Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๑๖

    Long Discourses 16

    มหาปรินิพฺพานสุตฺต

    The Great Discourse on the Buddha’s Extinguishment

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเตฯ เตน โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต วชฺชี อภิยาตุกาโม โหติฯ โส เอวมาห: “อหํ หิเม วชฺชี เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว อุจฺเฉจฺฉามิ วชฺชี, วินาเสสฺสามิ วชฺชี, อนยพฺยสนํ อาปาเทสฺสามี”ติฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, on the Vulture’s Peak Mountain. Now at that time King Ajātasattu of Magadha, son of the princess of Videha, wanted to invade the Vajjis. He declared: “I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!”

    อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต วสฺสการํ พฺราหฺมณํ มคธมหามตฺตํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, เยน ภควา เตนุปสงฺกม; อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทาหิ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ: ‘ราชา, ภนฺเต, มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตี'ติฯ เอวญฺจ วเทหิ: ‘ราชา, ภนฺเต, มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต วชฺชี อภิยาตุกาโมฯ โส เอวมาห: “อหํ หิเม วชฺชี เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว อุจฺเฉจฺฉามิ วชฺชี, วินาเสสฺสามิ วชฺชี, อนยพฺยสนํ อาปาเทสฺสามี”'ติฯ ยถา เต ภควา พฺยากโรติ, ตํ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา มม อาโรเจยฺยาสิฯ น หิ ตถาคตา วิตถํ ภณนฺตี”ติฯ

    And then King Ajātasattu addressed Vassakāra the brahmin minister of Magadha, “Please, brahmin, go to the Buddha, and in my name bow with your head to his feet. Ask him if he is healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. And then say: ‘Sir, King Ajātasattu of Magadha, son of the princess of Videha, wants to invade the Vajjis. He says, “I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!”’ Remember well how the Buddha answers and tell it to me. For Realized Ones say nothing that is not so.”

    ๑ฯ วสฺสการพฺราหฺมณ

    1. The Brahmin Vassakāra

    “เอวํ, โภ”ติ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต รญฺโญ มาคธสฺส อชาตสตฺตุสฺส เวเทหิปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยเชตฺวา ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ ราชคหมฺหา นิยฺยาสิ, เยน คิชฺฌกูโฏ ปพฺพโต เตน ปายาสิฯ ยาวติกา ยานสฺส ภูมิ, ยาเนน คนฺตฺวา, ยานา ปจฺโจโรหิตฺวา ปตฺติโกว เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิฯ

    “Yes, sir,” Vassakāra replied. He had the finest carriages harnessed. Then he mounted a fine carriage and, along with other fine carriages, set out from Rājagaha for the Vulture’s Peak Mountain. He went by carriage as far as the terrain allowed, then descended and approached the Buddha on foot, and exchanged greetings with him.

    สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ราชา, โภ โคตม, มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ, อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉติฯ ราชา, โภ โคตม, มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต วชฺชี อภิยาตุกาโมฯ โส เอวมาห: ‘อหํ หิเม วชฺชี เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว อุจฺเฉจฺฉามิ วชฺชี, วินาเสสฺสามิ วชฺชี, อนยพฺยสนํ อาปาเทสฺสามี'”ติฯ

    When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha, “Master Gotama, King Ajātasattu of Magadha, son of the princess of Videha, bows with his head to your feet. He asks if you are healthy and well, nimble, strong, and living comfortably. Master Gotama, King Ajātasattu wants to invade the Vajjis. He has declared: ‘I shall wipe out these Vajjis, so mighty and powerful! I shall destroy them, and lay ruin and devastation upon them!’”

    ๒ฯ ราชอปริหานิยธมฺม

    2. Principles That Prevent Decline

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปิฏฺฐิโต ฐิโต โหติ ภควนฺตํ พีชยมาโนฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี อภิณฺหํ สนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา'”ติ?

    Now at that time Venerable Ānanda was standing behind the Buddha fanning him. Then the Buddha said to him, “Ānanda, have you heard that the Vajjis meet frequently and have many meetings?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี อภิณฺหํ สนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี อภิณฺหํ สนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา ภวิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis meet frequently and have many meetings, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ, สมคฺคา วุฏฺฐหนฺติ, สมคฺคา วชฺชิกรณียานิ กโรนฺตี'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis meet in harmony, leave in harmony, and carry on their business in harmony?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ, สมคฺคา วุฏฺฐหนฺติ, สมคฺคา วชฺชิกรณียานิ กโรนฺตี'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี สมคฺคา สนฺนิปติสฺสนฺติ, สมคฺคา วุฏฺฐหิสฺสนฺติ, สมคฺคา วชฺชิกรณียานิ กริสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis meet in harmony, leave in harmony, and carry on their business in harmony, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทนฺติ, ยถาปญฺญตฺเต โปราเณ วชฺชิธมฺเม สมาทาย วตฺตนฺตี'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis don’t make new decrees or abolish existing decrees, but proceed having undertaken the ancient Vajjian traditions as they have been decreed?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทนฺติ, ยถาปญฺญตฺเต โปราเณ วชฺชิธมฺเม สมาทาย วตฺตนฺตี'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปสฺสนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ, ยถาปญฺญตฺเต โปราเณ วชฺชิธมฺเม สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis don’t make new decrees or abolish existing decrees, but proceed having undertaken the ancient Vajjian traditions as they have been decreed, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี เย เต วชฺชีนํ วชฺชิมหลฺลกา, เต สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, เตสญฺจ โสตพฺพํ มญฺญนฺตี'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate Vajjian elders, and think them worth listening to?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี เย เต วชฺชีนํ วชฺชิมหลฺลกา, เต สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, เตสญฺจ โสตพฺพํ มญฺญนฺตี'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี เย เต วชฺชีนํ วชฺชิมหลฺลกา, เต สกฺกริสฺสนฺติ ครุํ กริสฺสนฺติ มาเนสฺสนฺติ ปูเชสฺสนฺติ, เตสญฺจ โสตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate Vajjian elders, and think them worth listening to, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี ยา ตา กุลิตฺถิโย กุลกุมาริโย, ตา น โอกฺกสฺส ปสยฺห วาเสนฺตี'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis don’t forcibly abduct the women or girls of the clans and make them live with them?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี ยา ตา กุลิตฺถิโย กุลกุมาริโย ตา น โอกฺกสฺส ปสยฺห วาเสนฺตี'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี ยา ตา กุลิตฺถิโย กุลกุมาริโย, ตา น โอกฺกสฺส ปสยฺห วาเสสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis don’t forcibly abduct the women or girls of the clans and make them live with them, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชี ยานิ ตานิ วชฺชีนํ วชฺชิเจติยานิ อพฺภนฺตรานิ เจว พาหิรานิ จ, ตานิ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, เตสญฺจ ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ธมฺมิกํ พลึ โน ปริหาเปนฺตี'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate the Vajjian shrines, whether inner or outer, not neglecting the proper spirit-offerings that were given and made in the past?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต: ‘วชฺชี ยานิ ตานิ วชฺชีนํ วชฺชิเจติยานิ อพฺภนฺตรานิ เจว พาหิรานิ จ, ตานิ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ เตสญฺจ ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ธมฺมิกํ พลึ โน ปริหาเปนฺตี'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชี ยานิ ตานิ วชฺชีนํ วชฺชิเจติยานิ อพฺภนฺตรานิ เจว พาหิรานิ จ, ตานิ สกฺกริสฺสนฺติ ครุํ กริสฺสนฺติ มาเนสฺสนฺติ ปูเชสฺสนฺติ, เตสญฺจ ทินฺนปุพฺพํ กตปุพฺพํ ธมฺมิกํ พลึ โน ปริหาเปสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the Vajjis honor, respect, esteem, and venerate the Vajjian shrines, whether inner or outer, not neglecting the proper spirit-offerings that were given and made in the past, they can expect growth, not decline.

    กินฺติ เต, อานนฺท, สุตํ, ‘วชฺชีนํ อรหนฺเตสุ ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ สุสํวิหิตา, กินฺติ อนาคตา จ อรหนฺโต วิชิตํ อาคจฺเฉยฺยุํ, อาคตา จ อรหนฺโต วิชิเต ผาสุ วิหเรยฺยุนฺ'”ติ?

    Ānanda, have you heard that the Vajjis organize proper protection, shelter, and security for perfected ones, so that more perfected ones might come to the realm and those already here may live in comfort?”

    “สุตํ เมตํ, ภนฺเต ‘วชฺชีนํ อรหนฺเตสุ ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ สุสํวิหิตา กินฺติ อนาคตา จ อรหนฺโต วิชิตํ อาคจฺเฉยฺยุํ, อาคตา จ อรหนฺโต วิชิเต ผาสุ วิหเรยฺยุนฺ'”ติฯ

    “I have heard that, sir.”

    “ยาวกีวญฺจ, อานนฺท, วชฺชีนํ อรหนฺเตสุ ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ สุสํวิหิตา ภวิสฺสติ, กินฺติ อนาคตา จ อรหนฺโต วิชิตํ อาคจฺเฉยฺยุํ, อาคตา จ อรหนฺโต วิชิเต ผาสุ วิหเรยฺยุนฺติฯ วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานี”ติฯ

    “As long as the Vajjis organize proper protection, shelter, and security for perfected ones, so that more perfected ones might come to the realm and those already here may live in comfort, they can expect growth, not decline.”

    อถ โข ภควา วสฺสการํ พฺราหฺมณํ มคธมหามตฺตํ อามนฺเตสิ: “เอกมิทาหํ, พฺราหฺมณ, สมยํ เวสาลิยํ วิหรามิ สารนฺทเท เจติเยฯ ตตฺราหํ วชฺชีนํ อิเม สตฺต อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสึฯ ยาวกีวญฺจ, พฺราหฺมณ, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา วชฺชีสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ วชฺชี สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, พฺราหฺมณ, วชฺชีนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานี”ติฯ

    Then the Buddha said to Vassakāra, “Brahmin, this one time I was staying near Vesālī at the Sārandada woodland shrine. There I taught the Vajjis these seven principles that prevent decline. As long as these seven principles that prevent decline last among the Vajjis, and as long as the Vajjis are seen following them, they can expect growth, not decline.”

    เอวํ วุตฺเต, วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอกเมเกนปิ, โภ โคตม, อปริหานิเยน ธมฺเมน สมนฺนาคตานํ วชฺชีนํ วุทฺธิเยว ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ โก ปน วาโท สตฺตหิ อปริหานิเยหิ ธมฺเมหิฯ อกรณียาว, โภ โคตม, วชฺชี รญฺญา มาคเธน อชาตสตฺตุนา เวเทหิปุตฺเตน ยทิทํ ยุทฺธสฺส, อญฺญตฺร อุปลาปนาย อญฺญตฺร มิถุเภทาฯ หนฺท จ ทานิ มยํ, โภ โคตม, คจฺฉาม, พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา”ติฯ

    When the Buddha had spoken, Vassakāra said to him, “Master Gotama, if the Vajjis follow even a single one of these principles they can expect growth, not decline. How much more so all seven! King Ajātasattu cannot defeat the Vajjis in war, unless by bribery or by sowing dissension. Well, now, Master Gotama, I must go. I have many duties, and much to do.”

    “ยสฺสทานิ ตฺวํ, พฺราหฺมณ, กาลํ มญฺญสี”ติฯ อถ โข วสฺสกาโร พฺราหฺมโณ มคธมหามตฺโต ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    “Please, brahmin, go at your convenience.” Then Vassakāra the brahmin, having approved and agreed with what the Buddha said, got up from his seat and left.

    ๓ฯ ภิกฺขุอปริหานิยธมฺม

    3. Principles That Prevent Decline Among the Bhikkhus

    อถ โข ภควา อจิรปกฺกนฺเต วสฺสกาเร พฺราหฺมเณ มคธมหามตฺเต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “คจฺฉ ตฺวํ, อานนฺท, ยาวติกา ภิกฺขู ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติ, เต สพฺเพ อุปฏฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตหี”ติฯ

    Soon after he had left, the Buddha said to Ānanda, “Go, Ānanda, gather all the bhikkhus staying in the vicinity of Rājagaha together in the assembly hall.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา ยาวติกา ภิกฺขู ราชคหํ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติ, เต สพฺเพ อุปฏฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สนฺนิปติโต, ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, ยสฺสทานิ, ภนฺเต, ภควา กาลํ มญฺญตี”ติฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. He did what the Buddha asked. Then he went back, bowed, stood to one side, and said to him, “Sir, the bhikkhu Saṅgha has assembled. Please, sir, go at your convenience.”

    อถ โข ภควา อุฏฺฐายาสนา เยน อุปฏฺฐานสาลา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “สตฺต โว, ภิกฺขเว, อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ

    Then the Buddha went to the assembly hall, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus: “Bhikkhus, I will teach you these seven principles that prevent decline. Listen and apply your mind well, I will speak.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:

    “ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อภิณฺหํ สนฺนิปาตา สนฺนิปาตพหุลา ภวิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    “As long as the bhikkhus meet frequently and have many meetings, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู สมคฺคา สนฺนิปติสฺสนฺติ, สมคฺคา วุฏฺฐหิสฺสนฺติ, สมคฺคา สงฺฆกรณียานิ กริสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus meet in harmony, leave in harmony, and carry on their business in harmony, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปสฺสนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ, ยถาปญฺญตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus don’t make new decrees or abolish existing decrees, but undertake and follow the training rules as they have been decreed, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เย เต ภิกฺขู เถรา รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิตา สงฺฆปิตโร สงฺฆปริณายกา, เต สกฺกริสฺสนฺติ ครุํ กริสฺสนฺติ มาเนสฺสนฺติ ปูเชสฺสนฺติ, เตสญฺจ โสตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus honor, respect, esteem, and venerate the senior bhikkhus—of long standing, long gone forth, fathers and leaders of the Saṅgha—and think them worth listening to, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อุปฺปนฺนาย ตณฺหาย โปโนพฺภวิกาย น วสํ คจฺฉิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus don’t fall under the sway of arisen craving for future lives, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อารญฺญเกสุ เสนาสเนสุ สาเปกฺขา ภวิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus take care to live in wilderness lodgings, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ปจฺจตฺตญฺเญว สตึ อุปฏฺฐเปสฺสนฺติ: ‘กินฺติ อนาคตา จ เปสลา สพฺรหฺมจารี อาคจฺเฉยฺยุํ, อาคตา จ เปสลา สพฺรหฺมจารี ผาสุ วิหเรยฺยุนฺ'ติฯ วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus individually establish mindfulness, so that more good-hearted spiritual companions might come, and those that have already come may live comfortably, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as these seven principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.

    อปเรปิ โว, ภิกฺขเว, สตฺต อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    I will teach you seven more principles that prevent decline. …

    “ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น กมฺมารามา ภวิสฺสนฺติ น กมฺมรตา น กมฺมารามตมนุยุตฺตา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus don’t relish work, loving it and liking to relish it, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น ภสฺสารามา ภวิสฺสนฺติ น ภสฺสรตา น ภสฺสารามตมนุยุตฺตา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as they don’t relish talk …

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น นิทฺทารามา ภวิสฺสนฺติ น นิทฺทารตา น นิทฺทารามตมนุยุตฺตา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    sleep …

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น สงฺคณิการามา ภวิสฺสนฺติ น สงฺคณิกรตา น สงฺคณิการามตมนุยุตฺตา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    company …

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น ปาปิจฺฉา ภวิสฺสนฺติ น ปาปิกานํ อิจฺฉานํ วสํ คตา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    they don’t have corrupt wishes, falling under the sway of corrupt wishes …

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น ปาปมิตฺตา ภวิสฺสนฺติ น ปาปสหายา น ปาปสมฺปวงฺกา, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    they don’t have bad friends, companions, and associates …

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู น โอรมตฺตเกน วิเสสาธิคเมน อนฺตราโวสานํ อาปชฺชิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    they don’t stop half-way after achieving some insignificant distinction, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as these seven principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.

    อปเรปิ โว, ภิกฺขเว, สตฺต อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ …เป…ฯ ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู สทฺธา ภวิสฺสนฺติ …เป… หิริมนา ภวิสฺสนฺติ … โอตฺตปฺปี ภวิสฺสนฺติ … พหุสฺสุตา ภวิสฺสนฺติ … อารทฺธวีริยา ภวิสฺสนฺติ … อุปฏฺฐิตสฺสตี ภวิสฺสนฺติ … ปญฺญวนฺโต ภวิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    I will teach you seven more principles that prevent decline. … As long as the bhikkhus are faithful … conscientious … prudent … learned … energetic … mindful … wise, they can expect growth, not decline. As long as these seven principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.

    อปเรปิ โว, ภิกฺขเว, สตฺต อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    I will teach you seven more principles that prevent decline. …

    “ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ …เป… ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ … วีริยสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ … ปีติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ … ปสฺสทฺธิสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ … สมาธิสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ … อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus develop the awakening factors of mindfulness … investigation of principles … energy … rapture … tranquility … immersion … equanimity, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิฯ

    As long as these seven principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.

    อปเรปิ โว, ภิกฺขเว, สตฺต อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    I will teach you seven more principles that prevent decline. …

    “ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู อนิจฺจสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ …เป… อนตฺตสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ … อสุภสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ … อาทีนวสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ … ปหานสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ … วิราคสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ … นิโรธสญฺญํ ภาเวสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus develop the perceptions of impermanence … not-self … ugliness … drawbacks … giving up … fading away … cessation, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม สตฺต อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ สตฺตสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as these seven principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.

    ฉ โว, ภิกฺขเว, อปริหานิเย ธมฺเม เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    I will teach you six principles that prevent decline. …

    “ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐาเปสฺสนฺติ สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ เจว รโห จ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐาเปสฺสนฺติ …เป… เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐาเปสฺสนฺติ สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ เจว รโห จ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus consistently treat their spiritual companions with bodily kindness … verbal kindness … and mental kindness both in public and in private, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู, เย เต ลาภา ธมฺมิกา ธมฺมลทฺธา อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปิ ตถารูเปหิ ลาเภหิ อปฺปฏิวิภตฺตโภคี ภวิสฺสนฺติ สีลวนฺเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคี, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus share without reservation any material possessions they have gained by legitimate means, even the food placed in the alms-bowl, using them in common with their ethical spiritual companions, they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ยานิ ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ ภุชิสฺสานิ วิญฺญูปสตฺถานิ อปรามฏฺฐานิ สมาธิสํวตฺตนิกานิ ตถารูเปสุ สีเลสุ สีลสามญฺญคตา วิหริสฺสนฺติ สพฺรหฺมจารีหิ อาวิ เจว รโห จ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus live according to the precepts shared with their spiritual companions, both in public and in private—such precepts as are unbroken, impeccable, spotless, and unmarred, liberating, praised by sensible people, not mistaken, and leading to immersion—they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู ยายํ ทิฏฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา, นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย, ตถารูปาย ทิฏฺฐิยา ทิฏฺฐิสามญฺญคตา วิหริสฺสนฺติ สพฺรหฺมจารีหิ อาวิ เจว รโห จ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานิฯ

    As long as the bhikkhus live according to the view shared with their spiritual companions, both in public and in private—the view that is noble and emancipating, and leads one who practices it to the complete end of suffering—they can expect growth, not decline.

    ยาวกีวญฺจ, ภิกฺขเว, อิเม ฉ อปริหานิยา ธมฺมา ภิกฺขูสุ ฐสฺสนฺติ, อิเมสุ จ ฉสุ อปริหานิเยสุ ธมฺเมสุ ภิกฺขู สนฺทิสฺสิสฺสนฺติ, วุทฺธิเยว, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา, โน ปริหานี”ติฯ

    As long as these six principles that prevent decline last among the bhikkhus, and as long as the bhikkhus are seen following them, they can expect growth, not decline.”

    (…)

    ตตฺร สุทํ ภควา ราชคเห วิหรนฺโต คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเต เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying there at the Vulture’s Peak the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    อถ โข ภควา ราชคเห ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน อมฺพลฏฺฐิกา เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Rājagaha as long as he pleased, he addressed Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Ambalaṭṭhikā.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน อมฺพลฏฺฐิกา ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา อมฺพลฏฺฐิกายํ วิหรติ ราชาคารเกฯ ตตฺราปิ สุทํ ภควา อมฺพลฏฺฐิกายํ วิหรนฺโต ราชาคารเก เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Ambalaṭṭhikā, where he stayed in the royal rest-house. And while staying there, too, he often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ อิติ สมาธิ อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    อถ โข ภควา อมฺพลฏฺฐิกายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน นาฬนฺทา เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Ambalaṭṭhikā as long as he pleased, he addressed Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Nāḷandā.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน นาฬนฺทา ตทวสริ, ตตฺร สุทํ ภควา นาฬนฺทายํ วิหรติ ปาวาริกมฺพวเนฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Nāḷandā, where he stayed in Pāvārika’s mango grove.

    ๔ฯ สาริปุตฺตสีหนาท

    4. Sāriputta’s Lion’s Roar

    อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอวํ ปสนฺโน อหํ, ภนฺเต, ภควติ; น จาหุ น จ ภวิสฺสติ น เจตรหิ วิชฺชติ อญฺโญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ภควตา ภิโยฺยภิญฺญตโร ยทิทํ สมฺโพธิยนฺ”ติฯ

    Then Sāriputta went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, I have such confidence in the Buddha that I believe there’s no other ascetic or brahmin—whether past, future, or present—whose direct knowledge is superior to the Buddha when it comes to awakening.”

    “อุฬารา โข เต อยํ, สาริปุตฺต, อาสภี วาจา ภาสิตา, เอกํโส คหิโต, สีหนาโท นทิโต: ‘เอวํปสนฺโน อหํ, ภนฺเต, ภควติ; น จาหุ น จ ภวิสฺสติ น เจตรหิ วิชฺชติ อญฺโญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ภควตา ภิโยฺยภิญฺญตโร ยทิทํ สมฺโพธิยนฺ'ติฯ

    “That’s a grand and dramatic statement, Sāriputta. You’ve roared a definitive, categorical lion’s roar, saying: ‘I have such confidence in the Buddha that I believe there’s no other ascetic or brahmin—whether past, future, or present—whose direct knowledge is superior to the Buddha when it comes to awakening.’

    กึ เต, สาริปุตฺต, เย เต อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, สพฺเพ เต ภควนฺโต เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิตา: ‘เอวํสีลา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปิ, เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต อเหสุํ อิติปี'”ติ?

    What about all the perfected ones, the fully awakened Buddhas who lived in the past? Have you comprehended their minds to know that those Buddhas had such ethics, or such qualities, or such wisdom, or such meditation, or such freedom?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “กึ ปน เต, สาริปุตฺต, เย เต ภวิสฺสนฺติ อนาคตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, สพฺเพ เต ภควนฺโต เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิตา: ‘เอวํสีลา เต ภควนฺโต ภวิสฺสนฺติ อิติปิ, เอวํธมฺมา เอวํปญฺญา เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺตา เต ภควนฺโต ภวิสฺสนฺติ อิติปี'”ติ?

    “And what about all the perfected ones, the fully awakened Buddhas who will live in the future? Have you comprehended their minds to know that those Buddhas will have such ethics, or such qualities, or such wisdom, or such meditation, or such freedom?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “กึ ปน เต, สาริปุตฺต, อหํ เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เจตสา เจโต ปริจฺจ วิทิโต: ‘เอวํสีโล ภควา อิติปิ, เอวํธมฺโม เอวํปญฺโญ เอวํวิหารี เอวํวิมุตฺโต ภควา อิติปี'”ติ?

    “And what about me, the perfected one, the fully awakened Buddha at present? Have you comprehended my mind to know that I have such ethics, or such teachings, or such wisdom, or such meditation, or such freedom?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เอตฺถ จ หิ เต, สาริปุตฺต, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺเนสุ อรหนฺเตสุ สมฺมาสมฺพุทฺเธสุ เจโตปริยญาณํ นตฺถิฯ อถ กิญฺจรหิ เต อยํ, สาริปุตฺต, อุฬารา อาสภี วาจา ภาสิตา, เอกํโส คหิโต, สีหนาโท นทิโต: ‘เอวํปสนฺโน อหํ, ภนฺเต, ภควติ; น จาหุ น จ ภวิสฺสติ น เจตรหิ วิชฺชติ อญฺโญ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ภควตา ภิโยฺยภิญฺญตโร ยทิทํ สมฺโพธิยนฺ'”ติ?

    “Well then, Sāriputta, given that you don’t comprehend the minds of Buddhas past, future, or present, what exactly are you doing, making such a grand and dramatic statement, roaring such a definitive, categorical lion’s roar?”

    “น โข เม, ภนฺเต, อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺเนสุ อรหนฺเตสุ สมฺมาสมฺพุทฺเธสุ เจโตปริยญาณํ อตฺถิ, อปิ จ เม ธมฺมนฺวโย วิทิโตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, รญฺโญ ปจฺจนฺติมํ นครํ ทฬฺหุทฺธาปํ ทฬฺหปาการโตรณํ เอกทฺวารํ, ตตฺรสฺส โทวาริโก ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี อญฺญาตานํ นิวาเรตา ญาตานํ ปเวเสตาฯ โส ตสฺส นครสฺส สมนฺตา อนุปริยายปถํ อนุกฺกมมาโน น ปเสฺสยฺย ปาการสนฺธึ วา ปาการวิวรํ วา, อนฺตมโส พิฬารนิกฺขมนมตฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘เย โข เกจิ โอฬาริกา ปาณา อิมํ นครํ ปวิสนฺติ วา นิกฺขมนฺติ วา, สพฺเพ เต อิมินาว ทฺวาเรน ปวิสนฺติ วา นิกฺขมนฺติ วา'ติฯ

    “Sir, though I don’t comprehend the minds of Buddhas past, future, and present, still I understand this by inference from the teaching. Suppose there was a king’s frontier citadel with fortified embankments, ramparts, and arches, and a single gate. And it has a gatekeeper who is astute, competent, and intelligent. He keeps strangers out and lets known people in. As he walks around the patrol path, he doesn’t see a hole or cleft in the wall, not even one big enough for a cat to slip out. He thinks: ‘Whatever sizable creatures enter or leave the citadel, all of them do so via this gate.’

    เอวเมว โข เม, ภนฺเต, ธมฺมนฺวโย วิทิโต: ‘เย เต, ภนฺเต, อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, สพฺเพ เต ภควนฺโต ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ จตูสุ สติปฏฺฐาเนสุ สุปติฏฺฐิตจิตฺตา สตฺตโพชฺฌงฺเค ยถาภูตํ ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌึสุฯ เยปิ เต, ภนฺเต, ภวิสฺสนฺติ อนาคตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, สพฺเพ เต ภควนฺโต ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ จตูสุ สติปฏฺฐาเนสุ สุปติฏฺฐิตจิตฺตา สตฺต โพชฺฌงฺเค ยถาภูตํ ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌิสฺสนฺติฯ ภควาปิ, ภนฺเต, เอตรหิ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ จตูสุ สติปฏฺฐาเนสุ สุปติฏฺฐิตจิตฺโต สตฺต โพชฺฌงฺเค ยถาภูตํ ภาเวตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ'”ติฯ

    In the same way, I understand this by inference from the teaching: ‘All the perfected ones, fully awakened Buddhas—whether past, future, or present—give up the five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Their mind is firmly established in the four kinds of mindfulness meditation. They correctly develop the seven awakening factors. And they wake up to the supreme perfect awakening.’”

    ตตฺรปิ สุทํ ภควา นาฬนฺทายํ วิหรนฺโต ปาวาริกมฺพวเน เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying at Nāḷandā, too, the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    ๕ฯ ทุสฺสีลอาทีนว

    5. The Drawbacks of Unethical Conduct

    อถ โข ภควา นาฬนฺทายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน ปาฏลิคาโม เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Nāḷandā as long as he pleased, he addressed Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Pāṭali Village.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน ปาฏลิคาโม ตทวสริฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Pāṭali Village.

    อโสฺสสุํ โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา: “ภควา กิร ปาฏลิคามํ อนุปฺปตฺโต”ติฯ อถ โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อธิวาเสตุ โน, ภนฺเต, ภควา อาวสถาคารนฺ”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    The lay followers of Pāṭali Village heard that he had arrived. So they went to see him, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, please consent to come to our guest house.” The Buddha consented with silence.

    อถ โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา สพฺพสนฺถรึ อาวสถาคารํ สนฺถริตฺวา อาสนานิ ปญฺญเปตฺวา อุทกมณิกํ ปติฏฺฐาเปตฺวา เตลปทีปํ อาโรเปตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “สพฺพสนฺถริสนฺถตํ, ภนฺเต, อาวสถาคารํ, อาสนานิ ปญฺญตฺตานิ, อุทกมณิโก ปติฏฺฐาปิโต, เตลปทีโป อาโรปิโต; ยสฺสทานิ, ภนฺเต, ภควา กาลํ มญฺญตี”ติฯ

    Then, knowing that the Buddha had consented, the lay followers of Pāṭali Village got up from their seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on their right. Then they went to the guest house, where they spread carpets all over, prepared seats, set up a water jar, and placed a lamp. Then they went back to the Buddha, bowed, stood to one side, and told him of their preparations, saying: “Please, sir, come at your convenience.”

    อถ โข ภควา สายนฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา อาวสถาคารํ ปวิสิตฺวา มชฺฌิมํ ถมฺภํ นิสฺสาย ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิฯ ภิกฺขุสงฺโฆปิ โข ปาเท ปกฺขาเลตฺวา อาวสถาคารํ ปวิสิตฺวา ปจฺฉิมํ ภิตฺตึ นิสฺสาย ปุรตฺถาภิมุโข นิสีทิ ภควนฺตเมว ปุรกฺขตฺวาฯ ปาฏลิคามิกาปิ โข อุปาสกา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา อาวสถาคารํ ปวิสิตฺวา ปุรตฺถิมํ ภิตฺตึ นิสฺสาย ปจฺฉิมาภิมุขา นิสีทึสุ ภควนฺตเมว ปุรกฺขตฺวาฯ

    In the morning, the Buddha robed up and, taking his bowl and robe, went to the guest house together with the Saṅgha of bhikkhus. Having washed his feet he entered the guest house and sat against the central column facing east. The Saṅgha of bhikkhus also washed their feet, entered the guest house, and sat against the west wall facing east, with the Buddha right in front of them. The lay followers of Pāṭali Village also washed their feet, entered the guest house, and sat against the east wall facing west, with the Buddha right in front of them.

    (…)

    อถ โข ภควา ปาฏลิคามิเก อุปาสเก อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha addressed them:

    “ปญฺจิเม, คหปตโย, อาทีนวา ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ กตเม ปญฺจ?

    “Householders, there are these five drawbacks for an unethical person because of their failure in ethics. What five?

    อิธ, คหปตโย, ทุสฺสีโล สีลวิปนฺโน ปมาทาธิกรณํ มหตึ โภคชานึ นิคจฺฉติฯ อยํ ปฐโม อาทีนโว ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    Firstly, an unethical person loses substantial wealth on account of negligence. This is the first drawback for an unethical person because of their failure in ethics.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, ทุสฺสีลสฺส สีลวิปนฺนสฺส ปาปโก กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคจฺฉติฯ อยํ ทุติโย อาทีนโว ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    Furthermore, an unethical person gets a bad reputation. This is the second drawback.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, ทุสฺสีโล สีลวิปนฺโน ยญฺญเทว ปริสํ อุปสงฺกมติ—ยทิ ขตฺติยปริสํ ยทิ พฺราหฺมณปริสํ ยทิ คหปติปริสํ ยทิ สมณปริสํ—อวิสารโท อุปสงฺกมติ มงฺกุภูโตฯ อยํ ตติโย อาทีนโว ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    Furthermore, an unethical person enters any kind of assembly timid and embarrassed, whether it’s an assembly of aristocrats, brahmins, householders, or ascetics. This is the third drawback.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, ทุสฺสีโล สีลวิปนฺโน สมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติฯ อยํ จตุตฺโถ อาทีนโว ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    Furthermore, an unethical person feels lost when they die. This is the fourth drawback.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, ทุสฺสีโล สีลวิปนฺโน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ อยํ ปญฺจโม อาทีนโว ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    Furthermore, an unethical person, when their body breaks up, after death, is reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. This is the fifth drawback.

    อิเม โข, คหปตโย, ปญฺจ อาทีนวา ทุสฺสีลสฺส สีลวิปตฺติยาฯ

    These are the five drawbacks for an unethical person because of their failure in ethics.

    ๖ฯ สีลวนฺตอานิสํส

    6. The Benefits of Ethical Conduct

    ปญฺจิเม, คหปตโย, อานิสํสา สีลวโต สีลสมฺปทายฯ กตเม ปญฺจ?

    There are these five benefits for an ethical person because of their accomplishment in ethics. What five?

    อิธ, คหปตโย, สีลวา สีลสมฺปนฺโน อปฺปมาทาธิกรณํ มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ อธิคจฺฉติฯ อยํ ปฐโม อานิสํโส สีลวโต สีลสมฺปทายฯ

    Firstly, an ethical person gains substantial wealth on account of diligence. This is the first benefit.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, สีลวโต สีลสมฺปนฺนสฺส กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคจฺฉติฯ อยํ ทุติโย อานิสํโส สีลวโต สีลสมฺปทายฯ

    Furthermore, an ethical person gets a good reputation. This is the second benefit.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, สีลวา สีลสมฺปนฺโน ยญฺญเทว ปริสํ อุปสงฺกมติ—ยทิ ขตฺติยปริสํ ยทิ พฺราหฺมณปริสํ ยทิ คหปติปริสํ ยทิ สมณปริสํ วิสารโท อุปสงฺกมติ อมงฺกุภูโตฯ อยํ ตติโย อานิสํโส สีลวโต สีลสมฺปทายฯ

    Furthermore, an ethical person enters any kind of assembly bold and self-assured, whether it’s an assembly of aristocrats, brahmins, householders, or ascetics. This is the third benefit.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, สีลวา สีลสมฺปนฺโน อสมฺมูโฬฺห กาลํ กโรติฯ อยํ จตุตฺโถ อานิสํโส สีลวโต สีลสมฺปทายฯ

    Furthermore, an ethical person dies not feeling lost. This is the fourth benefit.

    ปุน จปรํ, คหปตโย, สีลวา สีลสมฺปนฺโน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ อยํ ปญฺจโม อานิสํโส สีลวโต สีลสมฺปทายฯ

    Furthermore, when an ethical person’s body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm. This is the fifth benefit.

    อิเม โข, คหปตโย, ปญฺจ อานิสํสา สีลวโต สีลสมฺปทายา”ติฯ

    These are the five benefits for an ethical person because of their accomplishment in ethics.”

    อถ โข ภควา ปาฏลิคามิเก อุปาสเก พหุเทว รตฺตึ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุโยฺยเชสิ: “อภิกฺกนฺตา โข, คหปตโย, รตฺติ, ยสฺสทานิ ตุเมฺห กาลํ มญฺญถา”ติฯ

    The Buddha spent much of the night educating, encouraging, firing up, and inspiring the lay followers of Pāṭali Village with a Dhamma talk. Then he dismissed them, “The night is getting late, householders. Please go at your convenience.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข ปาฏลิคามิกา อุปาสกา ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมึสุฯ อถ โข ภควา อจิรปกฺกนฺเตสุ ปาฏลิคามิเกสุ อุปาสเกสุ สุญฺญาคารํ ปาวิสิฯ

    “Yes, sir,” replied the lay followers of Pāṭali Village. They got up from their seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on their right, before leaving. Soon after they left the Buddha entered a private cubicle.

    ๗ฯ ปาฏลิปุตฺตนครมาปน

    7. Building a Citadel

    เตน โข ปน สมเยน สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ปาฏลิคาเม นครํ มาเปนฺติ วชฺชีนํ ปฏิพาหายฯ เตน สมเยน สมฺพหุลา เทวตาโย สหเสฺสว ปาฏลิคาเม วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติฯ ยสฺมึ ปเทเส มเหสกฺขา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, มเหสกฺขานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ ยสฺมึ ปเทเส มชฺฌิมา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, มชฺฌิมานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ ยสฺมึ ปเทเส นีจา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, นีจานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ

    Now at that time the Magadhan ministers Sunidha and Vassakāra were building a citadel at Pāṭali Village to keep the Vajjis out. At that time thousands of deities were taking possession of building sites in Pāṭali Village. Illustrious rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by illustrious deities. Middling rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by middling deities. Lesser rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by lesser deities.

    อทฺทสา โข ภควา ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน ตา เทวตาโย สหเสฺสว ปาฏลิคาเม วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติโยฯ อถ โข ภควา รตฺติยา ปจฺจูสสมยํ ปจฺจุฏฺฐาย อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “เก นุ โข, อานนฺท, ปาฏลิคาเม นครํ มาเปนฺตี”ติ?

    With clairvoyance that is purified and superhuman, the Buddha saw those deities taking possession of building sites in Pāṭali Village. The Buddha rose at the crack of dawn and addressed Ānanda, “Ānanda, who is building a citadel at Pāṭali Village?”

    “สุนิธวสฺสการา, ภนฺเต, มคธมหามตฺตา ปาฏลิคาเม นครํ มาเปนฺติ วชฺชีนํ ปฏิพาหายา”ติฯ

    “Sir, the Magadhan ministers Sunidha and Vassakāra are building a citadel to keep the Vajjis out.”

    “เสยฺยถาปิ, อานนฺท, เทเวหิ ตาวตึเสหิ สทฺธึ มนฺเตตฺวา; เอวเมว โข, อานนฺท, สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ปาฏลิคาเม นครํ มาเปนฺติ วชฺชีนํ ปฏิพาหายฯ อิธาหํ, อานนฺท, อทฺทสํ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สมฺพหุลา เทวตาโย สหเสฺสว ปาฏลิคาเม วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติโยฯ ยสฺมึ, อานนฺท, ปเทเส มเหสกฺขา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, มเหสกฺขานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ ยสฺมึ ปเทเส มชฺฌิมา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, มชฺฌิมานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ ยสฺมึ ปเทเส นีจา เทวตา วตฺถูนิ ปริคฺคณฺหนฺติ, นีจานํ ตตฺถ รญฺญํ ราชมหามตฺตานํ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํฯ ยาวตา, อานนฺท, อริยํ อายตนํ ยาวตา วณิปฺปโถ อิทํ อคฺคนครํ ภวิสฺสติ ปาฏลิปุตฺตํ ปุฏเภทนํฯ ปาฏลิปุตฺตสฺส โข, อานนฺท, ตโย อนฺตรายา ภวิสฺสนฺติ—อคฺคิโต วา อุทกโต วา มิถุเภทา วา”ติฯ

    “It’s as if they were building the citadel in consultation with the gods of the Thirty-Three. With clairvoyance that is purified and superhuman, I saw those deities taking possession of building sites. Illustrious rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by illustrious deities. Middling rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by middling deities. Lesser rulers or royal ministers inclined to build houses at sites possessed by lesser deities. As far as the civilized region extends, as far as the trading zone extends, this will be the chief city: the Pāṭaliputta trade center. But Pāṭaliputta will face three threats: from fire, flood, and dissension.”

    อถ โข สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทึสุ, สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐํสุ, เอกมนฺตํ ฐิตา โข สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อธิวาเสตุ โน ภวํ โคตโม อชฺชตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    Then the Magadhan ministers Sunidha and Vassakāra approached the Buddha, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, they stood to one side and said, “Would Master Gotama together with the bhikkhu Saṅgha please accept today’s meal from me?” The Buddha consented with silence.

    อถ โข สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา เยน สโก อาวสโถ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา สเก อาวสเถ ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสุํ: “กาโล, โภ โคตม, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ”ติฯ

    Then, knowing that the Buddha had consented, they went to their own guest house, where they had delicious fresh and cooked foods prepared. Then they had the Buddha informed of the time, saying, “It’s time, Master Gotama, the meal is ready.”

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน สุนิธวสฺสการานํ มคธมหามตฺตานํ อาวสโถ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตปฺเปสุํ สมฺปวาเรสุํฯ อถ โข สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ภควนฺตํ ภุตฺตาวึ โอนีตปตฺตปาณึ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to their guest house together with the bhikkhu Saṅgha, where he sat on the seat spread out. Then Sunidha and Vassakāra served and satisfied the bhikkhu Saṅgha headed by the Buddha with their own hands with delicious fresh and cooked foods. When the Buddha had eaten and washed his hand and bowl, Sunidha and Vassakāra took a low seat and sat to one side.

    เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข สุนิธวสฺสกาเร มคธมหามตฺเต ภควา อิมาหิ คาถาหิ อนุโมทิ:

    The Buddha expressed his appreciation with these verses:

    “ยสฺมึ ปเทเส กปฺเปติ, วาสํ ปณฺฑิตชาติโย; สีลวนฺเตตฺถ โภเชตฺวา, สญฺญเต พฺรหฺมจารโยฯ

    “In the place he makes his dwelling, having fed the astute and the virtuous here, the restrained spiritual practitioners,

    ยา ตตฺถ เทวตา อาสุํ, ตาสํ ทกฺขิณมาทิเส; ตา ปูชิตา ปูชยนฺติ, มานิตา มานยนฺติ นํฯ

    he should dedicate an offering to the deities there. Venerated, they venerate him; honored, they honor him.

    ตโต นํ อนุกมฺปนฺติ, มาตา ปุตฺตํว โอรสํ; เทวตานุกมฺปิโต โปโส, สทา ภทฺรานิ ปสฺสตี”ติฯ

    After that they have compassion for him, like a mother for the child at her breast. A man beloved of the deities always sees nice things.”

    อถ โข ภควา สุนิธวสฺสกาเร มคธมหามตฺเต อิมาหิ คาถาหิ อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    When the Buddha had expressed his appreciation to Sunidha and Vassakāra with these verses, he got up from his seat and left.

    เตน โข ปน สมเยน สุนิธวสฺสการา มคธมหามตฺตา ภควนฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธา โหนฺติ: “เยนชฺช สมโณ โคตโม ทฺวาเรน นิกฺขมิสฺสติ, ตํ โคตมทฺวารํ นาม ภวิสฺสติฯ เยน ติตฺเถน คงฺคํ นทึ ตริสฺสติ, ตํ โคตมติตฺถํ นาม ภวิสฺสตี”ติฯ

    Sunidha and Vassakāra followed behind the Buddha, thinking, “The gate through which the ascetic Gotama departs today shall be named the Gotama Gate. The ford at which he crosses the Ganges River shall be named the Gotama Ford.”

    อถ โข ภควา เยน ทฺวาเรน นิกฺขมิ, ตํ โคตมทฺวารํ นาม อโหสิฯ

    Then the gate through which the Buddha departed was named the Gotama Gate.

    อถ โข ภควา เยน คงฺคา นที เตนุปสงฺกมิฯ

    Then the Buddha came to the Ganges River.

    เตน โข ปน สมเยน คงฺคา นที ปูรา โหติ สมติตฺติกา กากเปยฺยาฯ อปฺเปกจฺเจ มนุสฺสา นาวํ ปริเยสนฺติ, อปฺเปกจฺเจ อุฬุมฺปํ ปริเยสนฺติ, อปฺเปกจฺเจ กุลฺลํ พนฺธนฺติ อปารา, ปารํ คนฺตุกามาฯ อถ โข ภควา—เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—คงฺคาย นทิยา โอริมตีเร อนฺตรหิโต ปาริมตีเร ปจฺจุฏฺฐาสิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนฯ

    Now at that time the Ganges was full to the brim so a crow could drink from it. Wanting to cross from the near to the far shore, some people were seeking a boat, some a dinghy, while some were tying up a raft. But, as easily as a strong person would extend or contract their arm, the Buddha, together with the bhikkhu Saṅgha, vanished from the near shore and landed on the far shore.

    อทฺทสา โข ภควา เต มนุเสฺส อปฺเปกจฺเจ นาวํ ปริเยสนฺเต อปฺเปกจฺเจ อุฬุมฺปํ ปริเยสนฺเต อปฺเปกจฺเจ กุลฺลํ พนฺธนฺเต อปารา ปารํ คนฺตุกาเมฯ อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ:

    He saw all those people wanting to cross over. Knowing the meaning of this, on that occasion the Buddha expressed this heartfelt sentiment:

    “เย ตรนฺติ อณฺณวํ สรํ, เสตุํ กตฺวาน วิสชฺช ปลฺลลานิ; กุลฺลญฺหิ ชโน พนฺธติ, ติณฺณา เมธาวิโน ชนา”ติฯ

    “Those who cross a deluge or stream have built a bridge and left the marshes behind. While some people are still tying a raft, intelligent people have crossed over.”

    ปฐมภาณวาโรฯ

    The first recitation section.

    ๘ฯ อริยสจฺจกถา

    8. Talk on the Noble Truths

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน โกฏิคาโม เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    Then the Buddha said to Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the village of Koṭi.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน โกฏิคาโม ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา โกฏิคาเม วิหรติฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at the village of Koṭi, and stayed there.

    ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    There he addressed the bhikkhus:

    “จตุนฺนํ, ภิกฺขเว, อริยสจฺจานํ อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ กตเมสํ จตุนฺนํ? ทุกฺขสฺส, ภิกฺขเว, อริยสจฺจสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ ทุกฺขสมุทยสฺส, ภิกฺขเว, อริยสจฺจสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ ทุกฺขนิโรธสฺส, ภิกฺขเว, อริยสจฺจสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย, ภิกฺขเว, อริยสจฺจสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ทุกฺขํ อริยสจฺจํ อนุพุทฺธํ ปฏิวิทฺธํ, ทุกฺขสมุทยํ อริยสจฺจํ อนุพุทฺธํ ปฏิวิทฺธํ, ทุกฺขนิโรธํ อริยสจฺจํ อนุพุทฺธํ ปฏิวิทฺธํ, ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ อนุพุทฺธํ ปฏิวิทฺธํ, อุจฺฉินฺนา ภวตณฺหา, ขีณา ภวเนตฺติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว”ติฯ

    “Bhikkhus, due to not understanding and not penetrating four noble truths, both you and I have wandered and transmigrated for such a very long time. What four? The noble truths of suffering, the origin of suffering, the cessation of suffering, and the practice that leads to the cessation of suffering. These noble truths of suffering, origin, cessation, and the path have been understood and comprehended. Craving for continued existence has been cut off; the conduit to rebirth is ended; now there are no more future lives.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา:

    That is what the Buddha said. Then the Holy One, the Teacher, went on to say:

    “จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ, ยถาภูตํ อทสฺสนา; สํสิตํ ทีฆมทฺธานํ, ตาสุ ตาเสฺวว ชาติสุฯ

    “Because of not truly seeing the four noble truths, we have transmigrated for a long time from one rebirth to the next.

    ตานิ เอตานิ ทิฏฺฐานิ, ภวเนตฺติ สมูหตา; อุจฺฉินฺนํ มูลํ ทุกฺขสฺส, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว”ติฯ

    But now that these truths have been seen, the conduit to rebirth is eradicated. The root of suffering is cut off, now there are no more future lives.”

    ตตฺรปิ สุทํ ภควา โกฏิคาเม วิหรนฺโต เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying at the village of Koṭi, too, the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    ๙ฯ อนาวตฺติธมฺมสมฺโพธิปรายณ

    9. The Deaths in Ñātika

    อถ โข ภควา โกฏิคาเม ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน นาติกา เตนุปงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in the village of Koṭi as long as he pleased, he said to Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the land of the Ñātikas.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน นาติกา ตทวสริฯ ตตฺรปิ สุทํ ภควา นาติเก วิหรติ คิญฺชกาวสเถฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived in the land of the Ñātikas, where he stayed in the brick house at Ñātika.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สาโฬฺห นาม, ภนฺเต, ภิกฺขุ นาติเก กาลงฺกโต, ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย? นนฺทา นาม, ภนฺเต, ภิกฺขุนี นาติเก กาลงฺกตา, ตสฺสา กา คติ, โก อภิสมฺปราโย? สุทตฺโต นาม, ภนฺเต, อุปาสโก นาติเก กาลงฺกโต, ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย? สุชาตา นาม, ภนฺเต, อุปาสิกา นาติเก กาลงฺกตา, ตสฺสา กา คติ, โก อภิสมฺปราโย? กุกฺกุโฏ นาม, ภนฺเต, อุปาสโก นาติเก กาลงฺกโต, ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย? กาฬิมฺโพ นาม, ภนฺเต, อุปาสโก …เป… นิกโฏ นาม, ภนฺเต, อุปาสโก … กฏิสฺสโห นาม, ภนฺเต, อุปาสโก … ตุฏฺโฐ นาม, ภนฺเต, อุปาสโก … สนฺตุฏฺโฐ นาม, ภนฺเต, อุปาสโก … ภทฺโท นาม, ภนฺเต, อุปาสโก … สุภทฺโท นาม, ภนฺเต, อุปาสโก นาติเก กาลงฺกโต, ตสฺส กา คติ, โก อภิสมฺปราโย”ติ?

    Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, the monk named Sāḷha has passed away in Ñātika. Where has he been reborn in his next life? The nun named Nandā, the layman named Sudatta, and the laywoman named Sujātā have passed away in Ñātika. Where have they been reborn in the next life? The laymen named Kakkaṭa, Kaḷibha, Nikata, Kaṭissaha, Tuṭṭha, Santuṭṭha, Bhadda, and Subhadda have passed away in Ñātika. Where have they been reborn in the next life?”

    “สาโฬฺห, อานนฺท, ภิกฺขุ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ

    “Ānanda, the monk Sāḷha had realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, having realized it with his own insight due to the ending of defilements.

    นนฺทา, อานนฺท, ภิกฺขุนี ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายินี อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ

    The nun Nandā had ended the five lower fetters. She’s been reborn spontaneously, and will be extinguished there, not liable to return from that world.

    สุทตฺโต, อานนฺท, อุปาสโก ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามี สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติฯ

    The layman Sudatta had ended three fetters, and weakened greed, hate, and delusion. He’s a once-returner; he will come back to this world once only, then make an end of suffering.

    สุชาตา, อานนฺท, อุปาสิกา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณาฯ

    The laywoman Sujātā had ended three fetters. She’s a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.

    กุกฺกุโฏ, อานนฺท, อุปาสโก ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกาฯ กาฬิมฺโพ, อานนฺท, อุปาสโก …เป… นิกโฏ, อานนฺท, อุปาสโก … กฏิสฺสโห, อานนฺท, อุปาสโก … ตุฏฺโฐ, อานนฺท, อุปาสโก … สนฺตุฏฺโฐ, อานนฺท, อุปาสโก … ภทฺโท, อานนฺท, อุปาสโก … สุภทฺโท, อานนฺท, อุปาสโก ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติโก ตตฺถ ปรินิพฺพายี อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกาฯ

    The laymen Kakkaṭa, Kaḷibha, Nikata, Kaṭissaha, Tuṭṭha, Santuṭṭha, Bhadda, and and Subhadda had ended the five lower fetters. They’ve been reborn spontaneously, and will be extinguished there, not liable to return from that world.

    ปโรปญฺญาสํ, อานนฺท, นาติเก อุปาสกา กาลงฺกตา, ปญฺจนฺนํ โอรมฺภาคิยานํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โอปปาติกา ตตฺถ ปรินิพฺพายิโน อนาวตฺติธมฺมา ตสฺมา โลกาฯ

    Over fifty laymen in Ñātika have passed away having ended the five lower fetters. They’ve been reborn spontaneously, and will be extinguished there, not liable to return from that world.

    สาธิกา นวุติ, อานนฺท, นาติเก อุปาสกา กาลงฺกตา ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตา สกทาคามิโน สกิเทว อิมํ โลกํ อาคนฺตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสนฺติฯ

    More than ninety laymen in Ñātika have passed away having ended three fetters, and weakened greed, hate, and delusion. They’re once-returners, who will come back to this world once only, then make an end of suffering.

    สาติเรกานิ, อานนฺท, ปญฺจสตานิ นาติเก อุปาสกา กาลงฺกตา, ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา โสตาปนฺนา อวินิปาตธมฺมา นิยตา สมฺโพธิปรายณาฯ

    In excess of five hundred laymen in Ñātika have passed away having ended three fetters. They’re stream-enterers, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.

    ๑๐ฯ ธมฺมาทาสธมฺมปริยาย

    10. The Mirror of the Teaching

    อนจฺฉริยํ โข ปเนตํ, อานนฺท, ยํ มนุสฺสภูโต กาลํ กเรยฺยฯ ตสฺมึเยว กาลงฺกเต ตถาคตํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ปุจฺฉิสฺสถ, วิเหสา เหสา, อานนฺท, ตถาคตสฺสฯ

    It’s hardly surprising that a human being should pass away. But if you should come and ask me about it each and every time someone passes away, that would be a bother for me.

    ตสฺมาติหานนฺท, ธมฺมาทาสํ นาม ธมฺมปริยายํ เทเสสฺสามิ, เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนาว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย: ‘ขีณนิรโยมฺหิ ขีณติรจฺฉานโยนิ ขีณเปตฺติวิสโย ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต, โสตาปนฺโนหมสฺมิ อวินิปาตธมฺโม นิยโต สมฺโพธิปรายโณ'ติฯ

    So Ānanda, I will teach you the explanation of the Dhamma called ‘the mirror of the teaching’. A noble disciple who has this may declare of themselves: ‘I’ve finished with rebirth in hell, the animal realm, and the ghost realm. I’ve finished with all places of loss, bad places, the underworld. I am a stream-enterer! I’m not liable to be reborn in the underworld, and am bound for awakening.’

    กตโม จ โส, อานนฺท, ธมฺมาทาโส ธมฺมปริยาโย, เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนาว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย: ‘ขีณนิรโยมฺหิ ขีณติรจฺฉานโยนิ ขีณเปตฺติวิสโย ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต, โสตาปนฺโนหมสฺมิ อวินิปาตธมฺโม นิยโต สมฺโพธิปรายโณ'ติ?

    And what is that mirror of the teaching?

    อิธานนฺท, อริยสาวโก พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต โหติ: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา'ติฯ

    It’s when a noble disciple has experiential confidence in the Buddha: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’

    ธมฺเม อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต โหติ: ‘สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหี'ติฯ

    They have experiential confidence in the teaching: ‘The teaching is well explained by the Buddha—apparent in the present life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves.’

    สงฺเฆ อเวจฺจปฺปสาเทน สมนฺนาคโต โหติ: ‘สุปฺปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, อุชุปฺปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, ญายปฺปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ, สามีจิปฺปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา, เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนโยฺย ปาหุเนโยฺย ทกฺขิเณโยฺย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสา'ติฯ

    They have experiential confidence in the Saṅgha: ‘The Saṅgha of the Buddha’s disciples is practicing the way that’s good, direct, systematic, and proper. It consists of the four pairs, the eight individuals. This is the Saṅgha of the Buddha’s disciples that is worthy of offerings dedicated to the gods, worthy of hospitality, worthy of a religious donation, worthy of greeting with joined palms, and is the supreme field of merit for the world.’

    อริยกนฺเตหิ สีเลหิ สมนฺนาคโต โหติ อขณฺเฑหิ อจฺฉิทฺเทหิ อสพเลหิ อกมฺมาเสหิ ภุชิเสฺสหิ วิญฺญูปสตฺเถหิ อปรามฏฺเฐหิ สมาธิสํวตฺตนิเกหิฯ

    And a noble disciple’s ethical conduct is loved by the noble ones, unbroken, impeccable, spotless, and unmarred, liberating, praised by sensible people, not mistaken, and leading to immersion.

    อยํ โข โส, อานนฺท, ธมฺมาทาโส ธมฺมปริยาโย, เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนาว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย: ‘ขีณนิรโยมฺหิ ขีณติรจฺฉานโยนิ ขีณเปตฺติวิสโย ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต, โสตาปนฺโนหมสฺมิ อวินิปาตธมฺโม นิยโต สมฺโพธิปรายโณ'”ติฯ

    This is that mirror of the teaching.”

    ตตฺรปิ สุทํ ภควา นาติเก วิหรนฺโต คิญฺชกาวสเถ เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying there in Ñātika the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ อิติ สมาธิ อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    (…)

    อถ โข ภควา นาติเก ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน เวสาลี เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Ñātika as long as he pleased, he addressed Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Vesālī.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน เวสาลี ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ อมฺพปาลิวเนฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Vesālī, where he stayed in Ambapālī’s mango grove.

    ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    There the Buddha addressed the bhikkhus:

    “สโต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิหเรยฺย สมฺปชาโน, อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนีฯ

    “Bhikkhus, a bhikkhu should live mindful and aware. This is my instruction to you.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สโต โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี …เป… จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี …เป… ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สโต โหติฯ

    And how is a bhikkhu mindful? It’s when a bhikkhu meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. That’s how a bhikkhu is mindful.

    กถญฺจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมฺปชาโน โหติ? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ เอวํ โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมฺปชาโน โหติฯ สโต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิหเรยฺย สมฺปชาโน, อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนี”ติฯ

    And how is a bhikkhu aware? It’s when a bhikkhu acts with situational awareness when going out and coming back; when looking ahead and aside; when bending and extending the limbs; when bearing the outer robe, bowl and robes; when eating, drinking, chewing, and tasting; when urinating and defecating; when walking, standing, sitting, sleeping, waking, speaking, and keeping silent. That’s how a bhikkhu is aware. A bhikkhu should live mindful and aware. This is my instruction to you.”

    ๑๑ฯ อมฺพปาลีคณิกา

    11. Ambapālī the Courtesan

    อโสฺสสิ โข อมฺพปาลี คณิกา: “ภควา กิร เวสาลึ อนุปฺปตฺโต เวสาลิยํ วิหรติ มยฺหํ อมฺพวเน”ติฯ อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยชาเปตฺวา ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ เวสาลิยา นิยฺยาสิฯ เยน สโก อาราโม เตน ปายาสิฯ ยาวติกา ยานสฺส ภูมิ, ยาเนน คนฺตฺวา, ยานา ปจฺโจโรหิตฺวา ปตฺติกาว เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อมฺพปาลึ คณิกํ ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ

    Ambapālī the courtesan heard that the Buddha had arrived and was staying in her mango grove. She had the finest carriages harnessed. Then she mounted a fine carriage and, along with other fine carriages, set out from Vesālī for her own park. She went by carriage as far as the terrain allowed, then descended and approached the Buddha on foot. She bowed and sat down to one side. The Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired her with a Dhamma talk.

    อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิตา สมาทปิตา สมุตฺเตชิตา สมฺปหํสิตา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อธิวาเสตุ เม, ภนฺเต, ภควา สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Then she said to the Buddha, “Sir, may the Buddha together with the bhikkhu Saṅgha please accept tomorrow’s meal from me.” The Buddha consented with silence. Then, knowing that the Buddha had consented, Ambapālī got up from her seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on her right, before leaving.

    อโสฺสสุํ โข เวสาลิกา ลิจฺฉวี: “ภควา กิร เวสาลึ อนุปฺปตฺโต เวสาลิยํ วิหรติ อมฺพปาลิวเน”ติฯ อถ โข เต ลิจฺฉวี ภทฺทานิ ภทฺทานิ ยานานิ โยชาเปตฺวา ภทฺทํ ภทฺทํ ยานํ อภิรุหิตฺวา ภทฺเทหิ ภทฺเทหิ ยาเนหิ เวสาลิยา นิยฺยึสุฯ ตตฺร เอกจฺเจ ลิจฺฉวี นีลา โหนฺติ นีลวณฺณา นีลวตฺถา นีลาลงฺการา, เอกจฺเจ ลิจฺฉวี ปีตา โหนฺติ ปีตวณฺณา ปีตวตฺถา ปีตาลงฺการา, เอกจฺเจ ลิจฺฉวี โลหิตา โหนฺติ โลหิตวณฺณา โลหิตวตฺถา โลหิตาลงฺการา, เอกจฺเจ ลิจฺฉวี โอทาตา โหนฺติ โอทาตวณฺณา โอทาตวตฺถา โอทาตาลงฺการาฯ

    The Licchavis of Vesālī also heard that the Buddha had arrived and was staying in Ambapālī’s mango grove. They had the finest carriages harnessed. Then they mounted a fine carriage and, along with other fine carriages, set out from Vesālī. Some of the Licchavis were in blue, of blue color, clad in blue, adorned with blue. And some were similarly colored in yellow, red, or white.

    อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ทหรานํ ทหรานํ ลิจฺฉวีนํ อกฺเขน อกฺขํ จกฺเกน จกฺกํ ยุเคน ยุคํ ปฏิวฏฺเฏสิฯ อถ โข เต ลิจฺฉวี อมฺพปาลึ คณิกํ เอตทโวจุํ: “กึ, เช อมฺพปาลิ, ทหรานํ ทหรานํ ลิจฺฉวีนํ อกฺเขน อกฺขํ จกฺเกน จกฺกํ ยุเคน ยุคํ ปฏิวฏฺเฏสี”ติ?

    Then Ambapālī the courtesan collided with those Licchavi youths, axle to axle, wheel to wheel, yoke to yoke. The Licchavis said to her, “What, you wench Ambapālī, are you doing colliding with us axle to axle, wheel to wheel, yoke to yoke?”

    “ตถา หิ ปน เม, อยฺยปุตฺตา, ภควา นิมนฺติโต สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ

    “Well, masters, it’s because I’ve invited the Buddha for tomorrow’s meal together with the bhikkhu Saṅgha.”

    “เทหิ, เช อมฺพปาลิ, เอตํ ภตฺตํ สตสหเสฺสนา”ติฯ

    “Wench, give us that meal for a hundred thousand!”

    “สเจปิ เม, อยฺยปุตฺตา, เวสาลึ สาหารํ ทสฺสถ, เอวมหํ ตํ ภตฺตํ น ทสฺสามี”ติฯ

    “Masters, even if you were to give me Vesālī with her provinces, I still wouldn’t give that meal to you.”

    อถ โข เต ลิจฺฉวี องฺคุลึ โผเฏสุํ: “ชิตมฺห วต โภ อมฺพกาย, ชิตมฺห วต โภ อมฺพกายา”ติฯ อถ โข เต ลิจฺฉวี เยน อมฺพปาลิวนํ เตน ปายึสุฯ

    Then the Licchavis snapped their fingers, saying, “We’ve been beaten by the aunty! We’ve been beaten by the aunty!” Then they continued on to Ambapālī’s mango grove.

    อทฺทสา โข ภควา เต ลิจฺฉวี ทูรโตว อาคจฺฉนฺเตฯ ทิสฺวาน ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “เยสํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขูนํ เทวา ตาวตึสา อทิฏฺฐปุพฺพา, โอโลเกถ, ภิกฺขเว, ลิจฺฉวิปริสํ; อปโลเกถ, ภิกฺขเว, ลิจฺฉวิปริสํ; อุปสํหรถ, ภิกฺขเว, ลิจฺฉวิปริสํ—ตาวตึสสทิสนฺ”ติฯ

    The Buddha saw them coming off in the distance, and addressed the bhikkhus: “Any of the bhikkhus who’ve never seen the gods of the Thirty-Three, just have a look at the assembly of Licchavis. See the assembly of Licchavis, check them out: they’re just like the Thirty-Three!”

    อถ โข เต ลิจฺฉวี ยาวติกา ยานสฺส ภูมิ, ยาเนน คนฺตฺวา, ยานา ปจฺโจโรหิตฺวา ปตฺติกาว เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺเน โข เต ลิจฺฉวี ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ

    The Licchavis went by carriage as far as the terrain allowed, then descended and approached the Buddha on foot. They bowed to the Buddha, sat down to one side, and the Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired them with a Dhamma talk.

    อถ โข เต ลิจฺฉวี ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิตา สมาทปิตา สมุตฺเตชิตา สมฺปหํสิตา ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “อธิวาเสตุ โน, ภนฺเต, ภควา สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ

    Then they said to the Buddha, “Sir, may the Buddha together with the bhikkhu Saṅgha please accept tomorrow’s meal from us.”

    อถ โข ภควา เต ลิจฺฉวี เอตทโวจ: “อธิวุตฺถํ โข เม, ลิจฺฉวี, สฺวาตนาย อมฺพปาลิยา คณิกาย ภตฺตนฺ”ติฯ

    Then the Buddha said to the Licchavis, “I have already accepted tomorrow’s meal from Ambapālī the courtesan.”

    อถ โข เต ลิจฺฉวี องฺคุลึ โผเฏสุํ: “ชิตมฺห วต โภ อมฺพกาย, ชิตมฺห วต โภ อมฺพกายา”ติฯ

    Then the Licchavis snapped their fingers, saying, “We’ve been beaten by the aunty! We’ve been beaten by the aunty!”

    อถ โข เต ลิจฺฉวี ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมึสุฯ

    And then those Licchavis approved and agreed with what the Buddha said. They got up from their seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on their right, before leaving.

    อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก อาราเม ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิ: “กาโล, ภนฺเต, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ”ติฯ

    And when the night had passed Ambapālī had delicious fresh and cooked foods prepared in her own park. Then she had the Buddha informed of the time, saying, “Sir, it’s time. The meal is ready.”

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน อมฺพปาลิยา คณิกาย นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข อมฺพปาลี คณิกา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน สหตฺถา สนฺตปฺเปสิ สมฺปวาเรสิฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to the home of Ambapālī together with the bhikkhu Saṅgha, where he sat on the seat spread out. Then Ambapālī served and satisfied the bhikkhu Saṅgha headed by the Buddha with her own hands with delicious fresh and cooked foods.

    อถ โข อมฺพปาลี คณิกา ภควนฺตํ ภุตฺตาวึ โอนีตปตฺตปาณึ อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข อมฺพปาลี คณิกา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อิมาหํ, ภนฺเต, อารามํ พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทมฺมี”ติฯ

    When the Buddha had eaten and washed his hands and bowl, Ambapālī took a low seat, sat to one side, and said to the Buddha, “Sir, I present this park to the bhikkhu Saṅgha headed by the Buddha.”

    ปฏิคฺคเหสิ ภควา อารามํฯ

    The Buddha accepted the park.

    อถ โข ภควา อมฺพปาลึ คณิกํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    Then the Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired her with a Dhamma talk, after which he got up from his seat and left.

    ตตฺรปิ สุทํ ภควา เวสาลิยํ วิหรนฺโต อมฺพปาลิวเน เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying at Vesālī, too, the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    ๑๒ฯ เวฬุวคามวสฺสูปคมน

    12. Commencing the Rains at Beluva

    อถ โข ภควา อมฺพปาลิวเน ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน เวฬุวคามโก เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Ambapālī’s mango grove as long as he pleased, he addressed Venerable Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the little village of Beluva.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน เวฬุวคามโก ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา เวฬุวคามเก วิหรติฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at the little village of Beluva, and stayed there.

    ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “เอถ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สมนฺตา เวสาลึ ยถามิตฺตํ ยถาสนฺทิฏฺฐํ ยถาสมฺภตฺตํ วสฺสํ อุเปถฯ อหํ ปน อิเธว เวฬุวคามเก วสฺสํ อุปคจฺฉามี”ติฯ

    There the Buddha addressed the bhikkhus: “Bhikkhus, please enter the rainy season residence with whatever friends or acquaintances you have around Vesālī. I’ll commence the rainy season residence right here in the little village of Beluva.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา สมนฺตา เวสาลึ ยถามิตฺตํ ยถาสนฺทิฏฺฐํ ยถาสมฺภตฺตํ วสฺสํ อุปคจฺฉึสุฯ ภควา ปน ตตฺเถว เวฬุวคามเก วสฺสํ อุปคจฺฉิฯ

    “Yes, sir,” those bhikkhus replied. They did as the Buddha said, while the Buddha commenced the rainy season residence right there in the little village of Beluva.

    อถ โข ภควโต วสฺสูปคตสฺส ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, พาฬฺหา เวทนา วตฺตนฺติ มารณนฺติกาฯ ตา สุทํ ภควา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสสิ อวิหญฺญมาโนฯ อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “น โข เมตํ ปติรูปํ, ยฺวาหํ อนามนฺเตตฺวา อุปฏฺฐาเก อนปโลเกตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปรินิพฺพาเยยฺยํฯ ยนฺนูนาหํ อิมํ อาพาธํ วีริเยน ปฏิปณาเมตฺวา ชีวิตสงฺขารํ อธิฏฺฐาย วิหเรยฺยนฺ”ติฯ

    After the Buddha had commenced the rainy season residence, he fell severely ill, struck by dreadful pains, close to death. But he endured unbothered, with mindfulness and situational awareness. Then it occurred to the Buddha, “It would not be appropriate for me to become fully extinguished before informing my supporters and taking leave of the bhikkhu Saṅgha. Why don’t I forcefully suppress this illness, stabilize the life force, and live on?”

    อถ โข ภควา ตํ อาพาธํ วีริเยน ปฏิปณาเมตฺวา ชีวิตสงฺขารํ อธิฏฺฐาย วิหาสิฯ อถ โข ภควโต โส อาพาโธ ปฏิปฺปสฺสมฺภิฯ

    So that is what he did. Then the Buddha’s illness died down.

    อถ โข ภควา คิลานา วุฏฺฐิโต อจิรวุฏฺฐิโต เคลญฺญา วิหารา นิกฺขมฺม วิหารปจฺฉายายํ ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ทิฏฺโฐ เม, ภนฺเต, ภควโต ผาสุ; ทิฏฺฐํ เม, ภนฺเต, ภควโต ขมนียํ, อปิ จ เม, ภนฺเต, มธุรกชาโต วิย กาโย, ทิสาปิ เม น ปกฺขายนฺติ, ธมฺมาปิ มํ น ปฏิภนฺติ ภควโต เคลญฺเญนฯ อปิ จ เม, ภนฺเต, อโหสิ กาจิเทว อสฺสาสมตฺตา: ‘น ตาว ภควา ปรินิพฺพายิสฺสติ, น ยาว ภควา ภิกฺขุสงฺฆํ อารพฺภ กิญฺจิเทว อุทาหรตี'”ติฯ

    Soon after the Buddha had recovered from that sickness, he came out from his dwelling and sat in the shade of the porch on the seat spread out. Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, it’s fantastic that the Buddha is comfortable and well. Because when the Buddha was sick, my body felt like it was drugged. I was disorientated, and the teachings weren’t clear to me. Still, at least I was consoled by the thought that the Buddha won’t become fully extinguished without bringing something up regarding the Saṅgha of bhikkhus.”

    “กึ ปนานนฺท, ภิกฺขุสงฺโฆ มยิ ปจฺจาสีสติ? เทสิโต, อานนฺท, มยา ธมฺโม อนนฺตรํ อพาหิรํ กริตฺวาฯ นตฺถานนฺท, ตถาคตสฺส ธมฺเมสุ อาจริยมุฏฺฐิฯ ยสฺส นูน, อานนฺท, เอวมสฺส: ‘อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามี'ติ วา ‘มมุทฺเทสิโก ภิกฺขุสงฺโฆ'ติ วา, โส นูน, อานนฺท, ภิกฺขุสงฺฆํ อารพฺภ กิญฺจิเทว อุทาหเรยฺยฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, น เอวํ โหติ: ‘อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามี'ติ วา ‘มมุทฺเทสิโก ภิกฺขุสงฺโฆ'ติ วาฯ สกึ, อานนฺท, ตถาคโต ภิกฺขุสงฺฆํ อารพฺภ กิญฺจิเทว อุทาหริสฺสติฯ

    “But what could the bhikkhu Saṅgha expect from me, Ānanda? I’ve taught the Dhamma without making any distinction between secret and public teachings. The Realized One doesn’t have the closed fist of a teacher when it comes to the teachings. If there’s anyone who thinks: ‘I shall lead the bhikkhu Saṅgha,’ or ‘the Saṅgha of bhikkhus is meant for me,’ let them bring something up regarding the Saṅgha. But the Realized One doesn’t think like this, so why should he bring something up regarding the Saṅgha?

    อหํ โข ปนานนฺท, เอตรหิ ชิณฺโณ วุทฺโธ มหลฺลโก อทฺธคโต วโย อนุปฺปตฺโตฯ อาสีติโก เม วโย วตฺตติฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ชชฺชรสกฏํ เวฐมิสฺสเกน ยาเปติ; เอวเมว โข, อานนฺท, เวฐมิสฺสเกน มญฺเญ ตถาคตสฺส กาโย ยาเปติฯ ยสฺมึ, อานนฺท, สมเย ตถาคโต สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา เอกจฺจานํ เวทนานํ นิโรธา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, ผาสุตโร, อานนฺท, ตสฺมึ สมเย ตถาคตสฺส กาโย โหติฯ

    I’m now old, elderly and senior. I’m advanced in years and have reached the final stage of life. I’m currently eighty years old. Just as a decrepit old cart keeps going by relying on straps, in the same way, the Realized One’s body keeps going as if it were relying on straps. Sometimes the Realized One, not focusing on any signs, and with the cessation of certain feelings, enters and remains in the signless immersion of the heart. Only then does the Realized One’s body become more comfortable.

    ตสฺมาติหานนฺท, อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา, ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณาฯ กถญฺจานนฺท, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ, ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณ? อิธานนฺท, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อตาปี สมฺปชาโน สติมา, วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เวทนาสุ …เป… จิตฺเต …เป… ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา, วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ เอวํ โข, อานนฺท, ภิกฺขุ อตฺตทีโป วิหรติ อตฺตสรโณ อนญฺญสรโณ, ธมฺมทีโป ธมฺมสรโณ อนญฺญสรโณฯ

    So Ānanda, live as your own island, your own refuge, with no other refuge. Let the teaching be your island and your refuge, with no other refuge. And how does a bhikkhu do this? It’s when a bhikkhu meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. That’s how a bhikkhu is their own island, their own refuge, with no other refuge. That’s how the teaching is their island and their refuge, with no other refuge.

    เย หิ เกจิ, อานนฺท, เอตรหิ วา มม วา อจฺจเยน อตฺตทีปา วิหริสฺสนฺติ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา, ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา, ตมตคฺเค เม เต, อานนฺท, ภิกฺขู ภวิสฺสนฺติ เย เกจิ สิกฺขากามา”ติฯ

    Whether now or after I have passed, any who shall live as their own island, their own refuge, with no other refuge; with the teaching as their island and their refuge, with no other refuge—those bhikkhus of mine who want to train shall be among the best of the best.”

    ทุติยภาณวาโรฯ

    The second recitation section.

    ๑๓ฯ นิมิตฺโตภาสกถา

    13. An Obvious Hint

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เวสาลึ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ เวสาลิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “คณฺหาหิ, อานนฺท, นิสีทนํ, เยน จาปาลํ เจติยํ เตนุปสงฺกมิสฺสาม ทิวา วิหารายา”ติฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Vesālī for alms. Then, after the meal, on his return from almsround, he addressed Venerable Ānanda: “Ānanda, get your sitting cloth. Let’s go to the Cāpāla shrine for the day’s meditation.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา นิสีทนํ อาทาย ภควนฺตํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. Taking his sitting cloth he followed behind the Buddha.

    อถ โข ภควา เยน จาปาลํ เจติยํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ อายสฺมาปิ โข อานนฺโท ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ

    Then the Buddha went up to the Cāpāla shrine, where he sat on the seat spread out. Ānanda bowed to the Buddha and sat down to one side.

    เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ภควา เอตทโวจ: “รมณียา, อานนฺท, เวสาลี, รมณียํ อุเทนํ เจติยํ, รมณียํ โคตมกํ เจติยํ, รมณียํ สตฺตมฺพํ เจติยํ, รมณียํ พหุปุตฺตํ เจติยํ, รมณียํ สารนฺททํ เจติยํ, รมณียํ จาปาลํ เจติยํฯ

    The Buddha said to him: “Ānanda, Vesālī is lovely. And the Udena, Gotamaka, Seven Maidens, Many Sons, Sārandada, and Cāpāla Tree-shrines are all lovely.

    ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา”ติฯ

    Whoever has developed and cultivated the four bases of psychic power—made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them—may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. The Realized One has developed and cultivated the four bases of psychic power, made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them. If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.”

    เอวมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควตา โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ; น ภควนฺตํ ยาจิ: “ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติ, ยถา ตํ มาเรน ปริยุฏฺฐิตจิตฺโตฯ

    But Ānanda didn’t get it, even though the Buddha dropped such an obvious hint, such a clear sign. He didn’t beg the Buddha: “Sir, may the Blessed One please remain for the eon! May the Holy One please remain for the eon! That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.” For his mind was as if possessed by Māra.

    ทุติยมฺปิ โข ภควา …เป… ตติยมฺปิ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “รมณียา, อานนฺท, เวสาลี, รมณียํ อุเทนํ เจติยํ, รมณียํ โคตมกํ เจติยํ, รมณียํ สตฺตมฺพํ เจติยํ, รมณียํ พหุปุตฺตํ เจติยํ, รมณียํ สารนฺททํ เจติยํ, รมณียํ จาปาลํ เจติยํฯ ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา”ติฯ

    For a second time … And for a third time, the Buddha said to Ānanda: “Ānanda, Vesālī is lovely. And the Udena, Gotamaka, Seven Maidens, Many Sons, Sārandada, and Cāpāla Tree-shrines are all lovely. Whoever has developed and cultivated the four bases of psychic power—made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them—may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. The Realized One has developed and cultivated the four bases of psychic power, made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them. If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.”

    เอวมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควตา โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ; น ภควนฺตํ ยาจิ: “ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติ, ยถา ตํ มาเรน ปริยุฏฺฐิตจิตฺโตฯ

    But Ānanda didn’t get it, even though the Buddha dropped such an obvious hint, such a clear sign. He didn’t beg the Buddha: “Sir, may the Blessed One please remain for the eon! May the Holy One please remain for the eon! That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.” For his mind was as if possessed by Māra.

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “คจฺฉ ตฺวํ, อานนฺท, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี”ติฯ

    Then the Buddha got up and said to Venerable Ānanda, “Go now, Ānanda, at your convenience.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา อวิทูเร อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. He rose from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before sitting at the root of a tree close by.

    ๑๔ฯ มารยาจนกถา

    14. The Appeal of Māra

    อถ โข มาโร ปาปิมา อจิรปกฺกนฺเต อายสฺมนฺเต อานนฺเท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข มาโร ปาปิมา ภควนฺตํ เอตทโวจ:

    And then, not long after Ānanda had left, Māra the Wicked went up to the Buddha, stood to one side, and said to him:

    “ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขู น สาวกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺตี'ติฯ

    “Sir, may the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished. Sir, you once made this statement: ‘Wicked One, I shall not become fully extinguished until I have monk disciples who are competent, educated, assured, learned, have memorized the teachings, and practice in line with the teachings. Not until they practice properly, living in line with the teaching. Not until they’ve learned their tradition, and explain, teach, assert, establish, disclose, analyze, and make it clear. Not until they can legitimately and completely refute the doctrines of others that come up, and teach with a demonstrable basis.’

    เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, ภิกฺขู ภควโต สาวกา วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ ปญฺญเปนฺติ ปฏฺฐเปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ

    Today you do have such monk disciples. May the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.

    ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขุนิโย น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺตี'ติฯ

    Sir, you once made this statement: ‘Wicked One, I shall not become fully extinguished until I have nun disciples who are competent, educated, assured, learned …’

    เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, ภิกฺขุนิโย ภควโต สาวิกา วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ ปญฺญเปนฺติ ปฏฺฐเปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ

    Today you do have such nun disciples. May the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.

    ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อุปาสกา น สาวกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺตี'ติฯ

    Sir, you once made this statement: ‘Wicked One, I shall not become fully extinguished until I have layman disciples who are competent, educated, assured, learned …’

    เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, อุปาสกา ภควโต สาวกา วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ ปญฺญเปนฺติ ปฏฺฐเปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ

    Today you do have such layman disciples. May the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.

    ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อุปาสิกา น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺตี'ติฯ

    Sir, you once made this statement: ‘Wicked One, I shall not become fully extinguished until I have laywoman disciples who are competent, educated, assured, learned …’

    เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, อุปาสิกา ภควโต สาวิกา วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ ปญฺญเปนฺติ ปฏฺฐเปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ

    Today you do have such laywoman disciples. May the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.

    ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อิทํ พฺรหฺมจริยํ น อิทฺธญฺเจว ภวิสฺสติ ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺ'ติฯ

    Sir, you once made this statement: ‘Wicked One, I will not become fully extinguished until my spiritual path is successful and prosperous, extensive, popular, widespread, and well proclaimed wherever there are gods and humans.’

    เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, ภควโต พฺรหฺมจริยํ อิทฺธญฺเจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ, ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตํฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโต”ติฯ

    Today your spiritual path is successful and prosperous, extensive, popular, widespread, and well proclaimed wherever there are gods and humans. May the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.”

    เอวํ วุตฺเต, ภควา มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจ: “อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, ปาปิม, โหหิ, น จิรํ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อิโต ติณฺณํ มาสานํ อจฺจเยน ตถาคโต ปรินิพฺพายิสฺสตี”ติฯ

    When this was said, the Buddha said to Māra, “Relax, Wicked One. The final Nibbana of the Realized One will be soon. Three months from now the Realized One will finally be extinguished.”

    ๑๕ฯ อายุสงฺขารโอสฺสชฺชน

    15. Surrendering the Life Force

    อถ โข ภควา จาปาเล เจติเย สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชิฯ โอสฺสฏฺเฐ จ ภควตา อายุสงฺขาเร มหาภูมิจาโล อโหสิ ภึสนโก สโลมหํโส, เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุฯ อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ:

    So at the Cāpāla Tree-shrine the Buddha, mindful and aware, surrendered the life force. When he did so there was a great earthquake, awe-inspiring and hair-raising, and thunder cracked the sky. Then, understanding this matter, on that occasion the Buddha expressed this heartfelt sentiment:

    “ตุลมตุลญฺจ สมฺภวํ, ภวสงฺขารมวสฺสชิ มุนิ; อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต, อภินฺทิ กวจมิวตฺตสมฺภวนฺ”ติฯ

    “Comparing the incomparable with the creation of prolonged life, the sage surrendered the life force. Happy inside, serene, he shattered self-creation like a suit of armor.”

    ๑๖ฯ มหาภูมิจาลเหตุ

    16. The Causes of Earthquakes

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, มหา วตายํ ภูมิจาโล; สุมหา วตายํ ภูมิจาโล ภึสนโก สโลมหํโส; เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุฯ โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายา”ติ?

    Then Venerable Ānanda thought, “How incredible, how amazing! That was a really big earthquake! That was really a very big earthquake; awe-inspiring and hair-raising, and thunder cracked the sky! What’s the cause, what’s the reason for a great earthquake?”

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ, เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเตฯ มหา วตายํ, ภนฺเต, ภูมิจาโล; สุมหา วตายํ, ภนฺเต, ภูมิจาโล ภึสนโก สโลมหํโส; เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุฯ โก นุ โข, ภนฺเต, เหตุ โก ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายา”ติ?

    Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “How incredible, sir, how amazing! That was a really big earthquake! That was really a very big earthquake; awe-inspiring and hair-raising, and thunder cracked the sky! What’s the cause, what’s the reason for a great earthquake?”

    “อฏฺฐ โข อิเม, อานนฺท, เหตู, อฏฺฐ ปจฺจยา มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ กตเม อฏฺฐ?

    “Ānanda, there are these eight causes and reasons for a great earthquake. What eight?

    อยํ, อานนฺท, มหาปถวี อุทเก ปติฏฺฐิตา, อุทกํ วาเต ปติฏฺฐิตํ, วาโต อากาสฏฺโฐฯ โหติ โข โส, อานนฺท, สมโย, ยํ มหาวาตา วายนฺติฯ มหาวาตา วายนฺตา อุทกํ กมฺเปนฺติฯ อุทกํ กมฺปิตํ ปถวึ กมฺเปติฯ อยํ ปฐโม เหตุ ปฐโม ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    This great earth is grounded on water, the water is grounded on air, and the air stands in space. At a time when a great wind blows, it stirs the water, and the water stirs the earth. This is the first cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, สมโณ วา โหติ พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปตฺโต, เทโว วา มหิทฺธิโก มหานุภาโว, ตสฺส ปริตฺตา ปถวีสญฺญา ภาวิตา โหติ, อปฺปมาณา อาโปสญฺญาฯ โส อิมํ ปถวึ กมฺเปติ สงฺกมฺเปติ สมฺปกมฺเปติ สมฺปเวเธติฯ อยํ ทุติโย เหตุ ทุติโย ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, there is an ascetic or brahmin with psychic power who has achieved mastery of the mind, or a god who is mighty and powerful. They’ve developed a limited perception of earth and a limitless perception of water. They make the earth shake and rock and tremble. This is the second cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา โพธิสตฺโต ตุสิตกายา จวิตฺวา สโต สมฺปชาโน มาตุกุจฺฉึ โอกฺกมติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ ตติโย เหตุ ตติโย ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the being intent on awakening passes away from the host of Joyful Gods, he’s conceived in his mother’s belly, mindful and aware. Then the earth shakes and rocks and trembles. This is the third cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา โพธิสตฺโต สโต สมฺปชาโน มาตุกุจฺฉิสฺมา นิกฺขมติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ จตุตฺโถ เหตุ จตุตฺโถ ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the being intent on awakening comes out of his mother’s belly mindful and aware, the earth shakes and rocks and trembles. This is the fourth cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ ปญฺจโม เหตุ ปญฺจโม ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the Realized One realizes the supreme perfect awakening, the earth shakes and rocks and trembles. This is the fifth cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา ตถาคโต อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ ฉฏฺโฐ เหตุ ฉฏฺโฐ ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the Realized One rolls forth the supreme Wheel of Dhamma, the earth shakes and rocks and trembles. This is the sixth cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา ตถาคโต สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชฺชติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ สตฺตโม เหตุ สตฺตโม ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the Realized One, mindful and aware, surrenders the life force, the earth shakes and rocks and trembles. This is the seventh cause and reason for a great earthquake.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ยทา ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ตทายํ ปถวี กมฺปติ สงฺกมฺปติ สมฺปกมฺปติ สมฺปเวธติฯ อยํ อฏฺฐโม เหตุ อฏฺฐโม ปจฺจโย มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    Furthermore, when the Realized One becomes fully extinguished in the element of Nibbana with nothing left over, the earth shakes and rocks and trembles. This is the eighth cause and reason for a great earthquake.

    อิเม โข, อานนฺท, อฏฺฐ เหตู, อฏฺฐ ปจฺจยา มหโต ภูมิจาลสฺส ปาตุภาวายฯ

    These are the eight causes and reasons for a great earthquake.

    ๑๗ฯ อฏฺฐปริสา

    17. Eight Assemblies

    อฏฺฐ โข อิมา, อานนฺท, ปริสาฯ กตมา อฏฺฐ? ขตฺติยปริสา, พฺราหฺมณปริสา, คหปติปริสา, สมณปริสา, จาตุมหาราชิกปริสา, ตาวตึสปริสา, มารปริสา, พฺรหฺมปริสาฯ

    There are, Ānanda, these eight assemblies. What eight? The assemblies of aristocrats, brahmins, householders, and ascetics. An assembly of the gods of the Four Great Kings. An assembly of the gods of the Thirty-Three. An assembly of Māras. An assembly of Brahmās.

    อภิชานามิ โข ปนาหํ, อานนฺท, อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพญฺเจว สลฺลปิตปุพฺพญฺจ สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺถ ยาทิสโก เตสํ วณฺโณ โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ วณฺโณ โหติฯ ยาทิสโก เตสํ สโร โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ สโร โหติฯ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสมิ สมาทเปมิ สมุตฺเตเชมิ สมฺปหํเสมิฯ ภาสมานญฺจ มํ น ชานนฺติ: ‘โก นุ โข อยํ ภาสติ เทโว วา มนุโสฺส วา'ติ? ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อนฺตรธายามิฯ อนฺตรหิตญฺจ มํ น ชานนฺติ: ‘โก นุ โข อยํ อนฺตรหิโต เทโว วา มนุโสฺส วา'ติ?

    I recall having approached an assembly of hundreds of aristocrats. There I used to sit with them, converse, and engage in discussion. And my appearance and voice became just like theirs. I educated, encouraged, fired up, and inspired them with a Dhamma talk. But when I spoke they didn’t know: ‘Who is this that speaks? Is it a god or a human?’ And when my Dhamma talk was finished I vanished. But when I vanished they didn’t know: ‘Who was that who vanished? Was it a god or a human?’

    อภิชานามิ โข ปนาหํ, อานนฺท, อเนกสตํ พฺราหฺมณปริสํ …เป… คหปติปริสํ … สมณปริสํ … จาตุมหาราชิกปริสํ … ตาวตึสปริสํ … มารปริสํ … พฺรหฺมปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพญฺเจว สลฺลปิตปุพฺพญฺจ สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺถ ยาทิสโก เตสํ วณฺโณ โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ วณฺโณ โหติฯ ยาทิสโก เตสํ สโร โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ สโร โหติฯ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสมิ สมาทเปมิ สมุตฺเตเชมิ สมฺปหํเสมิฯ ภาสมานญฺจ มํ น ชานนฺติ: ‘โก นุ โข อยํ ภาสติ เทโว วา มนุโสฺส วา'ติ? ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อนฺตรธายามิฯ อนฺตรหิตญฺจ มํ น ชานนฺติ: ‘โก นุ โข อยํ อนฺตรหิโต เทโว วา มนุโสฺส วา'ติ?

    I recall having approached an assembly of hundreds of brahmins … householders … ascetics … the gods of the Four Great Kings … the gods of the Thirty-Three … Māras … Brahmās. There too I used to sit with them, converse, and engage in discussion. And my appearance and voice became just like theirs. I educated, encouraged, fired up, and inspired them with a Dhamma talk. But when I spoke they didn’t know: ‘Who is this that speaks? Is it a god or a human?’ And when my Dhamma talk was finished I vanished. But when I vanished they didn’t know: ‘Who was that who vanished? Was it a god or a human?’

    อิมา โข, อานนฺท, อฏฺฐ ปริสาฯ

    These are the eight assemblies.

    ๑๘ฯ อฏฺฐอภิภายตน

    18. Eight Dimensions of Mastery

    อฏฺฐ โข อิมานิ, อานนฺท, อภิภายตนานิฯ กตมานิ อฏฺฐ?

    Ānanda, there are these eight dimensions of mastery. What eight?

    อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ ปฐมํ อภิภายตนํฯ

    Perceiving form internally, someone sees visions externally, limited, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the first dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ ทุติยํ อภิภายตนํฯ

    Perceiving form internally, someone sees visions externally, limitless, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the second dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ ตติยํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally, limited, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the third dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ จตุตฺถํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally, limitless, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the fourth dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม อุมาปุปฺผํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํฯ เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํฯ เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ ปญฺจมํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are blue, with blue color, blue hue, and blue tint. They’re like a flax flower that’s blue, with blue color, blue hue, and blue tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, blue, with blue color, blue hue, and blue tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally, blue, with blue color, blue hue, and blue tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the fifth dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม กณิการปุปฺผํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํฯ เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํฯ เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ ฉฏฺฐํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. They’re like a champak flower that’s yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the sixth dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม พนฺธุชีวกปุปฺผํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํฯ เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํฯ เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ สตฺตมํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are red, with red color, red hue, and red tint. They’re like a scarlet mallow flower that’s red, with red color, red hue, and red tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, red, with red color, red hue, and red tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are red, with red color, red hue, and red tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the seventh dimension of mastery.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม โอสธิตารกา โอทาตา โอทาตวณฺณา โอทาตนิทสฺสนา โอทาตนิภาสาฯ เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ โอทาตํ โอทาตวณฺณํ โอทาตนิทสฺสนํ โอทาตนิภาสํฯ เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ อฏฺฐมํ อภิภายตนํฯ

    Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are white, with white color, white hue, and white tint. They’re like the morning star that’s white, with white color, white hue, and white tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, white, with white color, white hue, and white tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are white, with white color, white hue, and white tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the eighth dimension of mastery.

    อิมานิ โข, อานนฺท, อฏฺฐ อภิภายตนานิฯ

    These are the eight dimensions of mastery.

    ๑๙ฯ อฏฺฐวิโมกฺข

    19. The Eight Liberations

    อฏฺฐ โข อิเม, อานนฺท, วิโมกฺขาฯ กตเม อฏฺฐ?

    Ānanda, there are these eight liberations. What eight?

    รูปี รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ปฐโม วิโมกฺโขฯ

    Having physical form, they see visions. This is the first liberation.

    อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ทุติโย วิโมกฺโขฯ

    Not perceiving form internally, they see visions externally. This is the second liberation.

    สุภนฺเตว อธิมุตฺโต โหติ, อยํ ตติโย วิโมกฺโขฯ

    They’re focused only on beauty. This is the third liberation.

    สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ จตุตฺโถ วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite space. This is the fourth liberation.

    สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ปญฺจโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite consciousness. This is the fifth liberation.

    สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ฉฏฺโฐ วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, they enter and remain in the dimension of nothingness. This is the sixth liberation.

    สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ สตฺตโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of nothingness, they enter and remain in the dimension of neither perception nor non-perception. This is the seventh liberation.

    สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ อฏฺฐโม วิโมกฺโขฯ

    Going totally beyond the dimension of neither perception nor non-perception, they enter and remain in the cessation of perception and feeling. This is the eighth liberation.

    อิเม โข, อานนฺท, อฏฺฐ วิโมกฺขาฯ

    These are the eight liberations.

    (…)

    เอกมิทาหํ, อานนฺท, สมยํ อุรุเวลายํ วิหรามิ นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร อชปาลนิโคฺรเธ ปฐมาภิสมฺพุทฺโธฯ อถ โข, อานนฺท, มาโร ปาปิมา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข, อานนฺท, มาโร ปาปิมา มํ เอตทโวจ: ‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา; ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโต'ติฯ เอวํ วุตฺเต, อหํ, อานนฺท, มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจํ:

    Ānanda, this one time, when I was first awakened, I was staying near Uruvelā at the goatherd’s banyan tree on the bank of the Nerañjarā River. Then Māra the wicked approached me, stood to one side, and said: ‘Sir, may the Blessed One now become fully extinguished! May the Holy One now become fully extinguished! Now is the time for the Buddha to become fully extinguished.’ When he had spoken, I said to Māra:

    ‘น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขู น สาวกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขุนิโย น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อุปาสกา น สาวกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโน, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อุปาสิกา น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ วิยตฺตา วินีตา วิสารทา พหุสฺสุตา ธมฺมธรา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจารินิโย, สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา อาจิกฺขิสฺสนฺติ เทเสสฺสนฺติ ปญฺญเปสฺสนฺติ ปฏฺฐเปสฺสนฺติ วิวริสฺสนฺติ วิภชิสฺสนฺติ อุตฺตานีกริสฺสนฺติ, อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ

    ‘Wicked One, I shall not become fully extinguished until I have monk disciples … nun disciples … layman disciples … laywoman disciples who are competent, educated, assured, learned.

    น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม อิทํ พฺรหฺมจริยํ น อิทฺธญฺเจว ภวิสฺสติ ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺ'ติฯ

    I shall not become fully extinguished until my spiritual path is successful and prosperous, extensive, popular, widespread, and well proclaimed wherever there are gods and humans.’

    อิทาเนว โข, อานนฺท, อชฺช จาปาเล เจติเย มาโร ปาปิมา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข, อานนฺท, มาโร ปาปิมา มํ เอตทโวจ: ‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโตฯ ภาสิตา โข ปเนสา, ภนฺเต, ภควตา วาจา: “น ตาวาหํ, ปาปิม, ปรินิพฺพายิสฺสามิ, ยาว เม ภิกฺขู น สาวกา ภวิสฺสนฺติ …เป… ยาว เม ภิกฺขุนิโย น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ …เป… ยาว เม อุปาสกา น สาวกา ภวิสฺสนฺติ …เป… ยาว เม อุปาสิกา น สาวิกา ภวิสฺสนฺติ …เป… ยาว เม อิทํ พฺรหฺมจริยํ น อิทฺธญฺเจว ภวิสฺสติ ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ, ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺ”ติฯ เอตรหิ โข ปน, ภนฺเต, ภควโต พฺรหฺมจริยํ อิทฺธญฺเจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ, ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตํฯ ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภนฺเต, ภควา, ปรินิพฺพาตุ สุคโต, ปรินิพฺพานกาโล ทานิ, ภนฺเต, ภควโต'ติฯ

    Today, just now at the Cāpāla shrine Māra the Wicked approached me once more with the same request, reminding me of my former statement, and saying that those conditions had been fulfilled.

    เอวํ วุตฺเต, อหํ, อานนฺท, มารํ ปาปิมนฺตํ เอตทโวจํ: ‘อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, ปาปิม, โหหิ, น จิรํ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อิโต ติณฺณํ มาสานํ อจฺจเยน ตถาคโต ปรินิพฺพายิสฺสตี'ติฯ อิทาเนว โข, อานนฺท, อชฺช จาปาเล เจติเย ตถาคเตน สเตน สมฺปชาเนน อายุสงฺขาโร โอสฺสฏฺโฐ”ติฯ

    When he had spoken, I said to Māra: ‘Relax, Wicked One. The final Nibbana of the Realized One will be soon. Three months from now the Realized One will finally be extinguished.’ So today, just now at the Cāpāla Tree-shrine, mindful and aware, I surrendered the life force.”

    ๒๐ฯ อานนฺทยาจนกถา

    20. The Appeal of Ānanda

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติฯ

    When he said this, Venerable Ānanda said to the Buddha, “Sir, may the Blessed One please remain for the eon! May the Holy One please remain for the eon! That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.”

    “อลํ ทานิ, อานนฺทฯ มา ตถาคตํ ยาจิ, อกาโล ทานิ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาจนายา”ติฯ

    “Enough now, Ānanda. Do not beg the Realized One. Now is not the time to beg the Realized One.”

    ทุติยมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท …เป… ตติยมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติฯ

    For a second time … For a third time, Ānanda said to the Buddha, “Sir, may the Blessed One please remain for the eon! May the Holy One please remain for the eon! That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.”

    “สทฺทหสิ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตสฺส โพธินฺ”ติ?

    “Ānanda, do you have faith in the Realized One’s awakening?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “อถ กิญฺจรหิ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาวตติยกํ อภินิปฺปีเฬสี”ติ?

    “Then why do you keep pressing me up to the third time?”

    “สมฺมุขา เมตํ, ภนฺเต, ภควโต สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ: ‘ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธาฯ โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา'”ติฯ

    “Sir, I have heard and learned this in the presence of the Buddha: ‘Whoever has developed and cultivated the four bases of psychic power—made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them—may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. The Realized One has developed and cultivated the four bases of psychic power, made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them. If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.’”

    “สทฺทหสิ ตฺวํ, อานนฺทา”ติ?

    “Do you have faith, Ānanda?”

    “เอวํ, ภนฺเต”ฯ

    “Yes, sir.”

    “ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํ, ยํ ตฺวํ ตถาคเตน เอวํ โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ, น ตถาคตํ ยาจิ: ‘ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติฯ สเจ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาเจยฺยาสิ, เทฺวว เต วาจา ตถาคโต ปฏิกฺขิเปยฺย, อถ ตติยกํ อธิวาเสยฺยฯ ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํฯ

    “Therefore, Ānanda, the misdeed is yours alone, the mistake is yours alone. For even though the Realized One dropped such an obvious hint, such a clear sign, you didn’t beg me to remain for the eon, or what’s left of it. If you had begged me, I would have refused you twice, but consented on the third time. Therefore, Ānanda, the misdeed is yours alone, the mistake is yours alone.

    เอกมิทาหํ, อานนฺท, สมยํ ราชคเห วิหรามิ คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเตฯ ตตฺราปิ โข ตาหํ, อานนฺท, อามนฺเตสึ: ‘รมณียํ, อานนฺท, ราชคหํ, รมณีโย, อานนฺท, คิชฺฌกูโฏ ปพฺพโตฯ ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา'ติฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคเตน โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ, น ตถาคตํ ยาจิ: ‘ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติฯ สเจ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาเจยฺยาสิ, เทฺวว เต วาจา ตถาคโต ปฏิกฺขิเปยฺย, อถ ตติยกํ อธิวาเสยฺยฯ ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํฯ

    Ānanda, this one time I was staying near Rājagaha, on the Vulture’s Peak Mountain. There I said to you: ‘Ānanda, Rājagaha is lovely, and so is the Vulture’s Peak. Whoever has developed and cultivated the four bases of psychic power—made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them—may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. The Realized One has developed and cultivated the four bases of psychic power, made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them. If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.’ But you didn’t get it, even though I dropped such an obvious hint, such a clear sign. You didn’t beg me to remain for the eon, or what’s left of it. If you had begged me, I would have refused you twice, but consented on the third time. Therefore, Ānanda, the misdeed is yours alone, the mistake is yours alone.

    เอกมิทาหํ, อานนฺท, สมยํ ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ โคตมนิโคฺรเธ …เป… ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ โจรปปาเต … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ เวภารปเสฺส สตฺตปณฺณิคุหายํ … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ อิสิคิลิปเสฺส กาฬสิลายํ … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ สีตวเน สปฺปโสณฺฑิกปพฺภาเร … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ ตโปทาราเม … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ ชีวกมฺพวเน … ตตฺเถว ราชคเห วิหรามิ มทฺทกุจฺฉิสฺมึ มิคทาเยฯ

    Ānanda, this one time I was staying right there near Rājagaha, at the Gotama banyan tree … at Bandit’s Cliff … in the Sattapaṇṇi cave on the slopes of Vebhara … at the Black Rock on the slopes of Isigili … in the Cool Grove, under the Snake’s Hood Grotto … in the Hot Springs Monastery … in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground … in Jīvaka’s mango grove … in the Maddakucchi deer park …

    ตตฺราปิ โข ตาหํ, อานนฺท, อามนฺเตสึ: ‘รมณียํ, อานนฺท, ราชคหํ, รมณีโย คิชฺฌกูโฏ ปพฺพโต, รมณีโย โคตมนิโคฺรโธ, รมณีโย โจรปปาโต, รมณียา เวภารปเสฺส สตฺตปณฺณิคุหา, รมณียา อิสิคิลิปเสฺส กาฬสิลา, รมณีโย สีตวเน สปฺปโสณฺฑิกปพฺภาโร, รมณีโย ตโปทาราโม, รมณีโย เวฬุวเน กลนฺทกนิวาโป, รมณียํ ชีวกมฺพวนํ, รมณีโย มทฺทกุจฺฉิสฺมึ มิคทาโยฯ ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา …เป… อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา'ติฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคเตน โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ, น ตถาคตํ ยาจิ: ‘ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติฯ สเจ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาเจยฺยาสิ, เทฺวว เต วาจา ตถาคโต ปฏิกฺขิเปยฺย, อถ ตติยกํ อธิวาเสยฺยฯ ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํฯ

    And in each place I said to you: ‘Ānanda, Rājagaha is lovely, and so are all these places. … If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.’ But you didn’t get it, even though I dropped such an obvious hint, such a clear sign. You didn’t beg me to remain for the eon, or what’s left of it.

    เอกมิทาหํ, อานนฺท, สมยํ อิเธว เวสาลิยํ วิหรามิ อุเทเน เจติเยฯ ตตฺราปิ โข ตาหํ, อานนฺท, อามนฺเตสึ: ‘รมณียา, อานนฺท, เวสาลี, รมณียํ อุเทนํ เจติยํฯ ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา'ติฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคเตน โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ, น ตถาคตํ ยาจิ: ‘ติฏฺฐตุ, ภนฺเต, ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติฯ สเจ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาเจยฺยาสิ, เทฺวว เต วาจา ตถาคโต ปฏิกฺขิเปยฺย, อถ ตติยกํ อธิวาเสยฺย, ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํฯ เอกมิทาหํ, อานนฺท, สมยํ อิเธว เวสาลิยํ วิหรามิ โคตมเก เจติเย …เป… อิเธว เวสาลิยํ วิหรามิ สตฺตมฺเพ เจติเย … อิเธว เวสาลิยํ วิหรามิ พหุปุตฺเต เจติเย … อิเธว เวสาลิยํ วิหรามิ สารนฺทเท เจติเย … อิทาเนว โข ตาหํ, อานนฺท, อชฺช จาปาเล เจติเย อามนฺเตสึ: ‘รมณียา, อานนฺท, เวสาลี, รมณียํ อุเทนํ เจติยํ, รมณียํ โคตมกํ เจติยํ, รมณียํ สตฺตมฺพํ เจติยํ, รมณียํ พหุปุตฺตํ เจติยํ, รมณียํ สารนฺททํ เจติยํ, รมณียํ จาปาลํ เจติยํฯ ยสฺส กสฺสจิ, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วาฯ ตถาคตสฺส โข, อานนฺท, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานีกตา วตฺถุกตา อนุฏฺฐิตา ปริจิตา สุสมารทฺธา, โส อากงฺขมาโน, อานนฺท, ตถาคโต กปฺปํ วา ติฏฺเฐยฺย กปฺปาวเสสํ วา'ติฯ เอวมฺปิ โข ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคเตน โอฬาริเก นิมิตฺเต กยิรมาเน โอฬาริเก โอภาเส กยิรมาเน นาสกฺขิ ปฏิวิชฺฌิตุํ, น ตถาคตํ ยาจิ: ‘ติฏฺฐตุ ภควา กปฺปํ, ติฏฺฐตุ สุคโต กปฺปํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติฯ

    Ānanda, this one time I was staying right here near Vesālī, at the Udena shrine … at the Gotamaka shrine … at the Seven Maidens shrine … at the Many Sons shrine … at the Sārandada shrine … and just now, today at the Cāpāla shrine. There I said to you: ‘Ānanda, Vesālī is lovely. And the Udena, Gotamaka, Seven Maidens, Many Sons, Sārandada, and Cāpāla Tree-shrines are all lovely. Whoever has developed and cultivated the four bases of psychic power—made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them—may, if they wish, live for the proper lifespan or what’s left of it. The Realized One has developed and cultivated the four bases of psychic power, made them a vehicle and a basis, kept them up, consolidated them, and properly implemented them. If he wished, the Realized One could live for the proper lifespan or what’s left of it.’ But you didn’t get it, even though I dropped such an obvious hint, such a clear sign. You didn’t beg me to remain for the eon, or what’s left of it, saying: ‘Sir, may the Blessed One please remain for the eon! May the Holy One please remain for the eon! That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.’

    สเจ ตฺวํ, อานนฺท, ตถาคตํ ยาเจยฺยาสิ, เทฺวว เต วาจา ตถาคโต ปฏิกฺขิเปยฺย, อถ ตติยกํ อธิวาเสยฺยฯ ตสฺมาติหานนฺท, ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฏํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธํฯ

    If you had begged me, I would have refused you twice, but consented on the third time. Therefore, Ānanda, the misdeed is yours alone, the mistake is yours alone.

    นนุ เอตํ, อานนฺท, มยา ปฏิกจฺเจว อกฺขาตํ: ‘สพฺเพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโวฯ ตํ กุเตตฺถ, อานนฺท, ลพฺภา, ยํ ตํ ชาตํ ภูตํ สงฺขตํ ปโลกธมฺมํ, ตํ วต มา ปลุชฺชีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ'ฯ ยํ โข ปเนตํ, อานนฺท, ตถาคเตน จตฺตํ วนฺตํ มุตฺตํ ปหีนํ ปฏินิสฺสฏฺฐํ โอสฺสฏฺโฐ อายุสงฺขาโร, เอกํเสน วาจา ภาสิตา: ‘น จิรํ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อิโต ติณฺณํ มาสานํ อจฺจเยน ตถาคโต ปรินิพฺพายิสฺสตี'ติฯ ตญฺจ ตถาคโต ชีวิตเหตุ ปุน ปจฺจาวมิสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ

    Did I not prepare for this when I explained that we must be parted and separated from all we hold dear and beloved? How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out? The Realized One has discarded, eliminated, released, given up, relinquished, and surrendered the life force. He has definitively stated: ‘The final Nibbana of the Realized One will be soon. Three months from now the Realized One will finally be extinguished.’ It’s not possible for the Realized One, for the sake of life, to take back the life force once it has been given up like that.

    อายามานนฺท, เยน มหาวนํ กูฏาคารสาลา เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    Come, Ānanda, let’s go to the Great Wood, the hall with the peaked roof.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    อถ โข ภควา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ เยน มหาวนํ กูฏาคารสาลา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “คจฺฉ ตฺวํ, อานนฺท, ยาวติกา ภิกฺขู เวสาลึ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติ, เต สพฺเพ อุปฏฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตหี”ติฯ

    So the Buddha went with Ānanda to the hall with the peaked roof, and said to him, “Go, Ānanda, gather all the bhikkhus staying in the vicinity of Vesālī together in the assembly hall.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา ยาวติกา ภิกฺขู เวสาลึ อุปนิสฺสาย วิหรนฺติ, เต สพฺเพ อุปฏฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิโต โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สนฺนิปติโต, ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, ยสฺสทานิ, ภนฺเต, ภควา กาลํ มญฺญตี”ติฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. He did what the Buddha asked, went up to him, bowed, stood to one side, and said to him, “Sir, the bhikkhu Saṅgha has assembled. Please, sir, go at your convenience.”

    (…)

    อถ โข ภควา เยนุปฏฺฐานสาลา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha went to the assembly hall, where he sat on the seat spread out and addressed the bhikkhus:

    “ตสฺมาติห, ภิกฺขเว, เย เต มยา ธมฺมา อภิญฺญา เทสิตา, เต โว สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา อาเสวิตพฺพา ภาเวตพฺพา พหุลีกาตพฺพา, ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐิติกํ, ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ กตเม จ เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา มยา อภิญฺญา เทสิตา, เย โว สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา อาเสวิตพฺพา ภาเวตพฺพา พหุลีกาตพฺพา, ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐิติกํ, ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํฯ เสยฺยถิทํ—จตฺตาโร สติปฏฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, ปญฺจินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโคฯ

    “So, bhikkhus, having carefully memorized those things I have taught you from my direct knowledge, you should cultivate, develop, and make much of them so that this spiritual practice may last for a long time. That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans. And what are those things I have taught from my direct knowledge? They are: the four kinds of mindfulness meditation, the four right efforts, the four bases of psychic power, the five faculties, the five powers, the seven awakening factors, and the noble eightfold path.

    อิเม โข เต, ภิกฺขเว, ธมฺมา มยา อภิญฺญา เทสิตา, เย โว สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา อาเสวิตพฺพา ภาเวตพฺพา พหุลีกาตพฺพา, ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ อทฺธนิยํ อสฺส จิรฏฺฐิติกํ, ตทสฺส พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติฯ

    These are the things I have taught from my direct knowledge. Having carefully memorized them, you should cultivate, develop, and make much of them so that this spiritual practice may last for a long time. That would be for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans.”

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha said to the bhikkhus:

    “หนฺท ทานิ, ภิกฺขเว, อามนฺตยามิ โว, วยธมฺมา สงฺขารา, อปฺปมาเทน สมฺปาเทถฯ นจิรํ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อิโต ติณฺณํ มาสานํ อจฺจเยน ตถาคโต ปรินิพฺพายิสฺสตี”ติฯ

    “Come now, bhikkhus, I say to you all: ‘Conditions fall apart. Persist with diligence.’ The final Nibbana of the Realized One will be soon. Three months from now the Realized One will finally be extinguished.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา:

    That is what the Buddha said. Then the Holy One, the Teacher, went on to say:

    “ปริปกฺโก วโย มยฺหํ, ปริตฺตํ มม ชีวิตํ; ปหาย โว คมิสฺสามิ, กตํ เม สรณมตฺตโนฯ

    “I’ve reached a ripe old age, and little of my life is left. Having given it up, I’ll depart; I’ve made a refuge for myself.

    อปฺปมตฺตา สตีมนฺโต, สุสีลา โหถ ภิกฺขโว; สุสมาหิตสงฺกปฺปา, สจิตฺตมนุรกฺขถฯ

    Diligent and mindful, be of good virtues, bhikkhus! With well-settled thoughts, take good care of your minds.

    โย อิมสฺมึ ธมฺมวินเย, อปฺปมตฺโต วิหสฺสติ; ปหาย ชาติสํสารํ, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสตี”ติฯ

    Whoever meditates diligently in this teaching and training, giving up transmigration through rebirths, will make an end to suffering.”

    ตติโย ภาณวาโรฯ

    The third recitation section.

    ๒๑ฯ นาคาปโลกิต

    21. The Elephant Look

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เวสาลึ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ เวสาลิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นาคาปโลกิตํ เวสาลึ อปโลเกตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิทํ ปจฺฉิมกํ, อานนฺท, ตถาคตสฺส เวสาลิยา ทสฺสนํ ภวิสฺสติฯ อายามานนฺท, เยน ภณฺฑคาโม เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Vesālī for alms. Then, after the meal, on his return from almsround, he turned to gaze back at Vesālī, the way that elephants do. He said to Venerable Ānanda: “Ānanda, this will be the last time the Realized One sees Vesālī. Come, Ānanda, let’s go to Wares Village.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน ภณฺฑคาโม ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา ภณฺฑคาเม วิหรติฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Wares Village, and stayed there. There the Buddha addressed the bhikkhus:

    “จตุนฺนํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ กตเมสํ จตุนฺนํ? อริยสฺส, ภิกฺขเว, สีลสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ อริยสฺส, ภิกฺขเว, สมาธิสฺส อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ อริยาย, ภิกฺขเว, ปญฺญาย อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ อริยาย, ภิกฺขเว, วิมุตฺติยา อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สํสริตํ มมญฺเจว ตุมฺหากญฺจฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, อริยํ สีลํ อนุพุทฺธํ ปฏิวิทฺธํ, อริโย สมาธิ อนุพุทฺโธ ปฏิวิทฺโธ, อริยา ปญฺญา อนุพุทฺธา ปฏิวิทฺธา, อริยา วิมุตฺติ อนุพุทฺธา ปฏิวิทฺธา, อุจฺฉินฺนา ภวตณฺหา, ขีณา ภวเนตฺติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว”ติฯ

    “Bhikkhus, due to not understanding and not penetrating four things, both you and I have wandered and transmigrated for such a very long time. What four? Noble ethics, immersion, wisdom, and freedom. These noble ethics, immersion, wisdom, and freedom have been understood and comprehended. Craving for continued existence has been cut off; the conduit to rebirth is ended; now there are no more future lives.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา:

    That is what the Buddha said. Then the Holy One, the Teacher, went on to say:

    “สีลํ สมาธิ ปญฺญา จ, วิมุตฺติ จ อนุตฺตรา; อนุพุทฺธา อิเม ธมฺมา, โคตเมน ยสสฺสินาฯ

    “Ethics, immersion, and wisdom, and the supreme freedom: these things have been understood by Gotama the renowned.

    อิติ พุทฺโธ อภิญฺญาย, ธมฺมมกฺขาสิ ภิกฺขุนํ; ทุกฺขสฺสนฺตกโร สตฺถา, จกฺขุมา ปรินิพฺพุโต”ติฯ

    And so the Buddha, having insight, explained this teaching to the bhikkhus. The teacher made an end of suffering, seeing clearly, he is extinguished.”

    ตตฺราปิ สุทํ ภควา ภณฺฑคาเม วิหรนฺโต เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying there, too, he often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    ๒๒ฯ จตุมหาปเทสกถา

    22. The Four Great References

    อถ โข ภควา ภณฺฑคาเม ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน หตฺถิคาโม,

    When the Buddha had stayed in Wares Village as long as he pleased, he addressed Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Elephant Village.”…

    เยน อมฺพคาโม,

    “Let’s go to Mango Village.”…

    เยน ชมฺพุคาโม,

    “Let’s go to Rose-apple Village.”…

    เยน โภคนครํ เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    “Let’s go to Bhoga City.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน โภคนครํ ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา โภคนคเร วิหรติ อานนฺเท เจติเยฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Bhoga City, where he stayed at the Ānanda shrine.

    ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, มหาปเทเส เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ, สาธุกํ มนสิกโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ

    There the Buddha addressed the bhikkhus: “Bhikkhus, I will teach you the four great references. Listen and apply your mind well, I will speak.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:

    “อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย: ‘สมฺมุขา เมตํ, อาวุโส, ภควโต สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ, อยํ ธมฺโม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุสาสนนฺ'ติฯ ตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ภาสิตํ เนว อภินนฺทิตพฺพํ นปฺปฏิกฺโกสิตพฺพํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฏิกฺโกสิตฺวา ตานิ ปทพฺยญฺชนานิ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา สุตฺเต โอสาเรตพฺพานิ, วินเย สนฺทเสฺสตพฺพานิฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ น เจว สุตฺเต โอสรนฺติ, น จ วินเย สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ น เจว ตสฺส ภควโต วจนํ; อิมสฺส จ ภิกฺขุโน ทุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิติ เหตํ, ภิกฺขเว, ฉฑฺเฑยฺยาถฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ สุตฺเต เจว โอสรนฺติ, วินเย จ สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ ตสฺส ภควโต วจนํ; อิมสฺส จ ภิกฺขุโน สุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปฐมํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถฯ

    “Take a bhikkhu who says: ‘Friend, I have heard and learned this in the presence of the Buddha: this is the teaching, this is the training, this is the Teacher’s instruction.’ You should neither approve nor dismiss that bhikkhu’s statement. Instead, having carefully memorized those words and phrases, you should make sure they fit in the discourse and are exhibited in the training. If they do not fit in the discourse and are not exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is not the word of the Buddha. It has been incorrectly memorized by that bhikkhu.’ And so you should reject it. If they do fit in the discourse and are exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is the word of the Buddha. It has been correctly memorized by that bhikkhu.’ You should remember it. This is the first great reference.

    อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย: ‘อมุกสฺมึ นาม อาวาเส สงฺโฆ วิหรติ สเถโร สปาโมกฺโขฯ ตสฺส เม สงฺฆสฺส สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ, อยํ ธมฺโม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุสาสนนฺ'ติฯ ตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ภาสิตํ เนว อภินนฺทิตพฺพํ นปฺปฏิกฺโกสิตพฺพํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฏิกฺโกสิตฺวา ตานิ ปทพฺยญฺชนานิ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา สุตฺเต โอสาเรตพฺพานิ, วินเย สนฺทเสฺสตพฺพานิฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ น เจว สุตฺเต โอสรนฺติ, น จ วินเย สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ น เจว ตสฺส ภควโต วจนํ; ตสฺส จ สงฺฆสฺส ทุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิติเหตํ, ภิกฺขเว, ฉฑฺเฑยฺยาถฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ สุตฺเต เจว โอสรนฺติ, วินเย จ สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ ตสฺส ภควโต วจนํ; ตสฺส จ สงฺฆสฺส สุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ทุติยํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถฯ

    Take another bhikkhu who says: ‘In such-and-such monastery lives a Saṅgha with seniors and leaders. I’ve heard and learned this in the presence of that Saṅgha: this is the teaching, this is the training, this is the Teacher’s instruction.’ You should neither approve nor dismiss that bhikkhu’s statement. Instead, having carefully memorized those words and phrases, you should make sure they fit in the discourse and are exhibited in the training. If they do not fit in the discourse and are not exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is not the word of the Buddha. It has been incorrectly memorized by that Saṅgha.’ And so you should reject it. If they do fit in the discourse and are exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is the word of the Buddha. It has been correctly memorized by that Saṅgha.’ You should remember it. This is the second great reference.

    อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย: ‘อมุกสฺมึ นาม อาวาเส สมฺพหุลา เถรา ภิกฺขู วิหรนฺติ พหุสฺสุตา อาคตาคมา ธมฺมธรา วินยธรา มาติกาธราฯ เตสํ เม เถรานํ สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ—อยํ ธมฺโม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุสาสนนฺ'ติฯ ตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ภาสิตํ เนว อภินนฺทิตพฺพํ … เป… น จ วินเย สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ น เจว ตสฺส ภควโต วจนํ; เตสญฺจ เถรานํ ทุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิติเหตํ, ภิกฺขเว, ฉฑฺเฑยฺยาถฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ …เป… วินเย จ สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ ตสฺส ภควโต วจนํ; เตสญฺจ เถรานํ สุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ตติยํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถฯ

    Take another bhikkhu who says: ‘In such-and-such monastery there are several senior bhikkhus who are very learned, inheritors of the heritage, who have memorized the teachings, the monastic law, and the outlines. I’ve heard and learned this in the presence of those senior bhikkhus: this is the teaching, this is the training, this is the Teacher’s instruction.’ You should neither approve nor dismiss that bhikkhu’s statement. Instead, having carefully memorized those words and phrases, you should make sure they fit in the discourse and are exhibited in the training. If they do not fit in the discourse and are not exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is not the word of the Buddha. It has not been correctly memorized by those senior bhikkhus.’ And so you should reject it. If they do fit in the discourse and are exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is the word of the Buddha. It has been correctly memorized by those senior bhikkhus.’ You should remember it. This is the third great reference.

    อิธ ปน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ เอวํ วเทยฺย: ‘อมุกสฺมึ นาม อาวาเส เอโก เถโร ภิกฺขุ วิหรติ พหุสฺสุโต อาคตาคโม ธมฺมธโร วินยธโร มาติกาธโรฯ ตสฺส เม เถรสฺส สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ—อยํ ธมฺโม อยํ วินโย อิทํ สตฺถุสาสนนฺ'ติฯ ตสฺส, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน ภาสิตํ เนว อภินนฺทิตพฺพํ นปฺปฏิกฺโกสิตพฺพํฯ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฏิกฺโกสิตฺวา ตานิ ปทพฺยญฺชนานิ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา สุตฺเต โอสาเรตพฺพานิ, วินเย สนฺทเสฺสตพฺพานิฯ ตานิ เจ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ น เจว สุตฺเต โอสรนฺติ, น จ วินเย สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ น เจว ตสฺส ภควโต วจนํ; ตสฺส จ เถรสฺส ทุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิติเหตํ, ภิกฺขเว, ฉฑฺเฑยฺยาถฯ ตานิ จ สุตฺเต โอสาริยมานานิ วินเย สนฺทสฺสิยมานานิ สุตฺเต เจว โอสรนฺติ, วินเย จ สนฺทิสฺสนฺติ, นิฏฺฐเมตฺถ คนฺตพฺพํ: ‘อทฺธา อิทํ ตสฺส ภควโต วจนํ; ตสฺส จ เถรสฺส สุคฺคหิตนฺ'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, จตุตฺถํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถฯ

    Take another bhikkhu who says: ‘In such-and-such monastery there is a single senior bhikkhu who is very learned, an inheritor of the heritage, who has memorized the teachings, the monastic law, and the outlines. I’ve heard and learned this in the presence of that senior bhikkhu: this is the teaching, this is the training, this is the Teacher’s instruction.’ You should neither approve nor dismiss that bhikkhu’s statement. Instead, having carefully memorized those words and phrases, you should make sure they fit in the discourse and are exhibited in the training. If they do not fit in the discourse and are not exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is not the word of the Buddha. It has been incorrectly memorized by that senior bhikkhu.’ And so you should reject it. If they do fit in the discourse and are exhibited in the training, you should draw the conclusion: ‘Clearly this is the word of the Buddha. It has been correctly memorized by that senior bhikkhu.’ You should remember it. This is the fourth great reference.

    อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร มหาปเทเส ธาเรยฺยาถา”ติฯ

    These are the four great references.”

    ตตฺรปิ สุทํ ภควา โภคนคเร วิหรนฺโต อานนฺเท เจติเย เอตเทว พหุลํ ภิกฺขูนํ ธมฺมึ กถํ กโรติ:

    And while staying at the Ānanda shrine, too, the Buddha often gave this Dhamma talk to the bhikkhus:

    “อิติ สีลํ, อิติ สมาธิ, อิติ ปญฺญาฯ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโสฯ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสาฯ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ, เสยฺยถิทํ—กามาสวา, ภวาสวา, อวิชฺชาสวา”ติฯ

    “Such is ethics, such is immersion, such is wisdom. When immersion is imbued with ethics it’s very fruitful and beneficial. When wisdom is imbued with immersion it’s very fruitful and beneficial. When the mind is imbued with wisdom it is rightly freed from the defilements, namely, the defilements of sensuality, desire to be reborn, and ignorance.”

    ๒๓ฯ กมฺมารปุตฺตจุนฺทวตฺถุ

    23. On Cunda the Smith

    อถ โข ภควา โภคนคเร ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน ปาวา เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    When the Buddha had stayed in Bhoga City as long as he pleased, he addressed Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Pāvā.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน ปาวา ตทวสริฯ ตตฺร สุทํ ภควา ปาวายํ วิหรติ จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส อมฺพวเนฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus arrived at Pāvā, where he stayed in Cunda the smith’s mango grove.

    อโสฺสสิ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต: “ภควา กิร ปาวํ อนุปฺปตฺโต, ปาวายํ วิหรติ มยฺหํ อมฺพวเน”ติฯ อถ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข จุนฺทํ กมฺมารปุตฺตํ ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ อถ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุตฺเตชิโต สมฺปหํสิโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อธิวาเสตุ เม, ภนฺเต, ภควา สฺวาตนาย ภตฺตํ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆนา”ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    Cunda heard that the Buddha had arrived and was staying in his mango grove. Then he went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired him with a Dhamma talk. Then Cunda said to the Buddha, “Sir, may the Buddha together with the bhikkhu Saṅgha please accept tomorrow’s meal from me.” The Buddha consented with silence.

    อถ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Then, knowing that the Buddha had consented, Cunda got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha, keeping him on his right, before leaving.

    อถ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน สเก นิเวสเน ปณีตํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยาทาเปตฺวา ปหูตญฺจ สูกรมทฺทวํ ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิ: “กาโล, ภนฺเต, นิฏฺฐิตํ ภตฺตนฺ”ติฯ

    And when the night had passed Cunda had delicious fresh and cooked foods prepared in his own home, and plenty of pork on the turn. Then he had the Buddha informed of the time, saying, “Sir, it’s time. The meal is ready.”

    อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส นิเวสนํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺญตฺเต อาสเน นิสีทิฯ นิสชฺช โข ภควา จุนฺทํ กมฺมารปุตฺตํ อามนฺเตสิ: “ยํ เต, จุนฺท, สูกรมทฺทวํ ปฏิยตฺตํ, เตน มํ ปริวิสฯ ยํ ปนญฺญํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยตฺตํ, เตน ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสา”ติฯ

    Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, went to the home of Cunda together with the bhikkhu Saṅgha, where he sat on the seat spread out and addressed Cunda, “Cunda, please serve me with the pork on the turn that you’ve prepared. And serve the bhikkhu Saṅgha with the other foods.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา ยํ อโหสิ สูกรมทฺทวํ ปฏิยตฺตํ, เตน ภควนฺตํ ปริวิสิฯ ยํ ปนญฺญํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฏิยตฺตํ, เตน ภิกฺขุสงฺฆํ ปริวิสิฯ

    “Yes, sir,” replied Cunda, and did as he was asked.

    อถ โข ภควา จุนฺทํ กมฺมารปุตฺตํ อามนฺเตสิ: “ยํ เต, จุนฺท, สูกรมทฺทวํ อวสิฏฺฐํ, ตํ โสพฺเภ นิขณาหิฯ นาหํ ตํ, จุนฺท, ปสฺสามิ สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย, ยสฺส ตํ ปริภุตฺตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺเฉยฺย อญฺญตฺร ตถาคตสฺสา”ติฯ

    Then the Buddha addressed Cunda, “Cunda, any pork on the turn that’s left over, you should bury it in a pit. I don’t see anyone in this world—with its gods, Māras, and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, its gods and humans—who could properly digest it except for the Realized One.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข จุนฺโท กมฺมารปุตฺโต ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา ยํ อโหสิ สูกรมทฺทวํ อวสิฏฺฐํ, ตํ โสพฺเภ นิขณิตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข จุนฺทํ กมฺมารปุตฺตํ ภควา ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุตฺเตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ

    “Yes, sir,” replied Cunda. He did as he was asked, then came back to the Buddha, bowed, and sat down to one side. Then the Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired him with a Dhamma talk, after which he got up from his seat and left.

    (…)

    อถ โข ภควโต จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส ภตฺตํ ภุตฺตาวิสฺส ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, โลหิตปกฺขนฺทิกา ปพาฬฺหา เวทนา วตฺตนฺติ มารณนฺติกาฯ ตา สุทํ ภควา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสสิ อวิหญฺญมาโนฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน กุสินารา เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    After the Buddha had eaten Cunda’s meal, he fell severely ill with bloody dysentery, struck by dreadful pains, close to death. But he endured unbothered, with mindfulness and situational awareness. Then he addressed Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to Kusinārā.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    จุนฺทสฺส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา, กมฺมารสฺสาติ เม สุตํ; อาพาธํ สมฺผุสี ธีโร, ปพาฬฺหํ มารณนฺติกํฯ

    I’ve heard that after eating the meal of Cunda the smith, the wise one fell severely ill, with pains, close to death.

    ภุตฺตสฺส จ สูกรมทฺทเวน, พฺยาธิปฺปพาโฬฺห อุทปาทิ สตฺถุโน; วิเรจมาโน ภควา อโวจ, “คจฺฉามหํ กุสินารํ นครนฺ”ติฯ

    A severe sickness struck the Teacher who had eaten the pork on the turn. While still purging the Buddha said: “I’ll go to the citadel of Kusinārā.”

    ๒๔ฯ ปานียาหรณ

    24. Bringing a Drink

    อถ โข ภควา มคฺคา โอกฺกมฺม เยน อญฺญตรํ รุกฺขมูลํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, อานนฺท, จตุคฺคุณํ สงฺฆาฏึ ปญฺญเปหิ, กิลนฺโตสฺมิ, อานนฺท, นิสีทิสฺสามี”ติฯ

    Then the Buddha left the road and went to the root of a certain tree, where he addressed Ānanda, “Please, Ānanda, fold my outer robe in four and spread it out for me. I am tired and will sit down.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา จตุคฺคุณํ สงฺฆาฏึ ปญฺญเปสิฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญตฺเต อาสเนฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda, and did as he was asked. The Buddha sat on the seat spread out.

    นิสชฺช โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, อานนฺท, ปานียํ อาหร, ปิปาสิโตสฺมิ, อานนฺท, ปิวิสฺสามี”ติฯ

    When he was seated he said to Venerable Ānanda, “Please, Ānanda, fetch me some water. I am thirsty and will drink.”

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อิทานิ, ภนฺเต, ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ อติกฺกนฺตานิ, ตํ จกฺกจฺฉินฺนํ อุทกํ ปริตฺตํ ลุฬิตํ อาวิลํ สนฺทติฯ อยํ, ภนฺเต, กกุธา นที อวิทูเร อจฺโฉทกา สาโตทกา สีโตทกา เสโตทกา สุปฺปติตฺถา รมณียาฯ เอตฺถ ภควา ปานียญฺจ ปิวิสฺสติ, คตฺตานิ จ สีตี กริสฺสตี”ติฯ

    When he said this, Venerable Ānanda said to the Buddha, “Sir, just now around five hundred carts have passed by. The shallow water has been churned up by their wheels, and it flows cloudy and murky. The Kakutthā river is not far away, with clear, sweet, cool water, clean, with smooth banks, delightful. There the Buddha can drink and cool his limbs.”

    ทุติยมฺปิ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, อานนฺท, ปานียํ อาหร, ปิปาสิโตสฺมิ, อานนฺท, ปิวิสฺสามี”ติฯ ทุติยมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อิทานิ, ภนฺเต, ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ อติกฺกนฺตานิ, ตํ จกฺกจฺฉินฺนํ อุทกํ ปริตฺตํ ลุฬิตํ อาวิลํ สนฺทติฯ อยํ, ภนฺเต, กกุธา นที อวิทูเร อจฺโฉทกา สาโตทกา สีโตทกา เสโตทกา สุปฺปติตฺถา รมณียาฯ เอตฺถ ภควา ปานียญฺจ ปิวิสฺสติ, คตฺตานิ จ สีตีกริสฺสตี”ติฯ

    For a second time, the Buddha asked Ānanda for a drink, and for a second time Ānanda suggested going to the Kakutthā river.

    ตติยมฺปิ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, อานนฺท, ปานียํ อาหร, ปิปาสิโตสฺมิ, อานนฺท, ปิวิสฺสามี”ติฯ

    And for a third time, the Buddha said to Ānanda, “Please, Ānanda, fetch me some water. I am thirsty and will drink.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา เยน สา นทิกา เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สา นทิกา จกฺกจฺฉินฺนา ปริตฺตา ลุฬิตา อาวิลา สนฺทมานา, อายสฺมนฺเต อานนฺเท อุปสงฺกมนฺเต อจฺฉา วิปฺปสนฺนา อนาวิลา สนฺทิตฺถฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. Taking his bowl he went to the river. Now, though the shallow water in that creek had been churned up by wheels, and flowed cloudy and murky, when Ānanda approached it flowed transparent, clear, and unclouded.

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, ตถาคตสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตาฯ อยญฺหิ สา นทิกา จกฺกจฺฉินฺนา ปริตฺตา ลุฬิตา อาวิลา สนฺทมานา มยิ อุปสงฺกมนฺเต อจฺฉา วิปฺปสนฺนา อนาวิลา สนฺทตี”ติฯ ปตฺเตน ปานียํ อาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเต, ตถาคตสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตาฯ อิทานิ สา ภนฺเต นทิกา จกฺกจฺฉินฺนา ปริตฺตา ลุฬิตา อาวิลา สนฺทมานา มยิ อุปสงฺกมนฺเต อจฺฉา วิปฺปสนฺนา อนาวิลา สนฺทิตฺถฯ ปิวตุ ภควา ปานียํ ปิวตุ สุคโต ปานียนฺ”ติฯ อถ โข ภควา ปานียํ อปายิฯ

    Then Ānanda thought, “Oh, how incredible, how amazing! The Realized One has such psychic power and might! For though the shallow water in that creek had been churned up by wheels, and flowed cloudy and murky, when I approached it flowed transparent, clear, and unclouded.” Gathering a bowl of drinking water he went back to the Buddha, and said to him, “It’s incredible, sir, it’s amazing! The Realized One has such psychic power and might! Just now, though the shallow water in that creek had been churned up by wheels, and flowed cloudy and murky, when I approached it flowed transparent, clear, and unclouded. Drink the water, Blessed One! Drink the water, Holy One!” So the Buddha drank the water.

    ๒๕ฯ ปุกฺกุสมลฺลปุตฺตวตฺถุ

    25. On Pukkusa the Malla

    เตน โข ปน สมเยน ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต อาฬารสฺส กาลามสฺส สาวโก กุสินาราย ปาวํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน โหติฯ อทฺทสา โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ภควนฺตํ อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสินฺนํฯ ทิสฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเต, สนฺเตน วต, ภนฺเต, ปพฺพชิตา วิหาเรน วิหรนฺติฯ

    Now at that time Pukkusa the Malla, a disciple of Āḷāra Kālāma, was traveling along the road from Kusinārā to Pāvā. He saw the Buddha sitting at the root of a certain tree. He went up to him, bowed, sat down to one side, and said, “It’s incredible, sir, it’s amazing! Those who have gone forth remain in such peaceful meditations.

    ภูตปุพฺพํ, ภนฺเต, อาฬาโร กาลาโม อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน มคฺคา โอกฺกมฺม อวิทูเร อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ อถ โข, ภนฺเต, ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ อาฬารํ กาลามํ นิสฺสาย นิสฺสาย อติกฺกมึสุฯ อถ โข, ภนฺเต, อญฺญตโร ปุริโส ตสฺส สกฏสตฺถสฺส ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อาคจฺฉนฺโต เยน อาฬาโร กาลาโม เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อาฬารํ กาลามํ เอตทโวจ: ‘อปิ, ภนฺเต, ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ อติกฺกนฺตานิ อทฺทสา'ติ?

    Once it so happened that Āḷāra Kālāma, while traveling along a road, left the road and sat at the root of a nearby tree for the day’s meditation. Then around five hundred carts passed by right next to Āḷāra Kālāma. Then a certain person coming behind those carts went up to Āḷāra Kālāma and said to him: ‘Sir, didn’t you see the five hundred carts pass by?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, อทฺทสนฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I didn’t see them.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สทฺทํ อโสฺสสี'ติ?

    ‘But sir, didn’t you hear a sound?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, สทฺทํ อโสฺสสินฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I didn’t hear a sound.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สุตฺโต อโหสี'ติ?

    ‘But sir, were you asleep?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, สุตฺโต อโหสินฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I wasn’t asleep.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สญฺญี อโหสี'ติ?

    ‘But sir, were you conscious?’

    ‘เอวมาวุโส'ติฯ ‘โส ตฺวํ, ภนฺเต, สญฺญี สมาโน ชาคโร ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ นิสฺสาย นิสฺสาย อติกฺกนฺตานิ เนว อทฺทส, น ปน สทฺทํ อโสฺสสิ; อปิสุ เต, ภนฺเต, สงฺฆาฏิ รเชน โอกิณฺณา'ติ?

    ‘Yes, friend.’ ‘So, sir, while conscious and awake you neither saw nor heard a sound as five hundred carts passed by right next to you? Why sir, even your outer robe is covered with dust!’

    ‘เอวมาวุโส'ติฯ

    ‘Yes, friend.’

    อถ โข, ภนฺเต, ตสฺส ปุริสสฺส เอตทโหสิ: ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, สนฺเตน วต โภ ปพฺพชิตา วิหาเรน วิหรนฺติฯ ยตฺร หิ นาม สญฺญี สมาโน ชาคโร ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ นิสฺสาย นิสฺสาย อติกฺกนฺตานิ เนว ทกฺขติ, น ปน สทฺทํ โสสฺสตี'ติฯ อาฬาเร กาลาเม อุฬารํ ปสาทํ ปเวเทตฺวา ปกฺกามี”ติฯ

    Then that person thought: ‘Oh, how incredible, how amazing! Those who have gone forth remain in such peaceful meditations, in that, while conscious and awake he neither saw nor heard a sound as five hundred carts passed by right next to him.’ And after declaring his lofty confidence in Āḷāra Kālāma, he left.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, ปุกฺกุส, กตมํ นุ โข ทุกฺกรตรํ วา ทุรภิสมฺภวตรํ วา—โย วา สญฺญี สมาโน ชาคโร ปญฺจมตฺตานิ สกฏสตานิ นิสฺสาย นิสฺสาย อติกฺกนฺตานิ เนว ปเสฺสยฺย, น ปน สทฺทํ สุเณยฺย; โย วา สญฺญี สมาโน ชาคโร เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา เนว ปเสฺสยฺย, น ปน สทฺทํ สุเณยฺยา”ติ?

    “What do you think, Pukkusa? Which is harder and more challenging to do while conscious and awake: to neither see nor hear a sound as five hundred carts pass by right next to you? Or to neither see nor hear a sound as it’s raining and pouring, lightning’s flashing, and thunder’s cracking?”

    “กิญฺหิ, ภนฺเต, กริสฺสนฺติ ปญฺจ วา สกฏสตานิ ฉ วา สกฏสตานิ สตฺต วา สกฏสตานิ อฏฺฐ วา สกฏสตานิ นว วา สกฏสตานิ, สกฏสหสฺสํ วา สกฏสตสหสฺสํ วาฯ อถ โข เอตเทว ทุกฺกรตรญฺเจว ทุรภิสมฺภวตรญฺจ โย สญฺญี สมาโน ชาคโร เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา เนว ปเสฺสยฺย, น ปน สทฺทํ สุเณยฺยา”ติฯ

    “What do five hundred carts matter, or six hundred, or seven hundred, or eight hundred, or nine hundred, or a thousand, or even a hundred thousand carts? It’s far harder and more challenging to neither see nor hear a sound as it’s raining and pouring, lightning’s flashing, and thunder’s cracking!”

    “เอกมิทาหํ, ปุกฺกุส, สมยํ อาตุมายํ วิหรามิ ภุสาคาเรฯ เตน โข ปน สมเยน เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา อวิทูเร ภุสาคารสฺส เทฺว กสฺสกา ภาตโร หตา จตฺตาโร จ พลิพทฺทาฯ อถ โข, ปุกฺกุส, อาตุมาย มหาชนกาโย นิกฺขมิตฺวา เยน เต เทฺว กสฺสกา ภาตโร หตา จตฺตาโร จ พลิพทฺทา เตนุปสงฺกมิฯ

    “This one time, Pukkusa, I was staying near Ātumā in a threshing-hut. At that time it was raining and pouring, lightning was flashing, and thunder was cracking. And not far from the threshing-hut two farmers who were brothers were killed, as well as four oxen. Then a large crowd came from Ātumā to the place where that happened.

    เตน โข ปนาหํ, ปุกฺกุส, สมเยน ภุสาคารา นิกฺขมิตฺวา ภุสาคารทฺวาเร อพฺโภกาเส จงฺกมามิฯ อถ โข, ปุกฺกุส, อญฺญตโร ปุริโส ตมฺหา มหาชนกายา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิฯ เอกมนฺตํ ฐิตํ โข อหํ, ปุกฺกุส, ตํ ปุริสํ เอตทโวจํ: ‘กึ นุ โข เอโส, อาวุโส, มหาชนกาโย สนฺนิปติโต'ติ?

    Now at that time I came out of the threshing-hut and was walking mindfully in the open near the door of the hut. Then having left that crowd, a certain person approached me, bowed, and stood to one side. I said to them, ‘Why, friend, has this crowd gathered?’

    ‘อิทานิ, ภนฺเต, เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา เทฺว กสฺสกา ภาตโร หตา จตฺตาโร จ พลิพทฺทาฯ เอตฺเถโส มหาชนกาโย สนฺนิปติโตฯ ตฺวํ ปน, ภนฺเต, กฺว อโหสี'ติ?

    ‘Just now, sir, it was raining and pouring, lightning was flashing, and thunder was cracking. And two farmers who were brothers were killed, as well as four oxen. Then this crowd gathered here. But sir, where were you?’

    ‘อิเธว โข อหํ, อาวุโส, อโหสินฺ'ติฯ

    ‘I was right here, friend.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, อทฺทสา'ติ?

    ‘But sir, did you see?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, อทฺทสนฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I didn’t see anything.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สทฺทํ อโสฺสสี'ติ?

    ‘But sir, didn’t you hear a sound?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, สทฺทํ อโสฺสสินฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I didn’t hear a sound.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สุตฺโต อโหสี'ติ?

    ‘But sir, were you asleep?’

    ‘น โข อหํ, อาวุโส, สุตฺโต อโหสินฺ'ติฯ

    ‘No, friend, I wasn’t asleep.’

    ‘กึ ปน, ภนฺเต, สญฺญี อโหสี'ติ?

    ‘But sir, were you conscious?’

    ‘เอวมาวุโส'ติฯ

    ‘Yes, friend.’

    ‘โส ตฺวํ, ภนฺเต, สญฺญี สมาโน ชาคโร เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา เนว อทฺทส, น ปน สทฺทํ อโสฺสสี'ติ?

    ‘So, sir, while conscious and awake you neither saw nor heard a sound as it was raining and pouring, lightning was flashing, and thunder was cracking?’

    ‘เอวมาวุโส'ติฯ

    ‘Yes, friend.’

    อถ โข, ปุกฺกุส, ตสฺส ปุริสสฺส เอตทโหสิ: ‘อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, สนฺเตน วต โภ ปพฺพชิตา วิหาเรน วิหรนฺติฯ ยตฺร หิ นาม สญฺญี สมาโน ชาคโร เทเว วสฺสนฺเต เทเว คฬคฬายนฺเต วิชฺชุลฺลตาสุ นิจฺฉรนฺตีสุ อสนิยา ผลนฺติยา เนว ทกฺขติ, น ปน สทฺทํ โสสฺสตี'ติฯ มยิ อุฬารํ ปสาทํ ปเวเทตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามี”ติฯ

    Then that person thought: ‘Oh, how incredible, how amazing! Those who have gone forth remain in such peaceful meditations, in that, while conscious and awake he neither saw nor heard a sound as it was raining and pouring, lightning was flashing, and thunder was cracking.’ And after declaring their lofty confidence in me, they bowed and respectfully circled me, keeping me on their right, before leaving.”

    เอวํ วุตฺเต, ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอสาหํ, ภนฺเต, โย เม อาฬาเร กาลาเม ปสาโท ตํ มหาวาเต วา โอผุณามิ สีฆโสตาย วา นทิยา ปวาเหมิฯ อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ อุปาสกํ มํ ภควา ธาเรตุ อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตนฺ”ติฯ

    When he said this, Pukkusa said to him, “Any confidence I had in Āḷāra Kālāma I sweep away as in a strong wind, or float away as down a swift stream. Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, the Buddha has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. From this day forth, may the Buddha remember me as a lay follower who has gone for refuge for life.”

    อถ โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต อญฺญตรํ ปุริสํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, ภเณ, สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ อาหรา”ติฯ

    Then Pukkusa addressed a certain man, “Please, my man, fetch a pair of ready to wear garments the color of rose-gold.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ปุริโส ปุกฺกุสสฺส มลฺลปุตฺตสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ตํ สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ อาหริฯ อถ โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ตํ สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ ภควโต อุปนาเมสิ: “อิทํ, ภนฺเต, สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ, ตํ เม ภควา ปฏิคฺคณฺหาตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา”ติฯ

    “Yes, sir,” replied that man, and did as he was asked. Then Pukkusa brought the garments to the Buddha, “Sir, please accept this pair of ready to wear garments the color of rose-gold from me out of compassion.”

    “เตน หิ, ปุกฺกุส, เอเกน มํ อจฺฉาเทหิ, เอเกน อานนฺทนฺ”ติฯ

    “Well then, Pukkusa, clothe me in one, and Ānanda in the other.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา เอเกน ภควนฺตํ อจฺฉาเทติ, เอเกน อายสฺมนฺตํ อานนฺทํฯ

    “Yes, sir,” replied Pukkusa, and did so.

    อถ โข ภควา ปุกฺกุสํ มลฺลปุตฺตํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิ สมาทเปสิ สมุตฺเตเชสิ สมฺปหํเสสิฯ อถ โข ปุกฺกุโส มลฺลปุตฺโต ภควตา ธมฺมิยา กถาย สนฺทสฺสิโต สมาทปิโต สมุตฺเตชิโต สมฺปหํสิโต อุฏฺฐายาสนา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกามิฯ

    Then the Buddha educated, encouraged, fired up, and inspired Pukkusa the Malla with a Dhamma talk, after which he got up from his seat, bowed, and respectfully circled the Buddha before leaving.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท อจิรปกฺกนฺเต ปุกฺกุเส มลฺลปุตฺเต ตํ สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ ภควโต กายํ อุปนาเมสิฯ ตํ ภควโต กายํ อุปนามิตํ หตจฺจิกํ วิย ขายติฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเต, ยาว ปริสุทฺโธ, ภนฺเต, ตถาคตสฺส ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโตฯ อิทํ, ภนฺเต, สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ ธารณียํ ภควโต กายํ อุปนามิตํ หตจฺจิกํ วิย ขายตี”ติฯ

    Then, not long after Pukkusa had left, Ānanda placed the pair of garments the color of rose-gold by the Buddha’s body. But when placed by the Buddha’s body they seemed to lose their shine. Then Ānanda said to the Buddha, “It’s incredible, sir, it’s amazing, how pure and bright is the color of the Realized One’s skin. When this pair of ready to wear garments the color of rose-gold is placed by the Buddha’s body they seem to lose their lustre.”

    “เอวเมตํ, อานนฺท, เอวเมตํ, อานนฺท, ทฺวีสุ กาเลสุ อติวิย ตถาคตสฺส กาโย ปริสุทฺโธ โหติ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโตฯ กตเมสุ ทฺวีสุ? ยญฺจ, อานนฺท, รตฺตึ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺตึ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติฯ อิเมสุ โข, อานนฺท, ทฺวีสุ กาเลสุ อติวิย ตถาคตสฺส กาโย ปริสุทฺโธ โหติ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโตฯ

    “That’s so true, Ānanda, that’s so true! There are two times when the color of the Realized One’s skin becomes extra pure and bright. What two? The night when a Realized One understands the supreme perfect awakening; and the night he becomes fully extinguished in the element of Nibbana with nothing left over. These are the are two times when the color of the Realized One’s skin becomes extra pure and bright.

    อชฺช โข ปนานนฺท, รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม กุสินารายํ อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน อนฺตเรน ยมกสาลานํ ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อายามานนฺท, เยน กกุธา นที เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    Today, Ānanda, in the last watch of the night, between a pair of sal trees in the sal forest of the Mallas at Upavattana near Kusinārā, shall be the Realized One’s full Nibbana. Come, Ānanda, let’s go to the Kakutthā River.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    สิงฺคีวณฺณํ ยุคมฏฺฐํ, ปุกฺกุโส อภิหารยิ; เตน อจฺฉาทิโต สตฺถา, เหมวณฺโณ อโสภถาติฯ

    A pair of garments the color of rose-gold was presented by Pukkusa; when the teacher was clothed with them, his golden skin glowed bright.

    (…)

    อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน กกุธา นที เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา กกุธํ นทึ อชฺโฌคาเหตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปจฺจุตฺตริตฺวา เยน อมฺพวนํ เตนุปสงฺกมิฯ อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ จุนฺทกํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, จุนฺทก, จตุคฺคุณํ สงฺฆาฏึ ปญฺญเปหิ, กิลนฺโตสฺมิ, จุนฺทก, นิปชฺชิสฺสามี”ติฯ

    Then the Buddha together with a large Saṅgha of bhikkhus went to the Kakutthā River. He plunged into the river and bathed and drank. And when he had emerged, he went to the mango grove, where he addressed Venerable Cundaka, “Please, Cundaka, fold my outer robe in four and spread it out for me. I am tired and will lie down.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา จุนฺทโก ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา จตุคฺคุณํ สงฺฆาฏึ ปญฺญเปสิฯ อถ โข ภควา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ กปฺเปสิ ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโน อุฏฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวาฯ อายสฺมา ปน จุนฺทโก ตตฺเถว ภควโต ปุรโต นิสีทิฯ

    “Yes, sir,” replied Cundaka, and did as he was asked. And then the Buddha laid down in the lion’s posture—on the right side, placing one foot on top of the other—mindful and aware, and focused on the time of getting up. But Cundaka sat down right there in front of the Buddha.

    คนฺตฺวาน พุทฺโธ นทิกํ กกุธํ, อจฺโฉทกํ สาตุทกํ วิปฺปสนฺนํ; โอคาหิ สตฺถา อกิลนฺตรูโป, ตถาคโต อปฺปฏิโม จ โลเกฯ

    Having gone to Kakutthā Creek, whose water was transparent, sweet, and clear, the Teacher, being tired, plunged in, the Realized One, without compare in the world.

    นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จุทตาริ สตฺถา, ปุรกฺขโต ภิกฺขุคณสฺส มชฺเฌ; วตฺตา ปวตฺตา ภควา อิธ ธมฺเม, อุปาคมิ อมฺพวนํ มเหสิฯ

    And after bathing and drinking the Teacher emerged. Before the group of bhikkhus, in the middle, the Buddha, the Teacher who rolled forth the present dispensation, the great seer went to the mango grove.

    อามนฺตยิ จุนฺทกํ นาม ภิกฺขุํ, จตุคฺคุณํ สนฺถร เม นิปชฺชํ; โส โจทิโต ภาวิตตฺเตน จุนฺโท, จตุคฺคุณํ สนฺถริ ขิปฺปเมว; นิปชฺชิ สตฺถา อกิลนฺตรูโป, จุนฺโทปิ ตตฺถ ปมุเข นิสีทีติฯ

    He addressed the bhikkhu named Cundaka: “Spread out my folded robe so I can lie down.” The evolved one urged Cunda, who quickly spread the folded robe. The Teacher lay down so tired, while Cunda sat there before him.

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha said to Venerable Ānanda:

    “สิยา โข ปนานนฺท, จุนฺทสฺส กมฺมารปุตฺตสฺส โกจิ วิปฺปฏิสารํ อุปฺปาเทยฺย: ‘ตสฺส เต, อาวุโส จุนฺท, อลาภา ตสฺส เต ทุลฺลทฺธํ, ยสฺส เต ตถาคโต ปจฺฉิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ปรินิพฺพุโต'ติฯ จุนฺทสฺส, อานนฺท, กมฺมารปุตฺตสฺส เอวํ วิปฺปฏิสาโร ปฏิวิเนตพฺโพ: ‘ตสฺส เต, อาวุโส จุนฺท, ลาภา ตสฺส เต สุลทฺธํ, ยสฺส เต ตถาคโต ปจฺฉิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ปรินิพฺพุโตฯ สมฺมุขา เมตํ, อาวุโส จุนฺท, ภควโต สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ:

    “Now it may happen, Ānanda, that someone may give rise to regret in Cunda the smith: ‘It’s your loss, friend Cunda, it’s your misfortune, in that the Realized One became fully extinguished after eating his last almsmeal from you.’ You should dispel remorse in Cunda the smith like this: ‘You’re fortunate, friend Cunda, you’re so very fortunate, in that the Realized One became fully extinguished after eating his last almsmeal from you. I have heard and learned this in the presence of the Buddha.

    เทฺวเม ปิณฺฑปาตา สมสมผลา สมวิปากา, อติวิย อญฺเญหิ ปิณฺฑปาเตหิ มหปฺผลตรา จ มหานิสํสตรา จฯ กตเม เทฺว? ยญฺจ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติฯ อิเม เทฺว ปิณฺฑปาตา สมสมผลา สมวิปากา, อติวิย อญฺเญหิ ปิณฺฑปาเตหิ มหปฺผลตรา จ มหานิสํสตรา จฯ

    There are two almsmeal offerings that have identical fruit and result, and are more fruitful and beneficial than other almsmeal offerings. What two? The almsmeal after eating which a Realized One understands the supreme perfect awakening; and the almsmeal after eating which he becomes fully extinguished in the element of Nibbana with nothing left over. These two almsmeal offerings have identical fruit and result, and are more fruitful and beneficial than other almsmeal offerings.

    อายุสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตํ, วณฺณสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตํ, สุขสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตํ, ยสสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตํ, สคฺคสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตํ, อาธิปเตยฺยสํวตฺตนิกํ อายสฺมตา จุนฺเทน กมฺมารปุตฺเตน กมฺมํ อุปจิตนฺ'ติฯ จุนฺทสฺส, อานนฺท, กมฺมารปุตฺตสฺส เอวํ วิปฺปฏิสาโร ปฏิวิเนตพฺโพ”ติฯ

    You’ve accumulated a deed that leads to long life, beauty, happiness, fame, heaven, and sovereignty.’ That’s how you should dispel remorse in Cunda the smith.”

    อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ตายํ เวลายํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ:

    Then, understanding this matter, on that occasion the Buddha expressed this heartfelt sentiment:

    “ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ, สํยมโต เวรํ น จียติ; กุสโล จ ชหาติ ปาปกํ, ราคโทสโมหกฺขยา สนิพฺพุโต”ติฯ

    “A giver’s merit grows; enmity doesn’t build up when you have self-control. A skillful person gives up bad things—with the end of greed, hate, and delusion, they’re extinguished.”

    จตุตฺโถ ภาณวาโรฯ

    The fourth recitation section.

    ๒๖ฯ ยมกสาลา

    26. The Pair of Sal Trees

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อายามานนฺท, เยน หิรญฺญวติยา นทิยา ปาริมํ ตีรํ, เยน กุสินารา อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ เตนุปสงฺกมิสฺสามา”ติฯ

    Then the Buddha said to Ānanda, “Come, Ānanda, let’s go to the far shore of the Golden River, and on to the sal forest of the Mallas at Upavattana near Kusinārā.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ เยน หิรญฺญวติยา นทิยา ปาริมํ ตีรํ, เยน กุสินารา อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ เตนุปสงฺกมิฯ อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อิงฺฆ เม ตฺวํ, อานนฺท, อนฺตเรน ยมกสาลานํ อุตฺตรสีสกํ มญฺจกํ ปญฺญเปหิ, กิลนฺโตสฺมิ, อานนฺท, นิปชฺชิสฺสามี”ติฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied. And that’s where they went. Then the Buddha addressed Ānanda, “Please, Ānanda, set up a cot for me between the twin sal trees, with my head to the north. I am tired and will lie down.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา อนฺตเรน ยมกสาลานํ อุตฺตรสีสกํ มญฺจกํ ปญฺญเปสิฯ อถ โข ภควา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ กปฺเปสิ ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโนฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda, and did as he was asked. And then the Buddha laid down in the lion’s posture—on the right side, placing one foot on top of the other—mindful and aware.

    เตน โข ปน สมเยน ยมกสาลา สพฺพผาลิผุลฺลา โหนฺติ อกาลปุปฺเผหิฯ เต ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ มนฺทารวปุปฺผานิ อนฺตลิกฺขา ปปตนฺติ, ตานิ ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ จนฺทนจุณฺณานิ อนฺตลิกฺขา ปปตนฺติ, ตานิ ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ ตูริยานิ อนฺตลิกฺเข วชฺชนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานิ อนฺตลิกฺเข วตฺตนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ

    Now at that time the twin sal trees were in full blossom with flowers out of season. They sprinkled and bestrewed the Realized One’s body in honor of the Realized One. And the flowers of the heavenly Flame Tree fell from the sky, and they too sprinkled and bestrewed the Realized One’s body in honor of the Realized One. And heavenly sandalwood powder fell from the sky, and it too sprinkled and bestrewed the Realized One’s body in honor of the Realized One. And heavenly music played in the sky in honor of the Realized One. And heavenly choirs sang in the sky in honor of the Realized One.

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “สพฺพผาลิผุลฺลา โข, อานนฺท, ยมกสาลา อกาลปุปฺเผหิฯ เต ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ มนฺทารวปุปฺผานิ อนฺตลิกฺขา ปปตนฺติ, ตานิ ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ จนฺทนจุณฺณานิ อนฺตลิกฺขา ปปตนฺติ, ตานิ ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺติ อชฺโฌกิรนฺติ อภิปฺปกิรนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ ตูริยานิ อนฺตลิกฺเข วชฺชนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานิ อนฺตลิกฺเข วตฺตนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายฯ น โข, อานนฺท, เอตฺตาวตา ตถาคโต สกฺกโต วา โหติ ครุกโต วา มานิโต วา ปูชิโต วา อปจิโต วาฯ โย โข, อานนฺท, ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วา ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺโน วิหรติ สามีจิปฺปฏิปนฺโน อนุธมฺมจารี, โส ตถาคตํ สกฺกโรติ ครุํ กโรติ มาเนติ ปูเชติ อปจิยติ, ปรมาย ปูชายฯ ตสฺมาติหานนฺท, ธมฺมานุธมฺมปฺปฏิปนฺนา วิหริสฺสาม สามีจิปฺปฏิปนฺนา อนุธมฺมจาริโนติฯ เอวญฺหิ โว, อานนฺท, สิกฺขิตพฺพนฺ”ติฯ

    Then the Buddha pointed out to Ānanda what was happening, adding: “That’s not the full extent of how the Realized One is honored, respected, revered, venerated, and esteemed. Any monk or nun or male or female lay follower who practices in line with the teachings, practicing properly, living in line with the teachings—they honor, respect, revere, venerate, and esteem the Realized One with the highest honor. So Ānanda, you should train like this: ‘We shall practice in line with the teachings, practicing properly, living in line with the teaching.’”

    ๒๗ฯ อุปวาณตฺเถร

    27. The Monk Upavāna

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา อุปวาโณ ภควโต ปุรโต ฐิโต โหติ ภควนฺตํ พีชยมาโนฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ อปสาเรสิ: “อเปหิ, ภิกฺขุ, มา เม ปุรโต อฏฺฐาสี”ติฯ

    Now at that time Venerable Upavāna was standing in front of the Buddha fanning him. Then the Buddha made him move, “Move over, bhikkhu, don’t stand in front of me.”

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “อยํ โข อายสฺมา อุปวาโณ ทีฆรตฺตํ ภควโต อุปฏฺฐาโก สนฺติกาวจโร สมีปจารีฯ อถ จ ปน ภควา ปจฺฉิเม กาเล อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ อปสาเรติ: ‘อเปหิ, ภิกฺขุ, มา เม ปุรโต อฏฺฐาสี'ติฯ โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย, ยํ ภควา อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ อปสาเรติ: ‘อเปหิ, ภิกฺขุ, มา เม ปุรโต อฏฺฐาสี'”ติ?

    Ānanda thought, “This Venerable Upavāna has been the Buddha’s attendant for a long time, close to him, living in his presence. Yet in his final hour the Buddha makes him move, saying: ‘Move over, bhikkhu, don’t stand in front of me.’ What is the cause, what is the reason for this?”

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อยํ, ภนฺเต, อายสฺมา อุปวาโณ ทีฆรตฺตํ ภควโต อุปฏฺฐาโก สนฺติกาวจโร สมีปจารีฯ อถ จ ปน ภควา ปจฺฉิเม กาเล อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ อปสาเรติ: ‘อเปหิ, ภิกฺขุ, มา เม ปุรโต อฏฺฐาสี'ติฯ โก นุ โข, ภนฺเต, เหตุ, โก ปจฺจโย, ยํ ภควา อายสฺมนฺตํ อุปวาณํ อปสาเรติ: ‘อเปหิ, ภิกฺขุ, มา เม ปุรโต อฏฺฐาสี'”ติ?

    Then Ānanda said to the Buddha, “This Venerable Upavāna has been the Buddha’s attendant for a long time, close to him, living in his presence. Yet in his final hour the Buddha makes him move, saying: ‘Move over, bhikkhu, don’t stand in front of me.’ What is the cause, sir, what is the reason for this?”

    “เยภุเยฺยน, อานนฺท, ทสสุ โลกธาตูสุ เทวตา สนฺนิปติตา ตถาคตํ ทสฺสนายฯ ยาวตา, อานนฺท, กุสินารา อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ สมนฺตโต ทฺวาทส โยชนานิ, นตฺถิ โส ปเทโส วาลคฺคโกฏินิตฺตุทนมตฺโตปิ มเหสกฺขาหิ เทวตาหิ อปฺผุโฏฯ เทวตา, อานนฺท, อุชฺฌายนฺติ: ‘ทูรา จ วตมฺห อาคตา ตถาคตํ ทสฺสนายฯ กทาจิ กรหจิ ตถาคตา โลเก อุปฺปชฺชนฺติ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธาฯ อชฺเชว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อยญฺจ มเหสกฺโข ภิกฺขุ ภควโต ปุรโต ฐิโต โอวาเรนฺโต, น มยํ ลภาม ปจฺฉิเม กาเล ตถาคตํ ทสฺสนายา'”ติฯ

    “Most of the deities from ten solar systems have gathered to see the Realized One. For twelve leagues all around this sal grove there’s no spot, not even a fraction of a hair’s tip, that’s not crowded full of illustrious deities. The deities are complaining: ‘We’ve come such a long way to see the Realized One! Only rarely do Realized Ones arise in the world, perfected ones, fully awakened Buddhas. This very day, in the last watch of the night, the Realized One will become fully extinguished. And this illustrious bhikkhu is standing in front of the Buddha blocking the view. We won’t get to see the Realized One in his final hour!’”

    “กถํภูตา ปน, ภนฺเต, ภควา เทวตา มนสิกโรตี”ติ?

    “But sir, what kind of deities are you thinking of?”

    “สนฺตานนฺท, เทวตา อากาเส ปถวีสญฺญินิโย เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: ‘อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรธายิสฺสตี'ติฯ

    “There are, Ānanda, deities—both in the sky and on the earth—who are percipient of the earth. With hair disheveled and arms raised, they fall down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamenting: ‘Too soon the Blessed One will become fully extinguished! Too soon the Holy One will become fully extinguished! Too soon the Eye of the World will vanish!’

    สนฺตานนฺท, เทวตา ปถวิยํ ปถวีสญฺญินิโย เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: ‘อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรธายิสฺสตี'ติฯ

    ยา ปน ตา เทวตา วีตราคา, ตา สตา สมฺปชานา อธิวาเสนฺติ: ‘อนิจฺจา สงฺขารา, ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา'”ติฯ

    But the deities who are free of desire endure, mindful and aware, thinking: ‘Conditions are impermanent. How could it possibly be otherwise?’”

    ๒๘ฯ จตุสํเวชนียฐาน

    28. The Four Inspiring Places

    “ปุพฺเพ, ภนฺเต, ทิสาสุ วสฺสํวุฏฺฐา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ ตถาคตํ ทสฺสนายฯ เต มยํ ลภาม มโนภาวนีเย ภิกฺขู ทสฺสนาย, ลภาม ปยิรุปาสนายฯ ภควโต ปน มยํ, ภนฺเต, อจฺจเยน น ลภิสฺสาม มโนภาวนีเย ภิกฺขู ทสฺสนาย, น ลภิสฺสาม ปยิรุปาสนายา”ติฯ

    “Previously, sir, when bhikkhus had completed the rainy season residence in various districts they came to see the Realized One. We got to see the esteemed bhikkhus, and to pay homage to them. But when the Buddha has passed, we won’t get to see the esteemed bhikkhus or to pay homage to them.”

    “จตฺตาริมานิ, อานนฺท, สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? ‘อิธ ตถาคโต ชาโต'ติ, อานนฺท, สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํฯ ‘อิธ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ'ติ, อานนฺท, สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํฯ ‘อิธ ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตนฺ'ติ, อานนฺท, สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํฯ ‘อิธ ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต'ติ, อานนฺท, สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียํ สํเวชนียํ ฐานํฯ อิมานิ โข, อานนฺท, จตฺตาริ สทฺธสฺส กุลปุตฺตสฺส ทสฺสนียานิ สํเวชนียานิ ฐานานิฯ

    “Ānanda, a faithful gentleman should go to see these four inspiring places. What four? Thinking: ‘Here the Realized One was born!’—that is an inspiring place. Thinking: ‘Here the Realized One became awakened as a supreme fully awakened Buddha!’—that is an inspiring place. Thinking: ‘Here the supreme Wheel of Dhamma was rolled forth by the Realized One!’—that is an inspiring place. Thinking: ‘Here the Realized One became fully extinguished in the element of Nibbana with nothing left over!’—that is an inspiring place. These are the four inspiring places that a faithful gentleman should go to see.

    อาคมิสฺสนฺติ โข, อานนฺท, สทฺธา ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกาโย: ‘อิธ ตถาคโต ชาโต'ติปิ, ‘อิธ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ'ติปิ, ‘อิธ ตถาคเตน อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตนฺ'ติปิ, ‘อิธ ตถาคโต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต'ติปิฯ เย หิ เกจิ, อานนฺท, เจติยจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา ปสนฺนจิตฺตา กาลํ กริสฺสนฺติ, สพฺเพ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสนฺตี”ติฯ

    Faithful monks, nuns, laymen, and laywomen will come, and think: ‘Here the Realized One was born!’ and ‘Here the Realized One became awakened as a supreme fully awakened Buddha!’ and ‘Here the supreme Wheel of Dhamma was rolled forth by the Realized One!’ and ‘Here the Realized One became fully extinguished in the element of Nibbana with nothing left over!’ Anyone who passes away while on pilgrimage to these shrines will, when their body breaks up, after death, be reborn in a good place, a heavenly realm.”

    ๒๙ฯ อานนฺทปุจฺฉากถา

    29. Ānanda’s Questions

    “กถํ มยํ, ภนฺเต, มาตุคาเม ปฏิปชฺชามา”ติ?

    “Sir, how do we proceed when it comes to females?”

    “อทสฺสนํ, อานนฺทา”ติฯ

    “Without looking, Ānanda.”

    “ทสฺสเน, ภควา, สติ กถํ ปฏิปชฺชิตพฺพนฺ”ติ?

    “But when looking, how to proceed?”

    “อนาลาโป, อานนฺทา”ติฯ

    “Without chatting, Ānanda.”

    “อาลปนฺเตน ปน, ภนฺเต, กถํ ปฏิปชฺชิตพฺพนฺ”ติ?

    “But when chatting, how to proceed?”

    “สติ, อานนฺท, อุปฏฺฐาเปตพฺพา”ติฯ

    “Be mindful, Ānanda.”

    “กถํ มยํ, ภนฺเต, ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชามา”ติ?

    “Sir, how do we proceed when it comes to the Realized One’s corpse?”

    “อพฺยาวฏา ตุเมฺห, อานนฺท, โหถ ตถาคตสฺส สรีรปูชายฯ อิงฺฆ ตุเมฺห, อานนฺท, สารตฺเถ ฆฏถ อนุยุญฺชถ, สารตฺเถ อปฺปมตฺตา อาตาปิโน ปหิตตฺตา วิหรถฯ สนฺตานนฺท, ขตฺติยปณฺฑิตาปิ พฺราหฺมณปณฺฑิตาปิ คหปติปณฺฑิตาปิ ตถาคเต อภิปฺปสนฺนา, เต ตถาคตสฺส สรีรปูชํ กริสฺสนฺตี”ติฯ

    “Don’t get involved in the rites for venerating the Realized One’s corpse, Ānanda. Please, Ānanda, you must all strive and practice for your own goal! Meditate diligent, keen, and resolute for your own goal! There are astute aristocrats, brahmins, and householders who are devoted to the Realized One. They will perform the rites for venerating the Realized One’s corpse.”

    “กถํ ปน, ภนฺเต, ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชิตพฺพนฺ”ติ?

    “But sir, how to proceed when it comes to the Realized One’s corpse?”

    “ยถา โข, อานนฺท, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติ, เอวํ ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชิตพฺพนฺ”ติฯ

    “Proceed in the same way as they do for the corpse of a wheel-turning monarch.”

    “กถํ ปน, ภนฺเต, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺตี”ติ?

    “But how do they proceed with a wheel-turning monarch’s corpse?”

    “รญฺโญ, อานนฺท, จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ อหเตน วตฺเถน เวเฐนฺติ, อหเตน วตฺเถน เวเฐตฺวา วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐนฺติ, วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐตฺวา อหเตน วตฺเถน เวเฐนฺติฯ เอเตนุปาเยน ปญฺจหิ ยุคสเตหิ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ เวเฐตฺวา อายสาย เตลโทณิยา ปกฺขิปิตฺวา อญฺญิสฺสา อายสาย โทณิยา ปฏิกุชฺชิตฺวา สพฺพคนฺธานํ จิตกํ กริตฺวา รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ ฌาเปนฺติฯ จาตุมหาปเถ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ถูปํ กโรนฺติฯ เอวํ โข, อานนฺท, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติฯ ยถา โข, อานนฺท, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติ, เอวํ ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชิตพฺพํฯ จาตุมหาปเถ ตถาคตสฺส ถูโป กาตพฺโพฯ ตตฺถ เย มาลํ วา คนฺธํ วา จุณฺณกํ วา อาโรเปสฺสนฺติ วา อภิวาเทสฺสนฺติ วา จิตฺตํ วา ปสาเทสฺสนฺติ เตสํ ตํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายฯ

    “They wrap a wheel-turning monarch’s corpse with unworn cloth, then with uncarded cotton, then again with unworn cloth. In this way they wrap the corpse with five hundred double-layers. Then they place it in an iron case filled with oil and close it up with another case. Then, having built a funeral pyre out of all kinds of fragrant substances, they cremate the corpse. They build a monument for the wheel-turning monarch at the crossroads. That’s how they proceed with a wheel-turning monarch’s corpse. Proceed in the same way with the Realized One’s corpse. A monument for the Realized One is to be built at the crossroads. When someone there lifts up garlands or fragrance or powder, or bows, or inspires confidence in their heart, that will be for their lasting welfare and happiness.

    ๓๐ฯ ถูปารหปุคฺคล

    30. Persons Worthy of Monument

    จตฺตาโรเม, อานนฺท, ถูปารหาฯ กตเม จตฺตาโร? ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ถูปารโห, ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ ถูปารโห, ตถาคตสฺส สาวโก ถูปารโห, ราชา จกฺกวตฺตี ถูปารโหติฯ

    Ānanda, these four are worthy of a monument. What four? A Realized One, a perfected one, a fully awakened Buddha; an independent Buddha; a disciple of a Realized One; and a wheel-turning monarch.

    กิญฺจานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ถูปารโห? ‘อยํ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ถูโป'ติ, อานนฺท, พหุชนา จิตฺตํ ปสาเทนฺติฯ เต ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ อิทํ โข, อานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ถูปารโหฯ

    And for what reason is a Realized One worthy of a monument? So that many people will inspire confidence in their hearts, thinking: ‘This is the monument for that Blessed One, perfected and fully awakened!’ And having done so, when their body breaks up, after death, they are reborn in a good place, a heavenly realm. It is for this reason that a Realized One is worthy of a monument.

    กิญฺจานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ ถูปารโห? ‘อยํ ตสฺส ภควโต ปจฺเจกสมฺพุทฺธสฺส ถูโป'ติ, อานนฺท, พหุชนา จิตฺตํ ปสาเทนฺติฯ เต ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ อิทํ โข, อานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ ถูปารโหฯ

    And for what reason is an independent Buddha worthy of a monument? So that many people will inspire confidence in their hearts, thinking: ‘This is the monument for that independent Buddha!’ And having done so, when their body breaks up, after death, they are reborn in a good place, a heavenly realm. It is for this reason that an independent Buddha is worthy of a monument.

    กิญฺจานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ตถาคตสฺส สาวโก ถูปารโห? ‘อยํ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สาวกสฺส ถูโป'ติ, อานนฺท, พหุชนา จิตฺตํ ปสาเทนฺติฯ เต ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ อิทํ โข, อานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ตถาคตสฺส สาวโก ถูปารโหฯ

    And for what reason is a Realized One’s disciple worthy of a monument? So that many people will inspire confidence in their hearts, thinking: ‘This is the monument for that Blessed One’s disciple!’ And having done so, when their body breaks up, after death, they are reborn in a good place, a heavenly realm. It is for this reason that a Realized One’s disciple is worthy of a monument.

    กิญฺจานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ราชา จกฺกวตฺตี ถูปารโห? ‘อยํ ตสฺส ธมฺมิกสฺส ธมฺมรญฺโญ ถูโป'ติ, อานนฺท, พหุชนา จิตฺตํ ปสาเทนฺติฯ เต ตตฺถ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชนฺติฯ อิทํ โข, อานนฺท, อตฺถวสํ ปฏิจฺจ ราชา จกฺกวตฺตี ถูปารโหฯ

    And for what reason is a wheel-turning monarch worthy of a monument? So that many people will inspire confidence in their hearts, thinking: ‘This is the monument for that just and principled king!’ And having done so, when their body breaks up, after death, they are reborn in a good place, a heavenly realm. It is for this reason that a wheel-turning monarch is worthy of a monument.

    อิเม โข, อานนฺท, จตฺตาโร ถูปารหา”ติฯ

    These four are worthy of a monument.”

    ๓๑ฯ อานนฺทอจฺฉริยธมฺม

    31. Ānanda’s Incredible Qualities

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท วิหารํ ปวิสิตฺวา กปิสีสํ อาลมฺพิตฺวา โรทมาโน อฏฺฐาสิ: “อหญฺจ วตมฺหิ เสโข สกรณีโย, สตฺถุ จ เม ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติ, โย มม อนุกมฺปโก”ติฯ

    Then Venerable Ānanda entered a building, and stood there leaning against the door-jamb and crying, “Oh! I’m still only a trainee with work left to do; and my Teacher is about to become fully extinguished, he who is so kind to me!”

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “กหํ นุ โข, ภิกฺขเว, อานนฺโท”ติ?

    Then the Buddha said to the bhikkhus, “Bhikkhus, where is Ānanda?”

    “เอโส, ภนฺเต, อายสฺมา อานนฺโท วิหารํ ปวิสิตฺวา กปิสีสํ อาลมฺพิตฺวา โรทมาโน ฐิโต: ‘อหญฺจ วตมฺหิ เสโข สกรณีโย, สตฺถุ จ เม ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติ, โย มม อนุกมฺปโก'”ติฯ

    “Sir, Ānanda has entered a dwelling, and stands there leaning against the door-jamb and crying: ‘Oh! I’m still only a trainee with work left to do; and my Teacher is about to become fully extinguished, he who is so kind to me!’”

    อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, มม วจเนน อานนฺทํ อามนฺเตหิ: ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส อานนฺท, อามนฺเตตี'”ติฯ

    So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell Ānanda that the teacher summons him.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “สตฺถา ตํ, อาวุโส อานนฺท, อามนฺเตตี”ติฯ

    “Yes, sir,” that monk replied. He went to Ānanda and said to him, “Friend Ānanda, the teacher summons you.”

    “เอวมาวุโส”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ตสฺส ภิกฺขุโน ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ ภควา เอตทโวจ:

    “Yes, friend,” Ānanda replied. He went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him:

    “อลํ, อานนฺท, มา โสจิ มา ปริเทวิ, นนุ เอตํ, อานนฺท, มยา ปฏิกจฺเจว อกฺขาตํ: ‘สพฺเพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโว'; ตํ กุเตตฺถ, อานนฺท, ลพฺภาฯ ยํ ตํ ชาตํ ภูตํ สงฺขตํ ปโลกธมฺมํ, ‘ตํ วต ตถาคตสฺสาปิ สรีรํ มา ปลุชฺชี'ติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ทีฆรตฺตํ โข เต, อานนฺท, ตถาคโต ปจฺจุปฏฺฐิโต เมตฺเตน กายกมฺเมน หิเตน สุเขน อทฺวเยน อปฺปมาเณน, เมตฺเตน วจีกมฺเมน หิเตน สุเขน อทฺวเยน อปฺปมาเณน, เมตฺเตน มโนกมฺเมน หิเตน สุเขน อทฺวเยน อปฺปมาเณนฯ กตปุญฺโญสิ ตฺวํ, อานนฺท, ปธานมนุยุญฺช, ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว”ติฯ

    “Enough, Ānanda! Do not grieve, do not lament. Did I not prepare for this when I explained that we must be parted and separated from all we hold dear and beloved? How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out, even the Realized One’s body? For a long time, Ānanda, you’ve treated the Realized One with deeds of body, speech, and mind that are loving, beneficial, pleasant, undivided, and limitless. You have done good deeds, Ānanda. Devote yourself to meditation, and you will soon be free of defilements.”

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha said to the bhikkhus:

    “เยปิ เต, ภิกฺขเว, อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เตสมฺปิ ภควนฺตานํ เอตปฺปรมาเยว อุปฏฺฐากา อเหสุํ, เสยฺยถาปิ มยฺหํ อานนฺโทฯ เยปิ เต, ภิกฺขเว, ภวิสฺสนฺติ อนาคตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เตสมฺปิ ภควนฺตานํ เอตปฺปรมาเยว อุปฏฺฐากา ภวิสฺสนฺติ, เสยฺยถาปิ มยฺหํ อานนฺโทฯ ปณฺฑิโต, ภิกฺขเว, อานนฺโท; เมธาวี, ภิกฺขเว, อานนฺโทฯ ชานาติ ‘อยํ กาโล ตถาคตํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิตุํ ภิกฺขูนํ, อยํ กาโล ภิกฺขุนีนํ, อยํ กาโล อุปาสกานํ, อยํ กาโล อุปาสิกานํ, อยํ กาโล รญฺโญ ราชมหามตฺตานํ ติตฺถิยานํ ติตฺถิยสาวกานนฺ'ติฯ

    “The Buddhas of the past or the future have attendants who are no better than Ānanda is for me. Ānanda is astute, he is intelligent. He knows the time for monks, nuns, laymen, laywomen, king’s ministers, monastics of other religions and their disciples to visit the Realized One.

    จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานนฺเทฯ กตเม จตฺตาโร? สเจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, ภิกฺขุปริสา โหติ, อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนีปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, ภิกฺขุนีปริสา โหติ, อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว, อุปาสกปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, อุปาสกปริสา โหติ, อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว, อุปาสิกาปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, อุปาสิกาปริสา โหติ, อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานนฺเทฯ

    There are these four incredible and amazing things about Ānanda. What four? If an assembly of monks goes to see Ānanda, they’re uplifted by seeing him and uplifted by hearing him speak. And when he falls silent, they’ve never had enough. If an assembly of nuns … laymen … or laywomen goes to see Ānanda, they’re uplifted by seeing him and uplifted by hearing him speak. And when he falls silent, they’ve never had enough. These are the four incredible and amazing things about Ānanda.

    จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา รญฺเญ จกฺกวตฺติมฺหิฯ กตเม จตฺตาโร? สเจ, ภิกฺขเว, ขตฺติยปริสา ราชานํ จกฺกวตฺตึ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ ราชา จกฺกวตฺตี ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, ขตฺติยปริสา โหติฯ อถ โข ราชา จกฺกวตฺตี ตุณฺหี โหติฯ สเจ ภิกฺขเว, พฺราหฺมณปริสา …เป… คหปติปริสา …เป… สมณปริสา ราชานํ จกฺกวตฺตึ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ ราชา จกฺกวตฺตี ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, สมณปริสา โหติฯ อถ โข ราชา จกฺกวตฺตี ตุณฺหี โหติฯ

    There are these four incredible and amazing things about a wheel-turning monarch. What four? If an assembly of aristocrats goes to see a wheel-turning monarch, they’re uplifted by seeing him and uplifted by hearing him speak. And when he falls silent, they’ve never had enough. If an assembly of brahmins … householders … or ascetics goes to see a wheel-turning monarch, they’re uplifted by seeing him and uplifted by hearing him speak. And when he falls silent, they’ve never had enough.

    เอวเมว โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโรเม อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานนฺเทฯ สเจ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, ภิกฺขุปริสา โหติฯ อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ สเจ, ภิกฺขเว ภิกฺขุนีปริสา …เป… อุปาสกปริสา …เป… อุปาสิกาปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมติ, ทสฺสเนน สา อตฺตมนา โหติฯ ตตฺร เจ อานนฺโท ธมฺมํ ภาสติ, ภาสิเตนปิ สา อตฺตมนา โหติฯ อติตฺตาว, ภิกฺขเว, อุปาสิกาปริสา โหติฯ อถ โข อานนฺโท ตุณฺหี โหติฯ อิเม โข, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อจฺฉริยา อพฺภุตา ธมฺมา อานนฺเท”ติฯ

    In the same way, there are those four incredible and amazing things about Ānanda.”

    ๓๒ฯ มหาสุทสฺสนสุตฺตเทสนา

    32. Teaching the Discourse on Mahāsudassana

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ:

    When he said this, Venerable Ānanda said to the Buddha:

    “มา, ภนฺเต, ภควา อิมสฺมึ ขุทฺทกนครเก อุชฺชงฺคลนครเก สาขานครเก ปรินิพฺพายิฯ สนฺติ, ภนฺเต, อญฺญานิ มหานครานิ, เสยฺยถิทํ—จมฺปา ราชคหํ สาวตฺถี สาเกตํ โกสมฺพี พาราณสี; เอตฺถ ภควา ปรินิพฺพายตุฯ เอตฺถ พหู ขตฺติยมหาสาลา, พฺราหฺมณมหาสาลา คหปติมหาสาลา ตถาคเต อภิปฺปสนฺนาฯ เต ตถาคตสฺส สรีรปูชํ กริสฺสนฺตี”ติ

    “Sir, please don’t become fully extinguished in this little hamlet, this jungle hamlet, this branch hamlet. There are other great cities such as Campā, Rājagaha, Sāvatthī, Sāketa, Kosambī, and Varanasi. Let the Buddha become fully extinguished there. There are many well-to-do aristocrats, brahmins, and householders there who are devoted to the Buddha. They will perform the rites of venerating the Realized One’s corpse.”

    “มา เหวํ, อานนฺท, อวจ, มา เหวํ, อานนฺท, อวจ: ‘ขุทฺทกนครกํ อุชฺชงฺคลนครกํ สาขานครกนฺ'ติฯ

    “Don’t say that Ānanda! Don’t say that this is a little hamlet, a jungle hamlet, a branch hamlet.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน นาม อโหสิ จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโตฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส อยํ กุสินารา กุสาวตี นาม ราชธานี อโหสิฯ ปุรตฺถิเมน จ ปจฺฉิเมน จ ทฺวาทสโยชนานิ อายาเมน; อุตฺตเรน จ ทกฺขิเณน จ สตฺตโยชนานิ วิตฺถาเรนฯ กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี อิทฺธา เจว อโหสิ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณมนุสฺสา จ สุภิกฺขา จฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, เทวานํ อาฬกมนฺทา นาม ราชธานี อิทฺธา เจว โหติ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณยกฺขา จ สุภิกฺขา จ; เอวเมว โข, อานนฺท, กุสาวตี ราชธานี อิทฺธา เจว อโหสิ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณมนุสฺสา จ สุภิกฺขา จฯ กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี ทสหิ สทฺเทหิ อวิวิตฺตา อโหสิ ทิวา เจว รตฺติญฺจ, เสยฺยถิทํ—หตฺถิสทฺเทน อสฺสสทฺเทน รถสทฺเทน เภริสทฺเทน มุทิงฺคสทฺเทน วีณาสทฺเทน คีตสทฺเทน สงฺขสทฺเทน สมฺมสทฺเทน ปาณิตาฬสทฺเทน ‘อสฺนาถ ปิวถ ขาทถา'ติ ทสเมน สทฺเทนฯ

    Once upon a time there was a king named Mahāsudassana who was a wheel-turning monarch, a just and principled king. His dominion extended to all four sides, he achieved stability in the country, and he possessed the seven treasures. His capital was this Kusinārā, which at the time was named Kusāvatī. It stretched for twelve leagues from east to west, and seven leagues from north to south. The royal capital of Kusāvatī was successful, prosperous, populous, full of people, with plenty of food. It was just like Āḷakamandā, the royal capital of the gods, which is successful, prosperous, populous, full of spirits, with plenty of food. Kusāvatī was never free of ten sounds by day or night, namely: the sound of elephants, horses, chariots, drums, clay drums, arched harps, singing, horns, gongs, and handbells; and the cry: ‘Eat, drink, be merry!’ as the tenth.

    คจฺฉ ตฺวํ, อานนฺท, กุสินารํ ปวิสิตฺวา โกสินารกานํ มลฺลานํ อาโรเจหิ: ‘อชฺช โข, วาเสฏฺฐา, รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อภิกฺกมถ, วาเสฏฺฐา, อภิกฺกมถ, วาเสฏฺฐาฯ มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ—อมฺหากญฺจ โน คามกฺเขตฺเต ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ อโหสิ, น มยํ ลภิมฺหา ปจฺฉิเม กาเล ตถาคตํ ทสฺสนายา'”ติฯ

    Go, Ānanda, into Kusinārā and inform the Mallas: ‘This very day, Vāseṭṭhas, in the last watch of the night, the Realized One will become fully extinguished. Come forth, Vāseṭṭhas! Come forth, Vāseṭṭhas! Don’t regret it later, thinking: ‘The Realized One became fully extinguished in our own village district, but we didn’t get a chance to see him in his final hour.’”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อตฺตทุติโย กุสินารํ ปาวิสิฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. Then he robed up and, taking his bowl and robe, entered Kusinārā with a companion.

    ๓๓ฯ มลฺลานํวนฺทนา

    33. The Mallas Pay Homage

    เตน โข ปน สมเยน โกสินารกา มลฺลา สนฺธาคาเร สนฺนิปติตา โหนฺติ เกนจิเทว กรณีเยนฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน โกสินารกานํ มลฺลานํ สนฺธาคารํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โกสินารกานํ มลฺลานํ อาโรเจสิ: “อชฺช โข, วาเสฏฺฐา, รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อภิกฺกมถ, วาเสฏฺฐา, อภิกฺกมถ, วาเสฏฺฐาฯ มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ: ‘อมฺหากญฺจ โน คามกฺเขตฺเต ตถาคตสฺส ปรินิพฺพานํ อโหสิ, น มยํ ลภิมฺหา ปจฺฉิเม กาเล ตถาคตํ ทสฺสนายา'”ติฯ

    Now at that time the Mallas of Kusinārā were sitting together at the meeting hall on some business. Ānanda went up to them, and announced: “This very day, Vāseṭṭhas, in the last watch of the night, the Realized One will become fully extinguished. Come forth, Vāseṭṭhas! Come forth, Vāseṭṭhas! Don’t regret it later, thinking: ‘The Realized One became fully extinguished in our own village district, but we didn’t get a chance to see him in his final hour.’”

    อิทมายสฺมโต อานนฺทสฺส วจนํ สุตฺวา มลฺลา จ มลฺลปุตฺตา จ มลฺลสุณิสา จ มลฺลปชาปติโย จ อฆาวิโน ทุมฺมนา เจโตทุกฺขสมปฺปิตา อปฺเปกจฺเจ เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ วิวฏฺฏนฺติ: “อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพายิสฺสติ, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรธายิสฺสตี”ติฯ

    When they heard what Ānanda had to say, the Mallas, their sons, daughters-in-law, and wives became distraught, saddened, and grief-stricken. And some, with hair disheveled and arms raised, falling down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamented, “Too soon the Blessed One will become fully extinguished! Too soon the Holy One will become fully extinguished! Too soon the Eye of the World will vanish!”

    อถ โข มลฺลา จ มลฺลปุตฺตา จ มลฺลสุณิสา จ มลฺลปชาปติโย จ อฆาวิโน ทุมฺมนา เจโตทุกฺขสมปฺปิตา เยน อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมึสุฯ

    Then the Mallas, their sons, daughters-in-law, and wives, distraught, saddened, and grief-stricken went to the Mallian sal grove at Upavattana and approached Ānanda.

    อถ โข อายสฺมโต อานนฺทสฺส เอตทโหสิ: “สเจ โข อหํ โกสินารเก มเลฺล เอกเมกํ ภควนฺตํ วนฺทาเปสฺสามิ, อวนฺทิโต ภควา โกสินารเกหิ มเลฺลหิ ภวิสฺสติ, อถายํ รตฺติ วิภายิสฺสติฯ ยนฺนูนาหํ โกสินารเก มเลฺล กุลปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวา ภควนฺตํ วนฺทาเปยฺยํ: ‘อิตฺถนฺนาโม, ภนฺเต, มโลฺล สปุตฺโต สภริโย สปริโส สามจฺโจ ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี'”ติฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท โกสินารเก มเลฺล กุลปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวา ภควนฺตํ วนฺทาเปสิ: “อิตฺถนฺนาโม, ภนฺเต, มโลฺล สปุตฺโต สภริโย สปริโส สามจฺโจ ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทตี”ติฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เอเตน อุปาเยน ปฐเมเนว ยาเมน โกสินารเก มเลฺล ภควนฺตํ วนฺทาเปสิฯ

    Then Ānanda thought, “If I have the Mallas pay homage to the Buddha one by one, they won’t be finished before first light. I’d better separate them family by family and then have them pay homage, saying: ‘Sir, the Malla named so-and-so with children, wives, retinue, and ministers bows with his head at your feet.’” And so that’s what he did. So by this means Ānanda got the Mallas to finish paying homage to the Buddha in the first watch of the night.

    ๓๔ฯ สุภทฺทปริพฺพาชกวตฺถุ

    34. On Subhadda the Wanderer

    เตน โข ปน สมเยน สุภทฺโท นาม ปริพฺพาชโก กุสินารายํ ปฏิวสติฯ อโสฺสสิ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก: “อชฺช กิร รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสตี”ติฯ อถ โข สุภทฺทสฺส ปริพฺพาชกสฺส เอตทโหสิ: “สุตํ โข ปน เมตํ ปริพฺพาชกานํ วุฑฺฒานํ มหลฺลกานํ อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ: ‘กทาจิ กรหจิ ตถาคตา โลเก อุปฺปชฺชนฺติ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา'ติฯ อชฺเชว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อตฺถิ จ เม อยํ กงฺขาธมฺโม อุปฺปนฺโน, เอวํ ปสนฺโน อหํ สมเณ โคตเม, ‘ปโหติ เม สมโณ โคตโม ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ, ยถาหํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยนฺ'”ติฯ

    Now at that time a wanderer named Subhadda was residing near Kusinārā. He heard that on that very day, in the last watch of the night, the ascetic Gotama would become fully extinguished. He thought: “I have heard that brahmins of the past who were elderly and senior, the teachers of teachers, said: ‘Only rarely do Realized Ones arise in the world, perfected ones, fully awakened Buddhas.’ And this very day, in the last watch of the night, the ascetic Gotama will become fully extinguished. This state of uncertainty has come up in me. I am quite confident that the Buddha is capable of teaching me so that I can give up this state of uncertainty.”

    อถ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก เยน อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ, เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “สุตํ เมตํ, โภ อานนฺท, ปริพฺพาชกานํ วุฑฺฒานํ มหลฺลกานํ อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ: ‘กทาจิ กรหจิ ตถาคตา โลเก อุปฺปชฺชนฺติ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา'ติฯ อชฺเชว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อตฺถิ จ เม อยํ กงฺขาธมฺโม อุปฺปนฺโน—เอวํ ปสนฺโน อหํ สมเณ โคตเม ‘ปโหติ เม สมโณ โคตโม ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ, ยถาหํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยนฺ'ติฯ สาธาหํ, โภ อานนฺท, ลเภยฺยํ สมณํ โคตมํ ทสฺสนายา”ติฯ

    Then Subhadda went to the Mallian sal grove at Upavattana, approached Ānanda, and said to him, “Master Ānanda, I have heard that brahmins of the past who were elderly and senior, the teachers of teachers, said: ‘Only rarely do Realized Ones arise in the world, perfected ones, fully awakened Buddhas.’ And this very day, in the last watch of the night, the ascetic Gotama will become fully extinguished. This state of uncertainty has come up in me. I am quite confident that the Buddha is capable of teaching me so that I can give up this state of uncertainty. Master Ānanda, please let me see the ascetic Gotama.”

    เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท สุภทฺทํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “อลํ, อาวุโส สุภทฺท, มา ตถาคตํ วิเหเฐสิ, กิลนฺโต ภควา”ติฯ

    When he had spoken, Ānanda said, “Enough, Friend Subhadda, do not trouble the Realized One. He is tired.”

    ทุติยมฺปิ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก …เป… ตติยมฺปิ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “สุตํ เมตํ, โภ อานนฺท, ปริพฺพาชกานํ วุฑฺฒานํ มหลฺลกานํ อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ: ‘กทาจิ กรหจิ ตถาคตา โลเก อุปฺปชฺชนฺติ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา'ติฯ อชฺเชว รตฺติยา ปจฺฉิเม ยาเม สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพานํ ภวิสฺสติฯ อตฺถิ จ เม อยํ กงฺขาธมฺโม อุปฺปนฺโน—เอวํ ปสนฺโน อหํ สมเณ โคตเม, ‘ปโหติ เม สมโณ โคตโม ตถา ธมฺมํ เทเสตุํ, ยถาหํ อิมํ กงฺขาธมฺมํ ปชเหยฺยนฺ'ติฯ สาธาหํ, โภ อานนฺท, ลเภยฺยํ สมณํ โคตมํ ทสฺสนายา”ติฯ ตติยมฺปิ โข อายสฺมา อานนฺโท สุภทฺทํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “อลํ, อาวุโส สุภทฺท, มา ตถาคตํ วิเหเฐสิ, กิลนฺโต ภควา”ติฯ

    For a second time, and a third time, Subhadda asked Ānanda, and a third time Ānanda refused.

    อโสฺสสิ โข ภควา อายสฺมโต อานนฺทสฺส สุภทฺเทน ปริพฺพาชเกน สทฺธึ อิมํ กถาสลฺลาปํฯ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “อลํ, อานนฺท, มา สุภทฺทํ วาเรสิ, ลภตํ, อานนฺท, สุภทฺโท ตถาคตํ ทสฺสนายฯ ยํ กิญฺจิ มํ สุภทฺโท ปุจฺฉิสฺสติ, สพฺพํ ตํ อญฺญาเปกฺโขว ปุจฺฉิสฺสติ, โน วิเหสาเปกฺโขฯ ยญฺจสฺสาหํ ปุฏฺโฐ พฺยากริสฺสามิ, ตํ ขิปฺปเมว อาชานิสฺสตี”ติฯ

    The Buddha heard that discussion between Ānanda and Subhadda. He said to Ānanda, “Enough, Ānanda, don’t obstruct Subhadda; let him see the Realized One. For whatever he asks me, he will only be looking to understand, not to trouble me. And he will quickly understand any answer I give to his question.”

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท สุภทฺทํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “คจฺฉาวุโส สุภทฺท, กโรติ เต ภควา โอกาสนฺ”ติฯ

    So Ānanda said to the wanderer Subhadda, “Go, Friend Subhadda, the Buddha is making time for you.”

    อถ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควตา สทฺธึ สมฺโมทิ, สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ:

    Then the wanderer Subhadda went up to the Buddha, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to the Buddha:

    “เยเม, โภ โคตม, สมณพฺราหฺมณา สงฺฆิโน คณิโน คณาจริยา ญาตา ยสสฺสิโน ติตฺถกรา สาธุสมฺมตา พหุชนสฺส, เสยฺยถิทํ—ปูรโณ กสฺสโป, มกฺขลิ โคสาโล, อชิโต เกสกมฺพโล, ปกุโธ กจฺจายโน, สญฺจโย เพลฏฺฐปุตฺโต, นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต, สพฺเพเต สกาย ปฏิญฺญาย อพฺภญฺญึสุ, สพฺเพว น อพฺภญฺญึสุ, อุทาหุ เอกจฺเจ อพฺภญฺญึสุ, เอกจฺเจ น อพฺภญฺญึสู”ติ?

    “Master Gotama, there are those ascetics and brahmins who lead an order and a community, and teach a community. They’re well-known and famous religious founders, deemed holy by many people. Namely: Pūraṇa Kassapa, the bamboo-staffed ascetic Gosāla, Ajita of the hair blanket, Pakudha Kaccāyana, Sañjaya Belaṭṭhiputta, and the Jain ascetic of the Ñātika clan. According to their own claims, did all of them have direct knowledge, or none of them, or only some?”

    “อลํ, สุภทฺท, ติฏฺฐเตตํ: ‘สพฺเพเต สกาย ปฏิญฺญาย อพฺภญฺญึสุ, สพฺเพว น อพฺภญฺญึสุ, อุทาหุ เอกจฺเจ อพฺภญฺญึสุ, เอกจฺเจ น อพฺภญฺญึสู'ติฯ ธมฺมํ เต, สุภทฺท, เทเสสฺสามิ; ตํ สุณาหิ สาธุกํ มนสิกโรหิ, ภาสิสฺสามี”ติฯ

    “Enough, Subhadda, let that be. I shall teach you the Dhamma. Listen and apply your mind well, I will speak.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Yes, sir,” Subhadda replied. The Buddha said this:

    “ยสฺมึ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค น อุปลพฺภติ, สมโณปิ ตตฺถ น อุปลพฺภติฯ ทุติโยปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติฯ ตติโยปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติฯ จตุตฺโถปิ ตตฺถ สมโณ น อุปลพฺภติฯ ยสฺมิญฺจ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค อุปลพฺภติ, สมโณปิ ตตฺถ อุปลพฺภติ, ทุติโยปิ ตตฺถ สมโณ อุปลพฺภติ, ตติโยปิ ตตฺถ สมโณ อุปลพฺภติ, จตุตฺโถปิ ตตฺถ สมโณ อุปลพฺภติฯ อิมสฺมึ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค อุปลพฺภติ, อิเธว, สุภทฺท, สมโณ, อิธ ทุติโย สมโณ, อิธ ตติโย สมโณ, อิธ จตุตฺโถ สมโณ, สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อญฺเญหิฯ

    “Subhadda, in whatever teaching and training the noble eightfold path is not found, there is no ascetic found, no second ascetic, no third ascetic, and no fourth ascetic. In whatever teaching and training the noble eightfold path is found, there is an ascetic found, a second ascetic, a third ascetic, and a fourth ascetic. In this teaching and training the noble eightfold path is found. Only here is there an ascetic, here a second ascetic, here a third ascetic, and here a fourth ascetic. Other sects are empty of ascetics.

    อิเม จ, สุภทฺท, ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุํ, อสุญฺโญ โลโก อรหนฺเตหิ อสฺสาติฯ

    Were these bhikkhus to practice well, the world would not be empty of perfected ones.

    เอกูนตึโส วยสา สุภทฺท, ยํ ปพฺพชึ กิงฺกุสลานุเอสี; วสฺสานิ ปญฺญาส สมาธิกานิ, ยโต อหํ ปพฺพชิโต สุภทฺท; ญายสฺส ธมฺมสฺส ปเทสวตฺตี, อิโต พหิทฺธา สมโณปิ นตฺถิฯ

    I was twenty-nine years of age, Subaddha, when I went forth to discover what is skillful. It’s been over fifty years since I went forth. Teacher of the references for the systematic teaching: outside of here there is no ascetic,

    ทุติโยปิ สมโณ นตฺถิฯ ตติโยปิ สมโณ นตฺถิฯ จตุตฺโถปิ สมโณ นตฺถิฯ สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อญฺเญหิฯ อิเม จ, สุภทฺท, ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุํ, อสุญฺโญ โลโก อรหนฺเตหิ อสฺสา”ติฯ

    no second ascetic, no third ascetic, and no fourth ascetic. Other sects are empty of ascetics. Were these bhikkhus to practice well, the world would not be empty of perfected ones.”

    เอวํ วุตฺเต, สุภทฺโท ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเต, อภิกฺกนฺตํ, ภนฺเตฯ เสยฺยถาปิ, ภนฺเต, นิกฺกุชฺชิตํ วา อุกฺกุชฺเชยฺย, ปฏิจฺฉนฺนํ วา วิวเรยฺย, มูฬฺหสฺส วา มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย, อนฺธกาเร วา เตลปชฺโชตํ ธาเรยฺย: ‘จกฺขุมนฺโต รูปานิ ทกฺขนฺตี'ติ; เอวเมวํ ภควตา อเนกปริยาเยน ธมฺโม ปกาสิโตฯ เอสาหํ, ภนฺเต, ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจฯ ลเภยฺยาหํ, ภนฺเต, ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, ลเภยฺยํ อุปสมฺปทนฺ”ติฯ

    When he had spoken, Subhadda said to the Buddha, “Excellent, sir! Excellent! As if he were righting the overturned, or revealing the hidden, or pointing out the path to the lost, or lighting a lamp in the dark so people with clear eyes can see what’s there, the Buddha has made the teaching clear in many ways. I go for refuge to the Buddha, to the teaching, and to the bhikkhu Saṅgha. Sir, may I receive the going forth, the ordination in the Buddha’s presence?”

    “โย โข, สุภทฺท, อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ อิมสฺมึ ธมฺมวินเย อากงฺขติ ปพฺพชฺชํ, อากงฺขติ อุปสมฺปทํ, โส จตฺตาโร มาเส ปริวสติฯ จตุนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน อารทฺธจิตฺตา ภิกฺขู ปพฺพาเชนฺติ อุปสมฺปาเทนฺติ ภิกฺขุภาวายฯ อปิ จ เมตฺถ ปุคฺคลเวมตฺตตา วิทิตา”ติฯ

    “Subhadda, if someone formerly ordained in another sect wishes to take the going forth, the ordination in this teaching and training, they must spend four months on probation. When four months have passed, if the bhikkhus are satisfied, they’ll give the going forth, the ordination into monkhood. However, I have recognized individual differences in this matter.”

    “สเจ, ภนฺเต, อญฺญติตฺถิยปุพฺพา อิมสฺมึ ธมฺมวินเย อากงฺขนฺตา ปพฺพชฺชํ อากงฺขนฺตา อุปสมฺปทํ จตฺตาโร มาเส ปริวสนฺติ, จตุนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน อารทฺธจิตฺตา ภิกฺขู ปพฺพาเชนฺติ อุปสมฺปาเทนฺติ ภิกฺขุภาวายฯ อหํ จตฺตาริ วสฺสานิ ปริวสิสฺสามิ, จตุนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน อารทฺธจิตฺตา ภิกฺขู ปพฺพาเชนฺตุ อุปสมฺปาเทนฺตุ ภิกฺขุภาวายา”ติฯ

    “Sir, if four months probation are required in such a case, I’ll spend four years on probation. When four years have passed, if the bhikkhus are satisfied, let them give me the going forth, the ordination into monkhood.”

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “เตนหานนฺท, สุภทฺทํ ปพฺพาเชหี”ติฯ

    Then the Buddha said to Ānanda, “Well then, Ānanda, give Subhadda the going forth.”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ

    “Yes, sir,” Ānanda replied.

    อถ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “ลาภา โว, อาวุโส อานนฺท; สุลทฺธํ โว, อาวุโส อานนฺท, เย เอตฺถ สตฺถุ สมฺมุขา อนฺเตวาสิกาภิเสเกน อภิสิตฺตา”ติฯ อลตฺถ โข สุภทฺโท ปริพฺพาชโก ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปทํฯ อจิรูปสมฺปนฺโน โข ปนายสฺมา สุภทฺโท เอโก วูปกฏฺโฐ อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต นจิรเสฺสว—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ—ตทนุตฺตรํ พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ

    Then Subhadda said to Ānanda, “You’re so fortunate, Reverand Ānanda, so very fortunate, to be anointed here in the Teacher’s presence as his pupil!” And the wanderer Subhadda received the going forth, the ordination in the Buddha’s presence. Not long after his ordination, Venerable Subhadda, living alone, withdrawn, diligent, keen, and resolute, soon realized the supreme end of the spiritual path in this very life. He lived having achieved with his own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness.

    “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา”ติ อพฺภญฺญาสิฯ อญฺญตโร โข ปนายสฺมา สุภทฺโท อรหตํ อโหสิฯ โส ภควโต ปจฺฉิโม สกฺขิสาวโก อโหสีติฯ

    He understood: “Rebirth is ended; the spiritual journey has been completed; what had to be done has been done; there is no return to any state of existence.” And Venerable Subhadda became one of the perfected. He was the last personal disciple of the Buddha.

    ปญฺจโม ภาณวาโรฯ

    The fifth recitation section.

    ๓๕ฯ ตถาคตปจฺฉิมวาจา

    35. The Buddha’s Last Words

    อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ:

    Then the Buddha addressed Venerable Ānanda:

    “สิยา โข ปนานนฺท, ตุมฺหากํ เอวมสฺส: ‘อตีตสตฺถุกํ ปาวจนํ, นตฺถิ โน สตฺถา'ติฯ น โข ปเนตํ, อานนฺท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ โย โว, อานนฺท, มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถาฯ

    “Now, Ānanda, some of you might think: ‘The teacher’s dispensation has passed. Now we have no Teacher.’ But you should not see it like this. The teaching and training that I have taught and pointed out for you shall be your Teacher after my passing.

    ยถา โข ปนานนฺท, เอตรหิ ภิกฺขู อญฺญมญฺญํ อาวุโสวาเทน สมุทาจรนฺติ, น โข มมจฺจเยน เอวํ สมุทาจริตพฺพํฯ เถรตเรน, อานนฺท, ภิกฺขุนา นวกตโร ภิกฺขุ นาเมน วา โคตฺเตน วา อาวุโสวาเทน วา สมุทาจริตพฺโพฯ นวกตเรน ภิกฺขุนา เถรตโร ภิกฺขุ ‘ภนฺเต'ติ วา ‘อายสฺมา'ติ วา สมุทาจริตพฺโพฯ

    After my passing, bhikkhus ought not address each other as ‘friend’, as they do today. A more senior bhikkhu ought to address a more junior bhikkhu by name or clan, or by saying ‘friend’. A more junior bhikkhu ought to address a more senior bhikkhu using ‘sir’ or ‘venerable’.

    อากงฺขมาโน, อานนฺท, สงฺโฆ มมจฺจเยน ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ สมูหนตุฯ

    If it wishes, after my passing the Saṅgha may abolish the lesser and minor training rules.

    ฉนฺนสฺส, อานนฺท, ภิกฺขุโน มมจฺจเยน พฺรหฺมทณฺโฑ ทาตพฺโพ”ติฯ

    After my passing, give the divine punishment to the bhikkhu Channa.”

    “กตโม ปน, ภนฺเต, พฺรหฺมทณฺโฑ”ติ?

    “But sir, what is the divine punishment?”

    “ฉนฺโน, อานนฺท, ภิกฺขุ ยํ อิจฺเฉยฺย, ตํ วเทยฺยฯ โส ภิกฺขูหิ เนว วตฺตพฺโพ, น โอวทิตพฺโพ, น อนุสาสิตพฺโพ”ติฯ

    “Channa may say what he likes, but the bhikkhus should not correct, advise, or instruct him.”

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, เอกภิกฺขุสฺสาปิ กงฺขา วา วิมติ วา พุทฺเธ วา ธมฺเม วา สงฺเฆ วา มคฺเค วา ปฏิปทาย วา, ปุจฺฉถ, ภิกฺขเว, มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ: ‘สมฺมุขีภูโต โน สตฺถา อโหสิ, น มยํ สกฺขิมฺหา ภควนฺตํ สมฺมุขา ปฏิปุจฺฉิตุนฺ'”ติฯ

    Then the Buddha said to the bhikkhus, “Perhaps even a single bhikkhu has doubt or uncertainty regarding the Buddha, the teaching, the Saṅgha, the path, or the practice. So ask, bhikkhus! Don’t regret it later, thinking: ‘We were in the Teacher’s presence and we weren’t able to ask the Buddha a question.’”

    เอวํ วุตฺเต, เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ

    When this was said, the bhikkhus kept silent.

    ทุติยมฺปิ โข ภควา …เป… ตติยมฺปิ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, เอกภิกฺขุสฺสาปิ กงฺขา วา วิมติ วา พุทฺเธ วา ธมฺเม วา สงฺเฆ วา มคฺเค วา ปฏิปทาย วา, ปุจฺฉถ, ภิกฺขเว, มา ปจฺฉา วิปฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ: ‘สมฺมุขีภูโต โน สตฺถา อโหสิ, น มยํ สกฺขิมฺหา ภควนฺตํ สมฺมุขา ปฏิปุจฺฉิตุนฺ'”ติฯ

    For a second time, and a third time the Buddha addressed the bhikkhus: “Perhaps even a single bhikkhu has doubt or uncertainty regarding the Buddha, the teaching, the Saṅgha, the path, or the practice. So ask, bhikkhus! Don’t regret it later, thinking: ‘We were in the Teacher’s presence and we weren’t able to ask the Buddha a question.’”

    ตติยมฺปิ โข เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ:

    For a third time, the bhikkhus kept silent. Then the Buddha said to the bhikkhus,

    “สิยา โข ปน, ภิกฺขเว, สตฺถุคารเวนปิ น ปุจฺเฉยฺยาถฯ สหายโกปิ, ภิกฺขเว, สหายกสฺส อาโรเจตู”ติฯ

    “Bhikkhus, perhaps you don’t ask out of respect for the Teacher. So let a friend tell a friend.”

    เอวํ วุตฺเต, เต ภิกฺขู ตุณฺหี อเหสุํฯ

    When this was said, the bhikkhus kept silent.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเต, เอวํ ปสนฺโน อหํ, ภนฺเต, อิมสฺมึ ภิกฺขุสงฺเฆ, ‘นตฺถิ เอกภิกฺขุสฺสาปิ กงฺขา วา วิมติ วา พุทฺเธ วา ธมฺเม วา สงฺเฆ วา มคฺเค วา ปฏิปทาย วา'”ติฯ

    Then Venerable Ānanda said to the Buddha, “It’s incredible, sir, it’s amazing! I am quite confident that there is not even a single bhikkhu in this Saṅgha who has doubt or uncertainty regarding the Buddha, the teaching, the Saṅgha, the path, or the practice.”

    “ปสาทา โข ตฺวํ, อานนฺท, วเทสิ, ญาณเมว เหตฺถ, อานนฺท, ตถาคตสฺสฯ นตฺถิ อิมสฺมึ ภิกฺขุสงฺเฆ เอกภิกฺขุสฺสาปิ กงฺขา วา วิมติ วา พุทฺเธ วา ธมฺเม วา สงฺเฆ วา มคฺเค วา ปฏิปทาย วาฯ อิเมสญฺหิ, อานนฺท, ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ โย ปจฺฉิมโก ภิกฺขุ, โส โสตาปนฺโน อวินิปาตธมฺโม นิยโต สมฺโพธิปรายโณ”ติฯ

    “Ānanda, you speak out of faith. But the Realized One knows that there is not even a single bhikkhu in this Saṅgha who has doubt or uncertainty regarding the Buddha, the teaching, the Saṅgha, the path, or the practice. Even the last of these five hundred bhikkhus is a stream-enterer, not liable to be reborn in the underworld, bound for awakening.”

    อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “หนฺท ทานิ, ภิกฺขเว, อามนฺตยามิ โว, วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถา”ติฯ

    Then the Buddha said to the bhikkhus: “Come now, bhikkhus, I say to you all: ‘Conditions fall apart. Persist with diligence.’”

    อยํ ตถาคตสฺส ปจฺฉิมา วาจาฯ

    These were the Realized One’s last words.

    ๓๖ฯ ปรินิพฺพุตกถา

    36. The Full Extinguishment

    อถ โข ภควา ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ปฐมชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ทุติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ทุติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ตติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ตติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา จตุตฺถํ ฌานํ สมาปชฺชิ, จตุตฺถชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา อากาสานญฺจายตนํ สมาปชฺชิ, อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนํ สมาปชฺชิ, วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา อากิญฺจญฺญายตนํ สมาปชฺชิ, อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปชฺชิ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปชฺชิฯ

    Then the Buddha entered the first jhāna. Emerging from that, he entered the second jhāna. Emerging from that, he successively entered into and emerged from the third jhāna, the fourth jhāna, the dimension of infinite space, the dimension of infinite consciousness, the dimension of nothingness, and the dimension of neither perception nor non-perception. Then he entered the cessation of perception and feeling.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ เอตทโวจ: “ปรินิพฺพุโต, ภนฺเต อนุรุทฺธ, ภควา”ติฯ

    Then Venerable Ānanda said to Venerable Anuruddha, “Honorable Anuruddha, has the Buddha become fully extinguished?”

    “นาวุโส อานนฺท, ภควา ปรินิพฺพุโต, สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺโน”ติฯ

    “No, Friend Ānanda. He has entered the cessation of perception and feeling.”

    อถ โข ภควา สญฺญาเวทยิตนิโรธสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปชฺชิ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา อากิญฺจญฺญายตนํ สมาปชฺชิ, อากิญฺจญฺญายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนํ สมาปชฺชิ, วิญฺญาณญฺจายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา อากาสานญฺจายตนํ สมาปชฺชิ, อากาสานญฺจายตนสมาปตฺติยา วุฏฺฐหิตฺวา จตุตฺถํ ฌานํ สมาปชฺชิ, จตุตฺถชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ตติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ตติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ทุติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ทุติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ปฐมํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ปฐมชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ทุติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ทุติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา ตติยํ ฌานํ สมาปชฺชิ, ตติยชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา จตุตฺถํ ฌานํ สมาปชฺชิ, จตุตฺถชฺฌานา วุฏฺฐหิตฺวา สมนนฺตรา ภควา ปรินิพฺพายิฯ

    Then the Buddha emerged from the cessation of perception and feeling and entered the dimension of neither perception nor non-perception. Emerging from that, he successively entered into and emerged from the dimension of nothingness, the dimension of infinite consciousness, the dimension of infinite space, the fourth jhāna, the third jhāna, the second jhāna, and the first jhāna. Emerging from that, he successively entered into and emerged from the second jhāna and the third jhāna. Then he entered the fourth jhāna. Emerging from that the Buddha immediately became fully extinguished.

    ปรินิพฺพุเต ภควติ สห ปรินิพฺพานา มหาภูมิจาโล อโหสิ ภึสนโก สโลมหํโสฯ เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุฯ ปรินิพฺพุเต ภควติ สห ปรินิพฺพานา พฺรหฺมาสหมฺปติ อิมํ คาถํ อภาสิ:

    When the Buddha became fully extinguished, along with the full Nibbana there was a great earthquake, awe-inspiring and hair-raising, and thunder cracked the sky. When the Buddha became fully extinguished, Brahmā Sahampati recited this verse:

    “สพฺเพว นิกฺขิปิสฺสนฺติ, ภูตา โลเก สมุสฺสยํ; ยตฺถ เอตาทิโส สตฺถา, โลเก อปฺปฏิปุคฺคโล; ตถาคโต พลปฺปตฺโต, สมฺพุทฺโธ ปรินิพฺพุโต”ติฯ

    “All creatures in this world must lay down this bag of bones. For even a Teacher such as this, unrivaled in the world, the Realized One, attained to power, the Buddha became fully extinguished.”

    ปรินิพฺพุเต ภควติ สห ปรินิพฺพานา สกฺโก เทวานมินฺโท อิมํ คาถํ อภาสิ:

    When the Buddha became fully extinguished, Sakka, lord of gods, recited this verse:

    “อนิจฺจา วต สงฺขารา, อุปฺปาทวยธมฺมิโน; อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, เตสํ วูปสโม สุโข”ติฯ

    “Oh! Conditions are impermanent, their nature is to rise and fall; having arisen, they cease; their stilling is true bliss.”

    ปรินิพฺพุเต ภควติ สห ปรินิพฺพานา อายสฺมา อนุรุทฺโธ อิมา คาถาโย อภาสิ:

    When the Buddha became fully extinguished, Venerable Anuruddha recited this verse:

    “นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส, ฐิตจิตฺตสฺส ตาทิโน; อเนโช สนฺติมารพฺภ, ยํ กาลมกรี มุนิฯ

    “There was no more breathing for the poised one of steady heart. Imperturbable, committed to peace, the sage has done his time.

    อสลฺลีเนน จิตฺเตน, เวทนํ อชฺฌวาสยิ; ปชฺโชตเสฺสว นิพฺพานํ, วิโมกฺโข เจตโส อหู”ติฯ

    He put up with painful feelings without flinching. The liberation of his heart was like the extinguishing of a lamp.”

    ปรินิพฺพุเต ภควติ สห ปรินิพฺพานา อายสฺมา อานนฺโท อิมํ คาถํ อภาสิ:

    When the Buddha became fully extinguished, Venerable Ānanda recited this verse:

    “ตทาสิ ยํ ภึสนกํ, ตทาสิ โลมหํสนํ; สพฺพาการวรูเปเต, สมฺพุทฺเธ ปรินิพฺพุเต”ติฯ

    “Then there was terror! Then they had goosebumps! When the Buddha, endowed with all fine qualities, became fully extinguished.”

    ปรินิพฺพุเต ภควติ เย เต ตตฺถ ภิกฺขู อวีตราคา อปฺเปกจฺเจ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ วิวฏฺฏนฺติ, “อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรหิโต”ติฯ เย ปน เต ภิกฺขู วีตราคา, เต สตา สมฺปชานา อธิวาเสนฺติ: “อนิจฺจา สงฺขารา, ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา”ติฯ

    When the Buddha became fully extinguished, some of the bhikkhus there who were not free of desire, with arms raised, falling down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamented: “Too soon the Blessed One has become fully extinguished! Too soon the Holy One has become fully extinguished! Too soon the Eye of the World has vanished!” But the bhikkhus who were free of desire endured, mindful and aware, thinking, “Conditions are impermanent. How could it possibly be otherwise?”

    อถ โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “อลํ, อาวุโส, มา โสจิตฺถ มา ปริเทวิตฺถฯ นนุ เอตํ, อาวุโส, ภควตา ปฏิกจฺเจว อกฺขาตํ: ‘สพฺเพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโว'ฯ ตํ กุเตตฺถ, อาวุโส, ลพฺภาฯ ‘ยํ ตํ ชาตํ ภูตํ สงฺขตํ ปโลกธมฺมํ, ตํ วต มา ปลุชฺชี'ติ, เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ เทวตา, อาวุโส, อุชฺฌายนฺตี”ติฯ

    Then Anuruddha addressed the bhikkhus: “Enough, friends, do not grieve or lament. Did the Buddha not prepare us for this when he explained that we must be parted and separated from all we hold dear and beloved? How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out? The deities are complaining.”

    “กถํภูตา ปน, ภนฺเต, อายสฺมา อนุรุทฺโธ เทวตา มนสิ กโรตี”ติ?

    “But sir, what kind of deities are you thinking of?”

    “สนฺตาวุโส อานนฺท, เทวตา อากาเส ปถวีสญฺญินิโย เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: ‘อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรหิโต'ติฯ สนฺตาวุโส อานนฺท, เทวตา ปถวิยา ปถวีสญฺญินิโย เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: ‘อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรหิโต'ติฯ ยา ปน ตา เทวตา วีตราคา, ตา สตา สมฺปชานา อธิวาเสนฺติ: ‘อนิจฺจา สงฺขารา, ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา'”ติฯ

    “There are, Ānanda, deities—both in the sky and on the earth—who are percipient of the earth. With hair disheveled and arms raised, they fall down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamenting: ‘Too soon the Blessed One has become fully extinguished! Too soon the Holy One has become fully extinguished! Too soon the Eye of the World has vanished!’ But the deities who are free of desire endure, mindful and aware, thinking: ‘Conditions are impermanent. How could it possibly be otherwise?’”

    อถ โข อายสฺมา จ อนุรุทฺโธ อายสฺมา จ อานนฺโท ตํ รตฺตาวเสสํ ธมฺมิยา กถาย วีตินาเมสุํฯ

    Ānanda and Anuruddha spent the rest of the night talking about Dhamma.

    อถ โข อายสฺมา อนุรุทฺโธ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามนฺเตสิ: “คจฺฉาวุโส อานนฺท, กุสินารํ ปวิสิตฺวา โกสินารกานํ มลฺลานํ อาโรเจหิ: ‘ปรินิพฺพุโต, วาเสฏฺฐา, ภควา, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญถา'”ติฯ

    Then Anuruddha said to Ānanda, “Go, Ānanda, into Kusinārā and inform the Mallas: ‘Vāseṭṭhas, the Buddha has become fully extinguished. Please come at your convenience.’”

    “เอวํ, ภนฺเต”ติ โข อายสฺมา อานนฺโท อายสฺมโต อนุรุทฺธสฺส ปฏิสฺสุตฺวา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อตฺตทุติโย กุสินารํ ปาวิสิฯ

    “Yes, sir,” replied Ānanda. Then, in the morning, he robed up and, taking his bowl and robe, entered Kusinārā with a companion.

    เตน โข ปน สมเยน โกสินารกา มลฺลา สนฺธาคาเร สนฺนิปติตา โหนฺติ เตเนว กรณีเยนฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน โกสินารกานํ มลฺลานํ สนฺธาคารํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา โกสินารกานํ มลฺลานํ อาโรเจสิ: “ปรินิพฺพุโต, วาเสฏฺฐา, ภควา, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญถา”ติฯ

    Now at that time the Mallas of Kusinārā were sitting together at the meeting hall still on the same business. Ānanda went up to them, and announced, “Vāseṭṭhas, the Buddha has become fully extinguished. Please come at your convenience.”

    อิทมายสฺมโต อานนฺทสฺส วจนํ สุตฺวา มลฺลา จ มลฺลปุตฺตา จ มลฺลสุณิสา จ มลฺลปชาปติโย จ อฆาวิโน ทุมฺมนา เจโตทุกฺขสมปฺปิตา อปฺเปกจฺเจ เกเส ปกิริย กนฺทนฺติ, พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: “อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรหิโต”ติฯ

    When they heard what Ānanda had to say, the Mallas, their sons, daughters-in-law, and wives became distraught, saddened, and grief-stricken. And some, with hair disheveled and arms raised, falling down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamented, “Too soon the Blessed One has become fully extinguished! Too soon the Holy One has become fully extinguished! Too soon the Eye of the World has vanished!”

    ๓๗ฯ พุทฺธสรีรปูชา

    37. The Rites of Venerating the Buddha’s Corpse

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา ปุริเส อาณาเปสุํ: “เตน หิ, ภเณ, กุสินารายํ คนฺธมาลญฺจ สพฺพญฺจ ตาฬาวจรํ สนฺนิปาเตถา”ติฯ

    Then the Mallas ordered their men, “So then, my men, collect fragrances and garlands, and all the musical instruments in Kusinārā.”

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา คนฺธมาลญฺจ สพฺพญฺจ ตาฬาวจรํ ปญฺจ จ ทุสฺสยุคสตานิ อาทาย เยน อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนํ, เยน ภควโต สรีรํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต สรีรํ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา เจลวิตานานิ กโรนฺตา มณฺฑลมาเฬ ปฏิยาเทนฺตา เอกทิวสํ วีตินาเมสุํฯ

    Then—taking those fragrances and garlands, all the musical instruments, and five hundred pairs of garments—they went to the Mallian sal grove at Upavattana and approached the Buddha’s corpse. They spent the day honoring, respecting, revering, and venerating the Buddha’s corpse with dance and song and music and garlands and fragrances, and making awnings and setting up pavilions.

    อถ โข โกสินารกานํ มลฺลานํ เอตทโหสิ: “อติวิกาโล โข อชฺช ภควโต สรีรํ ฌาเปตุํ, เสฺว ทานิ มยํ ภควโต สรีรํ ฌาเปสฺสามา”ติฯ อถ โข โกสินารกา มลฺลา ภควโต สรีรํ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา เจลวิตานานิ กโรนฺตา มณฺฑลมาเฬ ปฏิยาเทนฺตา ทุติยมฺปิ ทิวสํ วีตินาเมสุํ, ตติยมฺปิ ทิวสํ วีตินาเมสุํ, จตุตฺถมฺปิ ทิวสํ วีตินาเมสุํ, ปญฺจมมฺปิ ทิวสํ วีตินาเมสุํ, ฉฏฺฐมฺปิ ทิวสํ วีตินาเมสุํฯ

    Then they thought, “It’s too late to cremate the Buddha’s corpse today. Let’s do it tomorrow.” But they spent the next day the same way, and so too the third, fourth, fifth, and sixth days.

    อถ โข สตฺตมํ ทิวสํ โกสินารกานํ มลฺลานํ เอตทโหสิ: “มยํ ภควโต สรีรํ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา ทกฺขิเณน ทกฺขิณํ นครสฺส หริตฺวา พาหิเรน พาหิรํ ทกฺขิณโต นครสฺส ภควโต สรีรํ ฌาเปสฺสามา”ติฯ

    Then on the seventh day they thought, “Honoring, respecting, revering, and venerating the Buddha’s corpse with dance and song and music and garlands and fragrances, let us carry it to the south of the town, and cremate it there outside the town.”

    เตน โข ปน สมเยน อฏฺฐ มลฺลปาโมกฺขา สีสํนฺหาตา อหตานิ วตฺถานิ นิวตฺถา: “มยํ ภควโต สรีรํ อุจฺจาเรสฺสามา”ติ น สกฺโกนฺติ อุจฺจาเรตุํฯ

    Now at that time eight of the leading Mallas, having bathed their heads and dressed in unworn clothes, said, “We shall lift the Buddha’s corpse.” But they were unable to do so.

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ เอตทโวจุํ: “โก นุ โข, ภนฺเต อนุรุทฺธ, เหตุ โก ปจฺจโย, เยนิเม อฏฺฐ มลฺลปาโมกฺขา สีสํนฺหาตา อหตานิ วตฺถานิ นิวตฺถา: ‘มยํ ภควโต สรีรํ อุจฺจาเรสฺสามา'ติ น สกฺโกนฺติ อุจฺจาเรตุนฺ”ติ?

    The Mallas said to Anuruddha, “What is the cause, Honorable Anuruddha, what is the reason why these eight Mallian chiefs are unable to lift the Buddha’s corpse?”

    “อญฺญถา โข, วาเสฏฺฐา, ตุมฺหากํ อธิปฺปาโย, อญฺญถา เทวตานํ อธิปฺปาโย”ติฯ

    “Vāseṭṭhas, you have one plan, but the deities have a different one.”

    “กถํ ปน, ภนฺเต, เทวตานํ อธิปฺปาโย”ติ?

    “But sir, what is the deities’ plan?”

    “ตุมฺหากํ โข, วาเสฏฺฐา, อธิปฺปาโย: ‘มยํ ภควโต สรีรํ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา ทกฺขิเณน ทกฺขิณํ นครสฺส หริตฺวา พาหิเรน พาหิรํ ทกฺขิณโต นครสฺส ภควโต สรีรํ ฌาเปสฺสามา'ติ; เทวตานํ โข, วาเสฏฺฐา, อธิปฺปาโย: ‘มยํ ภควโต สรีรํ ทิพฺเพหิ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา อุตฺตเรน อุตฺตรํ นครสฺส หริตฺวา อุตฺตเรน ทฺวาเรน นครํ ปเวเสตฺวา มชฺเฌน มชฺฌํ นครสฺส หริตฺวา ปุรตฺถิเมน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ปุรตฺถิมโต นครสฺส มกุฏพนฺธนํ นาม มลฺลานํ เจติยํ เอตฺถ ภควโต สรีรํ ฌาเปสฺสามา'”ติฯ

    “You plan to carry the Buddha’s corpse to the south of the town while venerating it with dance and song and music and garlands and fragrances, and cremate it there outside the town. The deities plan to carry the Buddha’s corpse to the north of the town while venerating it with heavenly dance and song and music and garlands and fragrances. Then they plan to enter the town by the northern gate, carry it through the center of the town, leave by the eastern gate, and cremate it there at the Mallian shrine named Coronation.”

    “ยถา, ภนฺเต, เทวตานํ อธิปฺปาโย, ตถา โหตู”ติฯ

    “Sir, let it be as the deities plan.”

    เตน โข ปน สมเยน กุสินารา ยาว สนฺธิสมลสงฺกฏีรา ชณฺณุมตฺเตน โอธินา มนฺทารวปุปฺเผหิ สนฺถตา โหติฯ อถ โข เทวตา จ โกสินารกา จ มลฺลา ภควโต สรีรํ ทิพฺเพหิ จ มานุสเกหิ จ นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกโรนฺตา ครุํ กโรนฺตา มาเนนฺตา ปูเชนฺตา อุตฺตเรน อุตฺตรํ นครสฺส หริตฺวา อุตฺตเรน ทฺวาเรน นครํ ปเวเสตฺวา มชฺเฌน มชฺฌํ นครสฺส หริตฺวา ปุรตฺถิเมน ทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา ปุรตฺถิมโต นครสฺส มกุฏพนฺธนํ นาม มลฺลานํ เจติยํ เอตฺถ จ ภควโต สรีรํ นิกฺขิปึสุฯ

    Now at that time the whole of Kusinārā was covered knee-deep with the flowers of the Flame Tree, without gaps even on the filth and rubbish heaps. Then the deities and the Mallas of Kusinārā carried the Buddha’s corpse to the north of the town while venerating it with heavenly and human dance and song and music and garlands and fragrances. Then they entered the town by the northern gate, carried it through the center of the town, left by the eastern gate, and deposited the corpse there at the Mallian shrine named Coronation.

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจุํ: “กถํ มยํ, ภนฺเต อานนฺท, ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชามา”ติ?

    Then the Mallas said to Anuruddha, “Honorable Ānanda, how do we proceed when it comes to the Realized One’s corpse?”

    “ยถา โข, วาเสฏฺฐา, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติ, เอวํ ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชิตพฺพนฺ”ติฯ

    “Proceed in the same way as they do for the corpse of a wheel-turning monarch.”

    “กถํ ปน, ภนฺเต อานนฺท, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺตี”ติ?

    “But how do they proceed with a wheel-turning monarch’s corpse?”

    “รญฺโญ, วาเสฏฺฐา, จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ อหเตน วตฺเถน เวเฐนฺติ, อหเตน วตฺเถน เวเฐตฺวา วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐนฺติ, วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐตฺวา อหเตน วตฺเถน เวเฐนฺติฯ เอเตน อุปาเยน ปญฺจหิ ยุคสเตหิ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ เวเฐตฺวา อายสาย เตลโทณิยา ปกฺขิปิตฺวา อญฺญิสฺสา อายสาย โทณิยา ปฏิกุชฺชิตฺวา สพฺพคนฺธานํ จิตกํ กริตฺวา รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีรํ ฌาเปนฺติฯ จาตุมหาปเถ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ถูปํ กโรนฺติฯ เอวํ โข, วาเสฏฺฐา, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติฯ ยถา โข, วาเสฏฺฐา, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส สรีเร ปฏิปชฺชนฺติ, เอวํ ตถาคตสฺส สรีเร ปฏิปชฺชิตพฺพํฯ จาตุมหาปเถ ตถาคตสฺส ถูโป กาตพฺโพฯ ตตฺถ เย มาลํ วา คนฺธํ วา จุณฺณกํ วา อาโรเปสฺสนฺติ วา อภิวาเทสฺสนฺติ วา จิตฺตํ วา ปสาเทสฺสนฺติ, เตสํ ตํ ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา”ติฯ

    “They wrap a wheel-turning monarch’s corpse with unworn cloth, then with uncarded cotton, then again with unworn cloth. In this way they wrap the corpse with five hundred double-layers. Then they place it in an iron case filled with oil and close it up with another case. Then, having built a funeral pyre out of all kinds of fragrant substances, they cremate the corpse. They build a monument for the wheel-turning monarch at the crossroads. That’s how they proceed with a wheel-turning monarch’s corpse. Proceed in the same way with the Realized One’s corpse. A monument for the Realized One is to be built at the crossroads. When someone there lifts up garlands or fragrance or powder, or bows, or inspires confidence in their heart, that will be for their lasting welfare and happiness.”

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา ปุริเส อาณาเปสุํ: “เตน หิ, ภเณ, มลฺลานํ วิหตํ กปฺปาสํ สนฺนิปาเตถา”ติฯ

    Then the Mallas ordered their men, “So then, my men, collect uncarded cotton.”

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา ภควโต สรีรํ อหเตน วตฺเถน เวเฐตฺวา วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐสุํ, วิหเตน กปฺปาเสน เวเฐตฺวา อหเตน วตฺเถน เวเฐสุํฯ เอเตน อุปาเยน ปญฺจหิ ยุคสเตหิ ภควโต สรีรํ เวเฐตฺวา อายสาย เตลโทณิยา ปกฺขิปิตฺวา อญฺญิสฺสา อายสาย โทณิยา ปฏิกุชฺชิตฺวา สพฺพคนฺธานํ จิตกํ กริตฺวา ภควโต สรีรํ จิตกํ อาโรเปสุํฯ

    So the Mallas wrapped the Buddha’s corpse, and placed it in an iron case filled with oil. Then, having built a funeral pyre out of all kinds of fragrant substances, they lifted the corpse on to the pyre.

    ๓๘ฯ มหากสฺสปตฺเถรวตฺถุ

    38. Mahākassapa’s Arrival

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหากสฺสโป ปาวาย กุสินารํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน โหติ มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมึ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ

    Now at that time Venerable Mahākassapa was traveling along the road from Pāvā to Kusinārā together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus. Then he left the road and sat at the root of a tree.

    เตน โข ปน สมเยน อญฺญตโร อาชีวโก กุสินาราย มนฺทารวปุปฺผํ คเหตฺวา ปาวํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน โหติฯ อทฺทสา โข อายสฺมา มหากสฺสโป ตํ อาชีวกํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ, ทิสฺวา ตํ อาชีวกํ เอตทโวจ: “อปาวุโส, อมฺหากํ สตฺถารํ ชานาสี”ติ?

    Now at that time a certain Ājīvaka ascetic had picked up a Flame Tree flower in Kusinārā and was traveling along the road to Pāvā. Mahākassapa saw him coming off in the distance and said to him, “Friend, might you know about our Teacher?”

    “อามาวุโส, ชานามิ, อชฺช สตฺตาหปรินิพฺพุโต สมโณ โคตโมฯ ตโต เม อิทํ มนฺทารวปุปฺผํ คหิตนฺ”ติฯ ตตฺถ เย เต ภิกฺขู อวีตราคา อปฺเปกจฺเจ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติ, ฉินฺนปาตํ ปปตนฺติ, อาวฏฺฏนฺติ, วิวฏฺฏนฺติ: “อติขิปฺปํ ภควา ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ สุคโต ปรินิพฺพุโต, อติขิปฺปํ จกฺขุํ โลเก อนฺตรหิโต”ติฯ เย ปน เต ภิกฺขู วีตราคา, เต สตา สมฺปชานา อธิวาเสนฺติ: “อนิจฺจา สงฺขารา, ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา”ติฯ

    “Yes, friend. Seven days ago the ascetic Gotama became fully extinguished. From there I picked up this Flame Tree flower.” Some of the bhikkhus there who were not free of desire, with arms raised, falling down like their feet were chopped off, rolling back and forth, lamented, “Too soon the Blessed One has become fully extinguished! Too soon the Holy One has become fully extinguished! Too soon the Eye of the World has vanished!” But the bhikkhus who were free of desire endured, mindful and aware, thinking, “Conditions are impermanent. How could it possibly be otherwise?”

    เตน โข ปน สมเยน สุภทฺโท นาม วุทฺธปพฺพชิโต ตสฺสํ ปริสายํ นิสินฺโน โหติฯ อถ โข สุภทฺโท วุทฺธปพฺพชิโต เต ภิกฺขู เอตทโวจ: “อลํ, อาวุโส, มา โสจิตฺถ, มา ปริเทวิตฺถ, สุมุตฺตา มยํ เตน มหาสมเณนฯ อุปทฺทุตา จ โหม: ‘อิทํ โว กปฺปติ, อิทํ โว น กปฺปตี'ติฯ อิทานิ ปน มยํ ยํ อิจฺฉิสฺสาม, ตํ กริสฺสาม, ยํ น อิจฺฉิสฺสาม, น ตํ กริสฺสามา”ติฯ

    Now at that time a monk named Subhadda, who had gone forth when old, was sitting in that assembly. He said to those bhikkhus, “Enough, friends, do not grieve or lament. We’re well rid of that Great Ascetic. And we are oppressed: ‘This is allowable for you; this is not allowable for you.’ Well, now we shall do what we want and not do what we don’t want.”

    อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “อลํ, อาวุโส, มา โสจิตฺถ, มา ปริเทวิตฺถฯ นนุ เอตํ, อาวุโส, ภควตา ปฏิกจฺเจว อกฺขาตํ: ‘สพฺเพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโว'ฯ ตํ กุเตตฺถ, อาวุโส, ลพฺภาฯ ‘ยํ ตํ ชาตํ ภูตํ สงฺขตํ ปโลกธมฺมํ, ตํ ตถาคตสฺสาปิ สรีรํ มา ปลุชฺชี'ติ, เนตํ ฐานํ วิชฺชตี”ติฯ

    Then Venerable Mahākassapa addressed the bhikkhus, “Enough, friends, do not grieve or lament. Did the Buddha not prepare us for this when he explained that we must be parted and separated from all we hold dear and beloved? How could it possibly be so that what is born, created, conditioned, and liable to wear out should not wear out, even the Realized One’s body?”

    เตน โข ปน สมเยน จตฺตาโร มลฺลปาโมกฺขา สีสํนฺหาตา อหตานิ วตฺถานิ นิวตฺถา: “มยํ ภควโต จิตกํ อาฬิมฺเปสฺสามา”ติ น สกฺโกนฺติ อาฬิมฺเปตุํฯ

    Now at that time four of the leading Mallas, having bathed their heads and dressed in unworn clothes, said, “We shall light the Buddha’s funeral pyre.” But they were unable to do so.

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธํ เอตทโวจุํ: “โก นุ โข, ภนฺเต อนุรุทฺธ, เหตุ โก ปจฺจโย, เยนิเม จตฺตาโร มลฺลปาโมกฺขา สีสํนฺหาตา อหตานิ วตฺถานิ นิวตฺถา: ‘มยํ ภควโต จิตกํ อาฬิมฺเปสฺสามา'ติ น สกฺโกนฺติ อาฬิมฺเปตุนฺ”ติ?

    The Mallas said to Anuruddha, “What is the cause, Venerable Anuruddha, what is the reason why these four Mallian chiefs are unable to light the Buddha’s funeral pyre?”

    “อญฺญถา โข, วาเสฏฺฐา, เทวตานํ อธิปฺปาโย”ติฯ

    “Vāseṭṭhas, the deities have a different plan.”

    “กถํ ปน, ภนฺเต, เทวตานํ อธิปฺปาโย”ติ?

    “But sir, what is the deities’ plan?”

    “เทวตานํ โข, วาเสฏฺฐา, อธิปฺปาโย: ‘อยํ อายสฺมา มหากสฺสโป ปาวาย กุสินารํ อทฺธานมคฺคปฺปฏิปนฺโน มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิฯ น ตาว ภควโต จิตโก ปชฺชลิสฺสติ, ยาวายสฺมา มหากสฺสโป ภควโต ปาเท สิรสา น วนฺทิสฺสตี'”ติฯ

    “The deities’ plan is this: Venerable Mahākassapa is traveling along the road from Pāvā to Kusinārā together with a large Saṅgha of five hundred bhikkhus. The Buddha’s funeral pyre shall not burn until he bows with his head at the Buddha’s feet.”

    “ยถา, ภนฺเต, เทวตานํ อธิปฺปาโย, ตถา โหตู”ติฯ

    “Sir, let it be as the deities plan.”

    อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป เยน กุสินารา มกุฏพนฺธนํ นาม มลฺลานํ เจติยํ, เยน ภควโต จิตโก เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา อญฺชลึ ปณาเมตฺวา ติกฺขตฺตุํ จิตกํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทิฯ ตานิปิ โข ปญฺจภิกฺขุสตานิ เอกํสํ จีวรํ กตฺวา อญฺชลึ ปณาเมตฺวา ติกฺขตฺตุํ จิตกํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทึสุฯ วนฺทิเต จ ปนายสฺมตา มหากสฺสเปน เตหิ จ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สยเมว ภควโต จิตโก ปชฺชลิฯ

    Then Venerable Mahākassapa arrived at the Mallian shrine named Coronation at Kusinārā and approached the Buddha’s funeral pyre. Arranging his robe over one shoulder and raising his joined palms, he respectfully circled the Buddha three times, keeping him on his right, and bowed with his head at the Buddha’s feet. And the five hundred bhikkhus did likewise. And when Mahākassapa and the five hundred bhikkhus bowed the Buddha’s funeral pyre burst into flames all by itself.

    ฌายมานสฺส โข ปน ภควโต สรีรสฺส ยํ อโหสิ ฉวีติ วา จมฺมนฺติ วา มํสนฺติ วา นฺหารูติ วา ลสิกาติ วา, ตสฺส เนว ฉาริกา ปญฺญายิตฺถ, น มสิ; สรีราเนว อวสิสฺสึสุฯ เสยฺยถาปิ นาม สปฺปิสฺส วา เตลสฺส วา ฌายมานสฺส เนว ฉาริกา ปญฺญายติ, น มสิ; เอวเมว ภควโต สรีรสฺส ฌายมานสฺส ยํ อโหสิ ฉวีติ วา จมฺมนฺติ วา มํสนฺติ วา นฺหารูติ วา ลสิกาติ วา, ตสฺส เนว ฉาริกา ปญฺญายิตฺถ, น มสิ; สรีราเนว อวสิสฺสึสุฯ เตสญฺจ ปญฺจนฺนํ ทุสฺสยุคสตานํ เทฺวว ทุสฺสานิ น ฑยฺหึสุ ยญฺจ สพฺพอพฺภนฺตริมํ ยญฺจ พาหิรํฯ ทฑฺเฒ จ โข ปน ภควโต สรีเร อนฺตลิกฺขา อุทกธารา ปาตุภวิตฺวา ภควโต จิตกํ นิพฺพาเปสิฯ อุทกสาลโตปิ อพฺภุนฺนมิตฺวา ภควโต จิตกํ นิพฺพาเปสิฯ โกสินารกาปิ มลฺลา สพฺพคนฺโธทเกน ภควโต จิตกํ นิพฺพาเปสุํฯ

    And when the Buddha’s corpse was cremated no ash or soot was found from outer or inner skin, flesh, sinews, or synovial fluid. Only the relics remained. It’s like when ghee or oil blaze and burn, and neither ashes nor soot are found. In the same way, when the Buddha’s corpse was cremated no ash or soot was found from outer or inner skin, flesh, sinews, or synovial fluid. Only the relics remained. And of those five hundred pairs of garments only two were not burnt: the innermost and the outermost. But when the Buddha’s corpse was consumed the funeral pyre was extinguished by a stream of water that appeared in the sky, by water dripping from the sal trees, and by the Mallas’ fragrant water.

    อถ โข โกสินารกา มลฺลา ภควโต สรีรานิ สตฺตาหํ สนฺธาคาเร สตฺติปญฺชรํ กริตฺวา ธนุปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา นจฺเจหิ คีเตหิ วาทิเตหิ มาเลหิ คนฺเธหิ สกฺกรึสุ ครุํ กรึสุ มาเนสุํ ปูเชสุํฯ

    Then the Mallas made a cage of spears for the Buddha’s relics in the meeting hall and surrounded it with a buttress of bows. For seven days they honored, respected, revered, and venerated them with dance and song and music and garlands and fragrances.

    ๓๙ฯ สรีรธาตุวิภชน

    39. Distributing the Relics

    อโสฺสสิ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสิ: “ภควาปิ ขตฺติโย อหมฺปิ ขตฺติโย, อหมฺปิ อรหามิ ภควโต สรีรานํ ภาคํ, อหมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามี”ติฯ

    King Ajātasattu of Magadha, son of the princess of Videha, heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. He sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and so am I. I too deserve a share of the Buddha’s relics. I will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสุํ โข เวสาลิกา ลิจฺฉวี: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข เวสาลิกา ลิจฺฉวี โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควาปิ ขตฺติโย มยมฺปิ ขตฺติยา, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Licchavis of Vesālī also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and so are we. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสุํ โข กปิลวตฺถุวาสี สกฺยา: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข กปิลวตฺถุวาสี สกฺยา โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควา อมฺหากํ ญาติเสฏฺโฐ, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Sakyans of Kapilavatthu also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was our foremost relative. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสุํ โข อลฺลกปฺปกา พุลโย: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข อลฺลกปฺปกา พุลโย โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควาปิ ขตฺติโย มยมฺปิ ขตฺติยา, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Bulis of Allakappa also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and so are we. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสุํ โข รามคามกา โกฬิยา: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข รามคามกา โกฬิยา โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควาปิ ขตฺติโย มยมฺปิ ขตฺติยา, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Koḷiyans of Rāmagāma also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and so are we. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสิ โข เวฏฺฐทีปโก พฺราหฺมโณ: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข เวฏฺฐทีปโก พฺราหฺมโณ โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสิ: “ภควาปิ ขตฺติโย อหมฺปิสฺมิ พฺราหฺมโณ, อหมฺปิ อรหามิ ภควโต สรีรานํ ภาคํ, อหมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามี”ติฯ

    The brahmin of Veṭhadīpa also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. He sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and I am a brahmin. I too deserve a share of the Buddha’s relics. I will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    อโสฺสสุํ โข ปาเวยฺยกา มลฺลา: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข ปาเวยฺยกา มลฺลา โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควาปิ ขตฺติโย มยมฺปิ ขตฺติยา, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Mallas of Pāvā also heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat and so are we. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    เอวํ วุตฺเต, โกสินารกา มลฺลา เต สงฺเฆ คเณ เอตทโวจุํ: “ภควา อมฺหากํ คามกฺเขตฺเต ปรินิพฺพุโต, น มยํ ทสฺสาม ภควโต สรีรานํ ภาคนฺ”ติฯ

    When they had spoken, the Mallas of Kusinārā said to those various groups: “The Buddha became fully extinguished in our village district. We will not give away a share of his relics.”

    เอวํ วุตฺเต, โทโณ พฺราหฺมโณ เต สงฺเฆ คเณ เอตทโวจ:

    Then Doṇa the brahmin said to those various groups:

    “สุณนฺตุ โภนฺโต มม เอกวาจํ, อมฺหาก พุทฺโธ อหุ ขนฺติวาโท; น หิ สาธุ ยํ อุตฺตมปุคฺคลสฺส, สรีรภาเค สิยา สมฺปหาโรฯ

    “Hear, sirs, a single word from me. Our Buddha’s teaching was acceptance. It would not be good to fight over a share of the supreme person’s relics.

    สพฺเพว โภนฺโต สหิตา สมคฺคา, สมฺโมทมานา กโรมฏฺฐภาเค; วิตฺถาริกา โหนฺตุ ทิสาสุ ถูปา, พหู ชนา จกฺขุมโต ปสนฺนา”ติฯ

    Let us make eight portions, good sirs, rejoicing in unity and harmony. Let there be monuments far and wide, so many folk may gain faith in the Clear-eyed One!”

    “เตน หิ, พฺราหฺมณ, ตฺวญฺเญว ภควโต สรีรานิ อฏฺฐธา สมํ สวิภตฺตํ วิภชาหี”ติฯ

    “Well then, brahmin, you yourself should fairly divide the Buddha’s relics in eight portions.”

    “เอวํ, โภ”ติ โข โทโณ พฺราหฺมโณ เตสํ สงฺฆานํ คณานํ ปฏิสฺสุตฺวา ภควโต สรีรานิ อฏฺฐธา สมํ สุวิภตฺตํ วิภชิตฺวา เต สงฺเฆ คเณ เอตทโวจ: “อิมํ เม โภนฺโต ตุมฺพํ ททนฺตุ อหมฺปิ ตุมฺพสฺส ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามี”ติฯ อทํสุ โข เต โทณสฺส พฺราหฺมณสฺส ตุมฺพํฯ

    “Yes, sirs,” replied Doṇa to those various groups. He divided the relics as asked and said to them, “Sirs, please give me the urn, and I shall build a monument for it and conduct a memorial service.” So they gave Doṇa the urn.

    อโสฺสสุํ โข ปิปฺปลิวนิยา โมริยา: “ภควา กิร กุสินารายํ ปรินิพฺพุโต”ติฯ อถ โข ปิปฺปลิวนิยา โมริยา โกสินารกานํ มลฺลานํ ทูตํ ปาเหสุํ: “ภควาปิ ขตฺติโย มยมฺปิ ขตฺติยา, มยมฺปิ อรหาม ภควโต สรีรานํ ภาคํ, มยมฺปิ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ กริสฺสามา”ติฯ

    The Moriyas of Pippalivana heard that the Buddha had become fully extinguished at Kusinārā. They sent an envoy to the Mallas of Kusinārā: “The Buddha was an aristocrat, and so are we. We too deserve a share of the Buddha’s relics. We will build a monument for them and conduct a memorial service.”

    “นตฺถิ ภควโต สรีรานํ ภาโค, วิภตฺตานิ ภควโต สรีรานิฯ อิโต องฺคารํ หรถา”ติฯ เต ตโต องฺคารํ หรึสุฯ

    “There is no portion of the Buddha’s relics left, they have already been portioned out. Here, take the embers.” So they took the embers.

    ๔๐ฯ ธาตุถูปปูชา

    40. Venerating the Relics

    อถ โข ราชา มาคโธ อชาตสตฺตุ เวเทหิปุตฺโต ราชคเห ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกาสิฯ เวสาลิกาปิ ลิจฺฉวี เวสาลิยํ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ กปิลวตฺถุวาสีปิ สกฺยา กปิลวตฺถุสฺมึ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ อลฺลกปฺปกาปิ พุลโย อลฺลกปฺเป ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ รามคามกาปิ โกฬิยา รามคาเม ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ เวฏฺฐทีปโกปิ พฺราหฺมโณ เวฏฺฐทีเป ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกาสิฯ ปาเวยฺยกาปิ มลฺลา ปาวายํ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ โกสินารกาปิ มลฺลา กุสินารายํ ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ โทโณปิ พฺราหฺมโณ ตุมฺพสฺส ถูปญฺจ มหญฺจ อกาสิฯ ปิปฺปลิวนิยาปิ โมริยา ปิปฺปลิวเน องฺคารานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ อิติ อฏฺฐ สรีรถูปา นวโม ตุมฺพถูโป ทสโม องฺคารถูโปฯ เอวเมตํ ภูตปุพฺพนฺติฯ

    Then King Ajātasattu of Magadha, the Licchavis of Vesālī, the Sakyans of Kapilavatthu, the Bulis of Allakappa, the Koḷiyans of Rāmagāma, the brahmin of Veṭhadīpa, the Mallas of Pāvā, the Mallas of Kusinārā, the brahmin Doṇa, and the Moriyas of Pippalivana built monuments for them and conducted memorial services. Thus there were eight monuments for the relics, a ninth for the urn, and a tenth for the embers. That is how it was in the old days.

    อฏฺฐโทณํ จกฺขุมโต สรีรํ, สตฺตโทณํ ชมฺพุทีเป มเหนฺติ; เอกญฺจ โทณํ ปุริสวรุตฺตมสฺส, รามคาเม นาคราชา มเหติฯ

    There were eight shares of the Clear-eyed One’s relics. Seven were worshipped throughout India. But one share of the most excellent of men was worshipped in Rāmagāma by a dragon king.

    เอกาหิ ทาฐา ติทิเวหิ ปูชิตา, เอกา ปน คนฺธารปุเร มหียติ; กาลิงฺครญฺโญ วิชิเต ปุเนกํ, เอกํ ปน นาคราชา มเหติฯ

    One tooth is venerated by the gods of the Three and Thirty, and one is worshipped in the city of Gandhāra; another one in the realm of the Kaliṅga King, and one is worshipped by a dragon king.

    ตเสฺสว เตเชน อยํ วสุนฺธรา, อายาคเสฏฺเฐหิ มหี อลงฺกตา; เอวํ อิมํ จกฺขุมโต สรีรํ, สุสกฺกตํ สกฺกตสกฺกเตหิฯ

    Through their glory this rich earth is adorned with the best of offerings. Thus the Clear-eyed One’s corpse is well honored by the honorable.

    เทวินฺทนาคินฺทนรินฺทปูชิโต, มนุสฺสินฺทเสฏฺเฐหิ ตเถว ปูชิโต; ตํ วนฺทถ ปญฺชลิกา ลภิตฺวา, พุทฺโธ หเว กปฺปสเตหิ ทุลฺลโภติฯ

    It’s venerated by lords of gods, dragons, and spirits; and likewise venerated by the finest lords of men. Honor it with joined palms when you get the chance, for a Buddha is rare even in a hundred eons.

    จตฺตาลีส สมา ทนฺตา, เกสา โลมา จ สพฺพโส; เทวา หรึสุ เอเกกํ, จกฺกวาฬปรมฺปราติฯ

    Altogether forty even teeth, and the body hair and head hair, were carried off individually by gods across the universe.

    มหาปรินิพฺพานสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ตติยํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact