Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๕๐๗] ๑๑. มหาปโลภนชาตกวณฺณนา
[507] 11. Mahāpalobhanajātakavaṇṇanā
พฺรหฺมโลกา จวิตฺวานาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต วิสุทฺธสํกิเลสํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ เหฎฺฐา วิตฺถาริตเมวฯ อิธ ปน สตฺถา ‘‘ภิกฺขุ มาตุคาโม นาเมส วิสุทฺธสเตฺตปิ สํกิลิเฎฺฐ กโรตี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Brahmalokā cavitvānāti idaṃ satthā jetavane viharanto visuddhasaṃkilesaṃ ārabbha kathesi. Vatthu heṭṭhā vitthāritameva. Idha pana satthā ‘‘bhikkhu mātugāmo nāmesa visuddhasattepi saṃkiliṭṭhe karotī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยนฺติ จูฬปโลภเน (ชา. ๑.๓.๓๗ อาทโย) วุตฺตนเยเนว อตีตวตฺถุ วิตฺถาริตพฺพํฯ ตทา ปน มหาสโตฺต พฺรหฺมโลกา จวิตฺวา กาสิรโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา นิพฺพตฺติ, อนิตฺถิคนฺธกุมาโร นาม อโหสิฯ อิตฺถีนํ หเตฺถ น สณฺฐาติ, ปุริสเวเสน นํ ถญฺญํ ปาเยนฺติ, ฌานาคาเร วสติ, อิตฺถิโย น ปสฺสติฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasiyanti cūḷapalobhane (jā. 1.3.37 ādayo) vuttanayeneva atītavatthu vitthāritabbaṃ. Tadā pana mahāsatto brahmalokā cavitvā kāsirañño putto hutvā nibbatti, anitthigandhakumāro nāma ahosi. Itthīnaṃ hatthe na saṇṭhāti, purisavesena naṃ thaññaṃ pāyenti, jhānāgāre vasati, itthiyo na passati. Tamatthaṃ pakāsento satthā catasso gāthā abhāsi –
๒๘๔.
284.
‘‘พฺรหฺมโลกา จวิตฺวาน, เทวปุโตฺต มหิทฺธิโก;
‘‘Brahmalokā cavitvāna, devaputto mahiddhiko;
รโญฺญ ปุโตฺต อุทปาทิ, สพฺพกามสมิทฺธิสุฯ
Rañño putto udapādi, sabbakāmasamiddhisu.
๒๘๕.
285.
‘‘กามา วา กามสญฺญา วา, พฺรหฺมโลเก น วิชฺชติ;
‘‘Kāmā vā kāmasaññā vā, brahmaloke na vijjati;
สฺวาสฺสุ ตาเยว สญฺญาย, กาเมหิ วิชิคุจฺฉถฯ
Svāssu tāyeva saññāya, kāmehi vijigucchatha.
๒๘๖.
286.
‘‘ตสฺส จเนฺตปุเร อาสิ, ฌานาคารํ สุมาปิตํ;
‘‘Tassa cantepure āsi, jhānāgāraṃ sumāpitaṃ;
โส ตตฺถ ปฎิสลฺลีโน, เอโก รหสิ ฌายถฯ
So tattha paṭisallīno, eko rahasi jhāyatha.
๒๘๗.
287.
‘‘ส ราชา ปริเทเวสิ, ปุตฺตโสเกน อฎฺฎิโต;
‘‘Sa rājā paridevesi, puttasokena aṭṭito;
เอกปุโตฺต จยํ มยฺหํ, น จ กามานิ ภุญฺชตี’’ติฯ
Ekaputto cayaṃ mayhaṃ, na ca kāmāni bhuñjatī’’ti.
ตตฺถ สพฺพกามสมิทฺธิสูติ สพฺพกามานํ สมิทฺธีสุ สมฺปตฺตีสุ ฐิตสฺส รโญฺญ ปุโตฺต หุตฺวา เอโก เทวปุโตฺต นิพฺพตฺติฯ สฺวาสฺสูติ โส กุมาโรฯ ตาเยวาติ ตาย พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตาย ฌานสญฺญาย เอวฯ สุมาปิตนฺติ ปิตรา สุฎฺฐุ มนาปํ กตฺวา มาปิตํฯ รหสิ ฌายถาติ มาตุคามํ อปสฺสโนฺต วสิฯ ปริเทเวสีติ วิลปิฯ
Tattha sabbakāmasamiddhisūti sabbakāmānaṃ samiddhīsu sampattīsu ṭhitassa rañño putto hutvā eko devaputto nibbatti. Svāssūti so kumāro. Tāyevāti tāya brahmaloke nibbattitāya jhānasaññāya eva. Sumāpitanti pitarā suṭṭhu manāpaṃ katvā māpitaṃ. Rahasi jhāyathāti mātugāmaṃ apassanto vasi. Paridevesīti vilapi.
ปญฺจมา รโญฺญ ปริเทวนคาถา –
Pañcamā rañño paridevanagāthā –
๒๘๘.
288.
‘‘โก นุ เขฺวตฺถ อุปาโย โส, โก วา ชานาติ กิญฺจนํ;
‘‘Ko nu khvettha upāyo so, ko vā jānāti kiñcanaṃ;
โย เม ปุตฺตํ ปโลเภยฺย, ยถา กามานิ ปตฺถเย’’ติฯ
Yo me puttaṃ palobheyya, yathā kāmāni patthaye’’ti.
ตตฺถ โก นุ เขฺวตฺถ อุปาโยติ โก นุ โข เอตฺถ เอตสฺส กามานํ ภุญฺชนอุปาโยฯ ‘‘โก นุ โข อิธุปาโย โส’’ติปิ ปาโฐ, อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘โก นุ โข เอตํ อุปวสิตฺวา อุปลาปนการณํ ชานาตี’’ติ วุตฺตํฯ โก วา ชานาติ กิญฺจนนฺติ โก วา เอตสฺส ปลิโพธการณํ ชานาตีติ อโตฺถฯ
Tattha ko nu khvettha upāyoti ko nu kho ettha etassa kāmānaṃ bhuñjanaupāyo. ‘‘Ko nu kho idhupāyo so’’tipi pāṭho, aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘ko nu kho etaṃ upavasitvā upalāpanakāraṇaṃ jānātī’’ti vuttaṃ. Ko vā jānāti kiñcananti ko vā etassa palibodhakāraṇaṃ jānātīti attho.
ตโต ปรํ ทิยฑฺฒคาถา อภิสมฺพุทฺธคาถา –
Tato paraṃ diyaḍḍhagāthā abhisambuddhagāthā –
๒๘๙.
289.
‘‘อหุ กุมารี ตเตฺถว, วณฺณรูปสมาหิตา;
‘‘Ahu kumārī tattheva, vaṇṇarūpasamāhitā;
กุสลา นจฺจคีตสฺส, วาทิเต จ ปทกฺขิณาฯ
Kusalā naccagītassa, vādite ca padakkhiṇā.
๒๙๐.
290.
‘‘สา ตตฺถ อุปสงฺกมฺม, ราชานํ เอตทพฺรวี’’ติ;
‘‘Sā tattha upasaṅkamma, rājānaṃ etadabravī’’ti;
ตตฺถ อหูติ ภิกฺขเว, ตเตฺถว อเนฺตปุเร จูฬนาฎกานํ อนฺตเร เอกา ตรุณกุมาริกา อโหสิฯ ปทกฺขิณาติ สุสิกฺขิตาฯ
Tattha ahūti bhikkhave, tattheva antepure cūḷanāṭakānaṃ antare ekā taruṇakumārikā ahosi. Padakkhiṇāti susikkhitā.
‘‘อหํ โข นํ ปโลเภยฺยํ, สเจ ภตฺตา ภวิสฺสตี’’ติฯ –
‘‘Ahaṃ kho naṃ palobheyyaṃ, sace bhattā bhavissatī’’ti. –
อุปฑฺฒคาถา กุมาริกาย วุตฺตาฯ
Upaḍḍhagāthā kumārikāya vuttā.
ตตฺถ สเจ ภตฺตาติ สเจ เอส มยฺหํ ปติ ภวิสฺสตีติฯ
Tattha sace bhattāti sace esa mayhaṃ pati bhavissatīti.
๒๙๑.
291.
‘‘ตํ ตถาวาทินิํ ราชา, กุมาริํ เอตทพฺรวิ;
‘‘Taṃ tathāvādiniṃ rājā, kumāriṃ etadabravi;
ตฺวเญฺญว นํ ปโลเภหิ, ตว ภตฺตา ภวิสฺสตีติฯ
Tvaññeva naṃ palobhehi, tava bhattā bhavissatīti.
ตตฺถ ตว ภตฺตาติ ตเวส ปติ ภวิสฺสติ, ตฺวเญฺญว ตสฺส อคฺคมเหสี ภวิสฺสสิ, คจฺฉ นํ ปโลเภหิ, กามรสํ ชานาเปหีติฯ
Tattha tava bhattāti tavesa pati bhavissati, tvaññeva tassa aggamahesī bhavissasi, gaccha naṃ palobhehi, kāmarasaṃ jānāpehīti.
เอวํ วตฺวา ราชา ‘‘อิมิสฺสา กิร โอกาสํ กโรนฺตู’’ติ กุมารสฺส อุปฎฺฐากานํ เปเสสิฯ สา ปจฺจูสกาเล วีณํ อาทาย คนฺตฺวา กุมารสฺส สยนคพฺภสฺส พหิ อวิทูเร ฐตฺวา อคฺคนเขหิ วีณํ วาเทนฺตี มธุรสเรน คายิตฺวา ตํ ปโลเภสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Evaṃ vatvā rājā ‘‘imissā kira okāsaṃ karontū’’ti kumārassa upaṭṭhākānaṃ pesesi. Sā paccūsakāle vīṇaṃ ādāya gantvā kumārassa sayanagabbhassa bahi avidūre ṭhatvā agganakhehi vīṇaṃ vādentī madhurasarena gāyitvā taṃ palobhesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๒๙๒.
292.
‘‘สา จ อเนฺตปุรํ คนฺตฺวา, พหุํ กามุปสํหิตํ;
‘‘Sā ca antepuraṃ gantvā, bahuṃ kāmupasaṃhitaṃ;
หทยงฺคมา เปมนียา, จิตฺรา คาถา อภาสถฯ
Hadayaṅgamā pemanīyā, citrā gāthā abhāsatha.
๒๙๓.
293.
‘‘ตสฺสา จ คายมานาย, สทฺทํ สุตฺวาน นาริยา;
‘‘Tassā ca gāyamānāya, saddaṃ sutvāna nāriyā;
กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปชฺชิ, ชนํ โส ปริปุจฺฉถฯ
Kāmacchandassa uppajji, janaṃ so paripucchatha.
๒๙๔.
294.
‘‘กเสฺสโส สโทฺท โก วา โส, ภณติ อุจฺจาวจํ พหุํ;
‘‘Kasseso saddo ko vā so, bhaṇati uccāvacaṃ bahuṃ;
หทยงฺคมํ เปมนียํ, อโห กณฺณสุขํ มมฯ
Hadayaṅgamaṃ pemanīyaṃ, aho kaṇṇasukhaṃ mama.
๒๙๕.
295.
‘‘เอสา โข ปมทา เทว, ขิฑฺฑา เอสา อนปฺปิกา;
‘‘Esā kho pamadā deva, khiḍḍā esā anappikā;
สเจ ตฺวํ กาเม ภุเญฺชยฺย, ภิโยฺย ภิโยฺย ฉาเทยฺยุ ตํฯ
Sace tvaṃ kāme bhuñjeyya, bhiyyo bhiyyo chādeyyu taṃ.
๒๙๖.
296.
‘‘อิงฺฆ อาคจฺฉโตเรน, อวิทูรมฺหิ คายตุ;
‘‘Iṅgha āgacchatorena, avidūramhi gāyatu;
อสฺสมสฺส สมีปมฺหิ, สนฺติเก มยฺห คายตุฯ
Assamassa samīpamhi, santike mayha gāyatu.
๒๙๗.
297.
‘‘ติโรกุฎฺฎมฺหิ คายิตฺวา, ฌานาคารมฺหิ ปาวิสิ;
‘‘Tirokuṭṭamhi gāyitvā, jhānāgāramhi pāvisi;
พนฺธิ นํ อนุปุเพฺพน, อารญฺญมิว กุญฺชรํฯ
Bandhi naṃ anupubbena, āraññamiva kuñjaraṃ.
๒๙๘.
298.
‘‘ตสฺส กามรสํ ญตฺวา, อิสฺสาธโมฺม อชายถ;
‘‘Tassa kāmarasaṃ ñatvā, issādhammo ajāyatha;
‘อหเมว กาเม ภุเญฺชยฺยํ, มา อโญฺญ ปุริโส อหุ’ฯ
‘Ahameva kāme bhuñjeyyaṃ, mā añño puriso ahu’.
๒๙๙.
299.
‘‘ตโต อสิํ คเหตฺวาน, ปุริเส หนฺตุํ อุปกฺกมิ;
‘‘Tato asiṃ gahetvāna, purise hantuṃ upakkami;
อหเมเวโก ภุญฺชิสฺสํ, มา อโญฺญ ปุริโส สิยาฯ
Ahameveko bhuñjissaṃ, mā añño puriso siyā.
๓๐๐.
300.
‘‘ตโต ชานปทา สเพฺพ, วิกฺกนฺทิํสุ สมาคตา;
‘‘Tato jānapadā sabbe, vikkandiṃsu samāgatā;
ปุโตฺต ตฺยายํ มหาราช, ชนํ เหเฐตฺยทูสกํฯ
Putto tyāyaṃ mahārāja, janaṃ heṭhetyadūsakaṃ.
๓๐๑.
301.
‘‘ตญฺจ ราชา วิวาเหสิ, สมฺหา รฎฺฐา จ ขตฺติโย;
‘‘Tañca rājā vivāhesi, samhā raṭṭhā ca khattiyo;
ยาวตา วิชิตํ มยฺหํ, น เต วตฺถพฺพ ตาวเทฯ
Yāvatā vijitaṃ mayhaṃ, na te vatthabba tāvade.
๓๐๒.
302.
‘‘ตโต โส ภริยมาทาย, สมุทฺทํ อุปสงฺกมิ;
‘‘Tato so bhariyamādāya, samuddaṃ upasaṅkami;
ปณฺณสาลํ กริตฺวาน, วนมุญฺฉาย ปาวิสิฯ
Paṇṇasālaṃ karitvāna, vanamuñchāya pāvisi.
๓๐๓.
303.
‘‘อเถตฺถ อิสิ มาคจฺฉิ, สมุทฺทํ อุปรูปริ;
‘‘Athettha isi māgacchi, samuddaṃ uparūpari;
โส ตสฺส เคหํ ปาเวกฺขิ, ภตฺตกาเล อุปฎฺฐิเตฯ
So tassa gehaṃ pāvekkhi, bhattakāle upaṭṭhite.
๓๐๔.
304.
‘‘ตญฺจ ภริยา ปโลเภสิ, ปสฺส ยาว สุทารุณํ;
‘‘Tañca bhariyā palobhesi, passa yāva sudāruṇaṃ;
จุโต โส พฺรหฺมจริยมฺหา, อิทฺธิยา ปริหายถฯ
Cuto so brahmacariyamhā, iddhiyā parihāyatha.
๓๐๕.
305.
‘‘ราชปุโตฺต จ อุญฺฉาโต, วนมูลผลํ พหุํ;
‘‘Rājaputto ca uñchāto, vanamūlaphalaṃ bahuṃ;
สายํ กาเชน อาทาย, อสฺสมํ อุปสงฺกมิฯ
Sāyaṃ kājena ādāya, assamaṃ upasaṅkami.
๓๐๖.
306.
‘‘อิสี จ ขตฺติยํ ทิสฺวา, สมุทฺทํ อุปสงฺกมิ;
‘‘Isī ca khattiyaṃ disvā, samuddaṃ upasaṅkami;
‘เวหายสํ คมิสฺส’นฺติ, สีทเต โส มหณฺณเวฯ
‘Vehāyasaṃ gamissa’nti, sīdate so mahaṇṇave.
๓๐๗.
307.
‘‘ขตฺติโย จ อิสิํ ทิสฺวา, สีทมานํ มหณฺณเว;
‘‘Khattiyo ca isiṃ disvā, sīdamānaṃ mahaṇṇave;
ตเสฺสว อนุกมฺปาย, อิมา คาถา อภาสถฯ
Tasseva anukampāya, imā gāthā abhāsatha.
๓๐๘.
308.
‘‘อภิชฺชมาเน วาริสฺมิํ, สยํ อาคมฺม อิทฺธิยา;
‘‘Abhijjamāne vārismiṃ, sayaṃ āgamma iddhiyā;
มิสฺสีภาวิตฺถิยา คนฺตฺวา, สํสีทสิ มหณฺณเวฯ
Missībhāvitthiyā gantvā, saṃsīdasi mahaṇṇave.
๓๐๙.
309.
‘‘อาวฎฺฎนี มหามายา, พฺรหฺมจริยวิโกปนา;
‘‘Āvaṭṭanī mahāmāyā, brahmacariyavikopanā;
สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ
Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.
๓๑๐.
310.
‘‘อนลา มุทุสมฺภาสา, ทุปฺปูรา ตา นทีสมา;
‘‘Analā mudusambhāsā, duppūrā tā nadīsamā;
สีทนฺติ นํ วิทิตฺวาน, อารกา ปริวชฺชเยฯ
Sīdanti naṃ viditvāna, ārakā parivajjaye.
๓๑๑.
311.
‘‘ยํ เอตา อุปเสวนฺติ, ฉนฺทสา วา ธเนน วา;
‘‘Yaṃ etā upasevanti, chandasā vā dhanena vā;
ชาตเวโทว สํ ฐานํ, ขิปฺปํ อนุทหนฺติ ตํฯ
Jātavedova saṃ ṭhānaṃ, khippaṃ anudahanti taṃ.
๓๑๒.
312.
‘‘ขตฺติยสฺส วโจ สุตฺวา, อิสิสฺส นิพฺพิทา อหุ;
‘‘Khattiyassa vaco sutvā, isissa nibbidā ahu;
ลทฺธา โปราณกํ มคฺคํ, คจฺฉเต โส วิหายสํฯ
Laddhā porāṇakaṃ maggaṃ, gacchate so vihāyasaṃ.
๓๑๓.
313.
‘‘ขตฺติโย จ อิสิํ ทิสฺวา, คจฺฉมานํ วิหายสํ;
‘‘Khattiyo ca isiṃ disvā, gacchamānaṃ vihāyasaṃ;
สํเวคํ อลภี ธีโร, ปพฺพชฺชํ สมโรจยิฯ
Saṃvegaṃ alabhī dhīro, pabbajjaṃ samarocayi.
๓๑๔.
314.
‘‘ตโต โส ปพฺพชิตฺวาน, กามราคํ วิราชยิ;
‘‘Tato so pabbajitvāna, kāmarāgaṃ virājayi;
กามราคํ วิราเชตฺวา, พฺราหฺมโลกูปโค อหู’’ติฯ
Kāmarāgaṃ virājetvā, brāhmalokūpago ahū’’ti.
ตตฺถ อเนฺตปุรนฺติ กุมารสฺส วสนฎฺฐานํฯ พหุนฺติ พหุํ นานปฺปการํฯ กามุปสํหิตนฺติ กามนิสฺสิตํ คีตํ ปวตฺตยมานาฯ กามจฺฉนฺทสฺสาติ อสฺส อนิตฺถิคนฺธกุมารสฺส กามจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชิฯ ชนนฺติ อตฺตโน สนฺติกาวจรํ ปริจาริกชนํฯ อุจฺจาวจนฺติ อุคฺคตญฺจ อนุคฺคตญฺจฯ ภุเญฺชยฺยาติ สเจ ภุเญฺชยฺยาสิฯ ฉาเทยฺยุ ตนฺติ เอเต กามา นาม ตว รุเจฺจยฺยุํฯ โส ‘‘ปมทา’’ติ วจนํ สุตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อิตรา ปุนทิวเสปิ คายิฯ เอวํ กุมาโร ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ตสฺสา อาคมนํ โรเจโนฺต ปริจาริเก อามเนฺตตฺวา ‘‘อิงฺฆา’’ติ คาถมาหฯ
Tattha antepuranti kumārassa vasanaṭṭhānaṃ. Bahunti bahuṃ nānappakāraṃ. Kāmupasaṃhitanti kāmanissitaṃ gītaṃ pavattayamānā. Kāmacchandassāti assa anitthigandhakumārassa kāmacchando uppajji. Jananti attano santikāvacaraṃ paricārikajanaṃ. Uccāvacanti uggatañca anuggatañca. Bhuñjeyyāti sace bhuñjeyyāsi. Chādeyyu tanti ete kāmā nāma tava rucceyyuṃ. So ‘‘pamadā’’ti vacanaṃ sutvā tuṇhī ahosi. Itarā punadivasepi gāyi. Evaṃ kumāro paṭibaddhacitto hutvā tassā āgamanaṃ rocento paricārike āmantetvā ‘‘iṅghā’’ti gāthamāha.
ติโรกุฎฺฎมฺหีติ สยนคพฺภกุฎฺฎสฺส พหิฯ มา อโญฺญติ อโญฺญ กาเม ปริภุญฺชโนฺต ปุริโส นาม มา สิยาฯ หนฺตุํ อุปกฺกมีติ อนฺตรวีถิํ โอตริตฺวา มาเรตุํ อารภิฯ วิกนฺทิํสูติ กุมาเรน กติปเยสุ ปุริเสสุ ปหเตสุ ปุริสา ปลายิตฺวา เคหานิ ปวิสิํสุฯ โส ปุริเส อลภโนฺต โถกํ วิสฺสมิฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา อุปโกฺกสิํสุฯ ชนํ เหเฐตฺยทูสกนฺติ นิรปราธํ ชนํ เหเฐติ, ตํ คณฺหาเปถาติ วทิํสุฯ ราชา อุปาเยน กุมารํ คณฺหาเปตฺวา ‘‘อิมสฺส กิํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อญฺญํ นตฺถิ, อิมํ ปน กุมารํ ตาย กุมาริกาย สทฺธิํ รฎฺฐา ปพฺพาเชตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ตถา อกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ‘‘ตญฺจา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิวาเหสีติ ปพฺพาเชสิฯ น เต วตฺถพฺพ ตาวเทติ ยตฺตกํ มยฺหํ วิชิตํ, ตตฺตเก ตยา น วตฺถพฺพํฯ อุญฺฉายาติ ผลาผลตฺถายฯ
Tirokuṭṭamhīti sayanagabbhakuṭṭassa bahi. Mā aññoti añño kāme paribhuñjanto puriso nāma mā siyā. Hantuṃ upakkamīti antaravīthiṃ otaritvā māretuṃ ārabhi. Vikandiṃsūti kumārena katipayesu purisesu pahatesu purisā palāyitvā gehāni pavisiṃsu. So purise alabhanto thokaṃ vissami. Tasmiṃ khaṇe rājaṅgaṇe sannipatitvā upakkosiṃsu. Janaṃ heṭhetyadūsakanti niraparādhaṃ janaṃ heṭheti, taṃ gaṇhāpethāti vadiṃsu. Rājā upāyena kumāraṃ gaṇhāpetvā ‘‘imassa kiṃ kattabba’’nti pucchi. ‘‘Deva, aññaṃ natthi, imaṃ pana kumāraṃ tāya kumārikāya saddhiṃ raṭṭhā pabbājetuṃ vaṭṭatī’’ti vutte tathā akāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā ‘‘tañcā’’tiādimāha. Tattha vivāhesīti pabbājesi. Na te vatthabba tāvadeti yattakaṃ mayhaṃ vijitaṃ, tattake tayā na vatthabbaṃ. Uñchāyāti phalāphalatthāya.
ตสฺมิํ ปน วนํ ปวิเฎฺฐ อิตรา ยํ ตตฺถ ปจิตพฺพยุตฺตกํ อตฺถิ, ตํ ปจิตฺวา ตสฺสาคมนํ โอโลเกนฺตี ปณฺณสาลทฺวาเร นิสีทติฯ เอวํ กาเล คจฺฉเนฺต เอกทิวสํ อนฺตรทีปกวาสี เอโก อิทฺธิมนฺตตาปโส อสฺสมปทโต นิกฺขมิตฺวา มณิผลกํ วิย อุทกํ มทฺทมาโนว อากาเส อุปฺปติตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉโนฺต ปณฺณสาลาย อุปริภาคํ ปตฺวา ธูมํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน มนุสฺสา วสนฺติ มเญฺญ’’ติ ปณฺณสาลทฺวาเร โอตริฯ สา ตํ ทิสฺวา นิสีทาเปตฺวา ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา อิตฺถิกุตฺตํ ทเสฺสตฺวา เตน สทฺธิํ อนาจารํ อจริฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา ‘‘อเถตฺถา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิสิ มาคจฺฉีติ อิสิ อาคจฺฉิฯ สมุทฺทํ อุปรูปรีติ สมุทฺทสฺส มตฺถกมตฺถเกนฯ ปสฺส ยาว สุทารุณนฺติ ปสฺสถ, ภิกฺขเว, ตาย กุมาริกาย ยาว สุทารุณํ กมฺมํ กตนฺติ อโตฺถฯ
Tasmiṃ pana vanaṃ paviṭṭhe itarā yaṃ tattha pacitabbayuttakaṃ atthi, taṃ pacitvā tassāgamanaṃ olokentī paṇṇasāladvāre nisīdati. Evaṃ kāle gacchante ekadivasaṃ antaradīpakavāsī eko iddhimantatāpaso assamapadato nikkhamitvā maṇiphalakaṃ viya udakaṃ maddamānova ākāse uppatitvā bhikkhācāraṃ gacchanto paṇṇasālāya uparibhāgaṃ patvā dhūmaṃ disvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne manussā vasanti maññe’’ti paṇṇasāladvāre otari. Sā taṃ disvā nisīdāpetvā paṭibaddhacittā hutvā itthikuttaṃ dassetvā tena saddhiṃ anācāraṃ acari. Tamatthaṃ pakāsento satthā ‘‘athetthā’’tiādimāha. Tattha isi māgacchīti isi āgacchi. Samuddaṃ uparūparīti samuddassa matthakamatthakena. Passa yāva sudāruṇanti passatha, bhikkhave, tāya kumārikāya yāva sudāruṇaṃ kammaṃ katanti attho.
สายนฺติ สายนฺหสมเยฯ ทิสฺวาติ ตํ วิชหิตุํ อสโกฺกโนฺต สกลทิวสํ ตเตฺถว หุตฺวา สายนฺหสมเย ราชปุตฺตํ อาคตํ ทิสฺวา ปลายิตุํ ‘‘เวหายสํ คมิสฺส’’นฺติ อุปฺปตนาการํ กโรโนฺต ปติตฺวา มหณฺณเว สีทติฯ อิสิํ ทิสฺวาติ อนุพนฺธมาโน คนฺตฺวา ปสฺสิตฺวาฯ อนุกมฺปายาติ สจายํ ภูมิยา อาคโต อภวิสฺส, ปลายิตฺวา อรญฺญํ ปวิเสยฺย, อากาเสน อาคโต ภวิสฺสติ, ตสฺมา สมุเทฺท ปติโตปิ อุปฺปตนาการเมว กโรตีติ อนุกมฺปํ อุปฺปาเทตฺวา ตเสฺสว อนุกมฺปาย อภาสถฯ ตาสํ ปน คาถานํ อโตฺถ ติกนิปาเต วุโตฺตเยวฯ นิพฺพิทา อหูติ กาเมสุ นิเพฺพโท ชาโตฯ โปราณกํ มคฺคนฺติ ปุเพฺพ อธิคตํ ฌานวิเสสํฯ ปพฺพชิตฺวานาติ ตํ อิตฺถิํ มนุสฺสาวาสํ เนตฺวา นิวตฺติตฺวา อรเญฺญ อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กามราคํ วิราชยิ, วิราเชตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสีติฯ
Sāyanti sāyanhasamaye. Disvāti taṃ vijahituṃ asakkonto sakaladivasaṃ tattheva hutvā sāyanhasamaye rājaputtaṃ āgataṃ disvā palāyituṃ ‘‘vehāyasaṃ gamissa’’nti uppatanākāraṃ karonto patitvā mahaṇṇave sīdati. Isiṃ disvāti anubandhamāno gantvā passitvā. Anukampāyāti sacāyaṃ bhūmiyā āgato abhavissa, palāyitvā araññaṃ paviseyya, ākāsena āgato bhavissati, tasmā samudde patitopi uppatanākārameva karotīti anukampaṃ uppādetvā tasseva anukampāya abhāsatha. Tāsaṃ pana gāthānaṃ attho tikanipāte vuttoyeva. Nibbidā ahūti kāmesu nibbedo jāto. Porāṇakaṃ magganti pubbe adhigataṃ jhānavisesaṃ. Pabbajitvānāti taṃ itthiṃ manussāvāsaṃ netvā nivattitvā araññe isipabbajjaṃ pabbajitvā kāmarāgaṃ virājayi, virājetvā brahmalokūpago ahosīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ, ภิกฺขเว, มาตุคามํ ปฎิจฺจ วิสุทฺธสตฺตาปิ สํกิลิสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ อรหตฺตํ ปโตฺตฯ ตทา อนิตฺถิคนฺธกุมาโร อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ, bhikkhave, mātugāmaṃ paṭicca visuddhasattāpi saṃkilissantī’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu arahattaṃ patto. Tadā anitthigandhakumāro ahameva ahosinti.
มหาปโลภนชาตกวณฺณนา เอกาทสมาฯ
Mahāpalobhanajātakavaṇṇanā ekādasamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๐๗. มหาปโลภนชาตกํ • 507. Mahāpalobhanajātakaṃ