Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation |
ทีฆ นิกาย ๑๔
Long Discourses 14
มหาปทานสุตฺต
The Great Discourse on Traces Left Behind
๑ฯ ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตกถา
1. On Past Lives
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม กเรริกุฏิกายํฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery, in the hut by the kareri tree.
อถ โข สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตานํ กเรริมณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตา ธมฺมี กถา อุทปาทิ: “อิติปิ ปุพฺเพนิวาโส, อิติปิ ปุพฺเพนิวาโส”ติฯ
Then after the meal, on return from almsround, several bhikkhus sat together in the pavilion by the kareri tree and this Dhamma talk on the subject of past lives came up among them, “So it was in a past life; such it was in a past life.”
อโสฺสสิ โข ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย เตสํ ภิกฺขูนํ อิมํ กถาสลฺลาปํฯ อถ โข ภควา อุฏฺฐายาสนา เยน กเรริมณฺฑลมาโฬ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิ, นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา; กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
With clairaudience that is purified and superhuman, the Buddha heard that discussion among the bhikkhus. So he got up from his seat and went to the pavilion, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus, “Bhikkhus, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
เอวํ วุตฺเต, เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อิธ, ภนฺเต, อมฺหากํ ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตานํ กเรริมณฺฑลมาเฬ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตา ธมฺมี กถา อุทปาทิ: ‘อิติปิ ปุพฺเพนิวาโส อิติปิ ปุพฺเพนิวาโส'ติฯ อยํ โข โน, ภนฺเต, อนฺตรากถา วิปฺปกตาฯ อถ ภควา อนุปฺปตฺโต”ติฯ
The bhikkhus told him what had happened, adding, “This is the conversation that was unfinished when the Buddha arrived.”
“อิจฺเฉยฺยาถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตํ ธมฺมึ กถํ โสตุนฺ”ติ?
“Would you like to hear a Dhamma talk on the subject of past lives?”
“เอตสฺส, ภควา, กาโล; เอตสฺส, สุคต, กาโล; ยํ ภควา ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตํ ธมฺมึ กถํ กเรยฺย, ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี”ติฯ
“Now is the time, Blessed One! Now is the time, Holy One! Let the Buddha give a Dhamma talk on the subject of past lives. The bhikkhus will listen and remember it.”
“เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถ สาธุกํ มนสิ กโรถ ภาสิสฺสามี”ติฯ
“Well then, bhikkhus, listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“อิโต โส, ภิกฺขเว, เอกนวุติกปฺเป ยํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ อิโต โส, ภิกฺขเว, เอกตึเส กปฺเป ยํ สิขี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ ตสฺมิญฺเญว โข, ภิกฺขเว, เอกตึเส กปฺเป เวสฺสภู ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ อิมสฺมิญฺเญว โข, ภิกฺขเว, ภทฺทกปฺเป กกุสนฺโธ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ อิมสฺมิญฺเญว โข, ภิกฺขเว, ภทฺทกปฺเป โกณาคมโน ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ อิมสฺมิญฺเญว โข, ภิกฺขเว, ภทฺทกปฺเป กสฺสโป ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ อิมสฺมิญฺเญว โข, ภิกฺขเว, ภทฺทกปฺเป อหํ เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโนฯ
“Ninety-one eons ago, the Buddha Vipassī arose in the world, perfected and fully awakened. Thirty-one eons ago, the Buddha Sikhī arose in the world, perfected and fully awakened. In the same thirty-first eon, the Buddha Vessabhū arose in the world, perfected and fully awakened. In the present fortunate eon, the Buddhas Kakusandha, Koṇāgamana, and Kassapa arose in the world, perfected and fully awakened. And in the present fortunate eon, I have arisen in the world, perfected and fully awakened.
วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิ, ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ สิขี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิ, ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ เวสฺสภู, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิ, ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ กกุสนฺโธ, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พฺราหฺมโณ ชาติยา อโหสิ, พฺราหฺมณกุเล อุทปาทิฯ โกณาคมโน, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พฺราหฺมโณ ชาติยา อโหสิ, พฺราหฺมณกุเล อุทปาทิฯ กสฺสโป, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พฺราหฺมโณ ชาติยา อโหสิ, พฺราหฺมณกุเล อุทปาทิฯ อหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสึ, ขตฺติยกุเล อุปฺปนฺโนฯ
The Buddhas Vipassī, Sikhī, and Vessabhū were born as aristocrats into aristocrat families. The Buddhas Kakusandha, Koṇāgamana, and Kassapa were born as brahmins into brahmin families. I was born as an aristocrat into an aristocrat family.
วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ สิขี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ เวสฺสภู, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ กกุสนฺโธ, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ กสฺสโป โคตฺเตน อโหสิฯ โกณาคมโน, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ กสฺสโป โคตฺเตน อโหสิฯ กสฺสโป, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ กสฺสโป โคตฺเตน อโหสิฯ อหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โคตโม โคตฺเตน อโหสึฯ
Koṇḍañña was the clan of Vipassī, Sikhī, and Vessabhū. Kassapa was the clan of Kakusandha, Koṇāgamana, and Kassapa. Gotama is my clan.
วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สตฺตติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สฏฺฐิวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส จตฺตาลีสวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตึสวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วีสติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ อปฺปกํ อายุปฺปมาณํ ปริตฺตํ ลหุกํ; โย จิรํ ชีวติ, โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภิโยฺยฯ
For Vipassī, the life-span was 80,000 years. For Sikhī, the life-span was 70,000 years. For Vessabhū, the life-span was 60,000 years. For Kakusandha, the life-span was 40,000 years. For Koṇāgamana, the life-span was 30,000 years. For Kassapa, the life-span was 20,000 years. For me at this time the life-span is short, brief, and fleeting. A long-lived person lives for a century or a little more.
วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปาฏลิยา มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ สิขี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปุณฺฑรีกสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ เวสฺสภู, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สาลสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ กกุสนฺโธ, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สิรีสสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ โกณาคมโน, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อุทุมฺพรสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ กสฺสโป, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ นิโคฺรธสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ อหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อสฺสตฺถสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ
Vipassī was awakened at the root of a patala tree. Sikhī was awakened at the root of a white-mango tree. Vessabhū was awakened at the root of a sal tree. Kakusandha was awakened at the root of a sirisa tree. Koṇāgamana was awakened at the root of a cluster fig tree. Kassapa was awakened at the root of a banyan tree. I was awakened at the root of a peepal tree.
วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ขณฺฑติสฺสํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อภิภูสมฺภวํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โสณุตฺตรํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วิธุรสญฺชีวํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ภิโยฺยสุตฺตรํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ติสฺสภารทฺวาชํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ
Vipassī had a fine pair of chief disciples named Khaṇḍa and Tissa. Sikhī had a fine pair of chief disciples named Abhibhū and Sambhava. Vessabhū had a fine pair of chief disciples named Soṇa and Uttara. Kakusandha had a fine pair of chief disciples named Vidhura and Sañjīva. Koṇāgamana had a fine pair of chief disciples named Bhiyyosa and Uttara. Kassapa had a fine pair of chief disciples named Tissa and Bhāradvāja. I have a fine pair of chief disciples named Sāriputta and Moggallāna.
วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Vipassī had three gatherings of disciples—one of 6,800,000, one of 100,000, and one of 80,000—all of them bhikkhus who had ended their defilements.
สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สตฺตติภิกฺขุสหสฺสานิฯ สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Sikhī had three gatherings of disciples—one of 100,000, one of 80,000, and one of 70,000—all of them bhikkhus who had ended their defilements.
เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สตฺตติภิกฺขุสหสฺสานิ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สฏฺฐิภิกฺขุสหสฺสานิฯ เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Vessabhū had three gatherings of disciples—one of 80,000, one of 70,000, and one of 60,000—all of them bhikkhus who had ended their defilements.
กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ จตฺตาลีสภิกฺขุสหสฺสานิฯ กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Kakusandha had one gathering of disciples—40,000 bhikkhus who had ended their defilements.
โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ตึสภิกฺขุสหสฺสานิฯ โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Koṇāgamana had one gathering of disciples—30,000 bhikkhus who had ended their defilements.
กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ วีสติภิกฺขุสหสฺสานิฯ กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
Kassapa had one gathering of disciples—20,000 bhikkhus who had ended their defilements.
มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฑฺฒเตฬสานิ ภิกฺขุสตานิฯ มยฺหํ, ภิกฺขเว, อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ
I have had one gathering of disciples—1,250 bhikkhus who had ended their defilements.
วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโสโก นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เขมงฺกโร นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อุปสนฺโต นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พุทฺธิโช นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส โสตฺถิโช นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สพฺพมิตฺโต นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ อานนฺโท นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ
Vipassī had as chief attendant a bhikkhu named Asoka. Sikhī had as chief attendant a bhikkhu named Khemaṅkara. Vessabhū had as chief attendant a bhikkhu named Upasanta. Kakusandha had as chief attendant a bhikkhu named Buddhija. Koṇāgamana had as chief attendant a bhikkhu named Sotthija. Kassapa had as chief attendant a bhikkhu named Sabbamitta. I have as chief attendant a bhikkhu named Ānanda.
วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ พนฺธุมตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ พนฺธุมสฺส รญฺโญ พนฺธุมตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Vipassī’s father was King Bandhuma, his birth mother was Queen Bandhumatī, and their capital city was named Bandhumatī.
สิขิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อรุโณ นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ ปภาวตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ อรุณสฺส รญฺโญ อรุณวตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Sikhī’s father was King Aruṇa, his birth mother was Queen Pabhāvatī, and their capital city was named Aruṇavatī.
เวสฺสภุสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สุปฺปติโต นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ วสฺสวตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ สุปฺปติตสฺส รญฺโญ อโนมํ นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Vessabhū’s father was King Suppatita, his birth mother was Queen Vassavatī, and their capital city was named Anoma.
กกุสนฺธสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อคฺคิทตฺโต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา อโหสิฯ วิสาขา นาม พฺราหฺมณี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน เขโม นาม ราชา อโหสิฯ เขมสฺส รญฺโญ เขมวตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Kakusandha’s father was the brahmin Aggidatta, and his birth mother was the brahmin lady Visākhā. At that time the king was Khema, whose capital city was named Khemavatī.
โกณาคมนสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ยญฺญทตฺโต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา อโหสิฯ อุตฺตรา นาม พฺราหฺมณี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน โสโภ นาม ราชา อโหสิฯ โสภสฺส รญฺโญ โสภวตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Koṇāgamana’s father was the brahmin Yaññadatta, and his birth mother was the brahmin lady Uttarā. At that time the king was Sobha, whose capital city was named Sobhavatī.
กสฺสปสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พฺรหฺมทตฺโต นาม พฺราหฺมโณ ปิตา อโหสิฯ ธนวตี นาม พฺราหฺมณี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน กิกี นาม ราชา อโหสิฯ กิกิสฺส รญฺโญ พาราณสี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
Kassapa’s father was the brahmin Brahmadatta, and his birth mother was the brahmin lady Dhanavatī. At that time the king was Kikī, whose capital city was named Varanasi.
มยฺหํ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สุทฺโธทโน นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ มายา นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ กปิลวตฺถุ นาม นครํ ราชธานี อโหสี”ติฯ
In this life, my father was King Suddhodana, my birth mother was Queen Māyā, and our capital city was Kapilavatthu.”
อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อุฏฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสิฯ
That is what the Buddha said. When he had spoken, the Holy One got up from his seat and entered his dwelling.
อถ โข เตสํ ภิกฺขูนํ อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต อยมนฺตรากถา อุทปาทิ:
Soon after the Buddha left, those bhikkhus discussed among themselves:
“อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส, ตถาคตสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตาฯ ยตฺร หิ นาม ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, นามโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสริสฺสติ: ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'”ติฯ
“It’s incredible, friends, it’s amazing! The Realized One has such psychic power and might! For he is able to recollect the caste, names, clans, life-span, chief disciples, and gatherings of disciples of the Buddhas of the past who have become completely extinguished, cut off proliferation, cut off the track, finished off the cycle, and transcended suffering. He knows the caste they were born in, and also their names, clans, conduct, qualities, wisdom, meditation, and freedom.
“กึ นุ โข, อาวุโส, ตถาคตเสฺสว นุ โข เอสา ธมฺมธาตุ สุปฺปฏิวิทฺธา, ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฏิวิทฺธตฺตา ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'ติ, อุทาหุ เทวตา ตถาคตสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, เยน ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'”ติฯ อยญฺจ หิทํ เตสํ ภิกฺขูนํ อนฺตรากถา วิปฺปกตา โหติฯ
Is it because the Realized One has clearly comprehended the principle of the teachings that he can recollect all these things? Or did deities tell him?” But this conversation among those bhikkhus was left unfinished.
อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต เยน กเรริมณฺฑลมาโฬ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา; กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
Then in the late afternoon, the Buddha came out of retreat and went to the pavilion by the kareri tree, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus, “Bhikkhus, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
เอวํ วุตฺเต, เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อิธ, ภนฺเต, อมฺหากํ อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต อยํ อนฺตรากถา อุทปาทิ: ‘อจฺฉริยํ, อาวุโส, อพฺภุตํ, อาวุโส, ตถาคตสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตาฯ ยตฺร หิ นาม ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, นามโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสริสฺสติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสริสฺสติ: “เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี”ติฯ กึ นุ โข, อาวุโส, ตถาคตเสฺสว นุ โข เอสา ธมฺมธาตุ สุปฺปฏิวิทฺธา, ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฏิวิทฺธตฺตา ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: “เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี”ติฯ อุทาหุ เทวตา ตถาคตสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, เยน ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: “เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี”'ติ? อยํ โข โน, ภนฺเต, อนฺตรากถา วิปฺปกตา, อถ ภควา อนุปฺปตฺโต”ติฯ
The bhikkhus told him what had happened, adding, “This was our conversation that was unfinished when the Buddha arrived.”
“ตถาคตเสฺสเวสา, ภิกฺขเว, ธมฺมธาตุ สุปฺปฏิวิทฺธา, ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฏิวิทฺธตฺตา ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'ติฯ เทวตาปิ ตถาคตสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, เยน ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ: ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'ติฯ
“It is because the Realized One has clearly comprehended the principle of the teachings that he can recollect all these things. And the deities also told me.
อิจฺเฉยฺยาถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ภิโยฺยโส มตฺตาย ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตํ ธมฺมึ กถํ โสตุนฺ”ติ?
Would you like to hear a further Dhamma talk on the subject of past lives?”
“เอตสฺส, ภควา, กาโล; เอตสฺส, สุคต, กาโล; ยํ ภควา ภิโยฺยโส มตฺตาย ปุพฺเพนิวาสปฏิสํยุตฺตํ ธมฺมึ กถํ กเรยฺย, ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี”ติฯ
“Now is the time, Blessed One! Now is the time, Holy One! Let the Buddha give a further Dhamma talk on the subject of past lives. The bhikkhus will listen and remember it.”
“เตน หิ, ภิกฺขเว, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ
“Well then, bhikkhus, listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“อิโต โส, ภิกฺขเว, เอกนวุติกปฺเป ยํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิ, ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ วิปสฺสี, ภิกฺขเว, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปาฏลิยา มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ขณฺฑติสฺสํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโสโก นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ วิปสฺสิสฺส, ภิกฺขเว, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ พนฺธุมตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ พนฺธุมสฺส รญฺโญ พนฺธุมตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ
“Ninety-one eons ago, the Buddha Vipassī arose in the world, perfected and fully awakened. He was born as an aristocrat into an aristocrat family. His clan was Koṇḍañña. He lived for 80,000 years. He was awakened at the root of a patala tree. He had a fine pair of chief disciples named Khaṇḍa and Tissa. He had three gatherings of disciples—one of 6,800,000, one of 100,000, and one of 80,000—all of them bhikkhus who had ended their defilements. He had as chief attendant a bhikkhu named Asoka. His father was King Bandhuma, his birth mother was Queen Bandhumatī, and their capital city was named Bandhumatī.
๒ฯ โพธิสตฺตธมฺมตา
2. What’s Normal For One Intent on Awakening
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี โพธิสตฺโต ตุสิตา กายา จวิตฺวา สโต สมฺปชาโน มาตุกุจฺฉึ โอกฺกมิฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
When Vipassī, the being intent on awakening, passed away from the host of Joyful Gods, he was conceived in his mother’s womb, mindful and aware. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต ตุสิตา กายา จวิตฺวา มาตุกุจฺฉึ โอกฺกมติฯ อถ สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อปฺปมาโณ อุฬาโร โอภาโส ปาตุภวติ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ ยาปิ ตา โลกนฺตริกา อฆา อสํวุตา อนฺธการา อนฺธการติมิสา, ยตฺถปิเม จนฺทิมสูริยา เอวํมหิทฺธิกา เอวํมหานุภาวา อาภาย นานุโภนฺติ, ตตฺถปิ อปฺปมาโณ อุฬาโร โอภาโส ปาตุภวติ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ เยปิ ตตฺถ สตฺตา อุปปนฺนา, เตปิ เตโนภาเสน อญฺญมญฺญํ สญฺชานนฺติ: ‘อญฺเญปิ กิร, โภ, สนฺติ สตฺตา อิธูปปนฺนา'ติฯ อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อปฺปมาโณ จ อุฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุภวติ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening passes away from the host of Joyful Gods, he is conceived in his mother’s womb. And then—in this world with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—an immeasurable, magnificent light appears, surpassing the glory of the gods. Even in the boundless desolation of interstellar space—so utterly dark that even the light of the moon and the sun, so mighty and powerful, makes no impression—an immeasurable, magnificent light appears, surpassing the glory of the gods. And the sentient beings reborn there recognize each other by that light: ‘So, it seems other sentient beings have been reborn here!’ And this galaxy shakes and rocks and trembles. And an immeasurable, magnificent light appears in the world, surpassing the glory of the gods. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, จตฺตาโร นํ เทวปุตฺตา จตุทฺทิสํ รกฺขาย อุปคจฺฉนฺติ: ‘มา นํ โพธิสตฺตํ วา โพธิสตฺตมาตรํ วา มนุโสฺส วา อมนุโสฺส วา โกจิ วา วิเหเฐสี'ติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, four gods approach to guard the four quarters, so that no human or non-human or anyone at all shall harm the being intent on awakening or his mother. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, ปกติยา สีลวตี โพธิสตฺตมาตา โหติ, วิรตา ปาณาติปาตา, วิรตา อทินฺนาทานา, วิรตา กาเมสุมิจฺฉาจารา, วิรตา มุสาวาทา, วิรตา สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฏฺฐานาฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, she becomes naturally ethical. She refrains from killing living creatures, stealing, sexual misconduct, lying, and alcoholic drinks that cause negligence. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, น โพธิสตฺตมาตุ ปุริเสสุ มานสํ อุปฺปชฺชติ กามคุณูปสํหิตํ, อนติกฺกมนียา จ โพธิสตฺตมาตา โหติ เกนจิ ปุริเสน รตฺตจิตฺเตนฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, she no longer feels sexual desire for men, and she cannot be violated by a man of lustful intent. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, ลาภินี โพธิสตฺตมาตา โหติ ปญฺจนฺนํ กามคุณานํฯ สา ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิตา สมงฺคีภูตา ปริจาเรติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, she obtains the five kinds of sensual stimulation and amuses herself, supplied and provided with them. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, น โพธิสตฺตมาตุ โกจิเทว อาพาโธ อุปฺปชฺชติฯ สุขินี โพธิสตฺตมาตา โหติ อกิลนฺตกายา, โพธิสตฺตญฺจ โพธิสตฺตมาตา ติโรกุจฺฉิคตํ ปสฺสติ สพฺพงฺคปจฺจงฺคึ อหีนินฺทฺริยํฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปนฺโนฯ ตตฺราสฺส สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วาฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส หตฺเถ กริตฺวา ปจฺจเวกฺเขยฺย: ‘อยํ โข มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปนฺโนฯ ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วา'ติฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, no afflictions beset her. She’s happy and free of bodily fatigue. And she sees the being intent on awakening in her womb, complete with all his various parts, not deficient in any faculty. Suppose there was a beryl gem that was naturally beautiful, eight-faceted, well-worked, transparent, clear, and unclouded, endowed with all good qualities. And it was strung with a thread of blue, yellow, red, white, or golden brown. And someone with clear eyes were to take it in their hand and examine it: ‘This beryl gem is naturally beautiful, eight-faceted, well-worked, transparent, clear, and unclouded, endowed with all good qualities. And it’s strung with a thread of blue, yellow, red, white, or golden brown.’
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉึ โอกฺกนฺโต โหติ, น โพธิสตฺตมาตุ โกจิเทว อาพาโธ อุปฺปชฺชติ, สุขินี โพธิสตฺตมาตา โหติ อกิลนฺตกายา, โพธิสตฺตญฺจ โพธิสตฺตมาตา ติโรกุจฺฉิคตํ ปสฺสติ สพฺพงฺคปจฺจงฺคึ อหีนินฺทฺริยํฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
In the same way, when the being intent on awakening is conceived in his mother’s belly, no afflictions beset her. She’s happy and free of bodily fatigue. And she sees the being intent on awakening in her womb, complete with all his various parts, not deficient in any faculty. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, สตฺตาหชาเต โพธิสตฺเต โพธิสตฺตมาตา กาลํ กโรติ ตุสิตํ กายํ อุปปชฺชติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, seven days after the being intent on awakening is born, his mother passes away and is reborn in the host of Joyful Gods. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยถา อญฺญา อิตฺถิกา นว วา ทส วา มาเส คพฺภํ กุจฺฉินา ปริหริตฺวา วิชายนฺติ, น เหวํ โพธิสตฺตํ โพธิสตฺตมาตา วิชายติฯ ทเสว มาสานิ โพธิสตฺตํ โพธิสตฺตมาตา กุจฺฉินา ปริหริตฺวา วิชายติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, while other women carry the infant in the womb for nine or ten months before giving birth, not so the mother of the being intent on awakening. She gives birth after exactly ten months. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยถา อญฺญา อิตฺถิกา นิสินฺนา วา นิปนฺนา วา วิชายนฺติ, น เหวํ โพธิสตฺตํ โพธิสตฺตมาตา วิชายติฯ ฐิตาว โพธิสตฺตํ โพธิสตฺตมาตา วิชายติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, while other women give birth while sitting or lying down, not so the mother of the being intent on awakening. She only gives birth standing up. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, เทวา ปฐมํ ปฏิคฺคณฺหนฺติ, ปจฺฉา มนุสฺสาฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, gods receive him first, then humans. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, อปฺปตฺโตว โพธิสตฺโต ปถวึ โหติ, จตฺตาโร นํ เทวปุตฺตา ปฏิคฺคเหตฺวา มาตุ ปุรโต ฐเปนฺติ: ‘อตฺตมนา, เทวิ, โหหิ; มเหสกฺโข เต ปุตฺโต อุปฺปนฺโน'ติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, before he reaches the ground, four gods receive him and place him before his mother, saying: ‘Rejoice, O Queen! An illustrious son is born to you.’ This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, วิสโทว นิกฺขมติ อมกฺขิโต อุเทน อมกฺขิโต เสเมฺหน อมกฺขิโต รุหิเรน อมกฺขิโต เกนจิ อสุจินา สุทฺโธ วิสโทฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มณิรตนํ กาสิเก วตฺเถ นิกฺขิตฺตํ เนว มณิรตนํ กาสิกํ วตฺถํ มกฺเขติ, นาปิ กาสิกํ วตฺถํ มณิรตนํ มกฺเขติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อุภินฺนํ สุทฺธตฺตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, he emerges already clean, unsoiled by waters, mucus, blood, or any other kind of impurity, pure and clean. Suppose a jewel-treasure was placed on a cloth from Kāsi. The jewel would not soil the cloth, nor would the cloth soil the jewel. Why is that? Because of the cleanliness of them both.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, วิสโทว นิกฺขมติ อมกฺขิโต, อุเทน อมกฺขิโต เสเมฺหน อมกฺขิโต รุหิเรน อมกฺขิโต เกนจิ อสุจินา สุทฺโธ วิสโทฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
In the same way, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, he emerges already clean, unsoiled by waters, mucus, blood, or any other kind of impurity, pure and clean. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, เทฺว อุทกสฺส ธารา อนฺตลิกฺขา ปาตุภวนฺติ—เอกา สีตสฺส เอกา อุณฺหสฺส เยน โพธิสตฺตสฺส อุทกกิจฺจํ กโรนฺติ มาตุ จฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, two streams of water appear in the sky, one cool, one warm, for bathing the being intent on awakening and his mother. This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, สมฺปติชาโต โพธิสตฺโต สเมหิ ปาเทหิ ปติฏฺฐหิตฺวา อุตฺตราภิมุโข สตฺตปทวีติหาเรน คจฺฉติ เสตมฺหิ ฉตฺเต อนุธาริยมาเน, สพฺพา จ ทิสา อนุวิโลเกติ, อาสภึ วาจํ ภาสติ ‘อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส, เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว'ติฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, as soon as he’s born, the being intent on awakening stands firm with his own feet on the ground. Facing north, he takes seven strides with a white parasol held above him, surveys all quarters, and makes this dramatic proclamation: ‘I am the foremost in the world! I am the eldest in the world! I am the first in the world! This is my last rebirth. Now there are no more future lives.’ This is normal in such a case.
ธมฺมตา เอสา, ภิกฺขเว, ยทา โพธิสตฺโต มาตุกุจฺฉิมฺหา นิกฺขมติ, อถ สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อปฺปมาโณ อุฬาโร โอภาโส ปาตุภวติ, อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ ยาปิ ตา โลกนฺตริกา อฆา อสํวุตา อนฺธการา อนฺธการติมิสา, ยตฺถปิเม จนฺทิมสูริยา เอวํมหิทฺธิกา เอวํมหานุภาวา อาภาย นานุโภนฺติ, ตตฺถปิ อปฺปมาโณ อุฬาโร โอภาโส ปาตุภวติ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ เยปิ ตตฺถ สตฺตา อุปปนฺนา, เตปิ เตโนภาเสน อญฺญมญฺญํ สญฺชานนฺติ: ‘อญฺเญปิ กิร, โภ, สนฺติ สตฺตา อิธูปปนฺนา'ติฯ อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติ อปฺปมาโณ จ อุฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุภวติ อติกฺกมฺเมว เทวานํ เทวานุภาวํฯ อยเมตฺถ ธมฺมตาฯ
It’s normal that, when the being intent on awakening emerges from his mother’s womb, then—in this world with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—an immeasurable, magnificent light appears, surpassing the glory of the gods. Even in the boundless desolation of interstellar space—so utterly dark that even the light of the moon and the sun, so mighty and powerful, makes no impression—an immeasurable, magnificent light appears, surpassing the glory of the gods. And the sentient beings reborn there recognize each other by that light: ‘So, it seems other sentient beings have been reborn here!’ And this galaxy shakes and rocks and trembles. And an immeasurable, magnificent light appears in the world, surpassing the glory of the gods. This is normal in such a case.
๓ฯ ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณา
3. The Thirty-Two Marks of a Great Man
ชาเต โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสิมฺหิ กุมาเร พนฺธุมโต รญฺโญ ปฏิเวเทสุํ: ‘ปุตฺโต เต, เทว, ชาโต, ตํ เทโว ปสฺสตู'ติฯ อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสึ กุมารํ, ทิสฺวา เนมิตฺเต พฺราหฺมเณ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘ปสฺสนฺตุ โภนฺโต เนมิตฺตา พฺราหฺมณา กุมารนฺ'ติฯ อทฺทสํสุ โข, ภิกฺขเว, เนมิตฺตา พฺราหฺมณา วิปสฺสึ กุมารํ, ทิสฺวา พนฺธุมนฺตํ ราชานํ เอตทโวจุํ: ‘อตฺตมโน, เทว, โหหิ, มเหสกฺโข เต ปุตฺโต อุปฺปนฺโน, ลาภา เต, มหาราช, สุลทฺธํ เต, มหาราช, ยสฺส เต กุเล เอวรูโป ปุตฺโต อุปฺปนฺโนฯ อยญฺหิ, เทว, กุมาโร ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต, เยหิ สมนฺนาคตสฺส มหาปุริสสฺส เทฺวว คติโย ภวนฺติ อนญฺญาฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ, ราชา โหติ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺตรตนานิ ภวนฺติฯ เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถิรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา ภวนฺติ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสติฯ สเจ โข ปน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก วิวฏจฺฉโทฯ
When Prince Vipassī was born, they announced it to King Bandhuma, ‘Sire, your son is born! Let your majesty examine him!’ When the king had examined the prince, he had the brahmin soothsayers summoned and said to them, ‘Gentlemen, please examine the prince.’ When they had examined him they said to the king, ‘Rejoice, O King! An illustrious son is born to you. You are fortunate, so very fortunate, to have a son such as this born in this family! For the prince has the thirty-two marks of a great man. A great man who possesses these has only two possible destinies, no other. If he stays at home he becomes a king, a wheel-turning monarch, a just and principled king. His dominion extends to all four sides, he achieves stability in the country, and he possesses the seven treasures. He has the following seven treasures: the wheel, the elephant, the horse, the jewel, the woman, the treasurer, and the counselor as the seventh treasure. He has over a thousand sons who are valiant and heroic, crushing the armies of his enemies. After conquering this land girt by sea, he reigns by principle, without rod or sword. But if he goes forth from the lay life to homelessness, he becomes a perfected one, a fully awakened Buddha, who draws back the veil from the world.
กตเมหิ จายํ, เทว, กุมาโร ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต, เยหิ สมนฺนาคตสฺส มหาปุริสสฺส เทฺวว คติโย ภวนฺติ อนญฺญาฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ, ราชา โหติ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺตรตนานิ ภวนฺติฯ เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถิรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา ภวนฺติ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสติฯ
And what are the marks which he possesses?
สเจ โข ปน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก วิวฏจฺฉโทฯ อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สุปฺปติฏฺฐิตปาโทฯ ยํ ปายํ, เทว, กุมาโร สุปฺปติฏฺฐิตปาโทฯ อิทมฺปิสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
He has well-planted feet.
อิมสฺส, เทว, กุมารสฺส เหฏฺฐา ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ สหสฺสารานิ สเนมิกานิ สนาภิกานิ สพฺพาการปริปูรานิฯ ยมฺปิ อิมสฺส, เทว, กุมารสฺส เหฏฺฐา ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานิ สหสฺสารานิ สเนมิกานิ สนาภิกานิ สพฺพาการปริปูรานิ, อิทมฺปิสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
On the soles of his feet there are thousand-spoked wheels, with rims and hubs, complete in every detail.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อายตปณฺหี …เป…
He has stretched heels.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร ทีฆงฺคุลี …เป…
He has long fingers.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร มุทุตลุนหตฺถปาโท …เป…
His hands and feet are tender.
อยญฺหิ, เทว กุมาโร ชาลหตฺถปาโท …เป…
He has serried hands and feet.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อุสฺสงฺขปาโท …เป…
The tops of his feet are arched.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร เอณิชงฺโฆ …เป…
His calves are like those of an antelope.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร ฐิตโกว อโนนมนฺโต อุโภหิ ปาณิตเลหิ ชณฺณุกานิ ปริมสติ ปริมชฺชติ …เป…
When standing upright and not bending over, the palms of both hands touch the knees.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร โกโสหิตวตฺถคุโยฺห …เป…
His private parts are covered in a foreskin.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สุวณฺณวณฺโณ กญฺจนสนฺนิภตฺตโจ …เป…
He is gold colored; his skin has a golden sheen.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สุขุมจฺฉวี; สุขุมตฺตา ฉวิยา รโชชลฺลํ กาเย น อุปลิมฺปติ …เป…
He has delicate skin, so delicate that dust and dirt don’t stick to his body.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร เอเกกโลโม; เอเกกานิ โลมานิ โลมกูเปสุ ชาตานิ …เป…
His hairs grow one per pore.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อุทฺธคฺคโลโม; อุทฺธคฺคานิ โลมานิ ชาตานิ นีลานิ อญฺชนวณฺณานิ กุณฺฑลาวฏฺฏานิ ทกฺขิณาวฏฺฏกชาตานิ …เป…
His hairs stand up; they’re blue-black and curl clockwise.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร พฺรหฺมุชุคตฺโต …เป…
His body is tall and straight-limbed.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สตฺตุสฺสโท …เป…
He is rounded in seven places.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สีหปุพฺพทฺธกาโย …เป…
His chest is like that of a lion.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร จิตนฺตรํโส …เป…
He is filled out between the shoulders.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร นิโคฺรธปริมณฺฑโล ยาวตกฺวสฺส กาโย ตาวตกฺวสฺส พฺยาโม, ยาวตกฺวสฺส พฺยาโม, ตาวตกฺวสฺส กาโย …เป…
He has the proportional circumference of a banyan tree: the span of his arms equals the height of his body.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สมวฏฺฏกฺขนฺโธ …เป…
His torso is cylindrical.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร รสคฺคสคฺคี …เป…
He has ridged taste buds.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สีหหนุ …เป…
His jaw is like that of a lion.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร จตฺตาลีสทนฺโต …เป…
He has forty teeth.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สมทนฺโต …เป…
His teeth are even.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อวิรฬทนฺโต …เป…
His teeth have no gaps.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร สุสุกฺกทาโฐ …เป…
His teeth are perfectly white.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร ปหูตชิโวฺห …เป…
He has a large tongue.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร พฺรหฺมสฺสโร กรวีกภาณี …เป…
He has the voice of Brahmā, like a cuckoo’s call.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อภินีลเนตฺโต …เป…
His eyes are indigo.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร โคปขุโม …เป…
He has eyelashes like a cow’s.
อิมสฺส, เทว, กุมารสฺส อุณฺณา ภมุกนฺตเร ชาตา โอทาตา มุทุตูลสนฺนิภาฯ ยมฺปิ อิมสฺส, เทว, กุมารสฺส อุณฺณา ภมุกนฺตเร ชาตา โอทาตา มุทุตูลสนฺนิภา, อิทมฺปิมสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
Between his eyebrows there grows a tuft, soft and white like cotton-wool.
อยญฺหิ, เทว, กุมาโร อุณฺหีสสีโสฯ ยํ ปายํ, เทว, กุมาโร อุณฺหีสสีโส, อิทมฺปิสฺส มหาปุริสสฺส มหาปุริสลกฺขณํ ภวติฯ
The crown of his head is like a turban.
อิเมหิ โข อยํ, เทว, กุมาโร ทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขเณหิ สมนฺนาคโต, เยหิ สมนฺนาคตสฺส มหาปุริสสฺส เทฺวว คติโย ภวนฺติ อนญฺญาฯ สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ, ราชา โหติ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ ตสฺสิมานิ สตฺตรตนานิ ภวนฺติฯ เสยฺยถิทํ—จกฺกรตนํ หตฺถิรตนํ อสฺสรตนํ มณิรตนํ อิตฺถิรตนํ คหปติรตนํ ปริณายกรตนเมว สตฺตมํฯ ปโรสหสฺสํ โข ปนสฺส ปุตฺตา ภวนฺติ สูรา วีรงฺครูปา ปรเสนปฺปมทฺทนาฯ โส อิมํ ปถวึ สาครปริยนฺตํ อทณฺเฑน อสตฺเถน ธมฺเมน อภิวิชิย อชฺฌาวสติฯ สเจ โข ปน อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติ, อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก วิวฏจฺฉโท'ติฯ
These are the thirty-two marks of a great man that the prince has. A great man who possesses these has only two possible destinies, no other. If he stays at home he becomes a king, a wheel-turning monarch. But if he goes forth from the lay life to homelessness, he becomes a perfected one, a fully awakened Buddha, who draws back the veil from the world.’
๔ฯ วิปสฺสีสมญฺญา
4. How He Came to be Known as Vipassī
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา เนมิตฺเต พฺราหฺมเณ อหเตหิ วตฺเถหิ อจฺฉาทาเปตฺวา สพฺพกาเมหิ สนฺตปฺเปสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ธาติโย อุปฏฺฐาเปสิฯ อญฺญา ขีรํ ปาเยนฺติ, อญฺญา นฺหาเปนฺติ, อญฺญา ธาเรนฺติ, อญฺญา องฺเกน ปริหรนฺติฯ ชาตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส เสตจฺฉตฺตํ ธารยิตฺถ ทิวา เจว รตฺติญฺจ: ‘มา นํ สีตํ วา อุณฺหํ วา ติณํ วา รโช วา อุสฺสาโว วา พาธยิตฺถา'ติฯ ชาโต โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหุโน ชนสฺส ปิโย อโหสิ มนาโปฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อุปฺปลํ วา ปทุมํ วา ปุณฺฑรีกํ วา พหุโน ชนสฺส ปิยํ มนาปํ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหุโน ชนสฺส ปิโย อโหสิ มนาโปฯ สฺวาสฺสุทํ องฺเกเนว องฺกํ ปริหริยติฯ
Then King Bandhuma had the brahmin soothsayers dressed in unworn clothes and satisfied all their needs. Then the king appointed nurses for Prince Vipassī. Some suckled him, some bathed him, some held him, and some carried him on their hip. From when he was born, a white parasol was held over him night and day, with the thought, ‘Don’t let cold, heat, grass, dust, or damp bother him.’ He was dear and beloved by many people, like a blue water lily, or a pink or white lotus. He was always passed from hip to hip.
ชาโต โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร มญฺชุสฺสโร จ อโหสิ วคฺคุสฺสโร จ มธุรสฺสโร จ เปมนิยสฺสโร จฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, หิมวนฺเต ปพฺพเต กรวีกา นาม สกุณชาติ มญฺชุสฺสรา จ วคฺคุสฺสรา จ มธุรสฺสรา จ เปมนิยสฺสรา จ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร มญฺชุสฺสโร จ อโหสิ วคฺคุสฺสโร จ มธุรสฺสโร จ เปมนิยสฺสโร จฯ
From when he was born, his voice was charming, graceful, sweet, and lovely. It was as sweet as the song of a cuckoo-bird found in the Himalayas.
ชาตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส กมฺมวิปากชํ ทิพฺพจกฺขุ ปาตุรโหสิ เยน สุทํ สมนฺตา โยชนํ ปสฺสติ ทิวา เจว รตฺติญฺจฯ
From when he was born, Prince Vipassī had the power of clairvoyance which manifested as a result of past deeds, by which he could see for a league all around both by day and by night.
ชาโต โข ปน, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อนิมิสนฺโต เปกฺขติ เสยฺยถาปิ เทวา ตาวตึสาฯ ‘อนิมิสนฺโต กุมาโร เปกฺขตี'ติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ‘วิปสฺสี วิปสฺสี' เตฺวว สมญฺญา อุทปาทิฯ
And he was unblinkingly watchful, like the gods of the Thirty-Three. And because it was said that he was unblinkingly watchful, he came to be known as ‘Vipassī’.
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา อตฺถกรเณ นิสินฺโน วิปสฺสึ กุมารํ องฺเก นิสีทาเปตฺวา อตฺเถ อนุสาสติฯ ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ปิตุองฺเก นิสินฺโน วิเจยฺย วิเจยฺย อตฺเถ ปนายติ ญาเยนฯ วิเจยฺย วิเจยฺย กุมาโร อตฺเถ ปนายติ ญาเยนาติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ภิโยฺยโส มตฺตาย ‘วิปสฺสี วิปสฺสี' เตฺวว สมญฺญา อุทปาทิฯ
Then while King Bandhuma was sitting in judgment, he’d sit Prince Vipassī in his lap and explain the case to him. And sitting there in his father’s lap, Vipassī would thoroughly consider the case and draw a conclusion using a logical procedure. So this was all the more reason for him to be known as ‘Vipassī’.
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ตโย ปาสาเท การาเปสิ, เอกํ วสฺสิกํ เอกํ เหมนฺติกํ เอกํ คิมฺหิกํ; ปญฺจ กามคุณานิ อุปฏฺฐาเปสิฯ ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร วสฺสิเก ปาสาเท จตฺตาโร มาเส นิปฺปุริเสหิ ตูริเยหิ ปริจารยมาโน น เหฏฺฐาปาสาทํ โอโรหตีติฯ
Then King Bandhuma had three stilt longhouses built for him—one for the winter, one for the summer, and one for the rainy season, and provided him with the five kinds of sensual stimulation. Prince Vipassī stayed in a stilt longhouse without coming downstairs for the four months of the rainy season, where he was entertained by musicians—none of them men.
ปฐมภาณวาโรฯ
The first recitation section.
๕ฯ ชิณฺณปุริส
5. The Old Man
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน สารถึ อามนฺเตสิ: ‘โยเชหิ, สมฺม สารถิ, ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ อุยฺยานภูมึ คจฺฉาม สุภูมิทสฺสนายา'ติฯ
Then, after many thousand years had passed, Prince Vipassī addressed his charioteer, ‘My dear charioteer, harness the finest chariots. We will go to a park and see the scenery.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยเชตฺวา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิเวเทสิ: ‘ยุตฺตานิ โข เต, เทว, ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ อุยฺยานภูมึ นิยฺยาสิฯ
‘Yes, sir,’ replied the charioteer. He harnessed the chariots and informed the prince, ‘Sire, the finest chariots are harnessed. Please go at your convenience.’ Then Prince Vipassī mounted a fine carriage and, along with other fine carriages, set out for the park.
อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต ปุริสํ ชิณฺณํ โคปานสิวงฺกํ โภคฺคํ ทณฺฑปรายนํ ปเวธมานํ คจฺฉนฺตํ อาตุรํ คตโยพฺพนํฯ ทิสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ: ‘อยํ ปน, สมฺม สารถิ, ปุริโส กิงฺกโต? เกสาปิสฺส น ยถา อญฺเญสํ, กาโยปิสฺส น ยถา อญฺเญสนฺ'ติฯ
Along the way he saw an elderly man, bent double, crooked, leaning on a staff, trembling as he walked, ailing, past his prime. He addressed his charioteer, ‘My dear charioteer, what has that man done? For his hair and his body are unlike those of other men.’
‘เอโส โข, เทว, ชิณฺโณ นามา'ติฯ
‘That, Your Majesty, is called an old man.’
‘กึ ปเนโส, สมฺม สารถิ, ชิณฺโณ นามา'ติ?
‘But why is he called an old man?’
‘เอโส โข, เทว, ชิณฺโณ นามฯ น ทานิ เตน จิรํ ชีวิตพฺพํ ภวิสฺสตี'ติฯ
‘He’s called an old man because now he has not long to live.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ ชราธมฺโม, ชรํ อนตีโต'ติ?
‘But my dear charioteer, am I liable to grow old? Am I not exempt from old age?’
‘ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ ชราธมฺมา, ชรํ อนตีตา'ติฯ
‘Everyone is liable to grow old, Your Majesty, including you. No-one is exempt from old age.’
‘เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยาฯ อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี'ติฯ
‘Well then, my dear charioteer, that’s enough of the park for today. Let’s return to the royal compound.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer and did so.
ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: ‘ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสตี'ติฯ
Back at the royal compound, the prince brooded, miserable and sad: ‘Damn this thing called rebirth, since old age will come to anyone who’s born.’
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา สารถึ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ? กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติ?
Then King Bandhuma summoned the charioteer and said, ‘My dear charioteer, I hope the prince enjoyed himself at the park? I hope he was happy there?’
‘น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ, น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติฯ
‘No, Your Majesty, the prince didn’t enjoy himself at the park.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อทฺทส กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต'ติ? ‘อทฺทสา โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต ปุริสํ ชิณฺณํ โคปานสิวงฺกํ โภคฺคํ ทณฺฑปรายนํ ปเวธมานํ คจฺฉนฺตํ อาตุรํ คตโยพฺพนํฯ ทิสฺวา มํ เอตทโวจ: “อยํ ปน, สมฺม สารถิ, ปุริโส กิงฺกโต, เกสาปิสฺส น ยถา อญฺเญสํ, กาโยปิสฺส น ยถา อญฺเญสนฺ”ติ? “เอโส โข, เทว, ชิณฺโณ นามา”ติฯ “กึ ปเนโส, สมฺม สารถิ, ชิณฺโณ นามา”ติ? “เอโส โข, เทว, ชิณฺโณ นาม น ทานิ เตน จิรํ ชีวิตพฺพํ ภวิสฺสตี”ติฯ “กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ ชราธมฺโม, ชรํ อนตีโต”ติ? “ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ ชราธมฺมา, ชรํ อนตีตา”ติฯ
‘But what did he see on the way to the park?’ And the charioteer told the king about seeing the old man and the prince’s reaction.
“เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยา, อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี”ติฯ “เอวํ, เทวา”ติ โข อหํ, เทว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสึฯ โส โข, เทว, กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: “ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสตี”'ติฯ
๖ฯ พฺยาธิตปุริส
6. The Sick Man
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมสฺส รญฺโญ เอตทโหสิ: ‘มา เหว โข วิปสฺสี กุมาโร น รชฺชํ กาเรสิ, มา เหว วิปสฺสี กุมาโร อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิ, มา เหว เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ สจฺจํ อสฺส วจนนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ภิโยฺยโส มตฺตาย ปญฺจ กามคุณานิ อุปฏฺฐาเปสิ: ‘ยถา วิปสฺสี กุมาโร รชฺชํ กเรยฺย, ยถา วิปสฺสี กุมาโร น อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย, ยถา เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ มิจฺฉา อสฺส วจนนฺ'ติฯ ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติฯ
Then King Bandhuma thought, ‘Prince Vipassī must not renounce the throne. He must not go forth from the lay life to homelessness. And the words of the brahmin soothsayers must not come true.’ To this end he provided the prince with even more of the five kinds of sensual stimulation, with which the prince amused himself.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหูนํ วสฺสานํ …เป…
Then, after many thousand years had passed, Prince Vipassī had his charioteer drive him to the park once more.
อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต ปุริสํ อาพาธิกํ ทุกฺขิตํ พาฬฺหคิลานํ สเก มุตฺตกรีเส ปลิปนฺนํ เสมานํ อญฺเญหิ วุฏฺฐาปิยมานํ อญฺเญหิ สํเวสิยมานํฯ ทิสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ: ‘อยํ ปน, สมฺม สารถิ, ปุริโส กิงฺกโต? อกฺขีนิปิสฺส น ยถา อญฺเญสํ, สโรปิสฺส น ยถา อญฺเญสนฺ'ติ?
Along the way he saw a man who was ill, suffering, gravely ill, collapsed in his own urine and feces, being picked up by some and put down by others. He addressed his charioteer, ‘My dear charioteer, what has that man done? For his eyes and his voice are unlike those of other men.’
‘เอโส โข, เทว, พฺยาธิโต นามา'ติฯ
‘That, Your Majesty, is called a sick man.’
‘กึ ปเนโส, สมฺม สารถิ, พฺยาธิโต นามา'ติ?
‘But why is he called a sick man?’
‘เอโส โข, เทว, พฺยาธิโต นาม อปฺเปว นาม ตมฺหา อาพาธา วุฏฺฐเหยฺยา'ติฯ
‘He’s called an sick man; hopefully he will recover from that illness.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ พฺยาธิธมฺโม, พฺยาธึ อนตีโต'ติ?
‘But my dear charioteer, am I liable to fall sick? Am I not exempt from sickness?’
‘ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ พฺยาธิธมฺมา, พฺยาธึ อนตีตา'ติฯ
‘Everyone is liable to fall sick, Your Majesty, including you. No-one is exempt from sickness.’
‘เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยา, อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี'ติฯ
‘Well then, my dear charioteer, that’s enough of the park for today. Let’s return to the royal compound.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer and did so.
ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: ‘ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสติ, พฺยาธิ ปญฺญายิสฺสตี'ติฯ
Back at the royal compound, the prince brooded, miserable and sad: ‘Damn this thing called rebirth, since old age and sickness will come to anyone who’s born.’
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา สารถึ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ, กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติ?
Then King Bandhuma summoned the charioteer and said, ‘My dear charioteer, I hope the prince enjoyed himself at the park? I hope he was happy there?’
‘น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ, น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติฯ
‘No, Your Majesty, the prince didn’t enjoy himself at the park.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อทฺทส กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต'ติ? ‘อทฺทสา โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต ปุริสํ อาพาธิกํ ทุกฺขิตํ พาฬฺหคิลานํ สเก มุตฺตกรีเส ปลิปนฺนํ เสมานํ อญฺเญหิ วุฏฺฐาปิยมานํ อญฺเญหิ สํเวสิยมานํฯ ทิสฺวา มํ เอตทโวจ: “อยํ ปน, สมฺม สารถิ, ปุริโส กิงฺกโต, อกฺขีนิปิสฺส น ยถา อญฺเญสํ, สโรปิสฺส น ยถา อญฺเญสนฺ”ติ? “เอโส โข, เทว, พฺยาธิโต นามา”ติฯ “กึ ปเนโส, สมฺม สารถิ, พฺยาธิโต นามา”ติ? “เอโส โข, เทว, พฺยาธิโต นาม อปฺเปว นาม ตมฺหา อาพาธา วุฏฺฐเหยฺยา”ติฯ “กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ พฺยาธิธมฺโม, พฺยาธึ อนตีโต”ติ? “ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ พฺยาธิธมฺมา, พฺยาธึ อนตีตา”ติฯ “เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยา, อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี”ติฯ “เอวํ, เทวา”ติ โข อหํ, เทว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสึฯ โส โข, เทว, กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: “ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสติ, พฺยาธิ ปญฺญายิสฺสตี”'ติฯ
‘But what did he see on the way to the park?’ And the charioteer told the king about seeing the sick man and the prince’s reaction.
๗ฯ กาลงฺกตปุริส
7. The Dead Man
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมสฺส รญฺโญ เอตทโหสิ: ‘มา เหว โข วิปสฺสี กุมาโร น รชฺชํ กาเรสิ, มา เหว วิปสฺสี กุมาโร อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิ, มา เหว เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ สจฺจํ อสฺส วจนนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ภิโยฺยโส มตฺตาย ปญฺจ กามคุณานิ อุปฏฺฐาเปสิ: ‘ยถา วิปสฺสี กุมาโร รชฺชํ กเรยฺย, ยถา วิปสฺสี กุมาโร น อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย, ยถา เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ มิจฺฉา อสฺส วจนนฺ'ติฯ ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติฯ
Then King Bandhuma thought, ‘Prince Vipassī must not renounce the throne. He must not go forth from the lay life to homelessness. And the words of the brahmin soothsayers must not come true.’ To this end he provided the prince with even more of the five kinds of sensual stimulation, with which the prince amused himself.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหูนํ วสฺสานํ …เป…
Then, after many thousand years had passed, Prince Vipassī had his charioteer drive him to the park once more.
อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต มหาชนกายํ สนฺนิปติตํ นานารตฺตานญฺจ ทุสฺสานํ วิลาตํ กยิรมานํฯ ทิสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ: ‘กึ นุ โข โส, สมฺม สารถิ, มหาชนกาโย สนฺนิปติโต นานารตฺตานญฺจ ทุสฺสานํ วิลาตํ กยิรตี'ติ?
Along the way he saw a large crowd gathered making a bier out of garments of different colors. He addressed his charioteer, ‘My dear charioteer, why is that crowd making a bier?’
‘เอโส โข, เทว, กาลงฺกโต นามา'ติฯ
‘That, Your Majesty, is for someone who’s departed.’
‘เตน หิ, สมฺม สารถิ, เยน โส กาลงฺกโต เตน รถํ เปเสหี'ติฯ
‘Well then, drive the chariot up to the departed.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน โส กาลงฺกโต เตน รถํ เปเสสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer, and did so.
อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร เปตํ กาลงฺกตํ, ทิสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ: ‘กึ ปนายํ, สมฺม สารถิ, กาลงฺกโต นามา'ติ?
When the prince saw the corpse of the departed, he addressed the charioteer, ‘But why is he called departed?’
‘เอโส โข, เทว, กาลงฺกโต นามฯ น ทานิ ตํ ทกฺขนฺติ มาตา วา ปิตา วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา, โสปิ น ทกฺขิสฺสติ มาตรํ วา ปิตรํ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต'ติฯ
‘He’s called departed because now his mother and father, his relatives and kin shall see him no more, and he shall never again see them.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ มรณธมฺโม มรณํ อนตีโต; มมฺปิ น ทกฺขนฺติ เทโว วา เทวี วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา; อหมฺปิ น ทกฺขิสฺสามิ เทวํ วา เทวึ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต'ติ?
‘But my dear charioteer, am I liable to die? Am I not exempt from death? Will the king and queen and my other relatives and kin see me no more? And shall I never again see them?’
‘ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ มรณธมฺมา มรณํ อนตีตา; ตมฺปิ น ทกฺขนฺติ เทโว วา เทวี วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา; ตฺวมฺปิ น ทกฺขิสฺสสิ เทวํ วา เทวึ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต'ติฯ
‘Everyone is liable to die, Your Majesty, including you. No-one is exempt from death. The king and queen and your other relatives and kin shall see you no more, and you shall never again see them.’
‘เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยา, อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี'ติฯ
‘Well then, my dear charioteer, that’s enough of the park for today. Let’s return to the royal compound.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer and did so.
ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: ‘ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสติ, พฺยาธิ ปญฺญายิสฺสติ, มรณํ ปญฺญายิสฺสตี'ติฯ
Back at the royal compound, the prince brooded, miserable and sad: ‘Damn this thing called rebirth, since old age, sickness, and death will come to anyone who’s born.’
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา สารถึ อามนฺตาเปตฺวา เอตทโวจ: ‘กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ, กจฺจิ, สมฺม สารถิ, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติ?
Then King Bandhuma summoned the charioteer and said, ‘My dear charioteer, I hope the prince enjoyed himself at the park? I hope he was happy there?’
‘น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อภิรมิตฺถ, น โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมิยา อตฺตมโน อโหสี'ติฯ
‘No, Your Majesty, the prince didn’t enjoy himself at the park.’
‘กึ ปน, สมฺม สารถิ, อทฺทส กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต'ติ? ‘อทฺทสา โข, เทว, กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต มหาชนกายํ สนฺนิปติตํ นานารตฺตานญฺจ ทุสฺสานํ วิลาตํ กยิรมานํฯ ทิสฺวา มํ เอตทโวจ: “กึ นุ โข โส, สมฺม สารถิ, มหาชนกาโย สนฺนิปติโต นานารตฺตานญฺจ ทุสฺสานํ วิลาตํ กยิรตี”ติ? “เอโส โข, เทว, กาลงฺกโต นามา”ติฯ “เตน หิ, สมฺม สารถิ, เยน โส กาลงฺกโต เตน รถํ เปเสหี”ติฯ “เอวํ, เทวา”ติ โข อหํ, เทว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน โส กาลงฺกโต เตน รถํ เปเสสึฯ อทฺทสา โข, เทว, กุมาโร เปตํ กาลงฺกตํ, ทิสฺวา มํ เอตทโวจ: “กึ ปนายํ, สมฺม สารถิ, กาลงฺกโต นามา”ติ? “เอโส โข, เทว, กาลงฺกโต นามฯ น ทานิ ตํ ทกฺขนฺติ มาตา วา ปิตา วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา, โสปิ น ทกฺขิสฺสติ มาตรํ วา ปิตรํ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต”ติฯ “กึ ปน, สมฺม สารถิ, อหมฺปิ มรณธมฺโม มรณํ อนตีโต; มมฺปิ น ทกฺขนฺติ เทโว วา เทวี วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา; อหมฺปิ น ทกฺขิสฺสามิ เทวํ วา เทวึ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต”ติ? “ตฺวญฺจ, เทว, มยญฺจมฺห สพฺเพ มรณธมฺมา มรณํ อนตีตา; ตมฺปิ น ทกฺขนฺติ เทโว วา เทวี วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิตา, ตฺวมฺปิ น ทกฺขิสฺสสิ เทวํ วา เทวึ วา อญฺเญ วา ญาติสาโลหิเต”ติฯ “เตน หิ, สมฺม สารถิ, อลํ ทานชฺช อุยฺยานภูมิยา, อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหี”ติฯ “เอวํ, เทวา”ติ โข อหํ, เทว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสึฯ โส โข, เทว, กุมาโร อนฺเตปุรํ คโต ทุกฺขี ทุมฺมโน ปชฺฌายติ: “ธิรตฺถุ กิร, โภ, ชาติ นาม, ยตฺร หิ นาม ชาตสฺส ชรา ปญฺญายิสฺสติ, พฺยาธิ ปญฺญายิสฺสติ, มรณํ ปญฺญายิสฺสตี”'ติฯ
‘But what did he see on the way to the park?’ And the charioteer told the king about seeing the dead man and the prince’s reaction.
๘ฯ ปพฺพชิต
8. The Renunciate
อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมสฺส รญฺโญ เอตทโหสิ: ‘มา เหว โข วิปสฺสี กุมาโร น รชฺชํ กาเรสิ, มา เหว วิปสฺสี กุมาโร อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิ, มา เหว เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ สจฺจํ อสฺส วจนนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมา ราชา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ภิโยฺยโส มตฺตาย ปญฺจ กามคุณานิ อุปฏฺฐาเปสิ: ‘ยถา วิปสฺสี กุมาโร รชฺชํ กเรยฺย, ยถา วิปสฺสี กุมาโร น อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย, ยถา เนมิตฺตานํ พฺราหฺมณานํ มิจฺฉา อสฺส วจนนฺ'ติฯ ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติฯ
Then King Bandhuma thought, ‘Prince Vipassī must not renounce the throne. He must not go forth from the lay life to homelessness. And the words of the brahmin soothsayers must not come true.’ To this end he provided the prince with even more of the five kinds of sensual stimulation, with which the prince amused himself.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร พหูนํ วสฺสานํ พหูนํ วสฺสสตานํ พหูนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน สารถึ อามนฺเตสิ: ‘โยเชหิ, สมฺม สารถิ, ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ, อุยฺยานภูมึ คจฺฉาม สุภูมิทสฺสนายา'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยเชตฺวา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิเวเทสิ: ‘ยุตฺตานิ โข เต, เทว, ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ อุยฺยานภูมึ นิยฺยาสิฯ
Then, after many thousand years had passed, Prince Vipassī had his charioteer drive him to the park once more.
อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต ปุริสํ ภณฺฑุํ ปพฺพชิตํ กาสายวสนํฯ ทิสฺวา สารถึ อามนฺเตสิ: ‘อยํ ปน, สมฺม สารถิ, ปุริโส กิงฺกโต? สีสมฺปิสฺส น ยถา อญฺเญสํ, วตฺถานิปิสฺส น ยถา อญฺเญสนฺ'ติ?
Along the way he saw a man, a renunciate with shaven head, wearing an ocher robe. He addressed his charioteer, ‘My dear charioteer, what has that man done? For his head and his clothes are unlike those of other men.’
‘เอโส โข, เทว, ปพฺพชิโต นามา'ติฯ
‘That, Your Majesty, is called a renunciate.’
‘กึ ปเนโส, สมฺม สารถิ, ปพฺพชิโต นามา'ติ?
‘But why is he called a renunciate?’
‘เอโส โข, เทว, ปพฺพชิโต นาม สาธุ ธมฺมจริยา สาธุ สมจริยา สาธุ กุสลกิริยา สาธุ ปุญฺญกิริยา สาธุ อวิหึสา สาธุ ภูตานุกมฺปา'ติฯ
‘He is called a renunciate because he celebrates principled and fair conduct, skillful actions, good deeds, harmlessness, and compassion for living creatures.’
‘สาธุ โข โส, สมฺม สารถิ, ปพฺพชิโต นาม, สาธุ ธมฺมจริยา สาธุ สมจริยา สาธุ กุสลกิริยา สาธุ ปุญฺญกิริยา สาธุ อวิหึสา สาธุ ภูตานุกมฺปาฯ เตน หิ, สมฺม สารถิ, เยน โส ปพฺพชิโต เตน รถํ เปเสหี'ติฯ
‘Then I celebrate the one called a renunciate, who celebrates principled and fair conduct, skillful actions, good deeds, harmlessness, and compassion for living creatures! Well then, drive the chariot up to that renunciate.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เยน โส ปพฺพชิโต เตน รถํ เปเสสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer, and did so.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร ตํ ปพฺพชิตํ เอตทโวจ: ‘ตฺวํ ปน, สมฺม, กิงฺกโต, สีสมฺปิ เต น ยถา อญฺเญสํ, วตฺถานิปิ เต น ยถา อญฺเญสนฺ'ติ?
Then Prince Vipassī said to that renunciate, ‘My good man, what have you done? For your head and your clothes are unlike those of other men.’
‘อหํ โข, เทว, ปพฺพชิโต นามา'ติฯ
‘Sire, I am what is called a renunciate.’
‘กึ ปน ตฺวํ, สมฺม, ปพฺพชิโต นามา'ติ?
‘But why are you called a renunciate?’
‘อหํ โข, เทว, ปพฺพชิโต นาม, สาธุ ธมฺมจริยา สาธุ สมจริยา สาธุ กุสลกิริยา สาธุ ปุญฺญกิริยา สาธุ อวิหึสา สาธุ ภูตานุกมฺปา'ติฯ
‘I am called a renunciate because I celebrate principled and fair conduct, skillful actions, good deeds, harmlessness, and compassion for living creatures.’
‘สาธุ โข ตฺวํ, สมฺม, ปพฺพชิโต นาม สาธุ ธมฺมจริยา สาธุ สมจริยา สาธุ กุสลกิริยา สาธุ ปุญฺญกิริยา สาธุ อวิหึสา สาธุ ภูตานุกมฺปา'ติฯ
‘Then I celebrate the one called a renunciate, who celebrates principled and fair conduct, skillful actions, good deeds, harmlessness, and compassion for living creatures!’
๙ฯ โพธิสตฺตปพฺพชฺชา
9. The Going Forth
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี กุมาโร สารถึ อามนฺเตสิ: ‘เตน หิ, สมฺม สารถิ, รถํ อาทาย อิโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาหิฯ อหํ ปน อิเธว เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสามี'ติฯ
Then the prince addressed the charioteer, ‘Well then, my dear charioteer, take the chariot and return to the royal compound. I shall shave off my hair and beard right here, dress in ocher robes, and go forth from the lay life to homelessness.’
‘เอวํ, เทวา'ติ โข, ภิกฺขเว, สารถิ วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ปฏิสฺสุตฺวา รถํ อาทาย ตโตว อนฺเตปุรํ ปจฺจนิยฺยาสิฯ
‘Yes, Your Majesty,’ replied the charioteer and did so.
วิปสฺสี ปน กุมาโร ตตฺเถว เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิฯ
Then Prince Vipassī shaved off his hair and beard, dressed in ocher robes, and went forth from the lay life to homelessness.
๑๐ฯ มหาชนกายอนุปพฺพชฺชา
10. A Great Crowd Goes Forth
อโสฺสสิ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมติยา ราชธานิยา มหาชนกาโย จตุราสีติปาณสหสฺสานิ: ‘วิปสฺสี กิร กุมาโร เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต'ติฯ สุตฺวาน เตสํ เอตทโหสิ: ‘น หิ นูน โส โอรโก ธมฺมวินโย, น สา โอรกา ปพฺพชฺชา, ยตฺถ วิปสฺสี กุมาโร เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโตฯ วิปสฺสีปิ นาม กุมาโร เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสติ, กิมงฺคํ ปน มยนฺ'ติฯ
A large crowd of 84,000 people in the capital of Bandhumatī heard that Vipassī had gone forth. It occurred to them, ‘This must be no ordinary teaching and training, no ordinary going forth in which Prince Vipassī has gone forth. If even the prince goes forth, why don’t we do the same?’
อถ โข, โส ภิกฺขเว, มหาชนกาโย จตุราสีติปาณสหสฺสานิ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา วิปสฺสึ โพธิสตฺตํ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตํ อนุปพฺพชึสุฯ ตาย สุทํ, ภิกฺขเว, ปริสาย ปริวุโต วิปสฺสี โพธิสตฺโต คามนิคมชนปทราชธานีสุ จาริกํ จรติฯ
Then that great crowd of 84,000 people shaved off their hair and beard, dressed in ocher robes, and followed the one intent on awakening, Vipassī, by going forth from the lay life to homelessness. Escorted by that assembly, Vipassī wandered on tour among the villages, towns, and capital cities.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: ‘น โข เมตํ ปติรูปํ โยหํ อากิณฺโณ วิหรามิ, ยนฺนูนาหํ เอโก คณมฺหา วูปกฏฺโฐ วิหเรยฺยนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี โพธิสตฺโต อปเรน สมเยน เอโก คณมฺหา วูปกฏฺโฐ วิหาสิ, อญฺเญเนว ตานิ จตุราสีติปพฺพชิตสหสฺสานิ อคมํสุ, อญฺเญน มคฺเคน วิปสฺสี โพธิสตฺโตฯ
Then as he was in private retreat this thought came to his mind, ‘It’s not appropriate for me to live in a crowd. Why don’t I live alone, withdrawn from the group?’ After some time he withdrew from the group to live alone. The 84,000 went one way, but Vipassī went another.
๑๑ฯ โพธิสตฺตอภินิเวส
11. Vipassī’s Reflections
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส วาสูปคตสฺส รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: ‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปนฺโน, ชายติ จ ชียติ จ มียติ จ จวติ จ อุปปชฺชติ จ, อถ จ ปนิมสฺส ทุกฺขสฺส นิสฺสรณํ นปฺปชานาติ ชรามรณสฺส, กุทาสฺสุ นาม อิมสฺส ทุกฺขสฺส นิสฺสรณํ ปญฺญายิสฺสติ ชรามรณสฺสา'ติ?
Then as Vipassī, the one intent on awakening, was in private retreat in his dwelling, this thought came to his mind, ‘Alas, this world has fallen into trouble. It’s born, grows old, dies, passes away, and is reborn, yet it doesn’t understand how to escape from this suffering, from old age and death. Oh, when will an escape be found from this suffering, from old age and death?’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ ชรามรณํ โหติ, กึปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ชาติยา โข สติ ชรามรณํ โหติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there old age and death? What is a condition for old age and death?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When rebirth exists there’s old age and death. Rebirth is a condition for old age and death.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ ชาติ โหติ, กึปจฺจยา ชาตี'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ภเว โข สติ ชาติ โหติ, ภวปจฺจยา ชาตี'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there rebirth? What is a condition for rebirth?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When continued existence exists there’s rebirth. Continued existence is a condition for rebirth.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ ภโว โหติ, กึปจฺจยา ภโว'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘อุปาทาเน โข สติ ภโว โหติ, อุปาทานปจฺจยา ภโว'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there continued existence? What is a condition for continued existence?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When grasping exists there’s continued existence. Grasping is a condition for continued existence.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ อุปาทานํ โหติ, กึปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ตณฺหาย โข สติ อุปาทานํ โหติ, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there grasping? What is a condition for grasping?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When craving exists there’s grasping. Craving is a condition for grasping.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ ตณฺหา โหติ, กึปจฺจยา ตณฺหา'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘เวทนาย โข สติ ตณฺหา โหติ, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there craving? What is a condition for craving?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When feeling exists there’s craving. Feeling is a condition for craving.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ เวทนา โหติ, กึปจฺจยา เวทนา'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ผเสฺส โข สติ เวทนา โหติ, ผสฺสปจฺจยา เวทนา'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there feeling? What is a condition for feeling?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When contact exists there’s feeling. Contact is a condition for feeling.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ ผโสฺส โหติ, กึปจฺจยา ผโสฺส'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘สฬายตเน โข สติ ผโสฺส โหติ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there contact? What is a condition for contact?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When the six sense fields exist there’s contact. The six sense fields are a condition for contact.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ สฬายตนํ โหติ, กึปจฺจยา สฬายตนนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘นามรูเป โข สติ สฬายตนํ โหติ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists are there the six sense fields? What is a condition for the six sense fields?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When name and form exist there are the six sense fields. Name and form are a condition for the six sense fields.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ นามรูปํ โหติ, กึปจฺจยา นามรูปนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘วิญฺญาเณ โข สติ นามรูปํ โหติ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists are there name and form? What is a condition for name and form?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When consciousness exists there are name and form. Consciousness is a condition for name and form.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข สติ วิญฺญาณํ โหติ, กึปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘นามรูเป โข สติ วิญฺญาณํ โหติ, นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณนฺ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what exists is there consciousness? What is a condition for consciousness?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When name and form exist there’s consciousness. Name and form are a condition for consciousness.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘ปจฺจุทาวตฺตติ โข อิทํ วิญฺญาณํ นามรูปมฺหา, นาปรํ คจฺฉติฯ เอตฺตาวตา ชาเยถ วา ชิเยฺยถ วา มิเยฺยถ วา จเวถ วา อุปปชฺเชถ วา, ยทิทํ นามรูปปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ'ฯ
Then Vipassī thought, ‘This consciousness turns back from name and form, and doesn’t go beyond that.’ It is to this extent that one may be reborn, grow old, die, pass away, or reappear. That is: Name and form are conditions for consciousness. Consciousness is a condition for name and form. Name and form are conditions for the six sense fields. The six sense fields are conditions for contact. Contact is a condition for feeling. Feeling is a condition for craving. Craving is a condition for grasping. Grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.’
‘สมุทโย สมุทโย'ติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุํ อุทปาทิ, ญาณํ อุทปาทิ, ปญฺญา อุทปาทิ, วิชฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อุทปาทิฯ
‘Origination, origination.’ Such was the vision, knowledge, wisdom, realization, and light that arose in Vipassī, the one intent on awakening, regarding teachings not learned before from another.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ ชรามรณํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา ชรามรณนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ชาติยา โข อสติ ชรามรณํ น โหติ, ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no old age and death? When what ceases do old age and death cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When rebirth doesn’t exist there’s no old age and death. When rebirth ceases, old age and death cease.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ ชาติ น โหติ, กิสฺส นิโรธา ชาตินิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ภเว โข อสติ ชาติ น โหติ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no rebirth? When what ceases does rebirth cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When continued existence doesn’t exist there’s no rebirth. When continued existence ceases, rebirth ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ ภโว น โหติ, กิสฺส นิโรธา ภวนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘อุปาทาเน โข อสติ ภโว น โหติ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no continued existence? When what ceases does continued existence cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When grasping doesn’t exist there’s no continued existence. When grasping ceases, continued existence ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ อุปาทานํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา อุปาทานนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ตณฺหาย โข อสติ อุปาทานํ น โหติ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no grasping? When what ceases does grasping cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When craving doesn’t exist there’s no grasping. When craving ceases, grasping ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ ตณฺหา น โหติ, กิสฺส นิโรธา ตณฺหานิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘เวทนาย โข อสติ ตณฺหา น โหติ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no craving? When what ceases does craving cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When feeling doesn’t exist there’s no craving. When feeling ceases, craving ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ เวทนา น โหติ, กิสฺส นิโรธา เวทนานิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘ผเสฺส โข อสติ เวทนา น โหติ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no feeling? When what ceases does feeling cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When contact doesn’t exist there’s no feeling. When contact ceases, feeling ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ ผโสฺส น โหติ, กิสฺส นิโรธา ผสฺสนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘สฬายตเน โข อสติ ผโสฺส น โหติ, สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no contact? When what ceases does contact cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When the six sense fields don’t exist there’s no contact. When the six sense fields cease, contact ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ สฬายตนํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา สฬายตนนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘นามรูเป โข อสติ สฬายตนํ น โหติ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist are there no six sense fields? When what ceases do the six sense fields cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When name and form don’t exist there are no six sense fields. When name and form cease, the six sense fields cease.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ นามรูปํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา นามรูปนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘วิญฺญาเณ โข อสติ นามรูปํ น โหติ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist are there no name and form? When what ceases do name and form cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When consciousness doesn’t exist there are no name and form. When consciousness ceases, name and form cease.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘กิมฺหิ นุ โข อสติ วิญฺญาณํ น โหติ, กิสฺส นิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญาย อภิสมโย: ‘นามรูเป โข อสติ วิญฺญาณํ น โหติ, นามรูปนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ'ติฯ
Then Vipassī thought, ‘When what doesn’t exist is there no consciousness? When what ceases does consciousness cease?’ Then, through rational application of mind, Vipassī comprehended with wisdom, ‘When name and form don’t exist there’s no consciousness. When name and form cease, consciousness ceases.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส เอตทโหสิ: ‘อธิคโต โข มฺยายํ มคฺโค สมฺโพธาย ยทิทํ—นามรูปนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ, สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ'ฯ
Then Vipassī thought, ‘I have discovered the path to awakening. That is: When name and form cease, consciousness ceases. When consciousness ceases, name and form cease. When name and form cease, the six sense fields cease. When the six sense fields cease, contact ceases. When contact ceases, feeling ceases. When feeling ceases, craving ceases. When craving ceases, grasping ceases. When grasping ceases, continued existence ceases. When continued existence ceases, rebirth ceases. When rebirth ceases, old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress cease. That is how this entire mass of suffering ceases.’
‘นิโรโธ นิโรโธ'ติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส โพธิสตฺตสฺส ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุํ อุทปาทิ, ญาณํ อุทปาทิ, ปญฺญา อุทปาทิ, วิชฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อุทปาทิฯ
‘Cessation, cessation.’ Such was the vision, knowledge, wisdom, realization, and light that arose in Vipassī, the one intent on awakening, regarding teachings not learned before from another.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี โพธิสตฺโต อปเรน สมเยน ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ อุทยพฺพยานุปสฺสี วิหาสิ: ‘อิติ รูปํ, อิติ รูปสฺส สมุทโย, อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโม; อิติ เวทนา, อิติ เวทนาย สมุทโย, อิติ เวทนาย อตฺถงฺคโม; อิติ สญฺญา, อิติ สญฺญาย สมุทโย, อิติ สญฺญาย อตฺถงฺคโม; อิติ สงฺขารา, อิติ สงฺขารานํ สมุทโย, อิติ สงฺขารานํ อตฺถงฺคโม; อิติ วิญฺญาณํ, อิติ วิญฺญาณสฺส สมุทโย, อิติ วิญฺญาณสฺส อตฺถงฺคโม'ติ, ตสฺส ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ อุทยพฺพยานุปสฺสิโน วิหรโต น จิรเสฺสว อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจีติฯ
After some time he meditated observing rise and fall in the five grasping aggregates. ‘Such is form, such is the origin of form, such is the ending of form. Such is feeling, such is the origin of feeling, such is the ending of feeling. Such is perception, such is the origin of perception, such is the ending of perception. Such are choices, such is the origin of choices, such is the ending of choices. Such is consciousness, such is the origin of consciousness, such is the ending of consciousness.’ Meditating like this his mind was soon freed from defilements by not grasping.
ทุติยภาณวาโรฯ
The second recitation section.
๑๒ฯ พฺรหฺมยาจนกถา
12. The Appeal of Brahmā
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺ'ติฯ
Then the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, thought, ‘Why don’t I teach the Dhamma?’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอตทโหสิ: ‘อธิคโต โข มฺยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํฯ อหญฺเจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ; โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา'ติฯ
Then he thought, ‘This principle I have discovered is deep, hard to see, hard to understand, peaceful, sublime, beyond the scope of logic, subtle, comprehensible to the astute. But people like clinging, they love it and enjoy it. It’s hard for them to see this thing; that is, specific conditionality, dependent origination. It’s also hard for them to see this thing; that is, the stilling of all activities, the letting go of all attachments, the ending of craving, fading away, cessation, Nibbana. And if I were to teach the Dhamma, others might not understand me, which would be wearying and troublesome for me.’
อปิสฺสุ, ภิกฺขเว, วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฏิภํสุ ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา:
And then these verses, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, occurred to him:
‘กิจฺเฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ; ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธมฺโม สุสมฺพุโธฯ
‘I’ve struggled hard to realize this, enough with trying to explain it! Those mired in greed and hate can’t really understand this teaching.
ปฏิโสตคามึ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ; ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขนฺเธน อาวุฏา'ติฯ
It goes against the stream, subtle, deep, obscure, and very fine. Those besotted by greed cannot see, for they’re shrouded in a mass of darkness.’
อิติห, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปฏิสญฺจิกฺขโต อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายฯ
So, as the Buddha Vipassī reflected like this, his mind inclined to remaining passive, not to teaching the Dhamma.
อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตรสฺส มหาพฺรหฺมุโน วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เอตทโหสิ: ‘นสฺสติ วต โภ โลโก, วินสฺสติ วต โภ โลโก, ยตฺร หิ นาม วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมติ, โน ธมฺมเทสนายา'ติฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา ทกฺขิณํ ชาณุมณฺฑลํ ปถวิยํ นิหนฺตฺวา เยน วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจ: ‘เทเสตุ, ภนฺเต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ, สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา; อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร'ติฯ
Then a certain Great Brahmā, knowing what the Buddha Vipassī was thinking, thought, ‘Alas! The world will be lost, the world will perish! For the mind of the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, inclines to remaining passive, not to teaching the Dhamma.’ Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, he vanished from the Brahmā realm and reappeared in front of the Buddha Vipassī. He arranged his robe over one shoulder, knelt on his right knee, raised his joined palms toward the Buddha Vipassī, and said, ‘Sir, let the Blessed One teach the Dhamma! Let the Holy One teach the Dhamma! There are beings with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching!’
เอวํ วุตฺเต, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ตํ มหาพฺรหฺมานํ เอตทโวจ: ‘มยฺหมฺปิ โข, พฺรเหฺม, เอตทโหสิ: “ยนฺนูนาหํ ธมฺมํ เทเสยฺยนฺ”ติฯ ตสฺส มยฺหํ, พฺรเหฺม, เอตทโหสิ: “อธิคโต โข มฺยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโยฯ อาลยรามา โข ปนายํ ปชา อาลยรตา อาลยสมฺมุทิตาฯ อาลยรามาย โข ปน ปชาย อาลยรตาย อาลยสมฺมุทิตาย ทุทฺทสํ อิทํ ฐานํ ยทิทํ อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโทฯ อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหากฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํฯ อหญฺเจว โข ปน ธมฺมํ เทเสยฺยํ, ปเร จ เม น อาชาเนยฺยุํ; โส มมสฺส กิลมโถ, สา มมสฺส วิเหสา”ติฯ อปิสฺสุ มํ, พฺรเหฺม, อิมา อนจฺฉริยา คาถาโย ปฏิภํสุ ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา:
When he said this, the Buddha Vipassī said to him, ‘I too thought this, Brahmā, “Why don’t I teach the Dhamma?” Then it occurred to me, “If I were to teach the Dhamma, others might not understand me, which would be wearying and troublesome for me.”
“กิจฺเฉน เม อธิคตํ, หลํ ทานิ ปกาสิตุํ; ราคโทสปเรเตหิ, นายํ ธมฺโม สุสมฺพุโธฯ
ปฏิโสตคามึ นิปุณํ, คมฺภีรํ ทุทฺทสํ อณุํ; ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ, ตโมขนฺเธน อาวุฏา”ติฯ
อิติห เม, พฺรเหฺม, ปฏิสญฺจิกฺขโต อปฺโปสฺสุกฺกตาย จิตฺตํ นมิ, โน ธมฺมเทสนายา'ติฯ
So, as I reflected like this, my mind inclined to remaining passive, not to teaching the Dhamma.’
ทุติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, โส มหาพฺรหฺมา …เป… ตติยมฺปิ โข, ภิกฺขเว, โส มหาพฺรหฺมา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจ: ‘เทเสตุ, ภนฺเต, ภควา ธมฺมํ, เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ, สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร'ติฯ
For a second time, and a third time that Great Brahmā begged the Buddha to teach.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พฺรหฺมุโน จ อชฺเฌสนํ วิทิตฺวา สตฺเตสุ จ การุญฺญตํ ปฏิจฺจ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกสิฯ อทฺทสา โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อนฺโต นิมุคฺคโปสีนิฯ อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ สโมทกํ ฐิตานิฯ อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกา อจฺจุคฺคมฺม ฐิตานิ อนุปลิตฺตานิ อุทเกนฯ
Then, understanding Brahmā’s invitation, the Buddha Vipassī surveyed the world with the eye of a Buddha, out of his compassion for sentient beings. And he saw sentient beings with little dust in their eyes, and some with much dust in their eyes; with keen faculties and with weak faculties, with good qualities and with bad qualities, easy to teach and hard to teach. And some of them lived seeing the danger in the fault to do with the next world, while others did not. It’s like a pool with blue water lilies, or pink or white lotuses. Some of them sprout and grow in the water without rising above it, thriving underwater. Some of them sprout and grow in the water reaching the water’s surface. And some of them sprout and grow in the water but rise up above the water and stand with no water clinging to them.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พุทฺธจกฺขุนา โลกํ โวโลเกนฺโต อทฺทส สตฺเต อปฺปรชกฺเข มหารชกฺเข ติกฺขินฺทฺริเย มุทินฺทฺริเย สฺวากาเร ทฺวากาเร สุวิญฺญาปเย ทุวิญฺญาปเย อปฺเปกจฺเจ ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเต, อปฺเปกจฺเจ น ปรโลกวชฺชภยทสฺสาวิเน วิหรนฺเตฯ
In the same way, the Buddha Vipassī saw sentient beings with little dust in their eyes, and some with much dust in their eyes.
อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ คาถาหิ อชฺฌภาสิ:
Then that Great Brahmā, knowing what the Buddha Vipassī was thinking, addressed him in verse:
‘เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏฺฐิโต, ยถาปิ ปเสฺส ชนตํ สมนฺตโต; ตถูปมํ ธมฺมมยํ สุเมธ, ปาสาทมารุยฺห สมนฺตจกฺขุ; โสกาวติณฺณํ ชนตมเปตโสโก, อเวกฺขสฺสุ ชาติชราภิภูตํฯ
‘Standing high on a rocky mountain, you can see the people all around. In just the same way, All-seer, so intelligent, having ascended the Temple of Truth, rid of sorrow, look upon the people swamped with sorrow,
oppressed by rebirth and old age.
อุฏฺเฐหิ วีร วิชิตสงฺคาม, สตฺถวาห อณณ วิจร โลเก; เทสสฺสุ ภควา ธมฺมํ, อญฺญาตาโร ภวิสฺสนฺตี'ติฯ
Rise, hero! Victor in battle, leader of the caravan, wander the world free of debt. Let the Blessed One teach the Dhamma! There will be those who understand!’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ตํ มหาพฺรหฺมานํ คาถาย อชฺฌภาสิ:
Then the Buddha Vipassī addressed that Great Brahmā in verse:
‘อปารุตา เตสํ อมตสฺส ทฺวารา, เย โสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ; วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ, ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺม'ติฯ
‘Flung open are the doors to the deathless! Let those with ears to hear commit to faith. Thinking it would be troublesome, Brahmā,
I did not teach the sophisticated, sublime Dhamma among humans.’
อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา: ‘กตาวกาโส โขมฺหิ วิปสฺสินา ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ธมฺมเทสนายา'ติ วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถว อนฺตรธายิฯ
Then the Great Brahmā, knowing that his request for the Buddha Vipassī to teach the Dhamma had been granted, bowed and respectfully circled him, keeping him on his right, before vanishing right there.
๑๓ฯ อคฺคสาวกยุค
13. The Chief Disciples
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอตทโหสิ: ‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ, โก อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี'ติ? อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอตทโหสิ: ‘อยํ โข ขณฺโฑ จ ราชปุตฺโต ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต พนฺธุมติยา ราชธานิยา ปฏิวสนฺติ ปณฺฑิตา วิยตฺตา เมธาวิโน ทีฆรตฺตํ อปฺปรชกฺขชาติกาฯ ยนฺนูนาหํ ขณฺฑสฺส จ ราชปุตฺตสฺส, ติสฺสสฺส จ ปุโรหิตปุตฺตสฺส ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺยํ, เต อิมํ ธมฺมํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสนฺตี'ติฯ
Then the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, thought, ‘Who should I teach first of all? Who will quickly understand this teaching?’ Then he thought, ‘That Khaṇḍa, the king’s son, and Tissa, the high priest’s son, are astute, competent, clever, and have long had little dust in their eyes. Why don’t I teach them first of all? They will quickly understand this teaching.’
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—โพธิรุกฺขมูเล อนฺตรหิโต พนฺธุมติยา ราชธานิยา เขเม มิคทาเย ปาตุรโหสิฯ
Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, he vanished from the tree of awakening and reappeared near the capital city of Bandhumatī, in the deer park named Sanctuary.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทายปาลํ อามนฺเตสิ: ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม ทายปาล, พนฺธุมตึ ราชธานึ ปวิสิตฺวา ขณฺฑญฺจ ราชปุตฺตํ ติสฺสญฺจ ปุโรหิตปุตฺตํ เอวํ วเทหิ—วิปสฺสี, ภนฺเต, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พนฺธุมตึ ราชธานึ อนุปฺปตฺโต เขเม มิคทาเย วิหรติ, โส ตุมฺหากํ ทสฺสนกาโม'ติฯ
Then the Buddha Vipassī addressed the park keeper, ‘My dear park keeper, please enter the city and say this to the king’s son Khaṇḍa and the high priest’s son Tissa: “Sirs, the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, has arrived at Bandhumatī and is staying in the deer park named Sanctuary. He wishes to see you.”’
‘เอวํ, ภนฺเต'ติ โข, ภิกฺขเว, ทายปาโล วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปฏิสฺสุตฺวา พนฺธุมตึ ราชธานึ ปวิสิตฺวา ขณฺฑญฺจ ราชปุตฺตํ ติสฺสญฺจ ปุโรหิตปุตฺตํ เอตทโวจ: ‘วิปสฺสี, ภนฺเต, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พนฺธุมตึ ราชธานึ อนุปฺปตฺโต เขเม มิคทาเย วิหรติ; โส ตุมฺหากํ ทสฺสนกาโม'ติฯ
‘Yes, sir,’ replied the park keeper, and did as he was asked.
อถ โข, ภิกฺขเว, ขณฺโฑ จ ราชปุตฺโต ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยชาเปตฺวา ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ พนฺธุมติยา ราชธานิยา นิยฺยึสุฯ เยน เขโม มิคทาโย เตน ปายึสุฯ ยาวติกา ยานสฺส ภูมิ, ยาเนน คนฺตฺวา ยานา ปจฺโจโรหิตฺวา ปตฺติกาว เยน วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เตนุปสงฺกมึสุฯ อุปสงฺกมิตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ
Then the king’s son Khaṇḍa and the high priest’s son Tissa had the finest carriages harnessed. Then they mounted a fine carriage and, along with other fine carriages, set out from Bandhumatī for the Sanctuary. They went by carriage as far as the terrain allowed, then descended and approached the Buddha Vipassī on foot. They bowed and sat down to one side.
เตสํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปุพฺพึ กถํ กเถสิ, เสยฺยถิทํ—ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา เต ภควา อญฺญาสิ กลฺลจิตฺเต มุทุจิตฺเต วินีวรณจิตฺเต อุทคฺคจิตฺเต ปสนฺนจิตฺเต, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ—ทุกฺขํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคเณฺหยฺย; เอวเมว ขณฺฑสฺส จ ราชปุตฺตสฺส ติสฺสสฺส จ ปุโรหิตปุตฺตสฺส ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ: ‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺ'ติฯ
The Buddha Vipassī taught them step by step, with a talk on giving, ethical conduct, and heaven. He explained the drawbacks of sensual pleasures, so sordid and corrupt, and the benefit of renunciation. And when he knew that their minds were ready, pliable, rid of hindrances, elated, and confident he explained the special teaching of the Buddhas: suffering, its origin, its cessation, and the path. Just as a clean cloth rid of stains would properly absorb dye, in that very seat the stainless, immaculate vision of the Dhamma arose in the king’s son Khaṇḍa and the high priest’s son Tissa: ‘Everything that has a beginning has an end.’
เต ทิฏฺฐธมฺมา ปตฺตธมฺมา วิทิตธมฺมา ปริโยคาฬฺหธมฺมา ติณฺณวิจิกิจฺฉา วิคตกถงฺกถา เวสารชฺชปฺปตฺตา อปรปฺปจฺจยา สตฺถุสาสเน วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจุํ: ‘อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: “จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี”ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจฯ ลเภยฺยาม มยํ, ภนฺเต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, ลเภยฺยาม อุปสมฺปทนฺ'ติฯ
They saw, attained, understood, and fathomed the Dhamma. They went beyond doubt, got rid of indecision, and became self-assured and independent of others regarding the Teacher’s instructions. They said to the Buddha Vipassī, ‘Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, the Buddha has made the teaching clear in many ways. We go for refuge to the Blessed One and to the teaching. Sir, may we receive the going forth and ordination in the Buddha’s presence?’
อลตฺถุํ โข, ภิกฺขเว, ขณฺโฑ จ ราชปุตฺโต, ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก ปพฺพชฺชํ อลตฺถุํ อุปสมฺปทํฯ เต วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิ; สงฺขารานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ นิพฺพาเน อานิสํสํ ปกาเสสิฯ เตสํ วิปสฺสินา ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิยมานานํ สมาทปิยมานานํ สมุตฺเตชิยมานานํ สมฺปหํสิยมานานํ นจิรเสฺสว อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุฯ
And they received the going forth, the ordination in the Buddha Vipassī’s presence. Then the Buddha Vipassī educated, encouraged, fired up, and inspired them with a Dhamma talk. He explained the drawbacks of conditioned phenomena, so sordid and corrupt, and the benefit of Nibbana. Being taught like this their minds were soon freed from defilements by not grasping.
๑๔ฯ มหาชนกายปพฺพชฺชา
14. The Going Forth of the Large Crowd
อโสฺสสิ โข, ภิกฺขเว, พนฺธุมติยา ราชธานิยา มหาชนกาโย จตุราสีติปาณสหสฺสานิ: ‘วิปสฺสี กิร ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พนฺธุมตึ ราชธานึ อนุปฺปตฺโต เขเม มิคทาเย วิหรติฯ ขณฺโฑ จ กิร ราชปุตฺโต ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา'ติฯ สุตฺวาน เนสํ เอตทโหสิ: ‘น หิ นูน โส โอรโก ธมฺมวินโย, น สา โอรกา ปพฺพชฺชา, ยตฺถ ขณฺโฑ จ ราชปุตฺโต ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตาฯ ขณฺโฑ จ ราชปุตฺโต ติโสฺส จ ปุโรหิตปุตฺโต เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิสฺสนฺติ, กิมงฺคํ ปน มยนฺ'ติฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาชนกาโย จตุราสีติปาณสหสฺสานิ พนฺธุมติยา ราชธานิยา นิกฺขมิตฺวา เยน เขโม มิคทาโย เยน วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ
A large crowd of 84,000 people in the capital of Bandhumatī heard that the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, had arrived at Bandhumatī and was staying in the deer park named Sanctuary. And they heard that the king’s son Khaṇḍa and the high priest’s son Tissa had shaved off their hair and beard, dressed in ocher robes, and gone forth from the lay life to homelessness in the Buddha’s presence. It occurred to them, ‘This must be no ordinary teaching and training, no ordinary going forth in which the king’s son Khaṇḍa and the high priest’s son Tissa have gone forth. If even they go forth, why don’t we do the same?’ Then those 84,000 people left Bandhumatī for the deer park named Sanctuary, where they approached the Buddha Vipassī, bowed and sat down to one side.
เตสํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปุพฺพึ กถํ กเถสิฯ เสยฺยถิทํ—ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา เต ภควา อญฺญาสิ กลฺลจิตฺเต มุทุจิตฺเต วินีวรณจิตฺเต อุทคฺคจิตฺเต ปสนฺนจิตฺเต, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ—ทุกฺขํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคเณฺหยฺย; เอวเมว เตสํ จตุราสีติปาณสหสฺสานํ ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ: ‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺ'ติฯ
The Buddha Vipassī taught them step by step, with a talk on giving, ethical conduct, and heaven. He explained the drawbacks of sensual pleasures, so sordid and corrupt, and the benefit of renunciation. And when he knew that their minds were ready, pliable, rid of hindrances, elated, and confident he explained the special teaching of the Buddhas: suffering, its origin, its cessation, and the path. Just as a clean cloth rid of stains would properly absorb dye, in that very seat the stainless, immaculate vision of the Dhamma arose in those 84,000 people: ‘Everything that has a beginning has an end.’
เต ทิฏฺฐธมฺมา ปตฺตธมฺมา วิทิตธมฺมา ปริโยคาฬฺหธมฺมา ติณฺณวิจิกิจฺฉา วิคตกถงฺกถา เวสารชฺชปฺปตฺตา อปรปฺปจฺจยา สตฺถุสาสเน วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจุํ: ‘อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: “จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี”ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ ลเภยฺยาม มยํ, ภนฺเต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ ลเภยฺยาม อุปสมฺปทนฺ'ติฯ
They saw, attained, understood, and fathomed the Dhamma. They went beyond doubt, got rid of indecision, and became self-assured and independent of others regarding the Teacher’s instructions. They said to the Buddha Vipassī, ‘Excellent, sir! Excellent!’ And just like Khaṇḍa and Tissa they asked for and received ordination. Then the Buddha taught them further.
อลตฺถุํ โข, ภิกฺขเว, ตานิ จตุราสีติปาณสหสฺสานิ วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถุํ อุปสมฺปทํฯ เต วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิ; สงฺขารานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ นิพฺพาเน อานิสํสํ ปกาเสสิฯ เตสํ วิปสฺสินา ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิยมานานํ สมาทปิยมานานํ สมุตฺเตชิยมานานํ สมฺปหํสิยมานานํ นจิรเสฺสว อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุฯ
Being taught like this their minds were soon freed from defilements by not grasping.
๑๕ฯ ปุริมปพฺพชิตานํ ธมฺมาภิสมย
15. The 84,000 Who Had Gone Forth Previously
อโสฺสสุํ โข, ภิกฺขเว, ตานิ ปุริมานิ จตุราสีติปพฺพชิตสหสฺสานิ: ‘วิปสฺสี กิร ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พนฺธุมตึ ราชธานึ อนุปฺปตฺโต เขเม มิคทาเย วิหรติ, ธมฺมญฺจ กิร เทเสตี'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตานิ จตุราสีติปพฺพชิตสหสฺสานิ เยน พนฺธุมตี ราชธานี เยน เขโม มิคทาโย เยน วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ
The 84,000 people who had gone forth previously also heard: ‘It seems the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, has arrived at Bandhumatī and is staying in the deer park named Sanctuary. And he is teaching the Dhamma!’ Then they too went to see the Buddha Vipassī, realized the Dhamma, went forth, and became freed from defilements.
เตสํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อนุปุพฺพึ กถํ กเถสิฯ เสยฺยถิทํ—ทานกถํ สีลกถํ สคฺคกถํ กามานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ เนกฺขมฺเม อานิสํสํ ปกาเสสิฯ ยทา เต ภควา อญฺญาสิ กลฺลจิตฺเต มุทุจิตฺเต วินีวรณจิตฺเต อุทคฺคจิตฺเต ปสนฺนจิตฺเต, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ—ทุกฺขํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺคํฯ เสยฺยถาปิ นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคเณฺหยฺย; เอวเมว เตสํ จตุราสีติปพฺพชิตสหสฺสานํ ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุํ อุทปาทิ: ‘ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺ'ติฯ
เต ทิฏฺฐธมฺมา ปตฺตธมฺมา วิทิตธมฺมา ปริโยคาฬฺหธมฺมา ติณฺณวิจิกิจฺฉา วิคตกถงฺกถา เวสารชฺชปฺปตฺตา อปรปฺปจฺจยา สตฺถุสาสเน วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจุํ: ‘อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: “จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี”ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอเต มยํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉาม ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ ลเภยฺยาม มยํ, ภนฺเต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ ลเภยฺยาม อุปสมฺปทนฺ'ติฯ
อลตฺถุํ โข, ภิกฺขเว, ตานิ จตุราสีติปพฺพชิตสหสฺสานิ วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติเก ปพฺพชฺชํ อลตฺถุํ อุปสมฺปทํฯ เต วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิ; สงฺขารานํ อาทีนวํ โอการํ สงฺกิเลสํ นิพฺพาเน อานิสํสํ ปกาเสสิฯ เตสํ วิปสฺสินา ภควตา อรหตา สมฺมาสมฺพุทฺเธน ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิยมานานํ สมาทปิยมานานํ สมุตฺเตชิยมานานํ สมฺปหํสิยมานานํ นจิรเสฺสว อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุฯ
๑๖ฯ จาริกาอนุชานน
16. The Allowance to Wander
เตน โข ปน, ภิกฺขเว, สมเยน พนฺธุมติยา ราชธานิยา มหาภิกฺขุสงฺโฆ ปฏิวสติ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํฯ อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: ‘มหา โข เอตรหิ ภิกฺขุสงฺโฆ พนฺธุมติยา ราชธานิยา ปฏิวสติ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํ, ยนฺนูนาหํ ภิกฺขู อนุชาเนยฺยํ:
Now at that time a large Saṅgha of 6,800,000 bhikkhus were residing at Bandhumatī. As the Buddha Vipassī was in private retreat this thought came to his mind, ‘The Saṅgha residing at Bandhumatī now is large. What if I was to urge them:
“จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ; มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ; เทเสถ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโรฯ อปิ จ ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายา”'ติฯ
“Wander forth, bhikkhus, for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans. Let not two go by one road. Teach the Dhamma that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And reveal a spiritual practice that’s entirely full and pure. There are beings with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching! But when six years have passed, you must all come to Bandhumatī to recite the monastic code.”’
อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตโร มหาพฺรหฺมา วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต วิปสฺสิสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยน วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ เอตทโวจ: ‘เอวเมตํ, ภควา, เอวเมตํ, สุคตฯ มหา โข, ภนฺเต, เอตรหิ ภิกฺขุสงฺโฆ พนฺธุมติยา ราชธานิยา ปฏิวสติ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํ, อนุชานาตุ, ภนฺเต, ภควา ภิกฺขู: “จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ; มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ; เทเสถ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร”ติฯ อปิ จ, ภนฺเต, มยํ ตถา กริสฺสาม ยถา ภิกฺขู ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตึ ราชธานึ อุปสงฺกมิสฺสนฺติ ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ
Then a certain Great Brahmā, knowing what the Buddha Vipassī was thinking, as easily as a strong person would extend or contract their arm, vanished from the Brahmā realm and reappeared in front of the Buddha Vipassī. He arranged his robe over one shoulder, raised his joined palms toward the Buddha Vipassī, and said, ‘That’s so true, Blessed One! That’s so true, Holy One! The Saṅgha residing at Bandhumatī now is large. Please urge them to wander, as you thought. And sir, I’ll make sure that when six years have passed the bhikkhus will return to Bandhumatī to recite the monastic code.’
อิทมโวจ, ภิกฺขเว, โส มหาพฺรหฺมาฯ อิทํ วตฺวา วิปสฺสึ ภควนฺตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถว อนฺตรธายิฯ
That’s what that Great Brahmā said. Then he bowed and respectfully circled the Buddha Vipassī, keeping him on his right side, before vanishing right there.
อถ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สายนฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต ภิกฺขู อามนฺเตสิ: ‘อิธ มยฺหํ, ภิกฺขเว, รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: “มหา โข เอตรหิ ภิกฺขุสงฺโฆ พนฺธุมติยา ราชธานิยา ปฏิวสติ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํฯ ยนฺนูนาหํ ภิกฺขู อนุชาเนยฺยํ—จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ; มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ; เทเสถ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโรฯ อปิ จ ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายา”'ติฯ
Then in the late afternoon, the Buddha Vipassī came out of retreat and addressed the bhikkhus, telling them all that had happened. Then he said,
อถ โข, ภิกฺขเว, อญฺญตโร มหาพฺรหฺมา มม เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต มม ปุรโต ปาตุรโหสิฯ อถ โข โส, ภิกฺขเว, มหาพฺรหฺมา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา เยนาหํ เตนญฺชลึ ปณาเมตฺวา มํ เอตทโวจ: ‘เอวเมตํ, ภควา, เอวเมตํ, สุคตฯ มหา โข, ภนฺเต, เอตรหิ ภิกฺขุสงฺโฆ พนฺธุมติยา ราชธานิยา ปฏิวสติ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํฯ อนุชานาตุ, ภนฺเต, ภควา ภิกฺขู—จรถ, ภิกฺขเว, จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ; มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ; เทเสถ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ …เป… สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโรติฯ อปิ จ, ภนฺเต, มยํ ตถา กริสฺสาม, ยถา ภิกฺขู ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตึ ราชธานึ อุปสงฺกมิสฺสนฺติ ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ
อิทมโวจ, ภิกฺขเว, โส มหาพฺรหฺมาฯ อิทํ วตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถว อนฺตรธายิฯ
‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, จรถ จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ; มา เอเกน เทฺว อคมิตฺถ; เทเสถ, ภิกฺขเว, ธมฺมํ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถฯ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา, อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ, ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโรฯ อปิ จ, ภิกฺขเว, ฉนฺนํ ฉนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ
‘Wander forth, bhikkhus, for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans. Let not two go by one road. Teach the Dhamma that’s good in the beginning, good in the middle, and good in the end, meaningful and well-phrased. And reveal a spiritual practice that’s entirely full and pure. There are beings with little dust in their eyes. They’re in decline because they haven’t heard the teaching. There will be those who understand the teaching! But when six years have passed, you must all come to Bandhumatī to recite the monastic code.’
อถ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เยภุเยฺยน เอกาเหเนว ชนปทจาริกํ ปกฺกมึสุฯ
Then most of the bhikkhus departed to wander the country that very day.
เตน โข ปน สมเยน ชมฺพุทีเป จตุราสีติ อาวาสสหสฺสานิ โหนฺติฯ เอกมฺหิ หิ วเสฺส นิกฺขนฺเต เทวตา สทฺทมนุสฺสาเวสุํ: ‘นิกฺขนฺตํ โข, มาริสา, เอกํ วสฺสํ; ปญฺจ ทานิ วสฺสานิ เสสานิ; ปญฺจนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ
Now at that time there were 84,000 monasteries in India. And when the first year came to an end the deities raised the cry: ‘Good sirs, the first year has ended. Now five years remain. When five years have passed, you must all go to Bandhumatī to recite the monastic code.’
ทฺวีสุ วเสฺสสุ นิกฺขนฺเตสุ … ตีสุ วเสฺสสุ นิกฺขนฺเตสุ … จตูสุ วเสฺสสุ นิกฺขนฺเตสุ … ปญฺจสุ วเสฺสสุ นิกฺขนฺเตสุ เทวตา สทฺทมนุสฺสาเวสุํ: ‘นิกฺขนฺตานิ โข, มาริสา, ปญฺจวสฺสานิ; เอกํ ทานิ วสฺสํ เสสํ; เอกสฺส วสฺสสฺส อจฺจเยน พนฺธุมตี ราชธานี อุปสงฺกมิตพฺพา ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ
And when the second year … the third year … the fourth year … the fifth year came to an end, the deities raised the cry: ‘Good sirs, the fifth year has ended. Now one year remains. When one year has passed, you must all go to Bandhumatī to recite the monastic code.’
ฉสุ วเสฺสสุ นิกฺขนฺเตสุ เทวตา สทฺทมนุสฺสาเวสุํ: ‘นิกฺขนฺตานิ โข, มาริสา, ฉพฺพสฺสานิ, สมโย ทานิ พนฺธุมตึ ราชธานึ อุปสงฺกมิตุํ ปาติโมกฺขุทฺเทสายา'ติฯ อถ โข เต, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อปฺเปกจฺเจ สเกน อิทฺธานุภาเวน อปฺเปกจฺเจ เทวตานํ อิทฺธานุภาเวน เอกาเหเนว พนฺธุมตึ ราชธานึ อุปสงฺกมึสุ ปาติโมกฺขุทฺเทสายาติฯ
And when the sixth year came to an end the deities raised the cry: ‘Good sirs, the sixth year has ended. Now is the time that you must go to Bandhumatī to recite the monastic code.’ Then that very day the bhikkhus went to Bandhumatī to recite the monastic code. Some went by their own psychic power, and some by the psychic power of the deities.
ตตฺร สุทํ, ภิกฺขเว, วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภิกฺขุสงฺเฆ เอวํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสติ:
And there the Blessed One Vipassī, the perfected one, the fully awakened Buddha, recited the monastic code thus:
‘ขนฺตี ปรมํ ตโป ติติกฺขา, นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา; น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี, น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
‘Patient acceptance is the ultimate fervor. Extinguishment is the ultimate, say the Buddhas. No true renunciate injures another, nor does an ascetic hurt another.
สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา; สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
Not to do any evil; to embrace the good; to purify one’s mind: this is the instruction of the Buddhas.
อนูปวาโท อนูปฆาโต, ปาติโมกฺเข จ สํวโร; มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ; อธิจิตฺเต จ อาโยโค, เอตํ พุทฺธานสาสนนฺ'ติฯ
Not speaking ill nor doing harm; restraint in the monastic code; moderation in eating; staying in remote lodgings; commitment to the higher mind—this is the instruction of the Buddhas.’
๑๗ฯ เทวตาโรจน
17. Being Informed by Deities
เอกมิทาหํ, ภิกฺขเว, สมยํ อุกฺกฏฺฐายํ วิหรามิ สุภควเน สาลราชมูเลฯ ตสฺส มยฺหํ, ภิกฺขเว, รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ: ‘น โข โส สตฺตาวาโส สุลภรูโป, โย มยา อนาวุตฺถปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ ยนฺนูนาหํ เยน สุทฺธาวาสา เทวา เตนุปสงฺกเมยฺยนฺ'ติฯ
At one time, bhikkhus, I was staying near Ukkaṭṭhā, in the Subhaga Forest at the root of a magnificent sal tree. As I was in private retreat this thought came to mind, ‘It’s not easy to find an abode of sentient beings where I haven’t previously abided in all this long time, except for the gods of the pure abodes. Why don’t I go to see them?’
อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—อุกฺกฏฺฐายํ สุภควเน สาลราชมูเล อนฺตรหิโต อวิเหสุ เทเวสุ ปาตุรโหสึฯ
Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, I vanished from the Subhaga Forest and reappeared with the Aviha gods.
ตสฺมึ, ภิกฺขเว, เทวนิกาเย อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, ตา เทวตา มํ เอตทโวจุํ: ‘อิโต โส, มาริสา, เอกนวุติกปฺเป ยํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิ, ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปาฏลิยา มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ขณฺฑติสฺสํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ภิกฺขุสตสหสฺสํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโสโก นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ พนฺธุมตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ พนฺธุมสฺส รญฺโญ พนฺธุมตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอวํ อภินิกฺขมนํ อโหสิ เอวํ ปพฺพชฺชา เอวํ ปธานํ เอวํ อภิสมฺโพธิ เอวํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํฯ เต มยํ, มาริสา, วิปสฺสิมฺหิ ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา กาเมสุ กามจฺฉนฺทํ วิราเชตฺวา อิธูปปนฺนา'ติ …
In that order of gods, many thousands, many hundreds of thousands of deities approached me, bowed, stood to one side, and said to me, ‘Ninety-one eons ago, good sir, the Buddha Vipassī arose in the world, perfected and fully awakened. He was born as an aristocrat into an aristocrat family. Koṇḍañña was his clan. He lived for 80,000 years. He was awakened at the root of a patala tree. He had a fine pair of chief disciples named Khaṇḍa and Tissa. He had three gatherings of disciples—one of 6,800,000, one of 100,000, and one of 80,000—all of them bhikkhus who had ended their defilements. He had as chief attendant a bhikkhu named Asoka. His father was King Bandhuma, his birth mother was Queen Bandhumatī, and their capital city was named Bandhumatī. And such was his renunciation, such his going forth, such his striving, such his awakening, and such his rolling forth of the wheel of Dhamma. And good sir, after leading the spiritual life under that Buddha Vipassī we lost our desire for sensual pleasures and were reborn here.’
เป…
And other deities came and similarly recounted the details of the Buddhas Sikhī, Vessabhū, Kakusandha, Koṇāgamana, and Kassapa.
ตสฺมึเยว โข, ภิกฺขเว, เทวนิกาเย อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, ตา เทวตา มํ เอตทโวจุํ: ‘อิมสฺมึเยว โข, มาริสา, ภทฺทกปฺเป ภควา เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโนฯ ภควา, มาริสา, ขตฺติโย ชาติยา ขตฺติยกุเล อุปฺปนฺโนฯ ภควา, มาริสา, โคตโม โคตฺเตนฯ ภควโต, มาริสา, อปฺปกํ อายุปฺปมาณํ ปริตฺตํ ลหุกํ โย จิรํ ชีวติ, โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภิโยฺยฯ ภควา, มาริสา, อสฺสตฺถสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ ภควโต, มาริสา, สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ ภควโต, มาริสา, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฑฺฒเตฬสานิ ภิกฺขุสตานิฯ ภควโต, มาริสา, อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ ภควโต, มาริสา, อานนฺโท นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ ภควโต, มาริสา, สุทฺโธทโน นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ มายา นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ กปิลวตฺถุ นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ ภควโต, มาริสา, เอวํ อภินิกฺขมนํ อโหสิ เอวํ ปพฺพชฺชา เอวํ ปธานํ เอวํ อภิสมฺโพธิ เอวํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํฯ เต มยํ, มาริสา, ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา กาเมสุ กามจฺฉนฺทํ วิราเชตฺวา อิธูปปนฺนา'ติฯ
In that order of gods, many thousands, many hundreds of thousands of deities approached me, bowed, stood to one side, and said to me, ‘In the present fortunate eon, good sir, you have arisen in the world, perfected and fully awakened. You were born as an aristocrat into an aristocrat family. Gotama is your clan. For you the life-span is short, brief, and fleeting. A long-lived person lives for a century or a little more. You were awakened at the root of a peepal tree. You have a fine pair of chief disciples named Sāriputta and Moggallāna. You have had one gathering of disciples—1,250 bhikkhus who had ended their defilements. You have as chief attendant a bhikkhu named Ānanda. Your father was King Suddhodana, your birth mother was Queen Māyā, and your capital city was Kapilavatthu. And such was your renunciation, such your going forth, such your striving, such your awakening, and such your rolling forth of the wheel of Dhamma. And good sir, after leading the spiritual life under you we lost our desire for sensual pleasures and were reborn here.’
อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อวิเหหิ เทเวหิ สทฺธึ เยน อตปฺปา เทวา เตนุปสงฺกมึ …เป… อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อวิเหหิ จ เทเวหิ อตปฺเปหิ จ เทเวหิ สทฺธึ เยน สุทสฺสา เทวา เตนุปสงฺกมึฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อวิเหหิ จ เทเวหิ อตปฺเปหิ จ เทเวหิ สุทเสฺสหิ จ เทเวหิ สทฺธึ เยน สุทสฺสี เทวา เตนุปสงฺกมึฯ อถ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, อวิเหหิ จ เทเวหิ อตปฺเปหิ จ เทเวหิ สุทเสฺสหิ จ เทเวหิ สุทสฺสีหิ จ เทเวหิ สทฺธึ เยน อกนิฏฺฐา เทวา เตนุปสงฺกมึฯ ตสฺมึ, ภิกฺขเว, เทวนิกาเย อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ, อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, ตา เทวตา มํ เอตทโวจุํ:
Then together with the Aviha gods I went to see the Atappa gods … the Gods Fair to See … and the Fair Seeing Gods. Then together with all these gods I went to see the Gods of Akaniṭṭha, where we had a similar conversation.
‘อิโต โส, มาริสา, เอกนวุติกปฺเป ยํ วิปสฺสี ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุทปาทิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ขตฺติโย ชาติยา อโหสิฯ ขตฺติยกุเล อุทปาทิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โกณฺฑญฺโญ โคตฺเตน อโหสิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุปฺปมาณํ อโหสิฯ วิปสฺสี, มาริสา, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปาฏลิยา มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ขณฺฑติสฺสํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฏฺฐสฏฺฐิภิกฺขุสตสหสฺสํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ ภิกฺขุสตสหสฺสํฯ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อสีติภิกฺขุสหสฺสานิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อิเม ตโย สาวกานํ สนฺนิปาตา อเหสุํ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อโสโก นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อโหสิ อคฺคุปฏฺฐาโกฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา อโหสิ พนฺธุมตี นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ พนฺธุมสฺส รญฺโญ พนฺธุมตี นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ วิปสฺสิสฺส, มาริสา, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เอวํ อภินิกฺขมนํ อโหสิ เอวํ ปพฺพชฺชา เอวํ ปธานํ เอวํ อภิสมฺโพธิ, เอวํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํฯ เต มยํ, มาริสา, วิปสฺสิมฺหิ ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา กาเมสุ กามจฺฉนฺทํ วิราเชตฺวา อิธูปปนฺนา'ติฯ ตสฺมึเยว โข, ภิกฺขเว, เทวนิกาเย อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, ตา เทวตา มํ เอตทโวจุํ: ‘อิโต โส, มาริสา, เอกตึเส กปฺเป ยํ สิขี ภควา …เป… เต มยํ, มาริสา, สิขิมฺหิ ภควติ ตสฺมิญฺเญว โข, มาริสา, เอกตึเส กปฺเป ยํ เวสฺสภู ภควา …เป… เต มยํ, มาริสา, เวสฺสภุมฺหิ ภควติ …เป… อิมสฺมึเยว โข, มาริสา, ภทฺทกปฺเป กกุสนฺโธ โกณาคมโน กสฺสโป ภควา …เป… เต มยํ, มาริสา, กกุสนฺธมฺหิ โกณาคมนมฺหิ กสฺสปมฺหิ ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา กาเมสุ กามจฺฉนฺทํ วิราเชตฺวา อิธูปปนฺนา'ติฯ
ตสฺมึเยว โข, ภิกฺขเว, เทวนิกาเย อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ อเนกานิ เทวตาสตสหสฺสานิ เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, ตา เทวตา มํ เอตทโวจุํ: ‘อิมสฺมึเยว โข, มาริสา, ภทฺทกปฺเป ภควา เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อุปฺปนฺโนฯ ภควา, มาริสา, ขตฺติโย ชาติยา, ขตฺติยกุเล อุปฺปนฺโนฯ ภควา, มาริสา, โคตโม โคตฺเตนฯ ภควโต, มาริสา, อปฺปกํ อายุปฺปมาณํ ปริตฺตํ ลหุกํ โย จิรํ ชีวติ, โส วสฺสสตํ อปฺปํ วา ภิโยฺยฯ ภควา, มาริสา, อสฺสตฺถสฺส มูเล อภิสมฺพุทฺโธฯ ภควโต, มาริสา, สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานํ นาม สาวกยุคํ อโหสิ อคฺคํ ภทฺทยุคํฯ ภควโต, มาริสา, เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ อฑฺฒเตฬสานิ ภิกฺขุสตานิฯ ภควโต, มาริสา, อยํ เอโก สาวกานํ สนฺนิปาโต อโหสิ สพฺเพสํเยว ขีณาสวานํฯ ภควโต, มาริสา, อานนฺโท นาม ภิกฺขุ อุปฏฺฐาโก อคฺคุปฏฺฐาโก อโหสิฯ ภควโต, มาริสา, สุทฺโธทโน นาม ราชา ปิตา อโหสิฯ มายา นาม เทวี มาตา อโหสิ ชเนตฺติฯ กปิลวตฺถุ นาม นครํ ราชธานี อโหสิฯ ภควโต, มาริสา, เอวํ อภินิกฺขมนํ อโหสิ, เอวํ ปพฺพชฺชา, เอวํ ปธานํ, เอวํ อภิสมฺโพธิ, เอวํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํฯ เต มยํ, มาริสา, ภควติ พฺรหฺมจริยํ จริตฺวา กาเมสุ กามจฺฉนฺทํ วิราเชตฺวา อิธูปปนฺนา'ติฯ
อิติ โข, ภิกฺขเว, ตถาคตเสฺสเวสา ธมฺมธาตุ สุปฺปฏิวิทฺธา, ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฏิวิทฺธตฺตา ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ' อิติปิฯ ‘เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ' อิติปีติฯ เทวตาปิ ตถาคตสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ, เยน ตถาคโต อตีเต พุทฺเธ ปรินิพฺพุเต ฉินฺนปปญฺเจ ฉินฺนวฏุเม ปริยาทินฺนวฏฺเฏ สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ชาติโตปิ อนุสฺสรติ, นามโตปิ อนุสฺสรติ, โคตฺตโตปิ อนุสฺสรติ, อายุปฺปมาณโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกยุคโตปิ อนุสฺสรติ, สาวกสนฺนิปาตโตปิ อนุสฺสรติ ‘เอวํชจฺจา เต ภควนฺโต อเหสุํ' อิติปิฯ ‘เอวํนามา เอวงฺโคตฺตา เอวํสีลา เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ' อิติปี”ติฯ
And that is how the Realized One is able to recollect the caste, names, clans, life-span, chief disciples, and gatherings of disciples of the Buddhas of the past who have become completely extinguished, cut off proliferation, cut off the track, finished off the cycle, and transcended suffering. It is both because I have clearly comprehended the principle of the teachings, and also because the deities told me.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
มหาปทานสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํฯ
The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]