Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๗๒] ๙. มหาปทุมชาตกวณฺณนา
[472] 9. Mahāpadumajātakavaṇṇanā
นาทฎฺฐา ปรโต โทสนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต จิญฺจมาณวิกํ อารพฺภ กเถสิฯ ปฐมโพธิยญฺหิ ทสพลสฺส ปุถุภูเตสุ สาวเกสุ อปริมาเณสุ เทวมนุเสฺสสุ อริยภูมิํ โอกฺกเนฺตสุ ปตฺถเฎสุ คุณสมุทเยสุ มหาลาภสกฺกาโร อุทปาทิฯ ติตฺถิยา สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนกสทิสา อเหสุํ หตลาภสกฺการาฯ เต อนฺตรวีถิยํ ฐตฺวา ‘‘กิํ สมโณ โคตโมว พุโทฺธ, มยมฺปิ พุทฺธา, กิํ ตเสฺสว ทินฺนํ มหปฺผลํ, อมฺหากมฺปิ ทินฺนํ มหปฺผลเมว, อมฺหากมฺปิ เทถ กโรถา’’ติ เอวํ มนุเสฺส วิญฺญาเปนฺตาปิ ลาภสกฺการํ อลภนฺตา รโห สนฺนิปติตฺวา ‘‘เกน นุ โข อุปาเยน สมณสฺส โคตมสฺส มนุสฺสานํ อนฺตเร อวณฺณํ อุปฺปาเทตฺวา ลาภสกฺการํ นาเสยฺยามา’’ติ มนฺตยิํสุฯ ตทา สาวตฺถิยํ จิญฺจมาณวิกา นาเมกา ปริพฺพาชิกา อุตฺตมรูปธรา โสภคฺคปฺปตฺตา เทวจฺฉรา วิยฯ ตสฺสา สรีรโต รสฺมิโย นิจฺฉรนฺติฯ อเถโก ขรมนฺตี เอวมาห – ‘‘จิญฺจมาณวิกํ ปฎิจฺจ สมณสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อุปฺปาเทตฺวา ลาภสกฺการํ นาเสสฺสามา’’ติฯ เต ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ อถ สา ติตฺถิยารามํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิ, ติตฺถิยา ตาย สทฺธิํ น กเถสุํฯ สา ‘‘โก นุ โข เม โทโส’’ติ ยาวตติยํ ‘‘วนฺทามิ อยฺยา’’ติ วตฺวา ‘‘อยฺยา, โก นุ โข เม โทโส, กิํ มยา สทฺธิํ น กเถถา’’ติ อาหฯ ‘‘ภคินิ, สมณํ โคตมํ อเมฺห วิเหเฐนฺตํ หตลาภสกฺกาเร กตฺวา วิจรนฺตํ น ชานาสี’’ติฯ ‘‘นาหํ ชานามิ อยฺยา, มยา กิํ ปเนตฺถ กตฺตพฺพนฺติฯ สเจ ตฺวํ ภคินิ, อมฺหากํ สุขมิจฺฉสิ, อตฺตานํ ปฎิจฺจ สมณสฺสฺส โคตมสฺส อวณฺณํ อุปฺปาเทตฺวา ลาภสกฺการํ นาเสหี’’ติฯ
Nādaṭṭhāparato dosanti idaṃ satthā jetavane viharanto ciñcamāṇavikaṃ ārabbha kathesi. Paṭhamabodhiyañhi dasabalassa puthubhūtesu sāvakesu aparimāṇesu devamanussesu ariyabhūmiṃ okkantesu patthaṭesu guṇasamudayesu mahālābhasakkāro udapādi. Titthiyā sūriyuggamane khajjopanakasadisā ahesuṃ hatalābhasakkārā. Te antaravīthiyaṃ ṭhatvā ‘‘kiṃ samaṇo gotamova buddho, mayampi buddhā, kiṃ tasseva dinnaṃ mahapphalaṃ, amhākampi dinnaṃ mahapphalameva, amhākampi detha karothā’’ti evaṃ manusse viññāpentāpi lābhasakkāraṃ alabhantā raho sannipatitvā ‘‘kena nu kho upāyena samaṇassa gotamassa manussānaṃ antare avaṇṇaṃ uppādetvā lābhasakkāraṃ nāseyyāmā’’ti mantayiṃsu. Tadā sāvatthiyaṃ ciñcamāṇavikā nāmekā paribbājikā uttamarūpadharā sobhaggappattā devaccharā viya. Tassā sarīrato rasmiyo niccharanti. Atheko kharamantī evamāha – ‘‘ciñcamāṇavikaṃ paṭicca samaṇassa gotamassa avaṇṇaṃ uppādetvā lābhasakkāraṃ nāsessāmā’’ti. Te ‘‘attheso upāyo’’ti sampaṭicchiṃsu. Atha sā titthiyārāmaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi, titthiyā tāya saddhiṃ na kathesuṃ. Sā ‘‘ko nu kho me doso’’ti yāvatatiyaṃ ‘‘vandāmi ayyā’’ti vatvā ‘‘ayyā, ko nu kho me doso, kiṃ mayā saddhiṃ na kathethā’’ti āha. ‘‘Bhagini, samaṇaṃ gotamaṃ amhe viheṭhentaṃ hatalābhasakkāre katvā vicarantaṃ na jānāsī’’ti. ‘‘Nāhaṃ jānāmi ayyā, mayā kiṃ panettha kattabbanti. Sace tvaṃ bhagini, amhākaṃ sukhamicchasi, attānaṃ paṭicca samaṇasssa gotamassa avaṇṇaṃ uppādetvā lābhasakkāraṃ nāsehī’’ti.
สา ‘‘สาธุ อยฺยา, มยฺหเมเวโส ภาโร, มา จินฺตยิตฺถา’’ติ วตฺวา ปกฺกมิตฺวา อิตฺถิมายาสุ กุสลตาย ตโต ปฎฺฐาย สาวตฺถิวาสีนํ ธมฺมกถํ สุตฺวา เชตวนา นิกฺขมนสมเย อินฺทโคปกวณฺณํ ปฎํ ปารุปิตฺวา คนฺธมาลาทิหตฺถา เชตวนาภิมุขี คจฺฉนฺตี ‘‘อิมาย เวลาย กุหิํ คจฺฉสี’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ ตุมฺหากํ มม คมนฎฺฐาเนนา’’ติ วตฺวา เชตวนสมีเป ติตฺถิยาราเม วสิตฺวา ปาโตว ‘‘อคฺควนฺทนํ วนฺทิสฺสามา’’ติ นครา นิกฺขมเนฺต อุปาสกชเน เชตวเน วุตฺถา วิย หุตฺวา นครํ ปวิสติฯ ‘‘กุหิํ วุตฺถาสี’’ติ วุเตฺต ‘‘กิํ ตุมฺหากํ มม วุตฺถฎฺฐาเนนา’’ติ วตฺวา มาสฑฺฒมาสจฺจเยน ปุจฺฉิยมานา ‘‘เชตวเน สมเณน โคตเมน สทฺธิํ เอกคนฺธกุฎิยา วุตฺถามฺหี’’ติ อาหฯ ปุถุชฺชนานํ ‘‘สจฺจํ นุ โข เอตํ, โน’’ติ กงฺขํ อุปฺปาเทตฺวา เตมาสจตุมาสจฺจเยน ปิโลติกาหิ อุทรํ เวเฐตฺวา คพฺภินิวณฺณํ ทเสฺสตฺวา อุปริ รตฺตปฎํ ปารุปิตฺวา ‘‘สมณํ โคตมํ ปฎิจฺจ คโพฺภ เม ลโทฺธ’’ติ อนฺธพาเล คาหาเปตฺวา อฎฺฐนวมาสจฺจเยน อุทเร ทารุมณฺฑลิกํ พนฺธิตฺวา อุปริ รตฺตปฎํ ปารุปิตฺวา หตฺถปาทปิฎฺฐิโย โคหนุเกน โกฎฺฎาเปตฺวา อุสฺสเท ทเสฺสตฺวา กิลนฺตินฺทฺริยา หุตฺวา สายนฺหสมเย ตถาคเต อลงฺกตธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสเนฺต ธมฺมสภํ คนฺตฺวา ตถาคตสฺส ปุรโต ฐตฺวา ‘‘มหาสมณ, มหาชนสฺส ตาว ธมฺมํ เทเสสิ, มธุโร เต สโทฺท, สุผุสิตํ ทนฺตาวรณํ, อหํ ปน ตํ ปฎิจฺจ คพฺภํ ลภิตฺวา ปริปุณฺณคพฺภา ชาตา, เนว เม สูติฆรํ ชานาสิ, น สปฺปิเตลาทีนิ, สยํ อกโรโนฺต อุปฎฺฐากานมฺปิ อญฺญตรํ โกสลราชานํ วา อนาถปิณฺฑิกํ วา วิสาขํ อุปาสิกํ วา ‘‘อิมิสฺสา จิญฺจมาณวิกาย กตฺตพฺพยุตฺตํ กโรหี’ติ น วทสิ, อภิรมิตุํเยว ชานาสิ, คพฺภปริหารํ น ชานาสี’’ติ คูถปิณฺฑํ คเหตฺวา จนฺทมณฺฑลํ ทูเสตุํ วายมนฺตี วิย ปริสมเชฺฌ ตถาคตํ อโกฺกสิฯ ตถาคโต ธมฺมกถํ ฐเปตฺวา สีโห วิย อภินทโนฺต ‘‘ภคินิ, ตยา กถิตสฺส ตถภาวํ วา อตถภาวํ วา อหเญฺจว ตฺวญฺจ ชานามา’’ติ อาหฯ อาม, สมณ, ตยา จ มยา จ ญาตภาเวเนตํ ชาตนฺติฯ
Sā ‘‘sādhu ayyā, mayhameveso bhāro, mā cintayitthā’’ti vatvā pakkamitvā itthimāyāsu kusalatāya tato paṭṭhāya sāvatthivāsīnaṃ dhammakathaṃ sutvā jetavanā nikkhamanasamaye indagopakavaṇṇaṃ paṭaṃ pārupitvā gandhamālādihatthā jetavanābhimukhī gacchantī ‘‘imāya velāya kuhiṃ gacchasī’’ti vutte ‘‘kiṃ tumhākaṃ mama gamanaṭṭhānenā’’ti vatvā jetavanasamīpe titthiyārāme vasitvā pātova ‘‘aggavandanaṃ vandissāmā’’ti nagarā nikkhamante upāsakajane jetavane vutthā viya hutvā nagaraṃ pavisati. ‘‘Kuhiṃ vutthāsī’’ti vutte ‘‘kiṃ tumhākaṃ mama vutthaṭṭhānenā’’ti vatvā māsaḍḍhamāsaccayena pucchiyamānā ‘‘jetavane samaṇena gotamena saddhiṃ ekagandhakuṭiyā vutthāmhī’’ti āha. Puthujjanānaṃ ‘‘saccaṃ nu kho etaṃ, no’’ti kaṅkhaṃ uppādetvā temāsacatumāsaccayena pilotikāhi udaraṃ veṭhetvā gabbhinivaṇṇaṃ dassetvā upari rattapaṭaṃ pārupitvā ‘‘samaṇaṃ gotamaṃ paṭicca gabbho me laddho’’ti andhabāle gāhāpetvā aṭṭhanavamāsaccayena udare dārumaṇḍalikaṃ bandhitvā upari rattapaṭaṃ pārupitvā hatthapādapiṭṭhiyo gohanukena koṭṭāpetvā ussade dassetvā kilantindriyā hutvā sāyanhasamaye tathāgate alaṅkatadhammāsane nisīditvā dhammaṃ desente dhammasabhaṃ gantvā tathāgatassa purato ṭhatvā ‘‘mahāsamaṇa, mahājanassa tāva dhammaṃ desesi, madhuro te saddo, suphusitaṃ dantāvaraṇaṃ, ahaṃ pana taṃ paṭicca gabbhaṃ labhitvā paripuṇṇagabbhā jātā, neva me sūtigharaṃ jānāsi, na sappitelādīni, sayaṃ akaronto upaṭṭhākānampi aññataraṃ kosalarājānaṃ vā anāthapiṇḍikaṃ vā visākhaṃ upāsikaṃ vā ‘‘imissā ciñcamāṇavikāya kattabbayuttaṃ karohī’ti na vadasi, abhiramituṃyeva jānāsi, gabbhaparihāraṃ na jānāsī’’ti gūthapiṇḍaṃ gahetvā candamaṇḍalaṃ dūsetuṃ vāyamantī viya parisamajjhe tathāgataṃ akkosi. Tathāgato dhammakathaṃ ṭhapetvā sīho viya abhinadanto ‘‘bhagini, tayā kathitassa tathabhāvaṃ vā atathabhāvaṃ vā ahañceva tvañca jānāmā’’ti āha. Āma, samaṇa, tayā ca mayā ca ñātabhāvenetaṃ jātanti.
ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ โส อาวชฺชมาโน ‘‘จิญฺจมาณวิกา ตถาคตํ อภูเตน อโกฺกสตี’’ติ ญตฺวา ‘‘อิมํ วตฺถุํ โสเธสฺสามี’’ติ จตูหิ เทวปุเตฺตหิ สทฺธิํ อาคมิฯ เทวปุตฺตา มูสิกโปตกา หุตฺวา ทารุมณฺฑลิกสฺส พนฺธนรชฺชุเก เอกปฺปหาเรเนว ฉินฺทิํสุ, ปารุตปฎํ วาโต อุกฺขิปิ, ทารุมณฺฑลิกํ ปตมานํ ตสฺสา ปาทปิฎฺฐิยํ ปติ, อุโภ อคฺคปาทา ฉิชฺชิํสุฯ มนุสฺสา อุฎฺฐาย ‘‘กาฬกณฺณิ, สมฺมาสมฺพุทฺธํ อโกฺกสสี’’ติ สีเส เขฬํ ปาเตตฺวา เลฑฺฑุทณฺฑาทิหตฺถา เชตวนา นีหริํสุฯ อถสฺสา ตถาคตสฺส จกฺขุปถํ อติกฺกนฺตกาเล มหาปถวี ภิชฺชิตฺวา วิวรมทาสิ, อวีจิโต อคฺคิชาลา อุฎฺฐหิฯ สา กุลทตฺติยํ กมฺพลํ ปารุปมานา วิย คนฺตฺวา อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ อญฺญติตฺถิยานํ ลาภสกฺกาโร ปริหายิ, ทสพลสฺส ภิโยฺยโสมตฺตาย วฑฺฒิฯ ปุนทิวเส ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, จิญฺจมาณวิกา เอวํ อุฬารคุณํ อคฺคทกฺขิเณยฺยํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อภูเตน อโกฺกสิตฺวา มหาวินาสํ ปตฺตา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ เอสา มํ อภูเตน อโกฺกสิตฺวา มหาวินาสํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. So āvajjamāno ‘‘ciñcamāṇavikā tathāgataṃ abhūtena akkosatī’’ti ñatvā ‘‘imaṃ vatthuṃ sodhessāmī’’ti catūhi devaputtehi saddhiṃ āgami. Devaputtā mūsikapotakā hutvā dārumaṇḍalikassa bandhanarajjuke ekappahāreneva chindiṃsu, pārutapaṭaṃ vāto ukkhipi, dārumaṇḍalikaṃ patamānaṃ tassā pādapiṭṭhiyaṃ pati, ubho aggapādā chijjiṃsu. Manussā uṭṭhāya ‘‘kāḷakaṇṇi, sammāsambuddhaṃ akkosasī’’ti sīse kheḷaṃ pātetvā leḍḍudaṇḍādihatthā jetavanā nīhariṃsu. Athassā tathāgatassa cakkhupathaṃ atikkantakāle mahāpathavī bhijjitvā vivaramadāsi, avīcito aggijālā uṭṭhahi. Sā kuladattiyaṃ kambalaṃ pārupamānā viya gantvā avīcimhi nibbatti. Aññatitthiyānaṃ lābhasakkāro parihāyi, dasabalassa bhiyyosomattāya vaḍḍhi. Punadivase dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, ciñcamāṇavikā evaṃ uḷāraguṇaṃ aggadakkhiṇeyyaṃ sammāsambuddhaṃ abhūtena akkositvā mahāvināsaṃ pattā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi esā maṃ abhūtena akkositvā mahāvināsaṃ pattā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติ, ผุลฺลปทุมสสฺสิริกมุขตฺตา ปนสฺส ‘‘ปทุมกุมาโร’’เตฺวว นามํ กริํสุฯ โส วยปฺปโตฺต ตกฺกสิลายํ คนฺตฺวา สพฺพสิปฺปานิ อุคฺคณฺหิตฺวา อาคมิฯ อถสฺส มาตา กาลมกาสิฯ ราชา อญฺญํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา ปุตฺตสฺส อุปรชฺชํ อทาสิฯ อปรภาเค ราชา ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมตุํ อคฺคมเหสิํ อาห ‘‘ภเทฺท, อิเธว วส, อหํ ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วูปสเมตุํ คจฺฉามี’’ติ วตฺวา ‘‘นาหํ อิเธว วสิสฺสามิ, อหมฺปิ คมิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ยุทฺธภูมิยา อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ยาว มมาคมนา อนุกฺกณฺฐมานา วส, อหํ ปทุมกุมารํ ยถา ตว กตฺตพฺพกิเจฺจสุ อปฺปมโตฺต โหติ, เอวํ อาณาเปตฺวา คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา ตถา กตฺวา คนฺตฺวา ปจฺจามิเตฺต ปลาเปตฺวา ชนปทํ สนฺตเปฺปตฺวา ปจฺจาคนฺตฺวา พหินคเร ขนฺธาวารํ นิวาเสสิ ฯ โพธิสโตฺต ปิตุ อาคตภาวํ ญตฺวา นครํ อลงฺการาเปตฺวา ราชเคหํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา เอกโกว ตสฺสา สนฺติกํ อคมาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatti, phullapadumasassirikamukhattā panassa ‘‘padumakumāro’’tveva nāmaṃ kariṃsu. So vayappatto takkasilāyaṃ gantvā sabbasippāni uggaṇhitvā āgami. Athassa mātā kālamakāsi. Rājā aññaṃ aggamahesiṃ katvā puttassa uparajjaṃ adāsi. Aparabhāge rājā paccantaṃ kupitaṃ vūpasametuṃ aggamahesiṃ āha ‘‘bhadde, idheva vasa, ahaṃ paccantaṃ kupitaṃ vūpasametuṃ gacchāmī’’ti vatvā ‘‘nāhaṃ idheva vasissāmi, ahampi gamissāmī’’ti vutte yuddhabhūmiyā ādīnavaṃ dassetvā ‘‘yāva mamāgamanā anukkaṇṭhamānā vasa, ahaṃ padumakumāraṃ yathā tava kattabbakiccesu appamatto hoti, evaṃ āṇāpetvā gamissāmī’’ti vatvā tathā katvā gantvā paccāmitte palāpetvā janapadaṃ santappetvā paccāgantvā bahinagare khandhāvāraṃ nivāsesi . Bodhisatto pitu āgatabhāvaṃ ñatvā nagaraṃ alaṅkārāpetvā rājagehaṃ paṭijaggāpetvā ekakova tassā santikaṃ agamāsi.
สา ตสฺส รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา อโหสิฯ โพธิสโตฺต ตํ วนฺทิตฺวา ‘‘อมฺม, กิํ อมฺหากํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ ‘‘อมฺมาติ มํ วทสี’’ติ อุฎฺฐาย หเตฺถ คเหตฺวา ‘‘สยนํ อภิรุหา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํการณา’’ติ? ‘‘ยาว ราชา น อาคจฺฉติ, ตาว อุโภปิ กิเลสรติยา รมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อมฺม, ตฺวํ มม มาตา จ สสามิกา จ, มยา สปริคฺคโห มาตุคาโม นาม กิเลสวเสน อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา น โอโลกิตปุโพฺพ, กถํ ตยา สทฺธิํ เอวรูปํ กิลิฎฺฐกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ สา เทฺว ตโย วาเร กเถตฺวา ตสฺมิํ อนิจฺฉมาเน ‘‘มม วจนํ น กโรสี’’ติ อาหฯ ‘‘อาม, น กโรมี’’ติฯ ‘‘เตน หิ รโญฺญ กเถตฺวา สีสํ เต ฉินฺทาเปสฺสามี’’ติฯ มหาสโตฺต ‘‘ตว รุจิํ กโรหี’’ติ วตฺวา ตํ ลชฺชาเปตฺวา ปกฺกามิฯ
Sā tassa rūpasampattiṃ disvā paṭibaddhacittā ahosi. Bodhisatto taṃ vanditvā ‘‘amma, kiṃ amhākaṃ kattabba’’nti pucchi. Atha naṃ ‘‘ammāti maṃ vadasī’’ti uṭṭhāya hatthe gahetvā ‘‘sayanaṃ abhiruhā’’ti āha. ‘‘Kiṃkāraṇā’’ti? ‘‘Yāva rājā na āgacchati, tāva ubhopi kilesaratiyā ramissāmā’’ti. ‘‘Amma, tvaṃ mama mātā ca sasāmikā ca, mayā sapariggaho mātugāmo nāma kilesavasena indriyāni bhinditvā na olokitapubbo, kathaṃ tayā saddhiṃ evarūpaṃ kiliṭṭhakammaṃ karissāmī’’ti. Sā dve tayo vāre kathetvā tasmiṃ anicchamāne ‘‘mama vacanaṃ na karosī’’ti āha. ‘‘Āma, na karomī’’ti. ‘‘Tena hi rañño kathetvā sīsaṃ te chindāpessāmī’’ti. Mahāsatto ‘‘tava ruciṃ karohī’’ti vatvā taṃ lajjāpetvā pakkāmi.
สา ภีตตสิตา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อยํ ปฐมํ ปิตุ อาโรเจสฺสติ, ชีวิตํ เม นตฺถิ, อหเมว ปุเรตรํ กเถสฺสามี’’ติ ภตฺตํ อภุญฺชิตฺวา กิลิฎฺฐโลมวตฺถํ นิวาเสตฺวา สรีเร นขราชิโย ทเสฺสตฺวา ‘‘กุหิํ เทวีติ รโญฺญ ปุจฺฉนกาเล ‘‘คิลานา’ติ กเถยฺยาถา’’ติ ปริจาริกานํ สญฺญํ ทตฺวา คิลานาลยํ กตฺวา นิปชฺชิฯ ราชาปิ นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา นิเวสนํ อารุยฺห ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘กุหิํ เทวี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘คิลานา’’ติ สุตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ‘‘กิํ เต เทวิ, อผาสุก’’นฺติ ปุจฺฉิฯ สา ตสฺส วจนํ อสุณนฺตี วิย หุตฺวา เทฺว ตโย วาเร ปุจฺฉิตา ‘‘มหาราช, กสฺมา กเถสิ, ตุณฺหี โหหิ, สสามิกอิตฺถิโย นาม มาทิสา น โหนฺตี’’ติ วตฺวา ‘‘เกน ตฺวํ วิเหฐิตาสิ, สีฆํ เม กเถหิ , สีสมสฺส ฉินฺทิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘กํสิ ตฺวํ, มหาราช, นคเร ฐเปตฺวา คโต’’ติ วตฺวา ‘‘ปทุมกุมาร’’นฺติ วุเตฺต ‘‘โส มยฺหํ วสนฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ‘ตาต, มา เอวํ กโรหิ, อหํ ตว มาตา’ติ วุจฺจมาโนปิ ‘ฐเปตฺวา มํ อโญฺญ ราชา นตฺถิ, อหํ ตํ เคเห กริตฺวา กิเลสรติยา รมิสฺสามี’ติ มํ เกเสสุ คเหตฺวา อปราปรํ ลุญฺจิตฺวา อตฺตโน วจนํ อกโรนฺติํ มํ ปาเตตฺวา โกเฎฺฎตฺวา คโต’’ติ อาหฯ
Sā bhītatasitā cintesi ‘‘sace ayaṃ paṭhamaṃ pitu ārocessati, jīvitaṃ me natthi, ahameva puretaraṃ kathessāmī’’ti bhattaṃ abhuñjitvā kiliṭṭhalomavatthaṃ nivāsetvā sarīre nakharājiyo dassetvā ‘‘kuhiṃ devīti rañño pucchanakāle ‘‘gilānā’ti katheyyāthā’’ti paricārikānaṃ saññaṃ datvā gilānālayaṃ katvā nipajji. Rājāpi nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā nivesanaṃ āruyha taṃ apassanto ‘‘kuhiṃ devī’’ti pucchitvā ‘‘gilānā’’ti sutvā sirigabbhaṃ pavisitvā ‘‘kiṃ te devi, aphāsuka’’nti pucchi. Sā tassa vacanaṃ asuṇantī viya hutvā dve tayo vāre pucchitā ‘‘mahārāja, kasmā kathesi, tuṇhī hohi, sasāmikaitthiyo nāma mādisā na hontī’’ti vatvā ‘‘kena tvaṃ viheṭhitāsi, sīghaṃ me kathehi , sīsamassa chindissāmī’’ti vutte ‘‘kaṃsi tvaṃ, mahārāja, nagare ṭhapetvā gato’’ti vatvā ‘‘padumakumāra’’nti vutte ‘‘so mayhaṃ vasanaṭṭhānaṃ āgantvā ‘tāta, mā evaṃ karohi, ahaṃ tava mātā’ti vuccamānopi ‘ṭhapetvā maṃ añño rājā natthi, ahaṃ taṃ gehe karitvā kilesaratiyā ramissāmī’ti maṃ kesesu gahetvā aparāparaṃ luñcitvā attano vacanaṃ akarontiṃ maṃ pātetvā koṭṭetvā gato’’ti āha.
ราชา อนุปปริกฺขิตฺวาว อาสีวิโส วิย กุโทฺธ ปุริเส อาณาเปสิ ‘‘คจฺฉถ, ภเณ, ปทุมกุมารํ พนฺธิตฺวา อาเนถา’’ติฯ เต นครํ อวตฺถรนฺตา วิย ตสฺส เคหํ คนฺตฺวา ตํ พนฺธิตฺวา ปหริตฺวา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา รตฺตกณเวรมาลํ คีวายํ ปฎิมุญฺจิตฺวา วชฺฌํ กตฺวา อานยิํสุ ฯ โส ‘‘เทวิยา อิทํ กมฺม’’นฺติ ญตฺวา ‘‘โภ ปุริสา, นาหํ รโญฺญ โทสการโก, นิปฺปราโธหมสฺมี’’ติ วิลปโนฺต อาคจฺฉติฯ สกลนครํ สํขุพฺภิตฺวา ‘‘ราชา กิร มาตุคามสฺส วจนํ คเหตฺวา มหาปทุมกุมารํ ฆาตาเปสี’’ติ สนฺนิปติตฺวา ราชกุมารสฺส ปาทมูเล นิปติตฺวา ‘‘อิทํ เต สามิ, อนนุจฺฉวิก’’นฺติ มหาสเทฺทน ปริเทวิฯ อถ นํ เนตฺวา รโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา ทิสฺวาว จิตฺตํ นิคฺคณฺหิตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อยํ อราชาว ราชลีฬํ กโรติ, มม ปุโตฺต หุตฺวา อคฺคมเหสิยา อปรชฺฌติ, คจฺฉถ นํ โจรปปาเต ปาเตตฺวา วินาสํ ปาเปถา’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต ‘‘น มยฺหํ, ตาต, เอวรูโป อปราโธ อตฺถิ, มาตุคามสฺส วจนํ คเหตฺวา มา มํ นาเสหี’’ติ ปิตรํ ยาจิฯ โส ตสฺส กถํ น คณฺหิฯ
Rājā anupaparikkhitvāva āsīviso viya kuddho purise āṇāpesi ‘‘gacchatha, bhaṇe, padumakumāraṃ bandhitvā ānethā’’ti. Te nagaraṃ avattharantā viya tassa gehaṃ gantvā taṃ bandhitvā paharitvā pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā rattakaṇaveramālaṃ gīvāyaṃ paṭimuñcitvā vajjhaṃ katvā ānayiṃsu . So ‘‘deviyā idaṃ kamma’’nti ñatvā ‘‘bho purisā, nāhaṃ rañño dosakārako, nipparādhohamasmī’’ti vilapanto āgacchati. Sakalanagaraṃ saṃkhubbhitvā ‘‘rājā kira mātugāmassa vacanaṃ gahetvā mahāpadumakumāraṃ ghātāpesī’’ti sannipatitvā rājakumārassa pādamūle nipatitvā ‘‘idaṃ te sāmi, ananucchavika’’nti mahāsaddena paridevi. Atha naṃ netvā rañño dassesuṃ. Rājā disvāva cittaṃ niggaṇhituṃ asakkonto ‘‘ayaṃ arājāva rājalīḷaṃ karoti, mama putto hutvā aggamahesiyā aparajjhati, gacchatha naṃ corapapāte pātetvā vināsaṃ pāpethā’’ti āha. Mahāsatto ‘‘na mayhaṃ, tāta, evarūpo aparādho atthi, mātugāmassa vacanaṃ gahetvā mā maṃ nāsehī’’ti pitaraṃ yāci. So tassa kathaṃ na gaṇhi.
ตโต โสฬสสหสฺสา อเนฺตปุริกา ‘‘ตาต มหาปทุมกุมาร, อตฺตโน อนนุจฺฉวิกํ อิทํ ลทฺธ’’นฺติ มหาวิรวํ วิรวิํสุฯ สเพฺพ ขตฺติยมหาสาลาทโยปิ อมจฺจปริชนาปิ ‘‘เทว, กุมาโร สีลาจารคุณสมฺปโนฺน วํสานุรกฺขิโต รชฺชทายาโท, มา นํ มาตุคามสฺส วจนํ คเหตฺวา อนุปปริกฺขิตฺวาว วินาเสหิ, รญฺญา นาม นิสมฺมการินา ภวิตพฺพ’’นฺติ วตฺวา สตฺต คาถา อภาสิํสุ –
Tato soḷasasahassā antepurikā ‘‘tāta mahāpadumakumāra, attano ananucchavikaṃ idaṃ laddha’’nti mahāviravaṃ viraviṃsu. Sabbe khattiyamahāsālādayopi amaccaparijanāpi ‘‘deva, kumāro sīlācāraguṇasampanno vaṃsānurakkhito rajjadāyādo, mā naṃ mātugāmassa vacanaṃ gahetvā anupaparikkhitvāva vināsehi, raññā nāma nisammakārinā bhavitabba’’nti vatvā satta gāthā abhāsiṃsu –
๑๐๖.
106.
‘‘นาทฎฺฐา ปรโต โทสํ, อณุํ ถูลานิ สพฺพโส;
‘‘Nādaṭṭhā parato dosaṃ, aṇuṃ thūlāni sabbaso;
อิสฺสโร ปณเย ทณฺฑํ, สามํ อปฺปฎิเวกฺขิยฯ
Issaro paṇaye daṇḍaṃ, sāmaṃ appaṭivekkhiya.
๑๐๗.
107.
‘‘โย จ อปฺปฎิเวกฺขิตฺวา, ทณฺฑํ กุพฺพติ ขตฺติโย;
‘‘Yo ca appaṭivekkhitvā, daṇḍaṃ kubbati khattiyo;
สกณฺฎกํ โส คิลติ, ชจฺจโนฺธว สมกฺขิกํฯ
Sakaṇṭakaṃ so gilati, jaccandhova samakkhikaṃ.
๑๐๘.
108.
‘‘อทณฺฑิยํ ทณฺฑยติ, ทณฺฑิยญฺจ อทณฺฑิยํ;
‘‘Adaṇḍiyaṃ daṇḍayati, daṇḍiyañca adaṇḍiyaṃ;
อโนฺธว วิสมํ มคฺคํ, น ชานาติ สมาสมํฯ
Andhova visamaṃ maggaṃ, na jānāti samāsamaṃ.
๑๐๙.
109.
‘‘โย จ เอตานิ ฐานานิ, อณุํ ถูลานิ สพฺพโส;
‘‘Yo ca etāni ṭhānāni, aṇuṃ thūlāni sabbaso;
สุทิฎฺฐมนุสาเสยฺย, ส เว โวหริตุ มรหติฯ
Sudiṭṭhamanusāseyya, sa ve voharitu marahati.
๑๑๐.
110.
‘‘เนกนฺตมุทุนา สกฺกา, เอกนฺตติขิเณน วา;
‘‘Nekantamudunā sakkā, ekantatikhiṇena vā;
อตฺตํ มหเนฺต ฐเปตุํ, ตสฺมา อุภยมาจเรฯ
Attaṃ mahante ṭhapetuṃ, tasmā ubhayamācare.
๑๑๑.
111.
‘‘ปริภูโต มุทุ โหติ, อติติโกฺข จ เวรวา;
‘‘Paribhūto mudu hoti, atitikkho ca veravā;
เอตญฺจ อุภยํ ญตฺวา, อนุมชฺฌํ สมาจเรฯ
Etañca ubhayaṃ ñatvā, anumajjhaṃ samācare.
๑๑๒.
112.
‘‘พหุมฺปิ รโตฺต ภาเสยฺย, ทุโฎฺฐปิ พหุ ภาสติ;
‘‘Bahumpi ratto bhāseyya, duṭṭhopi bahu bhāsati;
น อิตฺถิการณา ราช, ปุตฺตํ ฆาเตตุมรหสี’’ติฯ
Na itthikāraṇā rāja, puttaṃ ghātetumarahasī’’ti.
ตตฺถ นาทฎฺฐาติ น อทิสฺวาฯ ปรโตติ ปรสฺสฯ สพฺพโสติ สพฺพานิฯ อณุํถูลานีติ ขุทฺทกมหนฺตานิ วชฺชานิฯ สามํ อปฺปฎิเวกฺขิยาติ ปรสฺส วจนํ คเหตฺวา อตฺตโน ปจฺจกฺขํ อกตฺวา ปถวิสฺสโร ราชา ทณฺฑํ น ปณเย น ปฎฺฐเปยฺยฯ มหาสมฺมตราชกาลสฺมิญฺหิ สตโต อุตฺตริ ทโณฺฑ นาม นตฺถิ, ตาฬนครหณปพฺพาชนโต อุทฺธํ หตฺถปาทเจฺฉทนฆาตนํ นาม นตฺถิ, ปจฺฉา กกฺขฬราชูนํเยว กาเล เอตํ อุปฺปนฺนํ, ตํ สนฺธาย เต อมจฺจา ‘‘เอกเนฺตเนว ปรสฺส โทสํ สามํ อทิสฺวา กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ กเถนฺตา เอวมาหํสุฯ
Tattha nādaṭṭhāti na adisvā. Paratoti parassa. Sabbasoti sabbāni. Aṇuṃthūlānīti khuddakamahantāni vajjāni. Sāmaṃ appaṭivekkhiyāti parassa vacanaṃ gahetvā attano paccakkhaṃ akatvā pathavissaro rājā daṇḍaṃ na paṇaye na paṭṭhapeyya. Mahāsammatarājakālasmiñhi satato uttari daṇḍo nāma natthi, tāḷanagarahaṇapabbājanato uddhaṃ hatthapādacchedanaghātanaṃ nāma natthi, pacchā kakkhaḷarājūnaṃyeva kāle etaṃ uppannaṃ, taṃ sandhāya te amaccā ‘‘ekanteneva parassa dosaṃ sāmaṃ adisvā kātuṃ na yutta’’nti kathentā evamāhaṃsu.
โย จ อปฺปฎิเวกฺขิตฺวาติ มหาราช, เอวํ อปฺปฎิเวกฺขิตฺวา โทสานุจฺฉวิเก ทเณฺฑ ปเณตเพฺพ โย ราชา อคติคมเน ฐิโต ตํ โทสํ อปฺปฎิเวกฺขิตฺวา หตฺถเจฺฉทาทิทณฺฑํ กโรติ, โส อตฺตโน ทุกฺขการณํ กโรโนฺต สกณฺฎกํ โภชนํ คิลติ นาม, ชจฺจโนฺธ วิย จ สมกฺขิกํ ภุญฺชติ นามฯ อทณฺฑิยนฺติ โย อทณฺฑิยํ อทณฺฑปเณตพฺพญฺจ ทเณฺฑตฺวา ทณฺฑิยญฺจ ทณฺฑปเณตพฺพํ อทเณฺฑตฺวา อตฺตโน รุจิเมว กโรติ, โส อโนฺธ วิย วิสมํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน, น ชานาติ สมาสมํ, ตโต ปาสาณาทีสุ ปกฺขลโนฺต อโนฺธ วิย จตูสุ อปาเยสุ มหาทุกฺขํ ปาปุณาตีติ อโตฺถฯ เอตานิ ฐานานีติ เอตานิ ทณฺฑิยาทณฺฑิยการณานิ เจว ทณฺฑิยการเณสุปิ อณุํถูลานิ จ สพฺพานิ สุทิฎฺฐํ ทิสฺวา อนุสาเสยฺย, ส เว โวหริตุํ รชฺชมนุสาสิตุํ อรหตีติ อโตฺถฯ
Yo ca appaṭivekkhitvāti mahārāja, evaṃ appaṭivekkhitvā dosānucchavike daṇḍe paṇetabbe yo rājā agatigamane ṭhito taṃ dosaṃ appaṭivekkhitvā hatthacchedādidaṇḍaṃ karoti, so attano dukkhakāraṇaṃ karonto sakaṇṭakaṃ bhojanaṃ gilati nāma, jaccandho viya ca samakkhikaṃ bhuñjati nāma. Adaṇḍiyanti yo adaṇḍiyaṃ adaṇḍapaṇetabbañca daṇḍetvā daṇḍiyañca daṇḍapaṇetabbaṃ adaṇḍetvā attano rucimeva karoti, so andho viya visamaṃ maggaṃ paṭipanno, na jānāti samāsamaṃ, tato pāsāṇādīsu pakkhalanto andho viya catūsu apāyesu mahādukkhaṃ pāpuṇātīti attho. Etāni ṭhānānīti etāni daṇḍiyādaṇḍiyakāraṇāni ceva daṇḍiyakāraṇesupi aṇuṃthūlāni ca sabbāni sudiṭṭhaṃ disvā anusāseyya, sa ve voharituṃ rajjamanusāsituṃ arahatīti attho.
อตฺตํ มหเนฺต ฐเปตุนฺติ เอวรูโป อนุปฺปเนฺน โภเค อุปฺปาเทตฺวา อุปฺปเนฺน ถาวเร กตฺวา อตฺตานํ มหเนฺต อุฬาเร อิสฺสริเย ฐเปตุํ น สโกฺกตีติ อโตฺถฯ มุทูติ มุทุราชา รฎฺฐวาสีนํ ปริภูโต โหติ อวญฺญาโต, โส รชฺชํ นิโจฺจรํ กาตุํ น สโกฺกติฯ เวรวาติ อติติกฺขสฺส ปน สเพฺพปิ รฎฺฐวาสิโน เวริโน โหนฺตีติ โส เวรวา นาม โหติฯ อนุมชฺฌนฺติ อนุภูตํ มุทุติขิณภาวานํ มชฺฌํ สมาจเร, อมุทุ อติโกฺข หุตฺวา รชฺชํ กาเรยฺยาติ อโตฺถฯ น อิตฺถิการณาติ ปาปํ ลามกํ มาตุคามํ นิสฺสาย วํสานุรกฺขกํ ฉตฺตทายาทํ ปุตฺตํ ฆาเตตุํ นารหสิ, มหาราชาติฯ
Attaṃ mahante ṭhapetunti evarūpo anuppanne bhoge uppādetvā uppanne thāvare katvā attānaṃ mahante uḷāre issariye ṭhapetuṃ na sakkotīti attho. Mudūti mudurājā raṭṭhavāsīnaṃ paribhūto hoti avaññāto, so rajjaṃ niccoraṃ kātuṃ na sakkoti. Veravāti atitikkhassa pana sabbepi raṭṭhavāsino verino hontīti so veravā nāma hoti. Anumajjhanti anubhūtaṃ mudutikhiṇabhāvānaṃ majjhaṃ samācare, amudu atikkho hutvā rajjaṃ kāreyyāti attho. Na itthikāraṇāti pāpaṃ lāmakaṃ mātugāmaṃ nissāya vaṃsānurakkhakaṃ chattadāyādaṃ puttaṃ ghātetuṃ nārahasi, mahārājāti.
เอวํ นานาการเณหิ กเถนฺตาปิ อมจฺจา อตฺตโน กถํ คาหาเปตุํ นาสกฺขิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ ยาจโนฺต อตฺตโน กถํ คาหาเปตุํ นาสกฺขิฯ อนฺธพาโล ปน ราชา ‘‘คจฺฉถ นํ โจรปปาเต ขิปถา’’ติ อาณาเปโนฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –
Evaṃ nānākāraṇehi kathentāpi amaccā attano kathaṃ gāhāpetuṃ nāsakkhiṃsu. Bodhisattopi yācanto attano kathaṃ gāhāpetuṃ nāsakkhi. Andhabālo pana rājā ‘‘gacchatha naṃ corapapāte khipathā’’ti āṇāpento aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๑๑๓.
113.
‘‘สโพฺพว โลโก เอกโต, อิตฺถี จ อยเมกิกา;
‘‘Sabbova loko ekato, itthī ca ayamekikā;
เตนาหํ ปฎิปชฺชิสฺสํ, คจฺฉถ ปกฺขิปเถว ต’’นฺติฯ
Tenāhaṃ paṭipajjissaṃ, gacchatha pakkhipatheva ta’’nti.
ตตฺถ เตนาหนฺติ เยน การเณน สโพฺพ โลโก เอกโต กุมารเสฺสว ปโกฺข หุตฺวา ฐิโต, อยญฺจ อิตฺถี เอกิกาว, เตน การเณน อหํ อิมิสฺสา วจนํ ปฎิปชฺชิสฺสํ, คจฺฉถ ตํ ปพฺพตํ อาโรเปตฺวา ปปาเต ขิปเถวาติฯ
Tattha tenāhanti yena kāraṇena sabbo loko ekato kumārasseva pakkho hutvā ṭhito, ayañca itthī ekikāva, tena kāraṇena ahaṃ imissā vacanaṃ paṭipajjissaṃ, gacchatha taṃ pabbataṃ āropetvā papāte khipathevāti.
เอวํ วุเตฺต โสฬสสหสฺสาสุ ราชอิตฺถีสุ เอกาปิ สกภาเวน สณฺฐาตุํ นาสกฺขิ, สกลนครวาสิโน พาหา ปคฺคยฺห กนฺทิตฺวา เกเส วิกิรยมานา วิลปิํสุฯ ราชา ‘‘อิเม อิมสฺส ปปาเต ขิปนํ ปฎิพาเหยฺยุ’’นฺติ สปริวาโร คนฺตฺวา มหาชนสฺส ปริเทวนฺตเสฺสว นํ อุทฺธํปาทํ อวํสิรํ กตฺวา คาหาเปตฺวา ปปาเต ขิปาเปสิฯ อถสฺส เมตฺตานุภาเวน ปพฺพเต อธิวตฺถา เทวตา ‘‘มา ภายิ มหาปทุมา’’ติ ตํ สมสฺสาเสตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา หทเย ฐเปตฺวา ทิพฺพสมฺผสฺสํ ผราเปตฺวา โอตริตฺวา ปพฺพตปาเท ปติฎฺฐิตนาคราชสฺส ผณคเพฺภ ฐเปสิฯ นาคราชา โพธิสตฺตํ นาคภวนํ เนตฺวา อตฺตโน ยสํ มเชฺฌ ภินฺทิตฺวา อทาสิฯ โส ตตฺถ เอกสํวจฺฉรํ วสิตฺวา ‘‘มนุสฺสปถํ คมิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘กตรํ ฐาน’’นฺติ วุเตฺต ‘‘หิมวนฺตํ คนฺตฺวา ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ นาคราชา ‘‘สาธู’’ติ ตํ คเหตฺวา มนุสฺสปเถ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ทตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ โสปิ หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญํ นิพฺพเตฺตตฺวา วนมูลผลาหาโร ตตฺถ ปฎิวสติฯ
Evaṃ vutte soḷasasahassāsu rājaitthīsu ekāpi sakabhāvena saṇṭhātuṃ nāsakkhi, sakalanagaravāsino bāhā paggayha kanditvā kese vikirayamānā vilapiṃsu. Rājā ‘‘ime imassa papāte khipanaṃ paṭibāheyyu’’nti saparivāro gantvā mahājanassa paridevantasseva naṃ uddhaṃpādaṃ avaṃsiraṃ katvā gāhāpetvā papāte khipāpesi. Athassa mettānubhāvena pabbate adhivatthā devatā ‘‘mā bhāyi mahāpadumā’’ti taṃ samassāsetvā ubhohi hatthehi gahetvā hadaye ṭhapetvā dibbasamphassaṃ pharāpetvā otaritvā pabbatapāde patiṭṭhitanāgarājassa phaṇagabbhe ṭhapesi. Nāgarājā bodhisattaṃ nāgabhavanaṃ netvā attano yasaṃ majjhe bhinditvā adāsi. So tattha ekasaṃvaccharaṃ vasitvā ‘‘manussapathaṃ gamissāmī’’ti vatvā ‘‘kataraṃ ṭhāna’’nti vutte ‘‘himavantaṃ gantvā pabbajissāmī’’ti āha. Nāgarājā ‘‘sādhū’’ti taṃ gahetvā manussapathe patiṭṭhāpetvā pabbajitaparikkhāre datvā sakaṭṭhānameva gato. Sopi himavantaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññaṃ nibbattetvā vanamūlaphalāhāro tattha paṭivasati.
อเถโก พาราณสิวาสี วนจรโก ตํ ฐานํ ปโตฺต มหาสตฺตํ สญฺชานิตฺวา ‘‘นนุ ตฺวํ เทว, มหาปทุมกุมาโร’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, สมฺมา’’ติ วุเตฺต ตํ วนฺทิตฺวา กติปาหํ ตตฺถ วสิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ ‘‘เทว, ปุโตฺต เต หิมวนฺตปเทเส อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ปณฺณสาลายํ วสติ, อหํ ตสฺส สนฺติเก วสิตฺวา อาคโต’’ติฯ ‘‘ปจฺจกฺขโต เต ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘อาม เทวา’’ติฯ ราชา มหาพลกายปริวุโต ตตฺถ คนฺตฺวา วนปริยเนฺต ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา อมจฺจคณปริวุโต ปณฺณสาลํ คนฺตฺวา กญฺจนรูปสทิสํ ปณฺณสาลทฺวาเร นิสินฺนํ มหาสตฺตํ ทิสฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อมจฺจาปิ วนฺทิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา นิสีทิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ ราชานํ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ปฎิสนฺถารมกาสิฯ อถ นํ ราชา ‘‘ตาต, มยา ตฺวํ คมฺภีเร ปปาเต ขิปาปิโต, กถํ สชีวิโตสี’’ติ ปุจฺฉโนฺต นวมํ คาถมาห –
Atheko bārāṇasivāsī vanacarako taṃ ṭhānaṃ patto mahāsattaṃ sañjānitvā ‘‘nanu tvaṃ deva, mahāpadumakumāro’’ti vatvā ‘‘āma, sammā’’ti vutte taṃ vanditvā katipāhaṃ tattha vasitvā bārāṇasiṃ gantvā rañño ārocesi ‘‘deva, putto te himavantapadese isipabbajjaṃ pabbajitvā paṇṇasālāyaṃ vasati, ahaṃ tassa santike vasitvā āgato’’ti. ‘‘Paccakkhato te diṭṭho’’ti? ‘‘Āma devā’’ti. Rājā mahābalakāyaparivuto tattha gantvā vanapariyante khandhāvāraṃ bandhitvā amaccagaṇaparivuto paṇṇasālaṃ gantvā kañcanarūpasadisaṃ paṇṇasāladvāre nisinnaṃ mahāsattaṃ disvā vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Amaccāpi vanditvā paṭisanthāraṃ katvā nisīdiṃsu. Bodhisattopi rājānaṃ paṭipucchitvā paṭisanthāramakāsi. Atha naṃ rājā ‘‘tāta, mayā tvaṃ gambhīre papāte khipāpito, kathaṃ sajīvitosī’’ti pucchanto navamaṃ gāthamāha –
๑๑๔.
114.
‘‘อเนกตาเล นรเก, คมฺภีเร จ สุทุตฺตเร;
‘‘Anekatāle narake, gambhīre ca suduttare;
ปาติโต คิริทุคฺคสฺมิํ, เกน ตฺวํ ตตฺถ นามรี’’ติฯ
Pātito giriduggasmiṃ, kena tvaṃ tattha nāmarī’’ti.
ตตฺถ อเนกตาเลติ อเนกตาลปฺปมาเณฯ นามรีติ น อมริฯ
Tattha anekatāleti anekatālappamāṇe. Nāmarīti na amari.
ตโตปรํ –
Tatoparaṃ –
๑๑๕.
115.
‘‘นาโค ชาตผโณ ตตฺถ, ถามวา คิริสานุโช;
‘‘Nāgo jātaphaṇo tattha, thāmavā girisānujo;
ปจฺจคฺคหิ มํ โภเคหิ, เตนาหํ ตตฺถ นามริํฯ
Paccaggahi maṃ bhogehi, tenāhaṃ tattha nāmariṃ.
๑๑๖.
116.
‘‘เอหิ ตํ ปฎิเนสฺสามิ, ราชปุตฺต สกํ ฆรํ;
‘‘Ehi taṃ paṭinessāmi, rājaputta sakaṃ gharaṃ;
รชฺชํ กาเรหิ ภทฺทเนฺต, กิํ อรเญฺญ กริสฺสสิฯ
Rajjaṃ kārehi bhaddante, kiṃ araññe karissasi.
๑๑๗.
117.
‘‘ยถา คิลิตฺวา พฬิสํ, อุทฺธเรยฺย สโลหิตํ;
‘‘Yathā gilitvā baḷisaṃ, uddhareyya salohitaṃ;
อุทฺธริตฺวา สุขี อสฺส, เอวํ ปสฺสามิ อตฺตนํฯ
Uddharitvā sukhī assa, evaṃ passāmi attanaṃ.
๑๑๘.
118.
‘‘กิํ นุ ตฺวํ พฬิสํ พฺรูสิ, กิํ ตฺวํ พฺรูสิ สโลหิตํ;
‘‘Kiṃ nu tvaṃ baḷisaṃ brūsi, kiṃ tvaṃ brūsi salohitaṃ;
กิํ นุ ตฺวํ อุพฺภตํ พฺรูสิ, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโตฯ
Kiṃ nu tvaṃ ubbhataṃ brūsi, taṃ me akkhāhi pucchito.
๑๑๙.
119.
‘‘กามาหํ พฬิสํ พฺรูมิ, หตฺถิอสฺสํ สโลหิตํ;
‘‘Kāmāhaṃ baḷisaṃ brūmi, hatthiassaṃ salohitaṃ;
จตฺตาหํ อุพฺภตํ พฺรูมิ, เอวํ ชานาหิ ขตฺติยา’’ติฯ –
Cattāhaṃ ubbhataṃ brūmi, evaṃ jānāhi khattiyā’’ti. –
อิมาสุ ปญฺจสุ เอกนฺตริกา ติโสฺส คาถา โพธิสตฺตสฺส, เทฺว รโญฺญฯ
Imāsu pañcasu ekantarikā tisso gāthā bodhisattassa, dve rañño.
ตตฺถ ปจฺจคฺคหิ มนฺติ ปพฺพตปตนกาเล เทวตาย ปริคฺคเหตฺวา ทิพฺพสมฺผเสฺสน สมสฺสาเสตฺวา อุปนีตํ มํ ปฎิคฺคณฺหิ, คเหตฺวา จ ปน นาคภวนํ อาเนตฺวา มหนฺตํ ยสํ ทตฺวา ‘‘มนุสฺสปถํ มํ เนหี’’ติ วุโตฺต มํ มนุสฺสปถํ อาเนสิฯ อหํ อิธาคนฺตฺวา ปพฺพชิโต, อิติ เตน เทวตาย จ นาคราชสฺส จ อานุภาเวน อหํ ตตฺถ นามรินฺติ สพฺพํ อาโรเจสิฯ
Tattha paccaggahi manti pabbatapatanakāle devatāya pariggahetvā dibbasamphassena samassāsetvā upanītaṃ maṃ paṭiggaṇhi, gahetvā ca pana nāgabhavanaṃ ānetvā mahantaṃ yasaṃ datvā ‘‘manussapathaṃ maṃ nehī’’ti vutto maṃ manussapathaṃ ānesi. Ahaṃ idhāgantvā pabbajito, iti tena devatāya ca nāgarājassa ca ānubhāvena ahaṃ tattha nāmarinti sabbaṃ ārocesi.
เอหีติ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘ตาต, อหํ พาลภาเวน อิตฺถิยา วจนํ คเหตฺวา เอวํ สีลาจารสมฺปเนฺน ตยิ อปรชฺฌิํ, ขมาหิ เม โทส’’นฺติ ปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘อุเฎฺฐหิ, มหาราช, ขมาม เต โทสํ, อิโต ปรํ ปุน มา เอวํ อนิสมฺมการี ภเวยฺยาสี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตาต, ตฺวํ อตฺตโน กุลสนฺตกํ เสตจฺฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รชฺชํ อนุสาสโนฺต มยฺหํ ขมสิ นามา’’ติ เอวมาหฯ
Ehīti rājā tassa vacanaṃ sutvā somanassappatto hutvā ‘‘tāta, ahaṃ bālabhāvena itthiyā vacanaṃ gahetvā evaṃ sīlācārasampanne tayi aparajjhiṃ, khamāhi me dosa’’nti pādesu nipatitvā ‘‘uṭṭhehi, mahārāja, khamāma te dosaṃ, ito paraṃ puna mā evaṃ anisammakārī bhaveyyāsī’’ti vutte ‘‘tāta, tvaṃ attano kulasantakaṃ setacchattaṃ ussāpetvā rajjaṃ anusāsanto mayhaṃ khamasi nāmā’’ti evamāha.
อุทฺธริตฺวาติ หทยวกฺกาทีนิ อสมฺปตฺตเมว ตํ อุทฺธริตฺวา สุขี อสฺสฯ เอวํ ปสฺสามิ อตฺตนนฺติ อตฺตานํ มหาราช, เอวํ อหมฺปิ ปุน โสตฺถิภาวปฺปตฺตํ คิลิตพฬิสํ ปุริสมิว อตฺตานํ ปสฺสามีติฯ ‘‘กิํ นุ ตฺว’’นฺติ อิทํ ราชา ตมตฺถํ วิตฺถารโต โสตุํ ปุจฺฉติฯ กามาหนฺติ ปญฺจ กามคุเณ อหํฯ หตฺถิอสฺสํ สโลหิตนฺติ เอวํ หตฺถิอสฺสรถวาหนํ สตฺตรตนาทิวิภวํ ‘‘สโลหิต’’นฺติ พฺรูมิฯ จตฺตาหนฺติ จตฺตํ อหํ, ยทา ตํ สพฺพมฺปิ จตฺตํ โหติ ปริจฺจตฺตํ, ตํ ทานาหํ ‘‘อุพฺภต’’นฺติ พฺรูมิฯ
Uddharitvāti hadayavakkādīni asampattameva taṃ uddharitvā sukhī assa. Evaṃ passāmi attananti attānaṃ mahārāja, evaṃ ahampi puna sotthibhāvappattaṃ gilitabaḷisaṃ purisamiva attānaṃ passāmīti. ‘‘Kiṃ nu tva’’nti idaṃ rājā tamatthaṃ vitthārato sotuṃ pucchati. Kāmāhanti pañca kāmaguṇe ahaṃ. Hatthiassaṃ salohitanti evaṃ hatthiassarathavāhanaṃ sattaratanādivibhavaṃ ‘‘salohita’’nti brūmi. Cattāhanti cattaṃ ahaṃ, yadā taṃ sabbampi cattaṃ hoti pariccattaṃ, taṃ dānāhaṃ ‘‘ubbhata’’nti brūmi.
‘‘อิติ โข, มหาราช, มยฺหํ รเชฺชน กิจฺจํ นตฺถิ, ตฺวํ ปน ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา อคติคมนํ ปหาย ธเมฺมน รชฺชํ กาเรหี’’ติ มหาสโตฺต ปิตุ โอวาทํ อทาสิฯ โส ราชา โรทิตฺวา ปริเทวิตฺวา นครํ คจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺค อมเจฺจ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ กํ นิสฺสาย เอวรูเปน อาจารคุณสมฺปเนฺนน ปุเตฺตน วิโยคํ ปโตฺต’’ติ? ‘‘อคฺคมเหสิํ, เทวา’’ติฯ ราชา ตํ อุทฺธํปาทํ คาหาเปตฺวา โจรปปาเต ขิปาเปตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ
‘‘Iti kho, mahārāja, mayhaṃ rajjena kiccaṃ natthi, tvaṃ pana dasa rājadhamme akopetvā agatigamanaṃ pahāya dhammena rajjaṃ kārehī’’ti mahāsatto pitu ovādaṃ adāsi. So rājā roditvā paridevitvā nagaraṃ gacchanto antarāmagge amacce pucchi. ‘‘Ahaṃ kaṃ nissāya evarūpena ācāraguṇasampannena puttena viyogaṃ patto’’ti? ‘‘Aggamahesiṃ, devā’’ti. Rājā taṃ uddhaṃpādaṃ gāhāpetvā corapapāte khipāpetvā nagaraṃ pavisitvā dhammena rajjaṃ kāresi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, ปุเพฺพเปสา มํ อโกฺกสิตฺวา มหาวินาสํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา –
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, pubbepesā maṃ akkositvā mahāvināsaṃ pattā’’ti vatvā –
๑๒๐.
120.
‘‘จิญฺจมาณวิกา มาตา, เทวทโตฺต จ เม ปิตา;
‘‘Ciñcamāṇavikā mātā, devadatto ca me pitā;
อานโนฺท ปณฺฑิโต นาโค, สาริปุโตฺต จ เทวตา;
Ānando paṇḍito nāgo, sāriputto ca devatā;
ราชปุโตฺต อหํ อาสิํ, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ –
Rājaputto ahaṃ āsiṃ, evaṃ dhāretha jātaka’’nti. –
โอสานคาถาย ชาตกํ สโมธาเนสิฯ
Osānagāthāya jātakaṃ samodhānesi.
มหาปทุมชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Mahāpadumajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๗๒. มหาปทุมชาตกํ • 472. Mahāpadumajātakaṃ