ วิย นามรูปปริเจฺฉโท ปากโฎ โหติ, อยญฺจ อายสฺมา พหุสฺสุตานํ อโคฺค โหติ, พาหุสจฺจานุภาเวนปิสฺส คมฺภีโรปิ ปจฺจยากาโร อุตฺตานโก วิย อุปฎฺฐาสิฯ

    Sotāpannānañca nāma paccayākāro uttānakova hutvā upaṭṭhāti, ayañca āyasmā sotāpanno. Bahussutānañca catuhatthe ovarake padīpe jalamāne mañcapīṭhaṃ viya nāmarūpaparicchedo pākaṭo hoti, ayañca āyasmā bahussutānaṃ aggo hoti, bāhusaccānubhāvenapissa gambhīropi paccayākāro uttānako viya upaṭṭhāsi.

    ปฎิจฺจสมุปฺปาทคมฺภีรตา

    Paṭiccasamuppādagambhīratā

    ตตฺถ อตฺถคมฺภีรตาย, ธมฺมคมฺภีรตาย, เทสนาคมฺภีรตาย, ปฎิเวธคมฺภีรตายาติ จตูหิ อากาเรหิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีโร นามฯ

    Tattha atthagambhīratāya, dhammagambhīratāya, desanāgambhīratāya, paṭivedhagambhīratāyāti catūhi ākārehi paṭiccasamuppādo gambhīro nāma.

    ตตฺถ ชรามรณสฺส ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ คมฺภีโร…เป.… สงฺขารานํ อวิชฺชาปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ คมฺภีโรติ อยํ อตฺถคมฺภีรตาฯ

    Tattha jarāmaraṇassa jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭho gambhīro…pe… saṅkhārānaṃ avijjāpaccayasambhūtasamudāgataṭṭho gambhīroti ayaṃ atthagambhīratā.

    อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ คมฺภีโร…เป.… ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ คมฺภีโรติ อยํ ธมฺมคมฺภีรตาฯ

    Avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho gambhīro…pe… jātiyā jarāmaraṇassa paccayaṭṭho gambhīroti ayaṃ dhammagambhīratā.

    กตฺถจิ สุเตฺต ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อนุโลมโต เทสิยติ, กตฺถจิ ปฎิโลมโต, กตฺถจิ อนุโลมปฎิโลมโต, กตฺถจิ มชฺฌโต ปฎฺฐาย อนุโลมโต วา ปฎิโลมโต วา อนุโลมปฎิโลมโต วา, กตฺถจิ ติสนฺธิ จตุสเงฺขโป, กตฺถจิ ทฺวิสนฺธิ ติสเงฺขโป, กตฺถจิ เอกสนฺธิ ทฺวิสเงฺขโปติ อยํ เทสนาคมฺภีรตาฯ

    Katthaci sutte paṭiccasamuppādo anulomato desiyati, katthaci paṭilomato, katthaci anulomapaṭilomato, katthaci majjhato paṭṭhāya anulomato vā paṭilomato vā anulomapaṭilomato vā, katthaci tisandhi catusaṅkhepo, katthaci dvisandhi tisaṅkhepo, katthaci ekasandhi dvisaṅkhepoti ayaṃ desanāgambhīratā.

    อวิชฺชาย ปน อญฺญาณอทสฺสนสจฺจาปฎิเวธโฎฺฐ คมฺภีโร, สงฺขารานํ อภิสงฺขรณายูหนสราควิราคโฎฺฐ, วิญฺญาณสฺส สุญฺญตอพฺยาปารอสงฺกนฺติปฎิสนฺธิปาตุภาวโฎฺฐ, นามรูปสฺส เอกุปฺปาทวินิโพฺภคาวินิโพฺภคนมนรุปฺปนโฎฺฐ, สฬายตนสฺส อธิปติโลกทฺวารเกฺขตฺตวิสยิภาวโฎฺฐ , ผสฺสสฺส ผุสนสงฺฆฎฺฎนสงฺคติสนฺนิปาตโฎฺฐ, เวทนาย อารมฺมณรสานุภวนสุขทุกฺขมชฺฌตฺตภาวนิชฺชีวเวทยิตโฎฺฐ, ตณฺหาย อภินนฺทิตอโชฺฌสานสริตาลตาตณฺหานทีตณฺหาสมุทฺททุปฺปูรณโฎฺฐ, อุปาทานสฺส อาทานคฺคหณาภินิเวสปรามาสทุรติกฺกมโฎฺฐ, ภวสฺส อายูหนาภิสงฺขรณโยนิคติฐิตินิวาเสสุ ขิปนโฎฺฐ, ชาติยา ชาติสญฺชาติโอกฺกนฺตินิพฺพตฺติปาตุภาวโฎฺฐ, ชรามรณสฺส ขยวยเภทวิปริณามโฎฺฐ คมฺภีโรติฯ เอวํ โย อวิชฺชาทีนํ สภาโว, เยน ปฎิเวเธน อวิชฺชาทโย สรสลกฺขณโต ปฎิวิทฺธา โหนฺติ; โส คมฺภีโรติ อยํ ปฎิเวธคมฺภีรตาติ เวทิตพฺพาฯ สา สพฺพาปิ เถรสฺส อุตฺตานกา วิย อุปฎฺฐาสิฯ เตน ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อุสฺสาเทโนฺต – ‘‘มา เหว’’นฺติอาทิมาหฯ อยเญฺจตฺถ อธิปฺปาโย – อานนฺท, ตฺวํ มหาปโญฺญ วิสทญาโณ, เตน เต คมฺภีโรปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท อุตฺตานโก วิย ขายติ, ตสฺมา – ‘‘มยฺหเมว นุ โข เอส อุตฺตานโก หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อุทาหุ อเญฺญสมฺปี’’ติ มา เอวํ อวจาติฯ

    Avijjāya pana aññāṇaadassanasaccāpaṭivedhaṭṭho gambhīro, saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇāyūhanasarāgavirāgaṭṭho, viññāṇassa suññataabyāpāraasaṅkantipaṭisandhipātubhāvaṭṭho, nāmarūpassa ekuppādavinibbhogāvinibbhoganamanaruppanaṭṭho, saḷāyatanassa adhipatilokadvārakkhettavisayibhāvaṭṭho , phassassa phusanasaṅghaṭṭanasaṅgatisannipātaṭṭho, vedanāya ārammaṇarasānubhavanasukhadukkhamajjhattabhāvanijjīvavedayitaṭṭho, taṇhāya abhinanditaajjhosānasaritālatātaṇhānadītaṇhāsamuddaduppūraṇaṭṭho, upādānassa ādānaggahaṇābhinivesaparāmāsaduratikkamaṭṭho, bhavassa āyūhanābhisaṅkharaṇayonigatiṭhitinivāsesu khipanaṭṭho, jātiyā jātisañjātiokkantinibbattipātubhāvaṭṭho, jarāmaraṇassa khayavayabhedavipariṇāmaṭṭho gambhīroti. Evaṃ yo avijjādīnaṃ sabhāvo, yena paṭivedhena avijjādayo sarasalakkhaṇato paṭividdhā honti; so gambhīroti ayaṃ paṭivedhagambhīratāti veditabbā. Sā sabbāpi therassa uttānakā viya upaṭṭhāsi. Tena bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ ussādento – ‘‘mā heva’’ntiādimāha. Ayañcettha adhippāyo – ānanda, tvaṃ mahāpañño visadañāṇo, tena te gambhīropi paṭiccasamuppādo uttānako viya khāyati, tasmā – ‘‘mayhameva nu kho esa uttānako hutvā upaṭṭhāti, udāhu aññesampī’’ti mā evaṃ avacāti.

    อปสาทนาวณฺณนา

    Apasādanāvaṇṇanā

    ยํ ปน วุตฺตํ – ‘‘อปสาเทโนฺต’’ติ, ตตฺถ อยํ อธิปฺปาโย – อานนฺท, ‘‘อถ จ ปน เม อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายตี’’ติ มา เหวํ อวจฯ ยทิ หิ เต เอส อุตฺตานกุตฺตานโก วิย ขายติ, กสฺมา ตฺวํ อตฺตโน ธมฺมตาย โสตาปโนฺน นาโหสิ, มยา ทินฺนนเยว ฐตฺวา โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิวิชฺฌสิฯ อานนฺท, อิทํ นิพฺพานเมว คมฺภีรํ, ปจฺจยากาโร ปน ตว อุตฺตานโก ชาโต, อถ กสฺมา โอฬาริกํ กามราคสํโยชนํ ปฎิฆสํโยชนํ, โอฬาริกํ กามราคานุสยํ ปฎิฆานุสยนฺติ อิเม จตฺตาโร กิเลเส สมุคฺฆาเฎตฺวา สกทาคามิผลํ น สจฺฉิกโรสิ? เตเยว อณุสหคเต จตฺตาโร กิเลเส สมุคฺฆาเฎตฺวา อนาคามิผลํ น สจฺฉิกโรสิ? รูปราคาทีนิ ปญฺจ สํโยชนานิ, ภวราคานุสยํ, มานานุสยํ, อวิชฺชานุสยนฺติ อิเม อฎฺฐ กิเลเส สมุคฺฆาเฎตฺวา อรหตฺตํ น สจฺฉิกโรสิ?

    Yaṃ pana vuttaṃ – ‘‘apasādento’’ti, tattha ayaṃ adhippāyo – ānanda, ‘‘atha ca pana me uttānakuttānako viya khāyatī’’ti mā hevaṃ avaca. Yadi hi te esa uttānakuttānako viya khāyati, kasmā tvaṃ attano dhammatāya sotāpanno nāhosi, mayā dinnanayeva ṭhatvā sotāpattimaggaṃ paṭivijjhasi. Ānanda, idaṃ nibbānameva gambhīraṃ, paccayākāro pana tava uttānako jāto, atha kasmā oḷārikaṃ kāmarāgasaṃyojanaṃ paṭighasaṃyojanaṃ, oḷārikaṃ kāmarāgānusayaṃ paṭighānusayanti ime cattāro kilese samugghāṭetvā sakadāgāmiphalaṃ na sacchikarosi? Teyeva aṇusahagate cattāro kilese samugghāṭetvā anāgāmiphalaṃ na sacchikarosi? Rūparāgādīni pañca saṃyojanāni, bhavarāgānusayaṃ, mānānusayaṃ, avijjānusayanti ime aṭṭha kilese samugghāṭetvā arahattaṃ na sacchikarosi?

    กสฺมา จ สตสหสฺสกปฺปาธิกํ เอกํ อสเงฺขฺยยฺยํ ปูริตปารมิโน สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา วิย สาวกปารมิญาณํ นปฺปฎิวิชฺฌสิ? สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ เทฺว อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิโน ปเจฺจกพุทฺธา วิย จ ปเจฺจกโพธิญาณํ นปฺปฎิวิชฺฌสิ? ยทิ วา เต สพฺพถาว เอส อุตฺตานโก หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, อถ กสฺมา สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อฎฺฐ โสฬส วา อสเงฺขฺยยฺยานิ ปูริตปารมิโน พุทฺธา วิย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ น สจฺฉิกโรสิ? กิํ อนตฺถิโกสิ เอเตหิ วิเสสาธิคเมหิ, ปสฺส ยาวญฺจ เต อปรทฺธํ, ตฺวํ นาม สาวโก ปเทสญาเณ ฐิโต อติคมฺภีรํ ปจฺจยาการํ – ‘‘อุตฺตานโก เม อุปฎฺฐาตี’’ติ วทสิ, ตสฺส เต อิทํ วจนํ พุทฺธานํ กถาย ปจฺจนีกํ โหติ, น ตาทิเสน นาม ภิกฺขุนา พุทฺธานํ กถาย ปจฺจนีกํ กเถตพฺพนฺติ ยุตฺตเมตํฯ

    Kasmā ca satasahassakappādhikaṃ ekaṃ asaṅkhyeyyaṃ pūritapāramino sāriputtamoggallānā viya sāvakapāramiñāṇaṃ nappaṭivijjhasi? Satasahassakappādhikāni dve asaṅkhyeyyāni pūritapāramino paccekabuddhā viya ca paccekabodhiñāṇaṃ nappaṭivijjhasi? Yadi vā te sabbathāva esa uttānako hutvā upaṭṭhāti, atha kasmā satasahassakappādhikāni cattāri aṭṭha soḷasa vā asaṅkhyeyyāni pūritapāramino buddhā viya sabbaññutaññāṇaṃ na sacchikarosi? Kiṃ anatthikosi etehi visesādhigamehi, passa yāvañca te aparaddhaṃ, tvaṃ nāma sāvako padesañāṇe ṭhito atigambhīraṃ paccayākāraṃ – ‘‘uttānako me upaṭṭhātī’’ti vadasi, tassa te idaṃ vacanaṃ buddhānaṃ kathāya paccanīkaṃ hoti, na tādisena nāma bhikkhunā buddhānaṃ kathāya paccanīkaṃ kathetabbanti yuttametaṃ.

    นนุ มยฺหํ, อานนฺท, อิทํ ปจฺจยาการํ ปฎิวิชฺฌิตุํ วายมนฺตเสฺสว สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ อติกฺกนฺตานิ? ปจฺจยาการํ ปฎิวิชฺฌนตฺถาย จ ปน เม อทินฺนํ ทานํ นาม นตฺถิ, อปูริตปารมี นาม นตฺถิฯ ปจฺจยาการํ ปฎิวิชฺฌสฺสามีติ ปน เม นิรุสฺสาหํ วิย มารพลํ วิธมนฺตสฺส อยํ มหาปถวี ทฺวงฺคุลมตฺตมฺปิ น กมฺปิ ตถา ปฐมยาเม ปุเพฺพนิวาสํ, มชฺฌิมยาเม ทิพฺพจกฺขุํ สมฺปาเทนฺตสฺสฯ ปจฺฉิมยาเม ปน เม พลวปจฺจูสสมเย – ‘‘อวิชฺชา สงฺขารานํ นวหิ อากาเรหิ ปจฺจโย โหตี’’ติ ทิฎฺฐมเตฺตว ทสสหสฺสิโลกธาตุ อยทณฺฑเกน อาโกฎิตกํสตาลํ วิย วิรวสตํ วิรวสหสฺสํ มุญฺจมานา วาตาหเต ปทุมินิปเณฺณ อุทกพินฺทุ วิย กมฺปิตฺถฯ เอวํ คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท, คมฺภีราวภาโส จฯ เอตสฺส อานนฺท, ธมฺมสฺส อนนุโพธา…เป.… นาติวตฺตตีติฯ

    Nanu mayhaṃ, ānanda, idaṃ paccayākāraṃ paṭivijjhituṃ vāyamantasseva satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni atikkantāni? Paccayākāraṃ paṭivijjhanatthāya ca pana me adinnaṃ dānaṃ nāma natthi, apūritapāramī nāma natthi. Paccayākāraṃ paṭivijjhassāmīti pana me nirussāhaṃ viya mārabalaṃ vidhamantassa ayaṃ mahāpathavī dvaṅgulamattampi na kampi tathā paṭhamayāme pubbenivāsaṃ, majjhimayāme dibbacakkhuṃ sampādentassa. Pacchimayāme pana me balavapaccūsasamaye – ‘‘avijjā saṅkhārānaṃ navahi ākārehi paccayo hotī’’ti diṭṭhamatteva dasasahassilokadhātu ayadaṇḍakena ākoṭitakaṃsatālaṃ viya viravasataṃ viravasahassaṃ muñcamānā vātāhate paduminipaṇṇe udakabindu viya kampittha. Evaṃ gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo, gambhīrāvabhāso ca. Etassa ānanda, dhammassa ananubodhā…pe… nātivattatīti.

    เอตสฺส ธมฺมสฺสาติ เอตสฺส ปจฺจยธมฺมสฺสฯ อนนุโพธาติ ญาตปริญฺญาวเสน อนนุพุชฺฌนาฯ อปฺปฎิเวธาติ ตีรณปฺปหานปริญฺญาวเสน อปฺปฎิวิชฺฌนาฯ ตนฺตากุลกชาตาติ ตนฺตํ วิย อากุลกชาตาฯ ยถา นาม ทุนฺนิกฺขิตฺตํ มูสิกจฺฉินฺนํ เปสการานํ ตนฺตํ ตหิํ ตหิํ อากุลํ โหติ, อิทํ อคฺคํ อิทํ มูลนฺติ อเคฺคน วา อคฺคํ มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรํ โหติ; เอวเมว สตฺตา อิมสฺมิํ ปจฺจยากาเร ขลิตา อากุลา พฺยากุลา โหนฺติ, น สโกฺกนฺติ ตํปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํฯ ตตฺถ ตนฺตํ ปจฺจตฺตปุริสกาเร ฐตฺวา สกฺกาปิ ภเวยฺย อุชุํ กาตุํ, ฐเปตฺวา ปน เทฺว โพธิสเตฺต อเญฺญ สตฺตา อตฺตโน ธมฺมตาย ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํ สมตฺถา นาม นตฺถิฯ ยถา ปน อากุลํ ตนฺตํ กญฺชิยํ ทตฺวา โกเจฺฉน ปหตํ ตตฺถ ตตฺถ คุฬกชาตํ โหติ คณฺฐิพทฺธํ, เอวมิเม สตฺตา ปจฺจเยสุ ปกฺขลิตฺวา ปจฺจเย อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตา ทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตวเสน อากุลกชาตา โหนฺติ, คณฺฐิพทฺธาฯ เย หิ เกจิ ทิฎฺฐิคตนิสฺสิตา, สเพฺพ ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตาเยวฯ

    Etassa dhammassāti etassa paccayadhammassa. Ananubodhāti ñātapariññāvasena ananubujjhanā. Appaṭivedhāti tīraṇappahānapariññāvasena appaṭivijjhanā. Tantākulakajātāti tantaṃ viya ākulakajātā. Yathā nāma dunnikkhittaṃ mūsikacchinnaṃ pesakārānaṃ tantaṃ tahiṃ tahiṃ ākulaṃ hoti, idaṃ aggaṃ idaṃ mūlanti aggena vā aggaṃ mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaraṃ hoti; evameva sattā imasmiṃ paccayākāre khalitā ākulā byākulā honti, na sakkonti taṃpaccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ. Tattha tantaṃ paccattapurisakāre ṭhatvā sakkāpi bhaveyya ujuṃ kātuṃ, ṭhapetvā pana dve bodhisatte aññe sattā attano dhammatāya paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ samatthā nāma natthi. Yathā pana ākulaṃ tantaṃ kañjiyaṃ datvā kocchena pahataṃ tattha tattha guḷakajātaṃ hoti gaṇṭhibaddhaṃ, evamime sattā paccayesu pakkhalitvā paccaye ujuṃ kātuṃ asakkontā dvāsaṭṭhidiṭṭhigatavasena ākulakajātā honti, gaṇṭhibaddhā. Ye hi keci diṭṭhigatanissitā, sabbe paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ asakkontāyeva.

    กุลาคณฺฐิกชาตาติ กุลาคณฺฐิกํ วุจฺจติ เปสการกญฺชิยสุตฺตํฯ กุลา นาม สกุณิกา, ตสฺสา กุลาวโกติปิ เอเกฯ ยถา หิ ตทุภยมฺปิ อากุลํ อเคฺคน วา อคฺคํ มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรนฺติ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ

    Kulāgaṇṭhikajātāti kulāgaṇṭhikaṃ vuccati pesakārakañjiyasuttaṃ. Kulā nāma sakuṇikā, tassā kulāvakotipi eke. Yathā hi tadubhayampi ākulaṃ aggena vā aggaṃ mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaranti purimanayeneva yojetabbaṃ.

    มุญฺชปพฺพชภูตาติ มุญฺชติณํ วิย ปพฺพชติณํ วิย จ ภูตาฯ ยถา ตานิ ติณานิ โกเฎฺฎตฺวา กตรชฺชุ ชิณฺณกาเล กตฺถจิ ปติตํ คเหตฺวา เตสํ ติณานํ อิทํ อคฺคํ, อิทํ มูลนฺติ อเคฺคน วา อคฺคํ มูเลน วา มูลํ สมาเนตุํ ทุกฺกรนฺติฯ ตมฺปิ ปจฺจตฺตปุริสกาเร ฐตฺวา สกฺกา ภเวยฺย อุชุํ กาตุํ, ฐเปตฺวา ปน เทฺว โพธิสเตฺต อเญฺญ สตฺตา อตฺตโน ธมฺมตาย ปจฺจยาการํ อุชุํ กาตุํ สมตฺถา นาม นตฺถิฯ เอวมยํ ปชา ปจฺจยากาเร อุชุํ กาตุํ อสโกฺกนฺตี ทิฎฺฐิคตวเสน คณฺฐิกชาตา หุตฺวา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ สํสารํ นาติวตฺตติฯ

    Muñjapabbajabhūtāti muñjatiṇaṃ viya pabbajatiṇaṃ viya ca bhūtā. Yathā tāni tiṇāni koṭṭetvā katarajju jiṇṇakāle katthaci patitaṃ gahetvā tesaṃ tiṇānaṃ idaṃ aggaṃ, idaṃ mūlanti aggena vā aggaṃ mūlena vā mūlaṃ samānetuṃ dukkaranti. Tampi paccattapurisakāre ṭhatvā sakkā bhaveyya ujuṃ kātuṃ, ṭhapetvā pana dve bodhisatte aññe sattā attano dhammatāya paccayākāraṃ ujuṃ kātuṃ samatthā nāma natthi. Evamayaṃ pajā paccayākāre ujuṃ kātuṃ asakkontī diṭṭhigatavasena gaṇṭhikajātā hutvā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ saṃsāraṃ nātivattati.

    ตตฺถ อปาโยติ นิรยติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยอสุรกายาฯ สเพฺพปิ หิ เต วฑฺฒิสงฺขาตสฺส อยสฺส อภาวโต – ‘‘อปาโย’’ติ วุจฺจนฺติฯ ตถา ทุกฺขสฺส คติภาวโต ทุคฺคติฯ สุขสมุสฺสยโต วินิปติตตฺตา วินิปาโตฯ อิตโร ปน –

    Tattha apāyoti nirayatiracchānayonipettivisayaasurakāyā. Sabbepi hi te vaḍḍhisaṅkhātassa ayassa abhāvato – ‘‘apāyo’’ti vuccanti. Tathā dukkhassa gatibhāvato duggati. Sukhasamussayato vinipatitattā vinipāto. Itaro pana –

    ‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎิ, ธาตุอายตนาน จ;

    ‘‘Khandhānañca paṭipāṭi, dhātuāyatanāna ca;

    อโพฺพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา, สํสาโรติ ปวุจฺจตี’’ติฯ

    Abbocchinnaṃ vattamānā, saṃsāroti pavuccatī’’ti.

    ตํ สพฺพมฺปิ นาติวตฺตติ นาติกฺกมติฯ อถ โข จุติโต ปฎิสนฺธิํ, ปฎิสนฺธิโต จุตินฺติ เอวํ ปุนปฺปุนํ จุติปฎิสนฺธิโย คณฺหนฺตา ตีสุ ภเวสุ จตูสุ โยนีสุ ปญฺจสุ คตีสุ สตฺตสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ นวสุ สตฺตาวาเสสุ มหาสมุเทฺท วาตุกฺขิตฺตนาวา วิย ยเนฺตสุ ยุตฺตโคโณ วิย จ ปริพฺภมติเยว ฯ อิติ สพฺพํ เปตํ ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อปสาเทโนฺต อาหาติ เวทิตพฺพํฯ

    Taṃ sabbampi nātivattati nātikkamati. Atha kho cutito paṭisandhiṃ, paṭisandhito cutinti evaṃ punappunaṃ cutipaṭisandhiyo gaṇhantā tīsu bhavesu catūsu yonīsu pañcasu gatīsu sattasu viññāṇaṭṭhitīsu navasu sattāvāsesu mahāsamudde vātukkhittanāvā viya yantesu yuttagoṇo viya ca paribbhamatiyeva . Iti sabbaṃ petaṃ bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ apasādento āhāti veditabbaṃ.

    ปฎิจฺจสมุปฺปาทวณฺณนา

    Paṭiccasamuppādavaṇṇanā

    ๙๖. อิทานิ ยสฺมา อิทํ สุตฺตํ – ‘‘คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท’’ติ จ ‘‘ตนฺตากุลกชาตา’’ติ จ ทฺวีหิเยว ปเทหิ อาพทฺธํ, ตสฺมา – ‘‘คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท’’ติ อิมินา ตาว อนุสนฺธินา ปจฺจยาการสฺส คมฺภีรภาวทสฺสนตฺถํ เทสนํ อารภโนฺต อตฺถิ อิทปฺปจฺจยา ชรามรณนฺติอาทิมาหฯ ตตฺรายมโตฺถ – อิมสฺส ชรามรณสฺส ปจฺจโย อิทปฺปจฺจโย, ตสฺมา อิทปฺปจฺจยา อตฺถิ ชรามรณํ, อตฺถิ นุ โข ชรามรณสฺส ปจฺจโย, ยมฺหา ปจฺจยา ชรามรณํ ภเวยฺยาติ เอวํ ปุเฎฺฐน สตา, อานนฺท, ปณฺฑิเตน ปุคฺคเลน ยถา – ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’’นฺติ วุเตฺต ฐปนียตฺตา ปญฺหสฺส ตุณฺหี ภวิตพฺพํ โหติ, ‘‘อพฺยากตเมตํ ตถาคเตนา’’ติ วา วตฺตพฺพํ โหติ, เอวํ อปฺปฎิปชฺชิตฺวา, ยถา – ‘‘จกฺขุ สสฺสตํ อสสฺสต’’นฺติ วุเตฺต อสสฺสตนฺติ เอกํเสเนว วตฺตพฺพํ โหติ, เอวํ เอกํเสเนว อตฺถีติสฺส วจนียํฯ ปุน กิํ ปจฺจยา ชรามรณํ, โก นาม โส ปจฺจโย, ยโต ชรามรณํ โหตีติ วุเตฺต ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิจฺจสฺส วจนียํ, เอวํ วตฺตพฺพํ ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพปเทสุฯ

    96. Idāni yasmā idaṃ suttaṃ – ‘‘gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo’’ti ca ‘‘tantākulakajātā’’ti ca dvīhiyeva padehi ābaddhaṃ, tasmā – ‘‘gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo’’ti iminā tāva anusandhinā paccayākārassa gambhīrabhāvadassanatthaṃ desanaṃ ārabhanto atthi idappaccayā jarāmaraṇantiādimāha. Tatrāyamattho – imassa jarāmaraṇassa paccayo idappaccayo, tasmā idappaccayā atthi jarāmaraṇaṃ, atthi nu kho jarāmaraṇassa paccayo, yamhā paccayā jarāmaraṇaṃ bhaveyyāti evaṃ puṭṭhena satā, ānanda, paṇḍitena puggalena yathā – ‘‘taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’’nti vutte ṭhapanīyattā pañhassa tuṇhī bhavitabbaṃ hoti, ‘‘abyākatametaṃ tathāgatenā’’ti vā vattabbaṃ hoti, evaṃ appaṭipajjitvā, yathā – ‘‘cakkhu sassataṃ asassata’’nti vutte asassatanti ekaṃseneva vattabbaṃ hoti, evaṃ ekaṃseneva atthītissa vacanīyaṃ. Puna kiṃ paccayā jarāmaraṇaṃ, ko nāma so paccayo, yato jarāmaraṇaṃ hotīti vutte jātipaccayā jarāmaraṇanti iccassa vacanīyaṃ, evaṃ vattabbaṃ bhaveyyāti attho. Esa nayo sabbapadesu.

    นามรูปปจฺจยา ผโสฺสติ อิทํ ปน ยสฺมา สฬายตนปจฺจยาติ วุเตฺต จกฺขุสมฺผสฺสาทีนํ ฉนฺนํ วิปากสมฺผสฺสานํเยว คหณํ โหติ, อิธ จ ‘‘สฬายตนปจฺจยา’’ติ อิมินา ปเทน คหิตมฺปิ อคหิตมฺปิ ปจฺจยุปฺปนฺนวิเสสํ ผสฺสสฺส จ สฬายตนโต อติริตฺตํ อญฺญมฺปิ วิเสสปจฺจยํ ทเสฺสตุกาโม, ตสฺมา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิมินา ปน วาเรน ภควตา กิํ กถิตนฺติ? ปจฺจยานํ นิทานํ กถิตํฯ อิทญฺหิ สุตฺตํ ปจฺจเย นิชฺชเฎ นิคฺคุเมฺพ กตฺวา กถิตตฺตา มหานิทานนฺติ วุจฺจติฯ

    Nāmarūpapaccayā phassoti idaṃ pana yasmā saḷāyatanapaccayāti vutte cakkhusamphassādīnaṃ channaṃ vipākasamphassānaṃyeva gahaṇaṃ hoti, idha ca ‘‘saḷāyatanapaccayā’’ti iminā padena gahitampi agahitampi paccayuppannavisesaṃ phassassa ca saḷāyatanato atirittaṃ aññampi visesapaccayaṃ dassetukāmo, tasmā vuttanti veditabbaṃ. Iminā pana vārena bhagavatā kiṃ kathitanti? Paccayānaṃ nidānaṃ kathitaṃ. Idañhi suttaṃ paccaye nijjaṭe niggumbe katvā kathitattā mahānidānanti vuccati.

    ๙๘. อิทานิ เตสํ เตสํ ปจฺจยานํ ตถํ อวิตถํ อนญฺญถํ ปจฺจยภาวํ ทเสฺสตุํ ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปริยาเยนาติ การเณนฯ สเพฺพนสพฺพํ สพฺพถาสพฺพนฺติ นิปาตทฺวยเมตํฯ ตสฺสโตฺถ – ‘‘สพฺพากาเรน สพฺพา สเพฺพน สภาเวน สพฺพา ชาติ นาม ยทิ น ภเวยฺยา’’ติฯ ภวาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ กสฺสจีติ อนิยมวจนเมตํ, เทวาทีสุ ยสฺส กสฺสจิฯ กิมฺหิจีติ อิทมฺปิ อนิยมวจนเมว, กามภวาทีสุ นวสุ ภเวสุ ยตฺถ กตฺถจิฯ เสยฺยถิทนฺติ อนิยมิตนิกฺขิตฺตอตฺถวิภชนเตฺถ นิปาโต, ตสฺสโตฺถ – ‘‘ยํ วุตฺตํ ‘กสฺสจิ กิมฺหิจี’ติ, ตสฺส เต อตฺถํ วิภชิสฺสามี’’ติฯ อถ นํ วิภชโนฺต – ‘‘เทวานํ วา เทวตฺตายา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เทวานํ วา เทวตฺตายาติ ยา อยํ เทวานํ เทวภาวาย ขนฺธชาติ, ยาย ขนฺธชาติยา เทวา ‘‘เทวา’’ติ วุจฺจนฺติฯ สเจ หิ ชาติ สเพฺพน สพฺพํ นาภวิสฺสาติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ จ เทวาติ อุปปตฺติเทวาฯ คนฺธพฺพาติ มูลขนฺธาทีสุ อธิวตฺถเทวตาวฯ ยกฺขาติ อมนุสฺสาฯ ภูตาติ เย เกจิ นิพฺพตฺตสตฺตาฯ ปกฺขิโนติ เย เกจิ อฎฺฐิปกฺขา วา จมฺมปกฺขา วา โลมปกฺขา วาฯ สรีสปาติ เย เกจิ ภูมิยํ สรนฺตา คจฺฉนฺติฯ เตสํ เตสนฺติ เตสํ เตสํ เทวคนฺธพฺพาทีนํฯ ตทตฺถายาติ เทวคนฺธพฺพาทิภาวายฯ ชาตินิโรธาติ ชาติวิคมา, ชาติอภาวาติ อโตฺถฯ

    98. Idāni tesaṃ tesaṃ paccayānaṃ tathaṃ avitathaṃ anaññathaṃ paccayabhāvaṃ dassetuṃ jātipaccayā jarāmaraṇanti iti kho panetaṃ vuttantiādimāha. Tattha pariyāyenāti kāraṇena. Sabbenasabbaṃ sabbathāsabbanti nipātadvayametaṃ. Tassattho – ‘‘sabbākārena sabbā sabbena sabhāvena sabbā jāti nāma yadi na bhaveyyā’’ti. Bhavādīsupi imināva nayena attho veditabbo. Kassacīti aniyamavacanametaṃ, devādīsu yassa kassaci. Kimhicīti idampi aniyamavacanameva, kāmabhavādīsu navasu bhavesu yattha katthaci. Seyyathidanti aniyamitanikkhittaatthavibhajanatthe nipāto, tassattho – ‘‘yaṃ vuttaṃ ‘kassaci kimhicī’ti, tassa te atthaṃ vibhajissāmī’’ti. Atha naṃ vibhajanto – ‘‘devānaṃ vā devattāyā’’tiādimāha. Tattha devānaṃ vā devattāyāti yā ayaṃ devānaṃ devabhāvāya khandhajāti, yāya khandhajātiyā devā ‘‘devā’’ti vuccanti. Sace hi jāti sabbena sabbaṃ nābhavissāti iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo. Ettha ca devāti upapattidevā. Gandhabbāti mūlakhandhādīsu adhivatthadevatāva. Yakkhāti amanussā. Bhūtāti ye keci nibbattasattā. Pakkhinoti ye keci aṭṭhipakkhā vā cammapakkhā vā lomapakkhā vā. Sarīsapāti ye keci bhūmiyaṃ sarantā gacchanti. Tesaṃ tesanti tesaṃ tesaṃ devagandhabbādīnaṃ. Tadatthāyāti devagandhabbādibhāvāya. Jātinirodhāti jātivigamā, jātiabhāvāti attho.

    เหตูติอาทีนิ สพฺพานิปิ การณเววจนานิ เอวฯ การณญฺหิ ยสฺมา อตฺตโน ผลตฺถาย หิโนติ ปวตฺตติ, ตสฺมา ‘‘เหตู’’ติ วุจฺจติฯ ยสฺมา ตํ ผลํ นิเทติ – ‘‘หนฺท, นํ คณฺหถา’’ติ อเปฺปติ วิย ตสฺมา นิทานํฯ ยสฺมา ผลํ ตโต สมุเทติ อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ปฎิจฺจ เอติ ปวตฺตติ, ตสฺมา สมุทโยติ จ ปจฺจโยติ จ วุจฺจติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อปิ จ ยทิทํ ชาตีติ เอตฺถ ยทิทนฺติ นิปาโตฯ ตสฺส สพฺพปเทสุ ลิงฺคานุรูปโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิธ ปน – ‘‘ยา เอสา ชาตี’’ติ อยมสฺส อโตฺถฯ ชรามรณสฺส หิ ชาติ อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหติฯ

    Hetūtiādīni sabbānipi kāraṇavevacanāni eva. Kāraṇañhi yasmā attano phalatthāya hinoti pavattati, tasmā ‘‘hetū’’ti vuccati. Yasmā taṃ phalaṃ nideti – ‘‘handa, naṃ gaṇhathā’’ti appeti viya tasmā nidānaṃ. Yasmā phalaṃ tato samudeti uppajjati, tañca paṭicca eti pavattati, tasmā samudayoti ca paccayoti ca vuccati. Esa nayo sabbattha. Api ca yadidaṃ jātīti ettha yadidanti nipāto. Tassa sabbapadesu liṅgānurūpato attho veditabbo. Idha pana – ‘‘yā esā jātī’’ti ayamassa attho. Jarāmaraṇassa hi jāti upanissayakoṭiyā paccayo hoti.

    ๙๙. ภวปเท – ‘‘กิมฺหิจี’’ติ อิมินา โอกาสปริคฺคโห กโตฯ ตตฺถ เหฎฺฐา อวีจิปริยนฺตํ กตฺวา อุปริ ปรนิมฺมิตวสวตฺติเทเว อโนฺตกริตฺวา กามภโว เวทิตโพฺพฯ อยํ นโย อุปปตฺติภเวฯ อิธ ปน กมฺมภเว ยุชฺชติฯ โส หิ ชาติยา อุปนิสฺสยโกฎิยาว ปจฺจโย โหติฯ อุปาทานปทาทีสุปิ – ‘‘กิมฺหิจี’’ติ อิมินา โอกาสปริคฺคโหว กโตติ เวทิตโพฺพฯ

    99. Bhavapade – ‘‘kimhicī’’ti iminā okāsapariggaho kato. Tattha heṭṭhā avīcipariyantaṃ katvā upari paranimmitavasavattideve antokaritvā kāmabhavo veditabbo. Ayaṃ nayo upapattibhave. Idha pana kammabhave yujjati. So hi jātiyā upanissayakoṭiyāva paccayo hoti. Upādānapadādīsupi – ‘‘kimhicī’’ti iminā okāsapariggahova katoti veditabbo.

    ๑๐๐. อุปาทานปจฺจยา ภโวติ เอตฺถ กามุปาทานํ ติณฺณมฺปิ กมฺมภวานํ ติณฺณญฺจ อุปปตฺติภวานํ ปจฺจโย, ตถา เสสานิปีติ อุปาทานปจฺจยา จตุวีสติภวา เวทิตพฺพาฯ นิปฺปริยาเยเนตฺถ ทฺวาทส กมฺมภวา ลพฺภนฺติฯ เตสํ อุปาทานานิ สหชาตโกฎิยาปิ อุปนิสฺสยโกฎิยาปิ ปจฺจโยฯ

    100.Upādānapaccayābhavoti ettha kāmupādānaṃ tiṇṇampi kammabhavānaṃ tiṇṇañca upapattibhavānaṃ paccayo, tathā sesānipīti upādānapaccayā catuvīsatibhavā veditabbā. Nippariyāyenettha dvādasa kammabhavā labbhanti. Tesaṃ upādānāni sahajātakoṭiyāpi upanissayakoṭiyāpi paccayo.

    ๑๐๑. รูปตณฺหาติ รูปารมฺมเณ ตณฺหาฯ เอส นโย สทฺทตณฺหาทีสุฯ สา ปเนสา ตณฺหา อุปาทานสฺส สหชาตโกฎิยาปิ อุปนิสฺสยโกฎิยาปิ ปจฺจโย โหติฯ

    101.Rūpataṇhāti rūpārammaṇe taṇhā. Esa nayo saddataṇhādīsu. Sā panesā taṇhā upādānassa sahajātakoṭiyāpi upanissayakoṭiyāpi paccayo hoti.

    ๑๐๒. เอส ปจฺจโย ตณฺหาย, ยทิทํ เวทนาติ เอตฺถ วิปากเวทนา ตณฺหาย อุปนิสฺสยโกฎิยา ปจฺจโย โหติ, อญฺญา อญฺญถาปีติฯ

    102.Esa paccayo taṇhāya, yadidaṃvedanāti ettha vipākavedanā taṇhāya upanissayakoṭiyā paccayo hoti, aññā aññathāpīti.

    ๑๐๓. เอตฺตาวตา ปน ภควา วฎฺฎมูลภูตํ ปุริมตณฺหํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เทสนํ, ปิฎฺฐิยํ ปหริตฺวา เกเสสุ วา คเหตฺวา วิรวนฺตํ วิรวนฺตํ มคฺคโต โอกฺกเมโนฺต วิย นวหิ ปเทหิ สมุทาจารตณฺหํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘อิติ โข ปเนตํ, อานนฺท, เวทนํ ปฎิจฺจ ตณฺหา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตณฺหาติ เทฺว ตณฺหา เอสนตณฺหา จ, เอสิตตณฺหา จฯ ยาย ตณฺหาย อชปถสงฺกุปถาทีนิ ปฎิปชฺชิตฺวา โภเค เอสติ คเวสติ, อยํ เอสนตณฺหา นามฯ ยา เตสุ เอสิเตสุ คเวสิเตสุ ปฎิลเทฺธสุ ตณฺหา, อยํ เอสิตตณฺหา นามฯ ตทุภยมฺปิ สมุทาจารตณฺหาย เอว อธิวจนํฯ ตสฺมา ทุวิธาเปสา เวทนํ ปฎิจฺจ ตณฺหา นามฯ ปริเยสนา นาม รูปาทิอารมฺมณปริเยสนา, สา หิ ตณฺหาย สติ โหติฯ ลาโภติ รูปาทิอารมฺมณปฎิลาโภ, โส หิ ปริเยสนาย สติ โหติฯ วินิจฺฉโย ปน ญาณตณฺหาทิฎฺฐิวิตกฺกวเสน จตุพฺพิโธฯ ตตฺถ – ‘‘สุขวินิจฺฉยํ ชญฺญา, สุขวินิจฺฉยํ ญตฺวา อชฺฌตฺตํ สุขมนุยุเญฺชยฺยา’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๒๓) อยํ ญาณวินิจฺฉโยฯ ‘‘วินิจฺฉโยติ เทฺว วินิจฺฉยา – ตณฺหาวินิจฺฉโย จ ทิฎฺฐิวินิจฺฉโย จา’’ติ (มหานิ. ๑๐๒)ฯ เอวํ อาคตานิ อฎฺฐสตตณฺหาวิจริตานิ ตณฺหาวินิจฺฉโยฯ ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโย ทิฎฺฐิวินิจฺฉโยฯ ‘‘ฉโนฺท โข, เทวานมินฺท, วิตกฺกนิทาโน’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๕๘) อิมสฺมิํ ปน สุเตฺต อิธ วินิจฺฉโยติ วุโตฺต วิตโกฺกเยว อาคโตฯ ลาภํ ลภิตฺวา หิ อิฎฺฐานิฎฺฐํ สุนฺทราสุนฺทรญฺจ วิตเกฺกเนว วินิจฺฉินาติ – ‘‘เอตฺตกํ เม รูปารมฺมณตฺถาย ภวิสฺสติ, เอตฺตกํ สทฺทาทิอารมฺมณตฺถาย, เอตฺตกํ มยฺหํ ภวิสฺสติ, เอตฺตกํ ปรสฺส, เอตฺตกํ ปริภุญฺชิสฺสามิ, เอตฺตกํ นิทหิสฺสามี’’ติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ลาภํ ปฎิจฺจ วินิจฺฉโย’’ติฯ

    103. Ettāvatā pana bhagavā vaṭṭamūlabhūtaṃ purimataṇhaṃ dassetvā idāni desanaṃ, piṭṭhiyaṃ paharitvā kesesu vā gahetvā viravantaṃ viravantaṃ maggato okkamento viya navahi padehi samudācārataṇhaṃ dassento – ‘‘iti kho panetaṃ, ānanda, vedanaṃ paṭicca taṇhā’’tiādimāha. Tattha taṇhāti dve taṇhā esanataṇhā ca, esitataṇhā ca. Yāya taṇhāya ajapathasaṅkupathādīni paṭipajjitvā bhoge esati gavesati, ayaṃ esanataṇhā nāma. Yā tesu esitesu gavesitesu paṭiladdhesu taṇhā, ayaṃ esitataṇhā nāma. Tadubhayampi samudācārataṇhāya eva adhivacanaṃ. Tasmā duvidhāpesā vedanaṃ paṭicca taṇhā nāma. Pariyesanā nāma rūpādiārammaṇapariyesanā, sā hi taṇhāya sati hoti. Lābhoti rūpādiārammaṇapaṭilābho, so hi pariyesanāya sati hoti. Vinicchayo pana ñāṇataṇhādiṭṭhivitakkavasena catubbidho. Tattha – ‘‘sukhavinicchayaṃ jaññā, sukhavinicchayaṃ ñatvā ajjhattaṃ sukhamanuyuñjeyyā’’ti (ma. ni. 3.323) ayaṃ ñāṇavinicchayo. ‘‘Vinicchayoti dve vinicchayā – taṇhāvinicchayo ca diṭṭhivinicchayo cā’’ti (mahāni. 102). Evaṃ āgatāni aṭṭhasatataṇhāvicaritāni taṇhāvinicchayo. Dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo diṭṭhivinicchayo. ‘‘Chando kho, devānaminda, vitakkanidāno’’ti (dī. ni. 2.358) imasmiṃ pana sutte idha vinicchayoti vutto vitakkoyeva āgato. Lābhaṃ labhitvā hi iṭṭhāniṭṭhaṃ sundarāsundarañca vitakkeneva vinicchināti – ‘‘ettakaṃ me rūpārammaṇatthāya bhavissati, ettakaṃ saddādiārammaṇatthāya, ettakaṃ mayhaṃ bhavissati, ettakaṃ parassa, ettakaṃ paribhuñjissāmi, ettakaṃ nidahissāmī’’ti. Tena vuttaṃ – ‘‘lābhaṃ paṭicca vinicchayo’’ti.

    ฉนฺทราโคติ เอวํ อกุสลวิตเกฺกน วิตกฺกิตวตฺถุสฺมิํ ทุพฺพลราโค จ พลวราโค จ อุปฺปชฺชติ, อิทญฺหิ อิธ ตณฺหาฯ ฉโนฺทติ ทุพฺพลราคสฺสาธิวจนํฯ อโชฺฌสานนฺติ อหํ มมนฺติ พลวสนฺนิฎฺฐานํฯ ปริคฺคโหติ ตณฺหาทิฎฺฐวเสน ปริคฺคหณกรณํฯ มจฺฉริยนฺติ ปเรหิ สาธารณภาวสฺส อสหนตาฯ เตเนวสฺส โปราณา เอวํ วจนตฺถํ วทนฺติ – ‘‘อิทํ อจฺฉริยํ มยฺหเมว โหตุ, มา อเญฺญสํ อจฺฉริยํ โหตูติ ปวตฺตตฺตา มจฺฉริยนฺติ วุจฺจตี’’ติฯ อารโกฺขติ ทฺวารปิทหนมญฺชูสโคปนาทิวเสน สุฎฺฐุ รกฺขณํฯ อธิกโรตีติ อธิกรณํ, การณเสฺสตํ นามํฯ อารกฺขาธิกรณนฺติ ภาวนปุํสกํ, อารกฺขเหตูติ อโตฺถฯ ทณฺฑาทานาทีสุ ปรนิเสธนตฺถํ ทณฺฑสฺส อาทานํ ทณฺฑาทานํฯ เอกโต ธาราทิโน สตฺถสฺส อาทานํ สตฺถาทานํฯ กลโหติ กายกลโหปิ วาจากลโหปิฯ ปุริโม ปุริโม วิโรโธ วิคฺคโหฯ ปจฺฉิโม ปจฺฉิโม วิวาโทฯ ตุวํตุวนฺติ อคารววจนํ ตุวํตุวํฯ

    Chandarāgoti evaṃ akusalavitakkena vitakkitavatthusmiṃ dubbalarāgo ca balavarāgo ca uppajjati, idañhi idha taṇhā. Chandoti dubbalarāgassādhivacanaṃ. Ajjhosānanti ahaṃ mamanti balavasanniṭṭhānaṃ. Pariggahoti taṇhādiṭṭhavasena pariggahaṇakaraṇaṃ. Macchariyanti parehi sādhāraṇabhāvassa asahanatā. Tenevassa porāṇā evaṃ vacanatthaṃ vadanti – ‘‘idaṃ acchariyaṃ mayhameva hotu, mā aññesaṃ acchariyaṃ hotūti pavattattā macchariyanti vuccatī’’ti. Ārakkhoti dvārapidahanamañjūsagopanādivasena suṭṭhu rakkhaṇaṃ. Adhikarotīti adhikaraṇaṃ, kāraṇassetaṃ nāmaṃ. Ārakkhādhikaraṇanti bhāvanapuṃsakaṃ, ārakkhahetūti attho. Daṇḍādānādīsu paranisedhanatthaṃ daṇḍassa ādānaṃ daṇḍādānaṃ. Ekato dhārādino satthassa ādānaṃ satthādānaṃ. Kalahoti kāyakalahopi vācākalahopi. Purimo purimo virodho viggaho. Pacchimo pacchimo vivādo. Tuvaṃtuvanti agāravavacanaṃ tuvaṃtuvaṃ.

    ๑๑๒. อิทานิ ปฎิโลมนเยนาปิ ตํสมุทาจารตณฺหํ ทเสฺสตุํ ปุน – ‘‘อารกฺขาธิกรณ’’นฺติ อารภโนฺต เทสนํ นิวเตฺตสิฯ ตตฺถ กามตณฺหาติ ปญฺจกามคุณิกราควเสน อุปฺปนฺนา รูปาทิตณฺหาฯ ภวตณฺหาติ สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต ราโคฯ วิภวตณฺหาติ อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคโต ราโคฯ อิเม เทฺว ธมฺมาติ วฎฺฎมูลตณฺหา จ สมุทาจารตณฺหา จาติ อิเม เทฺว ธมฺมาฯ ทฺวเยนาติ ตณฺหาลกฺขณวเสน เอกภาวํ คตาปิ วฎฺฎมูลสมุทาจารวเสน ทฺวีหิ โกฎฺฐาเสหิ เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ, เวทนาปจฺจเยน เอกปจฺจยาติ อโตฺถฯ ติวิธญฺหิ สโมสรณํ โอสรณสโมสรณํ, สหชาตสโมสรณํ, ปจฺจยสโมสรณญฺจฯ ตตฺถ – ‘‘อถ โข สพฺพานิ ตานิ กามสโมสรณานิ ภวนฺตี’’ติ อิทํ โอสรณสโมสรณํ นามฯ ‘‘ฉนฺทมูลกา, อาวุโส, เอเต ธมฺมา ผสฺสสมุทยา เวทนาสโมสรณา’’ติ (อ. นิ. ๘.๘๓) อิทํ สหชาตสโมสรณํ นามฯ ‘‘ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา’’ติ อิทํ ปน ปจฺจยสโมสรณนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    112. Idāni paṭilomanayenāpi taṃsamudācārataṇhaṃ dassetuṃ puna – ‘‘ārakkhādhikaraṇa’’nti ārabhanto desanaṃ nivattesi. Tattha kāmataṇhāti pañcakāmaguṇikarāgavasena uppannā rūpāditaṇhā. Bhavataṇhāti sassatadiṭṭhisahagato rāgo. Vibhavataṇhāti ucchedadiṭṭhisahagato rāgo. Ime dve dhammāti vaṭṭamūlataṇhā ca samudācārataṇhā cāti ime dve dhammā. Dvayenāti taṇhālakkhaṇavasena ekabhāvaṃ gatāpi vaṭṭamūlasamudācāravasena dvīhi koṭṭhāsehi vedanāya ekasamosaraṇā bhavanti, vedanāpaccayena ekapaccayāti attho. Tividhañhi samosaraṇaṃ osaraṇasamosaraṇaṃ, sahajātasamosaraṇaṃ, paccayasamosaraṇañca. Tattha – ‘‘atha kho sabbāni tāni kāmasamosaraṇāni bhavantī’’ti idaṃ osaraṇasamosaraṇaṃ nāma. ‘‘Chandamūlakā, āvuso, ete dhammā phassasamudayā vedanāsamosaraṇā’’ti (a. ni. 8.83) idaṃ sahajātasamosaraṇaṃ nāma. ‘‘Dvayena vedanāya ekasamosaraṇā’’ti idaṃ pana paccayasamosaraṇanti veditabbaṃ.

    ๑๑๓. จกฺขุสมฺผโสฺสติ อาทโย สเพฺพ วิปากผสฺสาเยวฯ เตสุ ฐเปตฺวา จตฺตาโร โลกุตฺตรวิปากผเสฺส อวเสสา ทฺวตฺติํส ผสฺสา โหนฺติฯ ยทิทํ ผโสฺสติ เอตฺถ ปน ผโสฺส พหุธา เวทนาย ปจฺจโย โหติฯ

    113.Cakkhusamphassoti ādayo sabbe vipākaphassāyeva. Tesu ṭhapetvā cattāro lokuttaravipākaphasse avasesā dvattiṃsa phassā honti. Yadidaṃ phassoti ettha pana phasso bahudhā vedanāya paccayo hoti.

    ๑๑๔. เยหิ, อานนฺท, อากาเรหีติอาทีสุ อาการา วุจฺจนฺติ เวทนาทีนํ อญฺญมญฺญํ อสทิสสภาวาฯ เตเยว สาธุกํ ทสฺสิยมานา ตํ ตํ ลีนมตฺถํ คเมนฺตีติ ลิงฺคานิฯ ตสฺส ตสฺส สญฺชานนเหตุโต นิมิตฺตานิฯ ตถา ตถา อุทฺทิสิตพฺพโต อุเทฺทสา ฯ ตสฺมา อยเมตฺถ อโตฺถ – ‘‘อานนฺท, เยหิ อากาเรหิ…เป.… เยหิ อุเทฺทเสหิ นามกายสฺส นามสมูหสฺส ปญฺญตฺติ โหติ, ยา เอสา จ เวทนาย เวทยิตากาเร เวทยิตลิเงฺค เวทยิตนิมิเตฺต เวทนาติ อุเทฺทเส สติ, สญฺญาย สญฺชานนากาเร สญฺชานนลิเงฺค สญฺชานนนิมิเตฺต สญฺญาติ อุเทฺทเส สติ, สงฺขารานํ เจตนากาเร เจตนาลิเงฺค เจตนานิมิเตฺต เจตนาติ อุเทฺทเส สติ, วิญฺญาณสฺส วิชานนากาเร วิชานนลิเงฺค วิชานนนิมิเตฺต วิญฺญาณนฺติ อุเทฺทเส สติ – ‘อยํ นามกาโย’ติ นามกายสฺส ปญฺญตฺติ โหติฯ เตสุ นามกายปฺปญฺญตฺติเหตูสุ เวทนาทีสุ อาการาทีสุ อสติ อปิ นุ โข รูปกาเย อธิวจนสมฺผโสฺส ปญฺญาเยถ? ยฺวายํ จตฺตาโร ขเนฺธ วตฺถุํ กตฺวา มโนทฺวาเร อธิวจนสมฺผสฺสเววจโน มโนสมฺผโสฺส อุปฺปชฺชติ, อปิ นุ โข โส รูปกาเย ปญฺญาเยถ, ปญฺจ ปสาเท วตฺถุํ กตฺวา กตฺวา อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติฯ อถ อายสฺมา อานโนฺท อมฺพรุเกฺข อสติ ชมฺพุรุกฺขโต อมฺพปกฺกสฺส อุปฺปตฺติํ วิย รูปกายโต ตสฺส อุปฺปตฺติํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต โน เหตํ ภเนฺตติ อาหฯ

    114.Yehi, ānanda, ākārehītiādīsu ākārā vuccanti vedanādīnaṃ aññamaññaṃ asadisasabhāvā. Teyeva sādhukaṃ dassiyamānā taṃ taṃ līnamatthaṃ gamentīti liṅgāni. Tassa tassa sañjānanahetuto nimittāni. Tathā tathā uddisitabbato uddesā. Tasmā ayamettha attho – ‘‘ānanda, yehi ākārehi…pe… yehi uddesehi nāmakāyassa nāmasamūhassa paññatti hoti, yā esā ca vedanāya vedayitākāre vedayitaliṅge vedayitanimitte vedanāti uddese sati, saññāya sañjānanākāre sañjānanaliṅge sañjānananimitte saññāti uddese sati, saṅkhārānaṃ cetanākāre cetanāliṅge cetanānimitte cetanāti uddese sati, viññāṇassa vijānanākāre vijānanaliṅge vijānananimitte viññāṇanti uddese sati – ‘ayaṃ nāmakāyo’ti nāmakāyassa paññatti hoti. Tesu nāmakāyappaññattihetūsu vedanādīsu ākārādīsu asati api nu kho rūpakāye adhivacanasamphasso paññāyetha? Yvāyaṃ cattāro khandhe vatthuṃ katvā manodvāre adhivacanasamphassavevacano manosamphasso uppajjati, api nu kho so rūpakāye paññāyetha, pañca pasāde vatthuṃ katvā katvā uppajjeyyā’’ti. Atha āyasmā ānando ambarukkhe asati jamburukkhato ambapakkassa uppattiṃ viya rūpakāyato tassa uppattiṃ asampaṭicchanto no hetaṃ bhanteti āha.

    ทุติยปเญฺห รุปฺปนาการรุปฺปนลิงฺครุปฺปนนิมิตฺตวเสน รูปนฺติ อุเทฺทสวเสน จ อาการาทีนํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปฎิฆสมฺผโสฺสติ สปฺปฎิฆํ รูปกฺขนฺธํ วตฺถุํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสมฺผโสฺสฯ อิธาปิ เถโร ชมฺพุรุเกฺข อสติ อมฺพรุกฺขโต ชมฺพุปกฺกสฺส อุปฺปตฺติํ วิย นามกายโต ตสฺส อุปฺปตฺติํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ติ อาหฯ

    Dutiyapañhe ruppanākāraruppanaliṅgaruppananimittavasena rūpanti uddesavasena ca ākārādīnaṃ attho veditabbo. Paṭighasamphassoti sappaṭighaṃ rūpakkhandhaṃ vatthuṃ katvā uppajjanakasamphasso. Idhāpi thero jamburukkhe asati ambarukkhato jambupakkassa uppattiṃ viya nāmakāyato tassa uppattiṃ asampaṭicchanto ‘‘no hetaṃ bhante’’ti āha.

    ตติยปโญฺห อุภยวเสเนว วุโตฺตฯ ตตฺร เถโร อากาเส อมฺพชมฺพุปกฺกานํ อุปฺปตฺติํ วิย นามรูปาภาเว ทฺวินฺนมฺปิ ผสฺสานํ อุปฺปตฺติํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต ‘‘โน เหตํ ภเนฺต’’ติ อาหฯ

    Tatiyapañho ubhayavaseneva vutto. Tatra thero ākāse ambajambupakkānaṃ uppattiṃ viya nāmarūpābhāve dvinnampi phassānaṃ uppattiṃ asampaṭicchanto ‘‘no hetaṃ bhante’’ti āha.

    เอวํ ทฺวินฺนํ ผสฺสานํ วิสุํ วิสุํ ปจฺจยํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทฺวินฺนมฺปิ เตสํ อวิเสสโต นามรูปปจฺจยตํ ทเสฺสตุํ – ‘‘เยหิ อานนฺท อากาเรหี’’ติ จตุตฺถํ ปญฺหํ อารภิฯ ยทิทํ นามรูปนฺติ ยํ อิทํ นามรูปํ, ยํ อิทํ ฉสุปิ ทฺวาเรสุ นามรูปํ, เอเสว เหตุ เอเสว ปจฺจโยติ อโตฺถฯ จกฺขุทฺวาราทีสุ หิ จกฺขาทีนิ เจว รูปารมฺมณาทีนิ จ รูปํ, สมฺปยุตฺตกา ขนฺธา นามนฺติ เอวํ ปญฺจวิโธปิ โส ผโสฺส นามรูปปจฺจยาว ผโสฺสฯ มโนทฺวาเรปิ หทยวตฺถุเญฺจว ยญฺจ รูปํ อารมฺมณํ โหติ, อิทํ รูปํฯ สมฺปยุตฺตธมฺมา เจว ยญฺจ อรูปํ อารมฺมณํ โหติ, อิทํ อรูปํ นามฯ เอวํ มโนสมฺผโสฺสปิ นามรูปปจฺจยา ผโสฺสติ เวทิตโพฺพฯ นามรูปํ ปนสฺส พหุธา ปจฺจโย โหติฯ

    Evaṃ dvinnaṃ phassānaṃ visuṃ visuṃ paccayaṃ dassetvā idāni dvinnampi tesaṃ avisesato nāmarūpapaccayataṃ dassetuṃ – ‘‘yehi ānanda ākārehī’’ti catutthaṃ pañhaṃ ārabhi. Yadidaṃ nāmarūpanti yaṃ idaṃ nāmarūpaṃ, yaṃ idaṃ chasupi dvāresu nāmarūpaṃ, eseva hetu eseva paccayoti attho. Cakkhudvārādīsu hi cakkhādīni ceva rūpārammaṇādīni ca rūpaṃ, sampayuttakā khandhā nāmanti evaṃ pañcavidhopi so phasso nāmarūpapaccayāva phasso. Manodvārepi hadayavatthuñceva yañca rūpaṃ ārammaṇaṃ hoti, idaṃ rūpaṃ. Sampayuttadhammā ceva yañca arūpaṃ ārammaṇaṃ hoti, idaṃ arūpaṃ nāma. Evaṃ manosamphassopi nāmarūpapaccayā phassoti veditabbo. Nāmarūpaṃ panassa bahudhā paccayo hoti.

    ๑๑๕. น โอกฺกมิสฺสถาติ ปวิสิตฺวา ปวตฺตมานํ วิย ปฎิสนฺธิวเสน น วตฺติสฺสถฯ สมุจฺจิสฺสถาติ ปฎิสนฺธิวิญฺญาเณ อสติ อปิ นุ โข สุทฺธํ อวเสสํ นามรูปํ อโนฺตมาตุกุจฺฉิสฺมิํ กลลาทิภาเวน สมุจฺจิตํ มิสฺสกภูตํ หุตฺวา วตฺติสฺสถฯ โอกฺกมิตฺวา โวกฺกมิสฺสถาติ ปฎิสนฺธิวเสน โอกฺกมิตฺวา จุติวเสน โวกฺกมิสฺสถ, นิรุชฺฌิสฺสถาติ อโตฺถฯ โส ปนสฺส นิโรโธ น ตเสฺสว จิตฺตสฺส นิโรเธน, น ตโต ทุติยตติยานํ นิโรเธน โหติฯ ปฎิสนฺธิจิเตฺตน หิ สทฺธิํ สมุฎฺฐิตานิ สมติํส กมฺมชรูปานิ นิพฺพตฺตนฺติฯ เตสุ ปน ฐิเตสุเยว โสฬส ภวงฺคจิตฺตานิ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติฯ เอตสฺมิํ อนฺตเร คหิตปฎิสนฺธิกสฺส ทารกสฺส วา มาตุยา วา ปนสฺส อนฺตราโย นตฺถิฯ อยญฺหิ อโนกาโส นามฯ สเจ ปน ปฎิสนฺธิจิเตฺตน สทฺธิํ สมุฎฺฐิตรูปานิ สตฺตรสมสฺส ภวงฺคสฺส ปจฺจยํ ทาตุํ สโกฺกนฺติ, ปวตฺติ ปวตฺตติ, ปเวณี ฆฎิยติฯ สเจ ปน น สโกฺกนฺติ, ปวตฺติ นปฺปวตฺตติ, ปเวณี น ฆฎิยติ, โวกฺกมติ นาม โหติฯ ตํ สนฺธาย ‘‘โอกฺกมิตฺวา โวกฺกมิสฺสถา’’ติ วุตฺตํฯ

    115.Na okkamissathāti pavisitvā pavattamānaṃ viya paṭisandhivasena na vattissatha. Samuccissathāti paṭisandhiviññāṇe asati api nu kho suddhaṃ avasesaṃ nāmarūpaṃ antomātukucchismiṃ kalalādibhāvena samuccitaṃ missakabhūtaṃ hutvā vattissatha. Okkamitvā vokkamissathāti paṭisandhivasena okkamitvā cutivasena vokkamissatha, nirujjhissathāti attho. So panassa nirodho na tasseva cittassa nirodhena, na tato dutiyatatiyānaṃ nirodhena hoti. Paṭisandhicittena hi saddhiṃ samuṭṭhitāni samatiṃsa kammajarūpāni nibbattanti. Tesu pana ṭhitesuyeva soḷasa bhavaṅgacittāni uppajjitvā nirujjhanti. Etasmiṃ antare gahitapaṭisandhikassa dārakassa vā mātuyā vā panassa antarāyo natthi. Ayañhi anokāso nāma. Sace pana paṭisandhicittena saddhiṃ samuṭṭhitarūpāni sattarasamassa bhavaṅgassa paccayaṃ dātuṃ sakkonti, pavatti pavattati, paveṇī ghaṭiyati. Sace pana na sakkonti, pavatti nappavattati, paveṇī na ghaṭiyati, vokkamati nāma hoti. Taṃ sandhāya ‘‘okkamitvā vokkamissathā’’ti vuttaṃ.

    อิตฺถตฺตายาติ อิตฺถภาวาย, เอวํ ปริปุณฺณปญฺจกฺขนฺธภาวายาติ อโตฺถฯ ทหรเสฺสว สโตติ มนฺทสฺส พาลเสฺสว สนฺตสฺสฯ โวจฺฉิชฺชิสฺสถาติ อุปจฺฉิชฺชิสฺสถ วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลนฺติ วิญฺญาเณ อุปจฺฉิเนฺน สุทฺธํ นามรูปเมว อุฎฺฐหิตฺวา ปฐมวยวเสน วุฑฺฒิํ, มชฺฌิมวยวเสน วิรูฬฺหิํ, ปจฺฉิมวยวเสน เวปุลฺลํ อปิ นุ โข อาปชฺชิสฺสถาติฯ ทสวสฺสวีสติวสฺสวสฺสสตวสฺสสหสฺสสมฺปาปเนน วา อปิ นุ โข วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ อาปชฺชิสฺสถาติ อโตฺถฯ

    Itthattāyāti itthabhāvāya, evaṃ paripuṇṇapañcakkhandhabhāvāyāti attho. Daharasseva satoti mandassa bālasseva santassa. Vocchijjissathāti upacchijjissatha vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullanti viññāṇe upacchinne suddhaṃ nāmarūpameva uṭṭhahitvā paṭhamavayavasena vuḍḍhiṃ, majjhimavayavasena virūḷhiṃ, pacchimavayavasena vepullaṃ api nu kho āpajjissathāti. Dasavassavīsativassavassasatavassasahassasampāpanena vā api nu kho vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ āpajjissathāti attho.

    ตสฺมาติหานนฺทาติ ยสฺมา มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิคฺคหเณปิ กุจฺฉิวาเสปิ กุจฺฉิโต นิกฺขมเนปิ, ปวตฺติยํ ทสวสฺสาทิกาเลปิ วิญฺญาณเมวสฺส ปจฺจโย, ตสฺมา เอเสว เหตุ เอส ปจฺจโย นามรูปสฺส, ยทิทํ วิญฺญาณํฯ ยถา หิ ราชา อตฺตโน ปริสํ นิคฺคณฺหโนฺต เอวํ วเทยฺย – ‘‘ตฺวํ อุปราชา, ตฺวํ เสนาปตีติ เกน กโต นนุ มยา กโต, สเจ หิ มยิ อกโรเนฺต ตฺวํ อตฺตโน ธมฺมตาย อุปราชา วา เสนาปติ วา ภเวยฺยาสิ, ชาเนยฺยาม โว พล’’นฺติ; เอวเมว วิญฺญาณํ นามรูปสฺส ปจฺจโย โหติฯ อตฺถโต เอวํ นามรูปํ วทติ วิย ‘‘ตฺวํ นามํ, ตฺวํ รูปํ, ตฺวํ นามรูปํ นามาติ เกน กตํ, นนุ มยา กตํ, สเจ หิ มยิ ปุเรจาริเก หุตฺวา มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคณฺหเนฺต ตฺวํ นามํ วา รูปํ วา นามรูปํ วา ภเวยฺยาสิ, ชาเนยฺยาม โว พล’’นฺติฯ ตํ ปเนตํ วิญฺญาณํ นามรูปสฺส พหุธา ปจฺจโย โหติฯ

    Tasmātihānandāti yasmā mātukucchiyaṃ paṭisandhiggahaṇepi kucchivāsepi kucchito nikkhamanepi, pavattiyaṃ dasavassādikālepi viññāṇamevassa paccayo, tasmā eseva hetu esa paccayo nāmarūpassa, yadidaṃ viññāṇaṃ. Yathā hi rājā attano parisaṃ niggaṇhanto evaṃ vadeyya – ‘‘tvaṃ uparājā, tvaṃ senāpatīti kena kato nanu mayā kato, sace hi mayi akaronte tvaṃ attano dhammatāya uparājā vā senāpati vā bhaveyyāsi, jāneyyāma vo bala’’nti; evameva viññāṇaṃ nāmarūpassa paccayo hoti. Atthato evaṃ nāmarūpaṃ vadati viya ‘‘tvaṃ nāmaṃ, tvaṃ rūpaṃ, tvaṃ nāmarūpaṃ nāmāti kena kataṃ, nanu mayā kataṃ, sace hi mayi purecārike hutvā mātukucchismiṃ paṭisandhiṃ agaṇhante tvaṃ nāmaṃ vā rūpaṃ vā nāmarūpaṃ vā bhaveyyāsi, jāneyyāma vo bala’’nti. Taṃ panetaṃ viññāṇaṃ nāmarūpassa bahudhā paccayo hoti.

    ๑๑๖. ทุกฺขสมุทยสมฺภโวติ ทุกฺขราสิสมฺภโวฯ ยทิทํ นามรูปนฺติ ยํ อิทํ นามรูปํ, เอเสว เหตุ เอส ปจฺจโยฯ ยถา หิ ราชปุริสา ราชานํ นิคฺคณฺหโนฺต เอวํ วเทยฺยุํ – ‘‘ตฺวํ ราชาติ เกน กโต, นนุ มยา กโต, สเจ หิ มยิ อุปราชฎฺฐาเน, มยิ เสนาปติฎฺฐาเน อติฎฺฐเนฺต ตฺวํ เอกโกว ราชา ภเวยฺยาสิ, ปเสฺสยฺยาม เต ราชภาว’’นฺติ; เอวเมว นามรูปมฺปิ อตฺถโต เอวํ วิญฺญาณํ วทติ วิย ‘‘ตฺวํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณนฺติ เกน กตํ, นนุ อเมฺหหิ กตํ, สเจ หิ ตฺวํ ตโย ขเนฺธ หทยวตฺถุญฺจ อนิสฺสาย ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ นาม ภเวยฺยาสิ, ปเสฺสยฺยาม เต ปฎิสนฺธิวิญฺญาณภาว’’นฺติฯ ตญฺจ ปเนตํ นามรูปํ วิญฺญาณสฺส พหุธา ปจฺจโย โหติฯ

    116.Dukkhasamudayasambhavoti dukkharāsisambhavo. Yadidaṃ nāmarūpanti yaṃ idaṃ nāmarūpaṃ, eseva hetu esa paccayo. Yathā hi rājapurisā rājānaṃ niggaṇhanto evaṃ vadeyyuṃ – ‘‘tvaṃ rājāti kena kato, nanu mayā kato, sace hi mayi uparājaṭṭhāne, mayi senāpatiṭṭhāne atiṭṭhante tvaṃ ekakova rājā bhaveyyāsi, passeyyāma te rājabhāva’’nti; evameva nāmarūpampi atthato evaṃ viññāṇaṃ vadati viya ‘‘tvaṃ paṭisandhiviññāṇanti kena kataṃ, nanu amhehi kataṃ, sace hi tvaṃ tayo khandhe hadayavatthuñca anissāya paṭisandhiviññāṇaṃ nāma bhaveyyāsi, passeyyāma te paṭisandhiviññāṇabhāva’’nti. Tañca panetaṃ nāmarūpaṃ viññāṇassa bahudhā paccayo hoti.

    เอตฺตาวตา โขติ วิญฺญาเณ นามรูปสฺส ปจฺจเย โหเนฺต, นามรูเป วิญฺญาณสฺส ปจฺจเย โหเนฺต, ทฺวีสุ อญฺญมญฺญปจฺจยวเสน ปวเตฺตสุ เอตฺตเกน ชาเยถ วา…เป.… อุปปเชฺชถ วา, ชาติอาทโย ปญฺญาเยยฺยุํ อปราปรํ วา จุติปฎิสนฺธิโยติฯ

    Ettāvatā khoti viññāṇe nāmarūpassa paccaye honte, nāmarūpe viññāṇassa paccaye honte, dvīsu aññamaññapaccayavasena pavattesu ettakena jāyetha vā…pe… upapajjetha vā, jātiādayo paññāyeyyuṃ aparāparaṃ vā cutipaṭisandhiyoti.

    อธิวจนปโถติ ‘‘สิริวฑฺฒโก ธนวฑฺฒโก’’ติอาทิกสฺส อตฺถํ อทิสฺวา วจนมตฺตเมว อธิกิจฺจ ปวตฺตสฺส โวหารสฺส ปโถฯ นิรุตฺติปโถติ สรตีติ สโต, สมฺปชานาตีติ สมฺปชาโนติอาทิกสฺส การณาปเทสวเสน ปวตฺตสฺส โวหารสฺส ปโถฯ ปญฺญตฺติปโถติ – ‘‘ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี นิปุโณ กตปรปฺปวาโท’’ติอาทิกสฺส นานปฺปการโต ญาปนวเสน ปวตฺตสฺส โวหารสฺส ปโถฯ อิติ ตีหิ ปเทหิ อธิวจนาทีนํ วตฺถุภูตา ขนฺธาว กถิตาฯ ปญฺญาวจรนฺติ ปญฺญาย อวจริตพฺพํ ชานิตพฺพํฯ วฎฺฎํ วตฺตตีติ สํสารวฎฺฎํ วตฺตติฯ อิตฺถตฺตนฺติ อิตฺถํภาโว, ขนฺธปญฺจกเสฺสตํ นามํฯ ปญฺญาปนายาติ นามปญฺญตฺตตฺถายฯ ‘‘เวทนา สญฺญา’’ติอาทินา นามปญฺญตฺตตฺถาย, ขนฺธปญฺจกมฺปิ เอตฺตาวตา ปญฺญายตีติ อโตฺถฯ ยทิทํ นามรูปํ สห วิญฺญาเณนาติ ยํ อิทํ นามรูปํ สห วิญฺญาเณน อญฺญมญฺญปจฺจยตาย ปวตฺตติ, เอตฺตาวตาติ วุตฺตํ โหติฯ อิทเญฺหตฺถ นิยฺยาติตวจนํฯ

    Adhivacanapathoti ‘‘sirivaḍḍhako dhanavaḍḍhako’’tiādikassa atthaṃ adisvā vacanamattameva adhikicca pavattassa vohārassa patho. Niruttipathoti saratīti sato, sampajānātīti sampajānotiādikassa kāraṇāpadesavasena pavattassa vohārassa patho. Paññattipathoti – ‘‘paṇḍito byatto medhāvī nipuṇo kataparappavādo’’tiādikassa nānappakārato ñāpanavasena pavattassa vohārassa patho. Iti tīhi padehi adhivacanādīnaṃ vatthubhūtā khandhāva kathitā. Paññāvacaranti paññāya avacaritabbaṃ jānitabbaṃ. Vaṭṭaṃ vattatīti saṃsāravaṭṭaṃ vattati. Itthattanti itthaṃbhāvo, khandhapañcakassetaṃ nāmaṃ. Paññāpanāyāti nāmapaññattatthāya. ‘‘Vedanā saññā’’tiādinā nāmapaññattatthāya, khandhapañcakampi ettāvatā paññāyatīti attho. Yadidaṃ nāmarūpaṃ saha viññāṇenāti yaṃ idaṃ nāmarūpaṃ saha viññāṇena aññamaññapaccayatāya pavattati, ettāvatāti vuttaṃ hoti. Idañhettha niyyātitavacanaṃ.

    อตฺตปญฺญตฺติวณฺณนา

    Attapaññattivaṇṇanā

    ๑๑๗. อิติ ภควา – ‘‘คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท, คมฺภีราวภาโส จา’’ติ ปทสฺส อนุสนฺธิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ‘‘ตนฺตากุลกชาตา’’ติ ปทสฺส อนุสนฺธิํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กิตฺตาวตา จา’’ติอาทิกํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ รูปิํ วา หิ, อานนฺท, ปริตฺตํ อตฺตานนฺติอาทีสุ โย อวฑฺฒิตํ กสิณนิมิตฺตํ อตฺตาติ คณฺหาติ, โส รูปิํ ปริตฺตํ ปญฺญเปติฯ โย ปน นานากสิณลาภี โหติ, โส ตํ กทาจิ นีโล, กทาจิ ปีตโกติ ปญฺญเปติฯ โย วฑฺฒิตํ กสิณนิมิตฺตํ อตฺตาติ คณฺหาติ, โส รูปิํ อนนฺตํ ปญฺญเปติฯ โย วา ปน อวฑฺฒิตํ กสิณนิมิตฺตํ อุคฺฆาเฎตฺวา นิมิตฺตผุโฎฺฐกาสํ วา ตตฺถ ปวเตฺต จตฺตาโร ขเนฺธ วา เตสุ วิญฺญาณมตฺตเมว วา อตฺตาติ คณฺหาติ, โส อรูปิํ ปริตฺตํ ปญฺญเปติฯ โย วฑฺฒิตํ นิมิตฺตํ อุคฺฆาเฎตฺวา นิมิตฺตผุโฎฺฐกาสํ วา ตตฺถ ปวเตฺต จตฺตาโร ขเนฺธ วา เตสุ วิญฺญาณมตฺตเมว วา อตฺตาติ คณฺหาติ, โส อรูปิํ อนนฺตํ ปญฺญเปติฯ

    117. Iti bhagavā – ‘‘gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo, gambhīrāvabhāso cā’’ti padassa anusandhiṃ dassetvā idāni ‘‘tantākulakajātā’’ti padassa anusandhiṃ dassento ‘‘kittāvatā cā’’tiādikaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha rūpiṃ vā hi, ānanda, parittaṃ attānantiādīsu yo avaḍḍhitaṃ kasiṇanimittaṃ attāti gaṇhāti, so rūpiṃ parittaṃ paññapeti. Yo pana nānākasiṇalābhī hoti, so taṃ kadāci nīlo, kadāci pītakoti paññapeti. Yo vaḍḍhitaṃ kasiṇanimittaṃ attāti gaṇhāti, so rūpiṃ anantaṃ paññapeti. Yo vā pana avaḍḍhitaṃ kasiṇanimittaṃ ugghāṭetvā nimittaphuṭṭhokāsaṃ vā tattha pavatte cattāro khandhe vā tesu viññāṇamattameva vā attāti gaṇhāti, so arūpiṃ parittaṃ paññapeti. Yo vaḍḍhitaṃ nimittaṃ ugghāṭetvā nimittaphuṭṭhokāsaṃ vā tattha pavatte cattāro khandhe vā tesu viññāṇamattameva vā attāti gaṇhāti, so arūpiṃ anantaṃ paññapeti.

    ๑๑๘. ตตฺรานนฺทาติ เอตฺถ ตตฺราติ เตสุ จตูสุ ทิฎฺฐิคติเกสุฯ เอตรหิ วาติ อิทาเนว, น อิโต ปรํฯ อุเจฺฉทวเสเนตํ วุตฺตํฯ ตตฺถภาวิํ วาติ ตตฺถ วา ปรโลเก ภาวิํฯ สสฺสตวเสเนตํ วุตฺตํฯ อตถํ วา ปน สนฺตนฺติ อตถสภาวํ สมานํฯ ตถตฺตายาติ ตถภาวายฯ อุปกเปฺปสฺสามีติ สมฺปาเทสฺสามิฯ อิมินา วิวาทํ ทเสฺสติฯ อุเจฺฉทวาที หิ ‘‘สสฺสตวาทิโน อตฺตานํ อตถํ อนุเจฺฉทสภาวมฺปิ สมานํ ตถตฺถาย อุเจฺฉทสภาวาย อุปกเปฺปสฺสามิ, สสฺสตวาทญฺจ ชานาเปตฺวา อุเจฺฉทวาทเมว นํ คาเหสฺสามี’’ติ จิเนฺตติฯ สสฺสตวาทีปิ ‘‘อุเจฺฉทวาทิโน อตฺตานํ อตถํ อสสฺสตสภาวมฺปิ สมานํ ตถตฺถาย สสฺสตภาวาย อุปกเปฺปสฺสามิ, อุเจฺฉทวาทญฺจ ชานาเปตฺวา สสฺสตวาทเมว นํ คาเหสฺสามี’’ติ จิเนฺตติฯ

    118.Tatrānandāti ettha tatrāti tesu catūsu diṭṭhigatikesu. Etarahi vāti idāneva, na ito paraṃ. Ucchedavasenetaṃ vuttaṃ. Tatthabhāviṃ vāti tattha vā paraloke bhāviṃ. Sassatavasenetaṃ vuttaṃ. Atathaṃ vā pana santanti atathasabhāvaṃ samānaṃ. Tathattāyāti tathabhāvāya. Upakappessāmīti sampādessāmi. Iminā vivādaṃ dasseti. Ucchedavādī hi ‘‘sassatavādino attānaṃ atathaṃ anucchedasabhāvampi samānaṃ tathatthāya ucchedasabhāvāya upakappessāmi, sassatavādañca jānāpetvā ucchedavādameva naṃ gāhessāmī’’ti cinteti. Sassatavādīpi ‘‘ucchedavādino attānaṃ atathaṃ asassatasabhāvampi samānaṃ tathatthāya sassatabhāvāya upakappessāmi, ucchedavādañca jānāpetvā sassatavādameva naṃ gāhessāmī’’ti cinteti.

    เอวํ สนฺตํ โขติ เอวํ สมานํ รูปิํ ปริตฺตํ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺตนฺติ อโตฺถฯ รูปินฺติ รูปกสิณลาภิํฯ ปริตฺตตฺตานุทิฎฺฐิ อนุเสตีติ ปริโตฺต อตฺตาติ อยํ ทิฎฺฐิ อนุเสติ, สา ปน น วลฺลิ วิย จ ลตา วิย จ อนุเสติฯ อปฺปหีนเฎฺฐน อนุเสตีติ เวทิตโพฺพฯ อิจฺจาลํ วจนายาติ ตํ ปุคฺคลํ เอวรูปา ทิฎฺฐิ อนุเสตีติ วตฺตุํ ยุตฺตํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    Evaṃsantaṃ khoti evaṃ samānaṃ rūpiṃ parittaṃ attānaṃ paññapentanti attho. Rūpinti rūpakasiṇalābhiṃ. Parittattānudiṭṭhi anusetīti paritto attāti ayaṃ diṭṭhi anuseti, sā pana na valli viya ca latā viya ca anuseti. Appahīnaṭṭhena anusetīti veditabbo. Iccālaṃ vacanāyāti taṃ puggalaṃ evarūpā diṭṭhi anusetīti vattuṃ yuttaṃ. Esa nayo sabbattha.

    อรูปินฺติ เอตฺถ ปน อรูปกสิณลาภิํ, อรูปกฺขนฺธโคจรํ วาติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอตฺตาวตา ลาภิโน จตฺตาโร, เตสํ อเนฺตวาสิกา จตฺตาโร, ตกฺกิกา จตฺตาโร, เตสํ อเนฺตวาสิกา จตฺตาโรติ อตฺตโต โสฬส ทิฎฺฐิคติกา ทสฺสิตา โหนฺติฯ

    Arūpinti ettha pana arūpakasiṇalābhiṃ, arūpakkhandhagocaraṃ vāti evamattho daṭṭhabbo. Ettāvatā lābhino cattāro, tesaṃ antevāsikā cattāro, takkikā cattāro, tesaṃ antevāsikā cattāroti attato soḷasa diṭṭhigatikā dassitā honti.

    นอตฺตปญฺญตฺติวณฺณนา

    Naattapaññattivaṇṇanā

    ๑๑๙. เอวํ เย อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ, เต ทเสฺสตฺวา อิทานิ เย น ปญฺญเปนฺติ, เต ทเสฺสตุํ – ‘‘กิตฺตาวตา จ อานนฺทา’’ติอาทิมาหฯ เก ปน น ปญฺญเปนฺติ? สเพฺพ ตาว อริยปุคฺคลา น ปญฺญเปนฺติฯ เย จ พหุสฺสุตา ติปิฎกธรา ทฺวิปิฎกธรา เอกปิฎกธรา, อนฺตมโส เอกนิกายมฺปิ สาธุกํ วินิจฺฉินิตฺวา อุคฺคหิตธมฺมกถิโกปิ อารทฺธวิปสฺสโกปิ ปุคฺคโล, เต น ปญฺญเปนฺติเยวฯ เอเตสญฺหิ ปฎิภาคกสิเณ ปฎิภาคกสิณมิเจฺจว ญาณํ โหติฯ อรูปกฺขเนฺธสุ จ อรูปกฺขนฺธา อิเจฺจวฯ

    119. Evaṃ ye attānaṃ paññapenti, te dassetvā idāni ye na paññapenti, te dassetuṃ – ‘‘kittāvatā ca ānandā’’tiādimāha. Ke pana na paññapenti? Sabbe tāva ariyapuggalā na paññapenti. Ye ca bahussutā tipiṭakadharā dvipiṭakadharā ekapiṭakadharā, antamaso ekanikāyampi sādhukaṃ vinicchinitvā uggahitadhammakathikopi āraddhavipassakopi puggalo, te na paññapentiyeva. Etesañhi paṭibhāgakasiṇe paṭibhāgakasiṇamicceva ñāṇaṃ hoti. Arūpakkhandhesu ca arūpakkhandhā icceva.

    อตฺตสมนุปสฺสนาวณฺณนา

    Attasamanupassanāvaṇṇanā

    ๑๒๑. เอวํ เย น ปญฺญเปนฺติ, เต ทเสฺสตฺวา อิทานิ เย เต ปญฺญเปนฺติ, เต ยสฺมา ทิฎฺฐิวเสน สมนุปสฺสิตฺวา ปญฺญเปนฺติ, สา จ เนสํ สมนุปสฺสนา วีสติวตฺถุกาย สกฺกายทิฎฺฐิยา อปฺปหีนตฺตา โหติ, ตสฺมา ตํ วีสติวตฺถุกํ สกฺกายทิฎฺฐิํ ทเสฺสตุํ ปุน กิตฺตาวตา จ อานนฺทาติอาทิมาหฯ

    121. Evaṃ ye na paññapenti, te dassetvā idāni ye te paññapenti, te yasmā diṭṭhivasena samanupassitvā paññapenti, sā ca nesaṃ samanupassanā vīsativatthukāya sakkāyadiṭṭhiyā appahīnattā hoti, tasmā taṃ vīsativatthukaṃ sakkāyadiṭṭhiṃ dassetuṃ puna kittāvatā ca ānandātiādimāha.

    ตตฺถ เวทนํ วา หีติ อิมินา เวทนากฺขนฺธวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิ กถิตาฯ อปฺปฎิสํเวทโน เม อตฺตาติ อิมินา รูปกฺขนฺธวตฺถุกาฯ อตฺตา เม เวทิยติ, เวทนาธโมฺม หิ เม อตฺตาติ อิมินา สญฺญาสงฺขารวิญฺญาณกฺขนฺธวตฺถุกา ฯ อิทญฺหิ ขนฺธตฺตยํ เวทนาสมฺปยุตฺตตฺตา เวทิยติฯ เอตสฺส จ เวทนาธโมฺม อวิปฺปยุตฺตสภาโวฯ

    Tattha vedanaṃ vā hīti iminā vedanākkhandhavatthukā sakkāyadiṭṭhi kathitā. Appaṭisaṃvedano me attāti iminā rūpakkhandhavatthukā. Attā me vediyati, vedanādhammo hi me attāti iminā saññāsaṅkhāraviññāṇakkhandhavatthukā . Idañhi khandhattayaṃ vedanāsampayuttattā vediyati. Etassa ca vedanādhammo avippayuttasabhāvo.

    ๑๒๒. อิทานิ ตตฺถ โทสํ ทเสฺสโนฺต – ‘‘ตตฺรานนฺทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตตฺราติ เตสุ ตีสุ ทิฎฺฐิคติเกสุฯ ยสฺมิํ, อานนฺท, สมเยติอาทิ โย โย ยํ ยํ เวทนํ อตฺตาติ สมนุปสฺสติ, ตสฺส ตสฺส อตฺตโน กทาจิ ภาวํ, กทาจิ อภาวนฺติ เอวมาทิโทสทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ

    122. Idāni tattha dosaṃ dassento – ‘‘tatrānandā’’tiādimāha. Tattha tatrāti tesu tīsu diṭṭhigatikesu. Yasmiṃ, ānanda, samayetiādi yo yo yaṃ yaṃ vedanaṃ attāti samanupassati, tassa tassa attano kadāci bhāvaṃ, kadāci abhāvanti evamādidosadassanatthaṃ vuttaṃ.

    ๑๒๓. อนิจฺจาทีสุ หุตฺวา อภาวโต อนิจฺจาฯ เตหิ เตหิ การเณหิ สงฺคมฺม สมาคมฺม กตาติ สงฺขตาฯ ตํ ตํ ปจฺจยํ ปฎิจฺจ สมฺมา การเณเนว อุปฺปนฺนาติ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนาฯ ขโยติอาทิ สพฺพํ ภงฺคสฺส เววจนํฯ ยญฺหิ ภิชฺชติ, ตํ ขิยติปิ วยติปิ วิรชฺฌติปิ นิรุชฺฌติปิ, ตสฺมา ขยธมฺมาติอาทิ วุตฺตํฯ

    123. Aniccādīsu hutvā abhāvato aniccā. Tehi tehi kāraṇehi saṅgamma samāgamma katāti saṅkhatā. Taṃ taṃ paccayaṃ paṭicca sammā kāraṇeneva uppannāti paṭiccasamuppannā. Khayotiādi sabbaṃ bhaṅgassa vevacanaṃ. Yañhi bhijjati, taṃ khiyatipi vayatipi virajjhatipi nirujjhatipi, tasmā khayadhammātiādi vuttaṃ.

    พฺยคา เมติ วิอคาติ พฺยคา, วิคโต นิรุโทฺธ เม อตฺตาติ อโตฺถฯ กิํ ปน เอกเสฺสว ตีสุปิ กาเลสุ – ‘‘เอโส เม อตฺตา’’ติ โหตีติ, กิํ ปน น ภวิสฺสติ? ทิฎฺฐิคติกสฺส หิ ถุสราสิมฺหิ นิกฺขิตฺตขาณุกเสฺสว นิจฺจลตา นาม นตฺถิ, วนมกฺกโฎ วิย อญฺญํ คณฺหาติ, อญฺญํ มุญฺจติฯ อนิจฺจสุขทุกฺขโวกิณฺณนฺติ วิเสเสน ตํ ตํ เวทนํ อตฺตาติ สมนุปสฺสโนฺต อนิจฺจเญฺจว สุขญฺจ ทุกฺขญฺจ อตฺตานํ สมนุปสฺสติ อวิเสเสน เวทนํ อตฺตาติ สมนุปสฺสโนฺต โวกิณฺณํ อุปฺปาทวยธมฺมํ อตฺตานํ สมนุปสฺสติฯ เวทนา หิ ติวิธา เจว อุปฺปาทวยธมฺมา จ, ตเญฺจส อตฺตาติ สมนุปสฺสติฯ อิจฺจสฺส อนิโจฺจ เจว อตฺตา อาปชฺชติ, เอกกฺขเณ จ พหูนํ เวทนานํ อุปฺปาโทฯ ตํ โข ปเนส อนิจฺจํ อตฺตานํ อนุชานาติ, น เอกกฺขเณ พหูนํ เวทนานํ อุปฺปตฺติ อตฺถิฯ อิมมตฺถํ สนฺธาย – ‘‘ตสฺมาติหานนฺท, เอเตนเปตํ นกฺขมติ ‘เวทนา เม อตฺตา’ติ สมนุปสฺสิตุ’’นฺติ วุตฺตํฯ

    Byagā meti viagāti byagā, vigato niruddho me attāti attho. Kiṃ pana ekasseva tīsupi kālesu – ‘‘eso me attā’’ti hotīti, kiṃ pana na bhavissati? Diṭṭhigatikassa hi thusarāsimhi nikkhittakhāṇukasseva niccalatā nāma natthi, vanamakkaṭo viya aññaṃ gaṇhāti, aññaṃ muñcati. Aniccasukhadukkhavokiṇṇanti visesena taṃ taṃ vedanaṃ attāti samanupassanto aniccañceva sukhañca dukkhañca attānaṃ samanupassati avisesena vedanaṃ attāti samanupassanto vokiṇṇaṃ uppādavayadhammaṃ attānaṃ samanupassati. Vedanā hi tividhā ceva uppādavayadhammā ca, tañcesa attāti samanupassati. Iccassa anicco ceva attā āpajjati, ekakkhaṇe ca bahūnaṃ vedanānaṃ uppādo. Taṃ kho panesa aniccaṃ attānaṃ anujānāti, na ekakkhaṇe bahūnaṃ vedanānaṃ uppatti atthi. Imamatthaṃ sandhāya – ‘‘tasmātihānanda, etenapetaṃ nakkhamati ‘vedanā me attā’ti samanupassitu’’nti vuttaṃ.

    ๑๒๔. ยตฺถ ปนาวุโสติ ยตฺถ สุทฺธรูปกฺขเนฺธ สพฺพโส เวทยิตํ นตฺถิฯ อปิ นุ โข ตตฺถาติ อปิ นุ โข ตสฺมิํ เวทนาวิรหิเต ตาลวเณฺฎ วา วาตปาเน วา อสฺมีติ เอวํ อหํกาโร อุปฺปเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ ตสฺมาติหานนฺทาติ ยสฺมา สุทฺธรูปกฺขโนฺธ อุฎฺฐาย อหมสฺมีติ น วทติ, ตสฺมา เอเตนปิ เอตํ นกฺขมตีติ อโตฺถฯ อปิ นุ โข ตตฺถ อยมหมสฺมีติ สิยาติ อปิ นุ โข เตสุ เวทนาธเมฺมสุ ตีสุ ขเนฺธสุ เอกธโมฺมปิ อยํ นาม อหมสฺมีติ เอวํ วตฺตโพฺพ สิยาฯ อถ วา เวทนานิโรธา สเหว เวทนาย นิรุเทฺธสุ เตสุ ตีสุ ขเนฺธสุ อปิ นุ โข อยมหมสฺมีติ วา อหมสฺมีติ วา อุปฺปเชฺชยฺยาติ อโตฺถฯ อถายสฺมา อานโนฺท สสวิสาณสฺส ติขิณภาวํ วิย ตํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต โน เหตํ ภเนฺตติ อาหฯ

    124.Yattha panāvusoti yattha suddharūpakkhandhe sabbaso vedayitaṃ natthi. Api nu kho tatthāti api nu kho tasmiṃ vedanāvirahite tālavaṇṭe vā vātapāne vā asmīti evaṃ ahaṃkāro uppajjeyyāti attho. Tasmātihānandāti yasmā suddharūpakkhandho uṭṭhāya ahamasmīti na vadati, tasmā etenapi etaṃ nakkhamatīti attho. Api nu kho tattha ayamahamasmīti siyāti api nu kho tesu vedanādhammesu tīsu khandhesu ekadhammopi ayaṃ nāma ahamasmīti evaṃ vattabbo siyā. Atha vā vedanānirodhā saheva vedanāya niruddhesu tesu tīsu khandhesu api nu kho ayamahamasmīti vā ahamasmīti vā uppajjeyyāti attho. Athāyasmā ānando sasavisāṇassa tikhiṇabhāvaṃ viya taṃ asampaṭicchanto no hetaṃ bhanteti āha.

    เอตฺตาวตา กิํ กถิตํ โหติ? วฎฺฎกถา กถิตา โหติฯ ภควา หิ วฎฺฎกถํ กเถโนฺต กตฺถจิ อวิชฺชาสีเสน กเถสิ, กตฺถจิ ตณฺหาสีเสน, กตฺถจิ ทิฎฺฐิสีเสนฯ ตตฺถ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ นปฺปญฺญายติ อวิชฺชาย, ‘อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติฯ เอวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติฯ อถ จ ปน ปญฺญายติ อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑) เอวํ อวิชฺชาสีเสน กถิตาฯ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ นปฺปญฺญายติ ภวตณฺหาย, ‘อิโต ปุเพฺพ ภวตณฺหา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติฯ เอวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติฯ อถ จ ปน ปญฺญายติ อิทปฺปจฺจยา ภวตณฺหา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒) เอวํ ตณฺหาสีเสน กถิตาฯ ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ นปฺปญฺญายติ ภวทิฎฺฐิยา, ‘อิโต ปุเพฺพ ภวทิฎฺฐิ นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติ, เอวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติฯ อถ จ ปน ปญฺญายติ อิทปฺปจฺจยา ภวทิฎฺฐี’’ติ เอวํ ทิฎฺฐิสีเสน กถิตาฯ อิธาปิ ทิฎฺฐิสีเสเนว กถิตาฯ

    Ettāvatā kiṃ kathitaṃ hoti? Vaṭṭakathā kathitā hoti. Bhagavā hi vaṭṭakathaṃ kathento katthaci avijjāsīsena kathesi, katthaci taṇhāsīsena, katthaci diṭṭhisīsena. Tattha ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi nappaññāyati avijjāya, ‘ito pubbe avijjā nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti. Evañcidaṃ, bhikkhave, vuccati. Atha ca pana paññāyati idappaccayā avijjā’’ti (a. ni. 10.61) evaṃ avijjāsīsena kathitā. ‘‘Purimā, bhikkhave, koṭi nappaññāyati bhavataṇhāya, ‘ito pubbe bhavataṇhā nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti. Evañcidaṃ, bhikkhave, vuccati. Atha ca pana paññāyati idappaccayā bhavataṇhā’’ti (a. ni. 10.62) evaṃ taṇhāsīsena kathitā. ‘‘Purimā, bhikkhave, koṭi nappaññāyati bhavadiṭṭhiyā, ‘ito pubbe bhavadiṭṭhi nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti, evañcidaṃ, bhikkhave, vuccati. Atha ca pana paññāyati idappaccayā bhavadiṭṭhī’’ti evaṃ diṭṭhisīsena kathitā. Idhāpi diṭṭhisīseneva kathitā.

    ทิฎฺฐิคติโก หิ สุขาทิเวทนํ อตฺตาติ คเหตฺวา อหงฺการมมงฺการปรามาสวเสน สพฺพภวโยนิคติ – วิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาเสสุ ตโต ตโต จวิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ อุปปชฺชโนฺต มหาสมุเทฺท วาตุกฺขิตฺตนาวา วิย สตตํ สมิตํ ปริพฺภมติ, วฎฺฎโต สีสํ อุกฺขิปิตุํเยว น สโกฺกติฯ

    Diṭṭhigatiko hi sukhādivedanaṃ attāti gahetvā ahaṅkāramamaṅkāraparāmāsavasena sabbabhavayonigati – viññāṇaṭṭhitisattāvāsesu tato tato cavitvā tattha tattha upapajjanto mahāsamudde vātukkhittanāvā viya satataṃ samitaṃ paribbhamati, vaṭṭato sīsaṃ ukkhipituṃyeva na sakkoti.

    ๑๒๖. อิติ ภควา ปจฺจยาการมูฬฺหสฺส ทิฎฺฐิคติกสฺส เอตฺตเกน กถามเคฺคน วฎฺฎํ กเถตฺวา อิทานิ วิวฎฺฎํ กเถโนฺต ยโต โข ปน, อานนฺท, ภิกฺขูติอาทิมาหฯ

    126. Iti bhagavā paccayākāramūḷhassa diṭṭhigatikassa ettakena kathāmaggena vaṭṭaṃ kathetvā idāni vivaṭṭaṃ kathento yato kho pana, ānanda, bhikkhūtiādimāha.

    ตญฺจ ปน วิวฎฺฎกถํ ภควา เทสนาสุ กุสลตฺตา วิสฺสฎฺฐกมฺมฎฺฐานํ นวกมฺมาทิวเสน วิกฺขิตฺตปุคฺคลํ อนามสิตฺวา การกสฺส สติปฎฺฐานวิหาริโน ปุคฺคลสฺส วเสน อารภโนฺต เนว เวทนํ อตฺตานํ สมนุปสฺสตีติอาทิมาหฯ เอวรูโป หิ ภิกฺขุ – ‘‘ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร วา สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสนํฯ ทุกฺขโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสนํฯ อนตฺตโต ววตฺถเปติ, เอกํ สมฺมสน’’นฺติอาทินา นเยน วุตฺตสฺส สมฺมสนญาณสฺส วเสน สพฺพธเมฺมสุ ปวตฺตตฺตา เนว เวทนํ อตฺตาติ สมนุปสฺสติ, น อญฺญํ, โส เอวํ อสมนุปสฺสโนฺต น กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตีติ ขนฺธโลกาทิเภเท โลเก รูปาทีสุ ธเมฺมสุ กิญฺจิ เอกธมฺมมฺปิ อตฺตาติ วา อตฺตนิยนฺติ วา น อุปาทิยติฯ

    Tañca pana vivaṭṭakathaṃ bhagavā desanāsu kusalattā vissaṭṭhakammaṭṭhānaṃ navakammādivasena vikkhittapuggalaṃ anāmasitvā kārakassa satipaṭṭhānavihārino puggalassa vasena ārabhanto neva vedanaṃ attānaṃ samanupassatītiādimāha. Evarūpo hi bhikkhu – ‘‘yaṃ kiñci rūpaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ ajjhattaṃ vā bahiddhā vā oḷārikaṃ vā sukhumaṃ vā hīnaṃ vā paṇītaṃ vā yaṃ dūre vā santike vā, sabbaṃ rūpaṃ aniccato vavatthapeti, ekaṃ sammasanaṃ. Dukkhato vavatthapeti, ekaṃ sammasanaṃ. Anattato vavatthapeti, ekaṃ sammasana’’ntiādinā nayena vuttassa sammasanañāṇassa vasena sabbadhammesu pavattattā neva vedanaṃ attāti samanupassati, na aññaṃ, so evaṃ asamanupassanto na kiñci loke upādiyatīti khandhalokādibhede loke rūpādīsu dhammesu kiñci ekadhammampi attāti vā attaniyanti vā na upādiyati.

    อนุปาทิยํ น ปริตสฺสตีติ อนุปาทิยโนฺต ตณฺหาทิฎฺฐิมานปริตสฺสนายาปิ น ปริตสฺสติฯ อปริตสฺสนฺติ อปริตสฺสมาโนฯ ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายตีติ อตฺตนาว กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพายติฯ เอวํ ปรินิพฺพุตสฺส ปนสฺส ปจฺจเวกฺขณาปวตฺติทสฺสนตฺถํ ขีณา ชาตีติอาทิ วุตฺตํฯ

    Anupādiyaṃna paritassatīti anupādiyanto taṇhādiṭṭhimānaparitassanāyāpi na paritassati. Aparitassanti aparitassamāno. Paccattaṃyeva parinibbāyatīti attanāva kilesaparinibbānena parinibbāyati. Evaṃ parinibbutassa panassa paccavekkhaṇāpavattidassanatthaṃ khīṇā jātītiādi vuttaṃ.

    อิติ สา ทิฎฺฐีติ ยา ตถาวิมุตฺตสฺส อรหโต ทิฎฺฐิ, สา เอวํ ทิฎฺฐิฯ ‘‘อิติสฺส ทิฎฺฐี’’ติปิ ปาโฐฯ โย ตถาวิมุโตฺต อรหา, เอวมสฺส ทิฎฺฐีติ อโตฺถฯ ตทกลฺลนฺติ ตํ น ยุตฺตํฯ กสฺมา? เอวญฺหิ สติ – ‘‘อรหา น กิญฺจิ ชานาตี’’ติ วุตฺตํ ภเวยฺย, เอวํ ญตฺวา วิมุตฺตญฺจ อรหนฺตํ ‘‘น กิญฺจิ ชานาตี’’ติ วตฺตุํ น ยุตฺตํฯ เตเนว จตุนฺนมฺปิ นยานํ อวสาเน – ‘‘ตํ กิสฺส เหตู’’ติอาทิมาหฯ

    Iti sā diṭṭhīti yā tathāvimuttassa arahato diṭṭhi, sā evaṃ diṭṭhi. ‘‘Itissa diṭṭhī’’tipi pāṭho. Yo tathāvimutto arahā, evamassa diṭṭhīti attho. Tadakallanti taṃ na yuttaṃ. Kasmā? Evañhi sati – ‘‘arahā na kiñci jānātī’’ti vuttaṃ bhaveyya, evaṃ ñatvā vimuttañca arahantaṃ ‘‘na kiñci jānātī’’ti vattuṃ na yuttaṃ. Teneva catunnampi nayānaṃ avasāne – ‘‘taṃ kissa hetū’’tiādimāha.

    ตตฺถ ยาวตา อานนฺท อธิวจนนฺติ ยตฺตโก อธิวจนสงฺขาโต โวหาโร อตฺถิฯ ยาวตา อธิวจนปโถติ ยตฺตโก อธิวจนสฺส ปโถ, ขนฺธา อายตนานิ ธาตุโย วา อตฺถิฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ปญฺญาวจรนฺติ ปญฺญาย อวจริตพฺพํ ขนฺธปญฺจกํฯ ตทภิญฺญาติ ตํ อภิชานิตฺวาฯ เอตฺตเกน ภควตา กิํ ทสฺสิตํ? ตนฺตากุลปทเสฺสว อนุสนฺธิ ทสฺสิโตฯ

    Tattha yāvatā ānanda adhivacananti yattako adhivacanasaṅkhāto vohāro atthi. Yāvatā adhivacanapathoti yattako adhivacanassa patho, khandhā āyatanāni dhātuyo vā atthi. Esa nayo sabbattha. Paññāvacaranti paññāya avacaritabbaṃ khandhapañcakaṃ. Tadabhiññāti taṃ abhijānitvā. Ettakena bhagavatā kiṃ dassitaṃ? Tantākulapadasseva anusandhi dassito.

    สตฺตวิญฺญาณฎฺฐิติวณฺณนา

    Sattaviññāṇaṭṭhitivaṇṇanā

    ๑๒๗. อิทานิ โย – ‘‘น ปญฺญเปตี’’ติ วุโตฺต, โส ยสฺมา คจฺฉโนฺต คจฺฉโนฺต อุภโตภาควิมุโตฺต นาม โหติฯ โย จ – ‘‘น สมนุปสฺสตี’’ติ วุโตฺต, โส ยสฺมา คจฺฉโนฺต คจฺฉโนฺต ปญฺญาวิมุโตฺต นาม โหติฯ ตสฺมา เตสํ เหฎฺฐา วุตฺตานํ ทฺวินฺนํ ภิกฺขูนํ นิคมนญฺจ นามญฺจ ทเสฺสตุํ สตฺต โข อิมานนฺท วิญฺญาณฎฺฐิติโยติอาทิมาหฯ

    127. Idāni yo – ‘‘na paññapetī’’ti vutto, so yasmā gacchanto gacchanto ubhatobhāgavimutto nāma hoti. Yo ca – ‘‘na samanupassatī’’ti vutto, so yasmā gacchanto gacchanto paññāvimutto nāma hoti. Tasmā tesaṃ heṭṭhā vuttānaṃ dvinnaṃ bhikkhūnaṃ nigamanañca nāmañca dassetuṃ satta kho imānanda viññāṇaṭṭhitiyotiādimāha.

    ตตฺถ สตฺตาติ ปฎิสนฺธิวเสน วุตฺตา, อารมฺมณวเสน สงฺคีติสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๓๑๑) วุตฺตา จตโสฺส อาคมิสฺสนฺติฯ วิญฺญาณํ ติฎฺฐติ เอตฺถาติ วิญฺญาณฎฺฐิติ, วิญฺญาณปติฎฺฐานเสฺสตํ อธิวจนํฯ เทฺว จ อายตนานีติ เทฺว นิวาสฎฺฐานานิฯ นิวาสฎฺฐานญฺหิ อิธายตนนฺติ อธิเปฺปตํฯ เตเนว วกฺขติ – ‘‘อสญฺญสตฺตายตนํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนเมว ทุติย’’นฺติฯ กสฺมา ปเนตํ สพฺพํ คหิตนฺติ? วฎฺฎปริยาทานตฺถํฯ วฎฺฎญฺหิ น สุทฺธวิญฺญาณฎฺฐิติวเสน สุทฺธายตนวเสน วา ปริยาทานํ คจฺฉติ, ภวโยนิคติสตฺตาวาสวเสน ปน คจฺฉติ, ตสฺมา สพฺพเมตํ คหิตํฯ

    Tattha sattāti paṭisandhivasena vuttā, ārammaṇavasena saṅgītisutte (dī. ni. 3.311) vuttā catasso āgamissanti. Viññāṇaṃ tiṭṭhati etthāti viññāṇaṭṭhiti, viññāṇapatiṭṭhānassetaṃ adhivacanaṃ. Dve ca āyatanānīti dve nivāsaṭṭhānāni. Nivāsaṭṭhānañhi idhāyatananti adhippetaṃ. Teneva vakkhati – ‘‘asaññasattāyatanaṃ nevasaññānāsaññāyatanameva dutiya’’nti. Kasmā panetaṃ sabbaṃ gahitanti? Vaṭṭapariyādānatthaṃ. Vaṭṭañhi na suddhaviññāṇaṭṭhitivasena suddhāyatanavasena vā pariyādānaṃ gacchati, bhavayonigatisattāvāsavasena pana gacchati, tasmā sabbametaṃ gahitaṃ.

    อิทานิ อนุกฺกเมน ตมตฺถํ วิภชโนฺต กตมา สตฺตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เสยฺยถาปีติ นิทสฺสนเตฺถ นิปาโต, ยถา มนุสฺสาติ อโตฺถฯ อปริมาเณสุ หิ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณานํ มนุสฺสานํ วณฺณสณฺฐานาทิวเสน เทฺวปิ เอกสทิสา นตฺถิฯ เยปิ หิ กตฺถจิ ยมกภาตโร วเณฺณน วา สณฺฐาเนน วา เอกสทิสา โหนฺติ, เตสมฺปิ อาโลกิตวิโลกิตกถิตหสิตคมนฐานาทีหิ วิเสโส โหติเยวฯ ตสฺมา นานตฺตกายาติ วุตฺตาฯ ปฎิสนฺธิสญฺญา ปน เนสํ ติเหตุกาปิ ทฺวิเหตุกาปิ อเหตุกาปิ โหนฺติ, ตสฺมา นานตฺตสญฺญิโนติ วุตฺตาฯ เอกเจฺจ จ เทวาติ ฉ กามาวจรเทวาฯ เตสุ หิ เกสญฺจิ กาโย นีโล โหติ, เกสญฺจิ ปีตกาทิวโณฺณฯ สญฺญา ปน เนสํ ทฺวิเหตุกาปิ ติเหตุกาปิ โหนฺติ, อเหตุกา นตฺถิฯ เอกเจฺจ จ วินิปาติกาติ จตุอปายวินิมุตฺตา อุตฺตรมาตา ยกฺขินี, ปิยงฺกรมาตา, ผุสฺสมิตฺตา, ธมฺมคุตฺตาติ เอวมาทิกา อเญฺญ จ เวมานิกา เปตาฯ เอเตสญฺหิ ปีตโอทาตกาฬมงฺคุรจฺฉวิสามวณฺณาทิวเสน เจว กิสถูลรสฺสทีฆวเสน จ กาโย นานา โหติ, มนุสฺสานํ วิย ทฺวิเหตุกติเหตุกอเหตุกวเสน สญฺญาปิฯ เต ปน เทวา วิย น มเหสกฺขา, กปณมนุสฺสา วิย อเปฺปสกฺขา, ทุลฺลภฆาสจฺฉาทนา ทุกฺขปีฬิตา วิหรนฺติฯ เอกเจฺจ กาฬปเกฺข ทุกฺขิตา ชุณฺหปเกฺข สุขิตา โหนฺติ, ตสฺมา สุขสมุสฺสยโต วินิปติตตฺตา วินิปาติกาติ วุตฺตาฯ เย ปเนตฺถ ติเหตุกา เตสํ ธมฺมาภิสมโยปิ โหติ, ปิยงฺกรมาตา หิ ยกฺขินี ปจฺจูสสมเย อนุรุทฺธเตฺถรสฺส ธมฺมํ สชฺฌายโต สุตฺวา –

    Idāni anukkamena tamatthaṃ vibhajanto katamā sattātiādimāha. Tattha seyyathāpīti nidassanatthe nipāto, yathā manussāti attho. Aparimāṇesu hi cakkavāḷesu aparimāṇānaṃ manussānaṃ vaṇṇasaṇṭhānādivasena dvepi ekasadisā natthi. Yepi hi katthaci yamakabhātaro vaṇṇena vā saṇṭhānena vā ekasadisā honti, tesampi ālokitavilokitakathitahasitagamanaṭhānādīhi viseso hotiyeva. Tasmā nānattakāyāti vuttā. Paṭisandhisaññā pana nesaṃ tihetukāpi dvihetukāpi ahetukāpi honti, tasmā nānattasaññinoti vuttā. Ekacce ca devāti cha kāmāvacaradevā. Tesu hi kesañci kāyo nīlo hoti, kesañci pītakādivaṇṇo. Saññā pana nesaṃ dvihetukāpi tihetukāpi honti, ahetukā natthi. Ekacce ca vinipātikāti catuapāyavinimuttā uttaramātā yakkhinī, piyaṅkaramātā, phussamittā, dhammaguttāti evamādikā aññe ca vemānikā petā. Etesañhi pītaodātakāḷamaṅguracchavisāmavaṇṇādivasena ceva kisathūlarassadīghavasena ca kāyo nānā hoti, manussānaṃ viya dvihetukatihetukaahetukavasena saññāpi. Te pana devā viya na mahesakkhā, kapaṇamanussā viya appesakkhā, dullabhaghāsacchādanā dukkhapīḷitā viharanti. Ekacce kāḷapakkhe dukkhitā juṇhapakkhe sukhitā honti, tasmā sukhasamussayato vinipatitattā vinipātikāti vuttā. Ye panettha tihetukā tesaṃ dhammābhisamayopi hoti, piyaṅkaramātā hi yakkhinī paccūsasamaye anuruddhattherassa dhammaṃ sajjhāyato sutvā –

    ‘‘มา สทฺทมกริ ปิยงฺกร, ภิกฺขุ ธมฺมปทานิ ภาสติ;

    ‘‘Mā saddamakari piyaṅkara, bhikkhu dhammapadāni bhāsati;

    อปิ ธมฺมปทํ วิชานิย, ปฎิปเชฺชม หิตาย โน สิยา;

    Api dhammapadaṃ vijāniya, paṭipajjema hitāya no siyā;

    ปาเณสุ จ สํยมามเส, สมฺปชานมุสา น ภณามเส;

    Pāṇesu ca saṃyamāmase, sampajānamusā na bhaṇāmase;

    สิเกฺขม สุสีลฺยมตฺตโน, อปิ มุเจฺจม ปิสาจโยนิยา’’ติฯ (สํ. นิ. ๒.๔๐);

    Sikkhema susīlyamattano, api muccema pisācayoniyā’’ti. (saṃ. ni. 2.40);

    เอวํ ปุตฺตกํ สญฺญาเปตฺวา ตํ ทิวสํ โสตาปตฺติผลํ ปตฺตาฯ อุตฺตรมาตา ปน ภควโต ธมฺมํ สุตฺวาว โสตาปนฺนา ชาตาฯ

    Evaṃ puttakaṃ saññāpetvā taṃ divasaṃ sotāpattiphalaṃ pattā. Uttaramātā pana bhagavato dhammaṃ sutvāva sotāpannā jātā.

    พฺรหฺมกายิกาติ พฺรหฺมปาริสชฺชพฺรหฺมปุโรหิตมหาพฺรหฺมาโนฯ ปฐมาภินิพฺพตฺตาติ เต สเพฺพปิ ปฐเมน ฌาเนน อภินิพฺพตฺตาฯ เตสุ พฺรหฺมปาริสชฺชา ปน ปริเตฺตน อภินิพฺพตฺตา, เตสํ กปฺปสฺส ตติโย ภาโค อายุปฺปมาณํฯ พฺรหฺมปุโรหิตา มชฺฌิเมน, เตสํ อุปฑฺฒกโปฺป อายุปฺปมาณํ, กาโย จ เตสํ วิปฺผาริกตโร โหติฯ มหาพฺรหฺมาโน ปณีเตน, เตสํ กโปฺป อายุปฺปมาณํ, กาโย ปน เตสํ อติวิปฺผาริโก โหติฯ อิติ เต กายสฺส นานตฺตา, ปฐมชฺฌานวเสน สญฺญาย เอกตฺตา นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโนติ เวทิตพฺพาฯ

    Brahmakāyikāti brahmapārisajjabrahmapurohitamahābrahmāno. Paṭhamābhinibbattāti te sabbepi paṭhamena jhānena abhinibbattā. Tesu brahmapārisajjā pana parittena abhinibbattā, tesaṃ kappassa tatiyo bhāgo āyuppamāṇaṃ. Brahmapurohitā majjhimena, tesaṃ upaḍḍhakappo āyuppamāṇaṃ, kāyo ca tesaṃ vipphārikataro hoti. Mahābrahmāno paṇītena, tesaṃ kappo āyuppamāṇaṃ, kāyo pana tesaṃ ativipphāriko hoti. Iti te kāyassa nānattā, paṭhamajjhānavasena saññāya ekattā nānattakāyā ekattasaññinoti veditabbā.

    ยถา จ เต, เอวํ จตูสุ อปาเยสุ สตฺตาฯ นิรเยสุ หิ เกสญฺจิ คาวุตํ, เกสญฺจิ อฑฺฒโยชนํ, เกสญฺจิ โยชนํ อตฺตภาโว โหติ, เทวทตฺตสฺส ปน โยชนสติโก ชาโตฯ ติรจฺฉาเนสุปิ เกจิ ขุทฺทกา, เกจิ มหนฺตาฯ เปตฺติวิสเยปิ เกจิ สฎฺฐิหตฺถา, เกจิ สตฺตติหตฺถา, เกจิ อสีติหตฺถา โหนฺติ, เกจิ สุวณฺณา, เกจิ ทุพฺพณฺณา โหนฺติฯ ตถา กาลกญฺชิกา อสุราฯ อปิ เจตฺถ ทีฆปิฎฺฐิกเปตา นาม สฎฺฐิโยชนิกาปิ โหนฺติฯ สญฺญา ปน สเพฺพสมฺปิ อกุสลวิปากอเหตุกาว โหนฺติฯ อิติ อาปายิกาปิ นานตฺตกายา เอกตฺตสญฺญิโนเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ

    Yathā ca te, evaṃ catūsu apāyesu sattā. Nirayesu hi kesañci gāvutaṃ, kesañci aḍḍhayojanaṃ, kesañci yojanaṃ attabhāvo hoti, devadattassa pana yojanasatiko jāto. Tiracchānesupi keci khuddakā, keci mahantā. Pettivisayepi keci saṭṭhihatthā, keci sattatihatthā, keci asītihatthā honti, keci suvaṇṇā, keci dubbaṇṇā honti. Tathā kālakañjikā asurā. Api cettha dīghapiṭṭhikapetā nāma saṭṭhiyojanikāpi honti. Saññā pana sabbesampi akusalavipākaahetukāva honti. Iti āpāyikāpi nānattakāyā ekattasaññinotveva saṅkhyaṃ gacchanti.

    อาภสฺสราติ ทณฺฑอุกฺกาย อจฺจิ วิย เอเตสํ สรีรโต อาภา ฉิชฺชิตฺวา ฉิชฺชิตฺวา ปตนฺตี วิย สรติ วิสฺสรตีติ อาภสฺสราฯ เตสุ ปญฺจกนเยน ทุติยตติยชฺฌานทฺวยํ ปริตฺตํ ภาเวตฺวา อุปปนฺนา ปริตฺตาภา นาม โหนฺติ, เตสํ เทฺว กปฺปา อายุปฺปมาณํฯ มชฺฌิมํ ภาเวตฺวา อุปปนฺนา อปฺปมาณาภา นาม โหนฺติ, เตสํ จตฺตาโร กปฺปา อายุปฺปมาณํฯ ปณีตํ ภาเวตฺวา อุปปนฺนา อาภสฺสรา นาม โหนฺติ, เตสํ อฎฺฐ กปฺปา อายุปฺปมาณํฯ อิธ ปน อุกฺกฎฺฐปริเจฺฉทวเสน สเพฺพปิ เต คหิตาฯ สเพฺพสญฺหิ เตสํ กาโย เอกวิปฺผาโรว โหติ, สญฺญา ปน อวิตกฺกวิจารมตฺตา วา อวิตกฺกอวิจารา วาติ นานาฯ

    Ābhassarāti daṇḍaukkāya acci viya etesaṃ sarīrato ābhā chijjitvā chijjitvā patantī viya sarati vissaratīti ābhassarā. Tesu pañcakanayena dutiyatatiyajjhānadvayaṃ parittaṃ bhāvetvā upapannā parittābhā nāma honti, tesaṃ dve kappā āyuppamāṇaṃ. Majjhimaṃ bhāvetvā upapannā appamāṇābhā nāma honti, tesaṃ cattāro kappā āyuppamāṇaṃ. Paṇītaṃ bhāvetvā upapannā ābhassarā nāma honti, tesaṃ aṭṭha kappā āyuppamāṇaṃ. Idha pana ukkaṭṭhaparicchedavasena sabbepi te gahitā. Sabbesañhi tesaṃ kāyo ekavipphārova hoti, saññā pana avitakkavicāramattā vā avitakkaavicārā vāti nānā.

    สุภกิณฺหาติ สุเภน โอกิณฺณา วิกิณฺณา, สุเภน สรีรปฺปภาวเณฺณน เอกคฺฆนาติ อโตฺถฯ เอเตสญฺหิ อาภสฺสรานํ วิย น ฉิชฺชิตฺวา ฉิชฺชิตฺวา ปภา คจฺฉติฯ ปญฺจกนเย ปน ปริตฺตมชฺฌิมปณีตสฺส จตุตฺถชฺฌานสฺส วเสน โสฬสทฺวตฺติํสจตุสฎฺฐิกปฺปายุกา ปริตฺตสุภอปฺปมาณสุภสุภกิณฺหา นาม หุตฺวา นิพฺพตฺตนฺติฯ อิติ สเพฺพปิ เต เอกตฺตกายา เจว จตุตฺถชฺฌานสญฺญาย เอกตฺตสญฺญิโน จาติ เวทิตพฺพาฯ เวหปฺผลาปิ จตุตฺถวิญฺญาณฎฺฐิติเมว ภชนฺติฯ อสญฺญสตฺตา วิญฺญาณาภาวา เอตฺถ สงฺคหํ น คจฺฉนฺติ, สตฺตาวาเสสุ คจฺฉนฺติฯ

    Subhakiṇhāti subhena okiṇṇā vikiṇṇā, subhena sarīrappabhāvaṇṇena ekagghanāti attho. Etesañhi ābhassarānaṃ viya na chijjitvā chijjitvā pabhā gacchati. Pañcakanaye pana parittamajjhimapaṇītassa catutthajjhānassa vasena soḷasadvattiṃsacatusaṭṭhikappāyukā parittasubhaappamāṇasubhasubhakiṇhā nāma hutvā nibbattanti. Iti sabbepi te ekattakāyā ceva catutthajjhānasaññāya ekattasaññino cāti veditabbā. Vehapphalāpi catutthaviññāṇaṭṭhitimeva bhajanti. Asaññasattā viññāṇābhāvā ettha saṅgahaṃ na gacchanti, sattāvāsesu gacchanti.

    สุทฺธาวาสา วิวฎฺฎปเกฺข ฐิตา น สพฺพกาลิกา, กปฺปสตสหสฺสมฺปิ อสเงฺขฺยยฺยมฺปิ พุทฺธสุเญฺญ โลเก นุปฺปชฺชนฺติฯ โสฬสกปฺปสหสฺสพฺภนฺตเร พุเทฺธสุ อุปฺปเนฺนสุเยว อุปฺปชฺชนฺติ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตสฺส ภควโต ขนฺธวารฎฺฐานสทิสา โหนฺติฯ ตสฺมา เนว วิญฺญาณฎฺฐิติํ น สตฺตาวาสํ ภชนฺติฯ มหาสีวเตฺถโร ปน – ‘‘น โข ปน โส สาริปุตฺต สตฺตาวาโส สุลภรูโป โย มยา อนิวุตฺถปุโพฺพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๖๐) อิมินา สุเตฺตน สุทฺธาวาสาปิ จตุตฺถวิญฺญาณฎฺฐิติํ จตุตฺถสตฺตาวาสํเยว ภชนฺตีติ วทติ, ตํ อปฺปฎิพาหิยตฺตา สุตฺตสฺส อนุญฺญาตํฯ

    Suddhāvāsā vivaṭṭapakkhe ṭhitā na sabbakālikā, kappasatasahassampi asaṅkhyeyyampi buddhasuññe loke nuppajjanti. Soḷasakappasahassabbhantare buddhesu uppannesuyeva uppajjanti, dhammacakkappavattassa bhagavato khandhavāraṭṭhānasadisā honti. Tasmā neva viññāṇaṭṭhitiṃ na sattāvāsaṃ bhajanti. Mahāsīvatthero pana – ‘‘na kho pana so sāriputta sattāvāso sulabharūpo yo mayā anivutthapubbo iminā dīghena addhunā aññatra suddhāvāsehi devehī’’ti (ma. ni. 1.160) iminā suttena suddhāvāsāpi catutthaviññāṇaṭṭhitiṃ catutthasattāvāsaṃyeva bhajantīti vadati, taṃ appaṭibāhiyattā suttassa anuññātaṃ.

    สพฺพโส รูปสญฺญานนฺติอาทีนํ อโตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ปน ยเถว สญฺญาย, เอวํ วิญฺญาณสฺสปิ สุขุมตฺตา เนว วิญฺญาณํ นาวิญฺญาณํฯ ตสฺมา วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ อวตฺวา อายตเนสุ วุตฺตํฯ

    Sabbaso rūpasaññānantiādīnaṃ attho visuddhimagge vutto. Nevasaññānāsaññāyatanaṃ pana yatheva saññāya, evaṃ viññāṇassapi sukhumattā neva viññāṇaṃ nāviññāṇaṃ. Tasmā viññāṇaṭṭhitīsu avatvā āyatanesu vuttaṃ.

    ๑๒๘. ตตฺราติ ตาสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุฯ ตญฺจ ปชานาตีติ ตญฺจ วิญฺญาณฎฺฐิติํ ปชานาติฯ ตสฺสา จ สมุทยนฺติ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย’’ติอาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๔๙) นเยน ตสฺสา สมุทยญฺจ ปชานาติฯ ตสฺสา จ อตฺถงฺคมนฺติ – ‘‘อวิชฺชานิโรธา รูปนิโรโธ’’ติอาทินา นเยน ตสฺสา อตฺถงฺคมญฺจ ปชานาติฯ อสฺสาทนฺติ ยํ รูปํ ปฎิจฺจ…เป.… ยํ วิญฺญาณํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สุขํ โสมนสฺสํ, อยํ วิญฺญาณสฺส อสฺสาโทติ, เอวํ ตสฺสา อสฺสาทญฺจ ปชานาติฯ อาทีนวนฺติ ยํ รูปํ…เป.… ยํ วิญฺญาณํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, อยํ วิญฺญาณสฺส อาทีนโวติ, เอวํ ตสฺสา อาทีนวญฺจ ปชานาติฯ นิสฺสรณนฺติ โย รูปสฺมิํ…เป.… โย วิญฺญาเณ ฉนฺทราควินโย, ฉนฺทราคปฺปหานํ, อิทํ วิญฺญาณสฺส นิสฺสรณนฺติ (สํ. นิ. ๒.๒๖) เอวํ ตสฺสา นิสฺสรณญฺจ ปชานาติฯ กลฺลํ นุ เตนาติ ยุตฺตํ นุ เตน ภิกฺขุนา ตํ วิญฺญาณฎฺฐิติํ ตณฺหามานทิฎฺฐีนํ วเสน อหนฺติ วา มมนฺติ วา อภินนฺทิตุนฺติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยตฺถ ปน รูปํ นตฺถิ, ตตฺถ จตุนฺนํ ขนฺธานํ วเสน, ยตฺถ วิญฺญาณํ นตฺถิ, ตตฺถ เอกสฺส ขนฺธสฺส วเสน สมุทโย โยเชตโพฺพฯ อาหารสมุทยา อาหารนิโรธาติ อิทเญฺจตฺถ ปทํ โยเชตพฺพํฯ

    128.Tatrāti tāsu viññāṇaṭṭhitīsu. Tañca pajānātīti tañca viññāṇaṭṭhitiṃ pajānāti. Tassā ca samudayanti ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayo’’tiādinā (paṭi. ma. 1.49) nayena tassā samudayañca pajānāti. Tassā ca atthaṅgamanti – ‘‘avijjānirodhā rūpanirodho’’tiādinā nayena tassā atthaṅgamañca pajānāti. Assādanti yaṃ rūpaṃ paṭicca…pe… yaṃ viññāṇaṃ paṭicca uppajjati sukhaṃ somanassaṃ, ayaṃ viññāṇassa assādoti, evaṃ tassā assādañca pajānāti. Ādīnavanti yaṃ rūpaṃ…pe… yaṃ viññāṇaṃ aniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, ayaṃ viññāṇassa ādīnavoti, evaṃ tassā ādīnavañca pajānāti. Nissaraṇanti yo rūpasmiṃ…pe… yo viññāṇe chandarāgavinayo, chandarāgappahānaṃ, idaṃ viññāṇassa nissaraṇanti (saṃ. ni. 2.26) evaṃ tassā nissaraṇañca pajānāti. Kallaṃ nu tenāti yuttaṃ nu tena bhikkhunā taṃ viññāṇaṭṭhitiṃ taṇhāmānadiṭṭhīnaṃ vasena ahanti vā mamanti vā abhinanditunti. Etenupāyena sabbattha veditabbo. Yattha pana rūpaṃ natthi, tattha catunnaṃ khandhānaṃ vasena, yattha viññāṇaṃ natthi, tattha ekassa khandhassa vasena samudayo yojetabbo. Āhārasamudayā āhāranirodhāti idañcettha padaṃ yojetabbaṃ.

    ยโต โข, อานนฺท, ภิกฺขูติ ยทา โข อานนฺท, ภิกฺขุฯ อนุปาทา วิมุโตฺตติ จตูหิ อุปาทาเนหิ อคฺคเหตฺวา วิมุโตฺตฯ ปญฺญาวิมุโตฺตติ ปญฺญาย วิมุโตฺตฯ อฎฺฐ วิโมเกฺข อสจฺฉิกตฺวา ปญฺญาพเลเนว นามกายสฺส จ รูปกายสฺส จ อปฺปวตฺติํ กตฺวา วิมุโตฺตติ อโตฺถฯ โส สุกฺขวิปสฺสโก จ ปฐมชฺฌานาทีสุ อญฺญตรสฺมิํ ฐตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺต จาติ ปญฺจวิโธฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล ปญฺญาวิมุโตฺต? อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล น เหว โข อฎฺฐ วิโมเกฺข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล ปญฺญาวิมุโตฺต’’ติ (ปุ. ป. ๑๕)ฯ

    Yato kho, ānanda, bhikkhūti yadā kho ānanda, bhikkhu. Anupādā vimuttoti catūhi upādānehi aggahetvā vimutto. Paññāvimuttoti paññāya vimutto. Aṭṭha vimokkhe asacchikatvā paññābaleneva nāmakāyassa ca rūpakāyassa ca appavattiṃ katvā vimuttoti attho. So sukkhavipassako ca paṭhamajjhānādīsu aññatarasmiṃ ṭhatvā arahattaṃ patto cāti pañcavidho. Vuttampi cetaṃ – ‘‘katamo ca puggalo paññāvimutto? Idhekacco puggalo na heva kho aṭṭha vimokkhe kāyena phusitvā viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti, ayaṃ vuccati puggalo paññāvimutto’’ti (pu. pa. 15).

    อฎฺฐวิโมกฺขวณฺณนา

    Aṭṭhavimokkhavaṇṇanā

    ๑๒๙. เอวํ เอกสฺส ภิกฺขุโน นิคมนญฺจ นามญฺจ ทเสฺสตฺวา อิตรสฺส ทเสฺสตุํ อฎฺฐ โข อิเมติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิโมโกฺขติ เกนเฎฺฐน วิโมโกฺข? อธิมุจฺจนเฎฺฐนฯ โก ปนายํ อธิมุจฺจนโฎฺฐ นาม? ปจฺจนีกธเมฺมหิ จ สุฎฺฐุ มุจฺจนโฎฺฐ, อารมฺมเณ จ อภิรติวเสน สุฎฺฐุ มุจฺจนโฎฺฐ, ปิตุอเงฺก วิสฺสฎฺฐงฺคปจฺจงฺคสฺส ทารกสฺส สยนํ วิย อนิคฺคหิตภาเวน นิราสงฺกตาย อารมฺมเณ ปวตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ปนโตฺถ ปจฺฉิเม วิโมเกฺข นตฺถิ, ปุริเมสุ สเพฺพสุ อตฺถิฯ

    129. Evaṃ ekassa bhikkhuno nigamanañca nāmañca dassetvā itarassa dassetuṃ aṭṭha kho imetiādimāha. Tattha vimokkhoti kenaṭṭhena vimokkho? Adhimuccanaṭṭhena. Ko panāyaṃ adhimuccanaṭṭho nāma? Paccanīkadhammehi ca suṭṭhu muccanaṭṭho, ārammaṇe ca abhirativasena suṭṭhu muccanaṭṭho, pituaṅke vissaṭṭhaṅgapaccaṅgassa dārakassa sayanaṃ viya aniggahitabhāvena nirāsaṅkatāya ārammaṇe pavattīti vuttaṃ hoti. Ayaṃ panattho pacchime vimokkhe natthi, purimesu sabbesu atthi.

    รูปี รูปานิ ปสฺสตีติ เอตฺถ อชฺฌตฺตํ เกสาทีสุ นีลกสิณาทีสุ นีลกสิณาทิวเสน อุปฺปาทิตํ รูปชฺฌานํ รูปํ, ตทสฺสตฺถีติ รูปีฯ พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ พหิทฺธาปิ นีลกสิณาทีนิ รูปานิ ฌานจกฺขุนา ปสฺสติฯ อิมินา อชฺฌตฺตพหิทฺธาวตฺถุเกสุ กสิเณสุ อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส ปุคฺคลสฺส จตฺตาริ รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิฯ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อชฺฌตฺตํ น รูปสญฺญี, อตฺตโน เกสาทีสุ อนุปฺปาทิตรูปาวจรชฺฌาโนติ อโตฺถฯ อิมินา พหิทฺธา ปริกมฺมํ กตฺวา พหิทฺธาว อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส ปุคฺคลสฺส รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิฯ

    Rūpī rūpāni passatīti ettha ajjhattaṃ kesādīsu nīlakasiṇādīsu nīlakasiṇādivasena uppāditaṃ rūpajjhānaṃ rūpaṃ, tadassatthīti rūpī. Bahiddhā rūpāni passatīti bahiddhāpi nīlakasiṇādīni rūpāni jhānacakkhunā passati. Iminā ajjhattabahiddhāvatthukesu kasiṇesu uppāditajjhānassa puggalassa cattāri rūpāvacarajjhānāni dassitāni. Ajjhattaṃ arūpasaññīti ajjhattaṃ na rūpasaññī, attano kesādīsu anuppāditarūpāvacarajjhānoti attho. Iminā bahiddhā parikammaṃ katvā bahiddhāva uppāditajjhānassa puggalassa rūpāvacarajjhānāni dassitāni.

    สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ อิมินา สุวิสุเทฺธสุ นีลาทีสุ วณฺณกสิเณสุ ฌานานิ ทสฺสิตานิฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อโนฺตอปฺปนายํ สุภนฺติ อาโภโค นตฺถิ, โย ปน วิสุทฺธํ สุภํ กสิณมารมฺมณํ กริตฺวา วิหรติ, โส ยสฺมา สุภนฺติ อธิมุโตฺต โหตีติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ, ตสฺมา เอวํ เทสนา กตาฯ ปฎิสมฺภิทามเคฺค ปน – ‘‘กถํ สุภเนฺตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺข? อิธ ภิกฺขุ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… เมตฺตาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติฯ กรุณา, มุทิตา, อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… อุเปกฺขาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติฯ เอวํ สุภํ เตฺวว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺข’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๑๒) วุตฺตํฯ

    Subhantveva adhimutto hotīti iminā suvisuddhesu nīlādīsu vaṇṇakasiṇesu jhānāni dassitāni. Tattha kiñcāpi antoappanāyaṃ subhanti ābhogo natthi, yo pana visuddhaṃ subhaṃ kasiṇamārammaṇaṃ karitvā viharati, so yasmā subhanti adhimutto hotīti vattabbataṃ āpajjati, tasmā evaṃ desanā katā. Paṭisambhidāmagge pana – ‘‘kathaṃ subhantveva adhimutto hotīti vimokkho? Idha bhikkhu mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… mettāya bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti. Karuṇā, muditā, upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… upekkhāya bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti. Evaṃ subhaṃ tveva adhimutto hotīti vimokkho’’ti (paṭi. ma. 1.212) vuttaṃ.

    สพฺพโส รูปสญฺญานนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ อยํ อฎฺฐโม วิโมโกฺขติ อยํ จตุนฺนํ ขนฺธานํ สพฺพโส วิสุทฺธตฺตา วิมุตฺตตฺตา อฎฺฐโม อุตฺตโม วิโมโกฺข นามฯ

    Sabbaso rūpasaññānantiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ visuddhimagge vuttameva. Ayaṃ aṭṭhamo vimokkhoti ayaṃ catunnaṃ khandhānaṃ sabbaso visuddhattā vimuttattā aṭṭhamo uttamo vimokkho nāma.

    ๑๓๐. อนุโลมนฺติ อาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานาฯ ปฎิโลมนฺติ ปริโยสานโต ปฎฺฐาย ยาว อาทิโตฯ อนุโลมปฎิโลมนฺติ อิทํ อติปคุณตฺตา สมาปตฺตีนํ อฎฺฐตฺวาว อิโต จิโต จ สญฺจรณวเสน วุตฺตํฯ ยตฺถิจฺฉกนฺติ โอกาสปริทีปนํ, ยตฺถ ยตฺถ โอกาเส อิจฺฉติฯ ยทิจฺฉกนฺติ สมาปตฺติทีปนํ, ยํ ยํ สมาปตฺติํ อิจฺฉติฯ ยาวติจฺฉกนฺติ อทฺธานปริเจฺฉททีปนํ , ยาวตกํ อทฺธานํ อิจฺฉติฯ สมาปชฺชตีติ ตํ ตํ สมาปตฺติํ ปวิสติฯ วุฎฺฐาตีติ ตโต อุฎฺฐาย ติฎฺฐติฯ

    130.Anulomanti ādito paṭṭhāya yāva pariyosānā. Paṭilomanti pariyosānato paṭṭhāya yāva ādito. Anulomapaṭilomanti idaṃ atipaguṇattā samāpattīnaṃ aṭṭhatvāva ito cito ca sañcaraṇavasena vuttaṃ. Yatthicchakanti okāsaparidīpanaṃ, yattha yattha okāse icchati. Yadicchakanti samāpattidīpanaṃ, yaṃ yaṃ samāpattiṃ icchati. Yāvaticchakanti addhānaparicchedadīpanaṃ , yāvatakaṃ addhānaṃ icchati. Samāpajjatīti taṃ taṃ samāpattiṃ pavisati. Vuṭṭhātīti tato uṭṭhāya tiṭṭhati.

    อุภโตภาควิมุโตฺตติ ทฺวีหิ ภาเคหิ วิมุโตฺต, อรูปสมาปตฺติยา รูปกายโต วิมุโตฺต, มเคฺคน นามกายโต วิมุโตฺตติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Ubhatobhāgavimuttoti dvīhi bhāgehi vimutto, arūpasamāpattiyā rūpakāyato vimutto, maggena nāmakāyato vimuttoti. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘อจฺจี ยถา วาตเวเคน ขิตฺตา, (อุปสิวาติ ภควา)

    ‘‘Accī yathā vātavegena khittā, (upasivāti bhagavā)

    อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ;

    Atthaṃ paleti na upeti saṅkhaṃ;

    เอวํ มุนี นามกายา วิมุโตฺต,

    Evaṃ munī nāmakāyā vimutto,

    อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺข’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๑๐๘๐);

    Atthaṃ paleti na upeti saṅkha’’nti. (su. ni. 1080);

    โส ปเนส อุภโตภาควิมุโตฺต อากาสานญฺจายตนาทีสุ อญฺญตรโต อุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺต จ อนาคามี หุตฺวา นิโรธา อุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺต จาติ ปญฺจวิโธฯ เกจิ ปน – ‘‘ยสฺมา รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานมฺปิ ทุวงฺคิกํ อุเปกฺขาสหคตํ, อรูปาวจรชฺฌานมฺปิ ตาทิสเมวฯ ตสฺมา รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานโต อุฎฺฐาย อรหตฺตํ ปโตฺตปิ อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติฯ

    So panesa ubhatobhāgavimutto ākāsānañcāyatanādīsu aññatarato uṭṭhāya arahattaṃ patto ca anāgāmī hutvā nirodhā uṭṭhāya arahattaṃ patto cāti pañcavidho. Keci pana – ‘‘yasmā rūpāvacaracatutthajjhānampi duvaṅgikaṃ upekkhāsahagataṃ, arūpāvacarajjhānampi tādisameva. Tasmā rūpāvacaracatutthajjhānato uṭṭhāya arahattaṃ pattopi ubhatobhāgavimutto’’ti.

    อยํ ปน อุภโตภาควิมุตฺตปโญฺห เหฎฺฐา โลหปาสาเท สมุฎฺฐหิตฺวา ติปิฎกจูฬสุมนเตฺถรสฺส วณฺณนํ นิสฺสาย จิเรน วินิจฺฉยํ ปโตฺต ฯ คิริวิหาเร กิร เถรสฺส อเนฺตวาสิโก เอกสฺส ปิณฺฑปาติกสฺส มุขโต ตํ ปญฺหํ สุตฺวา อาห – ‘‘อาวุโส, เหฎฺฐาโลหปาสาเท อมฺหากํ อาจริยสฺส ธมฺมํ วณฺณยโต น เกนจิ สุตปุพฺพ’’นฺติฯ กิํ ปน, ภเนฺต, เถโร อวจาติ? รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานํ กิญฺจาปิ ทุวงฺคิกํ อุเปกฺขาสหคตํ กิเลเส วิกฺขเมฺภติ, กิเลสานํ ปน อาสนฺนปเกฺข วิรูหนฎฺฐาเน สมุทาจรติฯ อิเม หิ กิเลสา นาม ปญฺจโวการภเว นีลาทีสุ อญฺญตรํ อารมฺมณํ อุปนิสฺสาย สมุทาจรนฺติ, รูปาวจรชฺฌานญฺจ ตํ อารมฺมณํ น สมติกฺกมติฯ ตสฺมา สพฺพโส รูปํ นิวเตฺตตฺวา อรูปชฺฌานวเสน กิเลเส วิกฺขเมฺภตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตว อุภโตภาควิมุโตฺตติ, อิทํ อาวุโส เถโร อวจฯ อิทญฺจ ปน วตฺวา อิทํ สุตฺตํ อาหริ – ‘‘กตโม จ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุโตฺตฯ อิเธกโจฺจ ปุคฺคโล อฎฺฐวิโมเกฺข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ, ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺติ, อยํ วุจฺจติ ปุคฺคโล อุภโตภาควิมุโตฺต’’ติ (ปุ. ป. ๒๔)ฯ

    Ayaṃ pana ubhatobhāgavimuttapañho heṭṭhā lohapāsāde samuṭṭhahitvā tipiṭakacūḷasumanattherassa vaṇṇanaṃ nissāya cirena vinicchayaṃ patto . Girivihāre kira therassa antevāsiko ekassa piṇḍapātikassa mukhato taṃ pañhaṃ sutvā āha – ‘‘āvuso, heṭṭhālohapāsāde amhākaṃ ācariyassa dhammaṃ vaṇṇayato na kenaci sutapubba’’nti. Kiṃ pana, bhante, thero avacāti? Rūpāvacaracatutthajjhānaṃ kiñcāpi duvaṅgikaṃ upekkhāsahagataṃ kilese vikkhambheti, kilesānaṃ pana āsannapakkhe virūhanaṭṭhāne samudācarati. Ime hi kilesā nāma pañcavokārabhave nīlādīsu aññataraṃ ārammaṇaṃ upanissāya samudācaranti, rūpāvacarajjhānañca taṃ ārammaṇaṃ na samatikkamati. Tasmā sabbaso rūpaṃ nivattetvā arūpajjhānavasena kilese vikkhambhetvā arahattaṃ pattova ubhatobhāgavimuttoti, idaṃ āvuso thero avaca. Idañca pana vatvā idaṃ suttaṃ āhari – ‘‘katamo ca puggalo ubhatobhāgavimutto. Idhekacco puggalo aṭṭhavimokkhe kāyena phusitvā viharati, paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā honti, ayaṃ vuccati puggalo ubhatobhāgavimutto’’ti (pu. pa. 24).

    อิมาย จ อานนฺท อุภโตภาควิมุตฺติยาติ อานนฺท อิโต อุภโตภาควิมุตฺติโตฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Imāya ca ānanda ubhatobhāgavimuttiyāti ānanda ito ubhatobhāgavimuttito. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    มหานิทานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahānidānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๒. มหานิทานสุตฺตํ • 2. Mahānidānasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๒. มหานิทานสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahānidānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact