Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เถรคาถา-อฎฺฐกถา • Theragāthā-aṭṭhakathā |
๓. มหาปนฺถกเตฺถรคาถาวณฺณนา
3. Mahāpanthakattheragāthāvaṇṇanā
ยทา ปฐมมทฺทกฺขินฺติอาทิกา อายสฺมโต มหาปนฺถกเตฺถรสฺส คาถาฯ กา อุปฺปตฺติ? อยํ กิร ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล หํสวตีนคเร วิภวสมฺปโนฺน กุฎุมฺพิโย หุตฺวา เอกทิวสํ สตฺถุ สนฺติเก ธมฺมํ สุณโนฺต สตฺถารํ เอกํ ภิกฺขุํ สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ อคฺคฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา สยมฺปิ ตํ ฐานนฺตรํ ปเตฺถโนฺต พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส สตฺตาหํ มหาทานํ ปวเตฺตตฺวา, ‘‘ภเนฺต, ยํ ภิกฺขุํ ตุเมฺห อิโต สตฺตทิวสมตฺถเก – ‘สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ อยํ มม สาสเน อโคฺค’ติ เอตทเคฺค ฐปยิตฺถ, อหมฺปิ อิมสฺส อธิการกมฺมสฺส พเลน โส ภิกฺขุ วิย อนาคเต เอกสฺส พุทฺธสฺส สาสเน อโคฺค ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ กนิฎฺฐภาตา ปนสฺส ตเถว ภควติ อธิการกมฺมํ กตฺวา มโนมยสฺส กายสฺสาภินิมฺมานํ เจโตวิวฎฺฎโกสลฺลนฺติ ทฺวินฺนํ องฺคานํ วเสน วุตฺตนเยเนว ปณิธานํ อกาสิฯ ภควา ทฺวินฺนมฺปิ ปตฺถนํ อนนฺตราเยน สมิชฺฌนภาวํ ทิสฺวา ‘‘อนาคเต กปฺปสตสหสฺสมตฺถเก โคตมสฺส นาม สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาสเน ตุมฺหากํ ปตฺถนา สมิชฺฌิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ
Yadāpaṭhamamaddakkhintiādikā āyasmato mahāpanthakattherassa gāthā. Kā uppatti? Ayaṃ kira padumuttarassa bhagavato kāle haṃsavatīnagare vibhavasampanno kuṭumbiyo hutvā ekadivasaṃ satthu santike dhammaṃ suṇanto satthāraṃ ekaṃ bhikkhuṃ saññāvivaṭṭakusalānaṃ aggaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā sayampi taṃ ṭhānantaraṃ patthento buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa sattāhaṃ mahādānaṃ pavattetvā, ‘‘bhante, yaṃ bhikkhuṃ tumhe ito sattadivasamatthake – ‘saññāvivaṭṭakusalānaṃ ayaṃ mama sāsane aggo’ti etadagge ṭhapayittha, ahampi imassa adhikārakammassa balena so bhikkhu viya anāgate ekassa buddhassa sāsane aggo bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Kaniṭṭhabhātā panassa tatheva bhagavati adhikārakammaṃ katvā manomayassa kāyassābhinimmānaṃ cetovivaṭṭakosallanti dvinnaṃ aṅgānaṃ vasena vuttanayeneva paṇidhānaṃ akāsi. Bhagavā dvinnampi patthanaṃ anantarāyena samijjhanabhāvaṃ disvā ‘‘anāgate kappasatasahassamatthake gotamassa nāma sammāsambuddhassa sāsane tumhākaṃ patthanā samijjhissatī’’ti byākāsi.
เต อุโภปิ ชนา ตตฺถ ยาวชีวํ ปุญฺญานิ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติํสุฯ ตตฺถ มหาปนฺถกสฺส อนฺตรากตํ กลฺยาณธมฺมํ น กถียติฯ จูฬปนฺถโก ปน กสฺสปสฺส ภควโต สาสเน ปพฺพชิตฺวา วีสติ วสฺสสหสฺสานิ โอทาตกสิณกมฺมํ กตฺวา เทวปุเร นิพฺพตฺติฯ อปทาเน ปน ‘‘จูฬปนฺถโก ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต กาเล ตาปโส หุตฺวา หิมวเนฺต วสโนฺต ตตฺถ ภควนฺตํ ทิสฺวา ปุปฺผจฺฉเตฺตน ปูชํ อกาสี’’ติ อาคตํฯ เตสํ เทวมนุเสฺสสุ สํสรนฺตานํเยว กปฺปสตสหสฺสํ อติกฺกนฺตํฯ อถ อมฺหากํ สตฺถา อภิสโมฺพธิํ ปตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก ราชคหํ อุปนิสฺสาย เวฬุวเน มหาวิหาเร วิหรติฯ
Te ubhopi janā tattha yāvajīvaṃ puññāni katvā tato cuto devaloke nibbattiṃsu. Tattha mahāpanthakassa antarākataṃ kalyāṇadhammaṃ na kathīyati. Cūḷapanthako pana kassapassa bhagavato sāsane pabbajitvā vīsati vassasahassāni odātakasiṇakammaṃ katvā devapure nibbatti. Apadāne pana ‘‘cūḷapanthako padumuttarassa bhagavato kāle tāpaso hutvā himavante vasanto tattha bhagavantaṃ disvā pupphacchattena pūjaṃ akāsī’’ti āgataṃ. Tesaṃ devamanussesu saṃsarantānaṃyeva kappasatasahassaṃ atikkantaṃ. Atha amhākaṃ satthā abhisambodhiṃ patvā pavattitavaradhammacakko rājagahaṃ upanissāya veḷuvane mahāvihāre viharati.
เตน จ สมเยน ราชคเห ธนเสฎฺฐิสฺส ธีตา อตฺตโน ทาเสน สทฺธิํ สนฺถวํ กตฺวา ญาตเกหิ ภีตา หตฺถสารํ คเหตฺวา เตน สทฺธิํ ปลายิตฺวา อญฺญตฺถ วสนฺตี ตํ ปฎิจฺจ คพฺภํ ลภิตฺวา ปริปกฺกคพฺภา ‘‘ญาติฆรํ คนฺตฺวา วิชายิสฺสามี’’ติ คจฺฉนฺตี อนฺตรามเคฺคเยว ปุตฺตํ วิชายิตฺวา สามินา นิวตฺติตา ปุเพฺพ วสิตฎฺฐาเน วสนฺตี ปุตฺตสฺส ปเนฺถ ชาตตฺตา ปนฺถโกติ, นามํ อกาสิฯ ตสฺมิํ อาธาวิตฺวา วิธาวิตฺวา วิจรณกาเล ตเมว ปฎิจฺจ ทุติยํ คพฺภํ ปฎิลภิตฺวา ปริปกฺกคพฺภา ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว อนฺตรามเคฺค ปุตฺตํ วิชายิตฺวา สามินา นิวตฺติตา เชฎฺฐปุตฺตสฺส มหาปนฺถโกติ กนิฎฺฐสฺส จูฬปนฺถโกติ นามํ กตฺวา ยถาวสิตฎฺฐาเนเยว วสนฺตี อนุกฺกเมน ทารเกสุ วฑฺฒเนฺตสุ เตหิ, ‘‘อมฺม, อยฺยกกุลํ โน ทเสฺสหี’’ติ นิพุนฺธิยมานา ทารเก มาตาปิตูนํ สนฺติกํ เปเสสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ทารกา ธนเสฎฺฐิโน เคเห วฑฺฒนฺติฯ เตสุ จูฬปนฺถโก อติทหโรฯ มหาปนฺถโก ปน อยฺยเกน สทฺธิํ ภควโต สนฺติกํ คโต สตฺถารํ ทิสฺวา สห ทสฺสเนน ปฎิลทฺธสโทฺธ ธมฺมํ สุตฺวา อุปนิสฺสยสมฺปนฺนตาย ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา ปิตามหํ อาปุจฺฉิฯ โส สตฺถุ ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ตํ ปพฺพาเชสิฯ โส ปพฺพชิตฺวา พหุํ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหิตฺวา ปริปุณฺณวโสฺส อุปสมฺปชฺชิตฺวา โยนิโสมนสิกาเร กมฺมํ กโรโนฺต วิเสสโต จตุนฺนํ อรูปชฺฌานานํ ลาภี หุตฺวา ตโต วุฎฺฐาย วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อิติ โส สญฺญาวิวฎฺฎกุสลานํ อโคฺค ชาโตฯ โส ฌานสุเขน ผลสุเขน วีตินาเมโนฺต เอกทิวสํ อตฺตโน ปฎิปตฺติํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา อธิคตสมฺปตฺติํ ปฎิจฺจ สญฺชาตโสมนโสฺส สีหนาทํ นทโนฺต –
Tena ca samayena rājagahe dhanaseṭṭhissa dhītā attano dāsena saddhiṃ santhavaṃ katvā ñātakehi bhītā hatthasāraṃ gahetvā tena saddhiṃ palāyitvā aññattha vasantī taṃ paṭicca gabbhaṃ labhitvā paripakkagabbhā ‘‘ñātigharaṃ gantvā vijāyissāmī’’ti gacchantī antarāmaggeyeva puttaṃ vijāyitvā sāminā nivattitā pubbe vasitaṭṭhāne vasantī puttassa panthe jātattā panthakoti, nāmaṃ akāsi. Tasmiṃ ādhāvitvā vidhāvitvā vicaraṇakāle tameva paṭicca dutiyaṃ gabbhaṃ paṭilabhitvā paripakkagabbhā pubbe vuttanayeneva antarāmagge puttaṃ vijāyitvā sāminā nivattitā jeṭṭhaputtassa mahāpanthakoti kaniṭṭhassa cūḷapanthakoti nāmaṃ katvā yathāvasitaṭṭhāneyeva vasantī anukkamena dārakesu vaḍḍhantesu tehi, ‘‘amma, ayyakakulaṃ no dassehī’’ti nibundhiyamānā dārake mātāpitūnaṃ santikaṃ pesesi. Tato paṭṭhāya dārakā dhanaseṭṭhino gehe vaḍḍhanti. Tesu cūḷapanthako atidaharo. Mahāpanthako pana ayyakena saddhiṃ bhagavato santikaṃ gato satthāraṃ disvā saha dassanena paṭiladdhasaddho dhammaṃ sutvā upanissayasampannatāya pabbajitukāmo hutvā pitāmahaṃ āpucchi. So satthu tamatthaṃ ārocetvā taṃ pabbājesi. So pabbajitvā bahuṃ buddhavacanaṃ uggaṇhitvā paripuṇṇavasso upasampajjitvā yonisomanasikāre kammaṃ karonto visesato catunnaṃ arūpajjhānānaṃ lābhī hutvā tato vuṭṭhāya vipassanaṃ ussukkāpetvā arahattaṃ pāpuṇi. Iti so saññāvivaṭṭakusalānaṃ aggo jāto. So jhānasukhena phalasukhena vītināmento ekadivasaṃ attano paṭipattiṃ paccavekkhitvā adhigatasampattiṃ paṭicca sañjātasomanasso sīhanādaṃ nadanto –
๕๑๐.
510.
‘‘ยทา ปฐมมทฺทกฺขิํ, สตฺถารมกุโตภยํ;
‘‘Yadā paṭhamamaddakkhiṃ, satthāramakutobhayaṃ;
ตโต เม อหุ สํเวโค, ปสฺสิตฺวา ปุริสุตฺตมํฯ
Tato me ahu saṃvego, passitvā purisuttamaṃ.
๕๑๑.
511.
‘‘สิริํ หเตฺถหิ ปาเทหิ, โย ปณาเมยฺย อาคตํ;
‘‘Siriṃ hatthehi pādehi, yo paṇāmeyya āgataṃ;
เอตาทิสํ โส สตฺถารํ, อาราเธตฺวา วิราธเยฯ
Etādisaṃ so satthāraṃ, ārādhetvā virādhaye.
๕๑๒.
512.
‘‘ตทาหํ ปุตฺตทารญฺจ, ธนธญฺญญฺจ ฉฑฺฑยิํ;
‘‘Tadāhaṃ puttadārañca, dhanadhaññañca chaḍḍayiṃ;
เกสมสฺสูนิ เฉเทตฺวา, ปพฺพชิํ อนคาริยํฯ
Kesamassūni chedetvā, pabbajiṃ anagāriyaṃ.
๕๑๓.
513.
‘‘สิกฺขาสาชีวสมฺปโนฺน, อินฺทฺริเยสุ สุสํวุโต;
‘‘Sikkhāsājīvasampanno, indriyesu susaṃvuto;
นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ, วิหาสิํ อปราชิโตฯ
Namassamāno sambuddhaṃ, vihāsiṃ aparājito.
๕๑๔.
514.
‘‘ตโต เม ปณิธี อาสิ, เจตโส อภิปตฺถิโต;
‘‘Tato me paṇidhī āsi, cetaso abhipatthito;
น นิสีเท มุหุตฺตมฺปิ, ตณฺหาสเลฺล อนูหเตฯ
Na nisīde muhuttampi, taṇhāsalle anūhate.
๕๑๕.
515.
‘‘ตสฺส เมวํ วิหรโต, ปสฺส วีริยปรกฺกมํ;
‘‘Tassa mevaṃ viharato, passa vīriyaparakkamaṃ;
ติโสฺส วิชฺชา อนุปฺปตฺตา, กตํ พุทฺธสฺส สาสนํฯ
Tisso vijjā anuppattā, kataṃ buddhassa sāsanaṃ.
๕๑๖.
516.
‘‘ปุเพฺพนิวาสํ ชานามิ, ทิพฺพจกฺขุ วิโสธิตํ;
‘‘Pubbenivāsaṃ jānāmi, dibbacakkhu visodhitaṃ;
อรหา ทกฺขิเณโยฺยมฺหิ, วิปฺปมุโตฺต นิรูปธิฯ
Arahā dakkhiṇeyyomhi, vippamutto nirūpadhi.
๕๑๗.
517.
‘‘ตโต รตฺยาวิวสาเน, สูริยุคฺคมนํ ปติ;
‘‘Tato ratyāvivasāne, sūriyuggamanaṃ pati;
สพฺพํ ตณฺหํ วิโสเสตฺวา, ปลฺลเงฺกน อุปาวิสิ’’นฺติฯ – อิมา คาถา อภาสิ;
Sabbaṃ taṇhaṃ visosetvā, pallaṅkena upāvisi’’nti. – imā gāthā abhāsi;
ตตฺถ ยทาติ ยสฺมิํ กาเลฯ ปฐมนฺติ อาทิโตฯ อทฺทกฺขินฺติ ปสฺสิํ, สตฺถารนฺติ, ภควนฺตํฯ อกุโตภยนฺติ นิพฺภยํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – สเพฺพสํ ภยเหตูนํ โพธิมูเลเยว ปหีนตฺตา กุโตจิปิ ภยาภาวโต อกุโตภยํ นิพฺภยํ, จตุเวสารชฺชวิสารทํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ เวเนยฺยานํ ยถารหมนุสาสนโต สตฺถารํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ มยฺหํ ปิตามเหน สทฺธิํ คนฺตฺวา ยาย เวลาย สพฺพปฐมํ ปสฺสิํ, ตํ ปุริสุตฺตมํ สเทวเก โลเก อคฺคปุคฺคลํ ปสฺสิตฺวา ตโต ทสฺสนเหตุ ตโต ทสฺสนโต ปจฺฉา ‘‘เอตฺตกํ กาลํ สตฺถารํ ทฎฺฐุํ ธมฺมญฺจ โสตุํ นาลตฺถ’’นฺติ มยฺหํ สํเวโค อหุ สโหตฺตปฺปํ ญาณํ อุปฺปชฺชิฯ อุปฺปนฺนสํเวโค ปนาหํ เอวํ จิเนฺตสินฺติ ทเสฺสติ สิริํ หเตฺถหีติ คาถายฯ ตสฺสโตฺถ – โย วิภวตฺถิโก ปุริโส ‘‘อุปฎฺฐายิโก หุตฺวา ตว สนฺติเก วสิสฺสามี’’ติ สวิคฺคหํ สิริํ สยเน อุปคตํ หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ โกเฎฺฎโนฺต ปณาเมยฺย นีหเรยฺย, โส ตถารูโป อลกฺขิกปุริโส เอตาทิสํ สตฺถารํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อาราเธตฺวา อิมสฺมิํ นวเม ขเณ ปฎิลภิตฺวา วิราธเย ตสฺส โอวาทากรเณน ตํ วิรเชฺฌยฺย, อหํ ปเนวํ น กโรมีติ อธิปฺปาโยฯ เตนาห ‘‘ตทาหํ…เป.… อนคาริย’’นฺติฯ ตตฺถ ฉฑฺฑยินฺติ, ปชหิํฯ ‘‘ฉฑฺฑิย’’นฺติปิ ปาโฐฯ นนุ อยํ เถโร ทารปริคฺคหํ อกตฺวาว ปพฺพชิโต, โส กสฺมา ‘‘ปุตฺตทารญฺจ ฉฑฺฑยิ’’นฺติ อโวจาติ? ยถา นาม ปุริโส อนิพฺพตฺตผลเมว รุกฺขํ ฉินฺทโนฺต อจฺฉิเนฺน ตโต ลทฺธผเลหิ ปริหีโน นาม โหติฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tattha yadāti yasmiṃ kāle. Paṭhamanti ādito. Addakkhinti passiṃ, satthāranti, bhagavantaṃ. Akutobhayanti nibbhayaṃ. Ayañhettha attho – sabbesaṃ bhayahetūnaṃ bodhimūleyeva pahīnattā kutocipi bhayābhāvato akutobhayaṃ nibbhayaṃ, catuvesārajjavisāradaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi veneyyānaṃ yathārahamanusāsanato satthāraṃ sammāsambuddhaṃ mayhaṃ pitāmahena saddhiṃ gantvā yāya velāya sabbapaṭhamaṃ passiṃ, taṃ purisuttamaṃ sadevake loke aggapuggalaṃ passitvā tato dassanahetu tato dassanato pacchā ‘‘ettakaṃ kālaṃ satthāraṃ daṭṭhuṃ dhammañca sotuṃ nālattha’’nti mayhaṃ saṃvego ahu sahottappaṃ ñāṇaṃ uppajji. Uppannasaṃvego panāhaṃ evaṃ cintesinti dasseti siriṃ hatthehīti gāthāya. Tassattho – yo vibhavatthiko puriso ‘‘upaṭṭhāyiko hutvā tava santike vasissāmī’’ti saviggahaṃ siriṃ sayane upagataṃ hatthehi ca pādehi ca koṭṭento paṇāmeyya nīhareyya, so tathārūpo alakkhikapuriso etādisaṃ satthāraṃ sammāsambuddhaṃ ārādhetvā imasmiṃ navame khaṇe paṭilabhitvā virādhaye tassa ovādākaraṇena taṃ virajjheyya, ahaṃ panevaṃ na karomīti adhippāyo. Tenāha ‘‘tadāhaṃ…pe… anagāriya’’nti. Tattha chaḍḍayinti, pajahiṃ. ‘‘Chaḍḍiya’’ntipi pāṭho. Nanu ayaṃ thero dārapariggahaṃ akatvāva pabbajito, so kasmā ‘‘puttadārañca chaḍḍayi’’nti avocāti? Yathā nāma puriso anibbattaphalameva rukkhaṃ chindanto acchinne tato laddhaphalehi parihīno nāma hoti. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.
สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺนติ ยา อธิสีลสิกฺขา, ตาย จ, ยตฺถ ภิกฺขู สห ชีวนฺติ, เอกชีวิกา สภาควุตฺติโน โหนฺติ, เตน ภควตา ปญฺญตฺตสิกฺขาปทสงฺขาเตน สาชีเวน จ สมนฺนาคโต สิกฺขนภาเวน สมงฺคีภูโต, สิกฺขํ ปริปูเรโนฺต สาชีวญฺจ อวีติกฺกมโนฺต หุตฺวา ตทุภยํ สมฺปาเทโนฺตติ อโตฺถฯ เตน สุวิสุเทฺธ ปาติโมเกฺข สีเล ปติฎฺฐิตภาวํ ทเสฺสติฯ อินฺทฺริเยสุ สุสํวุโตติ มนจฺฉเฎฺฐสุ อินฺทฺริเยสุ สุฎฺฐุ สํวุโตฯ รูปาทิวิสเยสุ อุปฺปชฺชนกานํ อภิชฺฌาทีนํ ปวตฺตินิวารณวเสน สติกวาเฎน สุปิหิตจกฺขาทิทฺวาโรติ อโตฺถฯ เอวํ ปาติโมกฺขสํวรอินฺทฺริยสํวรสีลสมฺปตฺติทสฺสเนน อิตรสีลมฺปิ อตฺถโต ทสฺสิตเมว โหตีติ เถโร อตฺตโน จตุปาริสุทฺธิสีลสมฺปทํ ทเสฺสตฺวา ‘‘นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธ’’นฺติ อิมินา พุทฺธานุสฺสติภาวนานุโยคมาหฯ วิหาสิํ อปราชิโตติ กิเลสมาราทีหิ อปราชิโต เอว หุตฺวา วิหริํ, ยาว อรหตฺตปฺปตฺติ, ตาว เตหิ อนภิภูโต, อญฺญทตฺถุ เต อภิภวโนฺต เอว วิหาสินฺติ อโตฺถฯ
Sikkhāsājīvasamāpannoti yā adhisīlasikkhā, tāya ca, yattha bhikkhū saha jīvanti, ekajīvikā sabhāgavuttino honti, tena bhagavatā paññattasikkhāpadasaṅkhātena sājīvena ca samannāgato sikkhanabhāvena samaṅgībhūto, sikkhaṃ paripūrento sājīvañca avītikkamanto hutvā tadubhayaṃ sampādentoti attho. Tena suvisuddhe pātimokkhe sīle patiṭṭhitabhāvaṃ dasseti. Indriyesu susaṃvutoti manacchaṭṭhesu indriyesu suṭṭhu saṃvuto. Rūpādivisayesu uppajjanakānaṃ abhijjhādīnaṃ pavattinivāraṇavasena satikavāṭena supihitacakkhādidvāroti attho. Evaṃ pātimokkhasaṃvaraindriyasaṃvarasīlasampattidassanena itarasīlampi atthato dassitameva hotīti thero attano catupārisuddhisīlasampadaṃ dassetvā ‘‘namassamāno sambuddha’’nti iminā buddhānussatibhāvanānuyogamāha. Vihāsiṃ aparājitoti kilesamārādīhi aparājito eva hutvā vihariṃ, yāva arahattappatti, tāva tehi anabhibhūto, aññadatthu te abhibhavanto eva vihāsinti attho.
ตโตติ ตสฺมา, ยสฺมา สุวิสุทฺธสีโล สตฺถริ อภิปฺปสโนฺน กิเลสาภิภวนปฎิปตฺติยญฺจ ฐิโต, ตสฺมาฯ ปณิธีติ ปณิธานํฯ ตโต วา จิตฺตาภินีหาโรฯ อาสีติ อโหสิฯ เจตโส อภิปตฺถิโตติ, มม จิเตฺตน อิจฺฉิโตฯ กีทิโส ปน โสติ อาห ‘‘น นิสีเท มุหุตฺตมฺปิ, ตณฺหาสเลฺล อนูหเต’’ติฯ ‘‘อคฺคมคฺคสณฺฑาเสน มม หทยโต ตณฺหาสเลฺล อนุทฺธเฎ มุหุตฺตมฺปิ น นิสีเท, นิสชฺชํ น กเปฺปยฺย’’นฺติ เอวํ เม จิตฺตาภินีหาโร อโหสีติ อโตฺถฯ
Tatoti tasmā, yasmā suvisuddhasīlo satthari abhippasanno kilesābhibhavanapaṭipattiyañca ṭhito, tasmā. Paṇidhīti paṇidhānaṃ. Tato vā cittābhinīhāro. Āsīti ahosi. Cetaso abhipatthitoti, mama cittena icchito. Kīdiso pana soti āha ‘‘na nisīde muhuttampi, taṇhāsalle anūhate’’ti. ‘‘Aggamaggasaṇḍāsena mama hadayato taṇhāsalle anuddhaṭe muhuttampi na nisīde, nisajjaṃ na kappeyya’’nti evaṃ me cittābhinīhāro ahosīti attho.
เอวํ ปน จิตฺตํ อธิฎฺฐาย ภาวนํ ภาวยิตฺวา ฐานจงฺกเมเหว รตฺติํ วีตินาเมโนฺต อรูปสมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฌานงฺคมุเขน วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉากาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตสฺส เม’’ติอาทิฯ นิรูปธีติ กิเลสุปธิอาทีนํ อภาเวน นิรุปธิฯ รตฺยาวิวสาเนติ รตฺติภาคสฺส วิคมเน วิภาตาย รตฺติยาฯ สูริยุคฺคมนํ ปตีติ สูริยุคฺคมนํ ลกฺขณํ กตฺวาฯ สพฺพํ ตณฺหนฺติ กามตณฺหาทิเภทํ สพฺพํ ตณฺหาโสตํ อคฺคมเคฺคน วิโสเสตฺวา สุกฺขาเปตฺวา ‘‘ตณฺหาสเลฺล อนูหเต น นิสีเท’’ติ, ปฎิญฺญาย โมจิตตฺตาฯ ปลฺลเงฺกน อุปาวิสินฺติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสีทินฺติฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
Evaṃ pana cittaṃ adhiṭṭhāya bhāvanaṃ bhāvayitvā ṭhānacaṅkameheva rattiṃ vītināmento arūpasamāpattito vuṭṭhāya jhānaṅgamukhena vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ sacchākāsi. Tena vuttaṃ ‘‘tassa me’’tiādi. Nirūpadhīti kilesupadhiādīnaṃ abhāvena nirupadhi. Ratyāvivasāneti rattibhāgassa vigamane vibhātāya rattiyā. Sūriyuggamanaṃ patīti sūriyuggamanaṃ lakkhaṇaṃ katvā. Sabbaṃ taṇhanti kāmataṇhādibhedaṃ sabbaṃ taṇhāsotaṃ aggamaggena visosetvā sukkhāpetvā ‘‘taṇhāsalle anūhate na nisīde’’ti, paṭiññāya mocitattā. Pallaṅkena upāvisinti pallaṅkaṃ ābhujitvā nisīdinti. Sesaṃ uttānatthameva.
มหาปนฺถกเตฺถรคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāpanthakattheragāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อฎฺฐกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Aṭṭhakanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เถรคาถาปาฬิ • Theragāthāpāḷi / ๓. มหาปนฺถกเตฺถรคาถา • 3. Mahāpanthakattheragāthā