Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) |
๓. มหาปรินิพฺพานสุตฺตวณฺณนา
3. Mahāparinibbānasuttavaṇṇanā
๑๓๑. เอวํ เม สุตนฺติ มหาปรินิพฺพานสุตฺตํฯ ตตฺรายมนุปุพฺพปทวณฺณนา – คิชฺฌกูเฎติ คิชฺฌา ตสฺส กูเฎสุ วสิํสุ, คิชฺฌสทิสํ วา ตสฺส กูฎํ อตฺถีติ คิชฺฌกูโฎ, ตสฺมิํ คิชฺฌกูเฎฯ อภิยาตุกาโมติ อภิภวนตฺถาย ยาตุกาโมฯ วชฺชีติ วชฺชิราชาโนฯ เอวํมหิทฺธิเกติ เอวํ มหติยา ราชิทฺธิยา สมนฺนาคเต, เอเตน เนสํ สมคฺคภาวํ กเถสิฯ เอวํมหานุภาเวติ เอวํ มหเนฺตน อานุภาเวน สมนฺนาคเต, เอเตน เนสํ หตฺถิสิปฺปาทีสุ กตสิกฺขตํ กเถสิ, ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สิกฺขิตา วติเม ลิจฺฉวิกุมารกา, สุสิกฺขิตา วติเม ลิจฺฉวิกุมารกา, ยตฺร หิ นาม สุขุเมน ตาฬจฺฉิคฺคเลน อสนํ อติปาตยิสฺสนฺติ โปงฺขานุโปงฺขํ อวิราธิต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๑๑๕)ฯ อุเจฺฉจฺฉามีติ อุจฺฉินฺทิสฺสามิฯ วินาเสสฺสามีติ นาเสสฺสามิ, อทสฺสนํ ปาเปสฺสามิฯ อนยพฺยสนนฺติ เอตฺถ น อโยติ อนโย, อวฑฺฒิยา เอตํ นามํฯ หิตญฺจ สุขญฺจ วิยสฺสติ วิกฺขิปตีติ พฺยสนํ, ญาติปาริชุญฺญาทีนํ เอตํ นามํฯ อาปาเทสฺสามีติ ปาปยิสฺสามิฯ
131.Evaṃme sutanti mahāparinibbānasuttaṃ. Tatrāyamanupubbapadavaṇṇanā – gijjhakūṭeti gijjhā tassa kūṭesu vasiṃsu, gijjhasadisaṃ vā tassa kūṭaṃ atthīti gijjhakūṭo, tasmiṃ gijjhakūṭe. Abhiyātukāmoti abhibhavanatthāya yātukāmo. Vajjīti vajjirājāno. Evaṃmahiddhiketi evaṃ mahatiyā rājiddhiyā samannāgate, etena nesaṃ samaggabhāvaṃ kathesi. Evaṃmahānubhāveti evaṃ mahantena ānubhāvena samannāgate, etena nesaṃ hatthisippādīsu katasikkhataṃ kathesi, yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘sikkhitā vatime licchavikumārakā, susikkhitā vatime licchavikumārakā, yatra hi nāma sukhumena tāḷacchiggalena asanaṃ atipātayissanti poṅkhānupoṅkhaṃ avirādhita’’nti (saṃ. ni. 5.1115). Ucchecchāmīti ucchindissāmi. Vināsessāmīti nāsessāmi, adassanaṃ pāpessāmi. Anayabyasananti ettha na ayoti anayo, avaḍḍhiyā etaṃ nāmaṃ. Hitañca sukhañca viyassati vikkhipatīti byasanaṃ, ñātipārijuññādīnaṃ etaṃ nāmaṃ. Āpādessāmīti pāpayissāmi.
อิติ กิร โส ฐานนิสชฺชาทีสุ อิมํ ยุทฺธกถเมว กเถติ, คมนสชฺชา โหถาติ เอวํ พลกายํ อาณาเปติฯ กสฺมา? คงฺคายํ กิร เอกํ ปฎฺฎนคามํ นิสฺสาย อฑฺฒโยชนํ อชาตสตฺตุโน อาณา, อฑฺฒโยชนํ ลิจฺฉวีนํฯ เอตฺถ ปน อาณาปวตฺติฎฺฐานํ โหตีติ อโตฺถฯ ตตฺราปิ จ ปพฺพตปาทโต มหคฺฆภณฺฑํ โอตรติฯ ตํ สุตฺวา – ‘‘อชฺช ยามิ, เสฺว ยามี’’ติ อชาตสตฺตุโน สํวิทหนฺตเสฺสว ลิจฺฉวิราชาโน สมคฺคา สโมฺมทมานา ปุเรตรํ คนฺตฺวา สพฺพํ คณฺหนฺติฯ อชาตสตฺตุ ปจฺฉา อาคนฺตฺวา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา กุชฺฌิตฺวา คจฺฉติฯ เต ปุนสํวจฺฉเรปิ ตเถว กโรนฺติฯ อถ โส พลวาฆาตชาโต ตทา เอวมกาสิฯ
Iti kira so ṭhānanisajjādīsu imaṃ yuddhakathameva katheti, gamanasajjā hothāti evaṃ balakāyaṃ āṇāpeti. Kasmā? Gaṅgāyaṃ kira ekaṃ paṭṭanagāmaṃ nissāya aḍḍhayojanaṃ ajātasattuno āṇā, aḍḍhayojanaṃ licchavīnaṃ. Ettha pana āṇāpavattiṭṭhānaṃ hotīti attho. Tatrāpi ca pabbatapādato mahagghabhaṇḍaṃ otarati. Taṃ sutvā – ‘‘ajja yāmi, sve yāmī’’ti ajātasattuno saṃvidahantasseva licchavirājāno samaggā sammodamānā puretaraṃ gantvā sabbaṃ gaṇhanti. Ajātasattu pacchā āgantvā taṃ pavattiṃ ñatvā kujjhitvā gacchati. Te punasaṃvaccharepi tatheva karonti. Atha so balavāghātajāto tadā evamakāsi.
ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘คเณน สทฺธิํ ยุทฺธํ นาม ภาริยํ, เอโกปิ โมฆปฺปหาโร นาม นตฺถิ, เอเกน โข ปน ปณฺฑิเตน สทฺธิํ มเนฺตตฺวา กโรโนฺต นิปฺปราโธ โหติ, ปณฺฑิโต จ สตฺถารา สทิโส นตฺถิ, สตฺถา จ อวิทูเร ธุรวิหาเร วสติ, หนฺทาหํ เปเสตฺวา ปุจฺฉามิ ฯ สเจ เม คเตน โกจิ อโตฺถ ภวิสฺสติ, สตฺถา ตุณฺหี ภวิสฺสติ, อนเตฺถ ปน สติ กิํ รโญฺญ ตตฺถ คมเนนาติ วกฺขตี’’ติฯ โส วสฺสการพฺราหฺมณํ เปเสสิฯ พฺราหฺมโณ คนฺตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ราชา…เป.… อาปาเทสฺสามี’’ติฯ
Tato cintesi – ‘‘gaṇena saddhiṃ yuddhaṃ nāma bhāriyaṃ, ekopi moghappahāro nāma natthi, ekena kho pana paṇḍitena saddhiṃ mantetvā karonto nipparādho hoti, paṇḍito ca satthārā sadiso natthi, satthā ca avidūre dhuravihāre vasati, handāhaṃ pesetvā pucchāmi . Sace me gatena koci attho bhavissati, satthā tuṇhī bhavissati, anatthe pana sati kiṃ rañño tattha gamanenāti vakkhatī’’ti. So vassakārabrāhmaṇaṃ pesesi. Brāhmaṇo gantvā bhagavato etamatthaṃ ārocesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho rājā…pe… āpādessāmī’’ti.
ราชอปริหานิยธมฺมวณฺณนา
Rājaaparihāniyadhammavaṇṇanā
๑๓๔. ภควนฺตํ พีชยมาโนติ เถโร วตฺตสีเส ฐตฺวา ภควนฺตํ พีชติ, ภควโต ปน สีตํ วา อุณฺหํ วา นตฺถิฯ ภควา พฺราหฺมณสฺส วจนํ สุตฺวา เตน สทฺธิํ อมเนฺตตฺวา เถเรน สทฺธิํ มเนฺตตุกาโม กินฺติ เต, อานนฺท, สุตนฺติอาทิมาหฯ อภิณฺหํ สนฺนิปาตาติ ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ สนฺนิปตนฺตาปิ อนฺตรนฺตรา สนฺนิปตนฺตาปิ อภิณฺหํ สนฺนิปาตาวฯ สนฺนิปาตพหุลาติ หิโยฺยปิ สนฺนิปติมฺหา, ปุริมทิวสมฺปิ สนฺนิปติมฺหา, ปุน อชฺช กิมตฺถํ สนฺนิปติตา โหมาติ โวสานํ อนาปชฺชนฺตา สนฺนิปาตพหุลา นาม โหนฺติฯ ยาวกีวญฺจาติ ยตฺตกํ กาลํฯ วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานีติ – อภิณฺหํ อสนฺนิปตนฺตา หิ ทิสาวิทิสาสุ อาคตํ สาสนํ น สุณนฺติ, ตโต – ‘‘อสุกคามสีมา วา นิคมสีมา วา อากุลา, อสุกฎฺฐาเน โจรา วา ปริยุฎฺฐิตา’’ติ น ชานนฺติ, โจราปิ ‘‘ปมตฺตา ราชาโน’’ติ ญตฺวา คามนิคมาทีนิ ปหรนฺตา ชนปทํ นาเสนฺติฯ เอวํ ราชูนํ ปริหานิ โหติฯ อภิณฺหํ สนฺนิปตนฺตา ปน ตํ ตํ ปวตฺติํ สุณนฺติ, ตโต พลํ เปเสตฺวา อมิตฺตมทฺทนํ กโรนฺติ, โจราปิ – ‘‘อปฺปมตฺตา ราชาโน, น สกฺกา อเมฺหหิ วคฺคพเนฺธหิ วิจริตุ’’นฺติ ภิชฺชิตฺวา ปลายนฺติฯ เอวํ ราชูนํ วุทฺธิ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฎิกงฺขา โน ปริหานี’’ติฯ ตตฺถ ปาฎิกงฺขาติ อิจฺฉิตพฺพา, อวสฺสํ ภวิสฺสตีติ เอวํ ทฎฺฐพฺพาติ อโตฺถฯ
134.Bhagavantaṃ bījayamānoti thero vattasīse ṭhatvā bhagavantaṃ bījati, bhagavato pana sītaṃ vā uṇhaṃ vā natthi. Bhagavā brāhmaṇassa vacanaṃ sutvā tena saddhiṃ amantetvā therena saddhiṃ mantetukāmo kinti te, ānanda, sutantiādimāha. Abhiṇhaṃ sannipātāti divasassa tikkhattuṃ sannipatantāpi antarantarā sannipatantāpi abhiṇhaṃ sannipātāva. Sannipātabahulāti hiyyopi sannipatimhā, purimadivasampi sannipatimhā, puna ajja kimatthaṃ sannipatitā homāti vosānaṃ anāpajjantā sannipātabahulā nāma honti. Yāvakīvañcāti yattakaṃ kālaṃ. Vuddhiyeva, ānanda, vajjīnaṃ pāṭikaṅkhā, no parihānīti – abhiṇhaṃ asannipatantā hi disāvidisāsu āgataṃ sāsanaṃ na suṇanti, tato – ‘‘asukagāmasīmā vā nigamasīmā vā ākulā, asukaṭṭhāne corā vā pariyuṭṭhitā’’ti na jānanti, corāpi ‘‘pamattā rājāno’’ti ñatvā gāmanigamādīni paharantā janapadaṃ nāsenti. Evaṃ rājūnaṃ parihāni hoti. Abhiṇhaṃ sannipatantā pana taṃ taṃ pavattiṃ suṇanti, tato balaṃ pesetvā amittamaddanaṃ karonti, corāpi – ‘‘appamattā rājāno, na sakkā amhehi vaggabandhehi vicaritu’’nti bhijjitvā palāyanti. Evaṃ rājūnaṃ vuddhi hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘vuddhiyeva, ānanda, vajjīnaṃ pāṭikaṅkhā no parihānī’’ti. Tattha pāṭikaṅkhāti icchitabbā, avassaṃ bhavissatīti evaṃ daṭṭhabbāti attho.
สมคฺคาติอาทีสุ สนฺนิปาตเภริยา นิคฺคตาย – ‘‘อชฺช เม กิจฺจํ อตฺถิ, มงฺคลํ อตฺถี’’ติ วิเกฺขปํ กโรนฺตา น สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ นามฯ เภริสทฺทํ ปน สุตฺวาว ภุญฺชนฺตาปิ อลงฺกริยมานาปิ วตฺถานิ นิวาเสนฺตาปิ อฑฺฒภุตฺตา วา อฑฺฒาลงฺกตา วา วตฺถํ นิวาสยมานา วา สนฺนิปตนฺตา สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ นามฯ สนฺนิปติตา ปน จิเนฺตตฺวา มเนฺตตฺวา กตฺตพฺพํ กตฺวา เอกโตว อวุฎฺฐหนฺตา น สมคฺคา วุฎฺฐหนฺติ นามฯ เอวํ วุฎฺฐิเตสุ หิ เย ปฐมํ คจฺฉนฺติ, เตสํ เอวํ โหติ – ‘‘อเมฺหหิ พาหิรกถาว สุตา, อิทานิ วินิจฺฉยกถา ภวิสฺสตี’’ติฯ เอกโต วุฎฺฐหนฺตา ปน สมคฺคา วุฎฺฐหนฺติ นามฯ อปิจ – ‘‘อสุกฎฺฐาเนสุ คามสีมา วา นิคมสีมา วา อากุลา, โจรา ปริยุฎฺฐิตา’’ติ สุตฺวา – ‘‘โก คนฺตฺวา อิมํ อมิตฺตมทฺทนํ กริสฺสตี’’ติ วุเตฺต – ‘‘อหํ ปฐมํ, อหํ ปฐม’’นฺติ วตฺวา คจฺฉนฺตาปิ สมคฺคา วุฎฺฐหนฺติ นามฯ เอกสฺส ปน กมฺมเนฺต โอสีทมาเน เสสา ราชาโน ปุตฺตภาตโร เปเสตฺวา ตสฺส กมฺมนฺตํ อุปตฺถมฺภยมานาปิ, อาคนฺตุกราชานํ – ‘‘อสุกสฺส เคหํ คจฺฉตุ, อสุกสฺส เคหํ คจฺฉตู’’ติ อวตฺวา สเพฺพ เอกโต สงฺคณฺหนฺตาปิ, เอกสฺส มงฺคเล วา โรเค วา อญฺญสฺมิํ วา ปน ตาทิเส สุขทุเกฺข อุปฺปเนฺน สเพฺพ ตตฺถ สหายภาวํ คจฺฉนฺตาปิ สมคฺคา วชฺชิกรณียานิ กโรนฺติ นามฯ
Samaggātiādīsu sannipātabheriyā niggatāya – ‘‘ajja me kiccaṃ atthi, maṅgalaṃ atthī’’ti vikkhepaṃ karontā na samaggā sannipatanti nāma. Bherisaddaṃ pana sutvāva bhuñjantāpi alaṅkariyamānāpi vatthāni nivāsentāpi aḍḍhabhuttā vā aḍḍhālaṅkatā vā vatthaṃ nivāsayamānā vā sannipatantā samaggā sannipatanti nāma. Sannipatitā pana cintetvā mantetvā kattabbaṃ katvā ekatova avuṭṭhahantā na samaggā vuṭṭhahanti nāma. Evaṃ vuṭṭhitesu hi ye paṭhamaṃ gacchanti, tesaṃ evaṃ hoti – ‘‘amhehi bāhirakathāva sutā, idāni vinicchayakathā bhavissatī’’ti. Ekato vuṭṭhahantā pana samaggā vuṭṭhahanti nāma. Apica – ‘‘asukaṭṭhānesu gāmasīmā vā nigamasīmā vā ākulā, corā pariyuṭṭhitā’’ti sutvā – ‘‘ko gantvā imaṃ amittamaddanaṃ karissatī’’ti vutte – ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ, ahaṃ paṭhama’’nti vatvā gacchantāpi samaggā vuṭṭhahanti nāma. Ekassa pana kammante osīdamāne sesā rājāno puttabhātaro pesetvā tassa kammantaṃ upatthambhayamānāpi, āgantukarājānaṃ – ‘‘asukassa gehaṃ gacchatu, asukassa gehaṃ gacchatū’’ti avatvā sabbe ekato saṅgaṇhantāpi, ekassa maṅgale vā roge vā aññasmiṃ vā pana tādise sukhadukkhe uppanne sabbe tattha sahāyabhāvaṃ gacchantāpi samaggā vajjikaraṇīyāni karonti nāma.
อปญฺญตฺตนฺติอาทีสุ ปุเพฺพ อกตํ สุงฺกํ วา พลิํ วา ทณฺฑํ วา อาหราเปนฺตา อปญฺญตฺตํ ปญฺญเปนฺติ นามฯ โปราณปเวณิยา อาคตเมว ปน อนาหราเปนฺตา ปญฺญตฺตํ สมุจฺฉินฺทนฺติ นามฯ โจโรติ คเหตฺวา ทสฺสิเต อวิจินิตฺวาว เฉชฺชเภชฺชํ อนุสาเสนฺตา โปราณํ วชฺชิธมฺมํ สมาทาย น วตฺตนฺติ นามฯ เตสํ อปญฺญตฺตํ ปญฺญเปนฺตานํ อภินวสุงฺกาทีหิ ปีฬิตา มนุสฺสา – ‘‘อติอุปทฺทุตมฺห, โก อิเมสํ วิชิเต วสิสฺสตี’’ติ ปจฺจนฺตํ ปวิสิตฺวา โจรา วา โจรสหายา วา หุตฺวา ชนปทํ ปหรนฺติฯ ปญฺญตฺตํ สมุจฺฉินฺทนฺตานํ ปเวณีอาคตานิ สุงฺกาทีนิ อคณฺหนฺตานํ โกโส ปริหายติฯ ตโต หตฺถิอสฺสพลกายโอโรธาทโย ยถานิพทฺธํ วฎฺฎํ อลภมานา ถาเมน พเลน ปริหายนฺติฯ เต เนว ยุทฺธกฺขมา โหนฺติ, น ปาริจริยกฺขมาฯ โปราณํ วชฺชิธมฺมํ สมาทาย อวตฺตนฺตานํ วิชิเต มนุสฺสา – ‘‘อมฺหากํ ปุตฺตํ ปิตรํ ภาตรํ อโจรํเยว โจโรติ กตฺวา ฉินฺทิํสุ ภินฺทิํสู’’ติ กุชฺฌิตฺวา ปจฺจนฺตํ ปวิสิตฺวา โจรา วา โจรสหายา วา หุตฺวา ชนปทํ ปหรนฺติ, เอวํ ราชูนํ ปริหานิ โหติ, ปญฺญตฺตํ ปญฺญเปนฺตานํ ปน ‘‘ปเวณีอาคตเมว ราชาโน กโรนฺตี’’ติ มนุสฺสา หฎฺฐตุฎฺฐา กสิวาณิชฺชาทิเก กมฺมเนฺต สมฺปาเทนฺติฯ ปญฺญตฺตํ อสมุจฺฉินฺทนฺตานํ ปเวณีอาคตานิ สุงฺกาทีนิ คณฺหนฺตานํ โกโส วฑฺฒติ, ตโต หตฺถิอสฺสพลกายโอโรธาทโย ยถานิพทฺธํ วฎฺฎํ ลภมานา ถามพลสมฺปนฺนา ยุทฺธกฺขมา เจว ปาริจริยกฺขมา จ โหนฺติฯ
Apaññattantiādīsu pubbe akataṃ suṅkaṃ vā baliṃ vā daṇḍaṃ vā āharāpentā apaññattaṃ paññapenti nāma. Porāṇapaveṇiyā āgatameva pana anāharāpentā paññattaṃ samucchindanti nāma. Coroti gahetvā dassite avicinitvāva chejjabhejjaṃ anusāsentā porāṇaṃ vajjidhammaṃ samādāya na vattanti nāma. Tesaṃ apaññattaṃ paññapentānaṃ abhinavasuṅkādīhi pīḷitā manussā – ‘‘atiupaddutamha, ko imesaṃ vijite vasissatī’’ti paccantaṃ pavisitvā corā vā corasahāyā vā hutvā janapadaṃ paharanti. Paññattaṃ samucchindantānaṃ paveṇīāgatāni suṅkādīni agaṇhantānaṃ koso parihāyati. Tato hatthiassabalakāyaorodhādayo yathānibaddhaṃ vaṭṭaṃ alabhamānā thāmena balena parihāyanti. Te neva yuddhakkhamā honti, na pāricariyakkhamā. Porāṇaṃ vajjidhammaṃ samādāya avattantānaṃ vijite manussā – ‘‘amhākaṃ puttaṃ pitaraṃ bhātaraṃ acoraṃyeva coroti katvā chindiṃsu bhindiṃsū’’ti kujjhitvā paccantaṃ pavisitvā corā vā corasahāyā vā hutvā janapadaṃ paharanti, evaṃ rājūnaṃ parihāni hoti, paññattaṃ paññapentānaṃ pana ‘‘paveṇīāgatameva rājāno karontī’’ti manussā haṭṭhatuṭṭhā kasivāṇijjādike kammante sampādenti. Paññattaṃ asamucchindantānaṃ paveṇīāgatāni suṅkādīni gaṇhantānaṃ koso vaḍḍhati, tato hatthiassabalakāyaorodhādayo yathānibaddhaṃ vaṭṭaṃ labhamānā thāmabalasampannā yuddhakkhamā ceva pāricariyakkhamā ca honti.
โปราณํ วชฺชิธมฺมนฺติ เอตฺถ ปุเพฺพ กิร วชฺชิราชาโน ‘‘อยํ โจโร’’ติ อาเนตฺวา ทสฺสิเต ‘‘คณฺหถ นํ โจร’’นฺติ อวตฺวา วินิจฺฉยมหามตฺตานํ เทนฺติฯ เต วินิจฺฉินิตฺวา สเจ อโจโร โหติ, วิสฺสเชฺชนฺติฯ สเจ โจโร, อตฺตนา กิญฺจิ อวตฺวา โวหาริกานํ เทนฺติฯ เตปิ อโจโร เจ, วิสฺสเชฺชนฺติฯ โจโร เจ, สุตฺตธรานํ เทนฺติฯ เตปิ วินิจฺฉินิตฺวา อโจโร เจ, วิสฺสเชฺชนฺติฯ โจโร เจ, อฎฺฐกุลิกานํ เทนฺติฯ เตปิ ตเถว กตฺวา เสนาปติสฺส, เสนาปติ อุปราชสฺส, อุปราชา รโญฺญ, ราชา วินิจฺฉินิตฺวา อโจโร เจ, วิสฺสเชฺชติฯ สเจ ปน โจโร โหติ, ปเวณีโปตฺถกํ วาจาเปติฯ ตตฺถ – ‘‘เยน อิทํ นาม กตํ, ตสฺส อยํ นาม ทโณฺฑ’’ติ ลิขิตํฯ ราชา ตสฺส กิริยํ เตน สมาเนตฺวา ตทนุจฺฉวิกํ ทณฺฑํ กโรติฯ อิติ เอตํ โปราณํ วชฺชิธมฺมํ สมาทาย วตฺตนฺตานํ มนุสฺสา น อุชฺฌายนฺติ, ‘‘ราชาโน โปราณปเวณิยา กมฺมํ กโรนฺติ, เอเตสํ โทโส นตฺถิ, อมฺหากํเยว โทโส’’ติ อปฺปมตฺตา กมฺมเนฺต กโรนฺติฯ เอวํ ราชูนํ วุทฺธิ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานี’’ติฯ
Porāṇaṃ vajjidhammanti ettha pubbe kira vajjirājāno ‘‘ayaṃ coro’’ti ānetvā dassite ‘‘gaṇhatha naṃ cora’’nti avatvā vinicchayamahāmattānaṃ denti. Te vinicchinitvā sace acoro hoti, vissajjenti. Sace coro, attanā kiñci avatvā vohārikānaṃ denti. Tepi acoro ce, vissajjenti. Coro ce, suttadharānaṃ denti. Tepi vinicchinitvā acoro ce, vissajjenti. Coro ce, aṭṭhakulikānaṃ denti. Tepi tatheva katvā senāpatissa, senāpati uparājassa, uparājā rañño, rājā vinicchinitvā acoro ce, vissajjeti. Sace pana coro hoti, paveṇīpotthakaṃ vācāpeti. Tattha – ‘‘yena idaṃ nāma kataṃ, tassa ayaṃ nāma daṇḍo’’ti likhitaṃ. Rājā tassa kiriyaṃ tena samānetvā tadanucchavikaṃ daṇḍaṃ karoti. Iti etaṃ porāṇaṃ vajjidhammaṃ samādāya vattantānaṃ manussā na ujjhāyanti, ‘‘rājāno porāṇapaveṇiyā kammaṃ karonti, etesaṃ doso natthi, amhākaṃyeva doso’’ti appamattā kammante karonti. Evaṃ rājūnaṃ vuddhi hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘vuddhiyeva, ānanda, vajjīnaṃ pāṭikaṅkhā, no parihānī’’ti.
สกฺกโรนฺตีติ ยํกิญฺจิ เตสํ สกฺการํ กโรนฺตา สุนฺทรเมว กโรนฺติฯ ครุํ กโรนฺตีติ ครุภาวํ ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวาว กโรนฺติฯ มาเนนฺตีติ มเนน ปิยายนฺติฯ ปูเชนฺตีติ นิปจฺจการํ ทเสฺสนฺติฯ โสตพฺพํ มญฺญนฺตีติ ทิวสสฺส เทฺว ตโย วาเร อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา เตสํ กถํ โสตพฺพํ สทฺธาตพฺพํ มญฺญนฺติฯ ตตฺถ เย เอวํ มหลฺลกานํ ราชูนํ สกฺการาทีนิ น กโรนฺติ, โอวาทตฺถาย จ เนสํ อุปฎฺฐานํ น คจฺฉนฺติ, เต เตหิ วิสฺสฎฺฐา อโนวทิยมานา กีฬาปสุตา รชฺชโต ปริหายนฺติฯ เย ปน ตถา ปฎิปชฺชนฺติ, เตสํ มหลฺลกราชาโน – ‘‘อิทํ กาตพฺพํ, อิทํ น กาตพฺพ’’นฺติ โปราณํ ปเวณิํ อาจิกฺขนฺติฯ สงฺคามํ ปตฺวาปิ – ‘‘เอวํ ปวิสิตพฺพํ, เอวํ นิกฺขมิตพฺพ’’นฺติ อุปายํ ทเสฺสนฺติฯ เต เตหิ โอวทิยมานา ยถาโอวาทํ ปฎิปชฺชนฺตา สโกฺกนฺติ ราชปฺปเวณิํ สนฺธาเรตุํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วุทฺธิเยว, อานนฺท, วชฺชีนํ ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานี’’ติฯ
Sakkarontīti yaṃkiñci tesaṃ sakkāraṃ karontā sundarameva karonti. Garuṃ karontīti garubhāvaṃ paccupaṭṭhapetvāva karonti. Mānentīti manena piyāyanti. Pūjentīti nipaccakāraṃ dassenti. Sotabbaṃ maññantīti divasassa dve tayo vāre upaṭṭhānaṃ gantvā tesaṃ kathaṃ sotabbaṃ saddhātabbaṃ maññanti. Tattha ye evaṃ mahallakānaṃ rājūnaṃ sakkārādīni na karonti, ovādatthāya ca nesaṃ upaṭṭhānaṃ na gacchanti, te tehi vissaṭṭhā anovadiyamānā kīḷāpasutā rajjato parihāyanti. Ye pana tathā paṭipajjanti, tesaṃ mahallakarājāno – ‘‘idaṃ kātabbaṃ, idaṃ na kātabba’’nti porāṇaṃ paveṇiṃ ācikkhanti. Saṅgāmaṃ patvāpi – ‘‘evaṃ pavisitabbaṃ, evaṃ nikkhamitabba’’nti upāyaṃ dassenti. Te tehi ovadiyamānā yathāovādaṃ paṭipajjantā sakkonti rājappaveṇiṃ sandhāretuṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘vuddhiyeva, ānanda, vajjīnaṃ pāṭikaṅkhā, no parihānī’’ti.
กุลิตฺถิโยติ กุลฆรณิโยฯ กุลกุมาริโยติ อนิวิทฺธา ตาสํ ธีตโรฯ โอกฺกสฺส ปสยฺหาติ เอตฺถ ‘‘โอกฺกสฺสา’’ติ วา ‘‘ปสยฺหา’’ติ วา ปสยฺหาการเสฺสเวตํ นามํฯ ‘‘อุกฺกสฺสา’’ติปิ ปฐนฺติฯ ตตฺถ โอกฺกสฺสาติ อวกสฺสิตฺวา อากฑฺฒิตฺวาฯ ปสยฺหาติ อภิภวิตฺวา อโชฺฌตฺถริตฺวาติ อยํ วจนโตฺถฯ เอวญฺหิ กโรนฺตานํ วิชิเต มนุสฺสา – ‘‘อมฺหากํ เคเห ปุตฺตมาตโรปิ, เขฬสิงฺฆาณิกาทีนิ มุเขน อปเนตฺวา สํวฑฺฒิตธีตโรปิ อิเม ราชาโน พลกฺกาเรน คเหตฺวา อตฺตโน ฆเร วาเสนฺตี’’ติ กุปิตา ปจฺจนฺตํ ปวิสิตฺวา โจรา วา โจรสหายา วา หุตฺวา ชนปทํ ปหรนฺติฯ เอวํ อกโรนฺตานํ ปน วิชิเต มนุสฺสา อโปฺปสฺสุกฺกา สกานิ กมฺมานิ กโรนฺตา ราชโกสํ วเฑฺฒนฺติฯ เอวเมตฺถ วุทฺธิหานิโย เวทิตพฺพาฯ
Kulitthiyoti kulagharaṇiyo. Kulakumāriyoti anividdhā tāsaṃ dhītaro. Okkassa pasayhāti ettha ‘‘okkassā’’ti vā ‘‘pasayhā’’ti vā pasayhākārassevetaṃ nāmaṃ. ‘‘Ukkassā’’tipi paṭhanti. Tattha okkassāti avakassitvā ākaḍḍhitvā. Pasayhāti abhibhavitvā ajjhottharitvāti ayaṃ vacanattho. Evañhi karontānaṃ vijite manussā – ‘‘amhākaṃ gehe puttamātaropi, kheḷasiṅghāṇikādīni mukhena apanetvā saṃvaḍḍhitadhītaropi ime rājāno balakkārena gahetvā attano ghare vāsentī’’ti kupitā paccantaṃ pavisitvā corā vā corasahāyā vā hutvā janapadaṃ paharanti. Evaṃ akarontānaṃ pana vijite manussā appossukkā sakāni kammāni karontā rājakosaṃ vaḍḍhenti. Evamettha vuddhihāniyo veditabbā.
วชฺชีนํ วชฺชิเจติยานีติ วชฺชิราชูนํ วชฺชิรเฎฺฐ จิตฺตีกตเฎฺฐน เจติยานีติ ลทฺธนามานิ ยกฺขฎฺฐานานิฯ อพฺภนฺตรานีติ อโนฺตนคเร ฐิตานิฯ พาหิรานีติ พหินคเร ฐิตานิ ฯ ทินฺนปุพฺพนฺติ ปุเพฺพ ทินฺนํฯ กตปุพฺพนฺติ ปุเพฺพ กตํฯ โน ปริหาเปสฺสนฺตีติ อปริหาเปตฺวา ยถาปวตฺตเมว กริสฺสนฺติ ธมฺมิกํ พลิํ ปริหาเปนฺตานญฺหิ เทวตา อารกฺขํ สุสํวิหิตํ น กโรนฺติ, อนุปฺปนฺนํ ทุกฺขํ ชเนตุํ อสโกฺกนฺตาปิ อุปฺปนฺนํ กาสสีสโรคาทิํ วเฑฺฒนฺติ, สงฺคาเม ปเตฺต สหายา น โหนฺติฯ อปริหาเปนฺตานํ ปน อารกฺขํ สุสํวิหิตํ กโรนฺติ, อนุปฺปนฺนํ สุขํ อุปฺปาเทตุํ อสโกฺกนฺตาปิ อุปฺปนฺนํ กาสสีสโรคาทิํ หนนฺติ, สงฺคามสีเส สหายา โหนฺตีติ เอวเมตฺถ วุทฺธิหานิโย เวทิตพฺพาฯ
Vajjīnaṃ vajjicetiyānīti vajjirājūnaṃ vajjiraṭṭhe cittīkataṭṭhena cetiyānīti laddhanāmāni yakkhaṭṭhānāni. Abbhantarānīti antonagare ṭhitāni. Bāhirānīti bahinagare ṭhitāni . Dinnapubbanti pubbe dinnaṃ. Katapubbanti pubbe kataṃ. No parihāpessantīti aparihāpetvā yathāpavattameva karissanti dhammikaṃ baliṃ parihāpentānañhi devatā ārakkhaṃ susaṃvihitaṃ na karonti, anuppannaṃ dukkhaṃ janetuṃ asakkontāpi uppannaṃ kāsasīsarogādiṃ vaḍḍhenti, saṅgāme patte sahāyā na honti. Aparihāpentānaṃ pana ārakkhaṃ susaṃvihitaṃ karonti, anuppannaṃ sukhaṃ uppādetuṃ asakkontāpi uppannaṃ kāsasīsarogādiṃ hananti, saṅgāmasīse sahāyā hontīti evamettha vuddhihāniyo veditabbā.
ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺตีติ เอตฺถ รกฺขา เอว ยถา อนิจฺฉิตํ น คจฺฉติ, เอวํ อาวรณโต อาวรณํฯ ยถา อิจฺฉิตํ น วินสฺสติ, เอวํ โคปายนโต คุตฺติฯ ตตฺถ พลกาเยน ปริวาเรตฺวา รกฺขณํ ปพฺพชิตานํ ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ นาม น โหติฯ ยถา ปน วิหารสฺส อุปวเน รุเกฺข น ฉินฺทนฺติ, วาชิกา วชฺฌํ น กโรนฺติ, โปกฺขรณีสุ มเจฺฉ น คณฺหนฺติ, เอวํ กรณํ ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ นามฯ กินฺติ อนาคตา จาติ อิมินา ปน เนสํ เอวํ ปจฺจุปฎฺฐิตจิตฺตสนฺตาโนติ จิตฺตปฺปวตฺติํ ปุจฺฉติฯ
Dhammikā rakkhāvaraṇaguttīti ettha rakkhā eva yathā anicchitaṃ na gacchati, evaṃ āvaraṇato āvaraṇaṃ. Yathā icchitaṃ na vinassati, evaṃ gopāyanato gutti. Tattha balakāyena parivāretvā rakkhaṇaṃ pabbajitānaṃ dhammikā rakkhāvaraṇagutti nāma na hoti. Yathā pana vihārassa upavane rukkhe na chindanti, vājikā vajjhaṃ na karonti, pokkharaṇīsu macche na gaṇhanti, evaṃ karaṇaṃ dhammikā rakkhāvaraṇagutti nāma. Kinti anāgatā cāti iminā pana nesaṃ evaṃ paccupaṭṭhitacittasantānoti cittappavattiṃ pucchati.
ตตฺถ เย อนาคตานํ อรหนฺตานํ อาคมนํ น อิจฺฉนฺติ, เต อสฺสทฺธา โหนฺติ อปฺปสนฺนาฯ ปพฺพชิเต จ สมฺปเตฺต ปจฺจุคฺคมนํ น กโรนฺติ, คนฺตฺวา น ปสฺสนฺติ, ปฎิสนฺถารํ น กโรนฺติ, ปญฺหํ น ปุจฺฉนฺติ, ธมฺมํ น สุณนฺติ, ทานํ น เทนฺติ, อนุโมทนํ น สุณนฺติ, นิวาสนฎฺฐานํ น สํวิทหนฺติฯ อถ เนสํ อวโณฺณ อพฺภุคฺคจฺฉติ – ‘‘อสุโก นาม ราชา อสฺสโทฺธ อปฺปสโนฺน, ปพฺพชิเต สมฺปเตฺต ปจฺจุคฺคมนํ น กโรติ…เป.… นิวาสนฎฺฐานํ น สํวิทหตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา ปพฺพชิตา ตสฺส นครทฺวาเรน น คจฺฉนฺติ, คจฺฉนฺตาปิ นครํ น ปวิสนฺติฯ เอวํ อนาคตานํ อรหนฺตานํ อนาคมนเมว โหติฯ อาคตานมฺปิ ผาสุวิหาเร อสติ เยปิ อชานิตฺวา อาคตา, เต – ‘‘วสิสฺสามาติ ตาว จิเนฺตตฺวา อาคตมฺหา, อิเมสํ ปน ราชูนํ อิมินา นีหาเรน โก วสิสฺสตี’’ติ นิกฺขมิตฺวา คจฺฉนฺติฯ เอวํ อนาคเตสุ อนาคจฺฉเนฺตสุ, อาคเตสุ ทุกฺขํ วิหรเนฺตสุ โส เทโส ปพฺพชิตานํ อนาวาโส โหติฯ ตโต เทวตารกฺขา น โหติ, เทวตารกฺขาย อสติ อมนุสฺสา โอกาสํ ลภนฺติฯ อมนุสฺสา อุสฺสนฺนา อนุปฺปนฺนํ พฺยาธิํ อุปฺปาเทนฺติ, สีลวนฺตานํ ทสฺสนปญฺหาปุจฺฉนาทิวตฺถุกสฺส ปุญฺญสฺส อนาคโม โหติฯ วิปริยาเยน ปน ยถาวุตฺตกณฺหปกฺขวิปรีตสฺส สุกฺกปกฺขสฺส สมฺภโว โหตีติ เอวเมตฺถ วุทฺธิหานิโย เวทิตพฺพาฯ
Tattha ye anāgatānaṃ arahantānaṃ āgamanaṃ na icchanti, te assaddhā honti appasannā. Pabbajite ca sampatte paccuggamanaṃ na karonti, gantvā na passanti, paṭisanthāraṃ na karonti, pañhaṃ na pucchanti, dhammaṃ na suṇanti, dānaṃ na denti, anumodanaṃ na suṇanti, nivāsanaṭṭhānaṃ na saṃvidahanti. Atha nesaṃ avaṇṇo abbhuggacchati – ‘‘asuko nāma rājā assaddho appasanno, pabbajite sampatte paccuggamanaṃ na karoti…pe… nivāsanaṭṭhānaṃ na saṃvidahatī’’ti. Taṃ sutvā pabbajitā tassa nagaradvārena na gacchanti, gacchantāpi nagaraṃ na pavisanti. Evaṃ anāgatānaṃ arahantānaṃ anāgamanameva hoti. Āgatānampi phāsuvihāre asati yepi ajānitvā āgatā, te – ‘‘vasissāmāti tāva cintetvā āgatamhā, imesaṃ pana rājūnaṃ iminā nīhārena ko vasissatī’’ti nikkhamitvā gacchanti. Evaṃ anāgatesu anāgacchantesu, āgatesu dukkhaṃ viharantesu so deso pabbajitānaṃ anāvāso hoti. Tato devatārakkhā na hoti, devatārakkhāya asati amanussā okāsaṃ labhanti. Amanussā ussannā anuppannaṃ byādhiṃ uppādenti, sīlavantānaṃ dassanapañhāpucchanādivatthukassa puññassa anāgamo hoti. Vipariyāyena pana yathāvuttakaṇhapakkhaviparītassa sukkapakkhassa sambhavo hotīti evamettha vuddhihāniyo veditabbā.
๑๓๕. เอกมิทาหนฺติ อิทํ ภควา ปุเพฺพ วชฺชีนํ อิมสฺส วชฺชิสตฺตกสฺส เทสิตภาวปฺปกาสนตฺถมาห ฯ ตตฺถ สารนฺทเท เจติเยติ เอวํนามเก วิหาเรฯ อนุปฺปเนฺน กิร พุเทฺธ ตตฺถ สารนฺททสฺส ยกฺขสฺส นิวาสนฎฺฐานํ เจติยํ อโหสิฯ อเถตฺถ ภควโต วิหารํ การาเปสุํ, โส สารนฺทเท เจติเย กตตฺตา สารนฺททเจติยเนฺตฺวว สงฺขฺยํ คโตฯ
135.Ekamidāhanti idaṃ bhagavā pubbe vajjīnaṃ imassa vajjisattakassa desitabhāvappakāsanatthamāha . Tattha sārandade cetiyeti evaṃnāmake vihāre. Anuppanne kira buddhe tattha sārandadassa yakkhassa nivāsanaṭṭhānaṃ cetiyaṃ ahosi. Athettha bhagavato vihāraṃ kārāpesuṃ, so sārandade cetiye katattā sārandadacetiyantveva saṅkhyaṃ gato.
อกรณียาติ อกาตพฺพา, อคฺคเหตพฺพาติ อโตฺถฯ ยทิทนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ยุทฺธสฺสาติ กรณเตฺถ สามิวจนํ, อภิมุขยุเทฺธน คเหตุํ น สกฺกาติ อโตฺถฯ อญฺญตฺร อุปลาปนายาติ ฐเปตฺวา อุปลาปนํฯ อุปลาปนา นาม – ‘‘อลํ วิวาเทน, อิทานิ สมคฺคา โหมา’’ติ หตฺถิอสฺสรถหิรญฺญสุวณฺณาทีนิ เปเสตฺวา สงฺคหกรณํฯ เอวญฺหิ สงฺคหํ กตฺวา เกวลํ วิสฺสาเสน สกฺกา คณฺหิตุนฺติ อโตฺถฯ อญฺญตฺร มิถุเภทายาติ ฐเปตฺวา มิถุเภทํฯ อิมินา อญฺญมญฺญเภทํ กตฺวาปิ สกฺกา เอเต คเหตุนฺติ ทเสฺสติฯ อิทํ พฺราหฺมโณ ภควโต กถาย นยํ ลภิตฺวา อาหฯ
Akaraṇīyāti akātabbā, aggahetabbāti attho. Yadidanti nipātamattaṃ. Yuddhassāti karaṇatthe sāmivacanaṃ, abhimukhayuddhena gahetuṃ na sakkāti attho. Aññatra upalāpanāyāti ṭhapetvā upalāpanaṃ. Upalāpanā nāma – ‘‘alaṃ vivādena, idāni samaggā homā’’ti hatthiassarathahiraññasuvaṇṇādīni pesetvā saṅgahakaraṇaṃ. Evañhi saṅgahaṃ katvā kevalaṃ vissāsena sakkā gaṇhitunti attho. Aññatra mithubhedāyāti ṭhapetvā mithubhedaṃ. Iminā aññamaññabhedaṃ katvāpi sakkā ete gahetunti dasseti. Idaṃ brāhmaṇo bhagavato kathāya nayaṃ labhitvā āha.
กิํ ปน ภควา พฺราหฺมณสฺส อิมาย กถาย นยลาภํ น ชานาตีติ? อาม, ชานาติฯ ชานโนฺต กสฺมา กเถสีติ? อนุกมฺปายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘มยา อกถิเตปิ กติปาเหน คนฺตฺวา สเพฺพ คณฺหิสฺสติ, กถิเต ปน สมเคฺค ภินฺทโนฺต ตีหิ สํวจฺฉเรหิ คณฺหิสฺสติ, เอตฺตกมฺปิ ชีวิตเมว วรํ, เอตฺตกญฺหิ ชีวนฺตา อตฺตโน ปติฎฺฐานภูตํ ปุญฺญํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ
Kiṃ pana bhagavā brāhmaṇassa imāya kathāya nayalābhaṃ na jānātīti? Āma, jānāti. Jānanto kasmā kathesīti? Anukampāya. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘mayā akathitepi katipāhena gantvā sabbe gaṇhissati, kathite pana samagge bhindanto tīhi saṃvaccharehi gaṇhissati, ettakampi jīvitameva varaṃ, ettakañhi jīvantā attano patiṭṭhānabhūtaṃ puññaṃ karissantī’’ti.
อภินนฺทิตฺวาติ จิเตฺตน อภินนฺทิตฺวาฯ อนุโมทิตฺวาติ ‘‘ยาว สุภาสิตญฺจิทํ โภตา โคตเมนา’’ติ วาจาย อนุโมทิตฺวาฯ ปกฺกามีติ รโญฺญ สนฺติกํ คโตฯ ตโต นํ ราชา – ‘‘กิํ อาจริย, ภควา อวจา’’ติ ปุจฺฉิฯ โส – ‘‘ยถา โภ สมณสฺส โคตมสฺส วจนํ น สกฺกา วชฺชี เกนจิ คเหตุํ, อปิ จ อุปลาปนาย วา มิถุเภเทน วา สกฺกา’’ติ อาหฯ ตโต นํ ราชา – ‘‘อุปลาปนาย อมฺหากํ หตฺถิอสฺสาทโย นสฺสิสฺสนฺติ, เภเทเนว เต คเหสฺสามิ, กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิฯ เตน หิ, มหาราช, ตุเมฺห วชฺชิํ อารพฺภ ปริสติ กถํ สมุฎฺฐาเปถฯ ตโต อหํ – ‘‘กิํ เต มหาราช เตหิ, อตฺตโน สนฺตเกหิ กสิวาณิชฺชาทีนิ กตฺวา ชีวนฺตุ เอเต ราชาโน’’ติ วตฺวา ปกฺกมิสฺสามิฯ ตโต ตุเมฺห – ‘‘กินฺนุ โข โภ เอส พฺราหฺมโณ วชฺชิํ อารพฺภ ปวตฺตํ กถํ ปฎิพาหตี’’ติ วเทยฺยาถ, ทิวสภาเค จาหํ เตสํ ปณฺณาการํ เปเสสฺสามิ, ตมฺปิ คาหาเปตฺวา ตุเมฺหปิ มม โทสํ อาโรเปตฺวา พนฺธนตาลนาทีนิ อกตฺวาว เกวลํ ขุรมุณฺฑํ มํ กตฺวา นครา นีหราเปถฯ อถาหํ – ‘‘มยา เต นคเร ปากาโร ปริขา จ การิตา, อหํ กิร ทุพฺพลฎฺฐานญฺจ อุตฺตานคมฺภีรฎฺฐานญฺจ ชานามิ, น จิรเสฺสว ทานิ อุชุํ กริสฺสามี’’ติ วกฺขามิฯ ตํ สุตฺวา ตุเมฺห – ‘‘คจฺฉตู’’ติ วเทยฺยาถาติฯ ราชา สพฺพํ อกาสิฯ
Abhinanditvāti cittena abhinanditvā. Anumoditvāti ‘‘yāva subhāsitañcidaṃ bhotā gotamenā’’ti vācāya anumoditvā. Pakkāmīti rañño santikaṃ gato. Tato naṃ rājā – ‘‘kiṃ ācariya, bhagavā avacā’’ti pucchi. So – ‘‘yathā bho samaṇassa gotamassa vacanaṃ na sakkā vajjī kenaci gahetuṃ, api ca upalāpanāya vā mithubhedena vā sakkā’’ti āha. Tato naṃ rājā – ‘‘upalāpanāya amhākaṃ hatthiassādayo nassissanti, bhedeneva te gahessāmi, kiṃ karomā’’ti pucchi. Tena hi, mahārāja, tumhe vajjiṃ ārabbha parisati kathaṃ samuṭṭhāpetha. Tato ahaṃ – ‘‘kiṃ te mahārāja tehi, attano santakehi kasivāṇijjādīni katvā jīvantu ete rājāno’’ti vatvā pakkamissāmi. Tato tumhe – ‘‘kinnu kho bho esa brāhmaṇo vajjiṃ ārabbha pavattaṃ kathaṃ paṭibāhatī’’ti vadeyyātha, divasabhāge cāhaṃ tesaṃ paṇṇākāraṃ pesessāmi, tampi gāhāpetvā tumhepi mama dosaṃ āropetvā bandhanatālanādīni akatvāva kevalaṃ khuramuṇḍaṃ maṃ katvā nagarā nīharāpetha. Athāhaṃ – ‘‘mayā te nagare pākāro parikhā ca kāritā, ahaṃ kira dubbalaṭṭhānañca uttānagambhīraṭṭhānañca jānāmi, na cirasseva dāni ujuṃ karissāmī’’ti vakkhāmi. Taṃ sutvā tumhe – ‘‘gacchatū’’ti vadeyyāthāti. Rājā sabbaṃ akāsi.
ลิจฺฉวี ตสฺส นิกฺขมนํ สุตฺวา – ‘‘สโฐ พฺราหฺมโณ, มา ตสฺส คงฺคํ อุตฺตริตุํ อทตฺถา’’ติ อาหํสุฯ ตตฺร เอกเจฺจหิ – ‘‘อเมฺห อารพฺภ กถิตตฺตา กิร โส เอวํ กโต’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ, ภเณ, เอตู’’ติ ภณิํสุฯ โส คนฺตฺวา ลิจฺฉวี ทิสฺวา ‘‘กิํ อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิโต ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิ, ลิจฺฉวิโน – ‘‘อปฺปมตฺตเกน นาม เอวํ ครุํ ทณฺฑํ กาตุํ น ยุตฺต’’นฺติ วตฺวา – ‘‘กิํ เต ตตฺร ฐานนฺตร’’นฺติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘วินิจฺฉยามโจฺจหมสฺมี’’ติฯ ตเทว เต ฐานนฺตรํ โหตูติฯ โส สุฎฺฐุตรํ วินิจฺฉยํ กโรติ, ราชกุมารา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺติฯ
Licchavī tassa nikkhamanaṃ sutvā – ‘‘saṭho brāhmaṇo, mā tassa gaṅgaṃ uttarituṃ adatthā’’ti āhaṃsu. Tatra ekaccehi – ‘‘amhe ārabbha kathitattā kira so evaṃ kato’’ti vutte ‘‘tena hi, bhaṇe, etū’’ti bhaṇiṃsu. So gantvā licchavī disvā ‘‘kiṃ āgatatthā’’ti pucchito taṃ pavattiṃ ārocesi, licchavino – ‘‘appamattakena nāma evaṃ garuṃ daṇḍaṃ kātuṃ na yutta’’nti vatvā – ‘‘kiṃ te tatra ṭhānantara’’nti pucchiṃsu. ‘‘Vinicchayāmaccohamasmī’’ti. Tadeva te ṭhānantaraṃ hotūti. So suṭṭhutaraṃ vinicchayaṃ karoti, rājakumārā tassa santike sippaṃ uggaṇhanti.
โส ปติฎฺฐิตคุโณ หุตฺวา เอกทิวสํ เอกํ ลิจฺฉวิํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ คนฺตฺวา – ทารกา กสนฺตีติ ปุจฺฉิฯ อาม, กสนฺติฯ เทฺว โคเณ โยเชตฺวาติ? อาม, เทฺว โคเณ โยเชตฺวาติฯ เอตฺตกํ วตฺวา นิวโตฺตฯ ตโต ตํ อโญฺญ – ‘‘กิํ อาจริโย อาหา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา เตน วุตฺตํ อสทฺทหโนฺต ‘‘น เม เอส ยถาภูตํ กเถตี’’ติ เตน สทฺธิํ ภิชฺชิฯ พฺราหฺมโณ อญฺญสฺมิํ ทิวเส เอกํ ลิจฺฉวิํ เอกมนฺตํ เนตฺวา – ‘‘เกน พฺยญฺชเนน ภุโตฺตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา นิวโตฺตฯ ตมฺปิ อโญฺญ ปุจฺฉิตฺวา อสทฺทหโนฺต ตเถว ภิชฺชิฯ พฺราหฺมโณ อปรมฺปิ ทิวสํ เอกํ ลิจฺฉวิํ เอกมนฺตํ เนตฺวา – ‘‘อติทุคฺคโตสิ กิรา’’ติ ปุจฺฉิฯ โก เอวมาหาติ ปุจฺฉิโต อสุโก นาม ลิจฺฉวีติฯ อปรมฺปิ เอกมนฺตํ เนตฺวา – ‘‘ตฺวํ กิร ภีรุกชาติโก’’ติ ปุจฺฉิฯ โก เอวมาหาติ? อสุโก นาม ลิจฺฉวีติฯ เอวํ อเญฺญน อกถิตเมว อญฺญสฺส กเถโนฺต ตีหิ สํวจฺฉเรหิ เต ราชาโน อญฺญมญฺญํ ภินฺทิตฺวา ยถา เทฺว เอกมเคฺคน น คจฺฉนฺติ, ตถา กตฺวา สนฺนิปาตเภริํ จราเปสิฯ ลิจฺฉวิโน – ‘‘อิสฺสรา สนฺนิปตนฺตุ, สูรา สนฺนิปตนฺตู’’ติ วตฺวา น สนฺนิปติํสุฯ
So patiṭṭhitaguṇo hutvā ekadivasaṃ ekaṃ licchaviṃ gahetvā ekamantaṃ gantvā – dārakā kasantīti pucchi. Āma, kasanti. Dve goṇe yojetvāti? Āma, dve goṇe yojetvāti. Ettakaṃ vatvā nivatto. Tato taṃ añño – ‘‘kiṃ ācariyo āhā’’ti pucchitvā tena vuttaṃ asaddahanto ‘‘na me esa yathābhūtaṃ kathetī’’ti tena saddhiṃ bhijji. Brāhmaṇo aññasmiṃ divase ekaṃ licchaviṃ ekamantaṃ netvā – ‘‘kena byañjanena bhuttosī’’ti pucchitvā nivatto. Tampi añño pucchitvā asaddahanto tatheva bhijji. Brāhmaṇo aparampi divasaṃ ekaṃ licchaviṃ ekamantaṃ netvā – ‘‘atiduggatosi kirā’’ti pucchi. Ko evamāhāti pucchito asuko nāma licchavīti. Aparampi ekamantaṃ netvā – ‘‘tvaṃ kira bhīrukajātiko’’ti pucchi. Ko evamāhāti? Asuko nāma licchavīti. Evaṃ aññena akathitameva aññassa kathento tīhi saṃvaccharehi te rājāno aññamaññaṃ bhinditvā yathā dve ekamaggena na gacchanti, tathā katvā sannipātabheriṃ carāpesi. Licchavino – ‘‘issarā sannipatantu, sūrā sannipatantū’’ti vatvā na sannipatiṃsu.
พฺราหฺมโณ – ‘‘อยํ ทานิ กาโล, สีฆํ อาคจฺฉตู’’ติ รโญฺญ สาสนํ เปเสสิฯ ราชา สุตฺวาว พลเภริํ จราเปตฺวา นิกฺขมิฯ เวสาลิกา สุตฺวา – ‘‘รโญฺญ คงฺคํ อุตฺตริตุํ น ทสฺสามา’’ติ เภริํ จราเปสุํฯ ตมฺปิ สุตฺวา – ‘‘คจฺฉนฺตุ สูรราชาโน’’ติอาทีนิ วตฺวา น สนฺนิปติํสุฯ ‘‘นครปฺปเวสนํ น ทสฺสาม, ทฺวารานิ ปิทหิตฺวา ฐสฺสามา’’ติ เภริํ จราเปสุํฯ เอโกปิ น สนฺนิปติฯ ยถาวิวเฎเหว ทฺวาเรหิ ปวิสิตฺวา สเพฺพ อนยพฺยสนํ ปาเปตฺวา คโตฯ
Brāhmaṇo – ‘‘ayaṃ dāni kālo, sīghaṃ āgacchatū’’ti rañño sāsanaṃ pesesi. Rājā sutvāva balabheriṃ carāpetvā nikkhami. Vesālikā sutvā – ‘‘rañño gaṅgaṃ uttarituṃ na dassāmā’’ti bheriṃ carāpesuṃ. Tampi sutvā – ‘‘gacchantu sūrarājāno’’tiādīni vatvā na sannipatiṃsu. ‘‘Nagarappavesanaṃ na dassāma, dvārāni pidahitvā ṭhassāmā’’ti bheriṃ carāpesuṃ. Ekopi na sannipati. Yathāvivaṭeheva dvārehi pavisitvā sabbe anayabyasanaṃ pāpetvā gato.
ภิกฺขุอปริหานิยธมฺมวณฺณนา
Bhikkhuaparihāniyadhammavaṇṇanā
๑๓๖. อถ โข ภควา อจิรปกฺกเนฺตติอาทิมฺหิ สนฺนิปาเตตฺวาติ ทูรวิหาเรสุ อิทฺธิมเนฺต เปเสตฺวา สนฺติกวิหาเรสุ สยํ คนฺตฺวา – ‘‘สนฺนิปตถ, อายสฺมโนฺต; ภควา โว สนฺนิปาตํ อิจฺฉตี’’ติ สนฺนิปาเตตฺวาฯ อปริหานิเยติ อปริหานิกเร, วุทฺธิเหตุภูเตติ อโตฺถฯ ธเมฺม เทเสสฺสามีติ จนฺทสหสฺสํ สูริยสหสฺสํ อุฎฺฐเปโนฺต วิย จตุกุฎฺฎเก เคเห อโนฺต เตลทีปสหสฺสํ อุชฺชาเลโนฺต วิย ปากเฎ กตฺวา กถยิสฺสามีติฯ
136.Athakho bhagavā acirapakkantetiādimhi sannipātetvāti dūravihāresu iddhimante pesetvā santikavihāresu sayaṃ gantvā – ‘‘sannipatatha, āyasmanto; bhagavā vo sannipātaṃ icchatī’’ti sannipātetvā. Aparihāniyeti aparihānikare, vuddhihetubhūteti attho. Dhamme desessāmīti candasahassaṃ sūriyasahassaṃ uṭṭhapento viya catukuṭṭake gehe anto teladīpasahassaṃ ujjālento viya pākaṭe katvā kathayissāmīti.
ตตฺถ อภิณฺหํ สนฺนิปาตาติ อิทํ วชฺชิสตฺตเก วุตฺตสทิสเมวฯ อิธาปิ จ อภิณฺหํ อสนฺนิปติตา ทิสาสุ อาคตสาสนํ น สุณนฺติฯ ตโต – ‘‘อสุกวิหารสีมา อากุลา, อุโปสถปวารณา ฐิตา, อสุกสฺมิํ ฐาเน ภิกฺขู เวชฺชกมฺมทูตกมฺมาทีนิ กโรนฺติ, วิญฺญตฺติพหุลา ปุปฺผทานาทีหิ ชีวิกํ กเปฺปนฺตี’’ติอาทีนิ น ชานนฺติ, ปาปภิกฺขูปิ ‘‘ปมโตฺต ภิกฺขุสโงฺฆ’’ติ ญตฺวา ราสิภูตา สาสนํ โอสกฺกาเปนฺติฯ อภิณฺหํ สนฺนิปติตา ปน ตํ ตํ ปวตฺติํ สุณนฺติ, ตโต ภิกฺขุสงฺฆํ เปเสตฺวา สีมํ อุชุํ กโรนฺติ, อุโปสถปวารณาทโย ปวตฺตาเปนฺติ, มิจฺฉาชีวานํ อุสฺสนฺนฎฺฐาเน อริยวํสเก เปเสตฺวา อริยวํสํ กถาเปนฺติ, ปาปภิกฺขูนํ วินยธเรหิ นิคฺคหํ การาเปนฺติ, ปาปภิกฺขูปิ ‘‘อปฺปมโตฺต ภิกฺขุสโงฺฆ, น สกฺกา อเมฺหหิ วคฺคพเนฺธน วิจริตุ’’นฺติ ภิชฺชิตฺวา ปลายนฺติฯ เอวเมตฺถ หานิวุทฺธิโย เวทิตพฺพาฯ
Tattha abhiṇhaṃ sannipātāti idaṃ vajjisattake vuttasadisameva. Idhāpi ca abhiṇhaṃ asannipatitā disāsu āgatasāsanaṃ na suṇanti. Tato – ‘‘asukavihārasīmā ākulā, uposathapavāraṇā ṭhitā, asukasmiṃ ṭhāne bhikkhū vejjakammadūtakammādīni karonti, viññattibahulā pupphadānādīhi jīvikaṃ kappentī’’tiādīni na jānanti, pāpabhikkhūpi ‘‘pamatto bhikkhusaṅgho’’ti ñatvā rāsibhūtā sāsanaṃ osakkāpenti. Abhiṇhaṃ sannipatitā pana taṃ taṃ pavattiṃ suṇanti, tato bhikkhusaṅghaṃ pesetvā sīmaṃ ujuṃ karonti, uposathapavāraṇādayo pavattāpenti, micchājīvānaṃ ussannaṭṭhāne ariyavaṃsake pesetvā ariyavaṃsaṃ kathāpenti, pāpabhikkhūnaṃ vinayadharehi niggahaṃ kārāpenti, pāpabhikkhūpi ‘‘appamatto bhikkhusaṅgho, na sakkā amhehi vaggabandhena vicaritu’’nti bhijjitvā palāyanti. Evamettha hānivuddhiyo veditabbā.
สมคฺคาติอาทีสุ เจติยปฎิชคฺคนตฺถํ วา โพธิเคหอุโปสถาคารจฺฉาทนตฺถํ วา กติกวตฺตํ วา ฐเปตุกามตาย โอวาทํ วา ทาตุกามตาย – ‘‘สโงฺฆ สนฺนิปตตู’’ติ เภริยา วา ฆณฺฎิยา วา อาโกฎิตาย – ‘‘มยฺหํ จีวรกมฺมํ อตฺถิ, มยฺหํ ปโตฺต ปจิตโพฺพ, มยฺหํ นวกมฺมํ อตฺถี’’ติ วิเกฺขปํ กโรนฺตา น สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ นามฯ สพฺพํ ปน ตํ กมฺมํ ฐเปตฺวา – ‘‘อหํ ปุริมตรํ, อหํ ปุริมตร’’นฺติ เอกปฺปหาเรเนว สนฺนิปตนฺตา สมคฺคา สนฺนิปตนฺติ นามฯ สนฺนิปติตา ปน จิเนฺตตฺวา มเนฺตตฺวา กตฺตพฺพํ กตฺวา เอกโต อวุฎฺฐหนฺตา สมคฺคา น วุฎฺฐหนฺติ นามฯ เอวํ วุฎฺฐิเตสุ หิ เย ปฐมํ คจฺฉนฺติ, เตสํ เอวํ โหติ – ‘‘อเมฺหหิ พาหิรกถาว สุตา, อิทานิ วินิจฺฉยกถา ภวิสฺสตี’’ติฯ เอกปฺปหาเรเนว วุฎฺฐหนฺตา ปน สมคฺคา วุฎฺฐหนฺติ นามฯ อปิจ ‘‘อสุกฎฺฐาเน วิหารสีมา อากุลา, อุโปสถปวารณา ฐิตา, อสุกฎฺฐาเน เวชฺชกมฺมาทิการกา ปาปภิกฺขู อุสฺสนฺนา’’ติ สุตฺวา – ‘‘โก คนฺตฺวา เตสํ นิคฺคหํ กริสฺสตี’’ติ วุเตฺต – ‘‘อหํ ปฐมํ, อหํ ปฐม’’นฺติ วตฺวา คจฺฉนฺตาปิ สมคฺคา วุฎฺฐหนฺติ นามฯ
Samaggātiādīsu cetiyapaṭijagganatthaṃ vā bodhigehauposathāgāracchādanatthaṃ vā katikavattaṃ vā ṭhapetukāmatāya ovādaṃ vā dātukāmatāya – ‘‘saṅgho sannipatatū’’ti bheriyā vā ghaṇṭiyā vā ākoṭitāya – ‘‘mayhaṃ cīvarakammaṃ atthi, mayhaṃ patto pacitabbo, mayhaṃ navakammaṃ atthī’’ti vikkhepaṃ karontā na samaggā sannipatanti nāma. Sabbaṃ pana taṃ kammaṃ ṭhapetvā – ‘‘ahaṃ purimataraṃ, ahaṃ purimatara’’nti ekappahāreneva sannipatantā samaggā sannipatanti nāma. Sannipatitā pana cintetvā mantetvā kattabbaṃ katvā ekato avuṭṭhahantā samaggā na vuṭṭhahanti nāma. Evaṃ vuṭṭhitesu hi ye paṭhamaṃ gacchanti, tesaṃ evaṃ hoti – ‘‘amhehi bāhirakathāva sutā, idāni vinicchayakathā bhavissatī’’ti. Ekappahāreneva vuṭṭhahantā pana samaggā vuṭṭhahanti nāma. Apica ‘‘asukaṭṭhāne vihārasīmā ākulā, uposathapavāraṇā ṭhitā, asukaṭṭhāne vejjakammādikārakā pāpabhikkhū ussannā’’ti sutvā – ‘‘ko gantvā tesaṃ niggahaṃ karissatī’’ti vutte – ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ, ahaṃ paṭhama’’nti vatvā gacchantāpi samaggā vuṭṭhahanti nāma.
อาคนฺตุกํ ปน ทิสฺวา – ‘‘อิมํ ปริเวณํ ยาหิ, เอตํ ปริเวณํ ยาหิ, อยํ โก’’ติ อวตฺวา สเพฺพ วตฺตํ กโรนฺตาปิ, ชิณฺณปตฺตจีวรกํ ทิสฺวา ตสฺส ภิกฺขาจารวเตฺตน ปตฺตจีวรํ ปริเยสมานาปิ, คิลานสฺส คิลานเภสชฺชํ ปริเยสมานาปิ, คิลานเมว อนาถํ – ‘‘อสุกปริเวณํ ยาหิ, อสุกปริเวณํ ยาหี’’ติ อวตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปริเวเณ ปฎิชคฺคนฺตาปิ, เอโก โอลิยมานโก คโนฺถ โหติ, ปญฺญวนฺตํ ภิกฺขุํ สงฺคณฺหิตฺวา เตน ตํ คนฺถํ อุกฺขิปาเปนฺตาปิ สมคฺคา สงฺฆํ กรณียานิ กโรนฺติ นามฯ
Āgantukaṃ pana disvā – ‘‘imaṃ pariveṇaṃ yāhi, etaṃ pariveṇaṃ yāhi, ayaṃ ko’’ti avatvā sabbe vattaṃ karontāpi, jiṇṇapattacīvarakaṃ disvā tassa bhikkhācāravattena pattacīvaraṃ pariyesamānāpi, gilānassa gilānabhesajjaṃ pariyesamānāpi, gilānameva anāthaṃ – ‘‘asukapariveṇaṃ yāhi, asukapariveṇaṃ yāhī’’ti avatvā attano attano pariveṇe paṭijaggantāpi, eko oliyamānako gantho hoti, paññavantaṃ bhikkhuṃ saṅgaṇhitvā tena taṃ ganthaṃ ukkhipāpentāpi samaggā saṅghaṃ karaṇīyāni karonti nāma.
อปญฺญตฺตนฺติอาทีสุ นวํ อธมฺมิกํ กติกวตฺตํ วา สิกฺขาปทํ วา พนฺธนฺตา อปญฺญตฺตํ ปญฺญเปนฺติ นาม, ปุราณสนฺถตวตฺถุสฺมิํ สาวตฺถิยํ ภิกฺขู วิยฯ อุทฺธมฺมํ อุพฺพินยํ สาสนํ ทีเปนฺตา ปญฺญตฺตํ สมุจฺฉินฺทนฺติ นาม, วสฺสสตปรินิพฺพุเต ภควติ เวสาลิกา วชฺชิปุตฺตกา วิยฯ ขุทฺทานุขุทฺทกา ปน อาปตฺติโย สญฺจิจฺจ วีติกฺกมนฺตา ยถาปญฺญเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย น วตฺตนฺติ นาม, อสฺสชิปุนพฺพสุกา วิยฯ นวํ ปน กติกวตฺตํ วา สิกฺขาปทํ วา อพนฺธนฺตา, ธมฺมวินยโต สาสนํ ทีเปนฺตา, ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ อสมูหนนฺตา อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปนฺติ, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทนฺติ, ยถาปญฺญเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺตนฺติ นาม, อายสฺมา อุปเสโน วิย, อายสฺมา ยโส กากณฺฑกปุโตฺต วิย จฯ
Apaññattantiādīsu navaṃ adhammikaṃ katikavattaṃ vā sikkhāpadaṃ vā bandhantā apaññattaṃ paññapenti nāma, purāṇasanthatavatthusmiṃ sāvatthiyaṃ bhikkhū viya. Uddhammaṃ ubbinayaṃ sāsanaṃ dīpentā paññattaṃ samucchindanti nāma, vassasataparinibbute bhagavati vesālikā vajjiputtakā viya. Khuddānukhuddakā pana āpattiyo sañcicca vītikkamantā yathāpaññattesu sikkhāpadesu samādāya na vattanti nāma, assajipunabbasukā viya. Navaṃ pana katikavattaṃ vā sikkhāpadaṃ vā abandhantā, dhammavinayato sāsanaṃ dīpentā, khuddānukhuddakāni sikkhāpadāni asamūhanantā apaññattaṃ na paññapenti, paññattaṃ na samucchindanti, yathāpaññattesu sikkhāpadesu samādāya vattanti nāma, āyasmā upaseno viya, āyasmā yaso kākaṇḍakaputto viya ca.
‘‘สุณาตุ, เม อาวุโส สโงฺฆ, สนฺตมฺหากํ สิกฺขาปทานิ คิหิคตานิ, คิหิโนปิ ชานนฺติ, ‘อิทํ โว สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กปฺปติ, อิทํ โว น กปฺปตี’ติฯ สเจ หิ มยํ ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ สมูหนิสฺสาม, ภวิสฺสนฺติ วตฺตาโร – ‘ธูมกาลิกํ สมเณน โคตเมน สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ยาวิเมสํ สตฺถา อฎฺฐาสิ, ตาวิเม สิกฺขาปเทสุ สิกฺขิํสุฯ ยโต อิเมสํ สตฺถา ปรินิพฺพุโต, น ทานิเม สิกฺขาปเทสุ สิกฺขนฺตี’ติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปยฺย, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉิเนฺทยฺย, ยถาปญฺญเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วเตฺตยฺยา’’ติ (จุฬว. ๔๔๒) –
‘‘Suṇātu, me āvuso saṅgho, santamhākaṃ sikkhāpadāni gihigatāni, gihinopi jānanti, ‘idaṃ vo samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kappati, idaṃ vo na kappatī’ti. Sace hi mayaṃ khuddānukhuddakāni sikkhāpadāni samūhanissāma, bhavissanti vattāro – ‘dhūmakālikaṃ samaṇena gotamena sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, yāvimesaṃ satthā aṭṭhāsi, tāvime sikkhāpadesu sikkhiṃsu. Yato imesaṃ satthā parinibbuto, na dānime sikkhāpadesu sikkhantī’ti. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho apaññattaṃ na paññapeyya, paññattaṃ na samucchindeyya, yathāpaññattesu sikkhāpadesu samādāya vatteyyā’’ti (cuḷava. 442) –
อิมํ ตนฺติํ ฐปยโนฺต อายสฺมา มหากสฺสโป วิย จฯ วุทฺธิเยวาติ สีลาทีหิ คุเณหิ วุฑฺฒิเยว, โน ปริหานิฯ
Imaṃ tantiṃ ṭhapayanto āyasmā mahākassapo viya ca. Vuddhiyevāti sīlādīhi guṇehi vuḍḍhiyeva, no parihāni.
เถราติ ถิรภาวปฺปตฺตา เถรการเกหิ คุเณหิ สมนฺนาคตาฯ พหู รตฺติโย ชานนฺตีติ รตฺตญฺญูฯ จิรํ ปพฺพชิตานํ เอเตสนฺติ จิรปพฺพชิตาฯ สงฺฆสฺส ปิตุฎฺฐาเน ฐิตาติ สงฺฆปิตโรฯ ปิตุฎฺฐาเน ฐิตตฺตา สงฺฆํ ปริเนนฺติ ปุพฺพงฺคมา หุตฺวา ตีสุ สิกฺขาสุ ปวเตฺตนฺตีติ สงฺฆปริณายกาฯ
Therāti thirabhāvappattā therakārakehi guṇehi samannāgatā. Bahū rattiyo jānantīti rattaññū. Ciraṃ pabbajitānaṃ etesanti cirapabbajitā. Saṅghassa pituṭṭhāne ṭhitāti saṅghapitaro. Pituṭṭhāne ṭhitattā saṅghaṃ parinenti pubbaṅgamā hutvā tīsu sikkhāsu pavattentīti saṅghapariṇāyakā.
เย เตสํ สกฺการาทีนิ น กโรนฺติ, โอวาทตฺถาย เทฺว ตโย วาเร อุปฎฺฐานํ น คจฺฉนฺติ, เตปิ เตสํ โอวาทํ น เทนฺติ, ปเวณีกถํ น กเถนฺติ, สารภูตํ ธมฺมปริยายํ น สิกฺขาเปนฺติฯ เต เตหิ วิสฺสฎฺฐา สีลาทีหิ ธมฺมกฺขเนฺธหิ สตฺตหิ จ อริยธเนหีติ เอวมาทีหิ คุเณหิ ปริหายนฺติฯ เย ปน เตสํ สกฺการาทีนิ กโรนฺติ, อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติ, เตปิ เตสํ โอวาทํ เทนฺติฯ ‘‘เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต ปฎิกฺกมิตพฺพํ, เอวํ เต อาโลกิตพฺพํ, เอวํ เต วิโลกิตพฺพํ, เอวํ เต สมิญฺชิตพฺพํ, เอวํ เต ปสาริตพฺพํ, เอวํ เต สงฺฆาฎิปตฺตจีวรํ ธาเรตพฺพ’’นฺติ ปเวณีกถํ กเถนฺติ, สารภูตํ ธมฺมปริยายํ สิกฺขาเปนฺติ, เตรสหิ ธุตเงฺคหิ ทสหิ กถาวตฺถูหิ อนุสาสนฺติฯ เต เตสํ โอวาเท ฐตฺวา สีลาทีหิ คุเณหิ วฑฺฒมานา สามญฺญตฺถํ อนุปาปุณนฺติฯ เอวเมตฺถ หานิวุทฺธิโย เวทิตพฺพาฯ
Ye tesaṃ sakkārādīni na karonti, ovādatthāya dve tayo vāre upaṭṭhānaṃ na gacchanti, tepi tesaṃ ovādaṃ na denti, paveṇīkathaṃ na kathenti, sārabhūtaṃ dhammapariyāyaṃ na sikkhāpenti. Te tehi vissaṭṭhā sīlādīhi dhammakkhandhehi sattahi ca ariyadhanehīti evamādīhi guṇehi parihāyanti. Ye pana tesaṃ sakkārādīni karonti, upaṭṭhānaṃ gacchanti, tepi tesaṃ ovādaṃ denti. ‘‘Evaṃ te abhikkamitabbaṃ, evaṃ te paṭikkamitabbaṃ, evaṃ te ālokitabbaṃ, evaṃ te vilokitabbaṃ, evaṃ te samiñjitabbaṃ, evaṃ te pasāritabbaṃ, evaṃ te saṅghāṭipattacīvaraṃ dhāretabba’’nti paveṇīkathaṃ kathenti, sārabhūtaṃ dhammapariyāyaṃ sikkhāpenti, terasahi dhutaṅgehi dasahi kathāvatthūhi anusāsanti. Te tesaṃ ovāde ṭhatvā sīlādīhi guṇehi vaḍḍhamānā sāmaññatthaṃ anupāpuṇanti. Evamettha hānivuddhiyo veditabbā.
ปุนพฺภวทานํ ปุนพฺภโว, ปุนพฺภโว สีลมสฺสาติ โปโนพฺภวิกา, ปุนพฺภวทายิกาติ อโตฺถ, ตสฺมา โปโนพฺภวิกายฯ น วสํ คจฺฉนฺตีติ เอตฺถ เย จตุนฺนํ ปจฺจยานํ การณา อุปฎฺฐากานํ ปทานุปทิกา หุตฺวา คามโต คามํ วิจรนฺติ, เต ตสฺสา ตณฺหาย วสํ คจฺฉนฺติ นาม, อิตเร น คจฺฉนฺติ นามฯ ตตฺถ หานิวุทฺธิโย ปากฎาเยวฯ
Punabbhavadānaṃ punabbhavo, punabbhavo sīlamassāti ponobbhavikā, punabbhavadāyikāti attho, tasmā ponobbhavikāya. Na vasaṃ gacchantīti ettha ye catunnaṃ paccayānaṃ kāraṇā upaṭṭhākānaṃ padānupadikā hutvā gāmato gāmaṃ vicaranti, te tassā taṇhāya vasaṃ gacchanti nāma, itare na gacchanti nāma. Tattha hānivuddhiyo pākaṭāyeva.
อารญฺญเกสูติ ปญฺจธนุสติกปจฺฉิเมสุฯ สาเปกฺขาติ สตณฺหา สาลยาฯ คามนฺตเสนาสเนสุ หิ ฌานํ อเปฺปตฺวาปิ ตโต วุฎฺฐิตมโตฺตว อิตฺถิปุริสทาริกาทิสทฺทํ สุณาติ, เยนสฺส อธิคตวิเสโสปิ หายติเยวฯ อรเญฺญ ปน นิทฺทายิตฺวา ปฎิพุทฺธมโตฺต สีหพฺยคฺฆโมราทีนํ สทฺทํ สุณาติ, เยน อารญฺญกํ ปีติํ ลภิตฺวา ตเมว สมฺมสโนฺต อคฺคผเล ปติฎฺฐาติฯ อิติ ภควา คามนฺตเสนาสเน ฌานํ อเปฺปตฺวา นิสินฺนภิกฺขุโน อรเญฺญ นิทฺทายนฺตเมว ปสํสติฯ ตสฺมา ตเมว อตฺถวสํ ปฎิจฺจ – ‘‘อารญฺญเกสุ เสนาสเนสุ สาเปกฺขา ภวิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ
Āraññakesūti pañcadhanusatikapacchimesu. Sāpekkhāti sataṇhā sālayā. Gāmantasenāsanesu hi jhānaṃ appetvāpi tato vuṭṭhitamattova itthipurisadārikādisaddaṃ suṇāti, yenassa adhigatavisesopi hāyatiyeva. Araññe pana niddāyitvā paṭibuddhamatto sīhabyagghamorādīnaṃ saddaṃ suṇāti, yena āraññakaṃ pītiṃ labhitvā tameva sammasanto aggaphale patiṭṭhāti. Iti bhagavā gāmantasenāsane jhānaṃ appetvā nisinnabhikkhuno araññe niddāyantameva pasaṃsati. Tasmā tameva atthavasaṃ paṭicca – ‘‘āraññakesu senāsanesu sāpekkhā bhavissantī’’ti āha.
ปจฺจตฺตเญฺญว สติํ อุปฎฺฐเปสฺสนฺตีติ อตฺตนาว อตฺตโน อพฺภนฺตเร สติํ อุปฎฺฐเปสฺสนฺติฯ เปสลาติ ปิยสีลาฯ อิธาปิ สพฺรหฺมจารีนํ อาคมนํ อนิจฺฉนฺตา เนวาสิกา อสฺสทฺธา โหนฺติ อปฺปสนฺนา ฯ สมฺปตฺตภิกฺขูนํ ปจฺจุคฺคมนปตฺตจีวรปฺปฎิคฺคหณอาสนปญฺญาปนตาลวณฺฎคฺคหณาทีนิ น กโรนฺติ, อถ เนสํ อวโณฺณ อุคฺคจฺฉติ – ‘‘อสุกวิหารวาสิโน ภิกฺขู อสฺสทฺธา อปฺปสนฺนา วิหารํ ปวิฎฺฐานํ วตฺตปฎิวตฺตํ น กโรนฺตี’’ติฯ ตํ สุตฺวา ปพฺพชิตา วิหารทฺวาเรน คจฺฉนฺตาปิ วิหารํ น ปวิสนฺติฯ เอวํ อนาคตานํ อนาคมนเมว โหติฯ อาคตานํ ปน ผาสุวิหาเร อสติ เยปิ อชานิตฺวา อาคตา, เต – ‘‘วสิสฺสามาติ ตาว จิเนฺตตฺวา อาคตามฺห, อิเมสํ ปน เนวาสิกานํ อิมินา นีหาเรน โก วสิสฺสตี’’ติ นิกฺขมิตฺวา คจฺฉนฺติฯ เอวํ โส วิหาโร อเญฺญสํ ภิกฺขูนํ อนาวาโสว โหติฯ ตโต เนวาสิกา สีลวนฺตานํ ทสฺสนํ อลภนฺตา กงฺขาวิโนทนํ วา อาจารสิกฺขาปกํ วา มธุรธมฺมสฺสวนํ วา น ลภนฺติ, เตสํ เนว อคฺคหิตธมฺมคฺคหณํ, น คหิตสชฺฌายกรณํ โหติฯ อิติ เนสํ หานิเยว โหติ, น วุทฺธิฯ
Paccattaññeva satiṃ upaṭṭhapessantīti attanāva attano abbhantare satiṃ upaṭṭhapessanti. Pesalāti piyasīlā. Idhāpi sabrahmacārīnaṃ āgamanaṃ anicchantā nevāsikā assaddhā honti appasannā . Sampattabhikkhūnaṃ paccuggamanapattacīvarappaṭiggahaṇaāsanapaññāpanatālavaṇṭaggahaṇādīni na karonti, atha nesaṃ avaṇṇo uggacchati – ‘‘asukavihāravāsino bhikkhū assaddhā appasannā vihāraṃ paviṭṭhānaṃ vattapaṭivattaṃ na karontī’’ti. Taṃ sutvā pabbajitā vihāradvārena gacchantāpi vihāraṃ na pavisanti. Evaṃ anāgatānaṃ anāgamanameva hoti. Āgatānaṃ pana phāsuvihāre asati yepi ajānitvā āgatā, te – ‘‘vasissāmāti tāva cintetvā āgatāmha, imesaṃ pana nevāsikānaṃ iminā nīhārena ko vasissatī’’ti nikkhamitvā gacchanti. Evaṃ so vihāro aññesaṃ bhikkhūnaṃ anāvāsova hoti. Tato nevāsikā sīlavantānaṃ dassanaṃ alabhantā kaṅkhāvinodanaṃ vā ācārasikkhāpakaṃ vā madhuradhammassavanaṃ vā na labhanti, tesaṃ neva aggahitadhammaggahaṇaṃ, na gahitasajjhāyakaraṇaṃ hoti. Iti nesaṃ hāniyeva hoti, na vuddhi.
เย ปน สพฺรหฺมจารีนํ อาคมนํ อิจฺฉนฺติ, เต สทฺธา โหนฺติ ปสนฺนา, อาคตานํ สพฺรหฺมจารีนํ ปจฺจุคฺคมนาทีนิ กตฺวา เสนาสนํ ปญฺญเปตฺวา เทนฺติ, เต คเหตฺวา ภิกฺขาจารํ ปวิสนฺติ, กงฺขํ วิโนเทนฺติ, มธุรธมฺมสฺสวนํ ลภนฺติฯ อถ เนสํ กิตฺติสโทฺท อุคฺคจฺฉติ – ‘‘อสุกวิหารภิกฺขู เอวํ สทฺธา ปสนฺนา วตฺตสมฺปนฺนา สงฺคาหกา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ภิกฺขู ทูรโตปิ เอนฺติ, เตสํ เนวาสิกา วตฺตํ กโรนฺติ , สมีปํ อาคนฺตฺวา วุฑฺฒตรํ อาคนฺตุกํ วนฺทิตฺวา นิสีทนฺติ, นวกตรสฺส สนฺติเก อาสนํ คเหตฺวา นิสีทนฺติฯ นิสีทิตฺวา – ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร วสิสฺสถ คมิสฺสถา’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ ‘คมิสฺสามี’ติ วุเตฺต – ‘‘สปฺปายํ เสนาสนํ, สุลภา ภิกฺขา’’ติอาทีนิ วตฺวา คนฺตุํ น เทนฺติฯ วินยธโร เจ โหติ, ตสฺส สนฺติเก วินยํ สชฺฌายนฺติฯ สุตฺตนฺตาทิธโร เจ, ตสฺส สนฺติเก ตํ ตํ ธมฺมํ สชฺฌายนฺติฯ อาคนฺตุกานํ เถรานํ โอวาเท ฐตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณนฺติฯ อาคนฺตุกา ‘‘เอกํ เทฺว ทิวสานิ วสิสฺสามาติ อาคตามฺห, อิเมสํ ปน สุขสํวาสตาย ทสทฺวาทสวสฺสานิ วสิสฺสามา’’ติ วตฺตาโร โหนฺติฯ เอวเมตฺถ หานิวุทฺธิโย เวทิตพฺพาฯ
Ye pana sabrahmacārīnaṃ āgamanaṃ icchanti, te saddhā honti pasannā, āgatānaṃ sabrahmacārīnaṃ paccuggamanādīni katvā senāsanaṃ paññapetvā denti, te gahetvā bhikkhācāraṃ pavisanti, kaṅkhaṃ vinodenti, madhuradhammassavanaṃ labhanti. Atha nesaṃ kittisaddo uggacchati – ‘‘asukavihārabhikkhū evaṃ saddhā pasannā vattasampannā saṅgāhakā’’ti. Taṃ sutvā bhikkhū dūratopi enti, tesaṃ nevāsikā vattaṃ karonti , samīpaṃ āgantvā vuḍḍhataraṃ āgantukaṃ vanditvā nisīdanti, navakatarassa santike āsanaṃ gahetvā nisīdanti. Nisīditvā – ‘‘imasmiṃ vihāre vasissatha gamissathā’’ti pucchanti. ‘Gamissāmī’ti vutte – ‘‘sappāyaṃ senāsanaṃ, sulabhā bhikkhā’’tiādīni vatvā gantuṃ na denti. Vinayadharo ce hoti, tassa santike vinayaṃ sajjhāyanti. Suttantādidharo ce, tassa santike taṃ taṃ dhammaṃ sajjhāyanti. Āgantukānaṃ therānaṃ ovāde ṭhatvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇanti. Āgantukā ‘‘ekaṃ dve divasāni vasissāmāti āgatāmha, imesaṃ pana sukhasaṃvāsatāya dasadvādasavassāni vasissāmā’’ti vattāro honti. Evamettha hānivuddhiyo veditabbā.
๑๓๗. ทุติยสตฺตเก กมฺมํ อาราโม เอเตสนฺติ กมฺมารามาติฯ กเมฺม รตาติ กมฺมรตาฯ กมฺมารามตมนุยุตฺตาติ ยุตฺตา ปยุตฺตา อนุยุตฺตาฯ ตตฺถ กมฺมนฺติ อิติกาตพฺพกมฺมํ วุจฺจติฯ เสยฺยถิทํ – จีวรวิจารณํ, จีวรกรณํ, อุปตฺถมฺภนํ, สูจิฆรํ, ปตฺตตฺถวิกํ, อสํพทฺธกํ, กายพนฺธนํ, ธมกรณํ, อาธารกํ, ปาทกถลิกํ, สมฺมชฺชนีอาทีนํ กรณนฺติฯ เอกโจฺจ หิ เอตานิ กโรโนฺต สกลทิวสํ เอตาเนว กโรติฯ ตํ สนฺธาเยส ปฎิเกฺขโปฯ โย ปน เอเตสํ กรณเวลายเมว เอตานิ กโรติ, อุเทฺทสเวลายํ อุเทฺทสํ คณฺหาติ, สชฺฌายเวลายํ สชฺฌายติ, เจติยงฺคณวตฺตเวลายํ เจติยงฺคณวตฺตํ กโรติ, มนสิการเวลายํ มนสิการํ กโรติ, น โส กมฺมาราโม นามฯ
137. Dutiyasattake kammaṃ ārāmo etesanti kammārāmāti. Kamme ratāti kammaratā. Kammārāmatamanuyuttāti yuttā payuttā anuyuttā. Tattha kammanti itikātabbakammaṃ vuccati. Seyyathidaṃ – cīvaravicāraṇaṃ, cīvarakaraṇaṃ, upatthambhanaṃ, sūcigharaṃ, pattatthavikaṃ, asaṃbaddhakaṃ, kāyabandhanaṃ, dhamakaraṇaṃ, ādhārakaṃ, pādakathalikaṃ, sammajjanīādīnaṃ karaṇanti. Ekacco hi etāni karonto sakaladivasaṃ etāneva karoti. Taṃ sandhāyesa paṭikkhepo. Yo pana etesaṃ karaṇavelāyameva etāni karoti, uddesavelāyaṃ uddesaṃ gaṇhāti, sajjhāyavelāyaṃ sajjhāyati, cetiyaṅgaṇavattavelāyaṃ cetiyaṅgaṇavattaṃ karoti, manasikāravelāyaṃ manasikāraṃ karoti, na so kammārāmo nāma.
น ภสฺสารามาติ เอตฺถ โย อิตฺถิวณฺณปุริสวณฺณาทิวเสน อาลาปสลฺลาปํ กโรโนฺตเยว ทิวสญฺจ รตฺติญฺจ วีตินาเมติ, เอวรูเป ภเสฺส ปริยนฺตการี น โหติ, อยํ ภสฺสาราโม นามฯ โย ปน รตฺตินฺทิวํ ธมฺมํ กเถติ, ปญฺหํ วิสฺสเชฺชติ, อยํ อปฺปภโสฺสว ภเสฺส ปริยนฺตการีเยวฯ กสฺมา? ‘‘สนฺนิปติตานํ โว, ภิกฺขเว, ทฺวยํ กรณียํ – ธมฺมี วา กถา, อริโย วา ตุณฺหีภาโว’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๗๓) วุตฺตตฺตาฯ
Na bhassārāmāti ettha yo itthivaṇṇapurisavaṇṇādivasena ālāpasallāpaṃ karontoyeva divasañca rattiñca vītināmeti, evarūpe bhasse pariyantakārī na hoti, ayaṃ bhassārāmo nāma. Yo pana rattindivaṃ dhammaṃ katheti, pañhaṃ vissajjeti, ayaṃ appabhassova bhasse pariyantakārīyeva. Kasmā? ‘‘Sannipatitānaṃ vo, bhikkhave, dvayaṃ karaṇīyaṃ – dhammī vā kathā, ariyo vā tuṇhībhāvo’’ti (ma. ni. 1.273) vuttattā.
น นิทฺทารามาติ เอตฺถ โย คจฺฉโนฺตปิ นิสิโนฺนปิ นิปโนฺนปิ ถินมิทฺธาภิภูโต นิทฺทายติเยว, อยํ นิทฺทาราโม นามฯ ยสฺส ปน กรชกายเคลเญฺญน จิตฺตํ ภวเงฺค โอตรติ , นายํ นิทฺทาราโมฯ เตเนวาห – ‘‘อภิชานามหํ อคฺคิเวสฺสน, คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฺปฎิกฺกโนฺต จตุคฺคุณํ สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน นิทฺทํ โอกฺกมิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ
Na niddārāmāti ettha yo gacchantopi nisinnopi nipannopi thinamiddhābhibhūto niddāyatiyeva, ayaṃ niddārāmo nāma. Yassa pana karajakāyagelaññena cittaṃ bhavaṅge otarati , nāyaṃ niddārāmo. Tenevāha – ‘‘abhijānāmahaṃ aggivessana, gimhānaṃ pacchime māse pacchābhattaṃ piṇḍapātappaṭikkanto catugguṇaṃ saṅghāṭiṃ paññapetvā dakkhiṇena passena sato sampajāno niddaṃ okkamitā’’ti (ma. ni. 1.387).
น สงฺคณิการามาติ เอตฺถ โย เอกสฺส ทุติโย ทฺวินฺนํ ตติโย ติณฺณํ จตุโตฺถติ เอวํ สํสโฎฺฐว วิหรติ, เอกโก อสฺสาทํ น ลภติ, อยํ สงฺคณิการาโมฯ โย ปน จตูสุ อิริยาปเถสุ เอกโก อสฺสาทํ ลภติ, นายํ สงฺคณิการาโมติ เวทิตโพฺพฯ
Na saṅgaṇikārāmāti ettha yo ekassa dutiyo dvinnaṃ tatiyo tiṇṇaṃ catutthoti evaṃ saṃsaṭṭhova viharati, ekako assādaṃ na labhati, ayaṃ saṅgaṇikārāmo. Yo pana catūsu iriyāpathesu ekako assādaṃ labhati, nāyaṃ saṅgaṇikārāmoti veditabbo.
น ปาปิจฺฉาติ เอตฺถ อสนฺตสมฺภาวนาย อิจฺฉาย สมนฺนาคตา ทุสฺสีลา ปาปิจฺฉา นามฯ
Napāpicchāti ettha asantasambhāvanāya icchāya samannāgatā dussīlā pāpicchā nāma.
น ปาปมิตฺตาทีสุ ปาปา มิตฺตา เอเตสนฺติ ปาปมิตฺตาฯ จตูสุ อิริยาปเถสุ สห อยนโต ปาปา สหายา เอเตสนฺติ ปาปสหายาฯ ตนฺนินฺนตโปฺปณตปฺปพฺภารตาย ปาเปสุ สมฺปวงฺกาติ ปาปสมฺปวงฺกาฯ
Na pāpamittādīsu pāpā mittā etesanti pāpamittā. Catūsu iriyāpathesu saha ayanato pāpā sahāyā etesanti pāpasahāyā. Tanninnatappoṇatappabbhāratāya pāpesu sampavaṅkāti pāpasampavaṅkā.
โอรมตฺตเกนาติ อวรมตฺตเกน อปฺปมตฺตเกนฯ อนฺตราติ อรหตฺตํ อปตฺวาว เอตฺถนฺตเรฯ โวสานนฺติ ปรินิฎฺฐิตภาวํ – ‘‘อลเมตฺตาวตา’’ติ โอสกฺกนํ ฐิตกิจฺจตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยาว สีลปาริสุทฺธิมเตฺตน วา วิปสฺสนามเตฺตน วา ฌานมเตฺตน วา โสตาปนฺนภาวมเตฺตน วา สกทาคามิภาวมเตฺตน วา อนาคามิภาวมเตฺตน วา โวสานํ น อาปชฺชิสฺสนฺติ, ตาว วุทฺธิเยว ภิกฺขูนํ ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานี’’ติฯ
Oramattakenāti avaramattakena appamattakena. Antarāti arahattaṃ apatvāva etthantare. Vosānanti pariniṭṭhitabhāvaṃ – ‘‘alamettāvatā’’ti osakkanaṃ ṭhitakiccataṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yāva sīlapārisuddhimattena vā vipassanāmattena vā jhānamattena vā sotāpannabhāvamattena vā sakadāgāmibhāvamattena vā anāgāmibhāvamattena vā vosānaṃ na āpajjissanti, tāva vuddhiyeva bhikkhūnaṃ pāṭikaṅkhā, no parihānī’’ti.
๑๓๘. ตติยสตฺตเก สทฺธาติ สทฺธาสมฺปนฺนาฯ ตตฺถ อาคมนียสทฺธา, อธิคมสทฺธา, ปสาทสทฺธา, โอกปฺปนสทฺธาติ จตุพฺพิธา สทฺธาฯ ตตฺถ อาคมนียสทฺธา สพฺพญฺญุโพธิสตฺตานํ โหติฯ อธิคมสทฺธา อริยปุคฺคลานํฯ พุโทฺธ ธโมฺม สโงฺฆติ วุเตฺต ปน ปสาโท ปสาทสทฺธาฯ โอกเปฺปตฺวา ปกเปฺปตฺวา ปน สทฺทหนํ โอกปฺปนสทฺธาฯ สา ทุวิธาปิ อิธาธิเปฺปตาฯ ตาย หิ สทฺธาย สมนฺนาคโต สทฺธาวิมุโตฺต, วกฺกลิเตฺถรสทิโส โหติฯ ตสฺส หิ เจติยงฺคณวตฺตํ วา, โพธิยงฺคณวตฺตํ วา กตเมว โหติฯ อุปชฺฌายวตฺตอาจริยวตฺตาทีนิ สพฺพวตฺตานิ ปูเรติฯ หิริมนาติ ปาปชิคุจฺฉนลกฺขณาย หิริยา ยุตฺตจิตฺตาฯ โอตฺตปฺปีติ ปาปโต ภายนลกฺขเณน โอตฺตเปฺปน สมนฺนาคตาฯ
138. Tatiyasattake saddhāti saddhāsampannā. Tattha āgamanīyasaddhā, adhigamasaddhā, pasādasaddhā, okappanasaddhāti catubbidhā saddhā. Tattha āgamanīyasaddhā sabbaññubodhisattānaṃ hoti. Adhigamasaddhā ariyapuggalānaṃ. Buddho dhammo saṅghoti vutte pana pasādo pasādasaddhā. Okappetvā pakappetvā pana saddahanaṃ okappanasaddhā. Sā duvidhāpi idhādhippetā. Tāya hi saddhāya samannāgato saddhāvimutto, vakkalittherasadiso hoti. Tassa hi cetiyaṅgaṇavattaṃ vā, bodhiyaṅgaṇavattaṃ vā katameva hoti. Upajjhāyavattaācariyavattādīni sabbavattāni pūreti. Hirimanāti pāpajigucchanalakkhaṇāya hiriyā yuttacittā. Ottappīti pāpato bhāyanalakkhaṇena ottappena samannāgatā.
พหุสฺสุตาติ เอตฺถ ปน ปริยตฺติพหุสฺสุโต, ปฎิเวธพหุสฺสุโตติ เทฺว พหุสฺสุตาฯ ปริยตฺตีติ ตีณิ ปิฎกานิฯ ปฎิเวโธติ สจฺจปฺปฎิเวโธฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน ปริยตฺติ อธิเปฺปตาฯ สา เยน พหุ สุตา, โส พหุสฺสุโตฯ โส ปเนส นิสฺสยมุจฺจนโก, ปริสุปฎฺฐาโก, ภิกฺขุโนวาทโก, สพฺพตฺถกพหุสฺสุโตติ จตุพฺพิโธ โหติฯ ตตฺถ ตโย พหุสฺสุตา สมนฺตปาสาทิกาย วินยฎฺฐกถาย โอวาทวเคฺค วุตฺตนเยน คเหตพฺพาฯ สพฺพตฺถกพหุสฺสุตา ปน อานนฺทเตฺถรสทิสา โหนฺติฯ เต อิธ อธิเปฺปตาฯ
Bahussutāti ettha pana pariyattibahussuto, paṭivedhabahussutoti dve bahussutā. Pariyattīti tīṇi piṭakāni. Paṭivedhoti saccappaṭivedho. Imasmiṃ pana ṭhāne pariyatti adhippetā. Sā yena bahu sutā, so bahussuto. So panesa nissayamuccanako, parisupaṭṭhāko, bhikkhunovādako, sabbatthakabahussutoti catubbidho hoti. Tattha tayo bahussutā samantapāsādikāya vinayaṭṭhakathāya ovādavagge vuttanayena gahetabbā. Sabbatthakabahussutā pana ānandattherasadisā honti. Te idha adhippetā.
อารทฺธวีริยาติ เยสํ กายิกญฺจ เจตสิกญฺจ วีริยํ อารทฺธํ โหติฯ ตตฺถ เย กายสงฺคณิกํ วิโนเทตฺวา จตูสุ อิริยาปเถสุ อฎฺฐอารพฺภวตฺถุวเสน เอกกา โหนฺติ, เตสํ กายิกวีริยํ อารทฺธํ นาม โหติฯ เย จิตฺตสงฺคาณิกํ วิโนเทตฺวา อฎฺฐสมาปตฺติวเสน เอกกา โหนฺติ, คมเน อุปฺปนฺนกิเลสสฺส ฐานํ ปาปุณิตุํ น เทนฺติ, ฐาเน อุปฺปนฺนกิเลสสฺส นิสชฺชํ, นิสชฺชาย อุปฺปนฺนกิเลสสฺส สยนํ ปาปุณิตุํ น เทนฺติ, อุปฺปนฺนุปฺปนฺนฎฺฐาเนเยว กิเลเส นิคฺคณฺหนฺติ, เตสํ เจตสิกวีริยํ อารทฺธํ นาม โหติฯ
Āraddhavīriyāti yesaṃ kāyikañca cetasikañca vīriyaṃ āraddhaṃ hoti. Tattha ye kāyasaṅgaṇikaṃ vinodetvā catūsu iriyāpathesu aṭṭhaārabbhavatthuvasena ekakā honti, tesaṃ kāyikavīriyaṃ āraddhaṃ nāma hoti. Ye cittasaṅgāṇikaṃ vinodetvā aṭṭhasamāpattivasena ekakā honti, gamane uppannakilesassa ṭhānaṃ pāpuṇituṃ na denti, ṭhāne uppannakilesassa nisajjaṃ, nisajjāya uppannakilesassa sayanaṃ pāpuṇituṃ na denti, uppannuppannaṭṭhāneyeva kilese niggaṇhanti, tesaṃ cetasikavīriyaṃ āraddhaṃ nāma hoti.
อุปฎฺฐิตสฺสตีติ จิรกตาทีนํ สริตา อนุสฺสริตา มหาคติมฺพยอภยเตฺถรทีฆภาณอภยเตฺถรติปิฎกจูฬาภยเตฺถรา วิยฯ มหาคติมฺพยอภยเตฺถโร กิร ชาตปญฺจมทิวเส มงฺคลปายาเส ตุณฺฑํ ปสาเรนฺตํ วายสํ ทิสฺวา หุํ หุนฺติ สทฺทมกาสิฯ อถ โส เถรกาเล – ‘‘กทา ปฎฺฐาย, ภเนฺต, สรถา’’ติ ภิกฺขูหิ ปุจฺฉิโต ‘‘ชาตปญฺจมทิวเส กตสทฺทโต ปฎฺฐาย อาวุโส’’ติ อาหฯ
Upaṭṭhitassatīti cirakatādīnaṃ saritā anussaritā mahāgatimbayaabhayattheradīghabhāṇaabhayattheratipiṭakacūḷābhayattherā viya. Mahāgatimbayaabhayatthero kira jātapañcamadivase maṅgalapāyāse tuṇḍaṃ pasārentaṃ vāyasaṃ disvā huṃ hunti saddamakāsi. Atha so therakāle – ‘‘kadā paṭṭhāya, bhante, sarathā’’ti bhikkhūhi pucchito ‘‘jātapañcamadivase katasaddato paṭṭhāya āvuso’’ti āha.
ทีฆภาณกอภยเตฺถรสฺส ชาตนวมทิวเส มาตา จุมฺพิสฺสามีติ โอนตา ตสฺสา โมฬิ มุจฺจิตฺถ ฯ ตโต ตุมฺพมตฺตานิ สุมนปุปฺผานิ ทารกสฺส อุเร ปติตฺวา ทุกฺขํ ชนยิํสุฯ โส เถรกาเล – ‘‘กทา ปฎฺฐาย, ภเนฺต, สรถา’’ติ ปุจฺฉิโต – ‘‘ชาตนวมทิวสโต ปฎฺฐายา’’ติ อาหฯ
Dīghabhāṇakaabhayattherassa jātanavamadivase mātā cumbissāmīti onatā tassā moḷi muccittha . Tato tumbamattāni sumanapupphāni dārakassa ure patitvā dukkhaṃ janayiṃsu. So therakāle – ‘‘kadā paṭṭhāya, bhante, sarathā’’ti pucchito – ‘‘jātanavamadivasato paṭṭhāyā’’ti āha.
ติปิฎกจูฬาภยเตฺถโร – ‘‘อนุราธปุเร ตีณิ ทฺวารานิ ปิทหาเปตฺวา มนุสฺสานํ เอเกน ทฺวาเรน นิกฺขมนํ กตฺวา – ‘ตฺวํ กินฺนาโม, ตฺวํ กินฺนาโม’ติ ปุจฺฉิตฺวา สายํ ปุน อปุจฺฉิตฺวาว เตสํ นามานิ สมฺปฎิจฺฉาเปตุํ – ‘‘สกฺกา อาวุโส’’ติ อาหฯ เอวรูเป ภิกฺขู สนฺธาย – ‘‘อุปฎฺฐิตสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ
Tipiṭakacūḷābhayatthero – ‘‘anurādhapure tīṇi dvārāni pidahāpetvā manussānaṃ ekena dvārena nikkhamanaṃ katvā – ‘tvaṃ kinnāmo, tvaṃ kinnāmo’ti pucchitvā sāyaṃ puna apucchitvāva tesaṃ nāmāni sampaṭicchāpetuṃ – ‘‘sakkā āvuso’’ti āha. Evarūpe bhikkhū sandhāya – ‘‘upaṭṭhitassatī’’ti vuttaṃ.
ปญฺญวโนฺตติ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยพฺพยปริคฺคาหิกาย ปญฺญาย สมนฺนาคตาฯ อปิ จ ทฺวีหิปิ เอเตหิ ปเทหิ วิปสฺสกานํ ภิกฺขูนํ วิปสฺสนาสมฺภารภูตา สมฺมาสติ เจว วิปสฺสนาปญฺญา จ กถิตาฯ
Paññavantoti pañcannaṃ khandhānaṃ udayabbayapariggāhikāya paññāya samannāgatā. Api ca dvīhipi etehi padehi vipassakānaṃ bhikkhūnaṃ vipassanāsambhārabhūtā sammāsati ceva vipassanāpaññā ca kathitā.
๑๓๙. จตุตฺถสตฺตเก สติเยว สโมฺพชฺฌโงฺค สติสโมฺพชฺฌโงฺคติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ ตตฺถ อุปฎฺฐานลกฺขโณ สติสโมฺพชฺฌโงฺค, ปวิจยลกฺขโณ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค, ปคฺคหลกฺขโณ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค, ผรณลกฺขโณ ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค, อุปสมลกฺขโณ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌโงฺค, อวิเกฺขปลกฺขโณ สมาธิสโมฺพชฺฌโงฺค, ปฎิสงฺขานลกฺขโณ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺคฯ ภาเวสฺสนฺตีติ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ จตูหิ การเณหิ สมุฎฺฐาเปนฺตา, ฉหิ การเณหิ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา, นวหิ การเณหิ วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา, ทสหิ การเณหิ ปีติสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา, สตฺตหิ การเณหิ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา, ทสหิ การเณหิ สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา, ปญฺจหิ การเณหิ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคํ สมุฎฺฐาเปนฺตา วเฑฺฒสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ อิมินา วิปสฺสนามคฺคผลสมฺปยุเตฺต โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสเก สโมฺพชฺฌเงฺค กเถสิฯ
139. Catutthasattake satiyeva sambojjhaṅgo satisambojjhaṅgoti. Esa nayo sabbattha. Tattha upaṭṭhānalakkhaṇo satisambojjhaṅgo, pavicayalakkhaṇo dhammavicayasambojjhaṅgo, paggahalakkhaṇo vīriyasambojjhaṅgo, pharaṇalakkhaṇo pītisambojjhaṅgo, upasamalakkhaṇo passaddhisambojjhaṅgo, avikkhepalakkhaṇo samādhisambojjhaṅgo, paṭisaṅkhānalakkhaṇo upekkhāsambojjhaṅgo. Bhāvessantīti satisambojjhaṅgaṃ catūhi kāraṇehi samuṭṭhāpentā, chahi kāraṇehi dhammavicayasambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā, navahi kāraṇehi vīriyasambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā, dasahi kāraṇehi pītisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā, sattahi kāraṇehi passaddhisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā, dasahi kāraṇehi samādhisambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā, pañcahi kāraṇehi upekkhāsambojjhaṅgaṃ samuṭṭhāpentā vaḍḍhessantīti attho. Iminā vipassanāmaggaphalasampayutte lokiyalokuttaramissake sambojjhaṅge kathesi.
๑๔๐. ปญฺจมสตฺตเก อนิจฺจสญฺญาติ อนิจฺจานุปสฺสนาย สทฺธิํ อุปฺปนฺนสญฺญาฯ อนตฺตสญฺญาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิมา สตฺต โลกิยวิปสฺสนาปิ โหนฺติฯ ‘‘เอตํ สนฺตํ, เอตํ ปณีตํ, ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ วิราโค นิโรโธ’’ติ (อ. นิ. ๙.๓๖) อาคตวเสเนตฺถ เทฺว โลกุตฺตราปิ โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
140. Pañcamasattake aniccasaññāti aniccānupassanāya saddhiṃ uppannasaññā. Anattasaññādīsupi eseva nayo. Imā satta lokiyavipassanāpi honti. ‘‘Etaṃ santaṃ, etaṃ paṇītaṃ, yadidaṃ sabbasaṅkhārasamatho virāgo nirodho’’ti (a. ni. 9.36) āgatavasenettha dve lokuttarāpi hontīti veditabbā.
๑๔๑. ฉเกฺก เมตฺตํ กายกมฺมนฺติ เมตฺตจิเตฺตน กตฺตพฺพํ กายกมฺมํฯ วจีกมฺมมโนกเมฺมสุปิ เอเสว นโยฯ อิมานิ ปน ภิกฺขูนํ วเสน อาคตานิ คิหีสุปิ ลพฺภนฺติ ฯ ภิกฺขูนญฺหิ เมตฺตจิเตฺตน อาภิสมาจาริกธมฺมปูรณํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ คิหีนํ เจติยวนฺทนตฺถาย โพธิวนฺทนตฺถาย สงฺฆนิมนฺตนตฺถาย คมนํ, คามํ ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคมนํ, ปตฺตปฺปฎิคฺคหณํ, อาสนปญฺญาปนํ, อนุคมนนฺติ เอวมาทิกํ เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ
141. Chakke mettaṃ kāyakammanti mettacittena kattabbaṃ kāyakammaṃ. Vacīkammamanokammesupi eseva nayo. Imāni pana bhikkhūnaṃ vasena āgatāni gihīsupi labbhanti . Bhikkhūnañhi mettacittena ābhisamācārikadhammapūraṇaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Gihīnaṃ cetiyavandanatthāya bodhivandanatthāya saṅghanimantanatthāya gamanaṃ, gāmaṃ piṇḍāya paviṭṭhaṃ bhikkhuṃ disvā paccuggamanaṃ, pattappaṭiggahaṇaṃ, āsanapaññāpanaṃ, anugamananti evamādikaṃ mettaṃ kāyakammaṃ nāma.
ภิกฺขูนํ เมตฺตจิเตฺตน อาจารปญฺญตฺติสิกฺขาปทปญฺญาปนํ, กมฺมฎฺฐานกถนํ, ธมฺมเทสนา, เตปิฎกมฺปิ พุทฺธวจนํ เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ คิหีนํ เจติยวนฺทนตฺถาย คจฺฉาม , โพธิวนฺทนตฺถาย คจฺฉาม, ธมฺมสฺสวนํ กริสฺสาม, ทีปมาลปุปฺผปูชํ กริสฺสาม, ตีณิ สุจริตานิ สมาทาย วตฺติสฺสาม, สลากภตฺตาทีนิ ทสฺสาม, วสฺสวาสิกํ ทสฺสาม, อชฺช สงฺฆสฺส จตฺตาโร ปจฺจเย ทสฺสาม, สงฺฆํ นิมเนฺตตฺวา ขาทนียาทีนิ สํวิทหถ, อาสนานิ ปญฺญาเปถ, ปานียํ อุปฎฺฐเปถ, สงฺฆํ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา อาเนถ, ปญฺญตฺตาสเน นิสีทาเปถ, ฉนฺทชาตา อุสฺสาหชาตา เวยฺยาวจฺจํ กโรถาติอาทิกถนกาเล เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ
Bhikkhūnaṃ mettacittena ācārapaññattisikkhāpadapaññāpanaṃ, kammaṭṭhānakathanaṃ, dhammadesanā, tepiṭakampi buddhavacanaṃ mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Gihīnaṃ cetiyavandanatthāya gacchāma , bodhivandanatthāya gacchāma, dhammassavanaṃ karissāma, dīpamālapupphapūjaṃ karissāma, tīṇi sucaritāni samādāya vattissāma, salākabhattādīni dassāma, vassavāsikaṃ dassāma, ajja saṅghassa cattāro paccaye dassāma, saṅghaṃ nimantetvā khādanīyādīni saṃvidahatha, āsanāni paññāpetha, pānīyaṃ upaṭṭhapetha, saṅghaṃ paccuggantvā ānetha, paññattāsane nisīdāpetha, chandajātā ussāhajātā veyyāvaccaṃ karothātiādikathanakāle mettaṃ vacīkammaṃ nāma.
ภิกฺขูนํ ปาโตว อุฎฺฐาย สรีรปฺปฎิชคฺคนํ, เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ จ กตฺวา วิวิตฺตาสเน นิสีทิตฺวา อิมสฺมิํ วิหาเร ภิกฺขู สุขี โหนฺตุ อเวรา อพฺยาปชฺชาติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ คิหีนํ ‘อยฺยา สุขี โหนฺตุ, อเวรา อพฺยาปชฺชา’ติ จินฺตนํ เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ
Bhikkhūnaṃ pātova uṭṭhāya sarīrappaṭijagganaṃ, cetiyaṅgaṇavattādīni ca katvā vivittāsane nisīditvā imasmiṃ vihāre bhikkhū sukhī hontu averā abyāpajjāti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma. Gihīnaṃ ‘ayyā sukhī hontu, averā abyāpajjā’ti cintanaṃ mettaṃ manokammaṃ nāma.
อาวิ เจว รโห จาติ สมฺมุขา จ ปรมฺมุขา จฯ ตตฺถ นวกานํ จีวรกมฺมาทีสุ สหายภาวคมนํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ เถรานํ ปน ปาทโธวนวนฺทนพีชนทานาทิเภทํ สพฺพํ สามีจิกมฺมํ สมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ อุภเยหิปิ ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ ทารุภณฺฑาทีนํ เตสุ อวมญฺญํ อกตฺวา อตฺตนา ทุนฺนิกฺขิตฺตานํ วิย ปฎิสามนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ กายกมฺมํ นามฯ
Āvi ceva raho cāti sammukhā ca parammukhā ca. Tattha navakānaṃ cīvarakammādīsu sahāyabhāvagamanaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Therānaṃ pana pādadhovanavandanabījanadānādibhedaṃ sabbaṃ sāmīcikammaṃ sammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma. Ubhayehipi dunnikkhittānaṃ dārubhaṇḍādīnaṃ tesu avamaññaṃ akatvā attanā dunnikkhittānaṃ viya paṭisāmanaṃ parammukhā mettaṃ kāyakammaṃ nāma.
เทวเตฺถโร ติสฺสเตฺถโรติ เอวํ ปคฺคยฺห วจนํ สมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ วิหาเร อสนฺตํ ปน ปฎิปุจฺฉนฺตสฺส กุหิํ อมฺหากํ เทวเตฺถโร, กุหิํ อมฺหากํ ติสฺสเตฺถโร, กทา นุ โข อาคมิสฺสตีติ เอวํ มมายนวจนํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ วจีกมฺมํ นามฯ
Devatthero tissattheroti evaṃ paggayha vacanaṃ sammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma. Vihāre asantaṃ pana paṭipucchantassa kuhiṃ amhākaṃ devatthero, kuhiṃ amhākaṃ tissatthero, kadā nu kho āgamissatīti evaṃ mamāyanavacanaṃ parammukhā mettaṃ vacīkammaṃ nāma.
เมตฺตาสิเนหสินิทฺธานิ ปน นยนานิ อุมฺมีเลตฺวา ปสเนฺนน มุเขน โอโลกนํ สมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ เทวเตฺถโร ติสฺสเตฺถโร อโรโค โหตุ, อปฺปาพาโธติ สมนฺนาหรณํ ปรมฺมุขา เมตฺตํ มโนกมฺมํ นามฯ
Mettāsinehasiniddhāni pana nayanāni ummīletvā pasannena mukhena olokanaṃ sammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma. Devatthero tissatthero arogo hotu, appābādhoti samannāharaṇaṃ parammukhā mettaṃ manokammaṃ nāma.
ลาภาติ จีวราทโย ลทฺธปจฺจยาฯ ธมฺมิกาติ กุหนาทิเภทํ มิจฺฉาชีวํ วเชฺชตฺวา ธเมฺมน สเมน ภิกฺขาจารวเตฺตน อุปฺปนฺนาฯ อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปีติ ปจฺฉิมโกฎิยา ปเตฺต ปริยาปนฺนํ ปตฺตสฺส อโนฺตคตํ ทฺวิติกฎจฺฉุภิกฺขามตฺตมฺปิ ฯ อปฺปฎิวิภตฺตโภคีติ เอตฺถ เทฺว ปฎิวิภตฺตา นาม – อามิสปฺปฎิวิภตฺตญฺจ, ปุคฺคลปฺปฎิวิภตฺตญฺจฯ ตตฺถ – ‘‘เอตฺตกํ ทสฺสามิ, เอตฺตกํ น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน วิภชนํ อามิสปฺปฎิวิภตฺตํ นามฯ ‘‘อสุกสฺส ทสฺสามิ, อสุกสฺส น ทสฺสามี’’ติ เอวํ จิเตฺตน วิภชนํ ปน ปุคฺคลปฺปฎิวิภตฺตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ อกตฺวา โย อปฺปฎิวิภตฺตํ ภุญฺชติ, อยํ อปฺปฎิวิภตฺตโภคี นามฯ
Lābhāti cīvarādayo laddhapaccayā. Dhammikāti kuhanādibhedaṃ micchājīvaṃ vajjetvā dhammena samena bhikkhācāravattena uppannā. Antamaso pattapariyāpannamattampīti pacchimakoṭiyā patte pariyāpannaṃ pattassa antogataṃ dvitikaṭacchubhikkhāmattampi . Appaṭivibhattabhogīti ettha dve paṭivibhattā nāma – āmisappaṭivibhattañca, puggalappaṭivibhattañca. Tattha – ‘‘ettakaṃ dassāmi, ettakaṃ na dassāmī’’ti evaṃ cittena vibhajanaṃ āmisappaṭivibhattaṃ nāma. ‘‘Asukassa dassāmi, asukassa na dassāmī’’ti evaṃ cittena vibhajanaṃ pana puggalappaṭivibhattaṃ nāma. Tadubhayampi akatvā yo appaṭivibhattaṃ bhuñjati, ayaṃ appaṭivibhattabhogī nāma.
สีลวเนฺตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคีติ เอตฺถ สาธารณโภคิโน อิทํ ลกฺขณํ, ยํ ยํ ปณีตํ ลพฺภติ, ตํ ตํ เนว ลาเภน ลาภํ นิชิคีสนตามุเขน คิหีนํ เทติ, น อตฺตนา ภุญฺชติ, ปฎิคฺคณฺหโนฺต จ – ‘‘สเงฺฆน สาธารณํ โหตู’’ติ คเหตฺวา ฆณฺฎิํ ปหริตฺวา ปริภุญฺชิตพฺพํ สงฺฆสนฺตกํ วิย ปสฺสติฯ
Sīlavantehisabrahmacārīhi sādhāraṇabhogīti ettha sādhāraṇabhogino idaṃ lakkhaṇaṃ, yaṃ yaṃ paṇītaṃ labbhati, taṃ taṃ neva lābhena lābhaṃ nijigīsanatāmukhena gihīnaṃ deti, na attanā bhuñjati, paṭiggaṇhanto ca – ‘‘saṅghena sādhāraṇaṃ hotū’’ti gahetvā ghaṇṭiṃ paharitvā paribhuñjitabbaṃ saṅghasantakaṃ viya passati.
อิมํ ปน สารณียธมฺมํ โก ปูเรติ, โก น ปูเรตีติ? ทุสฺสีโล ตาว น ปูเรติฯ น หิ ตสฺส สนฺตกํ สีลวนฺตา คณฺหนฺติฯ ปริสุทฺธสีโล ปน วตฺตํ อขเณฺฑโนฺต ปูเรติฯ ตตฺริทํ วตฺตํ – โย หิ โอทิสฺสกํ กตฺวา มาตุ วา ปิตุ วา อาจริยุปชฺฌายาทีนํ วา เทติ, โส ทาตพฺพํ เทติ, สารณียธโมฺม ปนสฺส น โหติ, ปลิโพธชคฺคนํ นาม โหติฯ สารณียธโมฺม หิ มุตฺตปลิโพธเสฺสว วฎฺฎติฯ เตน ปน โอทิสฺสกํ เทเนฺตน คิลานคิลานุปฎฺฐากอาคนฺตุกคมิกานเญฺจว นวปพฺพชิตสฺส จ สงฺฆาฎิปตฺตคฺคหณํ อชานนฺตสฺส ทาตพฺพํฯ เอเตสํ ทตฺวา อวเสสํ เถราสนโต ปฎฺฐาย โถกํ อทตฺวา โย ยตฺตกํ คณฺหาติ, ตสฺส ตตฺตกํ ทาตพฺพํฯ อวสิเฎฺฐ อสติ ปุน ปิณฺฑาย จริตฺวา เถราสนโต ปฎฺฐาย ยํ ยํ ปณีตํ, ตํ ทตฺวา เสสํ ปริภุญฺชิตพฺพํฯ ‘‘สีลวเนฺตหี’’ติ วจนโต ทุสฺสีลสฺส อทาตุมฺปิ วฎฺฎติฯ
Imaṃ pana sāraṇīyadhammaṃ ko pūreti, ko na pūretīti? Dussīlo tāva na pūreti. Na hi tassa santakaṃ sīlavantā gaṇhanti. Parisuddhasīlo pana vattaṃ akhaṇḍento pūreti. Tatridaṃ vattaṃ – yo hi odissakaṃ katvā mātu vā pitu vā ācariyupajjhāyādīnaṃ vā deti, so dātabbaṃ deti, sāraṇīyadhammo panassa na hoti, palibodhajagganaṃ nāma hoti. Sāraṇīyadhammo hi muttapalibodhasseva vaṭṭati. Tena pana odissakaṃ dentena gilānagilānupaṭṭhākaāgantukagamikānañceva navapabbajitassa ca saṅghāṭipattaggahaṇaṃ ajānantassa dātabbaṃ. Etesaṃ datvā avasesaṃ therāsanato paṭṭhāya thokaṃ adatvā yo yattakaṃ gaṇhāti, tassa tattakaṃ dātabbaṃ. Avasiṭṭhe asati puna piṇḍāya caritvā therāsanato paṭṭhāya yaṃ yaṃ paṇītaṃ, taṃ datvā sesaṃ paribhuñjitabbaṃ. ‘‘Sīlavantehī’’ti vacanato dussīlassa adātumpi vaṭṭati.
อยํ ปน สารณียธโมฺม สุสิกฺขิตาย ปริสาย สุปูโร โหติ, โน อสิกฺขิตาย ปริสายฯ สุสิกฺขิตาย หิ ปริสาย โย อญฺญโต ลภติ, โส น คณฺหาติฯ อญฺญโต อลภโนฺตปิ ปมาณยุตฺตเมว คณฺหาติ, นาติเรกํฯ อยํ ปน สารณียธโมฺม เอวํ ปุนปฺปุนํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ เทนฺตสฺสาปิ ทฺวาทสหิ วเสฺสหิ ปูรติ, น ตโต โอรํฯ สเจ หิ ทฺวาทสเม วเสฺส สารณียธมฺมปูรโก ปิณฺฑปาตปูรํ ปตฺตํ อาสนสาลายํ ฐเปตฺวา นหายิตุํ คจฺฉติ สงฺฆเตฺถโร จ กเสฺสโส ปโตฺตติ, ‘‘สารณียธมฺมปูรกสฺสา’’ติ วุเตฺต ‘‘อาหรถ น’’นฺติ สพฺพํ ปิณฺฑปาตํ วิจาเรตฺวา ภุญฺชิตฺวา จ ริตฺตํ ปตฺตํ ฐเปติ, อถ โส ภิกฺขุ ริตฺตํ ปตฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยฺหํ อนวเสเสตฺวาว ปริภุญฺชิํสู’’ติ โทมนสฺสํ อุปฺปาเทติ, สารณียธโมฺม ภิชฺชติ, ปุน ทฺวาทสวสฺสานิ ปูเรตโพฺพ โหติฯ ติตฺถิยปริวาสสทิโส เหส, สกิํ ขเณฺฑ ชาเต ปุน ปูเรตโพฺพวฯ โย ปน – ‘‘ลาภา วต เม, สุลทฺธํ วต เม, ยสฺส เม ปตฺตคตํ อนาปุจฺฉาว สพฺรหฺมจารี ปริภุญฺชนฺตี’’ติ โสมนสฺสํ ชเนติ, ตสฺส ปุโณฺณ นาม โหติฯ
Ayaṃ pana sāraṇīyadhammo susikkhitāya parisāya supūro hoti, no asikkhitāya parisāya. Susikkhitāya hi parisāya yo aññato labhati, so na gaṇhāti. Aññato alabhantopi pamāṇayuttameva gaṇhāti, nātirekaṃ. Ayaṃ pana sāraṇīyadhammo evaṃ punappunaṃ piṇḍāya caritvā laddhaṃ laddhaṃ dentassāpi dvādasahi vassehi pūrati, na tato oraṃ. Sace hi dvādasame vasse sāraṇīyadhammapūrako piṇḍapātapūraṃ pattaṃ āsanasālāyaṃ ṭhapetvā nahāyituṃ gacchati saṅghatthero ca kasseso pattoti, ‘‘sāraṇīyadhammapūrakassā’’ti vutte ‘‘āharatha na’’nti sabbaṃ piṇḍapātaṃ vicāretvā bhuñjitvā ca rittaṃ pattaṃ ṭhapeti, atha so bhikkhu rittaṃ pattaṃ disvā ‘‘mayhaṃ anavasesetvāva paribhuñjiṃsū’’ti domanassaṃ uppādeti, sāraṇīyadhammo bhijjati, puna dvādasavassāni pūretabbo hoti. Titthiyaparivāsasadiso hesa, sakiṃ khaṇḍe jāte puna pūretabbova. Yo pana – ‘‘lābhā vata me, suladdhaṃ vata me, yassa me pattagataṃ anāpucchāva sabrahmacārī paribhuñjantī’’ti somanassaṃ janeti, tassa puṇṇo nāma hoti.
เอวํ ปูริตสารณียธมฺมสฺส ปน เนว อิสฺสา, น มจฺฉริยํ โหติฯ โส มนุสฺสานํ ปิโย โหติ, สุลภปจฺจโย จ, ปตฺตคตมสฺส ทิยฺยมานมฺปิ น ขียติ, ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ลภติ, ภเย วา ฉาตเก วา สมฺปเตฺต เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺติฯ
Evaṃ pūritasāraṇīyadhammassa pana neva issā, na macchariyaṃ hoti. So manussānaṃ piyo hoti, sulabhapaccayo ca, pattagatamassa diyyamānampi na khīyati, bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ labhati, bhaye vā chātake vā sampatte devatā ussukkaṃ āpajjanti.
ตตฺริมานิ วตฺถูนิ – เสนคิริวาสี ติสฺสเตฺถโร กิร มหาคิริคามํ อุปนิสฺสาย วิหรติฯ ปญฺญาส มหาเถรา นาคทีปํ เจติยวนฺทนตฺถาย คจฺฉนฺตา คิริคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา กิญฺจิ อลทฺธา นิกฺขมิํสุฯ เถโร ปน ปวิสโนฺต เต ทิสฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ลทฺธํ, ภเนฺต’’ติ? วิจริมฺห อาวุโสติฯ โส เตสํ อลทฺธภาวํ ญตฺวา อาห – ‘‘ภเนฺต ยาวาหํ อาคจฺฉามิ, ตาว อิเธว โหถา’’ติฯ มยํ, อาวุโส, ปญฺญาส ชนา ปตฺตเตมนมตฺตมฺปิ น ลภิมฺหาติฯ ภเนฺต, เนวาสิกา นาม ปฎิพลา โหนฺติ, อลภนฺตาปิ ภิกฺขาจารมคฺคสภาคํ ชานนฺตีติฯ เถรา อาคเมสุํฯ เถโร คามํ ปาวิสิฯ ธุรเคเหเยว มหาอุปาสิกา ขีรภตฺตํ สเชฺชตฺวา เถรํ โอโลกยมานา ฐิตาฯ อถ เถรสฺส ทฺวารํ สมฺปตฺตเสฺสว ปตฺตํ ปูเรตฺวา อทาสิ, โส ตํ อาทาย เถรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา คณฺหถ, ภเนฺตติ, สงฺฆเตฺถรํ อาหฯ เถโร – ‘‘อเมฺหหิ เอตฺตเกหิ กิญฺจิ น ลทฺธํ, อยํ สีฆเมว คเหตฺวา อาคโต, กิํ นุ โข’’ติ เสสานํ มุขํ โอโลเกสิฯ เถโร โอโลกนากาเรเนว ญตฺวา ‘‘ภเนฺต, ธเมฺมน สเมน ลทฺธปิณฺฑปาโต, นิกฺกุกฺกุจฺจา คณฺหถา’’ติอาทิโต ปฎฺฐาย สเพฺพสํ ยาวทตฺถํ ทตฺวา อตฺตนาปิ ยาวทตฺถํ ภุญฺชิฯ
Tatrimāni vatthūni – senagirivāsī tissatthero kira mahāgirigāmaṃ upanissāya viharati. Paññāsa mahātherā nāgadīpaṃ cetiyavandanatthāya gacchantā girigāme piṇḍāya caritvā kiñci aladdhā nikkhamiṃsu. Thero pana pavisanto te disvā pucchi – ‘‘laddhaṃ, bhante’’ti? Vicarimha āvusoti. So tesaṃ aladdhabhāvaṃ ñatvā āha – ‘‘bhante yāvāhaṃ āgacchāmi, tāva idheva hothā’’ti. Mayaṃ, āvuso, paññāsa janā pattatemanamattampi na labhimhāti. Bhante, nevāsikā nāma paṭibalā honti, alabhantāpi bhikkhācāramaggasabhāgaṃ jānantīti. Therā āgamesuṃ. Thero gāmaṃ pāvisi. Dhurageheyeva mahāupāsikā khīrabhattaṃ sajjetvā theraṃ olokayamānā ṭhitā. Atha therassa dvāraṃ sampattasseva pattaṃ pūretvā adāsi, so taṃ ādāya therānaṃ santikaṃ gantvā gaṇhatha, bhanteti, saṅghattheraṃ āha. Thero – ‘‘amhehi ettakehi kiñci na laddhaṃ, ayaṃ sīghameva gahetvā āgato, kiṃ nu kho’’ti sesānaṃ mukhaṃ olokesi. Thero olokanākāreneva ñatvā ‘‘bhante, dhammena samena laddhapiṇḍapāto, nikkukkuccā gaṇhathā’’tiādito paṭṭhāya sabbesaṃ yāvadatthaṃ datvā attanāpi yāvadatthaṃ bhuñji.
อถ นํ ภตฺตกิจฺจาวสาเน เถรา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กทา, อาวุโส, โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌี’’ติ? นตฺถิ เม, ภเนฺต, โลกุตฺตรธโมฺมติฯ ฌานลาภีสิ, อาวุโสติ? เอตมฺปิ เม, ภเนฺต, นตฺถีติฯ นนุ, อาวุโส, ปาฎิหาริยนฺติ? สารณียธโมฺม เม, ภเนฺต, ปูริโต, ตสฺส เม ธมฺมสฺส ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย สเจปิ ภิกฺขุสตสหสฺสํ โหติ, ปตฺตคตํ น ขียตีติฯ เต สุตฺวา – ‘‘สาธุ สาธุ สปฺปุริส, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุยฺห’’นฺติ อาหํสุฯ อิทํ ตาว – ‘‘ปตฺตคตํ น ขียตี’’ติ เอตฺถ วตฺถุฯ
Atha naṃ bhattakiccāvasāne therā pucchiṃsu – ‘‘kadā, āvuso, lokuttaradhammaṃ paṭivijjhī’’ti? Natthi me, bhante, lokuttaradhammoti. Jhānalābhīsi, āvusoti? Etampi me, bhante, natthīti. Nanu, āvuso, pāṭihāriyanti? Sāraṇīyadhammo me, bhante, pūrito, tassa me dhammassa pūritakālato paṭṭhāya sacepi bhikkhusatasahassaṃ hoti, pattagataṃ na khīyatīti. Te sutvā – ‘‘sādhu sādhu sappurisa, anucchavikamidaṃ tuyha’’nti āhaṃsu. Idaṃ tāva – ‘‘pattagataṃ na khīyatī’’ti ettha vatthu.
อยเมว ปน เถโร เจติยปพฺพเต คิริภณฺฑมหาปูชาย ทานฎฺฐานํ คนฺตฺวา อิมสฺมิํ ฐาเน กิํ วรภณฺฑนฺติ ปุจฺฉิฯ เทฺว สาฎกา, ภเนฺตติฯ เอเต มยฺหํ ปาปุณิสฺสนฺตีติฯ ตํ สุตฺวา อมโจฺจ รโญฺญ อาโรเจสิ – ‘‘เอโก ทหโร เอวํ วทตี’’ติฯ ทหรสฺส เอวํ จิตฺตํ, มหาเถรานํ ปน สุขุมสาฎกา วฎฺฎนฺตีติ วตฺวา มหาเถรานํ ทสฺสามีติ ฐเปติฯ ตสฺส ภิกฺขุสเงฺฆ ปฎิปาฎิยา ฐิเต เทนฺตสฺส มตฺถเก ฐปิตาปิ เต สาฎกา หตฺถํ นาโรหนฺติฯ อเญฺญ อาโรหนฺติฯ ทหรสฺส ทานกาเล ปน หตฺถํ อารุฬฺหาฯ โส ตสฺส หเตฺถ ปาเตตฺวา อมจฺจสฺส มุขํ โอโลเกตฺวา ทหรํ นิสีทาเปตฺวา ทานํ ทตฺวา สงฺฆํ วิสฺสเชฺชตฺวา ทหรสฺส สนฺติเก นิสีทิตฺวา – ‘‘ภเนฺต, อิมํ ธมฺมํ กทา ปฎิวิชฺฌิตฺถา’’ติ อาหฯ โส ปริยาเยนาปิ อสนฺตํ อวทโนฺต – ‘‘นตฺถิ มยฺหํ มหาราช โลกุตฺตรธโมฺม’’ติ อาหฯ นนุ, ภเนฺต, ปุเพฺพ อวจุตฺถาติฯ อาม, มหาราช, สารณียธมฺมปูรโก อหํ, ตสฺส เม ธมฺมสฺส ปูริตกาลโต ปฎฺฐาย ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตีติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, ภเนฺต, อนุจฺฉวิกมิทํ ตุยฺห’’นฺติ วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ อิทํ – ‘‘ภาชนียภณฺฑฎฺฐาเน อคฺคภณฺฑํ ปาปุณาตี’’ติ เอตฺถ วตฺถุฯ
Ayameva pana thero cetiyapabbate giribhaṇḍamahāpūjāya dānaṭṭhānaṃ gantvā imasmiṃ ṭhāne kiṃ varabhaṇḍanti pucchi. Dve sāṭakā, bhanteti. Ete mayhaṃ pāpuṇissantīti. Taṃ sutvā amacco rañño ārocesi – ‘‘eko daharo evaṃ vadatī’’ti. Daharassa evaṃ cittaṃ, mahātherānaṃ pana sukhumasāṭakā vaṭṭantīti vatvā mahātherānaṃ dassāmīti ṭhapeti. Tassa bhikkhusaṅghe paṭipāṭiyā ṭhite dentassa matthake ṭhapitāpi te sāṭakā hatthaṃ nārohanti. Aññe ārohanti. Daharassa dānakāle pana hatthaṃ āruḷhā. So tassa hatthe pātetvā amaccassa mukhaṃ oloketvā daharaṃ nisīdāpetvā dānaṃ datvā saṅghaṃ vissajjetvā daharassa santike nisīditvā – ‘‘bhante, imaṃ dhammaṃ kadā paṭivijjhitthā’’ti āha. So pariyāyenāpi asantaṃ avadanto – ‘‘natthi mayhaṃ mahārāja lokuttaradhammo’’ti āha. Nanu, bhante, pubbe avacutthāti. Āma, mahārāja, sāraṇīyadhammapūrako ahaṃ, tassa me dhammassa pūritakālato paṭṭhāya bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātīti. ‘‘Sādhu sādhu, bhante, anucchavikamidaṃ tuyha’’nti vanditvā pakkāmi. Idaṃ – ‘‘bhājanīyabhaṇḍaṭṭhāne aggabhaṇḍaṃ pāpuṇātī’’ti ettha vatthu.
พฺราหฺมณติสฺสภเย ปน ภาตรคามวาสิโน นาคเตฺถริยา อนาโรเจตฺวาว ปลายิํสุฯ เถรี ปจฺจูสสมเย – ‘‘อติวิย อปฺปนิโคฺฆโส คาโม, อุปธาเรถ ตาวา’’ติ ทหรภิกฺขุนิโย อาหฯ ตา คนฺตฺวา สเพฺพสํ คตภาวํ ญตฺวา อาคมฺม เถริยา อาโรเจสุํฯ สา สุตฺวา ‘‘มา ตุเมฺห เตสํ คตภาวํ จินฺตยิตฺถ, อตฺตโน อุเทฺทสปริปุจฺฉาโยนิโสมนสิกาเรสุเยว โยคํ กโรถา’’ติ วตฺวา ภิกฺขาจารเวลายํ ปารุปิตฺวา อตฺตทฺวาทสมา คามทฺวาเร นิโคฺรธมูเล อฎฺฐาสิฯ รุเกฺข อธิวตฺถาเทวตา ทฺวาทสนฺนมฺปิ ภิกฺขุนีนํ ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา ‘‘อเยฺย, มา อญฺญตฺถ คจฺฉถ, นิจฺจํ อิเธว เอถา’’ติ อาหฯ เถริยา ปน กนิฎฺฐภาตา นาคเตฺถโร นาม อตฺถิ, โส – ‘‘มหนฺตํ ภยํ, น สกฺกา อิธ ยาเปตุํ, ปรตีรํ คมิสฺสามี’’ติ อตฺตทฺวาทสโมว อตฺตโน วสนฎฺฐานา นิกฺขโนฺต เถริํ ทิสฺวา คมิสฺสามีติ ภาตรคามํ อาคโตฯ เถรี – ‘‘เถรา อาคตา’’ติ สุตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา กิํ อยฺยาติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิฯ สา – ‘‘อชฺช เอกทิวสํ วิหาเรเยว วสิตฺวา เสฺว คมิสฺสถา’’ติ อาหฯ เถรา วิหารํ อคมํสุฯ
Brāhmaṇatissabhaye pana bhātaragāmavāsino nāgattheriyā anārocetvāva palāyiṃsu. Therī paccūsasamaye – ‘‘ativiya appanigghoso gāmo, upadhāretha tāvā’’ti daharabhikkhuniyo āha. Tā gantvā sabbesaṃ gatabhāvaṃ ñatvā āgamma theriyā ārocesuṃ. Sā sutvā ‘‘mā tumhe tesaṃ gatabhāvaṃ cintayittha, attano uddesaparipucchāyonisomanasikāresuyeva yogaṃ karothā’’ti vatvā bhikkhācāravelāyaṃ pārupitvā attadvādasamā gāmadvāre nigrodhamūle aṭṭhāsi. Rukkhe adhivatthādevatā dvādasannampi bhikkhunīnaṃ piṇḍapātaṃ datvā ‘‘ayye, mā aññattha gacchatha, niccaṃ idheva ethā’’ti āha. Theriyā pana kaniṭṭhabhātā nāgatthero nāma atthi, so – ‘‘mahantaṃ bhayaṃ, na sakkā idha yāpetuṃ, paratīraṃ gamissāmī’’ti attadvādasamova attano vasanaṭṭhānā nikkhanto theriṃ disvā gamissāmīti bhātaragāmaṃ āgato. Therī – ‘‘therā āgatā’’ti sutvā tesaṃ santikaṃ gantvā kiṃ ayyāti pucchi. So taṃ pavattiṃ ācikkhi. Sā – ‘‘ajja ekadivasaṃ vihāreyeva vasitvā sve gamissathā’’ti āha. Therā vihāraṃ agamaṃsu.
เถรี ปุนทิวเส รุกฺขมูเล ปิณฺฑาย จริตฺวา เถรํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชถา’’ติ อาหฯ เถโร – ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เถรี’’ติ วตฺวา ตุณฺหี อฎฺฐาสิฯ ธมฺมิโก ตาต ปิณฺฑปาโต , กุกฺกุจฺจํ อกตฺวา ปริภุญฺชถาติฯ ‘‘วฎฺฎิสฺสติ เถรี’’ติฯ สา ปตฺตํ คเหตฺวา อากาเส ขิปิฯ ปโตฺต อากาเส อฎฺฐาสิฯ เถโร – ‘‘สตฺตตาลมเตฺต ฐิตมฺปิ ภิกฺขุนิภตฺตเมว เถรี’’ติ วตฺวา – ‘‘ภยํ นาม สพฺพกาลํ น โหติ, ภเย วูปสเนฺต อริยวํสํ กถยมาโน, ‘โภ ปิณฺฑปาติก, ภิกฺขุนิภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา วีตินามยิตฺถา’ติ จิเตฺตน อนุวทิยมาโน สนฺถเมฺภตุํ น สกฺขิสฺสามิ, อปฺปมตฺตา โหถ เถริโย’’ติ มคฺคํ อารุหิฯ
Therī punadivase rukkhamūle piṇḍāya caritvā theraṃ upasaṅkamitvā ‘‘imaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjathā’’ti āha. Thero – ‘‘vaṭṭissati therī’’ti vatvā tuṇhī aṭṭhāsi. Dhammiko tāta piṇḍapāto , kukkuccaṃ akatvā paribhuñjathāti. ‘‘Vaṭṭissati therī’’ti. Sā pattaṃ gahetvā ākāse khipi. Patto ākāse aṭṭhāsi. Thero – ‘‘sattatālamatte ṭhitampi bhikkhunibhattameva therī’’ti vatvā – ‘‘bhayaṃ nāma sabbakālaṃ na hoti, bhaye vūpasante ariyavaṃsaṃ kathayamāno, ‘bho piṇḍapātika, bhikkhunibhattaṃ bhuñjitvā vītināmayitthā’ti cittena anuvadiyamāno santhambhetuṃ na sakkhissāmi, appamattā hotha theriyo’’ti maggaṃ āruhi.
รุกฺขเทวตาปิ – ‘‘สเจ เถโร เถริยา หตฺถโต ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิสฺสติ, น นํ นิวเตฺตสฺสามิฯ สเจ น ปริภุญฺชิสฺสติ, นิวเตฺตสฺสามี’’ติ จินฺตยมานา ฐตฺวา เถรสฺส คมนํ ทิสฺวา รุกฺขา โอรุยฺห ปตฺตํ, ภเนฺต, เทถาติ ปตฺตํ คเหตฺวา เถรํ รุกฺขมูลํเยว อาเนตฺวา อาสนํ ปญฺญเปตฺวา ปิณฺฑปาตํ ทตฺวา กตภตฺตกิจฺจํ ปฎิญฺญํ กาเรตฺวา ทฺวาทส ภิกฺขุนิโย ทฺวาทส ภิกฺขู จ สตฺตวสฺสานิ อุปฎฺฐหิฯ อิทํ – ‘‘เทวตา อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺตี’’ติ เอตฺถ วตฺถุฯ ตตฺร หิ เถรี สารณียธมฺมปูริกา อโหสิฯ
Rukkhadevatāpi – ‘‘sace thero theriyā hatthato piṇḍapātaṃ paribhuñjissati, na naṃ nivattessāmi. Sace na paribhuñjissati, nivattessāmī’’ti cintayamānā ṭhatvā therassa gamanaṃ disvā rukkhā oruyha pattaṃ, bhante, dethāti pattaṃ gahetvā theraṃ rukkhamūlaṃyeva ānetvā āsanaṃ paññapetvā piṇḍapātaṃ datvā katabhattakiccaṃ paṭiññaṃ kāretvā dvādasa bhikkhuniyo dvādasa bhikkhū ca sattavassāni upaṭṭhahi. Idaṃ – ‘‘devatā ussukkaṃ āpajjantī’’ti ettha vatthu. Tatra hi therī sāraṇīyadhammapūrikā ahosi.
อขณฺฑานีติอาทีสุ ยสฺส สตฺตสุ อาปตฺติกฺขเนฺธสุ อาทิมฺหิ วา อเนฺต วา สิกฺขาปทํ ภินฺนํ โหติ, ตสฺส สีลํ ปริยเนฺต ฉินฺนสาฎโก วิย ขณฺฑํ นามฯ ยสฺส ปน เวมเชฺฌ ภินฺนํ, ตสฺส มเชฺฌ ฉิทฺทสาฎโก วิย ฉิทฺทํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน ปฎิปาฎิยา เทฺว ตีณิ ภินฺนานิ, ตสฺส ปิฎฺฐิยํ วา กุจฺฉิยํ วา อุฎฺฐิเตน วิสภาควเณฺณน กาฬรตฺตาทีนํ อญฺญตรวณฺณา คาวี วิย สพลํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน อนฺตรนฺตรา วิสภาคพินฺทุจิตฺรา คาวี วิย กมฺมาสํ นาม โหติฯ ยสฺส ปน สเพฺพนสพฺพํ อภินฺนานิ, ตสฺส ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ นาม โหนฺติฯ ตานิ ปเนตานิ ตณฺหาทาสพฺยโต โมเจตฺวา ภุชิสฺสภาวกรณโต ภุชิสฺสานิฯ พุทฺธาทีหิ วิญฺญูหิ ปสตฺถตฺตา วิญฺญุปสตฺถานิ, ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อปรามฎฺฐตฺตา – ‘‘อิทํ นาม ตฺวํ อาปนฺนปุโพฺพ’’ติ เกนจิ ปรามฎฺฐุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา จ อปรามฎฺฐานิ, อุปจารสมาธิํ วา อปฺปนาสมาธิํ วา สํวตฺตยนฺตีติ สมาธิสํวตฺตนิกานีติ วุจฺจนฺติฯ
Akhaṇḍānītiādīsu yassa sattasu āpattikkhandhesu ādimhi vā ante vā sikkhāpadaṃ bhinnaṃ hoti, tassa sīlaṃ pariyante chinnasāṭako viya khaṇḍaṃ nāma. Yassa pana vemajjhe bhinnaṃ, tassa majjhe chiddasāṭako viya chiddaṃ nāma hoti. Yassa pana paṭipāṭiyā dve tīṇi bhinnāni, tassa piṭṭhiyaṃ vā kucchiyaṃ vā uṭṭhitena visabhāgavaṇṇena kāḷarattādīnaṃ aññataravaṇṇā gāvī viya sabalaṃ nāma hoti. Yassa pana antarantarā visabhāgabinducitrā gāvī viya kammāsaṃ nāma hoti. Yassa pana sabbenasabbaṃ abhinnāni, tassa tāni sīlāni akhaṇḍāni acchiddāni asabalāni akammāsāni nāma honti. Tāni panetāni taṇhādāsabyato mocetvā bhujissabhāvakaraṇato bhujissāni. Buddhādīhi viññūhi pasatthattā viññupasatthāni, taṇhādiṭṭhīhi aparāmaṭṭhattā – ‘‘idaṃ nāma tvaṃ āpannapubbo’’ti kenaci parāmaṭṭhuṃ asakkuṇeyyattā ca aparāmaṭṭhāni, upacārasamādhiṃ vā appanāsamādhiṃ vā saṃvattayantīti samādhisaṃvattanikānīti vuccanti.
สีลสามญฺญคตา วิหริสฺสนฺตีติ เตสุ เตสุ ทิสาภาเคสุ วิหรเนฺตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมานภาวูปคตสีลา วิหริสฺสนฺติฯ โสตาปนฺนาทีนญฺหิ สีลํ สมุทฺทนฺตเรปิ เทวโลเกปิ วสนฺตานํ อเญฺญสํ โสตาปนฺนาทีนํ สีเลน สมานเมว โหติ, นตฺถิ มคฺคสีเล นานตฺตํฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
Sīlasāmaññagatāviharissantīti tesu tesu disābhāgesu viharantehi bhikkhūhi saddhiṃ samānabhāvūpagatasīlā viharissanti. Sotāpannādīnañhi sīlaṃ samuddantarepi devalokepi vasantānaṃ aññesaṃ sotāpannādīnaṃ sīlena samānameva hoti, natthi maggasīle nānattaṃ. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
ยายํ ทิฎฺฐีติ มคฺคสมฺปยุตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิฯ อริยาติ นิโทฺทสาฯ นิยฺยาตีติ นิยฺยานิกาฯ ตกฺกรสฺสาติ โย ตถาการี โหติฯ สพฺพทุกฺขกฺขยายาติ สพฺพทุกฺขกฺขยตฺถํฯ ทิฎฺฐิสามญฺญคตาติ สมานทิฎฺฐิภาวํ อุปคตา หุตฺวา วิหริสฺสนฺติฯ วุทฺธิเยวาติ เอวํ วิหรนฺตานํ วุทฺธิเยว ภิกฺขูนํ ปาฎิกงฺขา, โน ปริหานีติฯ
Yāyaṃdiṭṭhīti maggasampayuttā sammādiṭṭhi. Ariyāti niddosā. Niyyātīti niyyānikā. Takkarassāti yo tathākārī hoti. Sabbadukkhakkhayāyāti sabbadukkhakkhayatthaṃ. Diṭṭhisāmaññagatāti samānadiṭṭhibhāvaṃ upagatā hutvā viharissanti. Vuddhiyevāti evaṃ viharantānaṃ vuddhiyeva bhikkhūnaṃ pāṭikaṅkhā, no parihānīti.
๑๔๒. เอตเทว พหุลนฺติ อาสนฺนปรินิพฺพานตฺตา ภิกฺขุ โอวทโนฺต ปุนปฺปุนํ เอตํเยว ธมฺมิํ กถํ กโรติฯ อิติ สีลนฺติ เอวํ สีลํ, เอตฺตกํ สีลํฯ เอตฺถ จตุปาริสุทฺธิสีลํ สีลํ จิเตฺตกคฺคตา สมาธิ, วิปสฺสนาปญฺญา ปญฺญาติ เวทิตพฺพาฯ สีลปริภาวิโตติ อาทีสุ ยสฺมิํ สีเล ฐตฺวาว มคฺคสมาธิํ ผลสมาธิํ นิพฺพเตฺตนฺติฯ เอโส เตน สีเลน ปริภาวิโต มหปฺผโล โหติ, มหานิสํโสฯ ยมฺหิ สมาธิมฺหิ ฐตฺวา มคฺคปญฺญํ ผลปญฺญํ นิพฺพเตฺตนฺติ, สา เตน สมาธินา ปริภาวิตา มหปฺผลา โหติ, มหานิสํสาฯ ยาย ปญฺญาย ฐตฺวา มคฺคจิตฺตํ ผลจิตฺตํ นิพฺพเตฺตนฺติ, ตํ ตาย ปริภาวิตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติฯ
142.Etadeva bahulanti āsannaparinibbānattā bhikkhu ovadanto punappunaṃ etaṃyeva dhammiṃ kathaṃ karoti. Iti sīlanti evaṃ sīlaṃ, ettakaṃ sīlaṃ. Ettha catupārisuddhisīlaṃ sīlaṃ cittekaggatā samādhi, vipassanāpaññā paññāti veditabbā. Sīlaparibhāvitoti ādīsu yasmiṃ sīle ṭhatvāva maggasamādhiṃ phalasamādhiṃ nibbattenti. Eso tena sīlena paribhāvito mahapphalo hoti, mahānisaṃso. Yamhi samādhimhi ṭhatvā maggapaññaṃ phalapaññaṃ nibbattenti, sā tena samādhinā paribhāvitā mahapphalā hoti, mahānisaṃsā. Yāya paññāya ṭhatvā maggacittaṃ phalacittaṃ nibbattenti, taṃ tāya paribhāvitaṃ sammadeva āsavehi vimuccati.
ยถาภิรนฺตนฺติ พุทฺธานํ อนภิรติปริตสฺสิตํ นาม นตฺถิ, ยถารุจิ ยถาอชฺฌาสยนฺติ ปน วุตฺตํ โหติฯ อายามาติ เอหิ ยามฯ ‘‘อยามา’’ติปิ ปาโฐ, คจฺฉามาติ อโตฺถฯ อานนฺทาติ ภควา สนฺติกาวจรตฺตา เถรํ อาลปติฯ เถโร ปน – ‘‘คณฺหถาวุโส ปตฺตจีวรานิ, ภควา อสุกฎฺฐานํ คนฺตุกาโม’’ติ ภิกฺขูนํ อาโรเจติฯ
Yathābhirantanti buddhānaṃ anabhiratiparitassitaṃ nāma natthi, yathāruci yathāajjhāsayanti pana vuttaṃ hoti. Āyāmāti ehi yāma. ‘‘Ayāmā’’tipi pāṭho, gacchāmāti attho. Ānandāti bhagavā santikāvacarattā theraṃ ālapati. Thero pana – ‘‘gaṇhathāvuso pattacīvarāni, bhagavā asukaṭṭhānaṃ gantukāmo’’ti bhikkhūnaṃ āroceti.
๑๔๔. อมฺพลฎฺฐิกาคมนํ อุตฺตานเมวฯ อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺตติอาทิ (ที. นิ. ๓.๑๔๑) สมฺปสาทนีเย วิตฺถาริตํฯ
144.Ambalaṭṭhikāgamanaṃ uttānameva. Atha kho āyasmā sāriputtotiādi (dī. ni. 3.141) sampasādanīye vitthāritaṃ.
ทุสฺสีลอาทีนววณฺณนา
Dussīlaādīnavavaṇṇanā
๑๔๘. ปาฎลิคมเน อาวสถาคารนฺติ อาคนฺตุกานํ อาวสถเคหํฯ ปาฎลิคาเม กิร นิจฺจกาลํ ทฺวินฺนํ ราชูนํ สหายกา อาคนฺตฺวา กุลานิ เคหโต นีหริตฺวา มาสมฺปิ อฑฺฒมาสมฺปิ วสนฺติฯ เต มนุสฺสา นิจฺจุปทฺทุตา – ‘‘เอเตสํ อาคตกาเล วสนฎฺฐานํ ภวิสฺสตี’’ติ นครมเชฺฌ มหติํ สาลํ กริตฺวา ตสฺสา เอกสฺมิํ ปเทเส ภณฺฑปฎิสามนฎฺฐานํ, เอกสฺมิํ ปเทเส นิวาสฎฺฐานํ อกํสุฯ เต – ‘‘ภควา อาคโต’’ติ สุตฺวาว – ‘‘อเมฺหหิ คนฺตฺวาปิ ภควา อาเนตโพฺพ สิยา, โส สยเมว อมฺหากํ วสนฎฺฐานํ สมฺปโตฺต, อชฺช ภควนฺตํ อาวสเถ มงฺคลํ วทาเปสฺสามา’’ติ เอตทตฺถเมว อุปสงฺกมนฺตาฯ ตสฺมา เอวมาหํสุฯ เยน อาวสถาคารนฺติ เต กิร – ‘‘พุทฺธา นาม อรญฺญชฺฌาสยา อรญฺญารามา อโนฺตคาเม วสิตุํ อิเจฺฉยฺยุํ วา โน วา’’ติ ภควโต มนํ อชานนฺตา อาวสถาคารํ อปฺปฎิชคฺคิตฺวาว อาคมํสุฯ อิทานิ ภควโต มนํ ญตฺวา ปุเรตรํ คนฺตฺวา ปฎิชคฺคิสฺสามาติ เยนาวสถาคารํ, เตนุปสงฺกมิํสุฯ สพฺพสนฺถรินฺติ ยถา สพฺพํ สนฺถตํ โหติ, เอวํ สนฺถริํฯ
148. Pāṭaligamane āvasathāgāranti āgantukānaṃ āvasathagehaṃ. Pāṭaligāme kira niccakālaṃ dvinnaṃ rājūnaṃ sahāyakā āgantvā kulāni gehato nīharitvā māsampi aḍḍhamāsampi vasanti. Te manussā niccupaddutā – ‘‘etesaṃ āgatakāle vasanaṭṭhānaṃ bhavissatī’’ti nagaramajjhe mahatiṃ sālaṃ karitvā tassā ekasmiṃ padese bhaṇḍapaṭisāmanaṭṭhānaṃ, ekasmiṃ padese nivāsaṭṭhānaṃ akaṃsu. Te – ‘‘bhagavā āgato’’ti sutvāva – ‘‘amhehi gantvāpi bhagavā ānetabbo siyā, so sayameva amhākaṃ vasanaṭṭhānaṃ sampatto, ajja bhagavantaṃ āvasathe maṅgalaṃ vadāpessāmā’’ti etadatthameva upasaṅkamantā. Tasmā evamāhaṃsu. Yena āvasathāgāranti te kira – ‘‘buddhā nāma araññajjhāsayā araññārāmā antogāme vasituṃ iccheyyuṃ vā no vā’’ti bhagavato manaṃ ajānantā āvasathāgāraṃ appaṭijaggitvāva āgamaṃsu. Idāni bhagavato manaṃ ñatvā puretaraṃ gantvā paṭijaggissāmāti yenāvasathāgāraṃ, tenupasaṅkamiṃsu. Sabbasantharinti yathā sabbaṃ santhataṃ hoti, evaṃ santhariṃ.
๑๔๙. ทุสฺสีโลติ อสีโล นิสฺสีโลฯ สีลวิปโนฺนติ วิปนฺนสีโล ภินฺนสํวโรฯ ปมาทาธิกรณนฺติ ปมาทการณาฯ
149.Dussīloti asīlo nissīlo. Sīlavipannoti vipannasīlo bhinnasaṃvaro. Pamādādhikaraṇanti pamādakāraṇā.
อิทญฺจ สุตฺตํ คหฎฺฐานํ วเสน อาคตํ ปพฺพชิตานมฺปิ ปน ลพฺภเตวฯ คหโฎฺฐ หิ เยน เยน สิปฺปฎฺฐาเนน ชีวิตํ กเปฺปติ – ยทิ กสิยา, ยทิ วณิชฺชาย, ปาณาติปาตาทิวเสน ปมโตฺต ตํ ตํ ยถากาลํ สมฺปาเทตุํ น สโกฺกติ, อถสฺส มูลมฺปิ วินสฺสติฯ มาฆาตกาเล ปาณาติปาตํ ปน อทินฺนาทานาทีนิ จ กโรโนฺต ทณฺฑวเสน มหติํ โภคชานิํ นิคจฺฉติฯ ปพฺพชิโต ทุสฺสีโล จ ปมาทการณา สีลโต พุทฺธวจนโต ฌานโต สตฺตอริยธนโต จ ชานิํ นิคจฺฉติฯ
Idañca suttaṃ gahaṭṭhānaṃ vasena āgataṃ pabbajitānampi pana labbhateva. Gahaṭṭho hi yena yena sippaṭṭhānena jīvitaṃ kappeti – yadi kasiyā, yadi vaṇijjāya, pāṇātipātādivasena pamatto taṃ taṃ yathākālaṃ sampādetuṃ na sakkoti, athassa mūlampi vinassati. Māghātakāle pāṇātipātaṃ pana adinnādānādīni ca karonto daṇḍavasena mahatiṃ bhogajāniṃ nigacchati. Pabbajito dussīlo ca pamādakāraṇā sīlato buddhavacanato jhānato sattaariyadhanato ca jāniṃ nigacchati.
คหฎฺฐสฺส – ‘‘อสุโก นาม อสุกกุเล ชาโต ทุสฺสีโล ปาปธโมฺม ปริจฺจตฺตอิธโลกปรโลโก สลากภตฺตมตฺตมฺปิ น เทตี’’ติ จตุปริสมเชฺฌ ปาปโก กิตฺติสโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติฯ ปพฺพชิตสฺส วา – ‘‘อสุโก นาม นาสกฺขิ สีลํ รกฺขิตุํ, น พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตุํ, เวชฺชกมฺมาทีหิ ชีวติ, ฉหิ อคารเวหิ สมนฺนาคโต’’ติ เอวํ อพฺภุคฺคจฺฉติฯ
Gahaṭṭhassa – ‘‘asuko nāma asukakule jāto dussīlo pāpadhammo pariccattaidhalokaparaloko salākabhattamattampi na detī’’ti catuparisamajjhe pāpako kittisaddo abbhuggacchati. Pabbajitassa vā – ‘‘asuko nāma nāsakkhi sīlaṃ rakkhituṃ, na buddhavacanaṃ uggahetuṃ, vejjakammādīhi jīvati, chahi agāravehi samannāgato’’ti evaṃ abbhuggacchati.
อวิสารโทติ คหโฎฺฐ ตาว – ‘‘อวสฺสํ พหูนํ สนฺนิปาตฎฺฐาเน เกจิ มม กมฺมํ ชานิสฺสนฺติ, อถ มํ นิคฺคณฺหิสฺสนฺตี’’ติ วา, ‘‘ราชกุลสฺส วา ทสฺสนฺตี’’ติ สภโย อุปสงฺกมติ, มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขโนฺธ อโธมุโข องฺคุลิเกน ภูมิํ กสโนฺต นิสีทติ, วิสารโท หุตฺวา กเถตุํ น สโกฺกติฯ ปพฺพชิโตปิ – ‘‘พหู ภิกฺขู สนฺนิปติตา, อวสฺสํ โกจิ มม กมฺมํ ชานิสฺสติ, อถ เม อุโปสถมฺปิ ปวารณมฺปิ ฐเปตฺวา สามญฺญโต จาเวตฺวา นิกฺกฑฺฒิสฺสนฺตี’’ติ สภโย อุปสงฺกมติ, วิสารโท หุตฺวา กเถตุํ น สโกฺกติฯ เอกโจฺจ ปน ทุสฺสีโลปิ ทปฺปิโต วิย วิจรติ, โสปิ อชฺฌาสเยน มงฺกุ โหติเยวฯ
Avisāradoti gahaṭṭho tāva – ‘‘avassaṃ bahūnaṃ sannipātaṭṭhāne keci mama kammaṃ jānissanti, atha maṃ niggaṇhissantī’’ti vā, ‘‘rājakulassa vā dassantī’’ti sabhayo upasaṅkamati, maṅkubhūto pattakkhandho adhomukho aṅgulikena bhūmiṃ kasanto nisīdati, visārado hutvā kathetuṃ na sakkoti. Pabbajitopi – ‘‘bahū bhikkhū sannipatitā, avassaṃ koci mama kammaṃ jānissati, atha me uposathampi pavāraṇampi ṭhapetvā sāmaññato cāvetvā nikkaḍḍhissantī’’ti sabhayo upasaṅkamati, visārado hutvā kathetuṃ na sakkoti. Ekacco pana dussīlopi dappito viya vicarati, sopi ajjhāsayena maṅku hotiyeva.
สมฺมูโฬฺห กาลงฺกโรตีติ ตสฺส หิ มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส ทุสฺสีลกเมฺม สมาทาย ปวตฺติตฎฺฐานํ อาปาถมาคจฺฉติ, โส อุมฺมีเลตฺวา อิธโลกํ ปสฺสติ, นิมีเลตฺวา ปรโลกํ ปสฺสติ , ตสฺส จตฺตาโร อปายา อุปฎฺฐหนฺติ, สตฺติสเตน สีเส ปหริยมาโน วิย โหติฯ โส – ‘‘วาเรถ, วาเรถา’’ติ วิรวโนฺต มรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สมฺมูโฬฺห กาลํ กโรตี’’ติฯ ปญฺจมปทํ อุตฺตานเมวฯ
Sammūḷho kālaṅkarotīti tassa hi maraṇamañce nipannassa dussīlakamme samādāya pavattitaṭṭhānaṃ āpāthamāgacchati, so ummīletvā idhalokaṃ passati, nimīletvā paralokaṃ passati , tassa cattāro apāyā upaṭṭhahanti, sattisatena sīse pahariyamāno viya hoti. So – ‘‘vāretha, vārethā’’ti viravanto marati. Tena vuttaṃ – ‘‘sammūḷho kālaṃ karotī’’ti. Pañcamapadaṃ uttānameva.
๑๕๐. อานิสํสกถา วุตฺตวิปริยาเยน เวทิตพฺพาฯ
150.Ānisaṃsakathā vuttavipariyāyena veditabbā.
๑๕๑. พหุเทว รตฺติํ ธมฺมิยา กถายาติ อญฺญาย ปาฬิมุตฺตกาย ธมฺมิกถาย เจว อาวสถานุโมทนาย จ อากาสคงฺคํ โอตาเรโนฺต วิย โยชนปฺปมาณํ มหามธุํ ปีเฬตฺวา มธุปานํ ปาเยโนฺต วิย พหุเทว รตฺติํ สนฺทเสฺสตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อุโยฺยเชสิฯ อภิกฺกนฺตาติ อติกฺกนฺตา ขีณา ขยวยํ อุเปตาฯ สุญฺญาคารนฺติ ปาฎิเยกฺกํ สุญฺญาคารํ นาม นตฺถิ, ตเตฺถว ปน เอกปเสฺส สาณิปากาเรน ปริกฺขิปิตฺวา – ‘‘อิธ สตฺถา วิสฺสมิสฺสตี’’ติ มญฺจกํ ปญฺญเปสุํฯ ภควา – ‘‘จตูหิปิ อิริยาปเถหิ ปริภุตฺตํ เอเตสํ มหปฺผลํ ภวิสฺสตี’’ติ ตตฺถ สีหเสยฺยํ กเปฺปสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘สุญฺญาคารํ ปาวิสี’’ติฯ
151.Bahudeva rattiṃ dhammiyā kathāyāti aññāya pāḷimuttakāya dhammikathāya ceva āvasathānumodanāya ca ākāsagaṅgaṃ otārento viya yojanappamāṇaṃ mahāmadhuṃ pīḷetvā madhupānaṃ pāyento viya bahudeva rattiṃ sandassetvā sampahaṃsetvā uyyojesi. Abhikkantāti atikkantā khīṇā khayavayaṃ upetā. Suññāgāranti pāṭiyekkaṃ suññāgāraṃ nāma natthi, tattheva pana ekapasse sāṇipākārena parikkhipitvā – ‘‘idha satthā vissamissatī’’ti mañcakaṃ paññapesuṃ. Bhagavā – ‘‘catūhipi iriyāpathehi paribhuttaṃ etesaṃ mahapphalaṃ bhavissatī’’ti tattha sīhaseyyaṃ kappesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘suññāgāraṃ pāvisī’’ti.
ปาฎลิปุตฺตนครมาปนวณฺณนา
Pāṭaliputtanagaramāpanavaṇṇanā
๑๕๒. สุนิธวสฺสการาติ สุนิโธ จ วสฺสกาโร จ เทฺว พฺราหฺมณาฯ มคธมหามตฺตาติ มคธรโญฺญ มหามตฺตา มหาอมจฺจา, มคธรเฎฺฐ วา มหามตฺตา มหติยา อิสฺสริยมตฺตาย สมนฺนาคตาติ มคธมหามตฺตาฯ ปาฎลิคาเม นครนฺติ ปาฎลิคามํ นครํ กตฺวา มาเปนฺติฯ วชฺชีนํ ปฎิพาหายาติ วชฺชิราชกุลานํ อายมุขปจฺฉินฺทนตฺถํฯ สหเสฺสวาติ เอเกกวคฺควเสน สหสฺสํ สหสฺสํ หุตฺวาฯ วตฺถูนีติ ฆรวตฺถูนิฯ จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุนฺติ รญฺญญฺจ ราชมหามตฺตานญฺจ นิเวสนานิ มาเปตุํ วตฺถุวิชฺชาปาฐกานํ จิตฺตานิ นมนฺติฯ เต กิร อตฺตโน สิปฺปานุภาเวน เหฎฺฐา ปถวิยํ ติํสหตฺถมเตฺต ฐาเน – ‘‘อิธ นาคคฺคาโห, อิธ ยกฺขคฺคาโห, อิธ ภูตคฺคาโห, ปาสาโณ วา ขาณุโก วา อตฺถี’’ติ ปสฺสนฺติฯ เต ตทา สิปฺปํ ชปฺปิตฺวา เทวตาหิ สทฺธิํ มนฺตยมานา วิย มาเปนฺติฯ อถวา เนสํ สรีเร เทวตา อธิมุจฺจิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิเวสนานิ มาเปตุํ จิตฺตํ นาเมนฺติฯ ตา จตูสุ โกเณสุ ขาณุเก โกเฎฺฎตฺวา วตฺถุมฺหิ คหิตมเตฺต ปฎิวิคจฺฉนฺติฯ สทฺธานํ กุลานํ สทฺธา เทวตา ตถา กโรนฺติ, อสฺสทฺธานํ กุลานํ อสฺสทฺธา เทวตาวฯ กิํ การณา? สทฺธานญฺหิ เอวํ โหติ – ‘‘อิธ มนุสฺสา นิเวสนํ มาเปตฺวา ปฐมํ ภิกฺขุสงฺฆํ นิสีทาเปตฺวา มงฺคลํ วฑฺฒาเปสฺสนฺติฯ อถ มยํ สีลวนฺตานํ ทสฺสนํ, ธมฺมกถํ, ปญฺหาวิสฺสชฺชนํ , อนุโมทนญฺจ โสตุํ ลภิสฺสาม, มนุสฺสา ทานํ ทตฺวา อมฺหากํ ปตฺติํ ทสฺสนฺตี’’ติฯ
152.Sunidhavassakārāti sunidho ca vassakāro ca dve brāhmaṇā. Magadhamahāmattāti magadharañño mahāmattā mahāamaccā, magadharaṭṭhe vā mahāmattā mahatiyā issariyamattāya samannāgatāti magadhamahāmattā. Pāṭaligāme nagaranti pāṭaligāmaṃ nagaraṃ katvā māpenti. Vajjīnaṃ paṭibāhāyāti vajjirājakulānaṃ āyamukhapacchindanatthaṃ. Sahassevāti ekekavaggavasena sahassaṃ sahassaṃ hutvā. Vatthūnīti gharavatthūni. Cittāni namanti nivesanāni māpetunti raññañca rājamahāmattānañca nivesanāni māpetuṃ vatthuvijjāpāṭhakānaṃ cittāni namanti. Te kira attano sippānubhāvena heṭṭhā pathaviyaṃ tiṃsahatthamatte ṭhāne – ‘‘idha nāgaggāho, idha yakkhaggāho, idha bhūtaggāho, pāsāṇo vā khāṇuko vā atthī’’ti passanti. Te tadā sippaṃ jappitvā devatāhi saddhiṃ mantayamānā viya māpenti. Athavā nesaṃ sarīre devatā adhimuccitvā tattha tattha nivesanāni māpetuṃ cittaṃ nāmenti. Tā catūsu koṇesu khāṇuke koṭṭetvā vatthumhi gahitamatte paṭivigacchanti. Saddhānaṃ kulānaṃ saddhā devatā tathā karonti, assaddhānaṃ kulānaṃ assaddhā devatāva. Kiṃ kāraṇā? Saddhānañhi evaṃ hoti – ‘‘idha manussā nivesanaṃ māpetvā paṭhamaṃ bhikkhusaṅghaṃ nisīdāpetvā maṅgalaṃ vaḍḍhāpessanti. Atha mayaṃ sīlavantānaṃ dassanaṃ, dhammakathaṃ, pañhāvissajjanaṃ , anumodanañca sotuṃ labhissāma, manussā dānaṃ datvā amhākaṃ pattiṃ dassantī’’ti.
ตาวติํเสหีติ ยถา หิ เอกสฺมิํ กุเล เอกํ ปณฺฑิตมนุสฺสํ, เอกสฺมิํ วา วิหาเร เอกํ พหุสฺสุตภิกฺขุํ อุปาทาย – ‘‘อสุกกุเล มนุสฺสา ปณฺฑิตา, อสุกวิหาเร ภิกฺขู พหุสฺสุตา’’ติ สโทฺท อพฺภุคฺคจฺฉติ, เอวเมว สกฺกํ เทวราชานํ วิสฺสกมฺมญฺจ เทวปุตฺตํ อุปาทาย – ‘‘ตาวติํสา ปณฺฑิตา’’ติ สโทฺท อพฺภุคฺคโตฯ เตนาห – ‘‘ตาวติํเสหี’’ติฯ ตาวติํเสหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวาปิ วิย มาเปนฺตีติ อโตฺถฯ
Tāvatiṃsehīti yathā hi ekasmiṃ kule ekaṃ paṇḍitamanussaṃ, ekasmiṃ vā vihāre ekaṃ bahussutabhikkhuṃ upādāya – ‘‘asukakule manussā paṇḍitā, asukavihāre bhikkhū bahussutā’’ti saddo abbhuggacchati, evameva sakkaṃ devarājānaṃ vissakammañca devaputtaṃ upādāya – ‘‘tāvatiṃsā paṇḍitā’’ti saddo abbhuggato. Tenāha – ‘‘tāvatiṃsehī’’ti. Tāvatiṃsehi saddhiṃ mantetvāpi viya māpentīti attho.
ยาวตา อริยํ อายตนนฺติ ยตฺตกํ อริยกมนุสฺสานํ โอสรณฎฺฐานํ นาม อตฺถิฯ ยาวตา วณิปฺปโถติ ยตฺตกํ วาณิชานํ อาภตภณฺฑสฺส ราสิวเสเนว กยวิกฺกยฎฺฐานํ นาม, วาณิชานํ วสนฎฺฐานํ วา อตฺถิฯ อิทํ อคฺคนครนฺติ เตสํ อริยายตนวณิปฺปถานํ อิทํ อคฺคนครํ เชฎฺฐกํ ปาโมกฺขํ ภวิสฺสตีติฯ ปุฎเภทนนฺติ ภณฺฑปุฎเภทนฎฺฐานํ, ภณฺฑภณฺฑิกานํ โมจนฎฺฐานนฺติ วุตฺตํ โหติฯ สกลชมฺพุทีเป อลทฺธภณฺฑมฺปิ หิ อิเธว ลภิสฺสนฺติ, อญฺญตฺถ วิกฺกเยน อคจฺฉนฺตมฺปิ จ อิเธว คมิสฺสติฯ ตสฺมา อิเธว ปุฎํ ภินฺทิสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ จตูสุ หิ ทฺวาเรสุ จตฺตาริ สภายํ เอกนฺติ เอวํ ทิวเส ทิวเส ปญฺจสตสหสฺสานิ อุฎฺฐหิสฺสนฺตีติ ทเสฺสติฯ
Yāvatā ariyaṃ āyatananti yattakaṃ ariyakamanussānaṃ osaraṇaṭṭhānaṃ nāma atthi. Yāvatā vaṇippathoti yattakaṃ vāṇijānaṃ ābhatabhaṇḍassa rāsivaseneva kayavikkayaṭṭhānaṃ nāma, vāṇijānaṃ vasanaṭṭhānaṃ vā atthi. Idaṃ agganagaranti tesaṃ ariyāyatanavaṇippathānaṃ idaṃ agganagaraṃ jeṭṭhakaṃ pāmokkhaṃ bhavissatīti. Puṭabhedananti bhaṇḍapuṭabhedanaṭṭhānaṃ, bhaṇḍabhaṇḍikānaṃ mocanaṭṭhānanti vuttaṃ hoti. Sakalajambudīpe aladdhabhaṇḍampi hi idheva labhissanti, aññattha vikkayena agacchantampi ca idheva gamissati. Tasmā idheva puṭaṃ bhindissantīti attho. Catūsu hi dvāresu cattāri sabhāyaṃ ekanti evaṃ divase divase pañcasatasahassāni uṭṭhahissantīti dasseti.
อคฺคิโต วาติอาทีสุ จการโตฺถ วา-สโทฺทฯ อคฺคินา จ อุทเกน จ มิถุเภเทน จ นสฺสิสฺสตีติ อโตฺถฯ เอกโกฎฺฐาโส อคฺคินา นสฺสิสฺสติ, นิพฺพาเปตุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ เอกํ คงฺคา คเหตฺวา คมิสฺสติฯ เอโก – ‘‘อิมินา อกถิตํ อมุสฺส, อมุนา อกถิตํ อิมสฺสา’’ติ วทนฺตานํ ปิสุณวาจานํ วเสน ภินฺนานํ มนุสฺสานํ อญฺญมญฺญเภเทเนว นสฺสิสฺสตีติ อโตฺถฯ อิติ วตฺวา ภควา ปจฺจูสกาเล คงฺคาย ตีรํ คนฺตฺวา กตมุขโธวโน ภิกฺขาจารเวลํ อาคมยมาโน นิสีทิฯ
Aggito vātiādīsu cakārattho vā-saddo. Agginā ca udakena ca mithubhedena ca nassissatīti attho. Ekakoṭṭhāso agginā nassissati, nibbāpetuṃ na sakkhissanti. Ekaṃ gaṅgā gahetvā gamissati. Eko – ‘‘iminā akathitaṃ amussa, amunā akathitaṃ imassā’’ti vadantānaṃ pisuṇavācānaṃ vasena bhinnānaṃ manussānaṃ aññamaññabhedeneva nassissatīti attho. Iti vatvā bhagavā paccūsakāle gaṅgāya tīraṃ gantvā katamukhadhovano bhikkhācāravelaṃ āgamayamāno nisīdi.
๑๕๓. สุนิธวสฺสการาปิ – ‘‘อมฺหากํ ราชา สมณสฺส โคตมสฺส อุปฎฺฐาโก, โส อเมฺห ปุจฺฉิสฺสติ, ‘สตฺถา กิร ปาฎลิคามํ อคมาสิ, ตสฺส สนฺติกํ อุปสงฺกมิตฺถ, น อุปสงฺกมิตฺถา’ติฯ อุปสงฺกมิมฺหาติ จ วุเตฺต – ‘นิมนฺตยิตฺถ, น นิมนฺตยิตฺถา’ติ จ ปุจฺฉิสฺสติฯ น นิมนฺตยิมฺหาติ จ วุเตฺต อมฺหากํ โทสํ อาโรเปตฺวา นิคฺคณฺหิสฺสติฯ อิทํ จาปิ มยํ อาคตฎฺฐาเน นครํ มาเปม, สมณสฺส โข ปน โคตมสฺส คตคตฎฺฐาเน กาฬกณฺณิสตฺตา ปฎิกฺกมนฺติ, ตํ มยํ นครมงฺคลํ วทาเปสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา นิมนฺตยิํสุฯ ตสฺมา – ‘‘อถ โข สุนิธวสฺสการา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
153. Sunidhavassakārāpi – ‘‘amhākaṃ rājā samaṇassa gotamassa upaṭṭhāko, so amhe pucchissati, ‘satthā kira pāṭaligāmaṃ agamāsi, tassa santikaṃ upasaṅkamittha, na upasaṅkamitthā’ti. Upasaṅkamimhāti ca vutte – ‘nimantayittha, na nimantayitthā’ti ca pucchissati. Na nimantayimhāti ca vutte amhākaṃ dosaṃ āropetvā niggaṇhissati. Idaṃ cāpi mayaṃ āgataṭṭhāne nagaraṃ māpema, samaṇassa kho pana gotamassa gatagataṭṭhāne kāḷakaṇṇisattā paṭikkamanti, taṃ mayaṃ nagaramaṅgalaṃ vadāpessāmā’’ti cintetvā satthāraṃ upasaṅkamitvā nimantayiṃsu. Tasmā – ‘‘atha kho sunidhavassakārā’’tiādi vuttaṃ.
ปุพฺพณฺหสมยนฺติ ปุพฺพณฺหกาเลฯ นิวาเสตฺวาติ คามปฺปเวสนนีหาเรน นิวาสนํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวาฯ ปตฺตจีวรมาทายาติ ปตฺตญฺจ จีวรญฺจ อาทิยิตฺวา กายปฺปฎิพทฺธํ กตฺวาฯ
Pubbaṇhasamayanti pubbaṇhakāle. Nivāsetvāti gāmappavesananīhārena nivāsanaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā. Pattacīvaramādāyāti pattañca cīvarañca ādiyitvā kāyappaṭibaddhaṃ katvā.
สีลวเนฺตตฺถาติ สีลวเนฺต เอตฺถฯ สญฺญเตติ กายวาจามเนหิ สญฺญเตฯ
Sīlavantetthāti sīlavante ettha. Saññateti kāyavācāmanehi saññate.
ตาสํ ทกฺขิณมาทิเยติ สงฺฆสฺส ทิเนฺน จตฺตาโร ปจฺจเย ตาสํ ฆรเทวตานํ อาทิเสยฺย, ปตฺติํ ทเทยฺยฯ ปูชิตา ปูชยนฺตีติ – ‘‘อิเม มนุสฺสา อมฺหากํ ญาตกาปิ น โหนฺติ, เอวมฺปิ โน ปตฺติํ เทนฺตี’’ติ อารกฺขํ สุสํวิหิตํ กโรถาติ สุฎฺฐุ อารกฺขํ กโรนฺติฯ มานิตา มานยนฺตีติ กาลานุกาลํ พลิกมฺมกรเณน มานิตา ‘‘เอเต มนุสฺสา อมฺหากํ ญาตกาปิ น โหนฺติ, จตุมาสฉมาสนฺตเร โน พลิกมฺมํ กโรนฺตี’’ติ มาเนนฺติ, มาเนนฺติโย อุปฺปนฺนํ ปริสฺสยํ หรนฺติฯ
Tāsaṃdakkhiṇamādiyeti saṅghassa dinne cattāro paccaye tāsaṃ gharadevatānaṃ ādiseyya, pattiṃ dadeyya. Pūjitā pūjayantīti – ‘‘ime manussā amhākaṃ ñātakāpi na honti, evampi no pattiṃ dentī’’ti ārakkhaṃ susaṃvihitaṃ karothāti suṭṭhu ārakkhaṃ karonti. Mānitā mānayantīti kālānukālaṃ balikammakaraṇena mānitā ‘‘ete manussā amhākaṃ ñātakāpi na honti, catumāsachamāsantare no balikammaṃ karontī’’ti mānenti, mānentiyo uppannaṃ parissayaṃ haranti.
ตโต นนฺติ ตโต นํ ปณฺฑิตชาติกํ มนุสฺสํฯ โอรสนฺติ อุเร ฐเปตฺวา สํวฑฺฒิตํ, ยถา มาตา โอรสํ ปุตฺตํ อนุกมฺปติ, อุปฺปนฺนปริสฺสยหรณตฺถเมว ตสฺส วายมติ, เอวํ อนุกมฺปนฺตีติ อโตฺถฯ ภทฺรานิ ปสฺสตีติ สุนฺทรานิ ปสฺสติฯ
Tato nanti tato naṃ paṇḍitajātikaṃ manussaṃ. Orasanti ure ṭhapetvā saṃvaḍḍhitaṃ, yathā mātā orasaṃ puttaṃ anukampati, uppannaparissayaharaṇatthameva tassa vāyamati, evaṃ anukampantīti attho. Bhadrāni passatīti sundarāni passati.
๑๕๔. อุฬุมฺปนฺติ ปารคมนตฺถาย อาณิโย โกเฎฺฎตฺวา กตํฯ กุลฺลนฺติ วลฺลิอาทีหิ พนฺธิตฺวา กตํฯ
154.Uḷumpanti pāragamanatthāya āṇiyo koṭṭetvā kataṃ. Kullanti valliādīhi bandhitvā kataṃ.
‘‘เย ตรนฺติ อณฺณว’’นฺติ คาถาย อณฺณวนฺติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน โยชนมตฺตํ คมฺภีรสฺส จ ปุถุลสฺส จ อุทกฎฺฐานเสฺสตํ อธิวจนํฯ สรนฺติ อิธ นที อธิเปฺปตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ, เย คมฺภีรวิตฺถตํ ตณฺหาสรํ ตรนฺติ, เต อริยมคฺคสงฺขาตํ เสตุํ กตฺวานฯ วิสชฺช ปลฺลลานิ อนามสิตฺวา อุทกภริตานิ นินฺนฎฺฐานานิฯ อยํ ปน อิทํ อปฺปมตฺตกํ ตริตุกาโมปิ กุลฺลญฺหิ ชโน ปพนฺธติฯ พุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จ วินาเยว กุเลฺลน ติณฺณา เมธาวิโน ชนาติฯ
‘‘Ye taranti aṇṇava’’nti gāthāya aṇṇavanti sabbantimena paricchedena yojanamattaṃ gambhīrassa ca puthulassa ca udakaṭṭhānassetaṃ adhivacanaṃ. Saranti idha nadī adhippetā. Idaṃ vuttaṃ hoti, ye gambhīravitthataṃ taṇhāsaraṃ taranti, te ariyamaggasaṅkhātaṃ setuṃ katvāna. Visajja pallalāni anāmasitvā udakabharitāni ninnaṭṭhānāni. Ayaṃ pana idaṃ appamattakaṃ taritukāmopi kullañhi jano pabandhati. Buddhā ca buddhasāvakā ca vināyeva kullena tiṇṇā medhāvino janāti.
ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อริยสจฺจกถาวณฺณนา
Ariyasaccakathāvaṇṇanā
๑๕๕. โกฎิคาโมติ มหาปนาทสฺส ปาสาทโกฎิยํ กตคาโมฯ อริยสจฺจานนฺติ อริยภาวกรานํ สจฺจานํฯ อนนุโพธาติ อพุชฺฌเนน อชานเนนฯ อปฺปฎิเวธาติ อปฺปฎิวิชฺฌเนนฯ สนฺธาวิตนฺติ ภวโต ภวํ คมนวเสน สนฺธาวิตํฯ สํสริตนฺติ ปุนปฺปุนํ คมนาคมนวเสน สํสริตํฯ มมเญฺจว ตุมฺหากญฺจาติ มยา จ ตุเมฺหหิ จฯ อถ วา สนฺธาวิตํ สํสริตนฺติ สนฺธาวนํ สํสรณํ มมเญฺจว ตุมฺหากญฺจ อโหสีติ เอมเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ภวเนตฺติ สมูหตาติ ภวโต ภวํ นยนสมตฺถา ตณฺหารชฺชุ สุฎฺฐุ หตา ฉินฺนา อปฺปวตฺติกตาฯ
155.Koṭigāmoti mahāpanādassa pāsādakoṭiyaṃ katagāmo. Ariyasaccānanti ariyabhāvakarānaṃ saccānaṃ. Ananubodhāti abujjhanena ajānanena. Appaṭivedhāti appaṭivijjhanena. Sandhāvitanti bhavato bhavaṃ gamanavasena sandhāvitaṃ. Saṃsaritanti punappunaṃ gamanāgamanavasena saṃsaritaṃ. Mamañcevatumhākañcāti mayā ca tumhehi ca. Atha vā sandhāvitaṃ saṃsaritanti sandhāvanaṃ saṃsaraṇaṃ mamañceva tumhākañca ahosīti emamettha attho veditabbo. Bhavanetti samūhatāti bhavato bhavaṃ nayanasamatthā taṇhārajju suṭṭhu hatā chinnā appavattikatā.
อนาวตฺติธมฺมสโมฺพธิปรายณวณฺณนา
Anāvattidhammasambodhiparāyaṇavaṇṇanā
๑๕๖. นาติกาติ เอกํ ตฬากํ นิสฺสาย ทฺวินฺนํ จูฬปิตุมหาปิตุปุตฺตานํ เทฺว คามาฯ นาติเกติ เอกสฺมิํ ญาติคามเกฯ คิญฺชกาวสเถติ อิฎฺฐกามเย อาวสเถฯ
156.Nātikāti ekaṃ taḷākaṃ nissāya dvinnaṃ cūḷapitumahāpituputtānaṃ dve gāmā. Nātiketi ekasmiṃ ñātigāmake. Giñjakāvasatheti iṭṭhakāmaye āvasathe.
๑๕๗. โอรมฺภาคิยานนฺติ เหฎฺฐาภาคิยานํ, กามภเวเยว ปฎิสนฺธิคฺคาหาปกานนฺติ อโตฺถฯ โอรนฺติ ลทฺธนาเมหิ วา ตีหิ มเคฺคหิ ปหาตพฺพานีติปิ โอรมฺภาคิยานิฯ ตตฺถ กามจฺฉโนฺท, พฺยาปาโทติ อิมานิ เทฺว สมาปตฺติยา วา อวิกฺขมฺภิตานิ, มเคฺคน วา อสมุจฺฉินฺนานิ นิพฺพตฺตวเสน อุทฺธํ ภาคํ รูปภวญฺจ อรูปภวญฺจ คนฺตุํ น เทนฺติฯ สกฺกายทิฎฺฐิอาทีนิ ตีณิ ตตฺถ นิพฺพตฺตมฺปิ อาเนตฺวา ปุน อิเธว นิพฺพตฺตาเปนฺตีติ สพฺพานิปิ โอรมฺภาคิยาเนวฯ อนาวตฺติธมฺมาติ ปฎิสนฺธิวเสน อนาคมนสภาวาฯ
157.Orambhāgiyānanti heṭṭhābhāgiyānaṃ, kāmabhaveyeva paṭisandhiggāhāpakānanti attho. Oranti laddhanāmehi vā tīhi maggehi pahātabbānītipi orambhāgiyāni. Tattha kāmacchando, byāpādoti imāni dve samāpattiyā vā avikkhambhitāni, maggena vā asamucchinnāni nibbattavasena uddhaṃ bhāgaṃ rūpabhavañca arūpabhavañca gantuṃ na denti. Sakkāyadiṭṭhiādīni tīṇi tattha nibbattampi ānetvā puna idheva nibbattāpentīti sabbānipi orambhāgiyāneva. Anāvattidhammāti paṭisandhivasena anāgamanasabhāvā.
ราคโทสโมหานํ ตนุตฺตาติ เอตฺถ กทาจิ กรหจิ อุปฺปตฺติยา จ, ปริยุฎฺฐานมนฺทตาย จาติ เทฺวธาปิ ตนุภาโว เวทิตโพฺพฯ สกทาคามิสฺส หิ ปุถุชฺชนานํ วิย อภิณฺหํ ราคาทโย นุปฺปชฺชนฺติ, กทาจิ กรหจิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อุปฺปชฺชมานา จ ปุถุชฺชนานํ วิย พหลพหลา นุปฺปชฺชนฺติ, มกฺขิกาปตฺตํ วิย ตนุกตนุกา อุปฺปชฺชนฺติฯ ทีฆภาณกติปิฎกมหาสีวเตฺถโร ปนาห – ‘‘ยสฺมา สกทาคามิสฺส ปุตฺตธีตโร โหนฺติ, โอโรธา จ โหนฺติ, ตสฺมา พหลา กิเลสาฯ อิทํ ปน ภวตนุกวเสน กถิต’’นฺติฯ ตํ อฎฺฐกถายํ – ‘‘โสตาปนฺนสฺส สตฺตภเว ฐเปตฺวา อฎฺฐเม ภเว ภวตนุกํ นตฺถิฯ สกทาคามิสฺส เทฺว ภเว ฐเปตฺวา ปญฺจสุ ภเวสุ ภวตนุกํ นตฺถิฯ อนาคามิสฺส รูปารูปภเว ฐเปตฺวา กามภเว ภวตนุกํ นตฺถิฯ ขีณาสวสฺส กิสฺมิญฺจิ ภเว ภวตนุกํ นตฺถี’’ติ วุตฺตตฺตา ปฎิกฺขิตฺตํ โหติฯ
Rāgadosamohānaṃ tanuttāti ettha kadāci karahaci uppattiyā ca, pariyuṭṭhānamandatāya cāti dvedhāpi tanubhāvo veditabbo. Sakadāgāmissa hi puthujjanānaṃ viya abhiṇhaṃ rāgādayo nuppajjanti, kadāci karahaci uppajjanti. Uppajjamānā ca puthujjanānaṃ viya bahalabahalā nuppajjanti, makkhikāpattaṃ viya tanukatanukā uppajjanti. Dīghabhāṇakatipiṭakamahāsīvatthero panāha – ‘‘yasmā sakadāgāmissa puttadhītaro honti, orodhā ca honti, tasmā bahalā kilesā. Idaṃ pana bhavatanukavasena kathita’’nti. Taṃ aṭṭhakathāyaṃ – ‘‘sotāpannassa sattabhave ṭhapetvā aṭṭhame bhave bhavatanukaṃ natthi. Sakadāgāmissa dve bhave ṭhapetvā pañcasu bhavesu bhavatanukaṃ natthi. Anāgāmissa rūpārūpabhave ṭhapetvā kāmabhave bhavatanukaṃ natthi. Khīṇāsavassa kismiñci bhave bhavatanukaṃ natthī’’ti vuttattā paṭikkhittaṃ hoti.
อิมํ โลกนฺติ อิมํ กามาวจรโลกํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อยเญฺจตฺถ อธิปฺปาโย, สเจ หิ มนุเสฺสสุ สกทาคามิผลํ ปโตฺต เทเวสุ นิพฺพตฺติตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉิกโรติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ อสโกฺกโนฺต ปน อวสฺสํ มนุสฺสโลกํ อาคนฺตฺวา สจฺฉิกโรติฯ เทเวสุ สกทาคามิผลํ ปโตฺตปิ สเจ มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺติตฺวา อรหตฺตํ สจฺฉิกโรติ, อิเจฺจตํ กุสลํฯ อสโกฺกโนฺต ปน อวสฺสํ เทวโลกํ คนฺตฺวา สจฺฉิกโรตีติฯ
Imaṃlokanti imaṃ kāmāvacaralokaṃ sandhāya vuttaṃ. Ayañcettha adhippāyo, sace hi manussesu sakadāgāmiphalaṃ patto devesu nibbattitvā arahattaṃ sacchikaroti, iccetaṃ kusalaṃ. Asakkonto pana avassaṃ manussalokaṃ āgantvā sacchikaroti. Devesu sakadāgāmiphalaṃ pattopi sace manussesu nibbattitvā arahattaṃ sacchikaroti, iccetaṃ kusalaṃ. Asakkonto pana avassaṃ devalokaṃ gantvā sacchikarotīti.
อวินิปาตธโมฺมติ เอตฺถ วินิปตนํ วินิปาโต, นาสฺส วินิปาโต ธโมฺมติ อวินิปาตธโมฺมฯ จตูสุ อปาเยสุ อวินิปาตธโมฺม จตูสุ อปาเยสุ อวินิปาตสภาโวติ อโตฺถฯ นิยโตติ ธมฺมนิยาเมน นิยโตฯ สโมฺพธิปรายโณติ อุปริมคฺคตฺตยสงฺขาตา สโมฺพธิ ปรํ อยนํ อสฺส คติ ปฎิสรณํ อวสฺสํ ปตฺตพฺพาติ สโมฺพธิปรายโณฯ
Avinipātadhammoti ettha vinipatanaṃ vinipāto, nāssa vinipāto dhammoti avinipātadhammo. Catūsu apāyesu avinipātadhammo catūsu apāyesu avinipātasabhāvoti attho. Niyatoti dhammaniyāmena niyato. Sambodhiparāyaṇoti uparimaggattayasaṅkhātā sambodhi paraṃ ayanaṃ assa gati paṭisaraṇaṃ avassaṃ pattabbāti sambodhiparāyaṇo.
ธมฺมาทาสธมฺมปริยายวณฺณนา
Dhammādāsadhammapariyāyavaṇṇanā
๑๕๘. วิเหสาติ เตสํ เตสํ ญาณคติํ ญาณูปปตฺติํ ญาณาภิสมฺปรายํ โอโลเกนฺตสฺส กายกิลมโถว เอส, อานนฺท, ตถาคตสฺสาติ ทีเปติ, จิตฺตวิเหสา ปน พุทฺธานํ นตฺถิฯ ธมฺมาทาสนฺติ ธมฺมมยํ อาทาสํฯ เยนาติ เยน ธมฺมาทาเสน สมนฺนาคโตฯ ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโตติ อิทํ นิรยาทีนํเยว เววจนวเสน วุตฺตํฯ นิรยาทโย หิ วฑฺฒิสงฺขาตโต อยโต อเปตตฺตา อปายาฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติฯ เย ทุกฺกฎการิโน, เต เอตฺถ วิวสา นิปตนฺตีติ วินิปาตาฯ
158.Vihesāti tesaṃ tesaṃ ñāṇagatiṃ ñāṇūpapattiṃ ñāṇābhisamparāyaṃ olokentassa kāyakilamathova esa, ānanda, tathāgatassāti dīpeti, cittavihesā pana buddhānaṃ natthi. Dhammādāsanti dhammamayaṃ ādāsaṃ. Yenāti yena dhammādāsena samannāgato. Khīṇāpāyaduggativinipātoti idaṃ nirayādīnaṃyeva vevacanavasena vuttaṃ. Nirayādayo hi vaḍḍhisaṅkhātato ayato apetattā apāyā. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggati. Ye dukkaṭakārino, te ettha vivasā nipatantīti vinipātā.
อเวจฺจปฺปสาเทนาติ พุทฺธคุณานํ ยถาภูตโต ญาตตฺตา อจเลน อจฺจุเตน ปสาเทนฯ อุปริ ปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อิติปิ โส ภควาติอาทีนํ ปน วิตฺถาโร วิสุทฺธิมเคฺค วุโตฺตฯ
Aveccappasādenāti buddhaguṇānaṃ yathābhūtato ñātattā acalena accutena pasādena. Upari padadvayepi eseva nayo. Itipi so bhagavātiādīnaṃ pana vitthāro visuddhimagge vutto.
อริยกเนฺตหีติ อริยานํ กเนฺตหิ ปิเยหิ มนาเปหิฯ ปญฺจ สีลานิ หิ อริยสาวกานํ กนฺตานิ โหนฺติ, ภวนฺตเรปิ อวิชหิตพฺพโตฯ ตานิ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ สโพฺพปิ ปเนตฺถ สํวโร ลพฺภติเยวฯ
Ariyakantehīti ariyānaṃ kantehi piyehi manāpehi. Pañca sīlāni hi ariyasāvakānaṃ kantāni honti, bhavantarepi avijahitabbato. Tāni sandhāyetaṃ vuttaṃ. Sabbopi panettha saṃvaro labbhatiyeva.
โสตาปโนฺนหมสฺมีติ อิทํ เทสนาสีสเมวฯ สกทาคามิอาทโยปิ ปน สกทาคามีหมสฺมีติอาทินา นเยน พฺยากโรนฺติ เยวาติฯ สเพฺพสมฺปิ หิ สิกฺขาปทาวิโรเธน ยุตฺตฎฺฐาเน พฺยากรณํ อนุญฺญาตเมว โหติฯ
Sotāpannohamasmīti idaṃ desanāsīsameva. Sakadāgāmiādayopi pana sakadāgāmīhamasmītiādinā nayena byākaronti yevāti. Sabbesampi hi sikkhāpadāvirodhena yuttaṭṭhāne byākaraṇaṃ anuññātameva hoti.
อมฺพปาลีคณิกาวตฺถุวณฺณนา
Ambapālīgaṇikāvatthuvaṇṇanā
๑๖๑. เวสาลิยํ วิหรตีติ เอตฺถ เตน โข ปน สมเยน เวสาลี อิทฺธา เจว โหติ ผีตาจาติอาทินา ขนฺธเก วุตฺตนเยน เวสาลิยา สมฺปนฺนภาโว เวทิตโพฺพฯ อมฺพปาลิวเนติ อมฺพปาลิยา คณิกาย อุยฺยานภูเต อมฺพวเนฯ สโต ภิกฺขเวติ ภควา อมฺพปาลิทสฺสเน สติปจฺจุปฎฺฐานตฺถํ วิเสสโต อิธ สติปฎฺฐานเทสนํ อารภิฯ ตตฺถ สรตีติ สโตฯ สมฺปชานาตีติ สมฺปชาโนฯ สติยา จ สมฺปชเญฺญน จ สมนฺนาคโต หุตฺวา วิหเรยฺยาติ อโตฺถฯ กาเย กายานุปสฺสีติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ มหาสติปฎฺฐาเน วกฺขามฯ
161.Vesāliyaṃviharatīti ettha tena kho pana samayena vesālī iddhā ceva hoti phītācātiādinā khandhake vuttanayena vesāliyā sampannabhāvo veditabbo. Ambapālivaneti ambapāliyā gaṇikāya uyyānabhūte ambavane. Sato bhikkhaveti bhagavā ambapālidassane satipaccupaṭṭhānatthaṃ visesato idha satipaṭṭhānadesanaṃ ārabhi. Tattha saratīti sato. Sampajānātīti sampajāno. Satiyā ca sampajaññena ca samannāgato hutvā vihareyyāti attho. Kāye kāyānupassītiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ mahāsatipaṭṭhāne vakkhāma.
นีลาติ อิทํ สพฺพสงฺคาหกํฯ นีลวณฺณาติอาทิ ตเสฺสว วิภาคทสฺสนํฯ ตตฺถ น เตสํ ปกติวโณฺณ นีโล, นีลวิเลปนวิลิตฺตตฺตา ปเนตํ วุตฺตํฯ นีลวตฺถาติ ปฎทุกูลโกเสยฺยาทีนิปิ เตสํ นีลาเนว โหนฺติฯ นีลาลงฺการาติ นีลมณีหิ นีลปุเปฺผหิ อลงฺกตา, รถาปิ เตสํ นีลมณิขจิตา นีลวตฺถปริกฺขิตฺตา นีลทฺธชา นีลวมฺมิเกหิ นีลาภรเณหิ นีลอเสฺสหิ ยุตฺตา, ปโตทลฎฺฐิโยปิ นีลา เยวาติฯ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปริวเฎฺฎสีติ ปหริฯ กิํ เช อมฺพปาลีติ เชติ อาลปนวจนํ, โภติ อมฺพปาลิ, กิํ การณาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘กิญฺจา’’ติปิ ปาโฐ, อยเมเวตฺถ อโตฺถฯ สาหารนฺติ สชนปทํฯ องฺคุลิํ โผเฎสุนฺติ องฺคุลิํ จาเลสุํฯ อมฺพกายาติ อิตฺถิกายฯ
Nīlāti idaṃ sabbasaṅgāhakaṃ. Nīlavaṇṇātiādi tasseva vibhāgadassanaṃ. Tattha na tesaṃ pakativaṇṇo nīlo, nīlavilepanavilittattā panetaṃ vuttaṃ. Nīlavatthāti paṭadukūlakoseyyādīnipi tesaṃ nīlāneva honti. Nīlālaṅkārāti nīlamaṇīhi nīlapupphehi alaṅkatā, rathāpi tesaṃ nīlamaṇikhacitā nīlavatthaparikkhittā nīladdhajā nīlavammikehi nīlābharaṇehi nīlaassehi yuttā, patodalaṭṭhiyopi nīlā yevāti. Iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo. Parivaṭṭesīti pahari. Kiṃ je ambapālīti jeti ālapanavacanaṃ, bhoti ambapāli, kiṃ kāraṇāti vuttaṃ hoti. ‘‘Kiñcā’’tipi pāṭho, ayamevettha attho. Sāhāranti sajanapadaṃ. Aṅguliṃ phoṭesunti aṅguliṃ cālesuṃ. Ambakāyāti itthikāya.
เยสนฺติ กรณเตฺถ สามิวจนํ, เยหิ อทิฎฺฐาติ วุตฺตํ โหติฯ โอโลเกถาติ ปสฺสถฯ อวโลเกถาติ ปุนปฺปุนํ ปสฺสถฯ อุปสํหรถาติ อุปเนถฯ อิมํ ลิจฺฉวิปริสํ ตุมฺหากํ จิเตฺตน ตาวติํสสทิสํ อุปสํหรถ อุปเนถ อลฺลียาเปถฯ ยเถว ตาวติํสา อภิรูปา ปาสาทิกา นีลาทินานาวณฺณา, เอวมิเม ลิจฺฉวิราชาโนปีติ ตาวติํเสหิ สมเก กตฺวา ปสฺสถาติ อโตฺถฯ
Yesanti karaṇatthe sāmivacanaṃ, yehi adiṭṭhāti vuttaṃ hoti. Olokethāti passatha. Avalokethāti punappunaṃ passatha. Upasaṃharathāti upanetha. Imaṃ licchaviparisaṃ tumhākaṃ cittena tāvatiṃsasadisaṃ upasaṃharatha upanetha allīyāpetha. Yatheva tāvatiṃsā abhirūpā pāsādikā nīlādinānāvaṇṇā, evamime licchavirājānopīti tāvatiṃsehi samake katvā passathāti attho.
กสฺมา ปน ภควา อเนกสเตหิ สุเตฺตหิ จกฺขาทีนํ รูปาทีสุ นิมิตฺตคฺคาหํ ปฎิเสเธตฺวา อิธ มหเนฺตน อุสฺสาเหน นิมิตฺตคฺคาเห อุโยฺยเชตีติ? หิตกามตายฯ ตตฺร กิร เอกเจฺจ ภิกฺขู โอสนฺนวีริยา, เตสํ สมฺปตฺติยา ปโลเภโนฺต – ‘‘อปฺปมาเทน สมณธมฺมํ กโรนฺตานํ เอวรูปา อิสฺสริยสมฺปตฺติ สุลภา’’ติ สมณธเมฺม อุสฺสาหชนนตฺถํ อาหฯ อนิจฺจลกฺขณวิภาวนตฺถญฺจาปิ เอวมาหฯ นจิรเสฺสว หิ สเพฺพปิเม อชาตสตฺตุสฺส วเสน วินาสํ ปาปุณิสฺสนฺติฯ อถ เนสํ รชฺชสิริสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ฐิตภิกฺขู – ‘‘ตถารูปายปิ นาม สิริสมฺปตฺติยา วินาโส ปญฺญายิสฺสตี’’ติ อนิจฺจลกฺขณํ ภาเวตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสนฺตีติ อนิจฺจลกฺขณวิภาวนตฺถํ อาหฯ
Kasmā pana bhagavā anekasatehi suttehi cakkhādīnaṃ rūpādīsu nimittaggāhaṃ paṭisedhetvā idha mahantena ussāhena nimittaggāhe uyyojetīti? Hitakāmatāya. Tatra kira ekacce bhikkhū osannavīriyā, tesaṃ sampattiyā palobhento – ‘‘appamādena samaṇadhammaṃ karontānaṃ evarūpā issariyasampatti sulabhā’’ti samaṇadhamme ussāhajananatthaṃ āha. Aniccalakkhaṇavibhāvanatthañcāpi evamāha. Nacirasseva hi sabbepime ajātasattussa vasena vināsaṃ pāpuṇissanti. Atha nesaṃ rajjasirisampattiṃ disvā ṭhitabhikkhū – ‘‘tathārūpāyapi nāma sirisampattiyā vināso paññāyissatī’’ti aniccalakkhaṇaṃ bhāvetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇissantīti aniccalakkhaṇavibhāvanatthaṃ āha.
อธิวาเสตูติ อมฺพปาลิยา นิมนฺติตภาวํ ญตฺวาปิ กสฺมา นิมเนฺตนฺตีติ? อสทฺทหนตาย เจว วตฺตสีเสน จฯ สา หิ ธุตฺตา อิตฺถี อนิมเนฺตตฺวาปิ นิมเนฺตมีติ วเทยฺยาติ เตสํ จิตฺตํ อโหสิ, ธมฺมํ สุตฺวา คมนกาเล จ นิมเนฺตตฺวา คมนํ นาม มนุสฺสานํ วตฺตเมวฯ
Adhivāsetūti ambapāliyā nimantitabhāvaṃ ñatvāpi kasmā nimantentīti? Asaddahanatāya ceva vattasīsena ca. Sā hi dhuttā itthī animantetvāpi nimantemīti vadeyyāti tesaṃ cittaṃ ahosi, dhammaṃ sutvā gamanakāle ca nimantetvā gamanaṃ nāma manussānaṃ vattameva.
เวฬุวคามวสฺสูปคมนวณฺณนา
Veḷuvagāmavassūpagamanavaṇṇanā
๑๖๓. เวฬุวคามโกติ เวสาลิยา สมีเป เวฬุวคาโมฯ ยถามิตฺตนฺติอาทีสุ มิตฺตา มิตฺตาวฯ สนฺทิฎฺฐาติ ตตฺถ ตตฺถ สงฺคมฺม ทิฎฺฐมตฺตา นาติทฬฺหมิตฺตาฯ สมฺภตฺตาติ สุฎฺฐุ ภตฺตา สิเนหวโนฺต ทฬฺหมิตฺตาฯ เยสํ เยสํ ยตฺถ ยตฺถ เอวรูปา ภิกฺขู อตฺถิ, เต เต ตตฺถ ตตฺถ วสฺสํ อุเปถาติ อโตฺถฯ กสฺมา เอวมาห? เตสํ ผาสุวิหารตฺถายฯ เตสญฺหิ เวฬุวคามเก เสนาสนํ นปฺปโหติ, ภิกฺขาปิ มนฺทาฯ สมนฺตา เวสาลิยา ปน พหูนิ เสนาสนานิ, ภิกฺขาปิ สุลภา, ตสฺมา เอวมาหฯ อถ กสฺมา – ‘‘ยถาสุขํ คจฺฉถา’’ติ น วิสฺสเชฺชสิ? เตสํ อนุกมฺปายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อหํ ทสมาสมตฺตํ ฐตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสามิ, สเจ อิเม ทูรํ คจฺฉิสฺสนฺติ, มม ปรินิพฺพานกาเล ทฎฺฐุํ น สกฺขิสฺสนฺติฯ อถ เนสํ – ‘‘สตฺถา ปรินิพฺพายโนฺต อมฺหากํ สติมตฺตมฺปิ น อทาสิ, สเจ ชาเนยฺยาม, เอวํ น ทูเร วเสยฺยามา’’ติ วิปฺปฎิสาโร ภเวยฺยฯ เวสาลิยา สมนฺตา ปน วสนฺตา มาสสฺส อฎฺฐ วาเร อาคนฺตฺวา ธมฺมํ สุณิสฺสนฺติ, สุคโตวาทํ ลภิสฺสนฺตี’’ติ น วิสฺสเชฺชสิฯ
163.Veḷuvagāmakoti vesāliyā samīpe veḷuvagāmo. Yathāmittantiādīsu mittā mittāva. Sandiṭṭhāti tattha tattha saṅgamma diṭṭhamattā nātidaḷhamittā. Sambhattāti suṭṭhu bhattā sinehavanto daḷhamittā. Yesaṃ yesaṃ yattha yattha evarūpā bhikkhū atthi, te te tattha tattha vassaṃ upethāti attho. Kasmā evamāha? Tesaṃ phāsuvihāratthāya. Tesañhi veḷuvagāmake senāsanaṃ nappahoti, bhikkhāpi mandā. Samantā vesāliyā pana bahūni senāsanāni, bhikkhāpi sulabhā, tasmā evamāha. Atha kasmā – ‘‘yathāsukhaṃ gacchathā’’ti na vissajjesi? Tesaṃ anukampāya. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ahaṃ dasamāsamattaṃ ṭhatvā parinibbāyissāmi, sace ime dūraṃ gacchissanti, mama parinibbānakāle daṭṭhuṃ na sakkhissanti. Atha nesaṃ – ‘‘satthā parinibbāyanto amhākaṃ satimattampi na adāsi, sace jāneyyāma, evaṃ na dūre vaseyyāmā’’ti vippaṭisāro bhaveyya. Vesāliyā samantā pana vasantā māsassa aṭṭha vāre āgantvā dhammaṃ suṇissanti, sugatovādaṃ labhissantī’’ti na vissajjesi.
๑๖๔. ขโรติ ผรุโสฯ อาพาโธติ วิสภาคโรโคฯ พาฬฺหาติ พลวติโยฯ มารณนฺติกาติ มรณนฺตํ มรณสนฺติกํ ปาปนสมตฺถาฯ สโต สมฺปชาโน อธิวาเสสีติ สติํ สูปฎฺฐิตํ กตฺวา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อธิวาเสสิฯ อวิหญฺญมาโนติ เวทนานุวตฺตนวเสน อปราปรํ ปริวตฺตนํ อกโรโนฺต อปีฬิยมาโน อทุกฺขิยมาโนว อธิวาเสสิ ฯ อนามเนฺตตฺวาติ อชานาเปตฺวาฯ อนปโลเกตฺวาติ น อปโลเกตฺวา โอวาทานุสาสนิํ อทตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ วีริเยนาติ ปุพฺพภาควีริเยน เจว ผลสมาปตฺติวีริเยน จฯ ปฎิปณาเมตฺวาติ วิกฺขเมฺภตฺวาฯ ชีวิตสงฺขารนฺติ เอตฺถ ชีวิตมฺปิ ชีวิตสงฺขาโรฯ เยน ชีวิตํ สงฺขริยติ ฉิชฺชมานํ ฆเฎตฺวา ฐปิยติ, โส ผลสมาปตฺติธโมฺมปิ ชีวิตสงฺขาโรฯ โส อิธ อธิเปฺปโตฯ อธิฎฺฐายาติ อธิฎฺฐหิตฺวา ปวเตฺตตฺวา, ชีวิตฎฺฐปนสมตฺถํ ผลสมาปตฺติํ สมาปเชฺชยฺยนฺติ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถฯ
164.Kharoti pharuso. Ābādhoti visabhāgarogo. Bāḷhāti balavatiyo. Māraṇantikāti maraṇantaṃ maraṇasantikaṃ pāpanasamatthā. Sato sampajāno adhivāsesīti satiṃ sūpaṭṭhitaṃ katvā ñāṇena paricchinditvā adhivāsesi. Avihaññamānoti vedanānuvattanavasena aparāparaṃ parivattanaṃ akaronto apīḷiyamāno adukkhiyamānova adhivāsesi . Anāmantetvāti ajānāpetvā. Anapaloketvāti na apaloketvā ovādānusāsaniṃ adatvāti vuttaṃ hoti. Vīriyenāti pubbabhāgavīriyena ceva phalasamāpattivīriyena ca. Paṭipaṇāmetvāti vikkhambhetvā. Jīvitasaṅkhāranti ettha jīvitampi jīvitasaṅkhāro. Yena jīvitaṃ saṅkhariyati chijjamānaṃ ghaṭetvā ṭhapiyati, so phalasamāpattidhammopi jīvitasaṅkhāro. So idha adhippeto. Adhiṭṭhāyāti adhiṭṭhahitvā pavattetvā, jīvitaṭṭhapanasamatthaṃ phalasamāpattiṃ samāpajjeyyanti ayamettha saṅkhepattho.
กิํ ปน ภควา อิโต ปุเพฺพ ผลสมาปตฺติํ น สมาปชฺชตีติ? สมาปชฺชติฯ สา ปน ขณิกสมาปตฺติฯ ขณิกสมาปตฺติ จ อโนฺตสมาปตฺติยํเยว เวทนํ วิกฺขเมฺภติ, สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตมตฺตสฺส กฎฺฐปาเตน วา กฐลปาเตน วา ฉินฺนเสวาโล วิย อุทกํ ปุน สรีรํ เวทนา อโชฺฌตฺถรติฯ ยา ปน รูปสตฺตกํ อรูปสตฺตกญฺจ นิคฺคุมฺพํ นิชฺชฎํ กตฺวา มหาวิปสฺสนาวเสน สมาปนฺนา สมาปตฺติ, สา สุฎฺฐุ วิกฺขเมฺภติฯ ยถา นาม ปุริเสน โปกฺขรณิํ โอคาเหตฺวา หเตฺถหิ จ ปาเทหิ จ สุฎฺฐุ อปพฺยูโฬฺห เสวาโล จิเรน อุทกํ โอตฺถรติ; เอวเมว ตโต วุฎฺฐิตสฺส จิเรน เวทนา อุปฺปชฺชติฯ อิติ ภควา ตํ ทิวสํ มหาโพธิปลฺลเงฺก อภินววิปสฺสนํ ปฎฺฐเปโนฺต วิย รูปสตฺตกํ อรูปสตฺตกํ นิคฺคุมฺพํ นิชฺชฎํ กตฺวา จุทฺทสหากาเรหิ สเนฺนตฺวา มหาวิปสฺสนาย เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา – ‘‘ทสมาเส มา อุปฺปชฺชิตฺถา’’ติ สมาปตฺติํ สมาปชฺชิฯ สมาปตฺติวิกฺขมฺภิตา เวทนา ทสมาเส น อุปฺปชฺชิ เยวฯ
Kiṃ pana bhagavā ito pubbe phalasamāpattiṃ na samāpajjatīti? Samāpajjati. Sā pana khaṇikasamāpatti. Khaṇikasamāpatti ca antosamāpattiyaṃyeva vedanaṃ vikkhambheti, samāpattito vuṭṭhitamattassa kaṭṭhapātena vā kaṭhalapātena vā chinnasevālo viya udakaṃ puna sarīraṃ vedanā ajjhottharati. Yā pana rūpasattakaṃ arūpasattakañca niggumbaṃ nijjaṭaṃ katvā mahāvipassanāvasena samāpannā samāpatti, sā suṭṭhu vikkhambheti. Yathā nāma purisena pokkharaṇiṃ ogāhetvā hatthehi ca pādehi ca suṭṭhu apabyūḷho sevālo cirena udakaṃ ottharati; evameva tato vuṭṭhitassa cirena vedanā uppajjati. Iti bhagavā taṃ divasaṃ mahābodhipallaṅke abhinavavipassanaṃ paṭṭhapento viya rūpasattakaṃ arūpasattakaṃ niggumbaṃ nijjaṭaṃ katvā cuddasahākārehi sannetvā mahāvipassanāya vedanaṃ vikkhambhetvā – ‘‘dasamāse mā uppajjitthā’’ti samāpattiṃ samāpajji. Samāpattivikkhambhitā vedanā dasamāse na uppajji yeva.
คิลานา วุฎฺฐิโตติ คิลาโน หุตฺวา ปุน วุฎฺฐิโตฯ มธุรกชาโต วิยาติ สญฺชาตครุภาโว สญฺชาตถทฺธภาโว สูเล อุตฺตาสิตปุริโส วิยฯ น ปกฺขายนฺตีติ นปฺปกาสนฺติ, นานาการโต น อุปฎฺฐหนฺติฯ ธมฺมาปิ มํ น ปฎิภนฺตีติ สติปฎฺฐานาทิธมฺมา มยฺหํ ปากฎา น โหนฺตีติ ทีเปติฯ ตนฺติธมฺมา ปน เถรสฺส สุปคุณาฯ น อุทาหรตีติ ปจฺฉิมํ โอวาทํ น เทติฯ ตํ สนฺธาย วทติฯ
Gilānā vuṭṭhitoti gilāno hutvā puna vuṭṭhito. Madhurakajāto viyāti sañjātagarubhāvo sañjātathaddhabhāvo sūle uttāsitapuriso viya. Na pakkhāyantīti nappakāsanti, nānākārato na upaṭṭhahanti. Dhammāpi maṃ na paṭibhantīti satipaṭṭhānādidhammā mayhaṃ pākaṭā na hontīti dīpeti. Tantidhammā pana therassa supaguṇā. Na udāharatīti pacchimaṃ ovādaṃ na deti. Taṃ sandhāya vadati.
๑๖๕. อนนฺตรํ อพาหิรนฺติ ธมฺมวเสน วา ปุคฺคลวเสน วา อุภยํ อกตฺวาฯ ‘‘เอตฺตกํ ธมฺมํ ปรสฺส น เทเสสฺสามี’’ติ หิ จิเนฺตโนฺต ธมฺมํ อพฺภนฺตรํ กโรติ นามฯ ‘‘เอตฺตกํ ปรสฺส เทเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต ธมฺมํ พาหิรํ กโรติ นามฯ ‘‘อิมสฺส ปุคฺคลสฺส เทเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต ปน ปุคฺคลํ อพฺภนฺตรํ กโรติ นามฯ ‘‘อิมสฺส น เทเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต ปุคฺคลํ พาหิรํ กโรติ นามฯ เอวํ อกตฺวา เทสิโตติ อโตฺถฯ อาจริยมุฎฺฐีติ ยถา พาหิรกานํ อาจริยมุฎฺฐิ นาม โหติฯ ทหรกาเล กสฺสจิ อกเถตฺวา ปจฺฉิมกาเล มรณมเญฺจ นิปนฺนา ปิยมนาปสฺส อเนฺตวาสิกสฺส กเถนฺติ, เอวํ ตถาคตสฺส – ‘‘อิทํ มหลฺลกกาเล ปจฺฉิมฎฺฐาเน กเถสฺสามี’’ติ มุฎฺฐิํ กตฺวา ‘‘ปริหริสฺสามี’’ติ ฐปิตํ กิญฺจิ นตฺถีติ ทเสฺสติฯ
165.Anantaraṃabāhiranti dhammavasena vā puggalavasena vā ubhayaṃ akatvā. ‘‘Ettakaṃ dhammaṃ parassa na desessāmī’’ti hi cintento dhammaṃ abbhantaraṃ karoti nāma. ‘‘Ettakaṃ parassa desessāmī’’ti cintento dhammaṃ bāhiraṃ karoti nāma. ‘‘Imassa puggalassa desessāmī’’ti cintento pana puggalaṃ abbhantaraṃ karoti nāma. ‘‘Imassa na desessāmī’’ti cintento puggalaṃ bāhiraṃ karoti nāma. Evaṃ akatvā desitoti attho. Ācariyamuṭṭhīti yathā bāhirakānaṃ ācariyamuṭṭhi nāma hoti. Daharakāle kassaci akathetvā pacchimakāle maraṇamañce nipannā piyamanāpassa antevāsikassa kathenti, evaṃ tathāgatassa – ‘‘idaṃ mahallakakāle pacchimaṭṭhāne kathessāmī’’ti muṭṭhiṃ katvā ‘‘pariharissāmī’’ti ṭhapitaṃ kiñci natthīti dasseti.
อหํ ภิกฺขุสงฺฆนฺติ อหเมว ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามีติ วา มมุเทฺทสิโกติ อหํ อุทฺทิสิตพฺพเฎฺฐน อุเทฺทโส อสฺสาติ มมุเทฺทสิโกฯ มํเยว อุทฺทิสิตฺวา มม ปจฺจาสีสมาโน ภิกฺขุสโงฺฆ โหตุ, มม อจฺจเยน วา มา อเหสุํ, ยํ วา ตํ วา โหตูติ อิติ วา ยสฺส อสฺสาติ อโตฺถฯ น เอวํ โหตีติ โพธิปลฺลเงฺกเยว อิสฺสามจฺฉริยานํ วิหตตฺตา เอวํ น โหติฯ ส กินฺติ โส กิํฯ อาสีติโกติ อสีติสํวจฺฉริโกฯ อิทํ ปจฺฉิมวยอนุปฺปตฺตภาวทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ เวฐมิสฺสเกนาติ พาหพนฺธจกฺกพนฺธาทินา ปฎิสงฺขรเณน เวฐมิสฺสเกนฯ มเญฺญติ ชิณฺณสกฎํ วิย เวฐมิสฺสเกน มเญฺญ ยาเปติฯ อรหตฺตผลเวฐเนน จตุอิริยาปถกปฺปนํ ตถาคตสฺส โหตีติ ทเสฺสติฯ
Ahaṃbhikkhusaṅghanti ahameva bhikkhusaṅghaṃ pariharissāmīti vā mamuddesikoti ahaṃ uddisitabbaṭṭhena uddeso assāti mamuddesiko. Maṃyeva uddisitvā mama paccāsīsamāno bhikkhusaṅgho hotu, mama accayena vā mā ahesuṃ, yaṃ vā taṃ vā hotūti iti vā yassa assāti attho. Na evaṃ hotīti bodhipallaṅkeyeva issāmacchariyānaṃ vihatattā evaṃ na hoti. Sa kinti so kiṃ. Āsītikoti asītisaṃvacchariko. Idaṃ pacchimavayaanuppattabhāvadīpanatthaṃ vuttaṃ. Veṭhamissakenāti bāhabandhacakkabandhādinā paṭisaṅkharaṇena veṭhamissakena. Maññeti jiṇṇasakaṭaṃ viya veṭhamissakena maññe yāpeti. Arahattaphalaveṭhanena catuiriyāpathakappanaṃ tathāgatassa hotīti dasseti.
อิทานิ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต ยสฺมิํ, อานนฺท, สมเยติอาทิมาหฯ ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปนิมิตฺตาทีนํฯ เอกจฺจานํ เวทนานนฺติ โลกิยานํ เวทนานํฯ ตสฺมาติหานนฺทาติ ยสฺมา อิมินา ผลสมาปตฺติวิหาเรน ผาสุ โหติ, ตสฺมา ตุเมฺหปิ ตทตฺถาย เอวํ วิหรถาติ ทเสฺสติฯ อตฺตทีปาติ มหาสมุทฺทคตทีปํ วิย อตฺตานํ ทีปํ ปติฎฺฐํ กตฺวา วิหรถฯ อตฺตสรณาติ อตฺตคติกาว โหถ, มา อญฺญคติกาฯ ธมฺมทีปธมฺมสรณปเทสุปิ เอเสว นโยฯ ตมตเคฺคติ ตมอเคฺคฯ มเชฺฌ ตกาโร ปทสนฺธิวเสน วุโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อิเม อคฺคตมาติ ตมตคฺคา’’ติฯ เอวํ สพฺพํ ตมโยคํ ฉินฺทิตฺวา อติวิย อเคฺค อุตฺตมภาเว เอเต , อานนฺท , มม ภิกฺขู ภวิสฺสนฺติฯ เตสํ อติอเคฺค ภวิสฺสนฺติ, เย เกจิ สิกฺขากามา, สเพฺพปิ เต จตุสติปฎฺฐานโคจราว ภิกฺขู อเคฺค ภวิสฺสนฺตีติ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ สงฺคณฺหาติฯ
Idāni tamatthaṃ pakāsento yasmiṃ, ānanda, samayetiādimāha. Tattha sabbanimittānanti rūpanimittādīnaṃ. Ekaccānaṃ vedanānanti lokiyānaṃ vedanānaṃ. Tasmātihānandāti yasmā iminā phalasamāpattivihārena phāsu hoti, tasmā tumhepi tadatthāya evaṃ viharathāti dasseti. Attadīpāti mahāsamuddagatadīpaṃ viya attānaṃ dīpaṃ patiṭṭhaṃ katvā viharatha. Attasaraṇāti attagatikāva hotha, mā aññagatikā. Dhammadīpadhammasaraṇapadesupi eseva nayo. Tamataggeti tamaagge. Majjhe takāro padasandhivasena vutto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ime aggatamāti tamataggā’’ti. Evaṃ sabbaṃ tamayogaṃ chinditvā ativiya agge uttamabhāve ete , ānanda , mama bhikkhū bhavissanti. Tesaṃ atiagge bhavissanti, ye keci sikkhākāmā, sabbepi te catusatipaṭṭhānagocarāva bhikkhū agge bhavissantīti arahattanikūṭena desanaṃ saṅgaṇhāti.
ทุติยภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dutiyabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
นิมิโตฺตภาสกถาวณฺณนา
Nimittobhāsakathāvaṇṇanā
๑๖๖. เวสาลิํ ปิณฺฑาย ปาวิสีติ กทา ปาวิสิ? อุกฺกเจลโต นิกฺขมิตฺวา เวสาลิํ คตกาเลฯ ภควา กิร วุฎฺฐวโสฺส เวฬุวคามกา นิกฺขมิตฺวา สาวตฺถิํ คมิสฺสามีติ อาคตมเคฺคเนว ปฎินิวตฺตโนฺต อนุปุเพฺพน สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนํ ปาวิสิฯ ธมฺมเสนาปติ ภควโต วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ทิวาฎฺฐานํ คโตฯ โส ตตฺถ อเนฺตวาสิเกสุ วตฺตํ ทเสฺสตฺวา ปฎิกฺกเนฺตสุ ทิวาฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา จมฺมกฺขณฺฑํ ปญฺญเปตฺวา ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา ผลสมาปตฺติํ ปาวิสิฯ อถสฺส ยถาปริเจฺฉเทน ตโต วุฎฺฐิตสฺส อยํ ปริวิตโกฺก อุทปาทิ – ‘‘พุทฺธา นุ โข ปฐมํ ปรินิพฺพายนฺติ, อคสาวกา นุ โข’’ติ? ตโต – ‘‘อคฺคสาวกา ปฐม’’นฺติ ญตฺวา อตฺตโน อายุสงฺขารํ โอโลเกสิฯ โส – ‘‘สตฺตาหเมว เม อายุสงฺขาโร ปวตฺตตี’’ติ ญตฺวา – ‘‘กตฺถ ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตโต – ‘‘ราหุโล ตาวติํเสสุ ปรินิพฺพุโต, อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร ฉทฺทนฺตทเห, อหํ กตฺถ ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ ปุน จิเนฺตโนฺต มาตรํ อารพฺภ สติํ อุปฺปาเทสิ – ‘‘มยฺหํ มาตา สตฺตนฺนํ อรหนฺตานํ มาตา หุตฺวาปิ พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ อปฺปสนฺนา, อตฺถิ นุ โข ตสฺสา อุปนิสฺสโย, นตฺถิ นุ โข’’ติ อาวเชฺชตฺวา โสตาปตฺติมคฺคสฺส อุปนิสฺสยํ ทิสฺวา – ‘‘กสฺส เทสนาย อภิสมโย ภวิสฺสตี’’ติ โอโลเกโนฺต – ‘‘มเมว ธมฺมเทสนาย ภวิสฺสติ, น อญฺญสฺสฯ สเจ โข ปนาหํ อโปฺปสฺสุโกฺก ภเวยฺยํ, ภวิสฺสนฺติ เม วตฺตาโร – ‘สาริปุตฺตเตฺถโร อวเสสชนานมฺปิ อวสฺสโย โหติฯ ตถา หิสฺส สมจิตฺตสุตฺตเทสนาทิวเส (อ. นิ. ๑.๓๗) โกฎิสตสหสฺสเทวตา อรหตฺตํ ปตฺตา ฯ ตโย มเคฺค ปฎิวิทฺธเทวตานํ คณนา นตฺถิฯ อเญฺญสุ จ ฐาเนสุ อเนกา อภิสมยา ทิสฺสนฺติฯ เถเรว จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺตาเนว อสีติกุลสหสฺสานิฯ โส ทานิ สกมาตุมิจฺฉาทสฺสนมตฺตมฺปิ หริตุํ นาสกฺขี’ติฯ ตสฺมา มาตรํ มิจฺฉาทสฺสนา โมเจตฺวา ชาโตวรเกเยว ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา – ‘‘อเชฺชว ภควนฺตํ อนุชานาเปตฺวา นิกฺขมิสฺสามี’’ติ จุนฺทเตฺถรํ อามเนฺตสิฯ ‘‘อาวุโส, จุนฺท, อมฺหากํ ปญฺจสตาย ภิกฺขุปริสาย สญฺญํ เทหิ – ‘คณฺหถาวุโส ปตฺตจีวรานิ, ธมฺมเสนาปติ นาฬกคามํ คนฺตุกาโม’ติ’’ฯ เถโร ตถา อกาสิฯ ภิกฺขู เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เถรสฺส สนฺติกํ อาคมํสุฯ เถโร เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ทิวาฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา ทิวาฎฺฐานทฺวาเร ฐตฺวา ทิวาฎฺฐานํ โอโลเกโนฺต – ‘‘อิทํ ทานิ ปจฺฉิมทสฺสนํ, ปุน อาคมนํ นตฺถี’’ติ ปญฺจสตภิกฺขุปริวุโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอตทโวจ –
166.Vesāliṃ piṇḍāya pāvisīti kadā pāvisi? Ukkacelato nikkhamitvā vesāliṃ gatakāle. Bhagavā kira vuṭṭhavasso veḷuvagāmakā nikkhamitvā sāvatthiṃ gamissāmīti āgatamaggeneva paṭinivattanto anupubbena sāvatthiṃ patvā jetavanaṃ pāvisi. Dhammasenāpati bhagavato vattaṃ dassetvā divāṭṭhānaṃ gato. So tattha antevāsikesu vattaṃ dassetvā paṭikkantesu divāṭṭhānaṃ sammajjitvā cammakkhaṇḍaṃ paññapetvā pāde pakkhāletvā pallaṅkaṃ ābhujitvā phalasamāpattiṃ pāvisi. Athassa yathāparicchedena tato vuṭṭhitassa ayaṃ parivitakko udapādi – ‘‘buddhā nu kho paṭhamaṃ parinibbāyanti, agasāvakā nu kho’’ti? Tato – ‘‘aggasāvakā paṭhama’’nti ñatvā attano āyusaṅkhāraṃ olokesi. So – ‘‘sattāhameva me āyusaṅkhāro pavattatī’’ti ñatvā – ‘‘kattha parinibbāyissāmī’’ti cintesi. Tato – ‘‘rāhulo tāvatiṃsesu parinibbuto, aññāsikoṇḍaññatthero chaddantadahe, ahaṃ kattha parinibbāyissāmī’’ti puna cintento mātaraṃ ārabbha satiṃ uppādesi – ‘‘mayhaṃ mātā sattannaṃ arahantānaṃ mātā hutvāpi buddhadhammasaṅghesu appasannā, atthi nu kho tassā upanissayo, natthi nu kho’’ti āvajjetvā sotāpattimaggassa upanissayaṃ disvā – ‘‘kassa desanāya abhisamayo bhavissatī’’ti olokento – ‘‘mameva dhammadesanāya bhavissati, na aññassa. Sace kho panāhaṃ appossukko bhaveyyaṃ, bhavissanti me vattāro – ‘sāriputtatthero avasesajanānampi avassayo hoti. Tathā hissa samacittasuttadesanādivase (a. ni. 1.37) koṭisatasahassadevatā arahattaṃ pattā . Tayo magge paṭividdhadevatānaṃ gaṇanā natthi. Aññesu ca ṭhānesu anekā abhisamayā dissanti. Thereva cittaṃ pasādetvā sagge nibbattāneva asītikulasahassāni. So dāni sakamātumicchādassanamattampi harituṃ nāsakkhī’ti. Tasmā mātaraṃ micchādassanā mocetvā jātovarakeyeva parinibbāyissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā – ‘‘ajjeva bhagavantaṃ anujānāpetvā nikkhamissāmī’’ti cundattheraṃ āmantesi. ‘‘Āvuso, cunda, amhākaṃ pañcasatāya bhikkhuparisāya saññaṃ dehi – ‘gaṇhathāvuso pattacīvarāni, dhammasenāpati nāḷakagāmaṃ gantukāmo’ti’’. Thero tathā akāsi. Bhikkhū senāsanaṃ saṃsāmetvā pattacīvaramādāya therassa santikaṃ āgamaṃsu. Thero senāsanaṃ saṃsāmetvā divāṭṭhānaṃ sammajjitvā divāṭṭhānadvāre ṭhatvā divāṭṭhānaṃ olokento – ‘‘idaṃ dāni pacchimadassanaṃ, puna āgamanaṃ natthī’’ti pañcasatabhikkhuparivuto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā vanditvā etadavoca –
‘‘ฉิโนฺน ทานิ ภวิสฺสามิ, โลกนาถ มหามุนิ;
‘‘Chinno dāni bhavissāmi, lokanātha mahāmuni;
คมนาคมนํ นตฺถิ, ปจฺฉิมา วนฺทนา อยํฯ
Gamanāgamanaṃ natthi, pacchimā vandanā ayaṃ.
ชีวิตํ อปฺปกํ มยฺหํ, อิโต สตฺตาหมจฺจเย;
Jīvitaṃ appakaṃ mayhaṃ, ito sattāhamaccaye;
นิกฺขิเปยฺยามหํ เทหํ, ภารโวโรปนํ ยถาฯ
Nikkhipeyyāmahaṃ dehaṃ, bhāravoropanaṃ yathā.
อนุชานาตุ เม ภเนฺต, ภควา, อนุชานาตุ สุคโต;
Anujānātu me bhante, bhagavā, anujānātu sugato;
ปรินิพฺพานกาโล เม, โอสฺสโฎฺฐ อายุสงฺขาโร’’ติฯ
Parinibbānakālo me, ossaṭṭho āyusaṅkhāro’’ti.
พุทฺธา ปน ยสฺมา ‘‘ปรินิพฺพาหี’’ติ วุเตฺต มรณสํวณฺณนํ สํวเณฺณนฺติ นาม, ‘‘มา ปรินิพฺพาหี’’ติ วุเตฺต วฎฺฎสฺส คุณํ กเถนฺตีติ มิจฺฉาทิฎฺฐิกา โทสํ อาโรเปสฺสนฺติ, ตสฺมา ตทุภยมฺปิ น วทนฺติฯ เตน นํ ภควา อาห – ‘‘กตฺถ ปรินิพฺพายิสฺสสิ สาริปุตฺตา’’ติ? ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต, มคเธสุ นาฬกคาเม ชาโตวรโก, ตตฺถาหํ ปรินิพฺพายิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ‘‘ยสฺส ทานิ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กาลํ มญฺญสิ, อิทานิ ปน เต เชฎฺฐกนิฎฺฐภาติกานํ ตาทิสสฺส ภิกฺขุโน ทสฺสนํ ทุลฺลภํ ภวิสฺสตีติ เทเสหิ เตสํ ธมฺม’’นฺติ อาหฯ
Buddhā pana yasmā ‘‘parinibbāhī’’ti vutte maraṇasaṃvaṇṇanaṃ saṃvaṇṇenti nāma, ‘‘mā parinibbāhī’’ti vutte vaṭṭassa guṇaṃ kathentīti micchādiṭṭhikā dosaṃ āropessanti, tasmā tadubhayampi na vadanti. Tena naṃ bhagavā āha – ‘‘kattha parinibbāyissasi sāriputtā’’ti? ‘‘Atthi, bhante, magadhesu nāḷakagāme jātovarako, tatthāhaṃ parinibbāyissāmī’’ti vutte ‘‘yassa dāni tvaṃ, sāriputta, kālaṃ maññasi, idāni pana te jeṭṭhakaniṭṭhabhātikānaṃ tādisassa bhikkhuno dassanaṃ dullabhaṃ bhavissatīti desehi tesaṃ dhamma’’nti āha.
เถโร – ‘‘สตฺถา มยฺหํ อิทฺธิวิกุพฺพนปุพฺพงฺคมํ ธมฺมเทสนํ ปจฺจาสีสตี’’ติ ญตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ตาลปฺปมาณํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุน โอรุยฺห ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา สตฺตตาลปฺปมาเณ อนฺตลิเกฺข ฐิโต อิทฺธิวิกุพฺพนํ ทเสฺสตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ สกลนครํ สนฺนิปติฯ เถโร โอรุยฺห ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ‘‘คมนกาโล เม, ภเนฺต’’ติ อาหฯ ภควา ‘‘ธมฺมเสนาปติํ ปฎิปาเทสฺสามี’’ติ ธมฺมาสนา อุฎฺฐาย คนฺธกุฎิอภิมุโข คนฺตฺวา มณิผลเก อฎฺฐาสิฯ เถโร ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา – ‘‘ภควา อิโต กปฺปสตสหสฺสาธิกสฺส อสเงฺขฺยยฺยสฺส อุปริ อโนมทสฺสิสมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปาทมูเล นิปติตฺวา ตุมฺหากํ ทสฺสนํ ปเตฺถสิํฯ สา เม ปตฺถนา สมิทฺธา, ทิฎฺฐา ตุเมฺห, ตํ ปฐมทสฺสนํ, อิทํ ปจฺฉิมทสฺสนํฯ ปุน ตุมฺหากํ ทสฺสนํ นตฺถี’’ติ – วตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ยาว ทสฺสนวิสโย, ตาว อภิมุโขว ปฎิกฺกมิตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย จุติปฎิสนฺธิวเสน กิสฺมิญฺจิ ฐาเน คมนาคมนํ นาม นตฺถี’’ติ วนฺทิตฺวา ปกฺกามิฯ อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาภูมิจาโล อโหสิฯ ภควา ปริวาเรตฺวา ฐิเต ภิกฺขู อาห – ‘‘อนุคจฺฉถ, ภิกฺขเว, ตุมฺหากํ เชฎฺฐภาติก’’นฺติฯ ภิกฺขู ยาว ทฺวารโกฎฺฐกา อคมํสุฯ เถโร – ‘‘ติฎฺฐถ, ตุเมฺห อาวุโส, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ นิวตฺตาเปตฺวา อตฺตโน ปริสาเยว สทฺธิํ ปกฺกามิฯ มนุสฺสา – ‘‘ปุเพฺพ อโยฺย ปจฺจาคมนจาริกํ จรติ, อิทํ ทานิ คมนํ น ปุน ปจฺจาคมนายา’’ติ ปริเทวนฺตา อนุพนฺธิํสุฯ เตปิ ‘‘อปฺปมตฺตา โหถ อาวุโส, เอวํภาวิโน นาม สงฺขารา’’ติ นิวตฺตาเปสิฯ
Thero – ‘‘satthā mayhaṃ iddhivikubbanapubbaṅgamaṃ dhammadesanaṃ paccāsīsatī’’ti ñatvā bhagavantaṃ vanditvā tālappamāṇaṃ abbhuggantvā puna oruyha bhagavantaṃ vanditvā sattatālappamāṇe antalikkhe ṭhito iddhivikubbanaṃ dassetvā dhammaṃ desesi. Sakalanagaraṃ sannipati. Thero oruyha bhagavantaṃ vanditvā ‘‘gamanakālo me, bhante’’ti āha. Bhagavā ‘‘dhammasenāpatiṃ paṭipādessāmī’’ti dhammāsanā uṭṭhāya gandhakuṭiabhimukho gantvā maṇiphalake aṭṭhāsi. Thero tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā – ‘‘bhagavā ito kappasatasahassādhikassa asaṅkhyeyyassa upari anomadassisammāsambuddhassa pādamūle nipatitvā tumhākaṃ dassanaṃ patthesiṃ. Sā me patthanā samiddhā, diṭṭhā tumhe, taṃ paṭhamadassanaṃ, idaṃ pacchimadassanaṃ. Puna tumhākaṃ dassanaṃ natthī’’ti – vatvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ paggayha yāva dassanavisayo, tāva abhimukhova paṭikkamitvā ‘‘ito paṭṭhāya cutipaṭisandhivasena kismiñci ṭhāne gamanāgamanaṃ nāma natthī’’ti vanditvā pakkāmi. Udakapariyantaṃ katvā mahābhūmicālo ahosi. Bhagavā parivāretvā ṭhite bhikkhū āha – ‘‘anugacchatha, bhikkhave, tumhākaṃ jeṭṭhabhātika’’nti. Bhikkhū yāva dvārakoṭṭhakā agamaṃsu. Thero – ‘‘tiṭṭhatha, tumhe āvuso, appamattā hothā’’ti nivattāpetvā attano parisāyeva saddhiṃ pakkāmi. Manussā – ‘‘pubbe ayyo paccāgamanacārikaṃ carati, idaṃ dāni gamanaṃ na puna paccāgamanāyā’’ti paridevantā anubandhiṃsu. Tepi ‘‘appamattā hotha āvuso, evaṃbhāvino nāma saṅkhārā’’ti nivattāpesi.
อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต อนฺตรามเคฺค สตฺตาหํ มนุสฺสานํ อนุคฺคหํ กโรโนฺต สายํ นาฬกคามํ ปตฺวา คามทฺวาเร นิโคฺรธรุกฺขมูเล อฎฺฐาสิฯ อถ อุปเรวโต นาม เถรสฺส ภาคิเนโยฺย พหิคามํ คจฺฉโนฺต เถรํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ เถโร ตํ อาห – ‘‘อตฺถิ เคเห เต อยฺยิกา’’ติ? อาม, ภเนฺตติฯ คจฺฉ อมฺหากํ อิธาคตภาวํ อาโรเจหิฯ ‘‘กสฺมา อาคโต’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อชฺช กิร เอกทิวสํ อโนฺตคาเม ภวิสฺสติ, ชาโตวรกํ ปฎิชคฺคถ, ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ นิวาสนฎฺฐานํ ชานาถา’’ติฯ โส คนฺตฺวา ‘‘อยฺยิเก, มยฺหํ มาตุโล อาคโต’’ติ อาหฯ อิทานิ กุหินฺติ? คามทฺวาเรติฯ เอกโกว, อโญฺญปิ โกจิ อตฺถีติ ? อตฺถิ ปญฺจสตา ภิกฺขูติฯ กิํ การณา อาคโตติ? โส ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ พฺราหฺมณี – ‘‘กิํ นุ โข เอตฺตกานํ วสนฎฺฐานํ ปฎิชคฺคาเปติ , ทหรกาเล ปพฺพชิตฺวา มหลฺลกกาเล คิหี โหตุกาโม’’ติ จิเนฺตนฺตี ชาโตวรกํ ปฎิชคฺคาเปตฺวา ปญฺจสตานํ ภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานํ กาเรตฺวา ทณฺฑทีปิกาโย ชาเลตฺวา เถรสฺส ปาเหสิฯ
Atha kho āyasmā sāriputto antarāmagge sattāhaṃ manussānaṃ anuggahaṃ karonto sāyaṃ nāḷakagāmaṃ patvā gāmadvāre nigrodharukkhamūle aṭṭhāsi. Atha uparevato nāma therassa bhāgineyyo bahigāmaṃ gacchanto theraṃ disvā upasaṅkamitvā vanditvā aṭṭhāsi. Thero taṃ āha – ‘‘atthi gehe te ayyikā’’ti? Āma, bhanteti. Gaccha amhākaṃ idhāgatabhāvaṃ ārocehi. ‘‘Kasmā āgato’’ti ca vutte ‘‘ajja kira ekadivasaṃ antogāme bhavissati, jātovarakaṃ paṭijaggatha, pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ nivāsanaṭṭhānaṃ jānāthā’’ti. So gantvā ‘‘ayyike, mayhaṃ mātulo āgato’’ti āha. Idāni kuhinti? Gāmadvāreti. Ekakova, aññopi koci atthīti ? Atthi pañcasatā bhikkhūti. Kiṃ kāraṇā āgatoti? So taṃ pavattiṃ ārocesi. Brāhmaṇī – ‘‘kiṃ nu kho ettakānaṃ vasanaṭṭhānaṃ paṭijaggāpeti , daharakāle pabbajitvā mahallakakāle gihī hotukāmo’’ti cintentī jātovarakaṃ paṭijaggāpetvā pañcasatānaṃ bhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ kāretvā daṇḍadīpikāyo jāletvā therassa pāhesi.
เถโร ภิกฺขูหิ สทฺธิํ ปาสาทํ อภิรุหิฯ อภิรุหิตฺวา จ ชาโตวรกํ ปวิสิตฺวา นิสีทิฯ นิสเชฺชว – ‘‘ตุมฺหากํ วสนฎฺฐานํ คจฺฉถา’’ติ ภิกฺขู อุโยฺยเชสิฯ เตสุ คตมเตฺตสุเยว เถรสฺส ขโร อาพาโธ อุปฺปชฺชิ, โลหิตปกฺขนฺทิกา มารณนฺติกา เวทนา วตฺตนฺติ, เอกํ ภาชนํ ปวิสติ, เอกํ นิกฺขมติฯ พฺราหฺมณี – ‘‘มม ปุตฺตสฺส ปวตฺติ มยฺหํ น รุจฺจตี’’ติ อตฺตโน วสนคพฺภทฺวารํ นิสฺสาย อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโร มหาราชาโน ‘‘ธมฺมเสนาปติ กุหิํ วิหรตี’’ติ โอโลเกนฺตา ‘‘นาฬกคาเม ชาโตวรเก ปรินิพฺพานมเญฺจ นิปโนฺน, ปจฺฉิมทสฺสนํ คมิสฺสามา’’ติ อาคมฺม วนฺทิตฺวา อฎฺฐํสุฯ เถโร – เก ตุเมฺหติ? มหาราชาโน, ภเนฺตติฯ กสฺมา อาคตตฺถาติ? คิลานุปฎฺฐากา ภวิสฺสามาติฯ โหตุ, อตฺถิ คิลานุปฎฺฐาโก, คจฺฉถ ตุเมฺหติ อุโยฺยเชสิฯ เตสํ คตาวสาเน เตเนว นเยน สโกฺก เทวานมิโนฺท, ตสฺมิํ คเต สุยามาทโย มหาพฺรหฺมา จ อาคมิํสุฯ เตปิ ตเถว เถโร อุโยฺยเชสิฯ
Thero bhikkhūhi saddhiṃ pāsādaṃ abhiruhi. Abhiruhitvā ca jātovarakaṃ pavisitvā nisīdi. Nisajjeva – ‘‘tumhākaṃ vasanaṭṭhānaṃ gacchathā’’ti bhikkhū uyyojesi. Tesu gatamattesuyeva therassa kharo ābādho uppajji, lohitapakkhandikā māraṇantikā vedanā vattanti, ekaṃ bhājanaṃ pavisati, ekaṃ nikkhamati. Brāhmaṇī – ‘‘mama puttassa pavatti mayhaṃ na ruccatī’’ti attano vasanagabbhadvāraṃ nissāya aṭṭhāsi. Cattāro mahārājāno ‘‘dhammasenāpati kuhiṃ viharatī’’ti olokentā ‘‘nāḷakagāme jātovarake parinibbānamañce nipanno, pacchimadassanaṃ gamissāmā’’ti āgamma vanditvā aṭṭhaṃsu. Thero – ke tumheti? Mahārājāno, bhanteti. Kasmā āgatatthāti? Gilānupaṭṭhākā bhavissāmāti. Hotu, atthi gilānupaṭṭhāko, gacchatha tumheti uyyojesi. Tesaṃ gatāvasāne teneva nayena sakko devānamindo, tasmiṃ gate suyāmādayo mahābrahmā ca āgamiṃsu. Tepi tatheva thero uyyojesi.
พฺราหฺมณี เทวตานํ อาคมนญฺจ คมนญฺจ ทิสฺวา – ‘‘เก นุ โข เอเต มม ปุตฺตํ วนฺทิตฺวา คจฺฉนฺตี’’ติ เถรสฺส คพฺภทฺวารํ คนฺตฺวา – ‘‘ตาต, จุนฺท, กา ปวตฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ ปวตฺติํ อาจิกฺขิตฺวา – ‘‘มหาอุปาสิกา, ภเนฺต อาคตา’’ติ อาหฯ เถโร กสฺมา อเวลาย อาคตตฺถาติ ปุจฺฉิฯ สา ตุยฺหํ ตาต ทสฺสนตฺถายาติ วตฺวา ‘‘ตาต เก ปฐมํ อาคตา’’ติ ปุจฺฉิฯ จตฺตาโร มหาราชาโน, อุปาสิเกติฯ ตาต, ตฺวํ จตูหิ มหาราเชหิ มหนฺตตโรติ? อารามิกสทิสา เอเต อุปาสิเก, อมฺหากํ สตฺถุ ปฎิสนฺธิคฺคหณโต ปฎฺฐาย ขคฺคหตฺถา หุตฺวา อารกฺขํ อกํสูติฯ เตสํ ตาต, คตาวสาเน โก อาคโตติ? สโกฺก เทวานมิโนฺทติฯ เทวราชโตปิ ตฺวํ ตาต, มหนฺตตโรติ? ภณฺฑคาหกสามเณรสทิโส เอส อุปาสิเก, อมฺหากํ สตฺถุ ตาวติํสโต โอตรณกาเล ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา โอติโณฺณติฯ ตสฺส ตาต คตาวสาเน โชตมาโน วิย โก อาคโตติ? อุปาสิเก ตุยฺหํ ภควา จ สตฺถา จ มหาพฺรหฺมา นาม เอโสติฯ มยฺหํ ภควโต มหาพฺรหฺมโตปิ ตฺวํ ตาต มหนฺตตโรติ? อาม อุปาสิเก, เอเต นาม กิร อมฺหากํ สตฺถุ ชาตทิวเส จตฺตาโร มหาพฺรหฺมาโน มหาปุริสํ สุวณฺณชาเลน ปฎิคฺคณฺหิํสูติฯ
Brāhmaṇī devatānaṃ āgamanañca gamanañca disvā – ‘‘ke nu kho ete mama puttaṃ vanditvā gacchantī’’ti therassa gabbhadvāraṃ gantvā – ‘‘tāta, cunda, kā pavattī’’ti pucchi. So taṃ pavattiṃ ācikkhitvā – ‘‘mahāupāsikā, bhante āgatā’’ti āha. Thero kasmā avelāya āgatatthāti pucchi. Sā tuyhaṃ tāta dassanatthāyāti vatvā ‘‘tāta ke paṭhamaṃ āgatā’’ti pucchi. Cattāro mahārājāno, upāsiketi. Tāta, tvaṃ catūhi mahārājehi mahantataroti? Ārāmikasadisā ete upāsike, amhākaṃ satthu paṭisandhiggahaṇato paṭṭhāya khaggahatthā hutvā ārakkhaṃ akaṃsūti. Tesaṃ tāta, gatāvasāne ko āgatoti? Sakko devānamindoti. Devarājatopi tvaṃ tāta, mahantataroti? Bhaṇḍagāhakasāmaṇerasadiso esa upāsike, amhākaṃ satthu tāvatiṃsato otaraṇakāle pattacīvaraṃ gahetvā otiṇṇoti. Tassa tāta gatāvasāne jotamāno viya ko āgatoti? Upāsike tuyhaṃ bhagavā ca satthā ca mahābrahmā nāma esoti. Mayhaṃ bhagavato mahābrahmatopi tvaṃ tāta mahantataroti? Āma upāsike, ete nāma kira amhākaṃ satthu jātadivase cattāro mahābrahmāno mahāpurisaṃ suvaṇṇajālena paṭiggaṇhiṃsūti.
อถ พฺราหฺมณิยา – ‘‘ปุตฺตสฺส ตาว เม อยํ อานุภาโว, กีทิโส วต มยฺหํ ปุตฺตสฺส ภควโต สตฺถุ อานุภาโว ภวิสฺสตี’’ติ จินฺตยนฺติยา สหสา ปญฺจวณฺณา ปีติ อุปฺปชฺชิตฺวา สกลสรีเร ผริฯ เถโร – ‘‘อุปฺปนฺนํ เม มาตุ ปีติโสมนสฺสํ, อยํ ทานิ กาโล ธมฺมเทสนายา’’ติ จิเนฺตตฺวา – ‘‘กิํ จิเนฺตสิ มหาอุปาสิเก’’ติ อาหฯ สา – ‘‘ปุตฺตสฺส ตาว เม อยํ คุโณ, สตฺถุ ปนสฺส กีทิโส คุโณ ภวิสฺสตีติ อิทํ, ตาต, จิเนฺตมี’’ติ อาหฯ มหาอุปาสิเก, มยฺหํ สตฺถุ ชาตกฺขเณ, มหาภินิกฺขมเน, สโมฺพธิยํ, ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน จ ทสสหสฺสิโลกธาตุ กมฺปิตฺถ, สีเลน สมาธินา ปญฺญาย วิมุตฺติยา วิมุตฺติญาณทสฺสเนน สโม นาม นตฺถิ, อิติปิ โส ภควาติ วิตฺถาเรตฺวา พุทฺธคุณปฺปฎิสํยุตฺตํ ธมฺมเทสนํ กเถสิฯ
Atha brāhmaṇiyā – ‘‘puttassa tāva me ayaṃ ānubhāvo, kīdiso vata mayhaṃ puttassa bhagavato satthu ānubhāvo bhavissatī’’ti cintayantiyā sahasā pañcavaṇṇā pīti uppajjitvā sakalasarīre phari. Thero – ‘‘uppannaṃ me mātu pītisomanassaṃ, ayaṃ dāni kālo dhammadesanāyā’’ti cintetvā – ‘‘kiṃ cintesi mahāupāsike’’ti āha. Sā – ‘‘puttassa tāva me ayaṃ guṇo, satthu panassa kīdiso guṇo bhavissatīti idaṃ, tāta, cintemī’’ti āha. Mahāupāsike, mayhaṃ satthu jātakkhaṇe, mahābhinikkhamane, sambodhiyaṃ, dhammacakkappavattane ca dasasahassilokadhātu kampittha, sīlena samādhinā paññāya vimuttiyā vimuttiñāṇadassanena samo nāma natthi, itipi so bhagavāti vitthāretvā buddhaguṇappaṭisaṃyuttaṃ dhammadesanaṃ kathesi.
พฺราหฺมณี ปิยปุตฺตสฺส ธมฺมเทสนาปริโยสาเน โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ปุตฺตํ อาห – ‘‘ตาต, อุปติสฺส, กสฺมา เอวมกาสิ, เอวรูปํ นาม อมตํ มยฺหํ เอตฺตกํ กาลํ น อทาสี’’ติฯ เถโร – ‘‘ทินฺนํ ทานิ เม มาตุ รูปสาริยา พฺราหฺมณิยา โปสาวนิกมูลํ, เอตฺตเกน วฎฺฎิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ มหาอุปาสิเก’’ติ พฺราหฺมณิํ อุโยฺยเชตฺวา ‘‘จุนฺท กา เวลา’’ติ อาหฯ พลวปจฺจูสกาโล, ภเนฺตติฯ เตน หิ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตหีติฯ สนฺนิปติโต, ภเนฺต, สโงฺฆติฯ มํ อุกฺขิปิตฺวา นิสีทาเปหิ จุนฺทาติ อุกฺขิปิตฺวา นิสีทาเปสิฯ เถโร ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อาวุโส จตุจตฺตาลีสํ โว วสฺสานิ มยา สทฺธิํ วิจรนฺตานํ ยํ เม กายิกํ วา วาจสิกํ วา น โรเจถ, ขมถ ตํ อาวุโสติฯ เอตฺตกํ, ภเนฺต, อมฺหากํ ฉายา วิย ตุเมฺห อมุญฺจิตฺวา วิจรนฺตานํ อรุจฺจนกํ นาม นตฺถิ, ตุเมฺห ปน อมฺหากํ ขมถาติฯ อถ เถโร อรุณสิขาย ปญฺญายมานาย มหาปถวิํ อุนฺนาทยโนฺต อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิฯ พหู เทวมนุสฺสา เถรสฺส ปรินิพฺพาเน สกฺการํ กริํสุฯ
Brāhmaṇī piyaputtassa dhammadesanāpariyosāne sotāpattiphale patiṭṭhāya puttaṃ āha – ‘‘tāta, upatissa, kasmā evamakāsi, evarūpaṃ nāma amataṃ mayhaṃ ettakaṃ kālaṃ na adāsī’’ti. Thero – ‘‘dinnaṃ dāni me mātu rūpasāriyā brāhmaṇiyā posāvanikamūlaṃ, ettakena vaṭṭissatī’’ti cintetvā ‘‘gaccha mahāupāsike’’ti brāhmaṇiṃ uyyojetvā ‘‘cunda kā velā’’ti āha. Balavapaccūsakālo, bhanteti. Tena hi bhikkhusaṅghaṃ sannipātehīti. Sannipatito, bhante, saṅghoti. Maṃ ukkhipitvā nisīdāpehi cundāti ukkhipitvā nisīdāpesi. Thero bhikkhū āmantesi – ‘‘āvuso catucattālīsaṃ vo vassāni mayā saddhiṃ vicarantānaṃ yaṃ me kāyikaṃ vā vācasikaṃ vā na rocetha, khamatha taṃ āvusoti. Ettakaṃ, bhante, amhākaṃ chāyā viya tumhe amuñcitvā vicarantānaṃ aruccanakaṃ nāma natthi, tumhe pana amhākaṃ khamathāti. Atha thero aruṇasikhāya paññāyamānāya mahāpathaviṃ unnādayanto anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi. Bahū devamanussā therassa parinibbāne sakkāraṃ kariṃsu.
อายสฺมา จุโนฺท เถรสฺส ปตฺตจีวรญฺจ ธาตุปริสฺสาวนญฺจ คเหตฺวา เชตวนํ คนฺตฺวา อานนฺทเตฺถรํ คเหตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิฯ ภควา ธาตุปริสฺสาวนํ คเหตฺวา ปญฺจหิ คาถาสเตหิ เถรสฺส คุณํ กเถตฺวา ธาตุเจติยํ การาเปตฺวา ราชคหคมนตฺถาย อานนฺทเตฺถรสฺส สญฺญํ อทาสิฯ เถโร ภิกฺขูนํ อาโรเจสิฯ ภควา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ราชคหํ อคมาสิฯ ตตฺถ คตกาเล มหาโมคฺคลฺลานเตฺถโร ปรินิพฺพายิฯ ภควา ตสฺส ธาตุโย คเหตฺวา เจติยํ การาเปตฺวา ราชคหโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน คงฺคาภิมุโข คนฺตฺวา อุกฺกเจลํ อคมาสิฯ ตตฺถ คงฺคาตีเร ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต นิสีทิตฺวา ตตฺถ สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานานํ ปรินิพฺพานปฺปฎิสํยุตฺตํ สุตฺตํ เทเสตฺวา อุกฺกเจลโต นิกฺขมิตฺวา เวสาลิํ อคมาสิฯ เอวํ คเต อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เวสาลิํ ปิณฺฑาย ปาวิสีติ อยเมตฺถ อนุปุพฺพี กถาฯ
Āyasmā cundo therassa pattacīvarañca dhātuparissāvanañca gahetvā jetavanaṃ gantvā ānandattheraṃ gahetvā bhagavantaṃ upasaṅkami. Bhagavā dhātuparissāvanaṃ gahetvā pañcahi gāthāsatehi therassa guṇaṃ kathetvā dhātucetiyaṃ kārāpetvā rājagahagamanatthāya ānandattherassa saññaṃ adāsi. Thero bhikkhūnaṃ ārocesi. Bhagavā mahābhikkhusaṅghaparivuto rājagahaṃ agamāsi. Tattha gatakāle mahāmoggallānatthero parinibbāyi. Bhagavā tassa dhātuyo gahetvā cetiyaṃ kārāpetvā rājagahato nikkhamitvā anupubbena gaṅgābhimukho gantvā ukkacelaṃ agamāsi. Tattha gaṅgātīre bhikkhusaṅghaparivuto nisīditvā tattha sāriputtamoggallānānaṃ parinibbānappaṭisaṃyuttaṃ suttaṃ desetvā ukkacelato nikkhamitvā vesāliṃ agamāsi. Evaṃ gate atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya vesāliṃ piṇḍāya pāvisīti ayamettha anupubbī kathā.
นิสีทนนฺติ เอตฺถ จมฺมกฺขณฺฑํ อธิเปฺปตํฯ อุเทนเจติยนฺติ อุเทนยกฺขสฺส เจติยฎฺฐาเน กตวิหาโร วุจฺจติฯ โคตมกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ภาวิตาติ วฑฺฒิตาฯ พหุลีกตาติ ปุนปฺปุนํ กตาฯ ยานีกตาติ ยุตฺตยานํ วิย กตาฯ วตฺถุกตาติ ปติฎฺฐานเฎฺฐน วตฺถุ วิย กตาฯ อนุฎฺฐิตาติ อธิฎฺฐิตาฯ ปริจิตาติ สมนฺตโต จิตา สุวฑฺฒิตาฯ สุสมารทฺธาติ สุฎฺฐุ สมารทฺธาฯ
Nisīdananti ettha cammakkhaṇḍaṃ adhippetaṃ. Udenacetiyanti udenayakkhassa cetiyaṭṭhāne katavihāro vuccati. Gotamakādīsupi eseva nayo. Bhāvitāti vaḍḍhitā. Bahulīkatāti punappunaṃ katā. Yānīkatāti yuttayānaṃ viya katā. Vatthukatāti patiṭṭhānaṭṭhena vatthu viya katā. Anuṭṭhitāti adhiṭṭhitā. Paricitāti samantato citā suvaḍḍhitā. Susamāraddhāti suṭṭhu samāraddhā.
อิติ อนิยเมน กเถตฺวา ปุน นิยเมตฺวา ทเสฺสโนฺต ตถาคตสฺส โขติอาทิมาหฯ เอตฺถ จ กปฺปนฺติ อายุกปฺปํฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ กาเล ยํ มนุสฺสานํ อายุปฺปมาณํ โหติ, ตํ ปริปุณฺณํ กโรโนฺต ติเฎฺฐยฺยฯ กปฺปาวเสสํ วาติ – ‘‘อปฺปํ วา ภิโยฺย’’ติ (ที. นิ. ๒.๗; อ. นิ. ๖.๗๔) วุตฺตวสฺสสตโต อติเรกํ วาฯ มหาสีวเตฺถโร ปนาห – ‘‘พุทฺธานํ อฎฺฐาเน คชฺชิตํ นาม นตฺถิฯ ยเถว หิ เวฬุวคามเก อุปฺปนฺนํ มารณนฺติกํ เวทนํ ทส มาเส วิกฺขเมฺภติ, เอวํ ปุนปฺปุนํ ตํ สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ทส ทส มาเส วิกฺขเมฺภโนฺต อิมํ ภทฺทกปฺปเมว ติเฎฺฐยฺย, กสฺมา ปน น ฐิโตติ? อุปาทินฺนกสรีรํ นาม ขณฺฑิจฺจาทีหิ อภิภุยฺยติ, พุทฺธา จ ขณฺฑิจฺจาทิภาวํ อปตฺวา ปญฺจเม อายุโกฎฺฐาเส พหุชนสฺส ปิยมนาปกาเลเยว ปรินิพฺพายนฺติฯ พุทฺธานุพุเทฺธสุ จ มหาสาวเกสุ ปรินิพฺพุเตสุ เอกเกเนว ขาณุเกน วิย ฐาตพฺพํ โหติ, ทหรสามเณรปริวาริเตน วาฯ ตโต – ‘อโห พุทฺธานํ ปริสา’ติ หีเฬตพฺพตํ อาปเชฺชยฺยฯ ตสฺมา น ฐิโต’’ติฯ เอวํ วุเตฺตปิ โส น รุจฺจติ, ‘‘อายุกโปฺป’’ติ อิทเมว อฎฺฐกถายํ นิยมิตํฯ
Iti aniyamena kathetvā puna niyametvā dassento tathāgatassa khotiādimāha. Ettha ca kappanti āyukappaṃ. Tasmiṃ tasmiṃ kāle yaṃ manussānaṃ āyuppamāṇaṃ hoti, taṃ paripuṇṇaṃ karonto tiṭṭheyya. Kappāvasesaṃ vāti – ‘‘appaṃ vā bhiyyo’’ti (dī. ni. 2.7; a. ni. 6.74) vuttavassasatato atirekaṃ vā. Mahāsīvatthero panāha – ‘‘buddhānaṃ aṭṭhāne gajjitaṃ nāma natthi. Yatheva hi veḷuvagāmake uppannaṃ māraṇantikaṃ vedanaṃ dasa māse vikkhambheti, evaṃ punappunaṃ taṃ samāpattiṃ samāpajjitvā dasa dasa māse vikkhambhento imaṃ bhaddakappameva tiṭṭheyya, kasmā pana na ṭhitoti? Upādinnakasarīraṃ nāma khaṇḍiccādīhi abhibhuyyati, buddhā ca khaṇḍiccādibhāvaṃ apatvā pañcame āyukoṭṭhāse bahujanassa piyamanāpakāleyeva parinibbāyanti. Buddhānubuddhesu ca mahāsāvakesu parinibbutesu ekakeneva khāṇukena viya ṭhātabbaṃ hoti, daharasāmaṇeraparivāritena vā. Tato – ‘aho buddhānaṃ parisā’ti hīḷetabbataṃ āpajjeyya. Tasmā na ṭhito’’ti. Evaṃ vuttepi so na ruccati, ‘‘āyukappo’’ti idameva aṭṭhakathāyaṃ niyamitaṃ.
๑๖๗. ยถา ตํ มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิโตฺตติ เอตฺถ ตนฺติ นิปาตมตฺตํฯ ยถา มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิโตฺต อโชฺฌตฺถฎจิโตฺต อโญฺญปิ โกจิ ปุถุชฺชโน ปฎิวิชฺฌิตุํ น สกฺกุเณยฺย, เอวเมว นาสกฺขิ ปฎิวิชฺฌิตุนฺติ อโตฺถฯ กิํ การณา? มาโร หิ ยสฺส สเพฺพน สพฺพํ ทฺวาทส วิปลฺลาสา อปฺปหีนา, ตสฺส จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาติฯ เถรสฺส จตฺตาโร วิปลฺลาสา อปฺปหีนา, เตนสฺส มาโร จิตฺตํ ปริยุฎฺฐาติฯ โส ปน จิตฺตปริยุฎฺฐานํ กโรโนฺต กิํ กโรตีติ? เภรวํ รูปารมฺมณํ วา ทเสฺสติ, สทฺทารมฺมณํ วา สาเวติ, ตโต สตฺตา ตํ ทิสฺวา วา สุตฺวา วา สติํ วิสฺสเชฺชตฺวา วิวฎมุขา โหนฺติฯ เตสํ มุเขน หตฺถํ ปเวเสตฺวา หทยํ มทฺทติฯ ตโต วิสญฺญาว หุตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ เถรสฺส ปเนส มุเขน หตฺถํ ปเวเสตุํ กิํ สกฺขิสฺสติ ? เภรวารมฺมณํ ปน ทเสฺสติฯ ตํ ทิสฺวา เถโร นิมิโตฺตภาสํ น ปฎิวิชฺฌิฯ ภควา ชานโนฺตเยว – ‘‘กิมตฺถํ ยาวตติยํ อามเนฺตสี’’ติ? ปรโต ‘‘ติฎฺฐตุ, ภเนฺต, ภควา’’ติ ยาจิเต ‘‘ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฎํ, ตุเยฺหเวตํ อปรทฺธ’’นฺติ โทสาโรปเนน โสกตนุกรณตฺถํฯ
167.Yathā taṃ mārena pariyuṭṭhitacittoti ettha tanti nipātamattaṃ. Yathā mārena pariyuṭṭhitacitto ajjhotthaṭacitto aññopi koci puthujjano paṭivijjhituṃ na sakkuṇeyya, evameva nāsakkhi paṭivijjhitunti attho. Kiṃ kāraṇā? Māro hi yassa sabbena sabbaṃ dvādasa vipallāsā appahīnā, tassa cittaṃ pariyuṭṭhāti. Therassa cattāro vipallāsā appahīnā, tenassa māro cittaṃ pariyuṭṭhāti. So pana cittapariyuṭṭhānaṃ karonto kiṃ karotīti? Bheravaṃ rūpārammaṇaṃ vā dasseti, saddārammaṇaṃ vā sāveti, tato sattā taṃ disvā vā sutvā vā satiṃ vissajjetvā vivaṭamukhā honti. Tesaṃ mukhena hatthaṃ pavesetvā hadayaṃ maddati. Tato visaññāva hutvā tiṭṭhanti. Therassa panesa mukhena hatthaṃ pavesetuṃ kiṃ sakkhissati ? Bheravārammaṇaṃ pana dasseti. Taṃ disvā thero nimittobhāsaṃ na paṭivijjhi. Bhagavā jānantoyeva – ‘‘kimatthaṃ yāvatatiyaṃ āmantesī’’ti? Parato ‘‘tiṭṭhatu, bhante, bhagavā’’ti yācite ‘‘tuyhevetaṃ dukkaṭaṃ, tuyhevetaṃ aparaddha’’nti dosāropanena sokatanukaraṇatthaṃ.
มารยาจนกถาวณฺณนา
Mārayācanakathāvaṇṇanā
๑๖๘. มาโร ปาปิมาติ เอตฺถ มาโรติ สเตฺต อนเตฺถ นิโยเชโนฺต มาเรตีติ มาโรฯ ปาปิมาติ ตเสฺสว เววจนํฯ โส หิ ปาปธมฺมสมนฺนาคตตฺตา ‘‘ปาปิมา’’ติ วุจฺจติฯ กโณฺห, อนฺตโก, นมุจิ, ปมตฺตพนฺธูติปิ ตเสฺสว นามานิฯ ภาสิตา โข ปเนสาติ อยญฺหิ ภควโต สโมฺพธิปตฺติยา อฎฺฐเม สตฺตาเห โพธิมเณฺฑเยว อาคนฺตฺวา – ‘‘ภควา ยทตฺถํ ตุเมฺหหิ ปารมิโย ปูริตา, โส โว อโตฺถ อนุปฺปโตฺต, ปฎิวิทฺธํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, กิํ เต โลกวิจารเณนา’’ติ วตฺวา, ยถา อชฺช , เอวเมว ‘‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภเนฺต, ภควา’’ติ ยาจิฯ ภควา จสฺส – ‘‘น ตาวาห’’นฺติอาทีนิ วตฺวา ปฎิกฺขิปิฯ ตํ สนฺธาย ‘‘ภาสิตา โข ปเนสา ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ
168.Māro pāpimāti ettha māroti satte anatthe niyojento māretīti māro. Pāpimāti tasseva vevacanaṃ. So hi pāpadhammasamannāgatattā ‘‘pāpimā’’ti vuccati. Kaṇho, antako, namuci, pamattabandhūtipi tasseva nāmāni. Bhāsitā kho panesāti ayañhi bhagavato sambodhipattiyā aṭṭhame sattāhe bodhimaṇḍeyeva āgantvā – ‘‘bhagavā yadatthaṃ tumhehi pāramiyo pūritā, so vo attho anuppatto, paṭividdhaṃ sabbaññutaññāṇaṃ, kiṃ te lokavicāraṇenā’’ti vatvā, yathā ajja , evameva ‘‘parinibbātu dāni, bhante, bhagavā’’ti yāci. Bhagavā cassa – ‘‘na tāvāha’’ntiādīni vatvā paṭikkhipi. Taṃ sandhāya ‘‘bhāsitā kho panesā bhante’’tiādimāha.
ตตฺถ วิยตฺตาติ มคฺควเสน วิยตฺตาฯ ตเถว วินีตา ตถา วิสารทาฯ พหุสฺสุตาติ เตปิฎกวเสน พหุ สุตเมเตสนฺติ พหุสฺสุตาฯ ตเมว ธมฺมํ ธาเรนฺตีติ ธมฺมธราฯ อถวา ปริยตฺติพหุสฺสุตา เจว ปฎิเวธพหุสฺสุตา จฯ ปริยตฺติปฎิเวธธมฺมานํเยว ธารณโต ธมฺมธราติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ธมฺมานุธมฺมปฎิปนฺนาติ อริยธมฺมสฺส อนุธมฺมภูตํ วิปสฺสนาธมฺมํ ปฎิปนฺนาฯ สามีจิปฺปฎิปนฺนาติ อนุจฺฉวิกปฎิปทํ ปฎิปนฺนาฯ อนุธมฺมจาริโนติ อนุธมฺมจรณสีลาฯ สกํ อาจริยกนฺติ อตฺตโน อาจริยวาทํฯ อาจิกฺขิสฺสนฺตีติอาทีนิ สพฺพานิ อญฺญมญฺญสฺส เววจนานิฯ สหธเมฺมนาติ สเหตุเกน สการเณน วจเนนฯ สปฺปาฎิหาริยนฺติ ยาว น นิยฺยานิกํ กตฺวา ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติฯ
Tattha viyattāti maggavasena viyattā. Tatheva vinītā tathā visāradā. Bahussutāti tepiṭakavasena bahu sutametesanti bahussutā. Tameva dhammaṃ dhārentīti dhammadharā. Athavā pariyattibahussutā ceva paṭivedhabahussutā ca. Pariyattipaṭivedhadhammānaṃyeva dhāraṇato dhammadharāti evamettha attho daṭṭhabbo. Dhammānudhammapaṭipannāti ariyadhammassa anudhammabhūtaṃ vipassanādhammaṃ paṭipannā. Sāmīcippaṭipannāti anucchavikapaṭipadaṃ paṭipannā. Anudhammacārinoti anudhammacaraṇasīlā. Sakaṃ ācariyakanti attano ācariyavādaṃ. Ācikkhissantītiādīni sabbāni aññamaññassa vevacanāni. Sahadhammenāti sahetukena sakāraṇena vacanena. Sappāṭihāriyanti yāva na niyyānikaṃ katvā dhammaṃ desessanti.
พฺรหฺมจริยนฺติ สิกฺขตฺตยสงฺคหิตํ สกลํ สาสนพฺรหฺมจริยํฯ อิทฺธนฺติ สมิทฺธํ ฌานสฺสาทวเสนฯ ผีตนฺติ วุทฺธิปฺปตฺตํ สพฺพผาลิผุลฺลํ วิย อภิญฺญาย สมฺปตฺติวเสนฯ วิตฺถาริกนฺติ วิตฺถตํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ทิสาภาเค ปติฎฺฐิตวเสนฯ พาหุชญฺญนฺติ พหุชเนหิ ญาตํ ปฎิวิทฺธํ มหาชนาภิสมยวเสนฯ ปุถุภูตนฺติ สพฺพาการวเสน ปุถุลภาวปฺปตฺตํฯ กถํ? ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิตนฺติ ยตฺตกา วิญฺญุชาติกา เทวา เจว มนุสฺสา จ อตฺถิ สเพฺพหิ สุฎฺฐุ ปกาสิตนฺติ อโตฺถฯ
Brahmacariyanti sikkhattayasaṅgahitaṃ sakalaṃ sāsanabrahmacariyaṃ. Iddhanti samiddhaṃ jhānassādavasena. Phītanti vuddhippattaṃ sabbaphāliphullaṃ viya abhiññāya sampattivasena. Vitthārikanti vitthataṃ tasmiṃ tasmiṃ disābhāge patiṭṭhitavasena. Bāhujaññanti bahujanehi ñātaṃ paṭividdhaṃ mahājanābhisamayavasena. Puthubhūtanti sabbākāravasena puthulabhāvappattaṃ. Kathaṃ? Yāva devamanussehisuppakāsitanti yattakā viññujātikā devā ceva manussā ca atthi sabbehi suṭṭhu pakāsitanti attho.
อโปฺปสฺสุโกฺกติ นิราลโยฯ ตฺวญฺหิ ปาปิม, อฎฺฐมสตฺตาหโต ปฎฺฐาย – ‘‘ปรินิพฺพาตุ ทานิ, ภเนฺต, ภควา ปรินิพฺพาตุ, สุคโต’’ติ วิรวโนฺต อาหิณฺฑิตฺถฯ อชฺช ทานิ ปฎฺฐาย วิคตุสฺสาโห โหหิ; มา มยฺหํ ปรินิพฺพานตฺถํ วายามํ กโรหีติ วทติฯ
Appossukkoti nirālayo. Tvañhi pāpima, aṭṭhamasattāhato paṭṭhāya – ‘‘parinibbātu dāni, bhante, bhagavā parinibbātu, sugato’’ti viravanto āhiṇḍittha. Ajja dāni paṭṭhāya vigatussāho hohi; mā mayhaṃ parinibbānatthaṃ vāyāmaṃ karohīti vadati.
อายุสงฺขารโอสฺสชฺชนวณฺณนา
Āyusaṅkhāraossajjanavaṇṇanā
๑๖๙. สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชีติ สติํ สูปฎฺฐิตํ กตฺวา ญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อายุสงฺขารํ วิสฺสชฺชิ, ปชหิฯ ตตฺถ น ภควา หเตฺถน เลฑฺฑุํ วิย อายุสงฺขารํ โอสฺสชิ, เตมาสมตฺตเมว ปน สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา ตโต ปรํ น สมาปชฺชิสฺสามีติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘โอสฺสชี’’ติฯ ‘‘อุสฺสชฺชี’’ติ ปิ ปาโฐฯ มหาภูมิจาโลติ มหโนฺต ปถวีกโมฺปฯ ตทา กิร ทสสหสฺสี โลกธาตุ กมฺปิตฺถฯ ภิํสนโกติ ภยชนโกฯ เทวทุนฺทุภิโย จ ผลิํสูติ เทวเภริโย ผลิํสุ, เทโว สุกฺขคชฺชิตํ คชฺชิ, อกาลวิชฺชุลตา นิจฺฉริํสุ, ขณิกวสฺสํ วสฺสีติ วุตฺตํ โหติฯ
169.Sato sampajāno āyusaṅkhāraṃ ossajīti satiṃ sūpaṭṭhitaṃ katvā ñāṇena paricchinditvā āyusaṅkhāraṃ vissajji, pajahi. Tattha na bhagavā hatthena leḍḍuṃ viya āyusaṅkhāraṃ ossaji, temāsamattameva pana samāpattiṃ samāpajjitvā tato paraṃ na samāpajjissāmīti cittaṃ uppādesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘ossajī’’ti. ‘‘Ussajjī’’ti pi pāṭho. Mahābhūmicāloti mahanto pathavīkampo. Tadā kira dasasahassī lokadhātu kampittha. Bhiṃsanakoti bhayajanako. Devadundubhiyo ca phaliṃsūti devabheriyo phaliṃsu, devo sukkhagajjitaṃ gajji, akālavijjulatā nicchariṃsu, khaṇikavassaṃ vassīti vuttaṃ hoti.
อุทานํ อุทาเนสีติ กสฺมา อุทาเนสิ? โกจิ นาม วเทยฺย – ‘‘ภควา ปจฺฉโต ปจฺฉโต อนุพนฺธิตฺวา – ‘ปรินิพฺพายถ, ภเนฺต, ปรินิพฺพายถ, ภเนฺต’ติ อุปทฺทุโต ภเยน อายุสงฺขารํ วิสฺสเชฺชสี’’ติฯ ‘‘ตโสฺสกาโส มา โหตุ, ภีตสฺส อุทานํ นาม นตฺถี’’ติ เอตสฺส ทีปนตฺถํ ปีติเวควิสฺสฎฺฐํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Udānaṃ udānesīti kasmā udānesi? Koci nāma vadeyya – ‘‘bhagavā pacchato pacchato anubandhitvā – ‘parinibbāyatha, bhante, parinibbāyatha, bhante’ti upadduto bhayena āyusaṅkhāraṃ vissajjesī’’ti. ‘‘Tassokāso mā hotu, bhītassa udānaṃ nāma natthī’’ti etassa dīpanatthaṃ pītivegavissaṭṭhaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ สเพฺพสํ โสณสิงฺคาลาทีนมฺปิ ปจฺจกฺขภาวโต ตุลิตํ ปริจฺฉินฺนนฺติ ตุลํฯ กิํ ตํ? กามาวจรกมฺมํฯ น ตุลํ, น วา ตุลํ สทิสมสฺส อญฺญํ โลกิยํ กมฺมํ อตฺถีติ อตุลํฯ กิํ ตํ? มหคฺคตกมฺมํฯ อถวา กามาวจรรูปาวจรํ ตุลํ, อรูปาวจรํ อตุลํฯ อปฺปวิปากํ วา ตุลํ, พหุวิปากํ อตุลํฯ สมฺภวนฺติ สมฺภวสฺส เหตุภูตํ, ปิณฺฑการกํ ราสิการกนฺติ อโตฺถฯ ภวสงฺขารนฺติ ปุนพฺภวสงฺขารณกํฯ อวสฺสชีติ วิสฺสเชฺชสิฯ มุนีติ พุทฺธมุนิฯ อชฺฌตฺตรโตติ นิยกชฺฌตฺตรโตฯ สมาหิโตติ อุปจารปฺปนาสมาธิวเสน สมาหิโตฯ อภินฺทิ กวจมิวาติ กวจํ วิย อภินฺทิฯ อตฺตสมฺภวนฺติ อตฺตนิ สญฺชาตํ กิเลสํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘สวิปากเฎฺฐน สมฺภวํ, ภวาภิสงฺขารณเฎฺฐน ภวสงฺขารนฺติ จ ลทฺธนามํ ตุลาตุลสงฺขาตํ โลกิยกมฺมญฺจ โอสฺสชิฯ สงฺคามสีเส มหาโยโธ กวจํ วิย อตฺตสมฺภวํ กิเลสญฺจ อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต หุตฺวา อภินฺที’’ติฯ
Tattha sabbesaṃ soṇasiṅgālādīnampi paccakkhabhāvato tulitaṃ paricchinnanti tulaṃ. Kiṃ taṃ? Kāmāvacarakammaṃ. Na tulaṃ, na vā tulaṃ sadisamassa aññaṃ lokiyaṃ kammaṃ atthīti atulaṃ. Kiṃ taṃ? Mahaggatakammaṃ. Athavā kāmāvacararūpāvacaraṃ tulaṃ, arūpāvacaraṃ atulaṃ. Appavipākaṃ vā tulaṃ, bahuvipākaṃ atulaṃ. Sambhavanti sambhavassa hetubhūtaṃ, piṇḍakārakaṃ rāsikārakanti attho. Bhavasaṅkhāranti punabbhavasaṅkhāraṇakaṃ. Avassajīti vissajjesi. Munīti buddhamuni. Ajjhattaratoti niyakajjhattarato. Samāhitoti upacārappanāsamādhivasena samāhito. Abhindi kavacamivāti kavacaṃ viya abhindi. Attasambhavanti attani sañjātaṃ kilesaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘savipākaṭṭhena sambhavaṃ, bhavābhisaṅkhāraṇaṭṭhena bhavasaṅkhāranti ca laddhanāmaṃ tulātulasaṅkhātaṃ lokiyakammañca ossaji. Saṅgāmasīse mahāyodho kavacaṃ viya attasambhavaṃ kilesañca ajjhattarato samāhito hutvā abhindī’’ti.
อถ วา ตุลนฺติ ตุเลโนฺต ตีเรโนฺตฯ อตุลญฺจ สมฺภวนฺติ นิพฺพานเญฺจว สมฺภวญฺจฯ ภวสงฺขารนฺติ ภวคามิกมฺมํฯ อวสฺสชิ มุนีติ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา อนิจฺจา, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิพฺพานํ นิจฺจ’’นฺติอาทินา (ปฎิ. ม. ๓.๓๘) นเยน ตุลยโนฺต พุทฺธมุนิ ภเว อาทีนวํ, นิพฺพาเน จ อานิสํสํ ทิสฺวา ตํ ขนฺธานํ มูลภูตํ ภวสงฺขารกมฺมํ – ‘‘กมฺมกฺขยาย สํวตฺตตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๘๑) เอวํ วุเตฺตน กมฺมกฺขยกเรน อริยมเคฺคน อวสฺสชิฯ กถํ? อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต อภินฺทิ กวจมิว อตฺตนิ สมฺภวํฯ โส หิ วิปสฺสนาวเสน อชฺฌตฺตรโต สมถวเสน สมาหิโตติ เอวํ ปุพฺพภาคโต ปฎฺฐาย สมถวิปสฺสนาพเลน กวจมิว อตฺตภาวํ ปริโยนนฺธิตฺวา ฐิตํ, อตฺตนิ สมฺภวตฺตา ‘‘อตฺตสมฺภว’’นฺติ ลทฺธนามํ สพฺพกิเลสชาลํ อภินฺทิฯ กิเลสาภาเวน จ กตกมฺมํ อปฺปฎิสนฺธิกตฺตา อวสฺสฎฺฐํ นาม โหตีติ เอวํ กิเลสปฺปหาเนน กมฺมํ ปชหิ, ปหีนกิเลสสฺส จ ภยํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา อภีโตว อายุสงฺขารํ โอสฺสชิ, อภีตภาวญาปนตฺถญฺจ อุทานํ อุทาเนสีติ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā tulanti tulento tīrento. Atulañca sambhavanti nibbānañceva sambhavañca. Bhavasaṅkhāranti bhavagāmikammaṃ. Avassaji munīti ‘‘pañcakkhandhā aniccā, pañcannaṃ khandhānaṃ nirodho nibbānaṃ nicca’’ntiādinā (paṭi. ma. 3.38) nayena tulayanto buddhamuni bhave ādīnavaṃ, nibbāne ca ānisaṃsaṃ disvā taṃ khandhānaṃ mūlabhūtaṃ bhavasaṅkhārakammaṃ – ‘‘kammakkhayāya saṃvattatī’’ti (ma. ni. 2.81) evaṃ vuttena kammakkhayakarena ariyamaggena avassaji. Kathaṃ? Ajjhattarato samāhito abhindi kavacamiva attani sambhavaṃ. So hi vipassanāvasena ajjhattarato samathavasena samāhitoti evaṃ pubbabhāgato paṭṭhāya samathavipassanābalena kavacamiva attabhāvaṃ pariyonandhitvā ṭhitaṃ, attani sambhavattā ‘‘attasambhava’’nti laddhanāmaṃ sabbakilesajālaṃ abhindi. Kilesābhāvena ca katakammaṃ appaṭisandhikattā avassaṭṭhaṃ nāma hotīti evaṃ kilesappahānena kammaṃ pajahi, pahīnakilesassa ca bhayaṃ nāma natthi, tasmā abhītova āyusaṅkhāraṃ ossaji, abhītabhāvañāpanatthañca udānaṃ udānesīti veditabbo.
มหาภูมิจาลวณฺณนา
Mahābhūmicālavaṇṇanā
๑๗๑. ยํ มหาวาตาติ เยน สมเยน ยสฺมิํ วา สมเย มหาวาตา วายนฺติ, มหาวาตา วายนฺตาปิ อุเกฺขปกวาตา นาม อุฎฺฐหนฺติ, เต วายนฺตา สฎฺฐิสหสฺสาธิกนวโยชนสตสหสฺสพหลํ อุทกสนฺธารกํ วาตํ อุปจฺฉินฺทนฺติ, ตโต อากาเส อุทกํ ภสฺสติ, ตสฺมิํ ภสฺสเนฺต ปถวี ภสฺสติฯ ปุน วาโต อตฺตโน พเลน อโนฺตธมกรเณ วิย อุทกํ อาพนฺธิตฺวา คณฺหาติ, ตโต อุทกํ อุคฺคจฺฉติ, ตสฺมิํ อุคฺคจฺฉเนฺต ปถวี อุคฺคจฺฉติฯ เอวํ อุทกํ กมฺปิตํ ปถวิํ กเมฺปติฯ เอตญฺจ กมฺปนํ ยาว อชฺชกาลาปิ โหติเยว, พหลภาเวน ปน น โอคจฺฉนุคฺคจฺฉนํ ปญฺญายติฯ
171.Yaṃ mahāvātāti yena samayena yasmiṃ vā samaye mahāvātā vāyanti, mahāvātā vāyantāpi ukkhepakavātā nāma uṭṭhahanti, te vāyantā saṭṭhisahassādhikanavayojanasatasahassabahalaṃ udakasandhārakaṃ vātaṃ upacchindanti, tato ākāse udakaṃ bhassati, tasmiṃ bhassante pathavī bhassati. Puna vāto attano balena antodhamakaraṇe viya udakaṃ ābandhitvā gaṇhāti, tato udakaṃ uggacchati, tasmiṃ uggacchante pathavī uggacchati. Evaṃ udakaṃ kampitaṃ pathaviṃ kampeti. Etañca kampanaṃ yāva ajjakālāpi hotiyeva, bahalabhāvena pana na ogacchanuggacchanaṃ paññāyati.
มหิทฺธิโก มหานุภาโวติ อิชฺฌนสฺส มหนฺตตาย มหิทฺธิโก, อนุภวิตพฺพสฺส มหนฺตตาย มหานุภาโวฯ ปริตฺตาติ ทุพฺพลาฯ อปฺปมาณาติ พลวาฯ โส อิมํ ปถวิํ กเมฺปตีติ โส อิทฺธิํ นิพฺพเตฺตตฺวา สํเวเชโนฺต มหาโมคฺคลฺลาโน วิย, วีมํสโนฺต วา มหานาคเตฺถรสฺส ภาคิเนโยฺย สงฺฆรกฺขิตสามเณโร วิย ปถวิํ กเมฺปติฯ โส กิรายสฺมา ขุรเคฺคเยว อรหตฺตํ ปตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ ภิกฺขุ, เยน ปพฺพชิตทิวเสเยว อรหตฺตํ ปตฺวา เวชยโนฺต ปาสาโท กมฺปิตปุโพฺพ’’ติ? ตโต – ‘‘นตฺถิ โกจี’’ติ ญตฺวา – ‘‘อหํ กเมฺปสฺสามี’’ติ อภิญฺญาพเลน เวชยนฺตมตฺถเก ฐตฺวา ปาเทน ปหริตฺวา กเมฺปตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ สกฺกสฺส นาฎกิตฺถิโย อาหํสุ – ‘‘ปุตฺต สงฺฆรกฺขิต, ตฺวํ ปูติคเนฺธเนว สีเสน เวชยนฺตํ กเมฺปตุํ อิจฺฉสิ, สุปฺปติฎฺฐิโต ตาต ปาสาโท, กถํ กเมฺปตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ?
Mahiddhiko mahānubhāvoti ijjhanassa mahantatāya mahiddhiko, anubhavitabbassa mahantatāya mahānubhāvo. Parittāti dubbalā. Appamāṇāti balavā. So imaṃ pathaviṃ kampetīti so iddhiṃ nibbattetvā saṃvejento mahāmoggallāno viya, vīmaṃsanto vā mahānāgattherassa bhāgineyyo saṅgharakkhitasāmaṇero viya pathaviṃ kampeti. So kirāyasmā khuraggeyeva arahattaṃ patvā cintesi – ‘‘atthi nu kho koci bhikkhu, yena pabbajitadivaseyeva arahattaṃ patvā vejayanto pāsādo kampitapubbo’’ti? Tato – ‘‘natthi kocī’’ti ñatvā – ‘‘ahaṃ kampessāmī’’ti abhiññābalena vejayantamatthake ṭhatvā pādena paharitvā kampetuṃ nāsakkhi. Atha naṃ sakkassa nāṭakitthiyo āhaṃsu – ‘‘putta saṅgharakkhita, tvaṃ pūtigandheneva sīsena vejayantaṃ kampetuṃ icchasi, suppatiṭṭhito tāta pāsādo, kathaṃ kampetuṃ sakkhissasī’’ti?
สามเณโร – ‘‘อิมา เทวตา มยา สทฺธิํ เกฬิํ กโรนฺติ, อหํ โข ปน อาจริยํ นาลตฺถํ, กหํ นุ โข เม อาจริโย สามุทฺทิกมหานาคเตฺถโร’’ติ อาวเชฺชโนฺต มหาสมุเทฺท อุทกเลณํ มาเปตฺวา ทิวาวิหารํ นิสิโนฺนติ ญตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา เถรํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตโต นํ เถโร – ‘‘กิํ, ตาต สงฺฆรกฺขิต, อสิกฺขิตฺวาว ยุทฺธํ ปวิโฎฺฐสี’’ติ วตฺวา ‘‘นาสกฺขิ, ตาต, เวชยนฺตํ กเมฺปตุ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อาจริยํ, ภเนฺต, นาลตฺถนฺติฯ อถ นํ เถโร – ‘‘ตาต ตุมฺหาทิเส อกเมฺปเนฺต โก อโญฺญ กเมฺปสฺสติฯ ทิฎฺฐปุพฺพํ เต, ตาต, อุทกปิเฎฺฐ โคมยขณฺฑํ ปิลวนฺตํ, ตาต, กปลฺลกปูวํ ปจนฺตา อนฺตเนฺตน ปริจฺฉินฺทนฺติ, อิมินา โอปเมฺมน ชานาหี’’ติ อาหฯ โส – ‘‘วฎฺฎิสฺสติ, ภเนฺต, เอตฺตเกนา’’ติ วตฺวา ปาสาเทน ปติฎฺฐิโตกาสํ อุทกํ โหตูติ อธิฎฺฐาย เวชยนฺตาภิมุโข อคมาสิฯ
Sāmaṇero – ‘‘imā devatā mayā saddhiṃ keḷiṃ karonti, ahaṃ kho pana ācariyaṃ nālatthaṃ, kahaṃ nu kho me ācariyo sāmuddikamahānāgatthero’’ti āvajjento mahāsamudde udakaleṇaṃ māpetvā divāvihāraṃ nisinnoti ñatvā tattha gantvā theraṃ vanditvā aṭṭhāsi. Tato naṃ thero – ‘‘kiṃ, tāta saṅgharakkhita, asikkhitvāva yuddhaṃ paviṭṭhosī’’ti vatvā ‘‘nāsakkhi, tāta, vejayantaṃ kampetu’’nti pucchi. Ācariyaṃ, bhante, nālatthanti. Atha naṃ thero – ‘‘tāta tumhādise akampente ko añño kampessati. Diṭṭhapubbaṃ te, tāta, udakapiṭṭhe gomayakhaṇḍaṃ pilavantaṃ, tāta, kapallakapūvaṃ pacantā antantena paricchindanti, iminā opammena jānāhī’’ti āha. So – ‘‘vaṭṭissati, bhante, ettakenā’’ti vatvā pāsādena patiṭṭhitokāsaṃ udakaṃ hotūti adhiṭṭhāya vejayantābhimukho agamāsi.
เทวธีตโร ตํ ทิสฺวา – ‘‘เอกวารํ ลชฺชิตฺวา คโต, ปุนปิ สามเณโร เอติ, ปุนปิ เอตี’’ติ วทิํสุฯ สโกฺก เทวราชา – ‘‘มา มยฺหํ ปุเตฺตน สทฺธิํ กถยิตฺถ, อิทานิ เตน อาจริโย ลโทฺธ, ขเณน ปาสาทํ กเมฺปสฺสตี’’ติ อาหฯ สามเณโรปิ ปาทงฺคุเฎฺฐน ปาสาทถูปิกํ ปหริฯ ปาสาโท จตูหิ ทิสาหิ โอณมติฯ เทวตา – ‘‘ปติฎฺฐาตุํ เทหิ, ตาต, ปาสาทสฺส ปติฎฺฐาตุํ เทหิ, ตาต, ปาสาทสฺสา’’ติ วิรวิํสุฯ สามเณโร ปาสาทํ ยถาฐาเน ฐเปตฺวา ปาสาทมตฺถเก ฐตฺวา อุทานํ อุทาเนสิ –
Devadhītaro taṃ disvā – ‘‘ekavāraṃ lajjitvā gato, punapi sāmaṇero eti, punapi etī’’ti vadiṃsu. Sakko devarājā – ‘‘mā mayhaṃ puttena saddhiṃ kathayittha, idāni tena ācariyo laddho, khaṇena pāsādaṃ kampessatī’’ti āha. Sāmaṇeropi pādaṅguṭṭhena pāsādathūpikaṃ pahari. Pāsādo catūhi disāhi oṇamati. Devatā – ‘‘patiṭṭhātuṃ dehi, tāta, pāsādassa patiṭṭhātuṃ dehi, tāta, pāsādassā’’ti viraviṃsu. Sāmaṇero pāsādaṃ yathāṭhāne ṭhapetvā pāsādamatthake ṭhatvā udānaṃ udānesi –
‘‘อเชฺชวาหํ ปพฺพชิโต, อชฺช ปตฺตาสวกฺขยํ;
‘‘Ajjevāhaṃ pabbajito, ajja pattāsavakkhayaṃ;
อชฺช กเมฺปมิ ปาสาทํ, อโห พุทฺธสฺสุฬารตาฯ
Ajja kampemi pāsādaṃ, aho buddhassuḷāratā.
อเชฺชวาหํ ปพฺพชิโต…เป.… อโห ธมฺมสฺสุฬารตาฯ
Ajjevāhaṃ pabbajito…pe… aho dhammassuḷāratā.
อเชฺชวาหํ ปพฺพชิโต…เป.… อโห สงฺฆสฺสุฬารตาติฯ
Ajjevāhaṃ pabbajito…pe… aho saṅghassuḷāratāti.
อิโต ปเรสุ ฉสุ ปถวีกเมฺปสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ มหาปทาเน วุตฺตเมวฯ
Ito paresu chasu pathavīkampesu yaṃ vattabbaṃ, taṃ mahāpadāne vuttameva.
อิติ อิเมสุ อฎฺฐสุ ปถวีกเมฺปสุ ปฐโม ธาตุโกเปน, ทุติโย อิทฺธานุภาเวน, ตติยจตุตฺถา ปุญฺญเตเชน, ปญฺจโม ญาณเตเชน, ฉโฎฺฐ สาธุการทานวเสน, สตฺตโม การุญฺญภาเวน, อฎฺฐโม อาโรทเนนฯ มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกมเนฺต จ ตโต นิกฺขมเนฺต จ มหาสเตฺต ตสฺส ปุญฺญเตเชน ปถวี อกมฺปิตฺถฯ อภิสโมฺพธิยํ ญาณเตเชน อภิหตา หุตฺวา อกมฺปิตฺถฯ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตเน สาธุการภาวสณฺฐิตา สาธุการํ ททมานา อกมฺปิตฺถฯ อายุสงฺขาโรสฺสชฺชเน การุญฺญสภาวสณฺฐิตา จิตฺตสโงฺขภํ อสหมานา อกมฺปิตฺถฯ ปรินิพฺพาเน อาโรทนเวคตุนฺนา หุตฺวา อกมฺปิตฺถฯ อยํ ปนโตฺถ ปถวีเทวตาย วเสน เวทิตโพฺพ, มหาภูตปถวิยา ปเนตํ นตฺถิ อเจตนตฺตาติฯ
Iti imesu aṭṭhasu pathavīkampesu paṭhamo dhātukopena, dutiyo iddhānubhāvena, tatiyacatutthā puññatejena, pañcamo ñāṇatejena, chaṭṭho sādhukāradānavasena, sattamo kāruññabhāvena, aṭṭhamo ārodanena. Mātukucchiṃ okkamante ca tato nikkhamante ca mahāsatte tassa puññatejena pathavī akampittha. Abhisambodhiyaṃ ñāṇatejena abhihatā hutvā akampittha. Dhammacakkappavattane sādhukārabhāvasaṇṭhitā sādhukāraṃ dadamānā akampittha. Āyusaṅkhārossajjane kāruññasabhāvasaṇṭhitā cittasaṅkhobhaṃ asahamānā akampittha. Parinibbāne ārodanavegatunnā hutvā akampittha. Ayaṃ panattho pathavīdevatāya vasena veditabbo, mahābhūtapathaviyā panetaṃ natthi acetanattāti.
อิเม โข, อานนฺท, อฎฺฐ เหตูติ เอตฺถ อิเมติ นิทฺทิฎฺฐนิทสฺสนํฯ เอตฺตาวตา จ ปนายสฺมา อานโนฺท – ‘‘อทฺธา อชฺช ภควตา อายุสงฺขาโร โอสฺสโฎฺฐ’’ติ สลฺลเกฺขสิฯ ภควา ปน สลฺลกฺขิตภาวํ ชานโนฺตปิ โอกาสํ อทตฺวาว อญฺญานิปิ อฎฺฐกานิ สมฺปิเณฺฑโนฺต – ‘‘อฎฺฐ โข อิมา’’ติอาทิมาหฯ
Ime kho, ānanda, aṭṭha hetūti ettha imeti niddiṭṭhanidassanaṃ. Ettāvatā ca panāyasmā ānando – ‘‘addhā ajja bhagavatā āyusaṅkhāro ossaṭṭho’’ti sallakkhesi. Bhagavā pana sallakkhitabhāvaṃ jānantopi okāsaṃ adatvāva aññānipi aṭṭhakāni sampiṇḍento – ‘‘aṭṭha kho imā’’tiādimāha.
อฎฺฐปริสวณฺณนา
Aṭṭhaparisavaṇṇanā
๑๗๒. ตตฺถ อเนกสตํ ขตฺติยปริสนฺติ พิมฺพิสารสมาคมญาติสมาคลิจฺฉวีสมาคมาทิสทิสํ, สา ปน อเญฺญสุ จกฺกวาเฬสุปิ ลพฺภเตเยวฯ สลฺลปิตปุพฺพนฺติ อาลาปสลฺลาโป กตปุโพฺพฯ สากจฺฉาติ ธมฺมสากจฺฉาปิ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ยาทิสโก เตสํ วโณฺณติ เต โอทาตาปิ โหนฺติ กาฬาปิ มงฺคุรจฺฉวีปิ, สตฺถา สุวณฺณวโณฺณวฯ อิทํ ปน สณฺฐานํ ปฎิจฺจ กถิตํฯ สณฺฐานมฺปิ จ เกวลํ เตสํ ปญฺญายติเยว, น ปน ภควา มิลกฺขุสทิโส โหติ, นาปิ อามุตฺตมณิกุณฺฑโล, พุทฺธเวเสเนว นิสีทติฯ เต ปน อตฺตโน สมานสณฺฐานเมว ปสฺสนฺติฯ ยาทิสโก เตสํ สโรติ เต ฉินฺนสฺสราปิ โหนฺติ คคฺครสฺสราปิ กากสฺสราปิ, สตฺถา พฺรหฺมสฺสโรวฯ อิทํ ปน ภาสนฺตรํ สนฺธาย กถิตํฯ สเจปิ หิ สตฺถา ราชาสเน นิสิโนฺน กเถติ, ‘‘อชฺช ราชา มธุเรน สเรน กเถตี’’ติ เตสํ โหติฯ กเถตฺวา ปกฺกเนฺต ปน ภควติ ปุน ราชานํ อาคตํ ทิสฺวา – ‘‘โก นุ โข อย’’นฺติ วีมํสา อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ โก นุ โข อยนฺติ อิมสฺมิํ ฐาเน อิทาเนว มาคธภาสาย สีหฬภาสาย มธุเรนากาเรน กเถโนฺต โก นุ โข อยํ อนฺตรหิโต, กิํ เทโว, อุทาหุ มนุโสฺสติ เอวํ วีมํสนฺตาปิ น ชานนฺตีติ อโตฺถฯ กิมตฺถํ ปเนวํ อชานนฺตานํ ธมฺมํ เทเสตีติ? วาสนตฺถาย ฯ เอวํ สุโตปิ หิ ธโมฺม อนาคเต ปจฺจโย โหติ เยวาติ อนาคตํ ปฎิจฺจ เทเสติฯ อเนกสตํ พฺราหฺมณปริสนฺติอาทีนมฺปิ โสณทณฺฑกูฎทณฺฑสมาคมาทิวเสน เจว อญฺญจกฺกวาฬวเสน จ สมฺภโว เวทิตโพฺพฯ
172. Tattha anekasataṃ khattiyaparisanti bimbisārasamāgamañātisamāgalicchavīsamāgamādisadisaṃ, sā pana aññesu cakkavāḷesupi labbhateyeva. Sallapitapubbanti ālāpasallāpo katapubbo. Sākacchāti dhammasākacchāpi samāpajjitapubbā. Yādisako tesaṃ vaṇṇoti te odātāpi honti kāḷāpi maṅguracchavīpi, satthā suvaṇṇavaṇṇova. Idaṃ pana saṇṭhānaṃ paṭicca kathitaṃ. Saṇṭhānampi ca kevalaṃ tesaṃ paññāyatiyeva, na pana bhagavā milakkhusadiso hoti, nāpi āmuttamaṇikuṇḍalo, buddhaveseneva nisīdati. Te pana attano samānasaṇṭhānameva passanti. Yādisako tesaṃ saroti te chinnassarāpi honti gaggarassarāpi kākassarāpi, satthā brahmassarova. Idaṃ pana bhāsantaraṃ sandhāya kathitaṃ. Sacepi hi satthā rājāsane nisinno katheti, ‘‘ajja rājā madhurena sarena kathetī’’ti tesaṃ hoti. Kathetvā pakkante pana bhagavati puna rājānaṃ āgataṃ disvā – ‘‘ko nu kho aya’’nti vīmaṃsā uppajjati. Tattha ko nu kho ayanti imasmiṃ ṭhāne idāneva māgadhabhāsāya sīhaḷabhāsāya madhurenākārena kathento ko nu kho ayaṃ antarahito, kiṃ devo, udāhu manussoti evaṃ vīmaṃsantāpi na jānantīti attho. Kimatthaṃ panevaṃ ajānantānaṃ dhammaṃ desetīti? Vāsanatthāya . Evaṃ sutopi hi dhammo anāgate paccayo hoti yevāti anāgataṃ paṭicca deseti. Anekasataṃ brāhmaṇaparisantiādīnampi soṇadaṇḍakūṭadaṇḍasamāgamādivasena ceva aññacakkavāḷavasena ca sambhavo veditabbo.
อิมา ปน อฎฺฐ ปริสา ภควา กิมตฺถํ อาหริ? อภีตภาวทสฺสนตฺถเมวฯ อิมา กิร อาหริตฺวา เอวมาห – ‘‘อานนฺท, อิมาปิ อฎฺฐ ปริสา อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส ตถาคตสฺส ภยํ วา สารชฺชํ วา นตฺถิ, มารํ ปน เอกกํ ทิสฺวา ตถาคโต ภาเยยฺยาติ โก เอวํ สญฺญํ อุปฺปาเทตุมรหติฯ อภีโต, อานนฺท, ตถาคโต อจฺฉมฺภี, สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชี’’ติฯ
Imā pana aṭṭha parisā bhagavā kimatthaṃ āhari? Abhītabhāvadassanatthameva. Imā kira āharitvā evamāha – ‘‘ānanda, imāpi aṭṭha parisā upasaṅkamitvā dhammaṃ desentassa tathāgatassa bhayaṃ vā sārajjaṃ vā natthi, māraṃ pana ekakaṃ disvā tathāgato bhāyeyyāti ko evaṃ saññaṃ uppādetumarahati. Abhīto, ānanda, tathāgato acchambhī, sato sampajāno āyusaṅkhāraṃ ossajī’’ti.
อฎฺฐอภิภายตนวณฺณนา
Aṭṭhaabhibhāyatanavaṇṇanā
๑๗๓. อภิภายตนานีติ อภิภวนการณานิฯ กิํ อภิภวนฺติ? ปจฺจนีกธเมฺมปิ อารมฺมณานิปิฯ ตานิ หิ ปฎิปกฺขภาเวน ปจฺจนีกธเมฺม อภิภวนฺติ, ปุคฺคลสฺส ญาณุตฺตริยตาย อารมฺมณานิฯ
173.Abhibhāyatanānīti abhibhavanakāraṇāni. Kiṃ abhibhavanti? Paccanīkadhammepi ārammaṇānipi. Tāni hi paṭipakkhabhāvena paccanīkadhamme abhibhavanti, puggalassa ñāṇuttariyatāya ārammaṇāni.
อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญีติอาทีสุ ปน อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี นาม โหติฯ อชฺฌตฺตญฺหิ นีลปริกมฺมํ กโรโนฺต เกเส วา ปิเตฺต วา อกฺขิตารกาย วา กโรติฯ ปีตปริกมฺมํ กโรโนฺต เมเท วา ฉวิยา วา หตฺถปาทปิเฎฺฐสุ วา อกฺขีนํ ปีตกฎฺฐาเน วา กโรติฯ โลหิตปริกมฺมํ กโรโนฺต มํเส วา โลหิเต วา ชิวฺหาย วา อกฺขีนํ รตฺตฎฺฐาเน วา กโรติฯ โอทาตปริกมฺมํ กโรโนฺต อฎฺฐิมฺหิ วา ทเนฺต วา นเข วา อกฺขีนํ เสตฎฺฐาเน วา กโรติฯ ตํ ปน สุนีลํ สุปีตํ สุโลหิตกํ สุโอทาตกํ น โหติ, อวิสุทฺธเมว โหติฯ
Ajjhattaṃ rūpasaññītiādīsu pana ajjhattarūpe parikammavasena ajjhattaṃ rūpasaññī nāma hoti. Ajjhattañhi nīlaparikammaṃ karonto kese vā pitte vā akkhitārakāya vā karoti. Pītaparikammaṃ karonto mede vā chaviyā vā hatthapādapiṭṭhesu vā akkhīnaṃ pītakaṭṭhāne vā karoti. Lohitaparikammaṃ karonto maṃse vā lohite vā jivhāya vā akkhīnaṃ rattaṭṭhāne vā karoti. Odātaparikammaṃ karonto aṭṭhimhi vā dante vā nakhe vā akkhīnaṃ setaṭṭhāne vā karoti. Taṃ pana sunīlaṃ supītaṃ sulohitakaṃ suodātakaṃ na hoti, avisuddhameva hoti.
เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยเสฺสวํ ปริกมฺมํ อชฺฌตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, นิมิตฺตํ ปน พหิทฺธา, โส เอวํ อชฺฌตฺตํ ปริกมฺมสฺส พหิทฺธา จ อปฺปนาย วเสน – ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ ปริตฺตานีติ อวฑฺฒิตานิฯ สุวณฺณทุพฺพณฺณานีติ สุวณฺณานิ วา โหนฺติ, ทุพฺพณฺณานิ วาฯ ปริตฺตวเสเนว อิทํ อภิภายตนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตานิ อภิภุยฺยาติ ยถา นาม สมฺปนฺนคหณิโก กฎจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํ ลภิตฺวา – ‘‘กิํ เอตฺถ ภุญฺชิตพฺพํ อตฺถี’’ติ สงฺกฑฺฒิตฺวา เอกกพฬเมว กโรติ, เอวเมว ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล วิสทญาโณ – ‘‘กิํ เอตฺถ ปริตฺตเก อารมฺมเณ สมาปชฺชิตพฺพํ อตฺถิ, นายํ มม ภาโร’’ติ ตานิ รูปานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ ชานามิ ปสฺสามีติ อิมินา ปนสฺส อาโภโค กถิโตฯ โส จ โข สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส, น อโนฺตสมาปตฺติยํฯ เอวํสญฺญี โหตีติ อาโภคสญฺญายปิ ฌานสญฺญายปิ เอวํสญฺญี โหติฯ อภิภวนสญฺญา หิสฺส อโนฺตสมาปตฺติยมฺปิ อตฺถิ, อาโภคสญฺญา ปน สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตเสฺสวฯ
Eko bahiddhā rūpāni passatīti yassevaṃ parikammaṃ ajjhattaṃ uppannaṃ hoti, nimittaṃ pana bahiddhā, so evaṃ ajjhattaṃ parikammassa bahiddhā ca appanāya vasena – ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Parittānīti avaḍḍhitāni. Suvaṇṇadubbaṇṇānīti suvaṇṇāni vā honti, dubbaṇṇāni vā. Parittavaseneva idaṃ abhibhāyatanaṃ vuttanti veditabbaṃ. Tāni abhibhuyyāti yathā nāma sampannagahaṇiko kaṭacchumattaṃ bhattaṃ labhitvā – ‘‘kiṃ ettha bhuñjitabbaṃ atthī’’ti saṅkaḍḍhitvā ekakabaḷameva karoti, evameva ñāṇuttariko puggalo visadañāṇo – ‘‘kiṃ ettha parittake ārammaṇe samāpajjitabbaṃ atthi, nāyaṃ mama bhāro’’ti tāni rūpāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho. Jānāmipassāmīti iminā panassa ābhogo kathito. So ca kho samāpattito vuṭṭhitassa, na antosamāpattiyaṃ. Evaṃsaññī hotīti ābhogasaññāyapi jhānasaññāyapi evaṃsaññī hoti. Abhibhavanasaññā hissa antosamāpattiyampi atthi, ābhogasaññā pana samāpattito vuṭṭhitasseva.
อปฺปมาณานีติ วฑฺฒิตปฺปมาณานิ, มหนฺตานีติ อโตฺถฯ อภิภุยฺยาติ เอตฺถ ปน ยถา มหคฺฆโส ปุริโส เอกํ ภตฺตวฑฺฒิตกํ ลภิตฺวา – ‘‘อญฺญมฺปิ โหตุ, กิํ เอตํ มยฺหํ กริสฺสตี’’ติ ตํ น มหนฺตโต ปสฺสติ, เอวเมว ญาณุตฺตโร ปุคฺคโล วิสทญาโณ ‘‘กิํ เอตฺถ สมาปชฺชิตพฺพํ, นยิทํ อปฺปมาณํ, น มยฺหํ จิเตฺตกคฺคตากรเณ ภาโร อตฺถี’’ติ ตานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ
Appamāṇānīti vaḍḍhitappamāṇāni, mahantānīti attho. Abhibhuyyāti ettha pana yathā mahagghaso puriso ekaṃ bhattavaḍḍhitakaṃ labhitvā – ‘‘aññampi hotu, kiṃ etaṃ mayhaṃ karissatī’’ti taṃ na mahantato passati, evameva ñāṇuttaro puggalo visadañāṇo ‘‘kiṃ ettha samāpajjitabbaṃ, nayidaṃ appamāṇaṃ, na mayhaṃ cittekaggatākaraṇe bhāro atthī’’ti tāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อลาภิตาย วา อนตฺถิกตาย วา อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมสญฺญาวิรหิโตฯ
Ajjhattaṃ arūpasaññīti alābhitāya vā anatthikatāya vā ajjhattarūpe parikammasaññāvirahito.
เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยสฺส ปริกมฺมมฺปิ นิมิตฺตมฺปิ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนํ, โส เอวํ พหิทฺธา ปริกมฺมสฺส เจว อปฺปนาย จ วเสน – ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ เสสเมตฺถ จตุตฺถาภิภายตเน วุตฺตนยเมวฯ อิเมสุ ปน จตูสุ ปริตฺตํ วิตกฺกจริตวเสน อาคตํ, อปฺปมาณํ โมหจริตวเสน, สุวณฺณํ โทสจริตวเสน, ทุพฺพณฺณํ ราคจริตวเสนฯ เอเตสญฺหิ เอตานิ สปฺปายานิฯ สา จ เนสํ สปฺปายตา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค จริตนิเทฺทเส วุตฺตาฯ
Eko bahiddhā rūpāni passatīti yassa parikammampi nimittampi bahiddhāva uppannaṃ, so evaṃ bahiddhā parikammassa ceva appanāya ca vasena – ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Sesamettha catutthābhibhāyatane vuttanayameva. Imesu pana catūsu parittaṃ vitakkacaritavasena āgataṃ, appamāṇaṃ mohacaritavasena, suvaṇṇaṃ dosacaritavasena, dubbaṇṇaṃ rāgacaritavasena. Etesañhi etāni sappāyāni. Sā ca nesaṃ sappāyatā vitthārato visuddhimagge caritaniddese vuttā.
ปญฺจมอภิภายตนาทีสุ นีลานีติ สพฺพสงฺคาหกวเสน วุตฺตํฯ นีลวณฺณานีติ วณฺณวเสนฯ นีลนิทสฺสนานีติ นิทสฺสนวเสน, อปญฺญาย มานวิวรานิ อสมฺภินฺนวณฺณานิ เอกนีลาเนว หุตฺวา ทิสฺสนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ นีลนิภาสานีติ อิทํ ปน โอภาสวเสน วุตฺตํ, นีโลภาสานิ นีลปฺปภายุตฺตานีติ อโตฺถฯ เอเตน เนสํ วิสุทฺธตํ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธวณฺณวเสเนว หิ อิมานิ จตฺตาริ อภิภายตนานิ วุตฺตานิฯ อุมาปุปฺผนฺติ เอตญฺหิ ปุปฺผํ สินิทฺธํ มุทุ, ทิสฺสมานมฺปิ นีลเมว โหติฯ คิริกณฺณิกปุปฺผาทีนิ ปน ทิสฺสมานานิ เสตธาตุกาเนว โหนฺติฯ ตสฺมา อิทเมว คหิตํ, น ตานิฯ พาราณเสยฺยกนฺติ พาราณสิสมฺภวํฯ ตตฺถ กิร กปฺปาโสปิ มุทุ, สุตฺตกนฺติกาโยปิ ตนฺตวายาปิ เฉกา, อุทกมฺปิ สุจิ สินิทฺธํฯ ตสฺมา ตํ วตฺถํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ โหติ; ทฺวีสุปิ ปเสฺสสุ มฎฺฐํ มุทุ สินิทฺธํ ขายติฯ
Pañcamaabhibhāyatanādīsu nīlānīti sabbasaṅgāhakavasena vuttaṃ. Nīlavaṇṇānīti vaṇṇavasena. Nīlanidassanānīti nidassanavasena, apaññāya mānavivarāni asambhinnavaṇṇāni ekanīlāneva hutvā dissantīti vuttaṃ hoti. Nīlanibhāsānīti idaṃ pana obhāsavasena vuttaṃ, nīlobhāsāni nīlappabhāyuttānīti attho. Etena nesaṃ visuddhataṃ dasseti. Visuddhavaṇṇavaseneva hi imāni cattāri abhibhāyatanāni vuttāni. Umāpupphanti etañhi pupphaṃ siniddhaṃ mudu, dissamānampi nīlameva hoti. Girikaṇṇikapupphādīni pana dissamānāni setadhātukāneva honti. Tasmā idameva gahitaṃ, na tāni. Bārāṇaseyyakanti bārāṇasisambhavaṃ. Tattha kira kappāsopi mudu, suttakantikāyopi tantavāyāpi chekā, udakampi suci siniddhaṃ. Tasmā taṃ vatthaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ hoti; dvīsupi passesu maṭṭhaṃ mudu siniddhaṃ khāyati.
ปีตานีติอาทีสุปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘นีลกสิณํ อุคฺคณฺหโนฺต นีลสฺมิํ นิมิตฺตํ คณฺหาติ ปุปฺผสฺมิํ วา วตฺถสฺมิํ วา วณฺณธาตุยา วา’’ติอาทิกํ ปเนตฺถ กสิณกรณญฺจ ปริกมฺมญฺจ อปฺปนาวิธานญฺจ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถารโต วุตฺตเมวฯ อิมานิปิ อฎฺฐ อภิภายตนานิ อภีตภาวทสฺสนตฺถเมว อานีตานิฯ อิมานิ กิร วตฺวา เอวมาห – ‘‘อานนฺท, เอวรูปาปิ สมาปตฺติโย สมาปชฺชนฺตสฺส จ วุฎฺฐหนฺตสฺส จ ตถาคตสฺส ภยํ วา สารชฺชํ วา นตฺถิ, มารํ ปน เอกกํ ทิสฺวา ตถาคโต ภาเยยฺยาติ โก เอวํ สญฺญํ อุปฺปาเทตุมรหติฯ อภีโต, อานนฺท, ตถาคโต อจฺฉมฺภี, สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชี’’ติฯ
Pītānītiādīsupi imināva nayena attho veditabbo. ‘‘Nīlakasiṇaṃ uggaṇhanto nīlasmiṃ nimittaṃ gaṇhāti pupphasmiṃ vā vatthasmiṃ vā vaṇṇadhātuyā vā’’tiādikaṃ panettha kasiṇakaraṇañca parikammañca appanāvidhānañca sabbaṃ visuddhimagge vitthārato vuttameva. Imānipi aṭṭha abhibhāyatanāni abhītabhāvadassanatthameva ānītāni. Imāni kira vatvā evamāha – ‘‘ānanda, evarūpāpi samāpattiyo samāpajjantassa ca vuṭṭhahantassa ca tathāgatassa bhayaṃ vā sārajjaṃ vā natthi, māraṃ pana ekakaṃ disvā tathāgato bhāyeyyāti ko evaṃ saññaṃ uppādetumarahati. Abhīto, ānanda, tathāgato acchambhī, sato sampajāno āyusaṅkhāraṃ ossajī’’ti.
อฎฺฐวิโมกฺขวณฺณนา
Aṭṭhavimokkhavaṇṇanā
๑๗๔. วิโมกฺขกถา อุตฺตานตฺถาเยวฯ อิเมปิ อฎฺฐ วิโมกฺขา อภีตภาวทสฺสนตฺถเมว อานีตาฯ อิเมปิ กิร วตฺวา เอวมาห – ‘‘อานนฺท, เอตาปิ สมาปตฺติโย สมาปชฺชนฺตสฺส จ วุฎฺฐหนฺตสฺส จ ตถาคตสฺส ภยํ วา สารชฺชํ วา นตฺถิ…เป.… โอสฺสชี’’ติฯ
174. Vimokkhakathā uttānatthāyeva. Imepi aṭṭha vimokkhā abhītabhāvadassanatthameva ānītā. Imepi kira vatvā evamāha – ‘‘ānanda, etāpi samāpattiyo samāpajjantassa ca vuṭṭhahantassa ca tathāgatassa bhayaṃ vā sārajjaṃ vā natthi…pe… ossajī’’ti.
๑๗๕. อิทานิปิ ภควา อานนฺทสฺส โอกาสํ อทตฺวาว เอกมิทาหนฺติอาทินา นเยน อปรมฺปิ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ ปฐมาภิสมฺพุโทฺธติ อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา ปฐมเมว อฎฺฐเม สตฺตาเหฯ
175. Idānipi bhagavā ānandassa okāsaṃ adatvāva ekamidāhantiādinā nayena aparampi desanaṃ ārabhi. Tattha paṭhamābhisambuddhoti abhisambuddho hutvā paṭhamameva aṭṭhame sattāhe.
๑๗๗. โอสฺสโฎฺฐติ วิสฺสชฺชิโต ปริจฺฉิโนฺน, เอวํ กิร วตฺวา – ‘‘เตนายํ ทสสหสฺสี โลกธาตุ กมฺปิตฺถา’’ติ อาหฯ
177.Ossaṭṭhoti vissajjito paricchinno, evaṃ kira vatvā – ‘‘tenāyaṃ dasasahassī lokadhātu kampitthā’’ti āha.
อานนฺทยาจนกถา
Ānandayācanakathā
๑๗๘. อลนฺติ ปฎิเกฺขปวจนเมตํฯ โพธินฺติ จตุมคฺคญาณปฎิเวฆํฯ สทฺทหสิ ตฺวนฺติ เอวํ วุตฺตภาวํ ตถาคตสฺส สทฺทหสีติ วทติฯ ตสฺมาติหานนฺทาติ ยสฺมา อิทํ วจนํ สทฺทหสิ, ตสฺมา ตุเยฺหเวตํ ทุกฺกฎนฺติ ทเสฺสติฯ
178.Alanti paṭikkhepavacanametaṃ. Bodhinti catumaggañāṇapaṭiveghaṃ. Saddahasi tvanti evaṃ vuttabhāvaṃ tathāgatassa saddahasīti vadati. Tasmātihānandāti yasmā idaṃ vacanaṃ saddahasi, tasmā tuyhevetaṃ dukkaṭanti dasseti.
๑๗๙. เอกมิทาหนฺติ อิทํ ภควา – ‘‘น เกวลํ อหํ อิเธว ตํ อามเนฺตสิํ, อญฺญทาปิ อามเนฺตตฺวา โอฬาริกํ นิมิตฺตํ อกาสิํ, ตมฺปิ ตยา น ปฎิวิทฺธํ, ตเววายํ อปราโธ’’ติ เอวํ โสกวิโนทนตฺถาย นานปฺปการโต เถรเสฺสว โทสาโรปนตฺถํ อารภิฯ
179.Ekamidāhanti idaṃ bhagavā – ‘‘na kevalaṃ ahaṃ idheva taṃ āmantesiṃ, aññadāpi āmantetvā oḷārikaṃ nimittaṃ akāsiṃ, tampi tayā na paṭividdhaṃ, tavevāyaṃ aparādho’’ti evaṃ sokavinodanatthāya nānappakārato therasseva dosāropanatthaṃ ārabhi.
๑๘๓. ปิเยหิ มนาเปหีติ มาตาปิตาภาตาภคินิอาทิเกหิ ชาติยา นานาภาโว, มรเณน วินาภาโว, ภเวน อญฺญถาภาโวฯ ตํ กุเตตฺถ ลพฺภาติ ตนฺติ ตสฺมา, ยสฺมา สเพฺพเหว ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว, ตสฺมา ทส ปารมิโย ปูเรตฺวาปิ, สโมฺพธิํ ปตฺวาปิ, ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวาปิ, ยมกปาฎิหาริยํ ทเสฺสตฺวาปิ, เทโวโรหณํ กตฺวาปิ, ยํ ตํ ชาตํ ภูตํ สงฺขตํ ปโลกธมฺมํ, ตํ วต ตถาคตสฺสาปิ สรีรํ มา ปลุชฺชีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติ, โรทเนฺตนาปิ กนฺทเนฺตนาปิ น สกฺกา ตํ การณํ ลทฺธุนฺติฯ ปุน ปจฺจาวมิสฺสตีติ ยํ จตฺตํ วนฺตํ, ตํ วต ปุน ปฎิขาทิสฺสตีติ อโตฺถฯ
183.Piyehi manāpehīti mātāpitābhātābhaginiādikehi jātiyā nānābhāvo, maraṇena vinābhāvo, bhavena aññathābhāvo. Taṃ kutettha labbhāti tanti tasmā, yasmā sabbeheva piyehi manāpehi nānābhāvo, tasmā dasa pāramiyo pūretvāpi, sambodhiṃ patvāpi, dhammacakkaṃ pavattetvāpi, yamakapāṭihāriyaṃ dassetvāpi, devorohaṇaṃ katvāpi, yaṃ taṃ jātaṃ bhūtaṃ saṅkhataṃ palokadhammaṃ, taṃ vata tathāgatassāpi sarīraṃ mā palujjīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati, rodantenāpi kandantenāpi na sakkā taṃ kāraṇaṃ laddhunti. Puna paccāvamissatīti yaṃ cattaṃ vantaṃ, taṃ vata puna paṭikhādissatīti attho.
๑๘๔. ยถยิทํ พฺรหฺมจริยนฺติ ยถา อิทํ สิกฺขาตฺตยสงฺคหํ สาสนพฺรหฺมจริยํฯ อทฺธนิยนฺติ อทฺธานกฺขมํฯ จิรฎฺฐิติกนฺติ จิรปฺปวตฺติวเสน จิรฎฺฐิติกํฯ จตฺตาโร สติปฎฺฐานาติอาทิ สพฺพํ โลกิยโลกุตฺตรวเสเนว กถิตํฯ เอเตสํ ปน โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ วินิจฺฉโย สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค ปฎิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธินิเทฺทเส วุโตฺตฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
184.Yathayidaṃ brahmacariyanti yathā idaṃ sikkhāttayasaṅgahaṃ sāsanabrahmacariyaṃ. Addhaniyanti addhānakkhamaṃ. Ciraṭṭhitikanti cirappavattivasena ciraṭṭhitikaṃ. Cattāro satipaṭṭhānātiādi sabbaṃ lokiyalokuttaravaseneva kathitaṃ. Etesaṃ pana bodhipakkhiyānaṃ dhammānaṃ vinicchayo sabbākārena visuddhimagge paṭipadāñāṇadassanavisuddhiniddese vutto. Sesamettha uttānamevāti.
ตติยภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
นาคาปโลกิตวณฺณนา
Nāgāpalokitavaṇṇanā
๑๘๖. นาคาปโลกิตนฺติ ยถา หิ มหาชนสฺส อฎฺฐีนิ โกฎิยา โกฎิํ อาหจฺจ ฐิตานิ ปเจฺจกพุทฺธานํ, องฺกุสกลคฺคานิ วิย, น เอวํ พุทฺธานํฯ พุทฺธานํ ปน สงฺขลิกานิ วิย เอกาพทฺธานิ หุตฺวา ฐิตานิ, ตสฺมา ปจฺฉโต อปโลกนกาเล น สกฺกา โหติ คีวํ ปริวเตฺตตุํฯ ยถา ปน หตฺถินาโค ปจฺฉาภาคํ อปโลเกตุกาโม สกลสรีเรเนว ปริวตฺตติ, เอวํ ปริวตฺติตพฺพํ โหติฯ ภควโต ปน นครทฺวาเร ฐตฺวา – ‘‘เวสาลิํ อปโลเกสฺสามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปนฺนมเตฺต – ‘‘ภควา อเนกานิ กปฺปโกฎิสหสฺสานิ ปารมิโย ปูเรเนฺตหิ ตุเมฺหหิ น คีวํ ปริวเตฺตตฺวา อปโลกนกมฺมํ กต’’นฺติ อยํ ปถวี กุลาลจกฺกํ วิย ปริวเตฺตตฺวา ภควนฺตํ เวสาลินคราภิมุขํ อกาสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ
186.Nāgāpalokitanti yathā hi mahājanassa aṭṭhīni koṭiyā koṭiṃ āhacca ṭhitāni paccekabuddhānaṃ, aṅkusakalaggāni viya, na evaṃ buddhānaṃ. Buddhānaṃ pana saṅkhalikāni viya ekābaddhāni hutvā ṭhitāni, tasmā pacchato apalokanakāle na sakkā hoti gīvaṃ parivattetuṃ. Yathā pana hatthināgo pacchābhāgaṃ apaloketukāmo sakalasarīreneva parivattati, evaṃ parivattitabbaṃ hoti. Bhagavato pana nagaradvāre ṭhatvā – ‘‘vesāliṃ apalokessāmī’’ti citte uppannamatte – ‘‘bhagavā anekāni kappakoṭisahassāni pāramiyo pūrentehi tumhehi na gīvaṃ parivattetvā apalokanakammaṃ kata’’nti ayaṃ pathavī kulālacakkaṃ viya parivattetvā bhagavantaṃ vesālinagarābhimukhaṃ akāsi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.
นนุ จ น เกวลํ เวสาลิยาว, สาวตฺถิราชคหนาฬนฺทปาฎลิคามโกฎิคามนาติกคามเกสุปิ ตโต ตโต นิกฺขนฺตกาเล ตํ ตํ สพฺพํ ปจฺฉิมทสฺสนเมว, ตตฺถ ตตฺถ กสฺมา นาคาปโลกิตํ นาปโลเกสีติ? อนจฺฉริยตฺตาฯ ตตฺถ ตตฺถ หิ นิวเตฺตตฺวา อปโลเกนฺตเสฺสตํ น อจฺฉริยํ โหติ, ตสฺมา นาปโลเกสิฯ อปิ จ เวสาลิราชาโน อาสนฺนวินาสา, ติณฺณํ วสฺสานํ อุปริ วินสฺสิสฺสนฺติฯ เต ตํ นครทฺวาเร นาคาปโลกิตํ นาม เจติยํ กตฺวา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชสฺสนฺติ, ตํ เนสํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสตีติ เตสํ อนุกมฺปาย อปโลเกสิฯ
Nanu ca na kevalaṃ vesāliyāva, sāvatthirājagahanāḷandapāṭaligāmakoṭigāmanātikagāmakesupi tato tato nikkhantakāle taṃ taṃ sabbaṃ pacchimadassanameva, tattha tattha kasmā nāgāpalokitaṃ nāpalokesīti? Anacchariyattā. Tattha tattha hi nivattetvā apalokentassetaṃ na acchariyaṃ hoti, tasmā nāpalokesi. Api ca vesālirājāno āsannavināsā, tiṇṇaṃ vassānaṃ upari vinassissanti. Te taṃ nagaradvāre nāgāpalokitaṃ nāma cetiyaṃ katvā gandhamālādīhi pūjessanti, taṃ nesaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissatīti tesaṃ anukampāya apalokesi.
ทุกฺขสฺสนฺตกโรติ วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตกโรฯ จกฺขุมาติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมาฯ ปรินิพฺพุโตติ กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุโตฯ
Dukkhassantakaroti vaṭṭadukkhassa antakaro. Cakkhumāti pañcahi cakkhūhi cakkhumā. Parinibbutoti kilesaparinibbānena parinibbuto.
จตุมหาปเทสวณฺณนา
Catumahāpadesavaṇṇanā
๑๘๗. มหาปเทเสติ มหาโอกาเส, มหาอปเทเส วา, พุทฺธาทโย มหเนฺต มหเนฺต อปทิสิตฺวา วุตฺตานิ มหาการณานีติ อโตฺถฯ
187.Mahāpadeseti mahāokāse, mahāapadese vā, buddhādayo mahante mahante apadisitvā vuttāni mahākāraṇānīti attho.
๑๘๘. เนว อภินนฺทิตพฺพนฺติ หฎฺฐตุเฎฺฐหิ สาธุการํ ทตฺวา ปุเพฺพว น โสตพฺพํ, เอวํ กเต หิ ปจฺฉา ‘‘อิทํ น สเมตี’’ติ วุจฺจมาโน – ‘‘กิํ ปุเพฺพว อยํ ธโมฺม, อิทานิ น ธโมฺม’’ติ วตฺวา ลทฺธิํ น วิสฺสเชฺชติฯ นปฺปฎิโกฺกสิตพฺพนฺติ – ‘‘กิํ เอส พาโล วทตี’’ติ เอวํ ปุเพฺพว น วตฺตพฺพํ, เอวํ วุเตฺต หิ วตฺตุํ ยุตฺตมฺปิ น วกฺขติฯ เตนาห – ‘‘อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา’’ติฯ ปทพฺยญฺชนานีติ ปทสงฺขาตานิ พฺยญฺชนานิฯ สาธุกํ อุคฺคเหตฺวาติ อิมสฺมิํ ฐาเน ปาฬิ วุตฺตา, อิมสฺมิํ ฐาเน อโตฺถ วุโตฺต, อิมสฺมิํ ฐาเน อนุสนฺธิ กถิโต, อิมสฺมิํ ฐาเน ปุพฺพาปรํ กถิตนฺติ สุฎฺฐุ คเหตฺวาฯ สุเตฺต โอสาเรตพฺพานีติ สุเตฺต โอตาเรตพฺพานิฯ วินเย สนฺทเสฺสตพฺพานีติ วินเย สํสเนฺทตพฺพานิฯ
188.Neva abhinanditabbanti haṭṭhatuṭṭhehi sādhukāraṃ datvā pubbeva na sotabbaṃ, evaṃ kate hi pacchā ‘‘idaṃ na sametī’’ti vuccamāno – ‘‘kiṃ pubbeva ayaṃ dhammo, idāni na dhammo’’ti vatvā laddhiṃ na vissajjeti. Nappaṭikkositabbanti – ‘‘kiṃ esa bālo vadatī’’ti evaṃ pubbeva na vattabbaṃ, evaṃ vutte hi vattuṃ yuttampi na vakkhati. Tenāha – ‘‘anabhinanditvā appaṭikkositvā’’ti. Padabyañjanānīti padasaṅkhātāni byañjanāni. Sādhukaṃ uggahetvāti imasmiṃ ṭhāne pāḷi vuttā, imasmiṃ ṭhāne attho vutto, imasmiṃ ṭhāne anusandhi kathito, imasmiṃ ṭhāne pubbāparaṃ kathitanti suṭṭhu gahetvā. Sutte osāretabbānīti sutte otāretabbāni. Vinaye sandassetabbānīti vinaye saṃsandetabbāni.
เอตฺถ จ สุตฺตนฺติ วินโยฯ ยถาห – ‘‘กตฺถ ปฎิกฺขิตฺตํ? สาวตฺถิยํ สุตฺตวิภเงฺค’’ติ (จุฬว. ๔๕๗)ฯ วินโยติ ขนฺธโกฯ ยถาห – ‘‘วินยาติสาเร’’ติฯ เอวํ วินยปิฎกมฺปิ น ปริยาทิยติฯ อุภโตวิภงฺคา ปน สุตฺตํ, ขนฺธกปริวารา วินโยติ เอวํ วินยปิฎกํ ปริยาทิยติฯ อถวา สุตฺตนฺตปิฎกํ สุตฺตํ, วินยปิฎกํ วินโยติ เอวํ เทฺวเยว ปิฎกานิ ปริยาทิยนฺติฯ สุตฺตนฺตาภิธมฺมปิฎกานิ วา สุตฺตํ, วินยปิฎกํ วินโยติ เอวมฺปิ ตีณิ ปิฎกานิ น ตาว ปริยาทิยนฺติฯ อสุตฺตนามกญฺหิ พุทฺธวจนํ นาม อตฺถิฯ เสยฺยถิทํ – ชาตกํ, ปฎิสมฺภิทา, นิเทฺทโส, สุตฺตนิปาโต, ธมฺมปทํ, อุทานํ, อิติวุตฺตกํ, วิมานวตฺถุ, เปตวตฺถุ, เถรคาถา, เถรีคาถา, อปทานนฺติฯ
Ettha ca suttanti vinayo. Yathāha – ‘‘kattha paṭikkhittaṃ? Sāvatthiyaṃ suttavibhaṅge’’ti (cuḷava. 457). Vinayoti khandhako. Yathāha – ‘‘vinayātisāre’’ti. Evaṃ vinayapiṭakampi na pariyādiyati. Ubhatovibhaṅgā pana suttaṃ, khandhakaparivārā vinayoti evaṃ vinayapiṭakaṃ pariyādiyati. Athavā suttantapiṭakaṃ suttaṃ, vinayapiṭakaṃ vinayoti evaṃ dveyeva piṭakāni pariyādiyanti. Suttantābhidhammapiṭakāni vā suttaṃ, vinayapiṭakaṃ vinayoti evampi tīṇi piṭakāni na tāva pariyādiyanti. Asuttanāmakañhi buddhavacanaṃ nāma atthi. Seyyathidaṃ – jātakaṃ, paṭisambhidā, niddeso, suttanipāto, dhammapadaṃ, udānaṃ, itivuttakaṃ, vimānavatthu, petavatthu, theragāthā, therīgāthā, apadānanti.
สุทินฺนเตฺถโร ปน – ‘‘อสุตฺตนามกํ พุทฺธวจนํ น อตฺถี’’ติ ตํ สพฺพํ ปฎิปกฺขิปิตฺวา – ‘‘ตีณิ ปิฎกานิ สุตฺตํ, วินโย ปน การณ’’นฺติ อาหฯ ตโต ตํ การณํ ทเสฺสโนฺต อิทํ สุตฺตมาหริ –
Sudinnatthero pana – ‘‘asuttanāmakaṃ buddhavacanaṃ na atthī’’ti taṃ sabbaṃ paṭipakkhipitvā – ‘‘tīṇi piṭakāni suttaṃ, vinayo pana kāraṇa’’nti āha. Tato taṃ kāraṇaṃ dassento idaṃ suttamāhari –
‘‘เย โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ, อิเม ธมฺมา สราคาย สํวตฺตนฺติ โน วิราคาย, สโญฺญคาย สํวตฺตนฺติ โน วิสโญฺญคาย, อาจยาย สํวตฺตนฺติ โน อปจยาย, มหิจฺฉตาย สํวตฺตนฺติ โน อปฺปิจฺฉตาย, อสนฺตุฎฺฐิยา สํวตฺตนฺติ โน สนฺตุฎฺฐิยา, สงฺคณิกาย สํวตฺตนฺติ โน ปวิเวกาย, โกสชฺชาย สํวตฺตนฺติ โน วีริยารมฺภาย, ทุพฺภรตาย สํวตฺตนฺติ โน สุภรตายฯ เอกํเสน, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ – ‘เนโส ธโมฺม, เนโส วินโย, เนตํ สตฺถุสาสน’นฺติฯ เย จ โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ, อิเม ธมฺมา วิราคาย สํวตฺตนฺติ โน สราคาย, วิสโญฺญคาย สํวตฺตนฺติ โน สโญฺญคาย, อปจยาย สํวตฺตนฺติ โน อาจยาย, อปฺปิจฺฉตาย สํวตฺตนฺติ โน มหิจฺฉตาย, สนฺตุฎฺฐิยา สํวตฺตนฺติ โน อสนฺตุฎฺฐิยา, ปวิเวกาย สํวตฺตนฺติ โน สงฺคณิกาย , วีริยารมฺภาย สํวตฺตนฺติ โน โกสชฺชาย, สุภรตาย สํวตฺตนฺติ โน ทุพฺภรตายฯ เอกํเสน, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ – ‘เอโส ธโมฺม, เอโส วินโย, เอตํ สตฺถุสาสน’นฺติ’’ (อ. นิ. ๘.๕๓)ฯ
‘‘Ye kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi, ime dhammā sarāgāya saṃvattanti no virāgāya, saññogāya saṃvattanti no visaññogāya, ācayāya saṃvattanti no apacayāya, mahicchatāya saṃvattanti no appicchatāya, asantuṭṭhiyā saṃvattanti no santuṭṭhiyā, saṅgaṇikāya saṃvattanti no pavivekāya, kosajjāya saṃvattanti no vīriyārambhāya, dubbharatāya saṃvattanti no subharatāya. Ekaṃsena, gotami, dhāreyyāsi – ‘neso dhammo, neso vinayo, netaṃ satthusāsana’nti. Ye ca kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi, ime dhammā virāgāya saṃvattanti no sarāgāya, visaññogāya saṃvattanti no saññogāya, apacayāya saṃvattanti no ācayāya, appicchatāya saṃvattanti no mahicchatāya, santuṭṭhiyā saṃvattanti no asantuṭṭhiyā, pavivekāya saṃvattanti no saṅgaṇikāya , vīriyārambhāya saṃvattanti no kosajjāya, subharatāya saṃvattanti no dubbharatāya. Ekaṃsena, gotami, dhāreyyāsi – ‘eso dhammo, eso vinayo, etaṃ satthusāsana’nti’’ (a. ni. 8.53).
ตสฺมา สุเตฺตติ เตปิฎเก พุทฺธวจเน โอตาเรตพฺพานิฯ วินเยติ เอตสฺมิํ ราคาทิวินยการเณ สํสเนฺทตพฺพานีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ น เจว สุเตฺต โอสรนฺตีติ สุตฺตปฎิปาฎิยา กตฺถจิ อนาคนฺตฺวา ฉลฺลิํ อุฎฺฐเปตฺวา คุฬฺหเวสฺสนฺตร-คุฬฺหอุมฺมคฺค-คุฬฺหวินย-เวทลฺลปิฎกานํ อญฺญตรโต อาคตานิ ปญฺญายนฺตีติ อโตฺถฯ เอวํ อาคตานิ หิ ราคาทิวินเย จ น ปญฺญายมานานิ ฉเฑฺฑตพฺพานิ โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิติ เหตํ, ภิกฺขเว, ฉเฑฺฑยฺยาถา’’ติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tasmā sutteti tepiṭake buddhavacane otāretabbāni. Vinayeti etasmiṃ rāgādivinayakāraṇe saṃsandetabbānīti ayamettha attho. Na ceva sutte osarantīti suttapaṭipāṭiyā katthaci anāgantvā challiṃ uṭṭhapetvā guḷhavessantara-guḷhaummagga-guḷhavinaya-vedallapiṭakānaṃ aññatarato āgatāni paññāyantīti attho. Evaṃ āgatāni hi rāgādivinaye ca na paññāyamānāni chaḍḍetabbāni honti. Tena vuttaṃ – ‘‘iti hetaṃ, bhikkhave, chaḍḍeyyāthā’’ti. Etenupāyena sabbattha attho veditabbo.
อิทํ , ภิกฺขเว, จตุตฺถํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถาติ อิทํ จตุตฺถํ ธมฺมสฺส ปติฎฺฐาโนกาสํ ธาเรยฺยาถฯ
Idaṃ, bhikkhave, catutthaṃ mahāpadesaṃ dhāreyyāthāti idaṃ catutthaṃ dhammassa patiṭṭhānokāsaṃ dhāreyyātha.
อิมสฺมิํ ปน ฐาเน อิมํ ปกิณฺณกํ เวทิตพฺพํฯ สุเตฺต จตฺตาโร มหาปเทสา, ขนฺธเก จตฺตาโร มหาปเทสา, จตฺตาริ ปญฺหพฺยากรณานิ, สุตฺตํ, สุตฺตานุโลมํ, อาจริยวาโท, อตฺตโนมติ, ติโสฺส สงฺคีติโยติฯ
Imasmiṃ pana ṭhāne imaṃ pakiṇṇakaṃ veditabbaṃ. Sutte cattāro mahāpadesā, khandhake cattāro mahāpadesā, cattāri pañhabyākaraṇāni, suttaṃ, suttānulomaṃ, ācariyavādo, attanomati, tisso saṅgītiyoti.
ตตฺถ – ‘‘อยํ ธโมฺม, อยํ วินโย’’ติ ธมฺมวินิจฺฉเย ปเตฺต อิเม จตฺตาโร มหาปเทสา ปมาณํฯ ยํ เอตฺถ สเมติ ตเทว คเหตพฺพํ, อิตรํ วิรวนฺตสฺสปิ น คเหตพฺพํฯ
Tattha – ‘‘ayaṃ dhammo, ayaṃ vinayo’’ti dhammavinicchaye patte ime cattāro mahāpadesā pamāṇaṃ. Yaṃ ettha sameti tadeva gahetabbaṃ, itaraṃ viravantassapi na gahetabbaṃ.
‘‘อิทํ กปฺปติ, อิทํ น กปฺปตี’’ติ กปฺปิยากปฺปิยวินิจฺฉเย ปเตฺต – ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, มยา อิทํ น กปฺปตีติ อปฺปฎิกฺขิตฺตํ, ตํ เจ อกปฺปิยํ อนุโลเมติ, กปฺปิยํ ปฎิพาหติ, ตํ โว น กปฺปตี’’ติอาทินา (มหาว. ๓๐๕) นเยน ขนฺธเก วุตฺตา จตฺตาโร มหาปเทสา ปมาณํฯ เตสํ วินิจฺฉยกถา สมนฺตปาสาทิกายํ วุตฺตาฯ ตตฺถ วุตฺตนเยน ยํ กปฺปิยํ อนุโลเมติ, ตเทว กปฺปิยํ, อิตรํ อกปฺปิยนฺติ เอวํ สนฺนิฎฺฐานํ กาตพฺพํฯ
‘‘Idaṃ kappati, idaṃ na kappatī’’ti kappiyākappiyavinicchaye patte – ‘‘yaṃ, bhikkhave, mayā idaṃ na kappatīti appaṭikkhittaṃ, taṃ ce akappiyaṃ anulometi, kappiyaṃ paṭibāhati, taṃ vo na kappatī’’tiādinā (mahāva. 305) nayena khandhake vuttā cattāro mahāpadesā pamāṇaṃ. Tesaṃ vinicchayakathā samantapāsādikāyaṃ vuttā. Tattha vuttanayena yaṃ kappiyaṃ anulometi, tadeva kappiyaṃ, itaraṃ akappiyanti evaṃ sanniṭṭhānaṃ kātabbaṃ.
เอกํสพฺยากรณีโย ปโญฺห, วิภชฺชพฺยากรณีโย ปโญฺห, ปฎิปุจฺฉาพฺยากรณีโย ปโญฺห, ฐปนีโย ปโญฺหติ อิมานิ จตฺตาริ ปญฺหพฺยากรณานิ นามฯ ตตฺถ ‘‘จกฺขุํ อนิจฺจ’’นฺติ ปุเฎฺฐน – ‘‘อาม อนิจฺจ’’นฺติ เอกํเสเนว พฺยากาตพฺพํ ฯ เอส นโย โสตาทีสุฯ อยํ เอกํสพฺยากรณีโย ปโญฺหฯ ‘‘อนิจฺจํ นาม จกฺขุ’’นฺติ ปุเฎฺฐน – ‘‘น จกฺขุเมว, โสตมฺปิ อนิจฺจํ ฆานมฺปิ อนิจฺจ’’นฺติ เอวํ วิภชิตฺวา พฺยากาตพฺพํฯ อยํ วิภชฺชพฺยากรณีโย ปโญฺหฯ ‘‘ยถา จกฺขุ ตถา โสตํ, ยถา โสตํ ตถา จกฺขุ’’นฺติ ปุเฎฺฐน ‘‘เกนเฎฺฐน ปุจฺฉสี’’ติ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ‘‘ทสฺสนเฎฺฐน ปุจฺฉามี’’ติ วุเตฺต ‘‘น หี’’ติ พฺยากาตพฺพํ, ‘‘อนิจฺจเฎฺฐน ปุจฺฉามี’’ติ วุเตฺต อามาติ พฺยากาตพฺพํฯ อยํ ปฎิปุจฺฉาพฺยากรณีโย ปโญฺหฯ ‘‘ตํ ชีวํ ตํ สรีร’’นฺติอาทีนิ ปุเฎฺฐน ปน ‘‘อพฺยากตเมตํ ภควตา’’ติ ฐเปตโพฺพ, เอส ปโญฺห น พฺยากาตโพฺพฯ อยํ ฐปนีโย ปโญฺหฯ อิติ เตนากาเรน ปเญฺห สมฺปเตฺต อิมานิ จตฺตาริ ปญฺหพฺยากรณานิ ปมาณํฯ อิเมสํ วเสน โส ปโญฺห พฺยากาตโพฺพฯ
Ekaṃsabyākaraṇīyo pañho, vibhajjabyākaraṇīyo pañho, paṭipucchābyākaraṇīyo pañho, ṭhapanīyo pañhoti imāni cattāri pañhabyākaraṇāni nāma. Tattha ‘‘cakkhuṃ anicca’’nti puṭṭhena – ‘‘āma anicca’’nti ekaṃseneva byākātabbaṃ . Esa nayo sotādīsu. Ayaṃ ekaṃsabyākaraṇīyo pañho. ‘‘Aniccaṃ nāma cakkhu’’nti puṭṭhena – ‘‘na cakkhumeva, sotampi aniccaṃ ghānampi anicca’’nti evaṃ vibhajitvā byākātabbaṃ. Ayaṃ vibhajjabyākaraṇīyo pañho. ‘‘Yathā cakkhu tathā sotaṃ, yathā sotaṃ tathā cakkhu’’nti puṭṭhena ‘‘kenaṭṭhena pucchasī’’ti paṭipucchitvā ‘‘dassanaṭṭhena pucchāmī’’ti vutte ‘‘na hī’’ti byākātabbaṃ, ‘‘aniccaṭṭhena pucchāmī’’ti vutte āmāti byākātabbaṃ. Ayaṃ paṭipucchābyākaraṇīyo pañho. ‘‘Taṃ jīvaṃ taṃ sarīra’’ntiādīni puṭṭhena pana ‘‘abyākatametaṃ bhagavatā’’ti ṭhapetabbo, esa pañho na byākātabbo. Ayaṃ ṭhapanīyo pañho. Iti tenākārena pañhe sampatte imāni cattāri pañhabyākaraṇāni pamāṇaṃ. Imesaṃ vasena so pañho byākātabbo.
สุตฺตาทีสุ ปน สุตฺตํ นาม ติโสฺส สงฺคีติโย อารูฬฺหานิ ตีณิ ปิฎกานิฯ สุตฺตานุโลมํ นาม อนุโลมกปฺปิยํฯ อาจริยวาโท นาม อฎฺฐกถาฯ อตฺตโนมติ นาม นยคฺคาเหน อนุพุทฺธิยา อตฺตโน ปฎิภานํฯ ตตฺถ สุตฺตํ อปฺปฎิพาหิยํ, ตํ ปฎิพาหเนฺตน พุโทฺธว ปฎิพาหิโต โหติฯ อนุโลมกปฺปิยํ ปน สุเตฺตน สเมนฺตเมว คเหตพฺพํ, น อิตรํฯ อาจริยวาโทปิ สุเตฺตน สเมโนฺตเยว คเหตโพฺพ, น อิตโรฯ อตฺตโนมติ ปน สพฺพทุพฺพลา, สาปิ สุเตฺตน สเมนฺตาเยว คเหตพฺพา, น อิตราฯ ปญฺจสติกา, สตฺตสติกา, สหสฺสิกาติ อิมา ปน ติโสฺส สงฺคีติโยฯ สุตฺตมฺปิ ตาสุ อาคตเมว ปมาณํ, อิตรํ คารยฺหสุตฺตํ น คเหตพฺพํฯ ตตฺถ โอตรนฺตานิปิ หิ ปทพฺยญฺชนานิ น เจว สุเตฺต โอตรนฺติ, น จ วินเย สนฺทิสฺสนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ
Suttādīsu pana suttaṃ nāma tisso saṅgītiyo ārūḷhāni tīṇi piṭakāni. Suttānulomaṃ nāma anulomakappiyaṃ. Ācariyavādo nāma aṭṭhakathā. Attanomati nāma nayaggāhena anubuddhiyā attano paṭibhānaṃ. Tattha suttaṃ appaṭibāhiyaṃ, taṃ paṭibāhantena buddhova paṭibāhito hoti. Anulomakappiyaṃ pana suttena samentameva gahetabbaṃ, na itaraṃ. Ācariyavādopi suttena samentoyeva gahetabbo, na itaro. Attanomati pana sabbadubbalā, sāpi suttena samentāyeva gahetabbā, na itarā. Pañcasatikā, sattasatikā, sahassikāti imā pana tisso saṅgītiyo. Suttampi tāsu āgatameva pamāṇaṃ, itaraṃ gārayhasuttaṃ na gahetabbaṃ. Tattha otarantānipi hi padabyañjanāni na ceva sutte otaranti, na ca vinaye sandissantīti veditabbāni.
กมฺมารปุตฺตจุนฺทวตฺถุวณฺณนา
Kammāraputtacundavatthuvaṇṇanā
๑๘๙. กมฺมารปุตฺตสฺสาติ สุวณฺณการปุตฺตสฺสฯ โส กิร อโฑฺฒ มหากุฎุมฺพิโก ภควโต ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปโนฺน หุตฺวา อตฺตโน อมฺพวเน วิหารํ การาเปตฺวา นิยฺยาเตสิฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘อมฺพวเน’’ติฯ
189.Kammāraputtassāti suvaṇṇakāraputtassa. So kira aḍḍho mahākuṭumbiko bhagavato paṭhamadassaneneva sotāpanno hutvā attano ambavane vihāraṃ kārāpetvā niyyātesi. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘ambavane’’ti.
สูกรมทฺทวนฺติ นาติตรุณสฺส นาติชิณฺณสฺส เอกเชฎฺฐกสูกรสฺส ปวตฺตมํสํฯ ตํ กิร มุทุ เจว สินิทฺธญฺจ โหติ, ตํ ปฎิยาทาเปตฺวา สาธุกํ ปจาเปตฺวาติ อโตฺถฯ เอเก ภณนฺติ – ‘‘สูกรมทฺทวนฺติ ปน มุทุโอทนสฺส ปญฺจโครสยูสปาจนวิธานสฺส นาเมตํ, ยถา ควปานํ นาม ปากนาม’’นฺติฯ เกจิ ภณนฺติ – ‘‘สูกรมทฺทวํ นาม รสายนวิธิ, ตํ ปน รสายนสเตฺถ อาคจฺฉติ, ตํ จุเนฺทน – ‘ภควโต ปรินิพฺพานํ น ภเวยฺยา’ติ รสายนํ ปฎิยตฺต’’นฺติฯ ตตฺถ ปน ทฺวิสหสฺสทีปปริวาเรสุ จตูสุ มหาทีเปสุ เทวตา โอชํ ปกฺขิปิํสุฯ
Sūkaramaddavanti nātitaruṇassa nātijiṇṇassa ekajeṭṭhakasūkarassa pavattamaṃsaṃ. Taṃ kira mudu ceva siniddhañca hoti, taṃ paṭiyādāpetvā sādhukaṃ pacāpetvāti attho. Eke bhaṇanti – ‘‘sūkaramaddavanti pana muduodanassa pañcagorasayūsapācanavidhānassa nāmetaṃ, yathā gavapānaṃ nāma pākanāma’’nti. Keci bhaṇanti – ‘‘sūkaramaddavaṃ nāma rasāyanavidhi, taṃ pana rasāyanasatthe āgacchati, taṃ cundena – ‘bhagavato parinibbānaṃ na bhaveyyā’ti rasāyanaṃ paṭiyatta’’nti. Tattha pana dvisahassadīpaparivāresu catūsu mahādīpesu devatā ojaṃ pakkhipiṃsu.
นาหํ ตนฺติ อิมํ สีหนาทํ กิมตฺถํ นทติ? ปรูปวาทโมจนตฺถํฯ อตฺตนา ปริภุตฺตาวเสสํ เนว ภิกฺขูนํ, น มนุสฺสานํ ทาตุํ อทาสิ, อาวาเฎ นิขณาเปตฺวา วินาเสสีติ หิ วตฺตุกามานํ อิทํ สุตฺวา วจโนกาโส น ภวิสฺสตีติ ปเรสํ อุปวาทโมจนตฺถํ สีหนาทํ นทตีติฯ
Nāhaṃ tanti imaṃ sīhanādaṃ kimatthaṃ nadati? Parūpavādamocanatthaṃ. Attanā paribhuttāvasesaṃ neva bhikkhūnaṃ, na manussānaṃ dātuṃ adāsi, āvāṭe nikhaṇāpetvā vināsesīti hi vattukāmānaṃ idaṃ sutvā vacanokāso na bhavissatīti paresaṃ upavādamocanatthaṃ sīhanādaṃ nadatīti.
๑๙๐. ภุตฺตสฺส จ สูกรมทฺทเวนาติ ภุตฺตสฺส อุทปาทิ, น ปน ภุตฺตปจฺจยาฯ ยทิ หิ อภุตฺตสฺส อุปฺปชฺชิสฺสถ, อติขโร ภวิสฺสติฯ สินิทฺธโภชนํ ภุตฺตตฺตา ปนสฺส ตนุเวทนา อโหสิฯ เตเนว ปทสา คนฺตุํ อสกฺขิฯ วิเรจมาโนติ อภิณฺหํ ปวตฺตโลหิตวิเรจโนว สมาโน ฯ อโวจาติ อตฺตนา ปตฺถิตฎฺฐาเน ปรินิพฺพานตฺถาย เอวมาหฯ อิมา ปน ธมฺมสงฺคาหกเตฺถเรหิ ฐปิตคาถาโยติ เวทิตพฺพาฯ
190.Bhuttassa ca sūkaramaddavenāti bhuttassa udapādi, na pana bhuttapaccayā. Yadi hi abhuttassa uppajjissatha, atikharo bhavissati. Siniddhabhojanaṃ bhuttattā panassa tanuvedanā ahosi. Teneva padasā gantuṃ asakkhi. Virecamānoti abhiṇhaṃ pavattalohitavirecanova samāno . Avocāti attanā patthitaṭṭhāne parinibbānatthāya evamāha. Imā pana dhammasaṅgāhakattherehi ṭhapitagāthāyoti veditabbā.
ปานียาหรณวณฺณนา
Pānīyāharaṇavaṇṇanā
๑๙๑. อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ อโจฺฉทกาติ ปสโนฺนทกาฯ สาโตทกาติ มธุโรทกาฯ สีโตทกาติ ตนุสีตลสลิลาฯ เสตกาติ นิกฺกทฺทมาฯ สุปฺปติตฺถาติ สุนฺทรติตฺถาฯ
191.Iṅghāti codanatthe nipāto. Acchodakāti pasannodakā. Sātodakāti madhurodakā. Sītodakāti tanusītalasalilā. Setakāti nikkaddamā. Suppatitthāti sundaratitthā.
ปุกฺกุสมลฺลปุตฺตวตฺถุวณฺณนา
Pukkusamallaputtavatthuvaṇṇanā
๑๙๒. ปุกฺกุโสติ ตสฺส นามํฯ มลฺลปุโตฺตติ มลฺลราชปุโตฺตฯ มลฺลา กิร วาเรน รชฺชํ กาเรนฺติฯ ยาว เนสํ วาโร น ปาปุณาติ, ตาว วณิชฺชํ กโรนฺติฯ อยมฺปิ วณิชฺชเมว กโรโนฺต ปญฺจ สกฎสตานิ โยชาเปตฺวา ธุรวาเต วายเนฺต ปุรโต คจฺฉติ, ปจฺฉา วาเต วายเนฺต สตฺถวาหํ ปุรโต เปเสตฺวา สยํ ปจฺฉา คจฺฉติฯ ตทา ปน ปจฺฉา วาโต วายิ, ตสฺมา เอส ปุรโต สตฺถวาหํ เปเสตฺวา สพฺพรตนยาเน นิสีทิตฺวา กุสินารโต นิกฺขมิตฺวา ‘‘ปาวํ คมิสฺสามี’’ติ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘กุสินาราย ปาวํ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน โหตี’’ติฯ
192.Pukkusoti tassa nāmaṃ. Mallaputtoti mallarājaputto. Mallā kira vārena rajjaṃ kārenti. Yāva nesaṃ vāro na pāpuṇāti, tāva vaṇijjaṃ karonti. Ayampi vaṇijjameva karonto pañca sakaṭasatāni yojāpetvā dhuravāte vāyante purato gacchati, pacchā vāte vāyante satthavāhaṃ purato pesetvā sayaṃ pacchā gacchati. Tadā pana pacchā vāto vāyi, tasmā esa purato satthavāhaṃ pesetvā sabbaratanayāne nisīditvā kusinārato nikkhamitvā ‘‘pāvaṃ gamissāmī’’ti maggaṃ paṭipajji. Tena vuttaṃ – ‘‘kusinārāya pāvaṃ addhānamaggappaṭipanno hotī’’ti.
อาฬาโรติ ตสฺส นามํฯ ทีฆปิงฺคโล กิเรโส, เตนสฺส อาฬาโรติ นามํ อโหสิฯ กาลาโมติ โคตฺตํฯ ยตฺร หิ นามาติ โย นามฯ เนว ทกฺขตีติ น อทฺทสฯ ยตฺรสทฺทยุตฺตตฺตา ปเนตํ อนาคตวเสน วุตฺตํฯ เอวรูปญฺหิ อีทิเสสุ ฐาเนสุ สทฺทลกฺขณํฯ
Āḷāroti tassa nāmaṃ. Dīghapiṅgalo kireso, tenassa āḷāroti nāmaṃ ahosi. Kālāmoti gottaṃ. Yatra hi nāmāti yo nāma. Neva dakkhatīti na addasa. Yatrasaddayuttattā panetaṃ anāgatavasena vuttaṃ. Evarūpañhi īdisesu ṭhānesu saddalakkhaṇaṃ.
๑๙๓. นิจฺฉรนฺตีสูติ วิจรนฺตีสุฯ อสนิยา ผลนฺติยาติ นววิธาย อสนิยา ภิชฺชมานาย วิย มหารวํ รวนฺติยาฯ นววิธา หิ อสนิโย – อสญฺญา, วิจกฺกา, สเตรา, คคฺครา, กปิสีสา, มจฺฉวิโลลิกา, กุกฺกุฎกา, ทณฺฑมณิกา, สุกฺขาสนีติฯ ตตฺถ อสญฺญา อสญฺญํ กโรติฯ วิจกฺกา เอกํ จกฺกํ กโรติฯ สเตรา สเตรสทิสา หุตฺวา ปตติฯ คคฺครา คคฺครายมานา ปตติฯ กปิสีสา ภมุกํ อุกฺขิเปโนฺต มกฺกโฎ วิย โหติฯ มจฺฉวิโลลิกา วิโลลิตมโจฺฉ วิย โหติฯ กุกฺกุฎกา กุกฺกุฎสทิสา หุตฺวา ปตติฯ ทณฺฑมณิกา นงฺคลสทิสา หุตฺวา ปตติฯ สุกฺขาสนี ปติตฎฺฐานํ สมุคฺฆาเฎติฯ
193.Niccharantīsūti vicarantīsu. Asaniyā phalantiyāti navavidhāya asaniyā bhijjamānāya viya mahāravaṃ ravantiyā. Navavidhā hi asaniyo – asaññā, vicakkā, saterā, gaggarā, kapisīsā, macchavilolikā, kukkuṭakā, daṇḍamaṇikā, sukkhāsanīti. Tattha asaññā asaññaṃ karoti. Vicakkā ekaṃ cakkaṃ karoti. Saterā saterasadisā hutvā patati. Gaggarā gaggarāyamānā patati. Kapisīsā bhamukaṃ ukkhipento makkaṭo viya hoti. Macchavilolikā vilolitamaccho viya hoti. Kukkuṭakā kukkuṭasadisā hutvā patati. Daṇḍamaṇikā naṅgalasadisā hutvā patati. Sukkhāsanī patitaṭṭhānaṃ samugghāṭeti.
เทเว วสฺสเนฺตติ สุกฺขคชฺชิตํ คชฺชิตฺวา อนฺตรนฺตรา วสฺสเนฺตฯ อาตุมายนฺติ อาตุมํ นิสฺสาย วิหรามิฯ ภุสาคาเรติ ขลสาลายํฯ เอเตฺถโสติ เอตสฺมิํ การเณ เอโส มหาชนกาโย สนฺนิปติโตฯ กฺว อโหสีติ กุหิํ อโหสิฯ โส ตํ ภเนฺตติ โส ตฺวํ ภเนฺตฯ
Devevassanteti sukkhagajjitaṃ gajjitvā antarantarā vassante. Ātumāyanti ātumaṃ nissāya viharāmi. Bhusāgāreti khalasālāyaṃ. Etthesoti etasmiṃ kāraṇe eso mahājanakāyo sannipatito. Kva ahosīti kuhiṃ ahosi. So taṃ bhanteti so tvaṃ bhante.
๑๙๔. สิงฺคีวณฺณนฺติ สิงฺคีสุวณฺณวณฺณํฯ ยุคมฎฺฐนฺติ มฎฺฐยุคํ, สณฺหสาฎกยุคฬนฺติ อโตฺถฯ ธารณียนฺติ อนฺตรนฺตรา มยา ธาเรตพฺพํ, ปริทหิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ ตํ กิร โส ตถารูเป ฉณทิวเสเยว ธาเรตฺวา เสสกาเล นิกฺขิปติฯ เอวํ อุตฺตมํ มงฺคลวตฺถยุคํ สนฺธายาหฯ อนุกมฺปํ อุปาทายาติ มยิ อนุกมฺปํ ปฎิจฺจฯ อจฺฉาเทหีติ อุปจารวจนเมตํ – เอกํ มยฺหํ เทหิ, เอกํ อานนฺทสฺสาติ อโตฺถฯ กิํ ปน เถโร ตํ คณฺหีติ? อาม คณฺหิฯ กสฺมา? มตฺถกปฺปตฺตกิจฺจตฺตาฯ กิญฺจาปิ เหส เอวรูปํ ลาภํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อุปฎฺฐากฎฺฐานํ ปฎิปโนฺนฯ ตํ ปนสฺส อุปฎฺฐากกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺตํฯ ตสฺมา อคฺคเหสิฯ เย จาปิ เอวํ วเทยฺยุํ – ‘‘อนาราธโก มเญฺญ อานโนฺท ปญฺจวีสติ วสฺสานิ อุปฎฺฐหเนฺตน น กิญฺจิ ภควโต สนฺติกา เตน ลทฺธปุพฺพ’’นฺติฯ เตสํ วจโนกาสเจฺฉทนตฺถมฺปิ อคฺคเหสิฯ อปิ จ ชานาติ ภควา – ‘‘อานโนฺท คเหตฺวาปิ อตฺตนา น ธาเรสฺสติ, มยฺหํเยว ปูชํ กริสฺสติฯ มลฺลปุเตฺตน ปน อานนฺทํ ปูเชเนฺตน สโงฺฆปิ ปูชิโต ภวิสฺสติ, เอวมสฺส มหาปุญฺญราสิ ภวิสฺสตี’’ติ เถรสฺส เอกํ ทาเปสิฯ เถโรปิ เตเนว การเณน อคฺคเหสีติฯ ธมฺมิยา กถายาติ วตฺถานุโมทนกถายฯ
194.Siṅgīvaṇṇanti siṅgīsuvaṇṇavaṇṇaṃ. Yugamaṭṭhanti maṭṭhayugaṃ, saṇhasāṭakayugaḷanti attho. Dhāraṇīyanti antarantarā mayā dhāretabbaṃ, paridahitabbanti attho. Taṃ kira so tathārūpe chaṇadivaseyeva dhāretvā sesakāle nikkhipati. Evaṃ uttamaṃ maṅgalavatthayugaṃ sandhāyāha. Anukampaṃ upādāyāti mayi anukampaṃ paṭicca. Acchādehīti upacāravacanametaṃ – ekaṃ mayhaṃ dehi, ekaṃ ānandassāti attho. Kiṃ pana thero taṃ gaṇhīti? Āma gaṇhi. Kasmā? Matthakappattakiccattā. Kiñcāpi hesa evarūpaṃ lābhaṃ paṭikkhipitvā upaṭṭhākaṭṭhānaṃ paṭipanno. Taṃ panassa upaṭṭhākakiccaṃ matthakaṃ pattaṃ. Tasmā aggahesi. Ye cāpi evaṃ vadeyyuṃ – ‘‘anārādhako maññe ānando pañcavīsati vassāni upaṭṭhahantena na kiñci bhagavato santikā tena laddhapubba’’nti. Tesaṃ vacanokāsacchedanatthampi aggahesi. Api ca jānāti bhagavā – ‘‘ānando gahetvāpi attanā na dhāressati, mayhaṃyeva pūjaṃ karissati. Mallaputtena pana ānandaṃ pūjentena saṅghopi pūjito bhavissati, evamassa mahāpuññarāsi bhavissatī’’ti therassa ekaṃ dāpesi. Theropi teneva kāraṇena aggahesīti. Dhammiyā kathāyāti vatthānumodanakathāya.
๑๙๕. ภควโต กายํ อุปนามิตนฺติ นิวาสนปารุปนวเสน อลฺลียาปิตํฯ ภควาปิ ตโต เอกํ นิวาเสสิ, เอกํ ปารุปิฯ หตจฺจิกํ วิยาติ ยถา หตจฺจิโก องฺคาโร อนฺตเนฺตเนว โชตติ, พหิ ปนสฺส ปภา นตฺถิ, เอวํ พหิ ปฎิจฺฉนฺนปฺปภํ หุตฺวา ขายตีติ อโตฺถฯ
195.Bhagavato kāyaṃ upanāmitanti nivāsanapārupanavasena allīyāpitaṃ. Bhagavāpi tato ekaṃ nivāsesi, ekaṃ pārupi. Hataccikaṃ viyāti yathā hatacciko aṅgāro antanteneva jotati, bahi panassa pabhā natthi, evaṃ bahi paṭicchannappabhaṃ hutvā khāyatīti attho.
อิเมสุ โข, อานนฺท, ทฺวีสุปิ กาเลสูติ กสฺมา อิเมสุ ทฺวีสุ กาเลสุ เอวํ โหติ? อาหารวิเสเสน เจว พลวโสมนเสฺสน จฯ เอเตสุ หิ ทฺวีสุ กาเลสุ สกลจกฺกวาเฬ เทวตา อาหาเร โอชํ ปกฺขิปนฺติ, ตํ ปณีตโภชนํ กุจฺฉิํ ปวิสิตฺวา ปสนฺนรูปํ สมุฎฺฐาเปติฯ อาหารสมุฎฺฐานรูปสฺส ปสนฺนตฺตา มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิ อติวิย วิโรจนฺติฯ สโมฺพธิทิวเส จสฺส – ‘‘อเนกกปฺปโกฎิสตสหสฺสสญฺจิโต วต เม กิเลสราสิ อชฺช ปหีโน’’ติ อาวชฺชนฺตสฺส พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ ปสีทติ, จิเตฺต ปสเนฺน โลหิตํ ปสีทติ, โลหิเต ปสเนฺน มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิ อติวิย วิโรจนฺติฯ ปรินิพฺพานทิวเสปิ – ‘‘อชฺช, ทานาหํ, อเนเกหิ พุทฺธสตสหเสฺสหิ ปวิฎฺฐํ อมตมหานิพฺพานํ นาม นครํ ปวิสิสฺสามี’’ติ อาวชฺชนฺตสฺส พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ ปสีทติ, จิเตฺต ปสเนฺน โลหิตํ ปสีทติ, โลหิเต ปสเนฺน มนจฺฉฎฺฐานิ อินฺทฺริยานิ อติวิย วิโรจนฺติฯ อิติ อาหารวิเสเสน เจว พลวโสมนเสฺสน จ อิเมสุ ทฺวีสุ กาเลสุ เอวํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ อุปวตฺตเนติ ปาจีนโต นิวตฺตนสาลวเนฯ อนฺตเรน ยมกสาลานนฺติ ยมกสาลรุกฺขานํ มเชฺฌฯ
Imesu kho, ānanda, dvīsupi kālesūti kasmā imesu dvīsu kālesu evaṃ hoti? Āhāravisesena ceva balavasomanassena ca. Etesu hi dvīsu kālesu sakalacakkavāḷe devatā āhāre ojaṃ pakkhipanti, taṃ paṇītabhojanaṃ kucchiṃ pavisitvā pasannarūpaṃ samuṭṭhāpeti. Āhārasamuṭṭhānarūpassa pasannattā manacchaṭṭhāni indriyāni ativiya virocanti. Sambodhidivase cassa – ‘‘anekakappakoṭisatasahassasañcito vata me kilesarāsi ajja pahīno’’ti āvajjantassa balavasomanassaṃ uppajjati, cittaṃ pasīdati, citte pasanne lohitaṃ pasīdati, lohite pasanne manacchaṭṭhāni indriyāni ativiya virocanti. Parinibbānadivasepi – ‘‘ajja, dānāhaṃ, anekehi buddhasatasahassehi paviṭṭhaṃ amatamahānibbānaṃ nāma nagaraṃ pavisissāmī’’ti āvajjantassa balavasomanassaṃ uppajjati, cittaṃ pasīdati, citte pasanne lohitaṃ pasīdati, lohite pasanne manacchaṭṭhāni indriyāni ativiya virocanti. Iti āhāravisesena ceva balavasomanassena ca imesu dvīsu kālesu evaṃ hotīti veditabbaṃ. Upavattaneti pācīnato nivattanasālavane. Antarena yamakasālānanti yamakasālarukkhānaṃ majjhe.
สิงฺคีวณฺณนฺติ คาถา สงฺคีติกาเล ฐปิตาฯ
Siṅgīvaṇṇanti gāthā saṅgītikāle ṭhapitā.
๑๙๖. นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จาติ เอตฺถ ตทา กิร ภควติ นหายเนฺต อโนฺตนทิยํ มจฺฉกจฺฉปา จ อุภโตตีเรสุ วนสโณฺฑ จ สพฺพํ สุวณฺณวณฺณเมว โหติฯ อมฺพวนนฺติ ตสฺสาเยว นทิยา ตีเร อมฺพวนํฯ อายสฺมนฺตํ จุนฺทกนฺติ ตสฺมิํ กิร ขเณ อานนฺทเตฺถโร อุทกสาฎกํ ปีเฬโนฺต โอหียิ, จุนฺทเตฺถโร สมีเป อโหสิฯ ตํ ภควา อามเนฺตสิฯ
196.Nhatvāca pivitvā cāti ettha tadā kira bhagavati nahāyante antonadiyaṃ macchakacchapā ca ubhatotīresu vanasaṇḍo ca sabbaṃ suvaṇṇavaṇṇameva hoti. Ambavananti tassāyeva nadiyā tīre ambavanaṃ. Āyasmantaṃ cundakanti tasmiṃ kira khaṇe ānandatthero udakasāṭakaṃ pīḷento ohīyi, cundatthero samīpe ahosi. Taṃ bhagavā āmantesi.
คนฺตฺวาน พุโทฺธ นทิกํ กกุธนฺติ อิมาปิ คาถา สงฺคีติกาเลเยว ฐปิตาฯ ตตฺถ ปวตฺตา ภควา อิธ ธเมฺมติ ภควา อิธ สาสเน ธเมฺม ปวตฺตา, จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ ปวตฺตานีติ อโตฺถฯ ปมุเข นิสีทีติ สตฺถุ ปุรโตว นิสีทิฯ เอตฺตาวตา จ เถโร อนุปฺปโตฺตฯ เอวํ อนุปฺปตฺตํ อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิฯ
Gantvāna buddho nadikaṃ kakudhanti imāpi gāthā saṅgītikāleyeva ṭhapitā. Tattha pavattā bhagavā idha dhammeti bhagavā idha sāsane dhamme pavattā, caturāsīti dhammakkhandhasahassāni pavattānīti attho. Pamukhe nisīdīti satthu puratova nisīdi. Ettāvatā ca thero anuppatto. Evaṃ anuppattaṃ atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi.
๑๙๗. อลาภาติ เย อเญฺญสํ ทานานิสํสสงฺขาตา ลาภา โหนฺติ, เต อลาภาฯ ทุลฺลทฺธนฺติ ปุญฺญวิเสเสน ลทฺธมฺปิ มนุสฺสตฺตํ ทุลฺลทฺธํฯ ยสฺส เตติ ยสฺส ตวฯ อุตฺตณฺฑุลํ วา อติกิลินฺนํ วา โก ชานาติ, กีทิสมฺปิ ปจฺฉิมํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา ตถาคโต ปรินิพฺพุโต, อทฺธา เต ยํ วา ตํ วา ทินฺนํ ภวิสฺสตีติฯ ลาภาติ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกทานานิสํสสงฺขาตา ลาภาฯ สุลทฺธนฺติ ตุยฺหํ มนุสฺสตฺตํ สุลทฺธํฯ สมสมผลาติ สพฺพากาเรน สมานผลาฯ
197.Alābhāti ye aññesaṃ dānānisaṃsasaṅkhātā lābhā honti, te alābhā. Dulladdhanti puññavisesena laddhampi manussattaṃ dulladdhaṃ. Yassa teti yassa tava. Uttaṇḍulaṃ vā atikilinnaṃ vā ko jānāti, kīdisampi pacchimaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā tathāgato parinibbuto, addhā te yaṃ vā taṃ vā dinnaṃ bhavissatīti. Lābhāti diṭṭhadhammikasamparāyikadānānisaṃsasaṅkhātā lābhā. Suladdhanti tuyhaṃ manussattaṃ suladdhaṃ. Samasamaphalāti sabbākārena samānaphalā.
นนุ จ ยํ สุชาตาย ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ ภุญฺชิตฺวา ตถาคโต อภิสมฺพุโทฺธ, โส สราคสโทสสโมหกาเล ปริภุโตฺต, อยํ ปน จุเนฺทน ทิโนฺน วีตราควีตโทสวีตโมหกาเล ปริภุโตฺต, กสฺมา เอเต สมผลาติ? ปรินิพฺพานสมตาย จ สมาปตฺติสมตาย จ อนุสฺสรณสมตาย จฯ ภควา หิ สุชาตาย ทินฺนํ ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา สอุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต, จุเนฺทน ทินฺนํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโตติ เอวํ ปรินิพฺพานสมตายปิ สมผลาฯ อภิสมฺพุชฺฌนทิวเส จ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขฺยา สมาปตฺติโย สมาปชฺชิ, ปรินิพฺพานทิวเสปิ สพฺพา ตา สมาปชฺชีติ เอวํ สมาปตฺติสมตายปิ สมผลาฯ สุชาตา จ อปรภาเค อโสฺสสิ – ‘‘น กิเรสา รุกฺขเทวตา, โพธิสโตฺต กิเรส, ตํ กิร ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ , สตฺตสตฺตาหํ กิรสฺส เตน ยาปนํ อโหสี’’ติฯ ตสฺสา อิทํ สุตฺวา – ‘‘ลาภา วต เม’’ติ อนุสฺสรนฺติยา พลวปีติโสมนสฺสํ อุทปาทิฯ จุนฺทสฺสาปิ อปรภาเค – ‘‘อวสานปิณฺฑปาโต กิร มยา ทิโนฺน, ธมฺมสีสํ กิร เม คหิตํ, มยฺหํ กิร ปิณฺฑปาตํ ปริภุญฺชิตฺวา สตฺถา อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพุโต’’ติ สุตฺวา ‘‘ลาภา วต เม’’ติ อนุสฺสรโต พลวโสมนสฺสํ อุทปาทีติ เอวํ อนุสฺสรณสมตายปิ สมผลาติ เวทิตพฺพาฯ
Nanu ca yaṃ sujātāya dinnaṃ piṇḍapātaṃ bhuñjitvā tathāgato abhisambuddho, so sarāgasadosasamohakāle paribhutto, ayaṃ pana cundena dinno vītarāgavītadosavītamohakāle paribhutto, kasmā ete samaphalāti? Parinibbānasamatāya ca samāpattisamatāya ca anussaraṇasamatāya ca. Bhagavā hi sujātāya dinnaṃ piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā saupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbuto, cundena dinnaṃ paribhuñjitvā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbutoti evaṃ parinibbānasamatāyapi samaphalā. Abhisambujjhanadivase ca catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhyā samāpattiyo samāpajji, parinibbānadivasepi sabbā tā samāpajjīti evaṃ samāpattisamatāyapi samaphalā. Sujātā ca aparabhāge assosi – ‘‘na kiresā rukkhadevatā, bodhisatto kiresa, taṃ kira piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho , sattasattāhaṃ kirassa tena yāpanaṃ ahosī’’ti. Tassā idaṃ sutvā – ‘‘lābhā vata me’’ti anussarantiyā balavapītisomanassaṃ udapādi. Cundassāpi aparabhāge – ‘‘avasānapiṇḍapāto kira mayā dinno, dhammasīsaṃ kira me gahitaṃ, mayhaṃ kira piṇḍapātaṃ paribhuñjitvā satthā anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbuto’’ti sutvā ‘‘lābhā vata me’’ti anussarato balavasomanassaṃ udapādīti evaṃ anussaraṇasamatāyapi samaphalāti veditabbā.
ยสสํวตฺตนิกนฺติ ปริวารสํวตฺตนิกํฯ อาธิปเตยฺยสํวตฺตนิกนฺติ เชฎฺฐกภาวสํวตฺตนิกํฯ
Yasasaṃvattanikanti parivārasaṃvattanikaṃ. Ādhipateyyasaṃvattanikanti jeṭṭhakabhāvasaṃvattanikaṃ.
สํยมโตติ สีลสํยเมน สํยมนฺตสฺส, สํวเร ฐิตสฺสาติ อโตฺถฯ เวรํ น จียตีติ ปญฺจวิธํ เวรํ น วฑฺฒติฯ กุสโล จ ชหาติ ปาปกนฺติ กุสโล ปน ญาณสมฺปโนฺน อริยมเคฺคน อนวเสสํ ปาปกํ ลามกํ อกุสลํ ชหาติฯ ราคโทสโมหกฺขยา ส นิพฺพุโตติ โส อิมํ ปาปกํ ชหิตฺวา ราคาทีนํ ขยา กิเลสนิพฺพาเนน นิพฺพุโตติฯ อิติ จุนฺทสฺส จ ทกฺขิณํ, อตฺตโน จ ทกฺขิเณยฺยสมฺปตฺติํ สมฺปสฺสมาโน อุทานํ อุทาเนสีติฯ
Saṃyamatoti sīlasaṃyamena saṃyamantassa, saṃvare ṭhitassāti attho. Veraṃ na cīyatīti pañcavidhaṃ veraṃ na vaḍḍhati. Kusalo ca jahāti pāpakanti kusalo pana ñāṇasampanno ariyamaggena anavasesaṃ pāpakaṃ lāmakaṃ akusalaṃ jahāti. Rāgadosamohakkhayā sa nibbutoti so imaṃ pāpakaṃ jahitvā rāgādīnaṃ khayā kilesanibbānena nibbutoti. Iti cundassa ca dakkhiṇaṃ, attano ca dakkhiṇeyyasampattiṃ sampassamāno udānaṃ udānesīti.
จตุตฺถภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Catutthabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ยมกสาลาวณฺณนา
Yamakasālāvaṇṇanā
๑๙๘. มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธินฺติ อิธ ภิกฺขูนํ คณนปริเจฺฉโท นตฺถิฯ เวฬุวคาเม เวทนาวิกฺขมฺภนโต ปฎฺฐาย หิ – ‘‘น จิเรน ภควา ปรินิพฺพายิสฺสตี’’ติ สุตฺวา ตโต ตโต อาคเตสุ ภิกฺขูสุ เอกภิกฺขุปิ ปกฺกโนฺต นาม นตฺถิฯ ตสฺมา คณนวีติวโตฺต สโงฺฆ อโหสิฯ อุปวตฺตนํ มลฺลานํ สาลวนนฺติ ยเถว หิ กลมฺพนทีตีรโต ราชมาตุวิหารทฺวาเรน ถูปารามํ คนฺตพฺพํ โหติ, เอวํ หิรญฺญวติยา ปาริมตีรโต สาลวนุยฺยานํ, ยถา อนุราธปุรสฺส ถูปาราโม, เอวํ ตํ กุสินารายํ โหติฯ ยถา ถูปารามโต ทกฺขิณทฺวาเรน นครํ ปวิสนมโคฺค ปาจีนมุโข คนฺตฺวา อุตฺตเรน นิวโตฺต, เอวํ อุยฺยานโต สาลวนํ ปาจีนมุขํ คนฺตฺวา อุตฺตเรน นิวตฺตํฯ ตสฺมา ตํ – ‘‘อุปวตฺตน’’นฺติ วุจฺจติฯ อนฺตเรน ยมกสาลานํ อุตฺตรสีสกนฺติ ตสฺส กิร มญฺจกสฺส เอกา สาลปนฺติ สีสภาเค โหติ, เอกา ปาทภาเคฯ ตตฺราปิ เอโก ตรุณสาโล สีสภาคสฺส อาสโนฺน โหติ, เอโก ปาทภาคสฺสฯ อปิ จ ยมกสาลา นาม มูลขนฺธวิฎปปเตฺตหิ อญฺญมญฺญํ สํสิพฺพิตฺวา ฐิตสาลาติ วุตฺตํฯ มญฺจกํ ปญฺญเปหีติ ตสฺมิํ กิร อุยฺยาเน ราชกุลสฺส สยนมโญฺจ อตฺถิ, ตํ สนฺธาย ปญฺญเปหีติ อาหฯ เถโรปิ ตํเยว ปญฺญเปตฺวา อทาสิฯ
198.Mahatā bhikkhusaṅghena saddhinti idha bhikkhūnaṃ gaṇanaparicchedo natthi. Veḷuvagāme vedanāvikkhambhanato paṭṭhāya hi – ‘‘na cirena bhagavā parinibbāyissatī’’ti sutvā tato tato āgatesu bhikkhūsu ekabhikkhupi pakkanto nāma natthi. Tasmā gaṇanavītivatto saṅgho ahosi. Upavattanaṃ mallānaṃ sālavananti yatheva hi kalambanadītīrato rājamātuvihāradvārena thūpārāmaṃ gantabbaṃ hoti, evaṃ hiraññavatiyā pārimatīrato sālavanuyyānaṃ, yathā anurādhapurassa thūpārāmo, evaṃ taṃ kusinārāyaṃ hoti. Yathā thūpārāmato dakkhiṇadvārena nagaraṃ pavisanamaggo pācīnamukho gantvā uttarena nivatto, evaṃ uyyānato sālavanaṃ pācīnamukhaṃ gantvā uttarena nivattaṃ. Tasmā taṃ – ‘‘upavattana’’nti vuccati. Antarena yamakasālānaṃuttarasīsakanti tassa kira mañcakassa ekā sālapanti sīsabhāge hoti, ekā pādabhāge. Tatrāpi eko taruṇasālo sīsabhāgassa āsanno hoti, eko pādabhāgassa. Api ca yamakasālā nāma mūlakhandhaviṭapapattehi aññamaññaṃ saṃsibbitvā ṭhitasālāti vuttaṃ. Mañcakaṃ paññapehīti tasmiṃ kira uyyāne rājakulassa sayanamañco atthi, taṃ sandhāya paññapehīti āha. Theropi taṃyeva paññapetvā adāsi.
กิลโนฺตสฺมิ, อานนฺท, นิปชฺชิสฺสามีติ ตถาคตสฺส หิ –
Kilantosmi, ānanda, nipajjissāmīti tathāgatassa hi –
‘‘โคจริ กฬาโป คเงฺคโยฺย, ปิงฺคโล ปพฺพเตยฺยโก;
‘‘Gocari kaḷāpo gaṅgeyyo, piṅgalo pabbateyyako;
เหมวโต จ ตโมฺพ จ, มนฺทากินิ อุโปสโถ;
Hemavato ca tambo ca, mandākini uposatho;
ฉทฺทโนฺตเยว ทสโม, เอเต นาคานมุตฺตมา’’ติฯ –
Chaddantoyeva dasamo, ete nāgānamuttamā’’ti. –
เอตฺถ ยํ ทสนฺนํ โคจริสงฺขาตานํ ปกติหตฺถีนํ พลํ, ตํ เอกสฺส กฬาปสฺสาติฯ เอวํ ทสคุณวฑฺฒิตาย คณนาย ปกติหตฺถีนํ โกฎิสหสฺสพลปฺปมาณํ พลํ, ตํ สพฺพมฺปิ จุนฺทสฺส ปิณฺฑปาตํ ปริภุตฺตกาลโต ปฎฺฐาย จงฺควาเร ปกฺขิตฺตอุทกํ วิย ปริกฺขยํ คตํฯ ปาวานครโต ตีณิ คาวุตานิ กุสินารานครํ, เอตสฺมิํ อนฺตเร ปญฺจวีสติยา ฐาเนสุ นิสีทิตฺวา มหตา อุสฺสาเหน อาคจฺฉโนฺตปิ สูริยสฺส อตฺถงฺคมิตเวลายํ สญฺฌาสมเย ภควา สาลวนํ ปวิโฎฺฐฯ เอวํ โรโค สพฺพํ อาโรคฺยํ มทฺทโนฺต อาคจฺฉติฯ เอตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต วิย สพฺพโลกสฺส สํเวคกรํ วาจํ ภาสโนฺต – ‘‘กิลโนฺตสฺมิ, อานนฺท, นิปชฺชิสฺสามี’’ติ อาหฯ
Ettha yaṃ dasannaṃ gocarisaṅkhātānaṃ pakatihatthīnaṃ balaṃ, taṃ ekassa kaḷāpassāti. Evaṃ dasaguṇavaḍḍhitāya gaṇanāya pakatihatthīnaṃ koṭisahassabalappamāṇaṃ balaṃ, taṃ sabbampi cundassa piṇḍapātaṃ paribhuttakālato paṭṭhāya caṅgavāre pakkhittaudakaṃ viya parikkhayaṃ gataṃ. Pāvānagarato tīṇi gāvutāni kusinārānagaraṃ, etasmiṃ antare pañcavīsatiyā ṭhānesu nisīditvā mahatā ussāhena āgacchantopi sūriyassa atthaṅgamitavelāyaṃ sañjhāsamaye bhagavā sālavanaṃ paviṭṭho. Evaṃ rogo sabbaṃ ārogyaṃ maddanto āgacchati. Etamatthaṃ dassento viya sabbalokassa saṃvegakaraṃ vācaṃ bhāsanto – ‘‘kilantosmi, ānanda, nipajjissāmī’’ti āha.
กสฺมา ปน ภควา เอวํ มหเนฺตน อุสฺสาเหน อิธาคโต, กิํ อญฺญตฺถ น สกฺกา ปรินิพฺพายิตุนฺติ? ปรินิพฺพายิตุํ นาม น กตฺถจิ น สกฺกา, ตีหิ ปน การเณหิ อิธาคโต, อิทญฺหิ ภควา เอวํ ปสฺสติ – ‘‘มยิ อญฺญตฺถ ปรินิพฺพายเนฺต มหาสุทสฺสนสุตฺตสฺส อตฺถุปฺปตฺติ น ภวิสฺสติ, กุสินารายํ ปน ปรินิพฺพายเนฺต ยมหํ เทวโลเก อนุภวิตพฺพํ สมฺปตฺติํ มนุสฺสโลเกเยว อนุภวิํ, ตํ ทฺวีหิ ภาณวาเรหิ มเณฺฑตฺวา เทเสสฺสามิ, ตํ เม สุตฺวา พหู ชนา กุสลํ กาตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตี’’ติฯ
Kasmā pana bhagavā evaṃ mahantena ussāhena idhāgato, kiṃ aññattha na sakkā parinibbāyitunti? Parinibbāyituṃ nāma na katthaci na sakkā, tīhi pana kāraṇehi idhāgato, idañhi bhagavā evaṃ passati – ‘‘mayi aññattha parinibbāyante mahāsudassanasuttassa atthuppatti na bhavissati, kusinārāyaṃ pana parinibbāyante yamahaṃ devaloke anubhavitabbaṃ sampattiṃ manussalokeyeva anubhaviṃ, taṃ dvīhi bhāṇavārehi maṇḍetvā desessāmi, taṃ me sutvā bahū janā kusalaṃ kātabbaṃ maññissantī’’ti.
อปรมฺปิ ปสฺสติ – ‘‘มํ อญฺญตฺถ ปรินิพฺพายนฺตํ สุภโทฺท น ปสฺสิสฺสติ, โส จ พุทฺธเวเนโยฺย , น สาวกเวเนโยฺย; น ตํ สาวกา วิเนตุํ สโกฺกนฺติฯ กุสินารายํ ปรินิพฺพายนฺตํ ปน มํ โส อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสติ, ปญฺหาวิสฺสชฺชนปริโยสาเน จ สรเณสุ ปติฎฺฐาย มม สนฺติเก ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา มยิ ธรมาเนเยว อรหตฺตํ ปตฺวา ปจฺฉิมสาวโก ภวิสฺสตี’’ติฯ
Aparampi passati – ‘‘maṃ aññattha parinibbāyantaṃ subhaddo na passissati, so ca buddhaveneyyo , na sāvakaveneyyo; na taṃ sāvakā vinetuṃ sakkonti. Kusinārāyaṃ parinibbāyantaṃ pana maṃ so upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchissati, pañhāvissajjanapariyosāne ca saraṇesu patiṭṭhāya mama santike pabbajjañca upasampadañca labhitvā kammaṭṭhānaṃ gahetvā mayi dharamāneyeva arahattaṃ patvā pacchimasāvako bhavissatī’’ti.
อปรมฺปิ ปสฺสติ – ‘‘มยิ อญฺญตฺถ ปรินิพฺพายเนฺต ธาตุภาชนีเย มหากลโห ภวิสฺสติ, โลหิตํ นที วิย สนฺทิสฺสติฯ กุสินารายํ ปรินิพฺพุเต โทณพฺราหฺมโณ ตํ วิวาทํ วูปสเมตฺวา ธาตุโย วิภชิสฺสตี’’ติฯ อิเมหิ ตีหิ การเณหิ ภควา เอวํ มหเนฺตน อุสฺสาเหน อิธาคโตติ เวทิตโพฺพฯ
Aparampi passati – ‘‘mayi aññattha parinibbāyante dhātubhājanīye mahākalaho bhavissati, lohitaṃ nadī viya sandissati. Kusinārāyaṃ parinibbute doṇabrāhmaṇo taṃ vivādaṃ vūpasametvā dhātuyo vibhajissatī’’ti. Imehi tīhi kāraṇehi bhagavā evaṃ mahantena ussāhena idhāgatoti veditabbo.
สีหเสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคีเสยฺยา, เปตเสยฺยา, สีหเสยฺยา, ตถาคตเสยฺยาติ จตโสฺส เสยฺยาฯ
Sīhaseyyanti ettha kāmabhogīseyyā, petaseyyā, sīhaseyyā, tathāgataseyyāti catasso seyyā.
ตตฺถ – ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, กามโภคี สตฺตา วาเมน ปเสฺสน เสนฺตี’’ติ อยํ กามโภคีเสยฺยาฯ เตสุ หิ เยภุเยฺยน ทกฺขิเณน ปเสฺสน สยนฺตา นาม นตฺถิฯ
Tattha – ‘‘yebhuyyena, bhikkhave, kāmabhogī sattā vāmena passena sentī’’ti ayaṃ kāmabhogīseyyā. Tesu hi yebhuyyena dakkhiṇena passena sayantā nāma natthi.
‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, เปตา อุตฺตานา เสนฺตี’’ติ อยํ เปตเสยฺยาฯ อปฺปมํสโลหิตตฺตา หิ เปตา อฎฺฐิสงฺฆาฎชฎิตา เอเกน ปเสฺสน สยิตุํ น สโกฺกนฺติ, อุตฺตานาว เสนฺติฯ
‘‘Yebhuyyena, bhikkhave, petā uttānā sentī’’ti ayaṃ petaseyyā. Appamaṃsalohitattā hi petā aṭṭhisaṅghāṭajaṭitā ekena passena sayituṃ na sakkonti, uttānāva senti.
‘‘สีโห, ภิกฺขเว, มิคราชา ทกฺขิเณน ปเสฺสน เสยฺยํ กเปฺปติ…เป.… อตฺตมโน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ สีหเสยฺยาฯ เตชุสฺสทตฺตา หิ สีโห มิคราชา เทฺว ปุริมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน, ปจฺฉิมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปตฺวา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทปจฺฉิมปาทนงฺคุฎฺฐานํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ทฺวินฺนํ ปุริมปาทานํ มตฺถเก สีสํ ฐเปตฺวา สยติฯ ทิวสํ สยิตฺวาปิ ปพุชฺฌมาโน น อุตฺรสโนฺต ปพุชฺฌติ, สีสํ ปน อุกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทาทีนํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขติฯ สเจ กิญฺจิ ฐานํ วิชหิตฺวา ฐิตํ โหติ – ‘‘น ยิทํ ตุยฺหํ ชาติยา สูรภาวสฺส จ อนุรูป’’นฺติ อนตฺตมโน หุตฺวา ตเตฺถว สยติ, น โคจราย ปกฺกมติฯ อวิชหิตฺวา ฐิเต ปน – ‘‘ตุยฺหํ ชาติยา จ สูรภาวสฺส จ อนุรูปมิท’’นฺติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อุฎฺฐาย สีหวิชมฺภิตํ วิชมฺภิตฺวา เกสรภารํ วิธุนิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา โคจราย ปกฺกมติฯ
‘‘Sīho, bhikkhave, migarājā dakkhiṇena passena seyyaṃ kappeti…pe… attamano hotī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ sīhaseyyā. Tejussadattā hi sīho migarājā dve purimapāde ekasmiṃ ṭhāne, pacchimapāde ekasmiṃ ṭhāne ṭhapetvā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi pakkhipitvā purimapādapacchimapādanaṅguṭṭhānaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkhetvā dvinnaṃ purimapādānaṃ matthake sīsaṃ ṭhapetvā sayati. Divasaṃ sayitvāpi pabujjhamāno na utrasanto pabujjhati, sīsaṃ pana ukkhipitvā purimapādādīnaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkheti. Sace kiñci ṭhānaṃ vijahitvā ṭhitaṃ hoti – ‘‘na yidaṃ tuyhaṃ jātiyā sūrabhāvassa ca anurūpa’’nti anattamano hutvā tattheva sayati, na gocarāya pakkamati. Avijahitvā ṭhite pana – ‘‘tuyhaṃ jātiyā ca sūrabhāvassa ca anurūpamida’’nti haṭṭhatuṭṭho uṭṭhāya sīhavijambhitaṃ vijambhitvā kesarabhāraṃ vidhunitvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā gocarāya pakkamati.
‘‘จตุตฺถชฺฌานเสยฺยา ปน ตถาคตสฺส เสยฺยาติ วุจฺจติ’’ (อ. นิ. ๔.๒๔๖)ฯ ตาสุ อิธ สีหเสยฺยา อาคตาฯ อยญฺหิ เตชุสฺสทอิริยาปถตฺตา อุตฺตมเสยฺยา นามฯ
‘‘Catutthajjhānaseyyā pana tathāgatassa seyyāti vuccati’’ (a. ni. 4.246). Tāsu idha sīhaseyyā āgatā. Ayañhi tejussadairiyāpathattā uttamaseyyā nāma.
ปาเท ปาทนฺติ ทกฺขิณปาเท วามปาทํฯ อจฺจาธายาติ อติอาธาย, อีสกํ อติกฺกมฺม ฐเปตฺวาฯ โคปฺผเกน หิ โคปฺผเก, ชาณุนา วา ชาณุมฺหิ สงฺฆฎฺฎิยมาเน อภิณฺหํ เวทนา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น โหติ, เสยฺยา อผาสุกา โหติฯ ยถา ปน น สงฺฆเฎฺฎติ, เอวํ อติกฺกมฺม ฐปิเต เวทนา นุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, เสยฺยา ผาสุ โหติฯ ตสฺมา เอวํ นิปชฺชิฯ อนุฎฺฐานเสยฺยํ อุปคตตฺตา ปเนตฺถ – ‘‘อุฎฺฐานสญฺญํ มนสิ กริตฺวา’’ติ น วุตฺตํฯ กายวเสน เจตฺถ อนุฎฺฐานํ เวทิตพฺพํ, นิทฺทาวเสน ปน ตํ รตฺติํ ภควโต ภวงฺคสฺส โอกาโสเยว นาโหสิฯ ปฐมยามสฺมิญฺหิ มลฺลานํ ธมฺมเทสนา อโหสิ, มชฺฌิมยาเม สุภทฺทสฺส ปจฺฉิมยาเม ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทิ, พลวปจฺจูเส ปรินิพฺพายิฯ
Pāde pādanti dakkhiṇapāde vāmapādaṃ. Accādhāyāti atiādhāya, īsakaṃ atikkamma ṭhapetvā. Gopphakena hi gopphake, jāṇunā vā jāṇumhi saṅghaṭṭiyamāne abhiṇhaṃ vedanā uppajjati, cittaṃ ekaggaṃ na hoti, seyyā aphāsukā hoti. Yathā pana na saṅghaṭṭeti, evaṃ atikkamma ṭhapite vedanā nuppajjati, cittaṃ ekaggaṃ hoti, seyyā phāsu hoti. Tasmā evaṃ nipajji. Anuṭṭhānaseyyaṃ upagatattā panettha – ‘‘uṭṭhānasaññaṃ manasi karitvā’’ti na vuttaṃ. Kāyavasena cettha anuṭṭhānaṃ veditabbaṃ, niddāvasena pana taṃ rattiṃ bhagavato bhavaṅgassa okāsoyeva nāhosi. Paṭhamayāmasmiñhi mallānaṃ dhammadesanā ahosi, majjhimayāme subhaddassa pacchimayāme bhikkhusaṅghaṃ ovadi, balavapaccūse parinibbāyi.
สพฺพผาลิผุลฺลาติ สเพฺพ สมนฺตโต ปุปฺผิตา มูลโต ปฎฺฐาย ยาว อคฺคา เอกจฺฉนฺนา อเหสุํ, น เกวลญฺจ ยมกสาลาเยว, สเพฺพปิ รุกฺขา สพฺพปาลิผุลฺลาว อเหสุํฯ น เกวลญฺหิ ตสฺมิํเยว อุยฺยาเน, สกลญฺหิปิ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬ ปุปฺผูปคา ปุปฺผํ คณฺหิํสุ, ผลูปคา ผลํ คณฺหิํสุ, สพฺพรุกฺขานํ ขเนฺธสุ ขนฺธปทุมานิ, สาขาสุ สาขาปทุมานิ, วลฺลีสุ วลฺลิปทุมานิ, อากาเสสุ อากาสปทุมานิ ปถวีตลํ ภินฺทิตฺวา ทณฺฑปทุมานิ ปุปฺผิํสุฯ สโพฺพ มหาสมุโทฺท ปญฺจวณฺณปทุมสญฺฉโนฺน อโหสิฯ ติโยชนสหสฺสวิตฺถโต หิมวา ฆนพทฺธโมรปิญฺฉกลาโป วิย, นิรนฺตรํ มาลาทามควจฺฉิโก วิย, สุฎฺฐุ ปีเฬตฺวา อาพทฺธปุปฺผวฎํสโก วิย, สุปูริตํ ปุปฺผจโงฺกฎกํ วิย จ อติรมณีโย อโหสิฯ
Sabbaphāliphullāti sabbe samantato pupphitā mūlato paṭṭhāya yāva aggā ekacchannā ahesuṃ, na kevalañca yamakasālāyeva, sabbepi rukkhā sabbapāliphullāva ahesuṃ. Na kevalañhi tasmiṃyeva uyyāne, sakalañhipi dasasahassacakkavāḷe pupphūpagā pupphaṃ gaṇhiṃsu, phalūpagā phalaṃ gaṇhiṃsu, sabbarukkhānaṃ khandhesu khandhapadumāni, sākhāsu sākhāpadumāni, vallīsu vallipadumāni, ākāsesu ākāsapadumāni pathavītalaṃ bhinditvā daṇḍapadumāni pupphiṃsu. Sabbo mahāsamuddo pañcavaṇṇapadumasañchanno ahosi. Tiyojanasahassavitthato himavā ghanabaddhamorapiñchakalāpo viya, nirantaraṃ mālādāmagavacchiko viya, suṭṭhu pīḷetvā ābaddhapupphavaṭaṃsako viya, supūritaṃ pupphacaṅkoṭakaṃ viya ca atiramaṇīyo ahosi.
เต ตถาคตสฺส สรีรํ โอกิรนฺตีติ เต ยมกสาลา ภุมฺมเทวตาหิ สญฺจลิตขนฺธสาขวิฎปา ตถาคตสฺส สรีรํ อวกิรนฺติ, สรีรสฺส อุปริ ปุปฺผานิ วิกิรนฺตีติ อโตฺถฯ อโชฺฌกิรนฺตีติ อโชฺฌตฺถรนฺตา วิย กิรนฺติฯ อภิปฺปกิรนฺตีติ อภิณฺหํ ปุนปฺปุนํ ปกิรนฺติเยวฯ ทิพฺพานีติ เทวโลเก นนฺทโปกฺขรณีสมฺภวานิ, ตานิ โหนฺติ สุวณฺณวณฺณานิ ปณฺณจฺฉตฺตปฺปมาณปตฺตานิ, มหาตุมฺพมตฺตํ เรณุํ คณฺหนฺติฯ น เกวลญฺจ มนฺทารวปุปฺผาเนว, อญฺญานิปิ ปน ทิพฺพานิ ปาริจฺฉตฺตกโกวิฬารปุปฺผาทีนิ สุวณฺณจโงฺกฎกานิ ปูเรตฺวา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยมฺปิ ติทสปุเรปิ พฺรหฺมโลเกปิ ฐิตาหิ เทวตาหิ ปวิฎฺฐานิ, อนฺตลิกฺขา ปตนฺติฯ ตถาคตสฺส สรีรนฺติ อนฺตรา อวิกิณฺณาเนว อาคนฺตฺวา ปตฺตกิญฺชกฺขเรณุจุเณฺณหิ ตถาคตสฺส สรีรเมว โอกิรนฺติฯ
Te tathāgatassa sarīraṃ okirantīti te yamakasālā bhummadevatāhi sañcalitakhandhasākhaviṭapā tathāgatassa sarīraṃ avakiranti, sarīrassa upari pupphāni vikirantīti attho. Ajjhokirantīti ajjhottharantā viya kiranti. Abhippakirantīti abhiṇhaṃ punappunaṃ pakirantiyeva. Dibbānīti devaloke nandapokkharaṇīsambhavāni, tāni honti suvaṇṇavaṇṇāni paṇṇacchattappamāṇapattāni, mahātumbamattaṃ reṇuṃ gaṇhanti. Na kevalañca mandāravapupphāneva, aññānipi pana dibbāni pāricchattakakoviḷārapupphādīni suvaṇṇacaṅkoṭakāni pūretvā cakkavāḷamukhavaṭṭiyampi tidasapurepi brahmalokepi ṭhitāhi devatāhi paviṭṭhāni, antalikkhā patanti. Tathāgatassa sarīranti antarā avikiṇṇāneva āgantvā pattakiñjakkhareṇucuṇṇehi tathāgatassa sarīrameva okiranti.
ทิพฺพานิปิ จนฺทนจุณฺณานีติ เทวตานํ อุปกปฺปนจนฺทนจุณฺณานิฯ น เกวลญฺจ เทวตานํเยว, นาคสุปณฺณมนุสฺสานมฺปิ อุปกปฺปนจนฺทนจุณฺณานิฯ น เกวลญฺจ จนฺทนจุณฺณาเนว, กาฬานุสาริกโลหิตจนฺทนาทิสพฺพทิพฺพคนฺธชาลจุณฺณานิ, หริตาลอญฺชนสุวณฺณรชตจุณฺณานิ สพฺพทิพฺพคนฺธวาสวิกติโย สุวณฺณรชตาทิสมุเคฺค ปูเรตฺวา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิอาทีสุ ฐิตาหิ เทวตาหิ ปวิฎฺฐานิ อนฺตรา อวิปฺปกิริตฺวา ตถาคตเสฺสว สรีรํ โอกิรนฺติฯ
Dibbānipicandanacuṇṇānīti devatānaṃ upakappanacandanacuṇṇāni. Na kevalañca devatānaṃyeva, nāgasupaṇṇamanussānampi upakappanacandanacuṇṇāni. Na kevalañca candanacuṇṇāneva, kāḷānusārikalohitacandanādisabbadibbagandhajālacuṇṇāni, haritālaañjanasuvaṇṇarajatacuṇṇāni sabbadibbagandhavāsavikatiyo suvaṇṇarajatādisamugge pūretvā cakkavāḷamukhavaṭṭiādīsu ṭhitāhi devatāhi paviṭṭhāni antarā avippakiritvā tathāgatasseva sarīraṃ okiranti.
ทิพฺพานิปิ ตูริยานีติ เทวตานํ อุปกปฺปนตูริยานิฯ น เกวลญฺจ ตานิเยว, สพฺพานิปิ ตนฺติพทฺธจมฺมปริโยนทฺธฆนสุสิรเภทานิ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวนาคสุปณฺณมนุสฺสานํ ตูริยานิ เอกจกฺกวาเฬ สนฺนิปติตฺวา อนฺตลิเกฺข วชฺชนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ
Dibbānipi tūriyānīti devatānaṃ upakappanatūriyāni. Na kevalañca tāniyeva, sabbānipi tantibaddhacammapariyonaddhaghanasusirabhedāni dasasahassacakkavāḷesu devanāgasupaṇṇamanussānaṃ tūriyāni ekacakkavāḷe sannipatitvā antalikkhe vajjantīti veditabbāni.
ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานีติ วรุณวารณเทวตา กิร นาเมตา ทีฆายุกา เทวตา – ‘‘มหาปุริโส มนุสฺสปเถ นิพฺพตฺติตฺวา พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ สุตฺวา ‘‘ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส นํ คเหตฺวา คมิสฺสามา’’ติ มาลํ คเนฺถตุมารภิํสุฯ ตา คนฺถมานาว – ‘‘มหาปุริโส มาตุกุจฺฉิยํ นิพฺพโตฺต’’ติ สุตฺวา ‘‘ตุเมฺห กสฺส คนฺถถา’’ติ วุตฺตา ‘‘น ตาว นิฎฺฐาติ, กุจฺฉิโต นิกฺขมนทิวเส คณฺหิตฺวา คมิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ ปุนปิ ‘‘นิกฺขโนฺต’’ติ สุตฺวา ‘‘มหาภินิกฺขมนทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ เอกูนติํสวสฺสานิ ฆเร วสิตฺวา ‘‘อชฺช มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขโนฺต’’ติปิ สุตฺวา ‘‘อภิสโมฺพธิทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ กตฺวา ‘‘อชฺช อภิสมฺพุโทฺธ’’ติปิ สุตฺวา ‘‘ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘สตฺตสตฺตาหานิ โพธิมเณฺฑ วีตินาเมตฺวา อิสิปตนํ คนฺตฺวา ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติต’’นฺติปิ สุตฺวา ‘‘ยมกปาฎิหาริยทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อชฺช ยมกปาฎิหาริยํ กรี’’ติปิ สุตฺวา ‘‘เทโวโรหณทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อชฺช เทโวโรหณํ กรี’’ติปิ สุตฺวา ‘‘อายุสงฺขาโรสฺสชฺชเน คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อชฺช อายุสงฺขารํ โอสฺสชี’’ติปิ สุตฺวา ‘‘น ตาว นิฎฺฐาติ, ปรินิพฺพานทิวเส คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘อชฺช ภควา ยมกสาลานมนฺตเร ทกฺขิเณน ปเสฺสน สโต สมฺปชาโน สีหเสยฺยํ อุปคโต พลวปจฺจูสสมเย ปรินิพฺพายิสฺสติฯ ตุเมฺห กสฺส คนฺถถา’’ติ สุตฺวา ปน – ‘‘กินฺนาเมตํ, ‘อเชฺชว มาตุกุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, อเชฺชว มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมิ, อเชฺชว มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิ, อเชฺชว พุโทฺธ อโหสิ, อเชฺชว ธมฺมจกฺกํ ปวตฺตยิ, อเชฺชว ยมกปาฎิหาริยํ อกาสิ, อเชฺชว เทวโลกา โอติโณฺณ, อเชฺชว อายุสงฺขารํ โอสฺสชิ, อเชฺชว กิร ปรินิพฺพายิสฺสตี’ติฯ นนุ นาม ทุติยทิวเส ยาคุปานกาลมตฺตมฺปิ ฐาตพฺพํ อสฺสฯ ทส ปารมิโย ปูเรตฺวา พุทฺธตฺตํ ปตฺตสฺส นาม อนนุจฺฉวิกเมต’’นฺติ อปรินิฎฺฐิตาว มาลาโย คเหตฺวา อาคมฺม อโนฺต จกฺกวาเฬ โอกาสํ อลภมานา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ ลมฺพิตฺวา จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยาว อาธาวนฺติโย หเตฺถน หตฺถํ คีวาย คีวํ คเหตฺวา ตีณิ รตนานิ อารพฺภ ทฺวตฺติํส มหาปุริสลกฺขณานิ ฉพฺพณฺณรสฺมิโย ทส ปารมิโย อฑฺฒฉฎฺฐานิ ชาตกสตานิ จุทฺทส พุทฺธญาณานิ อารพฺภ คายิตฺวา ตสฺส ตสฺส อวสาเน ‘‘มหายโส, มหายโส’’ติ วทนฺติฯ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ – ‘‘ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานิ อนฺตลิเกฺข วตฺตนฺติ ตถาคตสฺส ปูชายา’’ติฯ
Dibbānipi saṅgītānīti varuṇavāraṇadevatā kira nāmetā dīghāyukā devatā – ‘‘mahāpuriso manussapathe nibbattitvā buddho bhavissatī’’ti sutvā ‘‘paṭisandhiggahaṇadivase naṃ gahetvā gamissāmā’’ti mālaṃ ganthetumārabhiṃsu. Tā ganthamānāva – ‘‘mahāpuriso mātukucchiyaṃ nibbatto’’ti sutvā ‘‘tumhe kassa ganthathā’’ti vuttā ‘‘na tāva niṭṭhāti, kucchito nikkhamanadivase gaṇhitvā gamissāmā’’ti āhaṃsu. Punapi ‘‘nikkhanto’’ti sutvā ‘‘mahābhinikkhamanadivase gamissāmā’’ti. Ekūnatiṃsavassāni ghare vasitvā ‘‘ajja mahābhinikkhamanaṃ nikkhanto’’tipi sutvā ‘‘abhisambodhidivase gamissāmā’’ti. Chabbassāni padhānaṃ katvā ‘‘ajja abhisambuddho’’tipi sutvā ‘‘dhammacakkappavattanadivase gamissāmā’’ti. ‘‘Sattasattāhāni bodhimaṇḍe vītināmetvā isipatanaṃ gantvā dhammacakkaṃ pavattita’’ntipi sutvā ‘‘yamakapāṭihāriyadivase gamissāmā’’ti. ‘‘Ajja yamakapāṭihāriyaṃ karī’’tipi sutvā ‘‘devorohaṇadivase gamissāmā’’ti. ‘‘Ajja devorohaṇaṃ karī’’tipi sutvā ‘‘āyusaṅkhārossajjane gamissāmā’’ti. ‘‘Ajja āyusaṅkhāraṃ ossajī’’tipi sutvā ‘‘na tāva niṭṭhāti, parinibbānadivase gamissāmā’’ti. ‘‘Ajja bhagavā yamakasālānamantare dakkhiṇena passena sato sampajāno sīhaseyyaṃ upagato balavapaccūsasamaye parinibbāyissati. Tumhe kassa ganthathā’’ti sutvā pana – ‘‘kinnāmetaṃ, ‘ajjeva mātukucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi, ajjeva mātukucchito nikkhami, ajjeva mahābhinikkhamanaṃ nikkhami, ajjeva buddho ahosi, ajjeva dhammacakkaṃ pavattayi, ajjeva yamakapāṭihāriyaṃ akāsi, ajjeva devalokā otiṇṇo, ajjeva āyusaṅkhāraṃ ossaji, ajjeva kira parinibbāyissatī’ti. Nanu nāma dutiyadivase yāgupānakālamattampi ṭhātabbaṃ assa. Dasa pāramiyo pūretvā buddhattaṃ pattassa nāma ananucchavikameta’’nti apariniṭṭhitāva mālāyo gahetvā āgamma anto cakkavāḷe okāsaṃ alabhamānā cakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ lambitvā cakkavāḷamukhavaṭṭiyāva ādhāvantiyo hatthena hatthaṃ gīvāya gīvaṃ gahetvā tīṇi ratanāni ārabbha dvattiṃsa mahāpurisalakkhaṇāni chabbaṇṇarasmiyo dasa pāramiyo aḍḍhachaṭṭhāni jātakasatāni cuddasa buddhañāṇāni ārabbha gāyitvā tassa tassa avasāne ‘‘mahāyaso, mahāyaso’’ti vadanti. Idametaṃ paṭicca vuttaṃ – ‘‘dibbānipi saṅgītāni antalikkhe vattanti tathāgatassa pūjāyā’’ti.
๑๙๙. ภควา ปน ยมกสาลานํ อนฺตรา ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปโนฺนเยว ปถวีตลโต ยาว จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยา, จกฺกวาฬมุขวฎฺฎิโต จ ยาว พฺรหฺมโลกา สนฺนิปติตาย ปริสาย มหนฺตํ อุสฺสาหํ ทิสฺวา อายสฺมโต อานนฺทสฺส อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข ภควา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ…เป.… ตถาคตสฺส ปูชายา’’ติฯ เอวํ มหาสกฺการํ ทเสฺสตฺวา เตนาปิ อตฺตโน อสกฺกตภาวเมว ทสฺสโนฺต น โข, อานนฺท, เอตฺตาวตาติอาทิมาหฯ
199. Bhagavā pana yamakasālānaṃ antarā dakkhiṇena passena nipannoyeva pathavītalato yāva cakkavāḷamukhavaṭṭiyā, cakkavāḷamukhavaṭṭito ca yāva brahmalokā sannipatitāya parisāya mahantaṃ ussāhaṃ disvā āyasmato ānandassa ārocesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho bhagavā āyasmantaṃ ānandaṃ…pe… tathāgatassa pūjāyā’’ti. Evaṃ mahāsakkāraṃ dassetvā tenāpi attano asakkatabhāvameva dassanto na kho, ānanda, ettāvatātiādimāha.
อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อานนฺท, มยา ทีปงฺกรปาทมูเล นิปเนฺนน อฎฺฐ ธเมฺม สโมธาเนตฺวา อภินีหารํ กโรเนฺตน น มาลาคนฺธตูริยสงฺคีตานํ อตฺถาย อภินีหาโร กโต, น เอตทตฺถาย ปารมิโย ปูริตาฯ ตสฺมา น โข อหํ เอตาย ปูชาย ปูชิโต นาม โหมี’’ติฯ
Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ānanda, mayā dīpaṅkarapādamūle nipannena aṭṭha dhamme samodhānetvā abhinīhāraṃ karontena na mālāgandhatūriyasaṅgītānaṃ atthāya abhinīhāro kato, na etadatthāya pāramiyo pūritā. Tasmā na kho ahaṃ etāya pūjāya pūjito nāma homī’’ti.
กสฺมา ปน ภควา อญฺญตฺถ เอกํ อุมาปุปฺผมตฺตมฺปิ คเหตฺวา พุทฺธคุเณ อาวเชฺชตฺวา กตาย ปูชาย พุทฺธญาเณนาปิ อปริจฺฉินฺนํ วิปากํ วเณฺณตฺวา อิธ เอวํ มหนฺตํ ปูชํ ปฎิกฺขิปตีติ? ปริสานุคฺคเหน เจว สาสนสฺส จ จิรฎฺฐิติกามตายฯ สเจ หิ ภควา เอวํ น ปฎิกฺขิเปยฺย, อนาคเต สีลสฺส อาคตฎฺฐาเน สีลํ น ปริปูเรสฺสนฺติ, สมาธิสฺส อาคตฎฺฐาเน สมาธิํ น ปริปูเรสฺสนฺติ, วิปสฺสนาย อาคตฎฺฐาเน วิปสฺสนาคพฺภํ น คาหาเปสฺสนฺติฯ อุปฎฺฐาเก สมาทเปตฺวา ปูชํเยว กาเรนฺตา วิหริสฺสนฺติฯ อามิสปูชา จ นาเมสา สาสนํ เอกทิวสมฺปิ เอกยาคุปานกาลมตฺตมฺปิ สนฺธาเรตุํ น สโกฺกติฯ มหาวิหารสทิสญฺหิ วิหารสหสฺสํ มหาเจติยสทิสญฺจ เจติยสหสฺสมฺปิ สาสนํ ธาเรตุํ น สโกฺกนฺติฯ เยน กมฺมํ กตํ, ตเสฺสว โหติฯ สมฺมาปฎิปตฺติ ปน ตถาคตสฺส อนุจฺฉวิกา ปูชาฯ สา หิ เตน ปตฺถิตา เจว, สโกฺกติ สาสนญฺจ สนฺธาเรตุํ, ตสฺมา ตํ ทเสฺสโนฺต โย โข อานนฺทาติอาทิมาหฯ
Kasmā pana bhagavā aññattha ekaṃ umāpupphamattampi gahetvā buddhaguṇe āvajjetvā katāya pūjāya buddhañāṇenāpi aparicchinnaṃ vipākaṃ vaṇṇetvā idha evaṃ mahantaṃ pūjaṃ paṭikkhipatīti? Parisānuggahena ceva sāsanassa ca ciraṭṭhitikāmatāya. Sace hi bhagavā evaṃ na paṭikkhipeyya, anāgate sīlassa āgataṭṭhāne sīlaṃ na paripūressanti, samādhissa āgataṭṭhāne samādhiṃ na paripūressanti, vipassanāya āgataṭṭhāne vipassanāgabbhaṃ na gāhāpessanti. Upaṭṭhāke samādapetvā pūjaṃyeva kārentā viharissanti. Āmisapūjā ca nāmesā sāsanaṃ ekadivasampi ekayāgupānakālamattampi sandhāretuṃ na sakkoti. Mahāvihārasadisañhi vihārasahassaṃ mahācetiyasadisañca cetiyasahassampi sāsanaṃ dhāretuṃ na sakkonti. Yena kammaṃ kataṃ, tasseva hoti. Sammāpaṭipatti pana tathāgatassa anucchavikā pūjā. Sā hi tena patthitā ceva, sakkoti sāsanañca sandhāretuṃ, tasmā taṃ dassento yo kho ānandātiādimāha.
ตตฺถ ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺนติ นววิธสฺส โลกุตฺตรธมฺมสฺส อนุธมฺมํ ปุพฺพภาคปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ฯ สาเยว ปน ปฎิปทา อนุจฺฉวิกตฺตา ‘‘สามีจี’’ติ วุจฺจติฯ ตํ สามีจิํ ปฎิปโนฺนติ สามีจิปฺปฎิปโนฺนฯ ตเมว ปุพฺพภาคปฎิปทาสงฺขาตํ อนุธมฺมํ จรติ ปูเรตีติ อนุธมฺมจารีฯ
Tattha dhammānudhammappaṭipannoti navavidhassa lokuttaradhammassa anudhammaṃ pubbabhāgapaṭipadaṃ paṭipanno . Sāyeva pana paṭipadā anucchavikattā ‘‘sāmīcī’’ti vuccati. Taṃ sāmīciṃ paṭipannoti sāmīcippaṭipanno. Tameva pubbabhāgapaṭipadāsaṅkhātaṃ anudhammaṃ carati pūretīti anudhammacārī.
ปุพฺพภาคปฎิปทาติ จ สีลํ อาจารปญฺญตฺติ ธุตงฺคสมาทานํ ยาว โคตฺรภุโต สมฺมาปฎิปทา เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา โย ภิกฺขุ ฉสุ อคารเวสุ ปติฎฺฐาย ปญฺญตฺติํ อติกฺกมติ, อเนสนาย ชีวิกํ กเปฺปติ, อยํ น ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺนฯ โย ปน สพฺพํ อตฺตโน ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทํ ชินเวลํ ชินมริยาทํ ชินกาฬสุตฺตํ อณุมตฺตมฺปิ น วีติกฺกมติ, อยํ ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺน นามฯ ภิกฺขุนิยาปิ เอเสว นโยฯ โย อุปาสโก ปญฺจ เวรานิ ทส อกุสลกมฺมปเถ สมาทาย วตฺตติ อเปฺปติ, อยํ น ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺนฯ โย ปน ตีสุ สรเณสุ, ปญฺจสุปิ สีเลสุ, ทสสุ สีเลสุ ปริปูรการี โหติ, มาสสฺส อฎฺฐ อุโปสเถ กโรติ, ทานํ เทติ, คนฺธปูชํ มาลาปูชํ กโรติ, มาตรํ ปิตรํ อุปฎฺฐาติ, ธมฺมิเก สมณพฺราหฺมเณ อุปฎฺฐาติ, อยํ ธมฺมานุธมฺมปฺปฎิปโนฺน นามฯ อุปาสิกายปิ เอเสว นโยฯ
Pubbabhāgapaṭipadāti ca sīlaṃ ācārapaññatti dhutaṅgasamādānaṃ yāva gotrabhuto sammāpaṭipadā veditabbā. Tasmā yo bhikkhu chasu agāravesu patiṭṭhāya paññattiṃ atikkamati, anesanāya jīvikaṃ kappeti, ayaṃ na dhammānudhammappaṭipanno. Yo pana sabbaṃ attano paññattaṃ sikkhāpadaṃ jinavelaṃ jinamariyādaṃ jinakāḷasuttaṃ aṇumattampi na vītikkamati, ayaṃ dhammānudhammappaṭipanno nāma. Bhikkhuniyāpi eseva nayo. Yo upāsako pañca verāni dasa akusalakammapathe samādāya vattati appeti, ayaṃ na dhammānudhammappaṭipanno. Yo pana tīsu saraṇesu, pañcasupi sīlesu, dasasu sīlesu paripūrakārī hoti, māsassa aṭṭha uposathe karoti, dānaṃ deti, gandhapūjaṃ mālāpūjaṃ karoti, mātaraṃ pitaraṃ upaṭṭhāti, dhammike samaṇabrāhmaṇe upaṭṭhāti, ayaṃ dhammānudhammappaṭipanno nāma. Upāsikāyapi eseva nayo.
ปรมาย ปูชายาติ อุตฺตมาย ปูชายฯ อยญฺหิ นิรามิสปูชา นาม สโกฺกติ มม สาสนํ สนฺธาเรตุํฯ ยาว หิ อิมา จตโสฺส ปริสา มํ อิมาย ปูเชสฺสนฺติ, ตาว มม สาสนํ มเชฺฌ นภสฺส ปุณฺณจโนฺท วิย วิโรจิสฺสตีติ ทเสฺสติฯ
Paramāyapūjāyāti uttamāya pūjāya. Ayañhi nirāmisapūjā nāma sakkoti mama sāsanaṃ sandhāretuṃ. Yāva hi imā catasso parisā maṃ imāya pūjessanti, tāva mama sāsanaṃ majjhe nabhassa puṇṇacando viya virocissatīti dasseti.
อุปวาณเตฺถรวณฺณนา
Upavāṇattheravaṇṇanā
๒๐๐. อปสาเรสีติ อปเนสิฯ อเปหีติ อปคจฺฉฯ เถโร เอกวจเนเนว ตาลวณฺฎํ นิกฺขิปิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อุปฎฺฐาโกติอาทิ ปฐมโพธิยํ อนิพทฺธุปฎฺฐากภาวํ สนฺธายาหฯ อยํ, ภเนฺต, อายสฺมา อุปวาโณติ เอวํ เถเรน วุเตฺต อานโนฺท อุปวาณสฺส สโทสภาวํ สลฺลเกฺขติ, ‘หนฺทสฺส นิโทฺทสภาวํ กเถสฺสามี’ติ ภควา เยภุเยฺยน อานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เยภุเยฺยนาติ อิทํ อสญฺญสตฺตานเญฺจว อรูปเทวตานญฺจ โอหีนภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อปฺผุโฎติ อสมฺผุโฎฺฐ อภริโต วาฯ ภควโต กิร อาสนฺนปเทเส วาลคฺคมเตฺต โอกาเส สุขุมตฺตภาวํ มาเปตฺวา ทส ทส มเหสกฺขา เทวตา อฎฺฐํสุฯ ตาสํ ปรโต วีสติ วีสติฯ ตาสํ ปรโต ติํสติ ติํสติฯ ตาสํ ปรโต จตฺตาลีสํ จตฺตาลีสํฯ ตาสํ ปรโต ปญฺญาสํ ปญฺญาสํฯ ตาสํ ปรโต สฎฺฐิ สฎฺฐิ เทวตา อฎฺฐํสุฯ ตา อญฺญมญฺญํ หเตฺถน วา ปาเทน วา วเตฺถน วา น พฺยาพาเธนฺติฯ ‘‘อเปหิ มํ, มา ฆเฎฺฎหี’’ติ วตฺตพฺพาการํ นาม นตฺถิฯ ‘‘ตา โข ปน เทวตาโย ทสปิ หุตฺวา วีสติปิ หุตฺวา ติํสมฺปิ หุตฺวา จตฺตาลีสมฺปิ หุตฺวา ปญฺญาสมฺปิ หุตฺวา อารคฺคโกฎินิตุทนมเตฺตปิ ติฎฺฐนฺติ, น จ อญฺญมญฺญํ พฺยาพาเธนฺตี’’ติ (อ. นิ. ๑.๓๗) วุตฺตสทิสาว อเหสุํฯ โอวาเรโนฺตติ อาวาเรโนฺตฯ เถโร กิร ปกติยาปิ มหาสรีโร หตฺถิโปตกสทิโสฯ โส ปํสุกูลจีวรํ ปารุปิตฺวา อติมหา วิย อโหสิฯ
200.Apasāresīti apanesi. Apehīti apagaccha. Thero ekavacaneneva tālavaṇṭaṃ nikkhipitvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Upaṭṭhākotiādi paṭhamabodhiyaṃ anibaddhupaṭṭhākabhāvaṃ sandhāyāha. Ayaṃ, bhante, āyasmā upavāṇoti evaṃ therena vutte ānando upavāṇassa sadosabhāvaṃ sallakkheti, ‘handassa niddosabhāvaṃ kathessāmī’ti bhagavā yebhuyyena ānandātiādimāha. Tattha yebhuyyenāti idaṃ asaññasattānañceva arūpadevatānañca ohīnabhāvaṃ sandhāya vuttaṃ. Apphuṭoti asamphuṭṭho abharito vā. Bhagavato kira āsannapadese vālaggamatte okāse sukhumattabhāvaṃ māpetvā dasa dasa mahesakkhā devatā aṭṭhaṃsu. Tāsaṃ parato vīsati vīsati. Tāsaṃ parato tiṃsati tiṃsati. Tāsaṃ parato cattālīsaṃ cattālīsaṃ. Tāsaṃ parato paññāsaṃ paññāsaṃ. Tāsaṃ parato saṭṭhi saṭṭhi devatā aṭṭhaṃsu. Tā aññamaññaṃ hatthena vā pādena vā vatthena vā na byābādhenti. ‘‘Apehi maṃ, mā ghaṭṭehī’’ti vattabbākāraṃ nāma natthi. ‘‘Tā kho pana devatāyo dasapi hutvā vīsatipi hutvā tiṃsampi hutvā cattālīsampi hutvā paññāsampi hutvā āraggakoṭinitudanamattepi tiṭṭhanti, na ca aññamaññaṃ byābādhentī’’ti (a. ni. 1.37) vuttasadisāva ahesuṃ. Ovārentoti āvārento. Thero kira pakatiyāpi mahāsarīro hatthipotakasadiso. So paṃsukūlacīvaraṃ pārupitvā atimahā viya ahosi.
ตถาคตํ ทสฺสนายาติ ภควโต มุขํ ทฎฺฐุํ อลภมานา เอวํ อุชฺฌายิํสุฯ กิํ ปน ตา เถรํ วินิวิชฺฌ ปสฺสิตุํ น สโกฺกนฺตีติ? อาม, น สโกฺกนฺติฯ เทวตา หิ ปุถุชฺชเน วินิวิชฺฌ ปสฺสิตุํ สโกฺกนฺติ, น ขีณาสเวฯ เถรสฺส จ มเหสกฺขตาย เตชุสฺสทตาย อุปคนฺตุมฺปิ น สโกฺกนฺติฯ กสฺมา ปน เถโรว เตชุสฺสโท, น อเญฺญ อรหโนฺตติ? ยสฺมา กสฺสปพุทฺธสฺส เจติเย อารกฺขเทวตา อโหสิฯ
Tathāgataṃ dassanāyāti bhagavato mukhaṃ daṭṭhuṃ alabhamānā evaṃ ujjhāyiṃsu. Kiṃ pana tā theraṃ vinivijjha passituṃ na sakkontīti? Āma, na sakkonti. Devatā hi puthujjane vinivijjha passituṃ sakkonti, na khīṇāsave. Therassa ca mahesakkhatāya tejussadatāya upagantumpi na sakkonti. Kasmā pana therova tejussado, na aññe arahantoti? Yasmā kassapabuddhassa cetiye ārakkhadevatā ahosi.
วิปสฺสิมฺหิ กิร สมฺมาสมฺพุเทฺธ ปรินิพฺพุเต เอกคฺฆนสุวณฺณกฺขนฺธสทิสสฺส ธาตุสรีรสฺส เอกเมว เจติยํ อกํสุ, ทีฆายุกพุทฺธานญฺหิ เอกเมว เจติยํ โหติฯ ตํ มนุสฺสา รตนายามาหิ วิทตฺถิวิตฺถตาหิ ทฺวงฺคุลพหลาหิ สุวณฺณิฎฺฐกาหิ หริตาเลน จ มโนสิลาย จ มตฺติกากิจฺจํ ติลเตเลเนว อุทกกิจฺจํ สาเธตฺวา โยชนปฺปมาณํ อุฎฺฐเปสุํฯ ตโต ภุมฺมา เทวตา โยชนปฺปมาณํ, ตโต อากาสฎฺฐกเทวตา, ตโต อุณฺหวลาหกเทวตา, ตโต อพฺภวลาหกเทวตา, ตโต จาตุมหาราชิกา เทวตา, ตโต ตาวติํสา เทวตา โยชนปฺปมาณํ อุฎฺฐเปสุนฺติ เอวํ สตฺตโยชนิกํ เจติยํ อโหสิฯ มนุเสฺสสุ มาลาคนฺธวตฺถาทีนิ คเหตฺวา อาคเตสุ อารกฺขเทวตา คเหตฺวา เตสํ ปสฺสนฺตานํเยว เจติยํ ปูเชสิฯ
Vipassimhi kira sammāsambuddhe parinibbute ekagghanasuvaṇṇakkhandhasadisassa dhātusarīrassa ekameva cetiyaṃ akaṃsu, dīghāyukabuddhānañhi ekameva cetiyaṃ hoti. Taṃ manussā ratanāyāmāhi vidatthivitthatāhi dvaṅgulabahalāhi suvaṇṇiṭṭhakāhi haritālena ca manosilāya ca mattikākiccaṃ tilateleneva udakakiccaṃ sādhetvā yojanappamāṇaṃ uṭṭhapesuṃ. Tato bhummā devatā yojanappamāṇaṃ, tato ākāsaṭṭhakadevatā, tato uṇhavalāhakadevatā, tato abbhavalāhakadevatā, tato cātumahārājikā devatā, tato tāvatiṃsā devatā yojanappamāṇaṃ uṭṭhapesunti evaṃ sattayojanikaṃ cetiyaṃ ahosi. Manussesu mālāgandhavatthādīni gahetvā āgatesu ārakkhadevatā gahetvā tesaṃ passantānaṃyeva cetiyaṃ pūjesi.
ตทา อยํ เถโร พฺราหฺมณมหาสาโล หุตฺวา เอกํ ปีตกํ วตฺถํ อาทาย คโตฯ เทวตา ตสฺส หตฺถโต วตฺถํ คเหตฺวา เจติยํ ปูเชสิฯ พฺราหฺมโณ ตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต ‘‘อหมฺปิ อนาคเต เอวรูปสฺส พุทฺธสฺส เจติเย อารกฺขเทวตา โหมี’’ติ ปตฺถนํ กตฺวา ตโต จุโต เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ ตสฺส เทวโลเก จ มนุสฺสโลเก จ สํสรนฺตเสฺสว กสฺสโป ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายิฯ ตสฺสาปิ เอกเมว ธาตุสรีรํ อโหสิฯ ตํ คเหตฺวา โยชนิกํ เจติยํ กาเรสุํฯ โส ตตฺถ อารกฺขเทวตา หุตฺวา สาสเน อนฺตรหิเต สเคฺค นิพฺพตฺติตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล ตโต จุโต มหากุเล ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา นิกฺขมฺม ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตฯ อิติ เจติเย อารกฺขเทวตา หุตฺวา อาคตตฺตา เถโร เตชุสฺสโทติ เวทิตโพฺพฯ
Tadā ayaṃ thero brāhmaṇamahāsālo hutvā ekaṃ pītakaṃ vatthaṃ ādāya gato. Devatā tassa hatthato vatthaṃ gahetvā cetiyaṃ pūjesi. Brāhmaṇo taṃ disvā pasannacitto ‘‘ahampi anāgate evarūpassa buddhassa cetiye ārakkhadevatā homī’’ti patthanaṃ katvā tato cuto devaloke nibbatti. Tassa devaloke ca manussaloke ca saṃsarantasseva kassapo bhagavā loke uppajjitvā parinibbāyi. Tassāpi ekameva dhātusarīraṃ ahosi. Taṃ gahetvā yojanikaṃ cetiyaṃ kāresuṃ. So tattha ārakkhadevatā hutvā sāsane antarahite sagge nibbattitvā amhākaṃ bhagavato kāle tato cuto mahākule paṭisandhiṃ gahetvā nikkhamma pabbajitvā arahattaṃ patto. Iti cetiye ārakkhadevatā hutvā āgatattā thero tejussadoti veditabbo.
เทวตา , อานนฺท, อุชฺฌายนฺตีติ อิติ อานนฺท, เทวตา อุชฺฌายนฺติ, น มยฺหํ ปุตฺตสฺส อโญฺญ โกจิ โทโส อตฺถีติ ทเสฺสติฯ
Devatā, ānanda, ujjhāyantīti iti ānanda, devatā ujjhāyanti, na mayhaṃ puttassa añño koci doso atthīti dasseti.
๒๐๑. กถํภูตา ปน, ภเนฺตติ กสฺมา อาห? ภควา ตุเมฺห – ‘‘เทวตา อุชฺฌายนฺตี’’ติ วทถ, กถํ ภูตา ปน ตา ตุเมฺห มนสิ กโรถ , กิํ ตุมฺหากํ ปรินิพฺพานํ อธิวาเสนฺตีติ ปุจฺฉติฯ อถ ภควา – ‘‘นาหํ อธิวาสนการณํ วทามี’’ติ ตาสํ อนธิวาสนภาวํ ทเสฺสโนฺต สนฺตานนฺทาติอาทิมาหฯ
201.Kathaṃbhūtā pana, bhanteti kasmā āha? Bhagavā tumhe – ‘‘devatā ujjhāyantī’’ti vadatha, kathaṃ bhūtā pana tā tumhe manasi karotha , kiṃ tumhākaṃ parinibbānaṃ adhivāsentīti pucchati. Atha bhagavā – ‘‘nāhaṃ adhivāsanakāraṇaṃ vadāmī’’ti tāsaṃ anadhivāsanabhāvaṃ dassento santānandātiādimāha.
ตตฺถ อากาเส ปถวีสญฺญินิโยติ อากาเส ปถวิํ มาเปตฺวา ตตฺถ ปถวีสญฺญินิโยฯ กนฺทนฺตีติ โรทนฺติฯ ฉินฺนปาตํ ปปตนฺตีติ มเชฺฌ ฉินฺนา วิย หุตฺวา ยโต วา ตโต วา ปปตนฺติฯ อาวฎฺฎนฺตีติ อาวฎฺฎนฺติโย ปติตฎฺฐานเมว อาคจฺฉนฺติฯ วิวฎฺฎนฺตีติ ปติตฎฺฐานโต ปรภาคํ วฎฺฎมานา คจฺฉนฺติฯ อปิจ เทฺว ปาเท ปสาเรตฺวา สกิํ ปุรโต สกิํ ปจฺฉโต สกิํ วามโต สกิํ ทกฺขิณโต สํปริวตฺตมานาปิ – ‘‘อาวฎฺฎนฺติ วิวฎฺฎนฺตี’’ติ วุจฺจนฺติฯ สนฺตานนฺท, เทวตา ปถวิยํ ปถวีสญฺญินิโยติ ปกติปถวี กิร เทวตา ธาเรตุํ น สโกฺกติฯ ตตฺถ หตฺถโก พฺรหฺมา วิย เทวตา โอสีทนฺติฯ เตนาห ภควา – ‘‘โอฬาริกํ หตฺถก, อตฺตภาวํ อภินิมฺมินาหี’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๒๘)ฯ ตสฺมา ยา เทวตา ปถวิยํ ปถวิํ มาเปสุํ, ตา สนฺธาเยตํ วุตฺตํ – ‘‘ปถวิยํ ปถวีสญฺญินิโย’’ติฯ
Tattha ākāse pathavīsaññiniyoti ākāse pathaviṃ māpetvā tattha pathavīsaññiniyo. Kandantīti rodanti. Chinnapātaṃ papatantīti majjhe chinnā viya hutvā yato vā tato vā papatanti. Āvaṭṭantīti āvaṭṭantiyo patitaṭṭhānameva āgacchanti. Vivaṭṭantīti patitaṭṭhānato parabhāgaṃ vaṭṭamānā gacchanti. Apica dve pāde pasāretvā sakiṃ purato sakiṃ pacchato sakiṃ vāmato sakiṃ dakkhiṇato saṃparivattamānāpi – ‘‘āvaṭṭanti vivaṭṭantī’’ti vuccanti. Santānanda, devatā pathaviyaṃ pathavīsaññiniyoti pakatipathavī kira devatā dhāretuṃ na sakkoti. Tattha hatthako brahmā viya devatā osīdanti. Tenāha bhagavā – ‘‘oḷārikaṃ hatthaka, attabhāvaṃ abhinimmināhī’’ti (a. ni. 3.128). Tasmā yā devatā pathaviyaṃ pathaviṃ māpesuṃ, tā sandhāyetaṃ vuttaṃ – ‘‘pathaviyaṃ pathavīsaññiniyo’’ti.
วีตราคาติ ปหีนโทมนสฺสา สิลาถมฺภสทิสา อนาคามิขีณาสวเทวตาฯ
Vītarāgāti pahīnadomanassā silāthambhasadisā anāgāmikhīṇāsavadevatā.
จตุสํเวชนียฐานวณฺณนา
Catusaṃvejanīyaṭhānavaṇṇanā
๒๐๒. วสฺสํวุฎฺฐาติ พุทฺธกาเล กิร ทฺวีสุ กาเลสุ ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย กมฺมฎฺฐานคฺคหณตฺถํ, วุฎฺฐวสฺสา จ คหิตกมฺมฎฺฐานานุโยเคน นิพฺพตฺติตวิเสสาโรจนตฺถํฯ ยถา จ พุทฺธกาเล, เอวํ ตมฺพปณฺณิทีเปปิ อปารคงฺคาย ภิกฺขู โลหปาสาเท สนฺนิปติํสุ, ปารคงฺคาย ภิกฺขู ติสฺสมหาวิหาเรฯ เตสุ อปารคงฺคาย ภิกฺขู สงฺการฉฑฺฑกสมฺมชฺชนิโย คเหตฺวา อาคนฺตฺวา มหาวิหาเร สนฺนิปติตฺวา เจติเย สุธากมฺมํ กตฺวา – ‘‘วุฎฺฐวสฺสา อาคนฺตฺวา โลหปาสาเท สนฺนิปตถา’’ติ วตฺตํ กตฺวา ผาสุกฎฺฐาเนสุ วสิตฺวา วุฎฺฐวสฺสา อาคนฺตฺวา โลหปาสาเท ปญฺจนิกายมณฺฑเล, เยสํ ปาฬิ ปคุณา, เต ปาฬิํ สชฺฌายนฺติฯ เยสํ อฎฺฐกถา ปคุณา, เต อฎฺฐกถํ สชฺฌายนฺติฯ โย ปาฬิํ วา อฎฺฐกถํ วา วิราเธติ , ตํ – ‘‘กสฺส สนฺติเก ตยา คหิต’’นฺติ วิจาเรตฺวา อุชุํ กตฺวา คาหาเปนฺติฯ ปารคงฺคาวาสิโนปิ ติสฺสมหาวิหาเร เอวเมว กโรนฺติฯ เอวํ ทฺวีสุ กาเลสุ สนฺนิปติเตสุ ภิกฺขูสุ เย ปุเร วสฺสูปนายิกาย กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คตา วิเสสาโรจนตฺถํ อาคจฺฉนฺติ, เอวรูเป สนฺธาย ‘‘ปุเพฺพ ภเนฺต วสฺสํวุฎฺฐา’’ติอาทิมาหฯ
202.Vassaṃvuṭṭhāti buddhakāle kira dvīsu kālesu bhikkhū sannipatanti upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya kammaṭṭhānaggahaṇatthaṃ, vuṭṭhavassā ca gahitakammaṭṭhānānuyogena nibbattitavisesārocanatthaṃ. Yathā ca buddhakāle, evaṃ tambapaṇṇidīpepi apāragaṅgāya bhikkhū lohapāsāde sannipatiṃsu, pāragaṅgāya bhikkhū tissamahāvihāre. Tesu apāragaṅgāya bhikkhū saṅkārachaḍḍakasammajjaniyo gahetvā āgantvā mahāvihāre sannipatitvā cetiye sudhākammaṃ katvā – ‘‘vuṭṭhavassā āgantvā lohapāsāde sannipatathā’’ti vattaṃ katvā phāsukaṭṭhānesu vasitvā vuṭṭhavassā āgantvā lohapāsāde pañcanikāyamaṇḍale, yesaṃ pāḷi paguṇā, te pāḷiṃ sajjhāyanti. Yesaṃ aṭṭhakathā paguṇā, te aṭṭhakathaṃ sajjhāyanti. Yo pāḷiṃ vā aṭṭhakathaṃ vā virādheti , taṃ – ‘‘kassa santike tayā gahita’’nti vicāretvā ujuṃ katvā gāhāpenti. Pāragaṅgāvāsinopi tissamahāvihāre evameva karonti. Evaṃ dvīsu kālesu sannipatitesu bhikkhūsu ye pure vassūpanāyikāya kammaṭṭhānaṃ gahetvā gatā visesārocanatthaṃ āgacchanti, evarūpe sandhāya ‘‘pubbe bhante vassaṃvuṭṭhā’’tiādimāha.
มโนภาวนีเยติ มนสา ภาวิเต สมฺภาวิเตฯ เย วา มโน มนํ ภาเวนฺติ วเฑฺฒนฺติ ราครชาทีนิ ปวาเหนฺติ, เอวรูเปติ อโตฺถฯ เถโร กิร วตฺตสมฺปโนฺน มหลฺลกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ถโทฺธ หุตฺวา น นิสีทติ, ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา หตฺถโต ฉตฺตญฺจ ปตฺตจีวรญฺจ คเหตฺวา ปีฐํ ปโปฺผเฎตฺวา เทติ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส วตฺตํ กตฺวา เสนาสนํ ปฎิชคฺคิตฺวา เทติฯ นวกํ ภิกฺขุํ ทิสฺวา ตุณฺหีภูโต น นิสีทติ, สมีเป ฐตฺวา วตฺตํ กโรติฯ โส ตาย วตฺตปฎิปตฺติยา อปริหานิํ ปตฺถยมาโน เอวมาหฯ
Manobhāvanīyeti manasā bhāvite sambhāvite. Ye vā mano manaṃ bhāventi vaḍḍhenti rāgarajādīni pavāhenti, evarūpeti attho. Thero kira vattasampanno mahallakaṃ bhikkhuṃ disvā thaddho hutvā na nisīdati, paccuggamanaṃ katvā hatthato chattañca pattacīvarañca gahetvā pīṭhaṃ papphoṭetvā deti, tattha nisinnassa vattaṃ katvā senāsanaṃ paṭijaggitvā deti. Navakaṃ bhikkhuṃ disvā tuṇhībhūto na nisīdati, samīpe ṭhatvā vattaṃ karoti. So tāya vattapaṭipattiyā aparihāniṃ patthayamāno evamāha.
อถ ภควา – ‘‘อานโนฺท มโนภาวนียานํ ทสฺสนํ น ลภิสฺสามี’’ติ จิเนฺตติ, หนฺทสฺส, มโนภาวนียานํ ทสฺสนฎฺฐานํ อาจิกฺขิสฺสามิ, ยตฺถ วสโนฺต อิโต จิโต จ อนาหิณฺฑิตฺวาว ลจฺฉติ มโนภาวนีเย ภิกฺขู ทสฺสนายาติ จิเนฺตตฺวา จตฺตาริมานีติอาทิมาหฯ
Atha bhagavā – ‘‘ānando manobhāvanīyānaṃ dassanaṃ na labhissāmī’’ti cinteti, handassa, manobhāvanīyānaṃ dassanaṭṭhānaṃ ācikkhissāmi, yattha vasanto ito cito ca anāhiṇḍitvāva lacchati manobhāvanīye bhikkhū dassanāyāti cintetvā cattārimānītiādimāha.
ตตฺถ สทฺธสฺสาติ พุทฺธาทีสุ ปสนฺนจิตฺตสฺส วตฺตสมฺปนฺนสฺส, ยสฺส ปาโต ปฎฺฐาย เจติยงฺคณวตฺตาทีนิ สพฺพวตฺตานิ กตาเนว ปญฺญายนฺติฯ ทสฺสนียานีติ ทสฺสนารหานิ ทสฺสนตฺถาย คนฺตพฺพานิฯ สํเวชนียานีติ สํเวคชนกานิฯ ฐานานีติ การณานิ, ปเทสฐานาเนว วาฯ
Tattha saddhassāti buddhādīsu pasannacittassa vattasampannassa, yassa pāto paṭṭhāya cetiyaṅgaṇavattādīni sabbavattāni katāneva paññāyanti. Dassanīyānīti dassanārahāni dassanatthāya gantabbāni. Saṃvejanīyānīti saṃvegajanakāni. Ṭhānānīti kāraṇāni, padesaṭhānāneva vā.
เย หิ เกจีติ อิทํ เจติยจาริกาย สตฺถกภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ เจติยจาริกํ อาหิณฺฑนฺตาติ เย จ ตาว ตตฺถ ตตฺถ เจติยงฺคณํ สมฺมชฺชนฺตา, อาสนานิ โธวนฺตา โพธิมฺหิ อุทกํ สิญฺจนฺตา อาหิณฺฑนฺติ, เตสุ วตฺตพฺพเมว นตฺถิ อสุกวิหาเร ‘‘เจติยํ วนฺทิสฺสามา’’ติ นิกฺขมิตฺวา ปสนฺนจิตฺตา อนฺตรา กาลงฺกโรนฺตาปิ อนนฺตราเยน สเคฺค ปติฎฺฐหิสฺสนฺติ เยวาติ ทเสฺสติฯ
Ye hi kecīti idaṃ cetiyacārikāya satthakabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha cetiyacārikaṃ āhiṇḍantāti ye ca tāva tattha tattha cetiyaṅgaṇaṃ sammajjantā, āsanāni dhovantā bodhimhi udakaṃ siñcantā āhiṇḍanti, tesu vattabbameva natthi asukavihāre ‘‘cetiyaṃ vandissāmā’’ti nikkhamitvā pasannacittā antarā kālaṅkarontāpi anantarāyena sagge patiṭṭhahissanti yevāti dasseti.
อานนฺทปุจฺฉากถาวณฺณนา
Ānandapucchākathāvaṇṇanā
๒๐๓. อทสฺสนํ , อานนฺทาติ ยเทตํ มาตุคามสฺส อทสฺสนํ, อยเมตฺถ อุตฺตมา ปฎิปตฺตีติ ทเสฺสติฯ ทฺวารํ ปิทหิตฺวา เสนาสเน นิสิโนฺน หิ ภิกฺขุ อาคนฺตฺวา ทฺวาเร ฐิตมฺปิ มาตุคามํ ยาว น ปสฺสติ, ตาวสฺส เอกํเสเนว น โลโภ อุปฺปชฺชติ, น จิตฺตํ จลติฯ ทสฺสเน ปน สติเยว ตทุภยมฺปิ อสฺสฯ เตนาห – ‘‘อทสฺสนํ อานนฺทา’’ติฯ ทสฺสเน ภควา สติ กถนฺติ ภิกฺขํ คเหตฺวา อุปคตฎฺฐานาทีสุ ทสฺสเน สติ กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ ปุจฺฉติฯ อถ ภควา ยสฺมา ขคฺคํ คเหตฺวา – ‘‘สเจ มยา สทฺธิํ อาลปสิ, เอเตฺถว เต สีสํ ปาเตสฺสามี’’ติ ฐิตปุริเสน วา, ‘‘สเจ มยา สทฺธิํ อาลปสิ, เอเตฺถว เต มํสํ มุรุมุราเปตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติ ฐิตยกฺขินิยา วา อาลปิตุํ วรํฯ เอกเสฺสว หิ อตฺตภาวสฺส ตปฺปจฺจยา วินาโส โหติ, น อปาเยสุ อปริจฺฉินฺนทุกฺขานุภวนํฯ มาตุคาเมน ปน อาลาปสลฺลาเป สติ วิสฺสาโส โหติ, วิสฺสาเส สติ โอตาโร โหติ, โอติณฺณจิโตฺต สีลพฺยสนํ ปตฺวา อปายปูรโก โหติ; ตสฺมา อนาลาโปติ อาหฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
203.Adassanaṃ, ānandāti yadetaṃ mātugāmassa adassanaṃ, ayamettha uttamā paṭipattīti dasseti. Dvāraṃ pidahitvā senāsane nisinno hi bhikkhu āgantvā dvāre ṭhitampi mātugāmaṃ yāva na passati, tāvassa ekaṃseneva na lobho uppajjati, na cittaṃ calati. Dassane pana satiyeva tadubhayampi assa. Tenāha – ‘‘adassanaṃ ānandā’’ti. Dassane bhagavā sati kathanti bhikkhaṃ gahetvā upagataṭṭhānādīsu dassane sati kathaṃ paṭipajjitabbanti pucchati. Atha bhagavā yasmā khaggaṃ gahetvā – ‘‘sace mayā saddhiṃ ālapasi, ettheva te sīsaṃ pātessāmī’’ti ṭhitapurisena vā, ‘‘sace mayā saddhiṃ ālapasi, ettheva te maṃsaṃ murumurāpetvā khādissāmī’’ti ṭhitayakkhiniyā vā ālapituṃ varaṃ. Ekasseva hi attabhāvassa tappaccayā vināso hoti, na apāyesu aparicchinnadukkhānubhavanaṃ. Mātugāmena pana ālāpasallāpe sati vissāso hoti, vissāse sati otāro hoti, otiṇṇacitto sīlabyasanaṃ patvā apāyapūrako hoti; tasmā anālāpoti āha. Vuttampi cetaṃ –
‘‘สลฺลเป อสิหเตฺถน, ปิสาเจนาปิ สลฺลเป;
‘‘Sallape asihatthena, pisācenāpi sallape;
อาสีวิสมฺปิ อาสีเท, เยน ทโฎฺฐ น ชีวติ;
Āsīvisampi āsīde, yena daṭṭho na jīvati;
น เตฺวว เอโก เอกาย, มาตุคาเมน สลฺลเป’’ติฯ (อ. นิ. ๕.๕๕);
Na tveva eko ekāya, mātugāmena sallape’’ti. (a. ni. 5.55);
อาลปเนฺตน ปนาติ สเจ มาตุคาโม ทิวสํ วา ปุจฺฉติ, สีลํ วา ยาจติ, ธมฺมํ วา โสตุกาโม โหติ, ปญฺหํ วา ปุจฺฉติ, ตถารูปํ วา ปนสฺส ปพฺพชิเตหิ กตฺตพฺพกมฺมํ โหติ, เอวรูเป กาเล อนาลปนฺตํ ‘‘มูโค อยํ, พธิโร อยํ, ภุตฺวาว พทฺธมุโข นิสีทตี’’ติ วทติ, ตสฺมา อวสฺสํ อาลปิตพฺพํ โหติฯ เอวํ อาลปเนฺตน ปน กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพนฺติ ปุจฺฉติฯ อถ ภควา – ‘‘เอถ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, มาตุมตฺตีสุ มาตุจิตฺตํ อุปฎฺฐเปถ, ภคินิมตฺตีสุ ภคินิจิตฺตํ อุปฎฺฐเปถ, ธีตุมตฺตีสุ ธีตุจิตฺตํ อุปฎฺฐเปถา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๑๒๗) อิมํ โอวาทํ สนฺธาย สติ, อานนฺท, อุปฎฺฐเปตพฺพาติ อาหฯ
Ālapantena panāti sace mātugāmo divasaṃ vā pucchati, sīlaṃ vā yācati, dhammaṃ vā sotukāmo hoti, pañhaṃ vā pucchati, tathārūpaṃ vā panassa pabbajitehi kattabbakammaṃ hoti, evarūpe kāle anālapantaṃ ‘‘mūgo ayaṃ, badhiro ayaṃ, bhutvāva baddhamukho nisīdatī’’ti vadati, tasmā avassaṃ ālapitabbaṃ hoti. Evaṃ ālapantena pana kathaṃ paṭipajjitabbanti pucchati. Atha bhagavā – ‘‘etha tumhe, bhikkhave, mātumattīsu mātucittaṃ upaṭṭhapetha, bhaginimattīsu bhaginicittaṃ upaṭṭhapetha, dhītumattīsu dhītucittaṃ upaṭṭhapethā’’ti (saṃ. ni. 4.127) imaṃ ovādaṃ sandhāya sati, ānanda, upaṭṭhapetabbāti āha.
๒๐๔. อพฺยาวฎาติ อตนฺติพทฺธา นิรุสฺสุกฺกา โหถฯ สารเตฺถ ฆฎถาติ อุตฺตมเตฺถ อรหเตฺต ฆเฎถฯ อนุยุญฺชถาติ ตทธิคมาย อนุโยคํ กโรถฯ อปฺปมตฺตาติ ตตฺถ อวิปฺปมุฎฺฐสตีฯ วีริยาตาปโยเคน อาตาปิโนฯ กาเย จ ชีวิเต จ นิรเปกฺขตาย ปหิตตฺตา เปสิตจิตฺตา วิหรถฯ
204.Abyāvaṭāti atantibaddhā nirussukkā hotha. Sāratthe ghaṭathāti uttamatthe arahatte ghaṭetha. Anuyuñjathāti tadadhigamāya anuyogaṃ karotha. Appamattāti tattha avippamuṭṭhasatī. Vīriyātāpayogena ātāpino. Kāye ca jīvite ca nirapekkhatāya pahitattā pesitacittā viharatha.
๒๐๕. กถํ ปน, ภเนฺตติ เตหิ ขตฺติยปณฺฑิตาทีหิ กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ อทฺธา มํ เต ปฎิปุจฺฉิสฺสนฺติ – ‘‘กถํ, ภเนฺต, อานนฺท ตถาคตสฺส สรีเร ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ; ‘‘เตสาหํ กถํ ปฎิวจนํ เทมี’’ติ ปุจฺฉติฯ อหเตน วเตฺถนาติ นเวน กาสิกวเตฺถนฯ วิหเตน กปฺปาเสนาติ สุโปถิเตน กปฺปาเสนฯ กาสิกวตฺถญฺหิ สุขุมตฺตา เตลํ น คณฺหาติ, กปฺปาโส ปน คณฺหาติฯ ตสฺมา ‘‘วิหเตน กปฺปาเสนา’’ติ อาหฯ อายสายาติ โสวณฺณายฯ โสวณฺณญฺหิ อิธ ‘‘อยส’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ
205.Kathaṃpana, bhanteti tehi khattiyapaṇḍitādīhi kathaṃ paṭipajjitabbaṃ. Addhā maṃ te paṭipucchissanti – ‘‘kathaṃ, bhante, ānanda tathāgatassa sarīre paṭipajjitabba’’nti; ‘‘tesāhaṃ kathaṃ paṭivacanaṃ demī’’ti pucchati. Ahatena vatthenāti navena kāsikavatthena. Vihatena kappāsenāti supothitena kappāsena. Kāsikavatthañhi sukhumattā telaṃ na gaṇhāti, kappāso pana gaṇhāti. Tasmā ‘‘vihatena kappāsenā’’ti āha. Āyasāyāti sovaṇṇāya. Sovaṇṇañhi idha ‘‘ayasa’’nti adhippetaṃ.
ถูปารหปุคฺคลวณฺณนา
Thūpārahapuggalavaṇṇanā
๒๐๖. ราชา จกฺกวตฺตีติ เอตฺถ กสฺมา ภควา อคารมเชฺฌ วสิตฺวา กาลงฺกตสฺส รโญฺญ ถูปารหตํ อนุชานาติ, น สีลวโต ปุถุชฺชนสฺส ภิกฺขุสฺสาติ? อนจฺฉริยตฺตาฯ ปุถุชฺชนภิกฺขูนญฺหิ ถูเป อนุญฺญายมาเน ตมฺพปณฺณิทีเป ตาว ถูปานํ โอกาโส น ภเวยฺย, ตถา อเญฺญสุ ฐาเนสุฯ ตสฺมา ‘‘อนจฺฉริยา เต ภวิสฺสนฺตี’’ติ นานุชานาติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอโกว นิพฺพตฺตติ, เตนสฺส ถูโป อจฺฉริโย โหติฯ ปุถุชฺชนสีลวโต ปน ปรินิพฺพุตภิกฺขุโน วิย มหนฺตมฺปิ สกฺการํ กาตุํ วฎฺฎติเยวฯ
206.Rājā cakkavattīti ettha kasmā bhagavā agāramajjhe vasitvā kālaṅkatassa rañño thūpārahataṃ anujānāti, na sīlavato puthujjanassa bhikkhussāti? Anacchariyattā. Puthujjanabhikkhūnañhi thūpe anuññāyamāne tambapaṇṇidīpe tāva thūpānaṃ okāso na bhaveyya, tathā aññesu ṭhānesu. Tasmā ‘‘anacchariyā te bhavissantī’’ti nānujānāti. Rājā cakkavattī ekova nibbattati, tenassa thūpo acchariyo hoti. Puthujjanasīlavato pana parinibbutabhikkhuno viya mahantampi sakkāraṃ kātuṃ vaṭṭatiyeva.
อานนฺทอจฺฉริยธมฺมวณฺณนา
Ānandaacchariyadhammavaṇṇanā
๒๐๗. วิหารนฺติ อิธ มณฺฑลมาโล วิหาโรติ อธิเปฺปโต, ตํ ปวิสิตฺวาฯ กปิสีสนฺติ ทฺวารพาหโกฎิยํ ฐิตํ อคฺคฬรุกฺขํฯ โรทมาโน อฎฺฐาสีติ โส กิรายสฺมา จิเนฺตสิ – ‘‘สตฺถารา มม สํเวคชนกํ วสนฎฺฐานํ กถิตํ, เจติยจาริกาย สาตฺถกภาโว กถิโต, มาตุคาเม ปฎิปชฺชิตพฺพปโญฺห วิสฺสชฺชิโต, อตฺตโน สรีเร ปฎิปตฺติ อกฺขาตา, จตฺตาโร ถูปารหา กถิตา, ธุวํ อชฺช ภควา ปรินิพฺพายิสฺสตี’’ติ, ตเสฺสวํ จินฺตยโต พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชิฯ อถสฺส เอตทโหสิ – ‘‘ภควโต สนฺติเก โรทนํ นาม อผาสุกํ, เอกมนฺตํ คนฺตฺวา โสกํ ตนุกํ กริสฺสามี’’ติ, โส ตถา อกาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โรทมาโน อฎฺฐาสี’’ติฯ
207.Vihāranti idha maṇḍalamālo vihāroti adhippeto, taṃ pavisitvā. Kapisīsanti dvārabāhakoṭiyaṃ ṭhitaṃ aggaḷarukkhaṃ. Rodamāno aṭṭhāsīti so kirāyasmā cintesi – ‘‘satthārā mama saṃvegajanakaṃ vasanaṭṭhānaṃ kathitaṃ, cetiyacārikāya sātthakabhāvo kathito, mātugāme paṭipajjitabbapañho vissajjito, attano sarīre paṭipatti akkhātā, cattāro thūpārahā kathitā, dhuvaṃ ajja bhagavā parinibbāyissatī’’ti, tassevaṃ cintayato balavadomanassaṃ uppajji. Athassa etadahosi – ‘‘bhagavato santike rodanaṃ nāma aphāsukaṃ, ekamantaṃ gantvā sokaṃ tanukaṃ karissāmī’’ti, so tathā akāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘rodamāno aṭṭhāsī’’ti.
อหญฺจ วตมฺหีติ อหญฺจ วต อมฺหิ, อหํ วตมฺหีติปิ ปาโฐฯ โย มม อนุกมฺปโกติ โย มํ อนุกมฺปติ อนุสาสติ, เสฺว ทานิ ปฎฺฐาย กสฺส มุขโธวนํ ทสฺสามิ, กสฺส ปาเท โธวิสฺสามิ, กสฺส เสนาสนํ ปฎิชคฺคิสฺสามิ, กสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิจริสฺสามีติ พหุํ วิลปิฯ อามเนฺตสีติ ภิกฺขุสงฺฆสฺส อนฺตเร เถรํ อทิสฺวา อามเนฺตสิฯ
Ahañca vatamhīti ahañca vata amhi, ahaṃ vatamhītipi pāṭho. Yo mama anukampakoti yo maṃ anukampati anusāsati, sve dāni paṭṭhāya kassa mukhadhovanaṃ dassāmi, kassa pāde dhovissāmi, kassa senāsanaṃ paṭijaggissāmi, kassa pattacīvaraṃ gahetvā vicarissāmīti bahuṃ vilapi. Āmantesīti bhikkhusaṅghassa antare theraṃ adisvā āmantesi.
เมเตฺตน กายกเมฺมนาติ เมตฺตจิตฺตวเสน ปวตฺติเตน มุขโธวนทานาทิกายกเมฺมนฯ หิเตนาติ หิตวุทฺธิยา กเตนฯ สุเขนาติ สุขโสมนเสฺสเนว กเตน, น ทุกฺขินา ทุมฺมเนน หุตฺวาติ อโตฺถฯ อทฺวเยนาติ เทฺว โกฎฺฐาเส กตฺวา อกเตนฯ ยถา หิ เอโก สมฺมุขาว กโรติ น ปรมฺมุขา, เอโก ปรมฺมุขาว กโรติ น สมฺมุขา เอวํ วิภาคํ อกตฺวา กเตนาติ วุตฺตํ โหติฯ อปฺปมาเณนาติ ปมาณวิรหิเตนฯ จกฺกวาฬมฺปิ หิ อติสมฺพาธํ, ภวคฺคมฺปิ อตินีจํ, ตยา กตํ กายกมฺมเมว พหุนฺติ ทเสฺสติฯ
Mettenakāyakammenāti mettacittavasena pavattitena mukhadhovanadānādikāyakammena. Hitenāti hitavuddhiyā katena. Sukhenāti sukhasomanasseneva katena, na dukkhinā dummanena hutvāti attho. Advayenāti dve koṭṭhāse katvā akatena. Yathā hi eko sammukhāva karoti na parammukhā, eko parammukhāva karoti na sammukhā evaṃ vibhāgaṃ akatvā katenāti vuttaṃ hoti. Appamāṇenāti pamāṇavirahitena. Cakkavāḷampi hi atisambādhaṃ, bhavaggampi atinīcaṃ, tayā kataṃ kāyakammameva bahunti dasseti.
เมเตฺตน วจีกเมฺมนาติ เมตฺตจิตฺตวเสน ปวตฺติเตน มุขโธวนกาลาโรจนาทินา วจีกเมฺมนฯ อปิ จ โอวาทํ สุตฺวา – ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ วจนมฺปิ เมตฺตํ วจีกมฺมเมวฯ เมเตฺตน มโนกเมฺมนาติ กาลเสฺสว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา วิวิตฺตาสเน นิสีทิตฺวา – ‘‘สตฺถา อโรโค โหตุ, อพฺยาปโชฺช สุขี’’ติ เอวํ ปวตฺติเตน มโนกเมฺมนฯ กตปุโญฺญสีติ กปฺปสตสหสฺสํ อภินีหารสมฺปโนฺนสีติ ทเสฺสติฯ กตปุโญฺญสีติ จ เอตฺตาวตา วิสฺสโตฺถ มา ปมาทมาปชฺชิ, อถ โข ปธานมนุยุญฺชฯ เอวญฺหิ อนุยุโตฺต ขิปฺปํ โหหิสิ อนาสโว, ธมฺมสงฺคีติกาเล อรหตฺตํ ปาปุณิสฺสสิฯ น หิ มาทิสสฺส กตปาริจริยา นิปฺผลา นาม โหตีติ ทเสฺสติฯ
Mettena vacīkammenāti mettacittavasena pavattitena mukhadhovanakālārocanādinā vacīkammena. Api ca ovādaṃ sutvā – ‘‘sādhu, bhante’’ti vacanampi mettaṃ vacīkammameva. Mettena manokammenāti kālasseva sarīrapaṭijagganaṃ katvā vivittāsane nisīditvā – ‘‘satthā arogo hotu, abyāpajjo sukhī’’ti evaṃ pavattitena manokammena. Katapuññosīti kappasatasahassaṃ abhinīhārasampannosīti dasseti. Katapuññosīti ca ettāvatā vissattho mā pamādamāpajji, atha kho padhānamanuyuñja. Evañhi anuyutto khippaṃ hohisi anāsavo, dhammasaṅgītikāle arahattaṃ pāpuṇissasi. Na hi mādisassa katapāricariyā nipphalā nāma hotīti dasseti.
๒๐๘. เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาปถวิํ ปตฺถรโนฺต วิย อากาสํ วิตฺถาเรโนฺต วิย จกฺกวาฬคิริํ โอสาเรโนฺต วิย สิเนรุํ อุกฺขิเปโนฺต วิย มหาชมฺพุํ ขเนฺธ คเหตฺวา จาเลโนฺต วิย อายสฺมโต อานนฺทสฺส คุณกถํ อารภโนฺต อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิฯ ตตฺถ ‘‘เยปิ เต, ภิกฺขเว, เอตรหี’’ติ กสฺมา น วุตฺตํ? อญฺญสฺส พุทฺธสฺส นตฺถิตายฯ เอเตเนว เจตํ เวทิตพฺพํ – ‘‘ยถา จกฺกวาฬนฺตเรปิ อโญฺญ พุโทฺธ นตฺถี’’ติฯ ปณฺฑิโตติ พฺยโตฺตฯ เมธาวีติ ขนฺธธาตุอายตนาทีสุ กุสโลฯ
208. Evañca pana vatvā mahāpathaviṃ pattharanto viya ākāsaṃ vitthārento viya cakkavāḷagiriṃ osārento viya sineruṃ ukkhipento viya mahājambuṃ khandhe gahetvā cālento viya āyasmato ānandassa guṇakathaṃ ārabhanto atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi. Tattha ‘‘yepi te, bhikkhave, etarahī’’ti kasmā na vuttaṃ? Aññassa buddhassa natthitāya. Eteneva cetaṃ veditabbaṃ – ‘‘yathā cakkavāḷantarepi añño buddho natthī’’ti. Paṇḍitoti byatto. Medhāvīti khandhadhātuāyatanādīsu kusalo.
๒๐๙. ภิกฺขุปริสา อานนฺทํ ทสฺสนายาติ เย ภควนฺตํ ปสฺสิตุกามา เถรํ อุปสงฺกมนฺติ, เย จ ‘‘อายสฺมา กิรานโนฺท สมนฺตปาสาทิโก อภิรูโป ทสฺสนีโย พหุสฺสุโต สงฺฆโสภโน’’ติ เถรสฺส คุเณ สุตฺวา อาคจฺฉนฺติ, เต สนฺธาย ‘‘ภิกฺขุปริสา อานนฺทํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อตฺตมนาติ สวเนน โน ทสฺสนํ สเมตีติ สกมนา ตุฎฺฐจิตฺตาฯ ธมฺมนฺติ ‘‘กจฺจิ, อาวุโส, ขมนียํ, กจฺจิ ยาปนียํ, กจฺจิ โยนิโส มนสิกาเรน กมฺมํ กโรถ, อาจริยุปชฺฌาเย วตฺตํ ปูเรถา’’ติ เอวรูปํ ปฎิสนฺถารธมฺมํฯ ตตฺถ ภิกฺขุนีสุ – ‘‘กจฺจิ, ภคินิโย, อฎฺฐ ครุธเมฺม สมาทาย วตฺตถา’’ติ อิทมฺปิ นานากรณํ โหติฯ อุปาสเกสุ อาคเตสุ ‘‘อุปาสก, น เต กจฺจิ สีสํ วา องฺคํ วา รุชฺชติ, อโรคา เต ปุตฺตภาตโร’’ติ น เอวํ ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ เอวํ ปน กโรติ – ‘‘กถํ อุปาสกา ตีณิ สรณานิ ปญฺจ สีลานิ รกฺขถ, มาสสฺส อฎฺฐ อุโปสเถ กโรถ, มาตาปิตูนํ อุปฎฺฐานวตฺตํ ปูเรถ, ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณ ปฎิชคฺคถา’’ติฯ อุปาสิกาสุปิ เอเสว นโยฯ
209.Bhikkhuparisā ānandaṃ dassanāyāti ye bhagavantaṃ passitukāmā theraṃ upasaṅkamanti, ye ca ‘‘āyasmā kirānando samantapāsādiko abhirūpo dassanīyo bahussuto saṅghasobhano’’ti therassa guṇe sutvā āgacchanti, te sandhāya ‘‘bhikkhuparisā ānandaṃ dassanāya upasaṅkamantī’’ti vuttaṃ. Esa nayo sabbattha. Attamanāti savanena no dassanaṃ sametīti sakamanā tuṭṭhacittā. Dhammanti ‘‘kacci, āvuso, khamanīyaṃ, kacci yāpanīyaṃ, kacci yoniso manasikārena kammaṃ karotha, ācariyupajjhāye vattaṃ pūrethā’’ti evarūpaṃ paṭisanthāradhammaṃ. Tattha bhikkhunīsu – ‘‘kacci, bhaginiyo, aṭṭha garudhamme samādāya vattathā’’ti idampi nānākaraṇaṃ hoti. Upāsakesu āgatesu ‘‘upāsaka, na te kacci sīsaṃ vā aṅgaṃ vā rujjati, arogā te puttabhātaro’’ti na evaṃ paṭisanthāraṃ karoti. Evaṃ pana karoti – ‘‘kathaṃ upāsakā tīṇi saraṇāni pañca sīlāni rakkhatha, māsassa aṭṭha uposathe karotha, mātāpitūnaṃ upaṭṭhānavattaṃ pūretha, dhammikasamaṇabrāhmaṇe paṭijaggathā’’ti. Upāsikāsupi eseva nayo.
อิทานิ อานนฺทเตฺถรสฺส จกฺกวตฺตินา สทฺธิํ อุปมํ กโรโนฺต จตฺตาโรเม ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ ขตฺติยาติ อภิสิตฺตา จ อนภิสิตฺตา จ ขตฺติยชาติกาฯ เต กิร – ‘‘ราชา จกฺกวตฺตี นาม อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก อากาเสน วิจรโนฺต รชฺชํ อนุสาสติ ธมฺมิโก ธมฺมราชา’’ติ ตสฺส คุณกถํ สุตฺวา ‘‘สวเนน ทสฺสนมฺปิ สม’’นฺติ อตฺตมนา โหนฺติฯ ภาสตีติ กเถโนฺต – ‘‘กถํ, ตาตา, ราชธมฺมํ ปูเรถ, ปเวณิํ รกฺขถา’’ติ ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ พฺราหฺมเณสุ ปน – ‘‘กถํ อาจริยา มเนฺต วาเจถ, กถํ อเนฺตวาสิกา มเนฺต คณฺหนฺติ, ทกฺขิณํ วา วตฺถานิ วา กปิลํ วา อลตฺถา’’ติ ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ คหปตีสุ – ‘‘กถํ ตาตา, น โว ราชกุลโต ทเณฺฑน วา พลินา วา ปีฬา อตฺถิ, สมฺมา เทโว ธารํ อนุปเวจฺฉติ, สสฺสานิ สมฺปชฺชนฺตี’’ติ เอวํ ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ สมเณสุ – ‘‘กถํ, ภเนฺต, ปพฺพชิตปริกฺขารา สุลภา, สมณธเมฺม น ปมชฺชถา’’ติ เอวํ ปฎิสนฺถารํ กโรติฯ
Idāni ānandattherassa cakkavattinā saddhiṃ upamaṃ karonto cattārome bhikkhavetiādimāha. Tattha khattiyāti abhisittā ca anabhisittā ca khattiyajātikā. Te kira – ‘‘rājā cakkavattī nāma abhirūpo dassanīyo pāsādiko ākāsena vicaranto rajjaṃ anusāsati dhammiko dhammarājā’’ti tassa guṇakathaṃ sutvā ‘‘savanena dassanampi sama’’nti attamanā honti. Bhāsatīti kathento – ‘‘kathaṃ, tātā, rājadhammaṃ pūretha, paveṇiṃ rakkhathā’’ti paṭisanthāraṃ karoti. Brāhmaṇesu pana – ‘‘kathaṃ ācariyā mante vācetha, kathaṃ antevāsikā mante gaṇhanti, dakkhiṇaṃ vā vatthāni vā kapilaṃ vā alatthā’’ti paṭisanthāraṃ karoti. Gahapatīsu – ‘‘kathaṃ tātā, na vo rājakulato daṇḍena vā balinā vā pīḷā atthi, sammā devo dhāraṃ anupavecchati, sassāni sampajjantī’’ti evaṃ paṭisanthāraṃ karoti. Samaṇesu – ‘‘kathaṃ, bhante, pabbajitaparikkhārā sulabhā, samaṇadhamme na pamajjathā’’ti evaṃ paṭisanthāraṃ karoti.
มหาสุทสฺสนสุตฺตเทสนาวณฺณนา
Mahāsudassanasuttadesanāvaṇṇanā
๒๑๐. ขุทฺทกนครเกติ นครปติรูปเก สมฺพาเธ ขุทฺทกนครเกฯ อุชฺชงฺคลนครเกติ วิสมนครเกฯ สาขานครเกติ ยถา รุกฺขานํ สาขา นาม ขุทฺทกา โหนฺติ, เอวเมว อเญฺญสํ มหานครานํ สาขาสทิเส ขุทฺทกนครเกฯ ขตฺติยมหาสาลาติ ขตฺติยมหาสารปฺปตฺตา มหาขตฺติยาฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
210.Khuddakanagaraketi nagarapatirūpake sambādhe khuddakanagarake. Ujjaṅgalanagaraketi visamanagarake. Sākhānagaraketi yathā rukkhānaṃ sākhā nāma khuddakā honti, evameva aññesaṃ mahānagarānaṃ sākhāsadise khuddakanagarake. Khattiyamahāsālāti khattiyamahāsārappattā mahākhattiyā. Esa nayo sabbattha.
เตสุ ขตฺติยมหาสาลา นาม เยสํ โกฎิสตมฺปิ โกฎิสหสฺสมฺปิ ธนํ นิขณิตฺวา ฐปิตํ, ทิวสปริพฺพโย เอกํ กหาปณสกฎํ นิคจฺฉติ, สายํ เทฺว ปวิสนฺติฯ พฺราหฺมณมหาสาลา นาม เยสํ อสีติโกฎิธนํ นิหิตํ โหติ, ทิวสปริพฺพโย เอโก กหาปณกุโมฺภ นิคจฺฉติ, สายํ เอกสกฎํ ปวิสติฯ คหปติมหาสาลา นาม เยสํ จตฺตาลีสโกฎิธนํ นิหิตํ โหติ, ทิวสปริพฺพโย ปญฺจ กหาปณมฺพณานิ นิคจฺฉนฺติ, สายํ กุโมฺภ ปวิสติฯ
Tesu khattiyamahāsālā nāma yesaṃ koṭisatampi koṭisahassampi dhanaṃ nikhaṇitvā ṭhapitaṃ, divasaparibbayo ekaṃ kahāpaṇasakaṭaṃ nigacchati, sāyaṃ dve pavisanti. Brāhmaṇamahāsālā nāma yesaṃ asītikoṭidhanaṃ nihitaṃ hoti, divasaparibbayo eko kahāpaṇakumbho nigacchati, sāyaṃ ekasakaṭaṃ pavisati. Gahapatimahāsālā nāma yesaṃ cattālīsakoṭidhanaṃ nihitaṃ hoti, divasaparibbayo pañca kahāpaṇambaṇāni nigacchanti, sāyaṃ kumbho pavisati.
มา เหวํ, อานนฺท, อวจาติ อานนฺท, มา เอวํ อวจ, น อิมํ ‘‘ขุทฺทกนคร’’นฺติ วตฺตพฺพํฯ อหญฺหิ อิมเสฺสว นครสฺส สมฺปตฺติํ กเถตุํ – ‘‘อเนกวารํ ติฎฺฐํ นิสีทํ มหเนฺตน อุสฺสาเหน, มหเนฺตน ปรกฺกเมน อิธาคโต’’ติ วตฺวา ภูตปุพฺพนฺติอาทิมาหฯ สุภิกฺขาติ ขชฺชโภชฺชสมฺปนฺนาฯ หตฺถิสเทฺทนาติ เอกสฺมิํ หตฺถิมฺหิ สทฺทํ กโรเนฺต จตุราสีติหตฺถิสหสฺสานิ สทฺทํ กโรนฺติ, อิติ หตฺถิสเทฺทน อวิวิตฺตา, โหติ, ตถา อสฺสสเทฺทนฯ ปุญฺญวโนฺต ปเนตฺถ สตฺตา จตุสินฺธวยุเตฺตหิ รเถหิ อญฺญมญฺญํ อนุพนฺธมานา อนฺตรวีถีสุ วิจรนฺติ, อิติ รถสเทฺทน อวิวิตฺตา โหติฯ นิจฺจํ ปโยชิตาเนว ปเนตฺถ เภริอาทีนิ ตูริยานิ, อิติ เภริสทฺทาทีหิปิ อวิวิตฺตา โหติฯ ตตฺถ สมฺมสโทฺทติ กํสตาฬสโทฺทฯ ปาณิตาฬสโทฺทติ ปาณินา จตุรสฺสอมฺพณตาฬสโทฺทฯ กุฎเภริสโทฺทติปิ วทนฺติฯ
Māhevaṃ, ānanda, avacāti ānanda, mā evaṃ avaca, na imaṃ ‘‘khuddakanagara’’nti vattabbaṃ. Ahañhi imasseva nagarassa sampattiṃ kathetuṃ – ‘‘anekavāraṃ tiṭṭhaṃ nisīdaṃ mahantena ussāhena, mahantena parakkamena idhāgato’’ti vatvā bhūtapubbantiādimāha. Subhikkhāti khajjabhojjasampannā. Hatthisaddenāti ekasmiṃ hatthimhi saddaṃ karonte caturāsītihatthisahassāni saddaṃ karonti, iti hatthisaddena avivittā, hoti, tathā assasaddena. Puññavanto panettha sattā catusindhavayuttehi rathehi aññamaññaṃ anubandhamānā antaravīthīsu vicaranti, iti rathasaddena avivittā hoti. Niccaṃ payojitāneva panettha bheriādīni tūriyāni, iti bherisaddādīhipi avivittā hoti. Tattha sammasaddoti kaṃsatāḷasaddo. Pāṇitāḷasaddoti pāṇinā caturassaambaṇatāḷasaddo. Kuṭabherisaddotipi vadanti.
อสฺนาถ ปิวถ ขาทถาติ อสฺนาถ ปิวถ ขาทถฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขโป, ภุญฺชถ โภติ อิมินา ทสเมน สเทฺทน อวิวิตฺตา โหติ อนุปจฺฉินฺนสทฺทาฯ ยถา ปน อเญฺญสุ นคเรสุ ‘‘กจวรํ ฉเฑฺฑถ, กุทาลํ คณฺหถ, ปจฺฉิํ คณฺหถ, ปวาสํ คมิสฺสาม, ตณฺฑุลปุฎํ คณฺหถ, ภตฺตปุฎํ คณฺหถ, ผลกาวุธาทีนิ สชฺชานิ กโรถา’’ติ เอวรูปา สทฺทา โหนฺติ, น ยิธ เอวํ อโหสีติ ทเสฺสติฯ
Asnāthapivatha khādathāti asnātha pivatha khādatha. Ayaṃ panettha saṅkhepo, bhuñjatha bhoti iminā dasamena saddena avivittā hoti anupacchinnasaddā. Yathā pana aññesu nagaresu ‘‘kacavaraṃ chaḍḍetha, kudālaṃ gaṇhatha, pacchiṃ gaṇhatha, pavāsaṃ gamissāma, taṇḍulapuṭaṃ gaṇhatha, bhattapuṭaṃ gaṇhatha, phalakāvudhādīni sajjāni karothā’’ti evarūpā saddā honti, na yidha evaṃ ahosīti dasseti.
‘‘ทสเมน สเทฺทนา’’ติ จ วตฺวา ‘‘กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี สตฺตหิ ปากาเรหิ ปริกฺขิตฺตา อโหสี’’ติ สพฺพํ มหาสุทสฺสนสุตฺตํ นิฎฺฐาเปตฺวา คจฺฉ ตฺวํ อานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อภิกฺกมถาติ อภิมุขา กมถ, อาคจฺฉถาติ อโตฺถฯ กิํ ปน เต ภควโต อาคตภาวํ น ชานนฺตีติ? ชานนฺติฯ พุทฺธานํ คตคตฎฺฐานํ นาม มหนฺตํ โกลาหลํ โหติ, เกนจิเทว กรณีเยน นิสินฺนตฺตา น อาคตาฯ ‘‘เต อาคนฺตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส ฐานนิสโชฺชกาสํ สํวิทหิตฺวา ทสฺสนฺตี’’ติ เตสํ สนฺติเก อเวลายมฺปิ ภควา เปเสสิฯ
‘‘Dasamena saddenā’’ti ca vatvā ‘‘kusāvatī, ānanda, rājadhānī sattahi pākārehi parikkhittā ahosī’’ti sabbaṃ mahāsudassanasuttaṃ niṭṭhāpetvā gaccha tvaṃ ānandātiādimāha. Tattha abhikkamathāti abhimukhā kamatha, āgacchathāti attho. Kiṃ pana te bhagavato āgatabhāvaṃ na jānantīti? Jānanti. Buddhānaṃ gatagataṭṭhānaṃ nāma mahantaṃ kolāhalaṃ hoti, kenacideva karaṇīyena nisinnattā na āgatā. ‘‘Te āgantvā bhikkhusaṅghassa ṭhānanisajjokāsaṃ saṃvidahitvā dassantī’’ti tesaṃ santike avelāyampi bhagavā pesesi.
มลฺลานํ วนฺทนาวณฺณนา
Mallānaṃ vandanāvaṇṇanā
๒๑๑. อมฺหากญฺจ โนติ เอตฺถ โน กาโร นิปาตมตฺตํฯ อฆาวิโนติ อุปฺปนฺนทุกฺขาฯ ทุมฺมนาติ อนตฺตมนาฯ เจโตทุกฺขสมปฺปิตาติ โทมนสฺสสมปฺปิตาฯ กุลปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส ฐเปตฺวาติ เอเกกํ กุลปริวตฺตํ กุลสเงฺขปํ วีถิสภาเคน เจว รจฺฉาสภาเคน จ วิสุํ วิสุํ ฐเปตฺวาฯ
211.Amhākañca noti ettha no kāro nipātamattaṃ. Aghāvinoti uppannadukkhā. Dummanāti anattamanā. Cetodukkhasamappitāti domanassasamappitā. Kulaparivattaso kulaparivattaso ṭhapetvāti ekekaṃ kulaparivattaṃ kulasaṅkhepaṃ vīthisabhāgena ceva racchāsabhāgena ca visuṃ visuṃ ṭhapetvā.
สุภทฺทปริพฺพาชกวตฺถุวณฺณนา
Subhaddaparibbājakavatthuvaṇṇanā
๒๑๒. สุภโทฺท นาม ปริพฺพาชโกติ อุทิจฺจพฺราหฺมณมหาสาลกุลา ปพฺพชิโต ฉนฺนปริพฺพาชโกฯ กงฺขาธโมฺมติ วิมติธโมฺมฯ กสฺมา ปนสฺส อชฺช เอวํ อโหสีติ? ตถาวิธอุปนิสฺสยตฺตาฯ ปุเพฺพ กิร ปุญฺญกรณกาเล เทฺว ภาตโร อเหสุํฯ เต เอกโตว สสฺสํ อกํสุฯ ตตฺถ เชฎฺฐกสฺส – ‘‘เอกสฺมิํ สเสฺส นววาเร อคฺคสสฺสทานํ มยา ทาตพฺพ’’นฺติ อโหสิฯ โส วปฺปกาเล พีชคฺคํ นาม ทตฺวา คพฺภกาเล กนิเฎฺฐน สทฺธิํ มเนฺตสิ – ‘‘คพฺภกาเล คพฺภํ ผาเลตฺวา ทสฺสามา’’ติ กนิโฎฺฐ – ‘‘ตรุณสสฺสํ นาเสตุกาโมสี’’ติ อาหฯ เชโฎฺฐ กนิฎฺฐสฺส อนนุวตฺตนภาวํ ญตฺวา เขตฺตํ วิภชิตฺวา อตฺตโน โกฎฺฐาสโต คพฺภํ ผาเลตฺวา ขีรํ นีหริตฺวา สปฺปินวนีเตน สํโยเชตฺวา อทาสิ, ปุถุกกาเล ปุถุกํ กาเรตฺวา อทาสิ, ลายนกาเล ลายนคฺคํ, เวณิกรเณ เวณคฺคํ, กลาปาทีสุ กลาปคฺคํ, ขลคฺคํ, ขลภณฺฑคฺคํ, โกฎฺฐคฺคนฺติ เอวํ เอกสเสฺส นววาเร อคฺคทานํ อทาสิฯ กนิโฎฺฐ ปน อุทฺธริตฺวา อทาสิฯ
212.Subhaddonāma paribbājakoti udiccabrāhmaṇamahāsālakulā pabbajito channaparibbājako. Kaṅkhādhammoti vimatidhammo. Kasmā panassa ajja evaṃ ahosīti? Tathāvidhaupanissayattā. Pubbe kira puññakaraṇakāle dve bhātaro ahesuṃ. Te ekatova sassaṃ akaṃsu. Tattha jeṭṭhakassa – ‘‘ekasmiṃ sasse navavāre aggasassadānaṃ mayā dātabba’’nti ahosi. So vappakāle bījaggaṃ nāma datvā gabbhakāle kaniṭṭhena saddhiṃ mantesi – ‘‘gabbhakāle gabbhaṃ phāletvā dassāmā’’ti kaniṭṭho – ‘‘taruṇasassaṃ nāsetukāmosī’’ti āha. Jeṭṭho kaniṭṭhassa ananuvattanabhāvaṃ ñatvā khettaṃ vibhajitvā attano koṭṭhāsato gabbhaṃ phāletvā khīraṃ nīharitvā sappinavanītena saṃyojetvā adāsi, puthukakāle puthukaṃ kāretvā adāsi, lāyanakāle lāyanaggaṃ, veṇikaraṇe veṇaggaṃ, kalāpādīsu kalāpaggaṃ, khalaggaṃ, khalabhaṇḍaggaṃ, koṭṭhagganti evaṃ ekasasse navavāre aggadānaṃ adāsi. Kaniṭṭho pana uddharitvā adāsi.
เตสุ เชฎฺฐโก อญฺญาสิโกณฺฑญฺญเตฺถโร ชาโตฯ ภควา – ‘‘กสฺส นุ โข อหํ ปฐมํ ธมฺมํ เทเสยฺย’’นฺติ โอโลเกโนฺต ‘‘อญฺญาสิโกณฺฑโญฺญ เอกสฺมิํ สเสฺส นว อคฺคทานานิ อทาสิ, อิมํ อคฺคธมฺมํ ตสฺส เทเสสฺสามี’’ติ สพฺพปฐมํ ธมฺมํ เทเสสิฯ โส อฎฺฐารสหิ พฺรหฺมโกฎีหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ กนิโฎฺฐ ปน โอหียิตฺวา ปจฺฉา ทานสฺส ทินฺนตฺตา สตฺถุ ปรินิพฺพานกาเล เอวํ จิเนฺตตฺวา สตฺถารํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิฯ
Tesu jeṭṭhako aññāsikoṇḍaññatthero jāto. Bhagavā – ‘‘kassa nu kho ahaṃ paṭhamaṃ dhammaṃ deseyya’’nti olokento ‘‘aññāsikoṇḍañño ekasmiṃ sasse nava aggadānāni adāsi, imaṃ aggadhammaṃ tassa desessāmī’’ti sabbapaṭhamaṃ dhammaṃ desesi. So aṭṭhārasahi brahmakoṭīhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Kaniṭṭho pana ohīyitvā pacchā dānassa dinnattā satthu parinibbānakāle evaṃ cintetvā satthāraṃ daṭṭhukāmo ahosi.
มา ตถาคตํ วิเหเฐสีติ เถโร กิร – ‘‘เอเต อญฺญติตฺถิยา นาม อตฺตโน คหณเมว คณฺหนฺติ, ตสฺส วิสฺสชฺชาปนตฺถาย ภควโต พหุํ ภาสมานสฺส กายวาจาวิเหสา ภวิสฺสติ, ปกติยาปิ จ กิลโนฺตเยว ภควา’’ติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ ปริพฺพาชโก – ‘‘น เม อยํ ภิกฺขุ โอกาสํ กโรติ, อตฺถิเกน ปน อนุวตฺติตฺวา กาเรตโพฺพ’’ติ เถรํ อนุวตฺตโนฺต ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ อาหฯ
Mā tathāgataṃ viheṭhesīti thero kira – ‘‘ete aññatitthiyā nāma attano gahaṇameva gaṇhanti, tassa vissajjāpanatthāya bhagavato bahuṃ bhāsamānassa kāyavācāvihesā bhavissati, pakatiyāpi ca kilantoyeva bhagavā’’ti maññamāno evamāha. Paribbājako – ‘‘na me ayaṃ bhikkhu okāsaṃ karoti, atthikena pana anuvattitvā kāretabbo’’ti theraṃ anuvattanto dutiyampi tatiyampi āha.
๒๑๓. อโสฺสสิ โขติ สาณิทฺวาเร ฐิตสฺส ภาสโต ปกติโสเตเนว อโสฺสสิ, สุตฺวา จ ปน สุภทฺทเสฺสว อตฺถาย มหตา อุสฺสาเหน อาคตตฺตา อลํ อานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อลนฺติ ปฎิเกฺขปเตฺถ นิปาโตฯ อญฺญาเปโกฺขวาติ อญฺญาตุกาโมว หุตฺวาฯ อพฺภญฺญิํสูติ ยถา เตสํ ปฎิญฺญา, ตเถว ชานิํสุฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – สเจ เนสํ สา ปฎิญฺญา นิยฺยานิกา, สเพฺพ อพฺภญฺญํสุ, โน เจ, น อพฺภญฺญํสุฯ ตสฺมา กิํ เตสํ ปฎิญฺญา นิยฺยานิกา, อนิยฺยานิกาติ อยเมว ตสฺส ปญฺหสฺส อโตฺถฯ อถ ภควา เตสํ อนิยฺยานิกภาวกถเนน อตฺถาภาวโต เจว โอกาสาภาวโต จ ‘‘อล’’นฺติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ธมฺมเมว เทเสสิฯ ปฐมยามสฺมิญฺหิ มลฺลานํ ธมฺมํ เทเสตฺวา มชฺฌิมยาเม สุภทฺทสฺส, ปจฺฉิมยาเม ภิกฺขุสงฺฆํ โอวทิตฺวา พลวปจฺจูสสมเย ปรินิพฺพายิสฺสามิเจฺจว ภควา อาคโตฯ
213.Assosikhoti sāṇidvāre ṭhitassa bhāsato pakatisoteneva assosi, sutvā ca pana subhaddasseva atthāya mahatā ussāhena āgatattā alaṃ ānandātiādimāha. Tattha alanti paṭikkhepatthe nipāto. Aññāpekkhovāti aññātukāmova hutvā. Abbhaññiṃsūti yathā tesaṃ paṭiññā, tatheva jāniṃsu. Idaṃ vuttaṃ hoti – sace nesaṃ sā paṭiññā niyyānikā, sabbe abbhaññaṃsu, no ce, na abbhaññaṃsu. Tasmā kiṃ tesaṃ paṭiññā niyyānikā, aniyyānikāti ayameva tassa pañhassa attho. Atha bhagavā tesaṃ aniyyānikabhāvakathanena atthābhāvato ceva okāsābhāvato ca ‘‘ala’’nti paṭikkhipitvā dhammameva desesi. Paṭhamayāmasmiñhi mallānaṃ dhammaṃ desetvā majjhimayāme subhaddassa, pacchimayāme bhikkhusaṅghaṃ ovaditvā balavapaccūsasamaye parinibbāyissāmicceva bhagavā āgato.
๒๑๔. สมโณปิ ตตฺถ น อุปลพฺภตีติ ปฐโม โสตาปนฺนสมโณปิ ตตฺถ นตฺถิ, ทุติโย สกทาคามิสมโณปิ, ตติโย อนาคามิสมโณปิ, จตุโตฺถ อรหตฺตสมโณปิ ตตฺถ นตฺถีติ อโตฺถฯ ‘‘อิมสฺมิํ โข’’ติ ปุริมเทสนาย อนิยมโต วตฺวา อิทานิ อตฺตโน สาสนํ นิยเมโนฺต อาหฯ สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภีติ จตุนฺนํ มคฺคานํ อตฺถาย อารทฺธวิปสฺสเกหิ จตูหิ, มคฺคเฎฺฐหิ จตูหิ, ผลเฎฺฐหิ จตูหีติ ทฺวาทสหิ สมเณหิ สุญฺญา ปรปฺปวาทา ตุจฺฉา ริตฺตกาฯ อิเม จ สุภทฺทาติ อิเม ทฺวาทส ภิกฺขูฯ สมฺมา วิหเรยฺยุนฺติ เอตฺถ โสตาปโนฺน อตฺตโน อธิคตฎฺฐานํ อญฺญสฺส กเถตฺวา ตํ โสตาปนฺนํ กโรโนฺต สมฺมา วิหรติ นามฯ เอส นโย สกทาคามิอาทีสุฯ โสตาปตฺติมคฺคโฎฺฐ อญฺญมฺปิ โสตาปตฺติมคฺคฎฺฐํ กโรโนฺต สมฺมา วิหรติ นามฯ เอส นโย เสสมคฺคเฎฺฐสุฯ โสตาปตฺติมคฺคตฺถาย อารทฺธวิปสฺสโก อตฺตโน ปคุณํ กมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา อญฺญมฺปิ โสตาปตฺติมคฺคตฺถาย อารทฺธวิปสฺสกํ กโรโนฺต สมฺมา วิหรติ นามฯ เอส นโย เสสมคฺคตฺถาย อารทฺธวิปสฺสเกสุฯ อิทํ สนฺธายาห – ‘‘สมฺมา วิหเรยฺยุ’’นฺติฯ อสุโญฺญ โลโก อรหเนฺตหิ อสฺสาติ นฬวนํ สรวนํ วิย นิรนฺตโร อสฺสฯ
214.Samaṇopi tattha na upalabbhatīti paṭhamo sotāpannasamaṇopi tattha natthi, dutiyo sakadāgāmisamaṇopi, tatiyo anāgāmisamaṇopi, catuttho arahattasamaṇopi tattha natthīti attho. ‘‘Imasmiṃ kho’’ti purimadesanāya aniyamato vatvā idāni attano sāsanaṃ niyamento āha. Suññā parappavādā samaṇebhīti catunnaṃ maggānaṃ atthāya āraddhavipassakehi catūhi, maggaṭṭhehi catūhi, phalaṭṭhehi catūhīti dvādasahi samaṇehi suññā parappavādā tucchā rittakā. Ime ca subhaddāti ime dvādasa bhikkhū. Sammā vihareyyunti ettha sotāpanno attano adhigataṭṭhānaṃ aññassa kathetvā taṃ sotāpannaṃ karonto sammā viharati nāma. Esa nayo sakadāgāmiādīsu. Sotāpattimaggaṭṭho aññampi sotāpattimaggaṭṭhaṃ karonto sammā viharati nāma. Esa nayo sesamaggaṭṭhesu. Sotāpattimaggatthāya āraddhavipassako attano paguṇaṃ kammaṭṭhānaṃ kathetvā aññampi sotāpattimaggatthāya āraddhavipassakaṃ karonto sammā viharati nāma. Esa nayo sesamaggatthāya āraddhavipassakesu. Idaṃ sandhāyāha – ‘‘sammā vihareyyu’’nti. Asuñño loko arahantehi assāti naḷavanaṃ saravanaṃ viya nirantaro assa.
เอกูนติํโส วยสาติ วเยน เอกูนติํสวโสฺส หุตฺวาฯ ยํ ปพฺพชินฺติ เอตฺถ ยนฺติ นิปาตมตฺตํฯ กิํ กุสลานุเอสีติ ‘‘กิํ กุสล’’นฺติ อนุเอสโนฺต ปริเยสโนฺตฯ ตตฺถ – ‘‘กิํ กุสล’’นฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อธิเปฺปตํ, ตํ คเวสโนฺตติ อโตฺถฯ ยโต อหนฺติ ยโต ปฎฺฐาย อหํ ปพฺพชิโต, เอตฺถนฺตเร สมธิกานิ ปญฺญาส วสฺสานิ โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ ญายสฺส ธมฺมสฺสาติ อริยมคฺคธมฺมสฺสฯ ปเทสวตฺตีติ ปเทเส วิปสฺสนามเคฺค ปวตฺตโนฺตฯ อิโต พหิทฺธาติ มม สาสนโต พหิทฺธาฯ สมโณปิ นตฺถีติ ปเทสวตฺติวิปสฺสโกปิ นตฺถิ, ปฐมสมโณ โสตาปโนฺนปิ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ
Ekūnatiṃso vayasāti vayena ekūnatiṃsavasso hutvā. Yaṃ pabbajinti ettha yanti nipātamattaṃ. Kiṃ kusalānuesīti ‘‘kiṃ kusala’’nti anuesanto pariyesanto. Tattha – ‘‘kiṃ kusala’’nti sabbaññutaññāṇaṃ adhippetaṃ, taṃ gavesantoti attho. Yato ahanti yato paṭṭhāya ahaṃ pabbajito, etthantare samadhikāni paññāsa vassāni hontīti dasseti. Ñāyassa dhammassāti ariyamaggadhammassa. Padesavattīti padese vipassanāmagge pavattanto. Ito bahiddhāti mama sāsanato bahiddhā. Samaṇopinatthīti padesavattivipassakopi natthi, paṭhamasamaṇo sotāpannopi natthīti vuttaṃ hoti.
เย เอตฺถาติ เย ตุเมฺห เอตฺถ สาสเน สตฺถารา สมฺมุขา อเนฺตวาสิกาภิเสเกน อภิสิตฺตา, เตสํ โว ลาภา เตสํ โว สุลทฺธนฺติฯ พาหิรสมเย กิร ยํ อเนฺตวาสิกํ อาจริโย – ‘‘อิมํ ปพฺพาเชหิ , อิมํ โอวท, อิมํ อนุสาสา’’ติ วทติ, โส เตน อตฺตโน ฐาเน ฐปิโต โหติ, ตสฺมา ตสฺส – ‘‘อิมํ ปพฺพเชหิ, อิมํ โอวท, อิมํ อนุสาสา’’ติ อิเม ลาภา โหนฺติฯ เถรมฺปิ สุภโทฺท ตเมว พาหิรสมยํ คเหตฺวา เอวมาหฯ
Ye etthāti ye tumhe ettha sāsane satthārā sammukhā antevāsikābhisekena abhisittā, tesaṃ vo lābhā tesaṃ vo suladdhanti. Bāhirasamaye kira yaṃ antevāsikaṃ ācariyo – ‘‘imaṃ pabbājehi , imaṃ ovada, imaṃ anusāsā’’ti vadati, so tena attano ṭhāne ṭhapito hoti, tasmā tassa – ‘‘imaṃ pabbajehi, imaṃ ovada, imaṃ anusāsā’’ti ime lābhā honti. Therampi subhaddo tameva bāhirasamayaṃ gahetvā evamāha.
อลตฺถ โขติ กถํ อลตฺถ? เถโร กิร นํ เอกมนฺตํ เนตฺวา อุทกตุมฺพโต ปานีเยน สีสํ เตเมตฺวา ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาทาเปตฺวา สรณานิ ทตฺวา ภควโต สนฺติกํ อาเนสิฯ ภควา อุปสมฺปาเทตฺวา กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิฯ โส ตํ คเหตฺวา อุยฺยานสฺส เอกมเนฺต จงฺกมํ อธิฎฺฐาย ฆเฎโนฺต วายมโนฺต วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา อาคมฺม ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา นิสีทิฯ ตํ สนฺธาย – ‘‘อจิรูปสมฺปโนฺน โข ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Alattha khoti kathaṃ alattha? Thero kira naṃ ekamantaṃ netvā udakatumbato pānīyena sīsaṃ temetvā tacapañcakakammaṭṭhānaṃ kathetvā kesamassuṃ ohāretvā kāsāyāni vatthāni acchādāpetvā saraṇāni datvā bhagavato santikaṃ ānesi. Bhagavā upasampādetvā kammaṭṭhānaṃ ācikkhi. So taṃ gahetvā uyyānassa ekamante caṅkamaṃ adhiṭṭhāya ghaṭento vāyamanto vipassanaṃ vaḍḍhento saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā āgamma bhagavantaṃ vanditvā nisīdi. Taṃ sandhāya – ‘‘acirūpasampanno kho panā’’tiādi vuttaṃ.
โส จ ภควโต ปจฺฉิโม สกฺขิสาวโก อโหสีติ สงฺคีติการกานํ วจนํฯ ตตฺถ โย ภควติ ธรมาเน ปพฺพชิตฺวา อปรภาเค อุปสมฺปทํ ลภิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, อุปสมฺปทมฺปิ วา ธรมาเนเยว ลภิตฺวา อปรภาเค กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, กมฺมฎฺฐานมฺปิ วา ธรมาเนเยว คเหตฺวา อปรภาเค อรหตฺตเมว ปาปุณาติ, สโพฺพปิ โส ปจฺฉิโม สกฺขิสาวโกฯ อยํ ปน ธรมาเนเยว ภควติ ปพฺพชิโต จ อุปสมฺปโนฺน จ กมฺมฎฺฐานญฺจ คเหตฺวา อรหตฺตํ ปโตฺตติฯ
So ca bhagavato pacchimo sakkhisāvako ahosīti saṅgītikārakānaṃ vacanaṃ. Tattha yo bhagavati dharamāne pabbajitvā aparabhāge upasampadaṃ labhitvā kammaṭṭhānaṃ gahetvā arahattaṃ pāpuṇāti, upasampadampi vā dharamāneyeva labhitvā aparabhāge kammaṭṭhānaṃ gahetvā arahattaṃ pāpuṇāti, kammaṭṭhānampi vā dharamāneyeva gahetvā aparabhāge arahattameva pāpuṇāti, sabbopi so pacchimo sakkhisāvako. Ayaṃ pana dharamāneyeva bhagavati pabbajito ca upasampanno ca kammaṭṭhānañca gahetvā arahattaṃ pattoti.
ปญฺจมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
ตถาคตปจฺฉิมวาจาวณฺณนา
Tathāgatapacchimavācāvaṇṇanā
๒๑๖. อิทานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอวาทํ อารภิ, ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข ภควาติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เทสิโต ปญฺญโตฺตติ ธโมฺมปิ เทสิโต เจว ปญฺญโตฺต จ, วินโยปิ เทสิโต เจว ปญฺญโตฺต จฯ ปญฺญโตฺต จ นาม ฐปิโต ปฎฺฐปิโตติ อโตฺถฯ โส โว มมจฺจเยนาติ โส ธมฺมวินโย ตุมฺหากํ มมจฺจเยน สตฺถาฯ มยา หิ โว ฐิเตเนว – ‘‘อิทํ ลหุกํ, อิทํ ครุกํ, อิทํ สเตกิจฺฉํ, อิทํ อเตกิจฺฉํ, อิทํ โลกวชฺชํ, อิทํ ปณฺณตฺติวชฺชํ, อยํ อาปตฺติ ปุคฺคลสฺส สนฺติเก วุฎฺฐาติ, อยํ อาปตฺติ คณสฺส สนฺติเก วุฎฺฐาติ, อยํ สงฺฆสฺส สนฺติเก วุฎฺฐาตี’’ติ สตฺตาปตฺติกฺขนฺธวเสน โอติเณฺณ วตฺถุสฺมิํ สขนฺธกปริวาโร อุภโตวิภโงฺค วินโย นาม เทสิโต, ตํ สกลมฺปิ วินยปิฎกํ มยิ ปรินิพฺพุเต ตุมฺหากํ สตฺถุกิจฺจํ สาเธสฺสติฯ
216. Idāni bhikkhusaṅghassa ovādaṃ ārabhi, taṃ dassetuṃ atha kho bhagavātiādi vuttaṃ. Tattha desito paññattoti dhammopi desito ceva paññatto ca, vinayopi desito ceva paññatto ca. Paññatto ca nāma ṭhapito paṭṭhapitoti attho. So vo mamaccayenāti so dhammavinayo tumhākaṃ mamaccayena satthā. Mayā hi vo ṭhiteneva – ‘‘idaṃ lahukaṃ, idaṃ garukaṃ, idaṃ satekicchaṃ, idaṃ atekicchaṃ, idaṃ lokavajjaṃ, idaṃ paṇṇattivajjaṃ, ayaṃ āpatti puggalassa santike vuṭṭhāti, ayaṃ āpatti gaṇassa santike vuṭṭhāti, ayaṃ saṅghassa santike vuṭṭhātī’’ti sattāpattikkhandhavasena otiṇṇe vatthusmiṃ sakhandhakaparivāro ubhatovibhaṅgo vinayo nāma desito, taṃ sakalampi vinayapiṭakaṃ mayi parinibbute tumhākaṃ satthukiccaṃ sādhessati.
ฐิเตเนว จ มยา – ‘‘อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐานา, จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา, จตฺตาโร อิทฺธิปาทา, ปญฺจ อินฺทฺริยานิ, ปญฺจ พลานิ, สตฺต โพชฺฌงฺคา, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ เตน เตนากาเรน อิเม ธเมฺม วิภชิตฺวา วิภชิตฺวา สุตฺตนฺตปิฎกํ เทสิตํ, ตํ สกลมฺปิ สุตฺตนฺตปิฎกํ มยิ ปรินิพฺพุเต ตุมฺหากํ สตฺถุกิจฺจํ สาเธสฺสติฯ ฐิเตเนว จ มยา – ‘‘อิเม ปญฺจกฺขนฺธา, ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส ธาตุโย, จตฺตาริ สจฺจานิ, พาวีสตินฺทฺริยานิ, นว เหตู, จตฺตาโร อาหารา, สตฺต ผสฺสา, สตฺต เวทนา, สตฺต สญฺญา, สตฺต สเญฺจตนา, สตฺต จิตฺตานิฯ ตตฺราปิ ‘เอตฺตกา ธมฺมา กามาวจรา, เอตฺตกา รูปาวจรา, เอตฺตกา อรูปาวจรา, เอตฺตกา ปริยาปนฺนา, เอตฺตกา อปริยาปนฺนา, เอตฺตกา โลกิยา, เอตฺตกา โลกุตฺตรา’ติ’’ อิเม ธเมฺม วิภชิตฺวา วิภชิตฺวา จตุวีสติสมนฺตปฎฺฐานอนนฺตนยมหาปฎฺฐานปฎิมณฺฑิตํ อภิธมฺมปิฎกํ เทสิตํ, ตํ สกลมฺปิ อภิธมฺมปิฎกํ มยิ ปรินิพฺพุเต ตุมฺหากํ สตฺถุกิจฺจํ สาเธสฺสติฯ
Ṭhiteneva ca mayā – ‘‘ime cattāro satipaṭṭhānā, cattāro sammappadhānā, cattāro iddhipādā, pañca indriyāni, pañca balāni, satta bojjhaṅgā, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti tena tenākārena ime dhamme vibhajitvā vibhajitvā suttantapiṭakaṃ desitaṃ, taṃ sakalampi suttantapiṭakaṃ mayi parinibbute tumhākaṃ satthukiccaṃ sādhessati. Ṭhiteneva ca mayā – ‘‘ime pañcakkhandhā, dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa dhātuyo, cattāri saccāni, bāvīsatindriyāni, nava hetū, cattāro āhārā, satta phassā, satta vedanā, satta saññā, satta sañcetanā, satta cittāni. Tatrāpi ‘ettakā dhammā kāmāvacarā, ettakā rūpāvacarā, ettakā arūpāvacarā, ettakā pariyāpannā, ettakā apariyāpannā, ettakā lokiyā, ettakā lokuttarā’ti’’ ime dhamme vibhajitvā vibhajitvā catuvīsatisamantapaṭṭhānaanantanayamahāpaṭṭhānapaṭimaṇḍitaṃ abhidhammapiṭakaṃ desitaṃ, taṃ sakalampi abhidhammapiṭakaṃ mayi parinibbute tumhākaṃ satthukiccaṃ sādhessati.
อิติ สพฺพเมฺปตํ อภิสโมฺพธิโต ยาว ปรินิพฺพานา ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสานิ ภาสิตํ ลปิตํ – ‘‘ตีณิ ปิฎกานิ, ปญฺจ นิกายา, นวงฺคานิ, จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานี’’ติ เอวํ มหาปเภทํ โหติฯ อิติ อิมานิ จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ ติฎฺฐนฺติ, อหํ เอโกว ปรินิพฺพายามิฯ อหญฺจ โข ปน ทานิ เอกโกว โอวทามิ อนุสาสามิ, มยิ ปรินิพฺพุเต อิมานิ จตุราสีติ ธมฺมกฺขนฺธสหสฺสานิ ตุเมฺห โอวทิสฺสนฺติ อนุสาสิสฺสนฺตีติ เอวํ ภควา พหูนิ การณานิ ทเสฺสโนฺต – ‘‘โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ โอวทิตฺวา ปุน อนาคเต จาริตฺตํ ทเสฺสโนฺต ยถา โข ปนาติอาทิมาหฯ
Iti sabbampetaṃ abhisambodhito yāva parinibbānā pañcacattālīsavassāni bhāsitaṃ lapitaṃ – ‘‘tīṇi piṭakāni, pañca nikāyā, navaṅgāni, caturāsīti dhammakkhandhasahassānī’’ti evaṃ mahāpabhedaṃ hoti. Iti imāni caturāsīti dhammakkhandhasahassāni tiṭṭhanti, ahaṃ ekova parinibbāyāmi. Ahañca kho pana dāni ekakova ovadāmi anusāsāmi, mayi parinibbute imāni caturāsīti dhammakkhandhasahassāni tumhe ovadissanti anusāsissantīti evaṃ bhagavā bahūni kāraṇāni dassento – ‘‘so vo mamaccayena satthā’’ti ovaditvā puna anāgate cārittaṃ dassento yathā kho panātiādimāha.
ตตฺถ สมุทาจรนฺตีติ กเถนฺติ โวหรนฺติฯ นาเมน วา โคเตฺตน วาติ นวกาติ อวตฺวา ‘‘ติสฺส, นาคา’’ติ เอวํ นาเมน วา, ‘‘กสฺสป, โคตมา’’ติ เอวํ โคเตฺตน วา, ‘‘อาวุโส ติสฺส, อาวุโส กสฺสปา’’ติ เอวํ อาวุโสวาเทน วา สมุทาจริตโพฺพฯ ภเนฺตติ วา อายสฺมาติ วาติ ภเนฺต ติสฺส, อายสฺมา ติสฺสาติ เอวํ สมุทาจริตโพฺพฯ สมูหนตูติ อากงฺขมาโน สมูหนตุ, ยทิ อิจฺฉติ สมูหเนยฺยาติ อโตฺถฯ กสฺมา ปน สมูหนถาติ เอกํเสเนว อวตฺวา วิกปฺปวจเนเนว ฐเปสีติ? มหากสฺสปสฺส พลํ ทิฎฺฐตฺตาฯ ปสฺสติ หิ ภควา – ‘‘สมูหนถาติ วุเตฺตปิ สงฺคีติกาเล กสฺสโป น สมูหนิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา วิกเปฺปเนว ฐเปสิฯ
Tattha samudācarantīti kathenti voharanti. Nāmena vā gottena vāti navakāti avatvā ‘‘tissa, nāgā’’ti evaṃ nāmena vā, ‘‘kassapa, gotamā’’ti evaṃ gottena vā, ‘‘āvuso tissa, āvuso kassapā’’ti evaṃ āvusovādena vā samudācaritabbo. Bhanteti vā āyasmāti vāti bhante tissa, āyasmā tissāti evaṃ samudācaritabbo. Samūhanatūti ākaṅkhamāno samūhanatu, yadi icchati samūhaneyyāti attho. Kasmā pana samūhanathāti ekaṃseneva avatvā vikappavacaneneva ṭhapesīti? Mahākassapassa balaṃ diṭṭhattā. Passati hi bhagavā – ‘‘samūhanathāti vuttepi saṅgītikāle kassapo na samūhanissatī’’ti. Tasmā vikappeneva ṭhapesi.
ตตฺถ – ‘‘เอกเจฺจ เถรา เอวมาหํสุ – จตฺตาริ ปาราชิกานิ ฐเปตฺวา อวเสสานิ ขุทฺทานุขุทฺทกานี’’ติอาทินา นเยน ปญฺจสติกสงฺคีติยํ ขุทฺทานุขุทฺทกกถา อาคตาว วินิจฺฉโย เปตฺถ สมนฺตปาสาทิกายํ วุโตฺตฯ เกจิ ปนาหุ – ‘‘ภเนฺต, นาคเสน, กตมํ ขุทฺทกํ, กตมํ อนุขุทฺทก’’นฺติ มิลิเนฺทน รญฺญา ปุจฺฉิโตฯ ‘‘ทุกฺกฎํ, มหาราช, ขุทฺทกํ, ทุพฺภาสิตํ อนุขุทฺทก’’นฺติ วุตฺตตฺตา นาคเสนเตฺถโร ขุทฺทานุขุทฺทกํ ชานาติฯ มหากสฺสโป ปน ตํ อชานโนฺต –
Tattha – ‘‘ekacce therā evamāhaṃsu – cattāri pārājikāni ṭhapetvā avasesāni khuddānukhuddakānī’’tiādinā nayena pañcasatikasaṅgītiyaṃ khuddānukhuddakakathā āgatāva vinicchayo pettha samantapāsādikāyaṃ vutto. Keci panāhu – ‘‘bhante, nāgasena, katamaṃ khuddakaṃ, katamaṃ anukhuddaka’’nti milindena raññā pucchito. ‘‘Dukkaṭaṃ, mahārāja, khuddakaṃ, dubbhāsitaṃ anukhuddaka’’nti vuttattā nāgasenatthero khuddānukhuddakaṃ jānāti. Mahākassapo pana taṃ ajānanto –
‘‘สุณาตุ เม, อาวุโส, สโงฺฆ สนฺตมฺหากํ สิกฺขาปทานิ คิหิคตานิ, คิหิโนปิ ชานนฺติ – ‘‘อิทํ โว สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ กปฺปติ, อิทํ โว น กปฺปตี’’ติฯ สเจ มยํ ขุทฺทานุขุทฺทกานิ สิกฺขาปทานิ สมูหนิสฺสาม, ภวิสฺสนฺติ วตฺตาโร – ‘‘ธูมกาลิกํ สมเณน โคตเมน สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปญฺญตฺตํ, ยาว เนสํ สตฺถา อฎฺฐาสิ, ตาวิเม สิกฺขาปเทสุ สิกฺขิํสุ, ยโต อิเมสํ สตฺถา ปรินิพฺพุโต, น ทานิเม สิกฺขาปเทสุ สิกฺขนฺตี’’ติฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สโงฺฆ อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปยฺย, ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉิเนฺทยฺย, ยถาปญฺญเตฺตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วเตฺตยฺยฯ เอสา ญตฺตีติ –
‘‘Suṇātu me, āvuso, saṅgho santamhākaṃ sikkhāpadāni gihigatāni, gihinopi jānanti – ‘‘idaṃ vo samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ kappati, idaṃ vo na kappatī’’ti. Sace mayaṃ khuddānukhuddakāni sikkhāpadāni samūhanissāma, bhavissanti vattāro – ‘‘dhūmakālikaṃ samaṇena gotamena sāvakānaṃ sikkhāpadaṃ paññattaṃ, yāva nesaṃ satthā aṭṭhāsi, tāvime sikkhāpadesu sikkhiṃsu, yato imesaṃ satthā parinibbuto, na dānime sikkhāpadesu sikkhantī’’ti. Yadi saṅghassa pattakallaṃ, saṅgho apaññattaṃ na paññapeyya, paññattaṃ na samucchindeyya, yathāpaññattesu sikkhāpadesu samādāya vatteyya. Esā ñattīti –
กมฺมวาจํ สาเวสีติฯ น ตํ เอวํ คเหตพฺพํฯ นาคเสนเตฺถโร หิ – ‘‘ปรวาทิโน โอกาโส มา อโหสี’’ติ เอวมาหฯ มหากสฺสปเตฺถโร ‘‘ขุทฺทานุขุทฺทกาปตฺติํ น สมูหนิสฺสามี’’ติ กมฺมวาจํ สาเวสิฯ
Kammavācaṃ sāvesīti. Na taṃ evaṃ gahetabbaṃ. Nāgasenatthero hi – ‘‘paravādino okāso mā ahosī’’ti evamāha. Mahākassapatthero ‘‘khuddānukhuddakāpattiṃ na samūhanissāmī’’ti kammavācaṃ sāvesi.
พฺรหฺมทณฺฑกถาปิ สงฺคีติยํ อาคตตฺตาสมนฺตปาสาทิกายํ วินิจฺฉิตาฯ
Brahmadaṇḍakathāpi saṅgītiyaṃ āgatattāsamantapāsādikāyaṃ vinicchitā.
กงฺขาติ เทฺวฬฺหกํฯ วิมตีติ วินิจฺฉิตุํ อสมตฺถตา, พุโทฺธ นุ โข, น พุโทฺธ นุ โข, ธโมฺม นุ โข, น ธโมฺม นุ โข, สโงฺฆ นุ โข, น สโงฺฆ นุ โข, มโคฺค นุ โข, น มโคฺค นุ โข, ปฎิปทา นุ โข, น ปฎิปทา นุ โขติ ยสฺส สํสโย อุปฺปเชฺชยฺย, ตํ โว วทามิ ‘‘ปุจฺฉถ ภิกฺขเว’’ติ อยเมตฺถ สเงฺขปโตฺถฯ สตฺถุคารเวนาปิ น ปุเจฺฉยฺยาถาติ มยํ สตฺถุสนฺติเก ปพฺพชิมฺห, จตฺตาโร ปจฺจยาปิ โน สตฺถุ สนฺตกาว, เต มยํ เอตฺตกํ กาลํ กงฺขํ อกตฺวา น อรหาม อชฺช ปจฺฉิมกาเล กงฺขํ กาตุนฺติ สเจ เอวํ สตฺถริ คารเวน น ปุจฺฉถฯ สหายโกปิ ภิกฺขเว สหายกสฺส อาโรเจตูติ ตุมฺหากํ โย ยสฺส ภิกฺขุโน สนฺทิโฎฺฐ สมฺภโตฺต, โส ตสฺส อาโรเจตุ, อหํ เอตสฺส ภิกฺขุสฺส กเถสฺสามิ, ตสฺส กถํ สุตฺวา สเพฺพ นิกฺกงฺขา ภวิสฺสถาติ ทเสฺสติฯ
Kaṅkhāti dveḷhakaṃ. Vimatīti vinicchituṃ asamatthatā, buddho nu kho, na buddho nu kho, dhammo nu kho, na dhammo nu kho, saṅgho nu kho, na saṅgho nu kho, maggo nu kho, na maggo nu kho, paṭipadā nu kho, na paṭipadā nu khoti yassa saṃsayo uppajjeyya, taṃ vo vadāmi ‘‘pucchatha bhikkhave’’ti ayamettha saṅkhepattho. Satthugāravenāpi na puccheyyāthāti mayaṃ satthusantike pabbajimha, cattāro paccayāpi no satthu santakāva, te mayaṃ ettakaṃ kālaṃ kaṅkhaṃ akatvā na arahāma ajja pacchimakāle kaṅkhaṃ kātunti sace evaṃ satthari gāravena na pucchatha. Sahāyakopi bhikkhave sahāyakassa ārocetūti tumhākaṃ yo yassa bhikkhuno sandiṭṭho sambhatto, so tassa ārocetu, ahaṃ etassa bhikkhussa kathessāmi, tassa kathaṃ sutvā sabbe nikkaṅkhā bhavissathāti dasseti.
เอวํ ปสโนฺนติ เอวํ สทฺทหามิ อหนฺติ อโตฺถฯ ญาณเมวาติ นิกฺกงฺขภาวปจฺจกฺขกรณญาณํเยว, เอตฺถ ตถาคตสฺส น สทฺธามตฺตนฺติ อโตฺถฯ อิเมสญฺหิ, อานนฺทาติ อิเมสํ อโนฺตสาณิยํ นิสินฺนานํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํฯ โย ปจฺฉิมโกติ โย คุณวเสน ปจฺฉิมโกฯ อานนฺทเตฺถรํเยว สนฺธายาหฯ
Evaṃ pasannoti evaṃ saddahāmi ahanti attho. Ñāṇamevāti nikkaṅkhabhāvapaccakkhakaraṇañāṇaṃyeva, ettha tathāgatassa na saddhāmattanti attho. Imesañhi, ānandāti imesaṃ antosāṇiyaṃ nisinnānaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ. Yo pacchimakoti yo guṇavasena pacchimako. Ānandattheraṃyeva sandhāyāha.
๒๑๘. อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ สติอวิปฺปวาเสน สพฺพกิจฺจานิ สมฺปาเทยฺยาถฯ อิติ ภควา ปรินิพฺพานมเญฺจ นิปโนฺน ปญฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ทินฺนํ โอวาทํ สพฺพํ เอกสฺมิํ อปฺปมาทปเทเยว ปกฺขิปิตฺวา อทาสิฯ อยํ ตถาคตสฺส ปจฺฉิมา วาจาติ อิทํ ปน สงฺคีติการกานํ วจนํฯ
218.Appamādena sampādethāti satiavippavāsena sabbakiccāni sampādeyyātha. Iti bhagavā parinibbānamañce nipanno pañcacattālīsa vassāni dinnaṃ ovādaṃ sabbaṃ ekasmiṃ appamādapadeyeva pakkhipitvā adāsi. Ayaṃ tathāgatassa pacchimā vācāti idaṃ pana saṅgītikārakānaṃ vacanaṃ.
ปรินิพฺพุตกถาวณฺณนา
Parinibbutakathāvaṇṇanā
๒๑๙. อิโต ปรํ ยํ ปรินิพฺพานปริกมฺมํ กตฺวา ภควา ปรินิพฺพุโต, ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข ภควา ปฐมํ ฌานนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปรินิพฺพุโต ภเนฺตติ นิโรธํ สมาปนฺนสฺส ภควโต อสฺสาสปสฺสาสานํ อภาวํ ทิสฺวา ปุจฺฉติฯ น อาวุโสติ เถโร กถํ ชานาติ? เถโร กิร สตฺถารา สทฺธิํเยว ตํ ตํ สมาปตฺติํ สมาปชฺชโนฺต ยาว เนวสญฺญานาสญฺญายตนา วุฎฺฐานํ, ตาว คนฺตฺวา อิทานิ ภควา นิโรธํ สมาปโนฺน, อโนฺตนิโรเธ จ กาลงฺกิริยา นาม นตฺถีติ ชานาติฯ
219. Ito paraṃ yaṃ parinibbānaparikammaṃ katvā bhagavā parinibbuto, taṃ dassetuṃ atha kho bhagavā paṭhamaṃ jhānantiādi vuttaṃ. Tattha parinibbuto bhanteti nirodhaṃ samāpannassa bhagavato assāsapassāsānaṃ abhāvaṃ disvā pucchati. Na āvusoti thero kathaṃ jānāti? Thero kira satthārā saddhiṃyeva taṃ taṃ samāpattiṃ samāpajjanto yāva nevasaññānāsaññāyatanā vuṭṭhānaṃ, tāva gantvā idāni bhagavā nirodhaṃ samāpanno, antonirodhe ca kālaṅkiriyā nāma natthīti jānāti.
อถ โข ภควา สญฺญาเวทยิตนิโรธสมาปตฺติยา วุฎฺฐหิตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมาปชฺชิ…เป.… ตติยชฺฌานา วุฎฺฐหิตฺวา จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชีติ เอตฺถ ภควา จตุวีสติยา ฐาเนสุ ปฐมชฺฌานํ สมาปชฺชิ, เตรสสุ ฐาเนสุ ทุติยชฺฌานํ, ตถา ตติยชฺฌานํ, ปนฺนรสสุ ฐาเนสุ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิฯ กถํ? ทสสุ อสุเภสุ, ทฺวตฺติํสากาเร อฎฺฐสุ กสิเณสุ, เมตฺตากรุณามุทิตาสุ, อานาปาเน, ปริเจฺฉทากาเสติ อิเมสุ ตาว จตุวีสติยา ฐาเนสุ ปฐมชฺฌานํ สมาปชฺชิฯ ฐเปตฺวา ปน ทฺวตฺติํสาการญฺจ ทส อสุภานิ จ เสเสสุ เตรสสุ ทุติยชฺฌานํ , เตสุเยว จ ตติยชฺฌานํ สมาปชฺชิฯ อฎฺฐสุ ปน กสิเณสุ, อุเปกฺขาพฺรหฺมวิหาเร, อานาปาเน, ปริเจฺฉทากาเส, จตูสุ อรูเปสูติ อิเมสุ ปนฺนรสสุ ฐาเนสุ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิฯ อยมฺปิ จ สเงฺขปกถาวฯ นิพฺพานปุรํ ปวิสโนฺต ปน ภควา ธมฺมสฺสามี สพฺพาปิ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขฺยา สมาปตฺติโย ปวิสิตฺวา วิเทสํ คจฺฉโนฺต ญาติชนํ อาลิเงฺคตฺวา วิย สพฺพสมาปตฺติสุขํ อนุภวิตฺวา ปวิโฎฺฐฯ
Atha kho bhagavā saññāvedayitanirodhasamāpattiyā vuṭṭhahitvā nevasaññānāsaññāyatanaṃ samāpajji…pe… tatiyajjhānā vuṭṭhahitvā catutthajjhānaṃ samāpajjīti ettha bhagavā catuvīsatiyā ṭhānesu paṭhamajjhānaṃ samāpajji, terasasu ṭhānesu dutiyajjhānaṃ, tathā tatiyajjhānaṃ, pannarasasu ṭhānesu catutthajjhānaṃ samāpajji. Kathaṃ? Dasasu asubhesu, dvattiṃsākāre aṭṭhasu kasiṇesu, mettākaruṇāmuditāsu, ānāpāne, paricchedākāseti imesu tāva catuvīsatiyā ṭhānesu paṭhamajjhānaṃ samāpajji. Ṭhapetvā pana dvattiṃsākārañca dasa asubhāni ca sesesu terasasu dutiyajjhānaṃ , tesuyeva ca tatiyajjhānaṃ samāpajji. Aṭṭhasu pana kasiṇesu, upekkhābrahmavihāre, ānāpāne, paricchedākāse, catūsu arūpesūti imesu pannarasasu ṭhānesu catutthajjhānaṃ samāpajji. Ayampi ca saṅkhepakathāva. Nibbānapuraṃ pavisanto pana bhagavā dhammassāmī sabbāpi catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhyā samāpattiyo pavisitvā videsaṃ gacchanto ñātijanaṃ āliṅgetvā viya sabbasamāpattisukhaṃ anubhavitvā paviṭṭho.
จตุตฺถชฺฌานา วุฎฺฐหิตฺวา สมนนฺตรา ภควา ปรินิพฺพายีติ เอตฺถ ฌานสมนนฺตรํ, ปจฺจเวกฺขณาสมนนฺตรนฺติ เทฺว สมนนฺตรานิฯ ตตฺถ ฌานา วุฎฺฐาย ภวงฺคํ โอติณฺณสฺส ตเตฺถว ปรินิพฺพานํ ฌานสมนนฺตรํ นามฯ ฌานา วุฎฺฐหิตฺวา ปุน ฌานงฺคานิ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ภวงฺคํ โอติณฺณสฺส ตเตฺถว ปรินิพฺพานํ ปจฺจเวกฺขณาสมนนฺตรํ นามฯ อิมานิปิ เทฺว สมนนฺตราเนวฯ ภควา ปน ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา ฌานา วุฎฺฐาย ฌานงฺคานิ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ภวงฺคจิเตฺตน อพฺยากเตน ทุกฺขสเจฺจน ปรินิพฺพายิฯ เย หิ เกจิ พุทฺธา วา ปเจฺจกพุทฺธา วา อริยสาวกา วา อนฺตมโส กุนฺถกิปิลฺลิกํ อุปาทาย สเพฺพ ภวงฺคจิเตฺตเนว อพฺยากเตน ทุกฺขสเจฺจน กาลงฺกโรนฺตีติฯ มหาภูมิจาลาทีนิ วุตฺตนยาเนวาติฯ
Catutthajjhānā vuṭṭhahitvā samanantarā bhagavā parinibbāyīti ettha jhānasamanantaraṃ, paccavekkhaṇāsamanantaranti dve samanantarāni. Tattha jhānā vuṭṭhāya bhavaṅgaṃ otiṇṇassa tattheva parinibbānaṃ jhānasamanantaraṃ nāma. Jhānā vuṭṭhahitvā puna jhānaṅgāni paccavekkhitvā bhavaṅgaṃ otiṇṇassa tattheva parinibbānaṃ paccavekkhaṇāsamanantaraṃ nāma. Imānipi dve samanantarāneva. Bhagavā pana jhānaṃ samāpajjitvā jhānā vuṭṭhāya jhānaṅgāni paccavekkhitvā bhavaṅgacittena abyākatena dukkhasaccena parinibbāyi. Ye hi keci buddhā vā paccekabuddhā vā ariyasāvakā vā antamaso kunthakipillikaṃ upādāya sabbe bhavaṅgacitteneva abyākatena dukkhasaccena kālaṅkarontīti. Mahābhūmicālādīni vuttanayānevāti.
๒๒๐. ภูตาติ สตฺตาฯ อปฺปฎิปุคฺคโลติ ปฎิภาคปุคฺคลวิรหิโตฯ พลปฺปโตฺตติ ทสวิธญาณพลํ ปโตฺตฯ
220.Bhūtāti sattā. Appaṭipuggaloti paṭibhāgapuggalavirahito. Balappattoti dasavidhañāṇabalaṃ patto.
๒๒๑. อุปฺปาทวยธมฺมิโนติ อุปฺปาทวยสภาวาฯ เตสํ วูปสโมติ เตสํ สงฺขารานํ วูปสโม, อสงฺขตํ นิพฺพานเมว สุขนฺติ อโตฺถฯ
221.Uppādavayadhamminoti uppādavayasabhāvā. Tesaṃ vūpasamoti tesaṃ saṅkhārānaṃ vūpasamo, asaṅkhataṃ nibbānameva sukhanti attho.
๒๒๒. นาหุ อสฺสาสปสฺสาโสติ น ชาโต อสฺสาสปสฺสาโสฯ อเนโชติ ตณฺหาสงฺขาตาย เอชาย อภาเวน อเนโชฯ สนฺติมารพฺภาติ อนุปาทิเสสํ นิพฺพานํ อารพฺภ ปฎิจฺจ สนฺธายฯ ยํ กาลมกรีติ โย กาลํ อกริฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อาวุโส, โย มม สตฺถา พุทฺธมุนิ สนฺติํ คมิสฺสามีติ, สนฺติํ อารพฺภ กาลมกริ, ตสฺส ฐิตจิตฺตสฺส ตาทิโน อิทานิ อสฺสาสปสฺสาโส น ชาโต, นตฺถิ, นปฺปวตฺตตี’’ติฯ
222.Nāhu assāsapassāsoti na jāto assāsapassāso. Anejoti taṇhāsaṅkhātāya ejāya abhāvena anejo. Santimārabbhāti anupādisesaṃ nibbānaṃ ārabbha paṭicca sandhāya. Yaṃ kālamakarīti yo kālaṃ akari. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘āvuso, yo mama satthā buddhamuni santiṃ gamissāmīti, santiṃ ārabbha kālamakari, tassa ṭhitacittassa tādino idāni assāsapassāso na jāto, natthi, nappavattatī’’ti.
อสลฺลีเนนาติ อลีเนน อสงฺกุฎิเตน สุวิกสิเตเนว จิเตฺตนฯ เวทนํ อชฺฌวาสยีติ เวทนํ อธิวาเสสิ, น เวทนานุวตฺตี หุตฺวา อิโต จิโต จ สมฺปริวตฺติฯ วิโมโกฺขติ เกนจิ ธเมฺมน อนาวรณวิโมโกฺข สพฺพโส อปญฺญตฺติภาวูปคโม ปโชฺชตนิพฺพานสทิโส ชาโตฯ
Asallīnenāti alīnena asaṅkuṭitena suvikasiteneva cittena. Vedanaṃ ajjhavāsayīti vedanaṃ adhivāsesi, na vedanānuvattī hutvā ito cito ca samparivatti. Vimokkhoti kenaci dhammena anāvaraṇavimokkho sabbaso apaññattibhāvūpagamo pajjotanibbānasadiso jāto.
๒๒๓. ตทาสีติ ‘‘สห ปรินิพฺพานา มหาภูมิจาโล’’ติ เอวํ เหฎฺฐา วุตฺตํ ภูมิจาลเมว สนฺธายาหฯ ตญฺหิ โลมหํสนญฺจ ภิํสนกญฺจ อาสิฯ สพฺพาการวรูเปเตติ สพฺพวรการณูเปเตฯ
223.Tadāsīti ‘‘saha parinibbānā mahābhūmicālo’’ti evaṃ heṭṭhā vuttaṃ bhūmicālameva sandhāyāha. Tañhi lomahaṃsanañca bhiṃsanakañca āsi. Sabbākāravarūpeteti sabbavarakāraṇūpete.
๒๒๔. อวีตราคาติ ปุถุชฺชนา เจว โสตาปนฺนสกทาคามิโน จฯ เตสญฺหิ โทมนสฺสํ อปฺปหีนํฯ ตสฺมา เตปิ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺติฯ อุโภปิ หเตฺถ สีเส ฐเปตฺวา โรทนฺตีติ สพฺพํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
224.Avītarāgāti puthujjanā ceva sotāpannasakadāgāmino ca. Tesañhi domanassaṃ appahīnaṃ. Tasmā tepi bāhā paggayha kandanti. Ubhopi hatthe sīse ṭhapetvā rodantīti sabbaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.
๒๒๕. อุชฺฌายนฺตีติ ‘‘อยฺยา อตฺตนาปิ อธิวาเสตุํ น สโกฺกนฺติ, เสสชนํ กถํ สมสฺสาเสสฺสนฺตี’’ติ วทนฺติโย อุชฺฌายนฺติฯ กถํภูตา ปน ภเนฺต อายสฺมา อนุรุโทฺธ เทวตา มนสิกโรตีติ เทวตา, ภเนฺต, กถํภูตา อายสฺมา อนุรุโทฺธ สลฺลเกฺขติ, กิํ ตา สตฺถุ ปรินิพฺพานํ อธิวาเสนฺตีติ?
225.Ujjhāyantīti ‘‘ayyā attanāpi adhivāsetuṃ na sakkonti, sesajanaṃ kathaṃ samassāsessantī’’ti vadantiyo ujjhāyanti. Kathaṃbhūtā pana bhante āyasmā anuruddho devatā manasikarotīti devatā, bhante, kathaṃbhūtā āyasmā anuruddho sallakkheti, kiṃ tā satthu parinibbānaṃ adhivāsentīti?
อถ ตาสํ ปวตฺติทสฺสนตฺถํ เถโร สนฺตาวุโสติอาทิมาหฯ ตํ วุตฺตตฺถเมวฯ รตฺตาวเสสนฺติ พลวปจฺจูเส ปรินิพฺพุตตฺตา รตฺติยา อวเสสํ จุลฺลกทฺธานํฯ ธมฺมิยา กถายาติ อญฺญา ปาฎิเยกฺกา ธมฺมกถา นาม นตฺถิ, ‘‘อาวุโส สเทวเก นาม โลเก อปฺปฎิปุคฺคลสฺส สตฺถุโน อยํ มจฺจุราชา น ลชฺชติ, กิมงฺคํ ปน โลกิยมหาชนสฺส ลชฺชิสฺสตี’’ติ เอวรูปาย ปน มรณปฎิสํยุตฺตาย กถาย วีตินาเมสุํฯ เตสญฺหิ ตํ กถํ กเถนฺตานํ มุหุเตฺตเนว อรุณํ อุคฺคจฺฉิฯ
Atha tāsaṃ pavattidassanatthaṃ thero santāvusotiādimāha. Taṃ vuttatthameva. Rattāvasesanti balavapaccūse parinibbutattā rattiyā avasesaṃ cullakaddhānaṃ. Dhammiyā kathāyāti aññā pāṭiyekkā dhammakathā nāma natthi, ‘‘āvuso sadevake nāma loke appaṭipuggalassa satthuno ayaṃ maccurājā na lajjati, kimaṅgaṃ pana lokiyamahājanassa lajjissatī’’ti evarūpāya pana maraṇapaṭisaṃyuttāya kathāya vītināmesuṃ. Tesañhi taṃ kathaṃ kathentānaṃ muhutteneva aruṇaṃ uggacchi.
๒๒๖. อถ โขติ อรุณุคฺคํ ทิสฺวาว เถโร เถรํ เอตทโวจฯ เตเนว กรณีเยนาติ กีทิเสน นุ โข ปรินิพฺพานฎฺฐาเน มาลาคนฺธาทิสกฺกาเรน ภวิตพฺพํ, กีทิเสน ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิสชฺชฎฺฐาเนน ภวิตพฺพํ, กีทิเสน ขาทนียโภชนีเยน ภวิตพฺพนฺติ, เอวํ ยํ ภควโต ปรินิพฺพุตภาวํ สุตฺวา กตฺตพฺพํ เตเนว กรณีเยนฯ
226.Atha khoti aruṇuggaṃ disvāva thero theraṃ etadavoca. Teneva karaṇīyenāti kīdisena nu kho parinibbānaṭṭhāne mālāgandhādisakkārena bhavitabbaṃ, kīdisena bhikkhusaṅghassa nisajjaṭṭhānena bhavitabbaṃ, kīdisena khādanīyabhojanīyena bhavitabbanti, evaṃ yaṃ bhagavato parinibbutabhāvaṃ sutvā kattabbaṃ teneva karaṇīyena.
พุทฺธสรีรปูชาวณฺณนา
Buddhasarīrapūjāvaṇṇanā
๒๒๗. สพฺพญฺจ ตาฬาวจรนฺติ สพฺพํ ตูริยภณฺฑํฯ สนฺนิปาเตถาติ เภริํ จราเปตฺวา สมาหรถฯ เต ตเถว อกํสุฯ มณฺฑลมาเฬติ ทุสฺสมณฺฑลมาเฬฯ ปฎิยาเทนฺตาติ สเชฺชนฺตาฯ
227.Sabbañca tāḷāvacaranti sabbaṃ tūriyabhaṇḍaṃ. Sannipātethāti bheriṃ carāpetvā samāharatha. Te tatheva akaṃsu. Maṇḍalamāḷeti dussamaṇḍalamāḷe. Paṭiyādentāti sajjentā.
ทกฺขิเณน ทกฺขิณนฺติ นครสฺส ทกฺขิณทิสาภาเคเนว ทกฺขิณทิสาภาคํฯ พาหิเรน พาหิรนฺติ อโนฺตนครํ อปฺปเวเสตฺวา พาหิเรเนว นครสฺส พาหิรปสฺสํ หริตฺวาฯ ทกฺขิณโต นครสฺสาติ อนุราธปุรสฺส ทกฺขิณทฺวารสทิเส ฐาเน ฐเปตฺวา สกฺการสมฺมานํ กตฺวา เชตวนสทิเส ฐาเน ฌาเปสฺสามาติ อโตฺถฯ
Dakkhiṇena dakkhiṇanti nagarassa dakkhiṇadisābhāgeneva dakkhiṇadisābhāgaṃ. Bāhirena bāhiranti antonagaraṃ appavesetvā bāhireneva nagarassa bāhirapassaṃ haritvā. Dakkhiṇato nagarassāti anurādhapurassa dakkhiṇadvārasadise ṭhāne ṭhapetvā sakkārasammānaṃ katvā jetavanasadise ṭhāne jhāpessāmāti attho.
๒๒๘. อฎฺฐ มลฺลปาโมกฺขาติ มชฺฌิมวยา ถามสมฺปนฺนา อฎฺฐมลฺลราชาโนฯ สีสํ นฺหาตาติ สีสํ โธวิตฺวา นหาตาฯ อายสฺมนฺตํ อนุรุทฺธนฺติ เถโรว ทิพฺพจกฺขุโกติ ปากโฎ, ตสฺมา เต สเนฺตสุปิ อเญฺญสุ มหาเถเรสุ – ‘‘อยํ โน ปากฎํ กตฺวา กเถสฺสตี’’ติ เถรํ ปุจฺฉิํสุฯ กถํ ปน, ภเนฺต, เทวตานํ อธิปฺปาโยติ ภเนฺต, อมฺหากํ ตาว อธิปฺปายํ ชานามฯ เทวตานํ กถํ อธิปฺปาโยติ ปุจฺฉนฺติฯ เถโร ปฐมํ เตสํ อธิปฺปายํ ทเสฺสโนฺต ตุมฺหากํ โขติอาทิมาหฯ มกุฎพนฺธนํ นาม มลฺลานํ เจติยนฺติ มลฺลราชูนํ ปสาธนมงฺคลสาลาย เอตํ นามํฯ จิตฺตีกตเฎฺฐน ปเนสา ‘‘เจติย’’นฺติ วุจฺจติฯ
228.Aṭṭha mallapāmokkhāti majjhimavayā thāmasampannā aṭṭhamallarājāno. Sīsaṃ nhātāti sīsaṃ dhovitvā nahātā. Āyasmantaṃ anuruddhanti therova dibbacakkhukoti pākaṭo, tasmā te santesupi aññesu mahātheresu – ‘‘ayaṃ no pākaṭaṃ katvā kathessatī’’ti theraṃ pucchiṃsu. Kathaṃ pana, bhante, devatānaṃ adhippāyoti bhante, amhākaṃ tāva adhippāyaṃ jānāma. Devatānaṃ kathaṃ adhippāyoti pucchanti. Thero paṭhamaṃ tesaṃ adhippāyaṃ dassento tumhākaṃ khotiādimāha. Makuṭabandhanaṃ nāma mallānaṃ cetiyanti mallarājūnaṃ pasādhanamaṅgalasālāya etaṃ nāmaṃ. Cittīkataṭṭhena panesā ‘‘cetiya’’nti vuccati.
๒๒๙. ยาว สนฺธิสมลสงฺกฎีราติ เอตฺถ สนฺธิ นาม ฆรสนฺธิฯ สมลํ นาม คูถราสินิทฺธมนปนาฬิฯ สงฺกฎีรํ นาม สงฺการฎฺฐานํฯ ทิเพฺพหิ จ มานุสเกหิ จ นเจฺจหีติ อุปริ เทวตานํ นจฺจานิ โหนฺติ, เหฎฺฐา มนุสฺสานํฯ เอส นโย คีตาทีสุฯ อปิจ เทวตานํ อนฺตเร มนุสฺสา, มนุสฺสานํ อนฺตเร เทวตาติ เอวมฺปิ สกฺกโรนฺตา ปูเชนฺตา อคมํสุฯ มเชฺฌน มชฺฌํ นครสฺส หริตฺวาติ เอวํ หริยมาเน ภควโต สรีเร พนฺธุลมลฺลเสนาปติภริยา มลฺลิกา นาม – ‘‘ภควโต สรีรํ อาหรนฺตี’’ติ สุตฺวา อตฺตโน สามิกสฺส กาลํ กิริยโต ปฎฺฐาย อปริภุญฺชิตฺวา ฐปิตํ วิสาขาย ปสาธนสทิสํ มหาลตาปสาธนํ นีหราเปตฺวา – ‘‘อิมินา สตฺถารํ ปูเชสฺสามี’’ติ ตํ มชฺชาเปตฺวา คโนฺธทเกน โธวิตฺวา ทฺวาเร ฐิตาฯ
229.Yāvasandhisamalasaṅkaṭīrāti ettha sandhi nāma gharasandhi. Samalaṃ nāma gūtharāsiniddhamanapanāḷi. Saṅkaṭīraṃ nāma saṅkāraṭṭhānaṃ. Dibbehi ca mānusakehi ca naccehīti upari devatānaṃ naccāni honti, heṭṭhā manussānaṃ. Esa nayo gītādīsu. Apica devatānaṃ antare manussā, manussānaṃ antare devatāti evampi sakkarontā pūjentā agamaṃsu. Majjhena majjhaṃ nagarassa haritvāti evaṃ hariyamāne bhagavato sarīre bandhulamallasenāpatibhariyā mallikā nāma – ‘‘bhagavato sarīraṃ āharantī’’ti sutvā attano sāmikassa kālaṃ kiriyato paṭṭhāya aparibhuñjitvā ṭhapitaṃ visākhāya pasādhanasadisaṃ mahālatāpasādhanaṃ nīharāpetvā – ‘‘iminā satthāraṃ pūjessāmī’’ti taṃ majjāpetvā gandhodakena dhovitvā dvāre ṭhitā.
ตํ กิร ปสาธนํ ตาสญฺจ ทฺวินฺนํ อิตฺถีนํ, เทวทานิยโจรสฺส เคเหติ ตีสุเยว ฐาเนสุ อโหสิฯ สา จ สตฺถุ สรีเร ทฺวารํ สมฺปเตฺต – ‘‘โอตาเรถ, ตาตา, สตฺถุสรีร’’นฺติ วตฺวา ตํ ปสาธนํ สตฺถุสรีเร ปฎิมุญฺจิฯ ตํ สีสโต ปฎฺฐาย ปฎิมุกฺกํ ยาวปาทตลาคตํฯ สุวณฺณวณฺณํ ภควโต สรีรํ สตฺตรตนมเยน มหาปสาธเนน ปสาธิตํ อติวิย วิโรจิตฺถฯ ตํ สา ทิสฺวา ปสนฺนจิตฺตา ปตฺถนํ อกาสิ – ‘‘ภควา ยาว วเฎฺฎ สํสริสฺสามิ, ตาว เม ปาฎิเยกฺกํ ปสาธนกิจฺจํ มา โหตุ, นิจฺจํ ปฎิมุกฺกปสาธนสทิสเมว สรีรํ โหตู’’ติฯ
Taṃ kira pasādhanaṃ tāsañca dvinnaṃ itthīnaṃ, devadāniyacorassa geheti tīsuyeva ṭhānesu ahosi. Sā ca satthu sarīre dvāraṃ sampatte – ‘‘otāretha, tātā, satthusarīra’’nti vatvā taṃ pasādhanaṃ satthusarīre paṭimuñci. Taṃ sīsato paṭṭhāya paṭimukkaṃ yāvapādatalāgataṃ. Suvaṇṇavaṇṇaṃ bhagavato sarīraṃ sattaratanamayena mahāpasādhanena pasādhitaṃ ativiya virocittha. Taṃ sā disvā pasannacittā patthanaṃ akāsi – ‘‘bhagavā yāva vaṭṭe saṃsarissāmi, tāva me pāṭiyekkaṃ pasādhanakiccaṃ mā hotu, niccaṃ paṭimukkapasādhanasadisameva sarīraṃ hotū’’ti.
อถ ภควนฺตํ สตฺตรตนมเยน มหาปสาธเนน อุกฺขิปิตฺวา ปุรตฺถิเมน ทฺวาเรน นีหริตฺวา ปุรตฺถิเมน นครสฺส มกุฎพนฺธนํ มลฺลานํ เจติยํ, เอตฺถ ภควโต สรีรํ นิกฺขิปิํสุฯ
Atha bhagavantaṃ sattaratanamayena mahāpasādhanena ukkhipitvā puratthimena dvārena nīharitvā puratthimena nagarassa makuṭabandhanaṃ mallānaṃ cetiyaṃ, ettha bhagavato sarīraṃ nikkhipiṃsu.
มหากสฺสปเตฺถรวตฺถุวณฺณนา
Mahākassapattheravatthuvaṇṇanā
๒๓๑. ปาวาย กุสินารนฺติ ปาวานคเร ปิณฺฑาย จริตฺวา ‘‘กุสินารํ คมิสฺสามี’’ติ อทฺธานมคฺคปฺปฎิปโนฺน โหติฯ รุกฺขมูเล นิสีทีติ เอตฺถ กสฺมา ทิวาวิหารนฺติ น วุตฺตํ? ทิวาวิหารตฺถาย อนิสินฺนตฺตาฯ เถรสฺส หิ ปริวารา ภิกฺขู สเพฺพ สุขสํวทฺธิตา มหาปุญฺญาฯ เต มชฺฌนฺหิกสมเย ตตฺตปาสาณสทิสาย ภูมิยา ปทสา คจฺฉนฺตา กิลมิํสุฯ เถโร เต ทิสฺวา – ‘‘ภิกฺขู กิลมนฺติ, คนฺตพฺพฎฺฐานญฺจ น ทูรํ, โถกํ วิสฺสมิตฺวา ทรถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา สายนฺหสมเย กุสินารํ คนฺตฺวา ทสพลํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ มคฺคา โอกฺกมฺม อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา อุทกตุมฺพโต อุทเกน หตฺถปาเท สีตเล กตฺวา นิสีทิฯ ปริวารภิกฺขูปิสฺส รุกฺขมูเล นิสีทิตฺวา โยนิโส มนสิกาเร กมฺมํ กุรุมานา ติณฺณํ รตนานํ วณฺณํ ภณมานา นิสีทิํสุฯ อิติ ทรถวิโนทนตฺถาย นิสินฺนตฺตา ‘‘ทิวาวิหาร’’นฺติ น วุตฺตํฯ
231.Pāvāyakusināranti pāvānagare piṇḍāya caritvā ‘‘kusināraṃ gamissāmī’’ti addhānamaggappaṭipanno hoti. Rukkhamūle nisīdīti ettha kasmā divāvihāranti na vuttaṃ? Divāvihāratthāya anisinnattā. Therassa hi parivārā bhikkhū sabbe sukhasaṃvaddhitā mahāpuññā. Te majjhanhikasamaye tattapāsāṇasadisāya bhūmiyā padasā gacchantā kilamiṃsu. Thero te disvā – ‘‘bhikkhū kilamanti, gantabbaṭṭhānañca na dūraṃ, thokaṃ vissamitvā darathaṃ paṭippassambhetvā sāyanhasamaye kusināraṃ gantvā dasabalaṃ passissāmī’’ti maggā okkamma aññatarasmiṃ rukkhamūle saṅghāṭiṃ paññapetvā udakatumbato udakena hatthapāde sītale katvā nisīdi. Parivārabhikkhūpissa rukkhamūle nisīditvā yoniso manasikāre kammaṃ kurumānā tiṇṇaṃ ratanānaṃ vaṇṇaṃ bhaṇamānā nisīdiṃsu. Iti darathavinodanatthāya nisinnattā ‘‘divāvihāra’’nti na vuttaṃ.
มนฺทารวปุปฺผํ คเหตฺวาติ มหาปาติปฺปมาณํ ปุปฺผํ อาคนฺตุกทณฺฑเก ฐเปตฺวา ฉตฺตํ วิย คเหตฺวาฯ อทฺทส โขติ อาคจฺฉนฺตํ ทูรโต อทฺทสฯ ทิสฺวา จ ปน จิเนฺตสิ –
Mandāravapupphaṃ gahetvāti mahāpātippamāṇaṃ pupphaṃ āgantukadaṇḍake ṭhapetvā chattaṃ viya gahetvā. Addasa khoti āgacchantaṃ dūrato addasa. Disvā ca pana cintesi –
‘‘เอตํ อาชีวกสฺส หเตฺถ มนฺทารวปุปฺผํ ปญฺญายติ, เอตญฺจ น สพฺพทา มนุสฺสปเถ ปญฺญายติ, ยทา ปน โกจิ อิทฺธิมา อิทฺธิํ วิกุพฺพติ, ตทา สพฺพญฺญุโพธิสตฺตสฺส จ มาตุกุจฺฉิโอกฺกมนาทีสุ โหติฯ น โข ปน อชฺช เกนจิ อิทฺธิวิกุพฺพนํ กตํ, น เม สตฺถา มาตุกุจฺฉิํ โอกฺกโนฺต, น กุจฺฉิโต นิกฺขมโนฺต, นาปิสฺส อชฺช อภิสโมฺพธิ, น ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนํ, น ยมกปาฎิหาริยํ, น เทโวโรหณํ, น อายุสงฺขาโรสฺสชฺชนํฯ มหลฺลโก ปน เม สตฺถา ธุวํ ปรินิพฺพุโต ภวิสฺสตี’’ติฯ
‘‘Etaṃ ājīvakassa hatthe mandāravapupphaṃ paññāyati, etañca na sabbadā manussapathe paññāyati, yadā pana koci iddhimā iddhiṃ vikubbati, tadā sabbaññubodhisattassa ca mātukucchiokkamanādīsu hoti. Na kho pana ajja kenaci iddhivikubbanaṃ kataṃ, na me satthā mātukucchiṃ okkanto, na kucchito nikkhamanto, nāpissa ajja abhisambodhi, na dhammacakkappavattanaṃ, na yamakapāṭihāriyaṃ, na devorohaṇaṃ, na āyusaṅkhārossajjanaṃ. Mahallako pana me satthā dhuvaṃ parinibbuto bhavissatī’’ti.
ตโต – ‘‘ปุจฺฉามิ น’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา – ‘‘สเจ โข ปน นิสินฺนโกว ปุจฺฉามิ, สตฺถริ อคารโว กโต ภวิสฺสตี’’ติ อุฎฺฐหิตฺวา ฐิตฎฺฐานโต อปกฺกมฺม ฉทฺทโนฺต นาคราชา มณิจมฺมํ วิย ทสพลทตฺติยํ เมฆวณฺณํ ปํสุกูลจีวรํ ปารุปิตฺวา ทสนขสโมธานสมุชฺชลํ อญฺชลิํ สิรสฺมิํ ปติฎฺฐเปตฺวา สตฺถริ กเตน คารเวน อาชีวกสฺส อภิมุโข หุตฺวา – ‘‘อาวุโส, อมฺหากํ สตฺถารํ ชานาสี’’ติ อาหฯ กิํ ปน สตฺถุ ปรินิพฺพานํ ชานโนฺต ปุจฺฉิ อชานโนฺตติ? อาวชฺชนปฎิพทฺธํ ขีณาสวานํ ชานนํ, อนาวชฺชิตตฺตา ปเนส อชานโนฺต ปุจฺฉีติ เอเกฯ เถโร สมาปตฺติพหุโล, รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานเลณมณฺฑปาทีสุ นิจฺจํ สมาปตฺติพเลเนว ยาเปติ, กุลสนฺตกมฺปิ คามํ ปวิสิตฺวา ทฺวาเร สมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา สมาปตฺติโต วุฎฺฐิโตว ภิกฺขํ คณฺหาติฯ เถโร กิร อิมินา ปจฺฉิเมน อตฺตภาเวน มหาชนานุคฺคหํ กริสฺสามิ – ‘‘เย มยฺหํ ภิกฺขํ วา เทนฺติ คนฺธมาลาทีหิ วา สกฺการํ กโรนฺติ, เตสํ ตํ มหปฺผลํ โหตู’’ติ เอวํ กโรติฯ ตสฺมา สมาปตฺติพหุลตาย น ชานาติฯ อิติ อชานโนฺตว ปุจฺฉตีติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ
Tato – ‘‘pucchāmi na’’nti cittaṃ uppādetvā – ‘‘sace kho pana nisinnakova pucchāmi, satthari agāravo kato bhavissatī’’ti uṭṭhahitvā ṭhitaṭṭhānato apakkamma chaddanto nāgarājā maṇicammaṃ viya dasabaladattiyaṃ meghavaṇṇaṃ paṃsukūlacīvaraṃ pārupitvā dasanakhasamodhānasamujjalaṃ añjaliṃ sirasmiṃ patiṭṭhapetvā satthari katena gāravena ājīvakassa abhimukho hutvā – ‘‘āvuso, amhākaṃ satthāraṃ jānāsī’’ti āha. Kiṃ pana satthu parinibbānaṃ jānanto pucchi ajānantoti? Āvajjanapaṭibaddhaṃ khīṇāsavānaṃ jānanaṃ, anāvajjitattā panesa ajānanto pucchīti eke. Thero samāpattibahulo, rattiṭṭhānadivāṭṭhānaleṇamaṇḍapādīsu niccaṃ samāpattibaleneva yāpeti, kulasantakampi gāmaṃ pavisitvā dvāre samāpattiṃ samāpajjitvā samāpattito vuṭṭhitova bhikkhaṃ gaṇhāti. Thero kira iminā pacchimena attabhāvena mahājanānuggahaṃ karissāmi – ‘‘ye mayhaṃ bhikkhaṃ vā denti gandhamālādīhi vā sakkāraṃ karonti, tesaṃ taṃ mahapphalaṃ hotū’’ti evaṃ karoti. Tasmā samāpattibahulatāya na jānāti. Iti ajānantova pucchatīti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ.
น เหตฺถ อชานนการณํ อตฺถิฯ อภิลกฺขิตํ สตฺถุ ปรินิพฺพานํ อโหสิ, ทสสหสฺสิโลกธาตุกมฺปนาทีหิ นิมิเตฺตหิฯ เถรสฺส ปน ปริสาย เกหิจิ ภิกฺขูหิ ภควา ทิฎฺฐปุโพฺพ, เกหิจิ น ทิฎฺฐปุโพฺพ, ตตฺถ เยหิปิ ทิฎฺฐปุโพฺพ, เตปิ ปสฺสิตุกามาว, เยหิปิ อทิฎฺฐปุโพฺพ, เตปิ ปสฺสิตุกามาวฯ ตตฺถ เยหิ น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เต อติทสฺสนกามตาย คนฺตฺวา ‘‘กุหิํ ภควา’’ติ ปุจฺฉนฺตา ‘‘ปรินิพฺพุโต’’ติ สุตฺวา สนฺธาเรตุํ นาสกฺขิสฺสนฺติฯ จีวรญฺจ ปตฺตญฺจ ฉเฑฺฑตฺวา เอกวตฺถา วา ทุนฺนิวตฺถา วา ทุปฺปารุตา วา อุรานิ ปฎิปิสนฺตา ปโรทิสฺสนฺติฯ ตตฺถ มนุสฺสา – ‘‘มหากสฺสปเตฺถเรน สทฺธิํ อาคตา ปํสุกูลิกา สยมฺปิ อิตฺถิโย วิย ปโรทนฺติ, เต กิํ อเมฺห สมสฺสาเสสฺสนฺตี’’ติ มยฺหํ โทสํ ทสฺสนฺติฯ อิทํ ปน สุญฺญํ มหาอรญฺญํ, อิธ ยถา ตถา โรทเนฺตสุ โทโส นตฺถิฯ ปุริมตรํ สุตฺวา นาม โสโกปิ ตนุโก โหตีติ ภิกฺขูนํ สตุปฺปาทนตฺถาย ชานโนฺตว ปุจฺฉิฯ
Na hettha ajānanakāraṇaṃ atthi. Abhilakkhitaṃ satthu parinibbānaṃ ahosi, dasasahassilokadhātukampanādīhi nimittehi. Therassa pana parisāya kehici bhikkhūhi bhagavā diṭṭhapubbo, kehici na diṭṭhapubbo, tattha yehipi diṭṭhapubbo, tepi passitukāmāva, yehipi adiṭṭhapubbo, tepi passitukāmāva. Tattha yehi na diṭṭhapubbo, te atidassanakāmatāya gantvā ‘‘kuhiṃ bhagavā’’ti pucchantā ‘‘parinibbuto’’ti sutvā sandhāretuṃ nāsakkhissanti. Cīvarañca pattañca chaḍḍetvā ekavatthā vā dunnivatthā vā duppārutā vā urāni paṭipisantā parodissanti. Tattha manussā – ‘‘mahākassapattherena saddhiṃ āgatā paṃsukūlikā sayampi itthiyo viya parodanti, te kiṃ amhe samassāsessantī’’ti mayhaṃ dosaṃ dassanti. Idaṃ pana suññaṃ mahāaraññaṃ, idha yathā tathā rodantesu doso natthi. Purimataraṃ sutvā nāma sokopi tanuko hotīti bhikkhūnaṃ satuppādanatthāya jānantova pucchi.
อชฺช สตฺตาหปรินิพฺพุโต สมโณ โคตโมติ อชฺช สมโณ โคตโม สตฺตาหปรินิพฺพุโตฯ ตโต เม อิทนฺติ ตโต สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพุตฎฺฐานโตฯ
Ajja sattāhaparinibbuto samaṇo gotamoti ajja samaṇo gotamo sattāhaparinibbuto. Tato me idanti tato samaṇassa gotamassa parinibbutaṭṭhānato.
๒๓๒. สุภโทฺท นาม วุฑฺฒปพฺพชิโตติ ‘‘สุภโทฺท’’ติ ตสฺส นามํฯ วุฑฺฒกาเล ปน ปพฺพชิตตฺตา ‘‘วุฑฺฒปพฺพชิโต’’ติ วุจฺจติฯ กสฺมา ปน โส เอวมาห? ภควติ อาฆาเตนฯ อยํ กิเรโส ขนฺธเก อาคเต อาตุมาวตฺถุสฺมิํ นหาปิตปุพฺพโก วุฑฺฒปพฺพชิโต ภควติ กุสินารโต นิกฺขมิตฺวา อฑฺฒเตฬเสหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ อาตุมํ อาคจฺฉเนฺต ภควา อาคจฺฉตีติ สุตฺวา – ‘‘อาคตกาเล ยาคุปานํ กริสฺสามี’’ติ สามเณรภูมิยํ ฐิเต เทฺว ปุเตฺต เอตทโวจ – ‘‘ภควา กิร, ตาตา, อาตุมํ อาคจฺฉติ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆน สทฺธิํ อฑฺฒเตฬเสหิ ภิกฺขุสเตหิ; คจฺฉถ ตุเมฺห, ตาตา, ขุรภณฺฑํ อาทาย นาฬิยาวาปเกน อนุฆรกํ อนุฆรกํ อาหิณฺฑถ โลณมฺปิ เตลมฺปิ ตณฺฑุลมฺปิ ขาทนียมฺปิ สํหรถ ภควโต อาคตสฺส ยาคุปานํ กริสฺสามา’’ติ (มหาว. ๓๐๓)ฯ เต ตถา อกํสุฯ
232.Subhaddo nāma vuḍḍhapabbajitoti ‘‘subhaddo’’ti tassa nāmaṃ. Vuḍḍhakāle pana pabbajitattā ‘‘vuḍḍhapabbajito’’ti vuccati. Kasmā pana so evamāha? Bhagavati āghātena. Ayaṃ kireso khandhake āgate ātumāvatthusmiṃ nahāpitapubbako vuḍḍhapabbajito bhagavati kusinārato nikkhamitvā aḍḍhateḷasehi bhikkhusatehi saddhiṃ ātumaṃ āgacchante bhagavā āgacchatīti sutvā – ‘‘āgatakāle yāgupānaṃ karissāmī’’ti sāmaṇerabhūmiyaṃ ṭhite dve putte etadavoca – ‘‘bhagavā kira, tātā, ātumaṃ āgacchati mahatā bhikkhusaṅghena saddhiṃ aḍḍhateḷasehi bhikkhusatehi; gacchatha tumhe, tātā, khurabhaṇḍaṃ ādāya nāḷiyāvāpakena anugharakaṃ anugharakaṃ āhiṇḍatha loṇampi telampi taṇḍulampi khādanīyampi saṃharatha bhagavato āgatassa yāgupānaṃ karissāmā’’ti (mahāva. 303). Te tathā akaṃsu.
มนุสฺสา เต ทารเก มญฺชุเก ปฎิภาเนยฺยเก ทิสฺวา กาเรตุกามาปิ อกาเรตุกามาปิ กาเรนฺติเยวฯ กตกาเล – ‘‘กิํ คณฺหิสฺสถ ตาตา’’ติ ปุจฺฉนฺติฯ เต วทนฺติ – ‘‘น อมฺหากํ อเญฺญน เกนจิ อโตฺถ, ปิตา ปน โน ภควโต, อาคตกาเล ยาคุทานํ ทาตุกาโม’’ติฯ ตํ สุตฺวา มนุสฺสา อปริคเณตฺวาว ยํ เต สโกฺกนฺติ อาหริตุํ, สพฺพํ เทนฺติฯ ยมฺปิ น สโกฺกนฺติ, มนุเสฺสหิ เปเสนฺติฯ อถ ภควติ อาตุมํ อาคนฺตฺวา ภุสาคารํ ปวิเฎฺฐ สุภโทฺท สายนฺหสมยํ คามทฺวารํ คนฺตฺวา มนุเสฺส อามเนฺตสิ – ‘‘อุปาสกา, นาหํ ตุมฺหากํ สนฺติกา อญฺญํ กิญฺจิ ปจฺจาสีสามิ, มยฺหํ ทารเกหิ อาภตานิ ตณฺฑุลาทีนิเยว สงฺฆสฺส ปโหนฺติฯ ยํ หตฺถกมฺมํ, ตํ เม เทถา’’ติฯ ‘‘อิทญฺจิทญฺจ คณฺหถา’’ติ สพฺพูปกรณานิ คาเหตฺวา วิหาเร อุทฺธนานิ กาเรตฺวา เอกํ กาฬกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา ตาทิสเมว ปารุปิตฺวา – ‘‘อิทํ กโรถ, อิทํ กโรถา’’ติ สพฺพรตฺติํ วิจาเรโนฺต สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา โภชฺชยาคุญฺจ มธุโคฬกญฺจ ปฎิยาทาเปสิฯ โภชฺชยาคุ นาม ภุญฺชิตฺวา ปาตพฺพยาคุ, ตตฺถ สปฺปิมธุผาณิตมจฺฉมํสปุปฺผผลรสาทิ ยํ กิญฺจิ ขาทนียํ นาม สพฺพํ ปกฺขิปติ กีฬิตุกามานํ สีสมกฺขนโยคฺคา โหติ สุคนฺธคนฺธาฯ
Manussā te dārake mañjuke paṭibhāneyyake disvā kāretukāmāpi akāretukāmāpi kārentiyeva. Katakāle – ‘‘kiṃ gaṇhissatha tātā’’ti pucchanti. Te vadanti – ‘‘na amhākaṃ aññena kenaci attho, pitā pana no bhagavato, āgatakāle yāgudānaṃ dātukāmo’’ti. Taṃ sutvā manussā aparigaṇetvāva yaṃ te sakkonti āharituṃ, sabbaṃ denti. Yampi na sakkonti, manussehi pesenti. Atha bhagavati ātumaṃ āgantvā bhusāgāraṃ paviṭṭhe subhaddo sāyanhasamayaṃ gāmadvāraṃ gantvā manusse āmantesi – ‘‘upāsakā, nāhaṃ tumhākaṃ santikā aññaṃ kiñci paccāsīsāmi, mayhaṃ dārakehi ābhatāni taṇḍulādīniyeva saṅghassa pahonti. Yaṃ hatthakammaṃ, taṃ me dethā’’ti. ‘‘Idañcidañca gaṇhathā’’ti sabbūpakaraṇāni gāhetvā vihāre uddhanāni kāretvā ekaṃ kāḷakaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā tādisameva pārupitvā – ‘‘idaṃ karotha, idaṃ karothā’’ti sabbarattiṃ vicārento satasahassaṃ vissajjetvā bhojjayāguñca madhugoḷakañca paṭiyādāpesi. Bhojjayāgu nāma bhuñjitvā pātabbayāgu, tattha sappimadhuphāṇitamacchamaṃsapupphaphalarasādi yaṃ kiñci khādanīyaṃ nāma sabbaṃ pakkhipati kīḷitukāmānaṃ sīsamakkhanayoggā hoti sugandhagandhā.
อถ ภควา กาลเสฺสว สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ปิณฺฑาย จริตุํ อาตุมนคราภิมุโข ปายาสิฯ มนุสฺสา ตสฺส อาโรเจสุํ – ‘‘ภควา ปิณฺฑาย คามํ ปวิสติ, ตยา กสฺส ยาคุ ปฎิยาทิตา’’ติฯ โส ยถานิวตฺถปารุเตเหว เตหิ กาฬกกาสาเวหิ เอเกน หเตฺถน ทพฺพิญฺจ กฎจฺฉุญฺจ คเหตฺวา พฺรหฺมา วิย ทกฺขิณชาณุมณฺฑลํ ภูมิยํ ปติฎฺฐเปตฺวา วนฺทิตฺวา – ‘‘ปฎิคฺคณฺหาตุ เม, ภเนฺต, ภควา ยาคุ’’นฺติ อาหฯ
Atha bhagavā kālasseva sarīrapaṭijagganaṃ katvā bhikkhusaṅghaparivuto piṇḍāya carituṃ ātumanagarābhimukho pāyāsi. Manussā tassa ārocesuṃ – ‘‘bhagavā piṇḍāya gāmaṃ pavisati, tayā kassa yāgu paṭiyāditā’’ti. So yathānivatthapāruteheva tehi kāḷakakāsāvehi ekena hatthena dabbiñca kaṭacchuñca gahetvā brahmā viya dakkhiṇajāṇumaṇḍalaṃ bhūmiyaṃ patiṭṭhapetvā vanditvā – ‘‘paṭiggaṇhātu me, bhante, bhagavā yāgu’’nti āha.
ตโต ‘‘ชานนฺตาปิ ตถาคตา ปุจฺฉนฺตี’’ติ ขนฺธเก อาคตนเยน ภควา ปุจฺฉิตฺวา จ สุตฺวา จ ตํ วุฑฺฒปพฺพชิตํ วิครหิตฺวา ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ อกปฺปิยสมาทานสิกฺขาปทญฺจ, ขุรภณฺฑปริหรณสิกฺขาปทญฺจาติ เทฺว สิกฺขาปทานิ ปญฺญเปตฺวา – ‘‘ภิกฺขเว, อเนกกปฺปโกฎิโย โภชนํ ปริเยสเนฺตเหว วีตินามิตา, อิทํ ปน ตุมฺหากํ อกปฺปิยํ อธเมฺมน อุปฺปนฺนํ โภชนํ, อิมํ ปริภุตฺตานํ อเนกานิ อตฺตภาวสหสฺสานิ อปาเยเสฺวว นิพฺพตฺติสฺสนฺติ, อเปถ มา คณฺหถา’’ติ ภิกฺขาจาราภิมุโข อคมาสิฯ เอกภิกฺขุนาปิ น กิญฺจิ คหิตํฯ
Tato ‘‘jānantāpi tathāgatā pucchantī’’ti khandhake āgatanayena bhagavā pucchitvā ca sutvā ca taṃ vuḍḍhapabbajitaṃ vigarahitvā tasmiṃ vatthusmiṃ akappiyasamādānasikkhāpadañca, khurabhaṇḍapariharaṇasikkhāpadañcāti dve sikkhāpadāni paññapetvā – ‘‘bhikkhave, anekakappakoṭiyo bhojanaṃ pariyesanteheva vītināmitā, idaṃ pana tumhākaṃ akappiyaṃ adhammena uppannaṃ bhojanaṃ, imaṃ paribhuttānaṃ anekāni attabhāvasahassāni apāyesveva nibbattissanti, apetha mā gaṇhathā’’ti bhikkhācārābhimukho agamāsi. Ekabhikkhunāpi na kiñci gahitaṃ.
สุภโทฺท อนตฺตมโน หุตฺวา อยํ ‘‘สพฺพํ ชานามี’’ติ อาหิณฺฑติฯ สเจ น คหิตุกาโม, เปเสตฺวา อาโรเจตพฺพํฯ อยํ ปกฺกาหาโร นาม สพฺพจิรํ ติฎฺฐโนฺต สตฺตาหมตฺตํ ติเฎฺฐยฺยฯ อิทญฺหิ มม ยาวชีวํ ปริยตฺตํ อสฺสฯ สพฺพํ เตน นาสิตํ, อหิตกาโม อยํ มยฺหนฺติ ภควติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา ทสพเล ธรเนฺต กิญฺจิ วตฺตุํ นาสกฺขิฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อยํ อุจฺจา กุลา ปพฺพชิโต มหาปุริโส, สเจ กิญฺจิ วกฺขามิ, มํเยว สนฺตเชฺชสฺสตี’’ติฯ สฺวายํ อชฺช ‘‘ปรินิพฺพุโต ภควา’’ติ สุตฺวา ลทฺธสฺสาโส วิย หฎฺฐตุโฎฺฐ เอวมาหฯ
Subhaddo anattamano hutvā ayaṃ ‘‘sabbaṃ jānāmī’’ti āhiṇḍati. Sace na gahitukāmo, pesetvā ārocetabbaṃ. Ayaṃ pakkāhāro nāma sabbaciraṃ tiṭṭhanto sattāhamattaṃ tiṭṭheyya. Idañhi mama yāvajīvaṃ pariyattaṃ assa. Sabbaṃ tena nāsitaṃ, ahitakāmo ayaṃ mayhanti bhagavati āghātaṃ bandhitvā dasabale dharante kiñci vattuṃ nāsakkhi. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ayaṃ uccā kulā pabbajito mahāpuriso, sace kiñci vakkhāmi, maṃyeva santajjessatī’’ti. Svāyaṃ ajja ‘‘parinibbuto bhagavā’’ti sutvā laddhassāso viya haṭṭhatuṭṭho evamāha.
เถโร ตํ สุตฺวา หทเย ปหารทานํ วิย มตฺถเก ปติตสุกฺขาสนิ วิย มญฺญิ, ธมฺมสํเวโค จสฺส อุปฺปชฺชิ – ‘‘สตฺตาหมตฺตปรินิพฺพุโต ภควา, อชฺชาปิสฺส สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ ธรติเยว, ทุเกฺขน ภควตา อาราธิตสาสเน นาม เอวํ ลหุ มหนฺตํ ปาปกสฎํ กณฺฎโก อุปฺปโนฺน, อลํ โข ปเนส ปาโป วฑฺฒมาโน อเญฺญปิ เอวรูเป สหาเย ลภิตฺวา สกฺกา สาสนํ โอสกฺกาเปตุ’’นฺติฯ ตโต เถโร จิเนฺตสิ –
Thero taṃ sutvā hadaye pahāradānaṃ viya matthake patitasukkhāsani viya maññi, dhammasaṃvego cassa uppajji – ‘‘sattāhamattaparinibbuto bhagavā, ajjāpissa suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ dharatiyeva, dukkhena bhagavatā ārādhitasāsane nāma evaṃ lahu mahantaṃ pāpakasaṭaṃ kaṇṭako uppanno, alaṃ kho panesa pāpo vaḍḍhamāno aññepi evarūpe sahāye labhitvā sakkā sāsanaṃ osakkāpetu’’nti. Tato thero cintesi –
‘‘สเจ โข ปนาหํ อิมํ มหลฺลกํ อิเธว ปิโลติกํ นิวาสาเปตฺวา ฉาริกาย โอกิราเปตฺวา นีหราเปสฺสามิ, มนุสฺสา ‘สมณสฺส โคตมสฺส สรีเร ธรมาเนเยว สาวกา วิวทนฺตี’ติ อมฺหากํ โทสํ ทเสฺสสฺสนฺติ อธิวาเสมิ ตาวฯ
‘‘Sace kho panāhaṃ imaṃ mahallakaṃ idheva pilotikaṃ nivāsāpetvā chārikāya okirāpetvā nīharāpessāmi, manussā ‘samaṇassa gotamassa sarīre dharamāneyeva sāvakā vivadantī’ti amhākaṃ dosaṃ dassessanti adhivāsemi tāva.
ภควตา หิ เทสิโต ธโมฺม อสงฺคหิตปุปฺผราสิสทิโสฯ ตตฺถ ยถา วาเตน ปหฎปุปฺผานิ ยโต วา ตโต วา คจฺฉนฺติ, เอวเมว เอวรูปานํ ปาปปุคฺคลานํ วเสน คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล วินเย เอกํ เทฺว สิกฺขาปทานิ นสฺสิสฺสนฺติ, สุเตฺต เอโก เทฺว ปญฺหาวารา นสฺสิสฺสนฺติ, อภิธเมฺม เอกํ เทฺว ภูมนฺตรานิ นสฺสิสฺสนฺติ, เอวํ อนุกฺกเมน มูเล นเฎฺฐ ปิสาจสทิสา ภวิสฺสาม; ตสฺมา ธมฺมวินยสงฺคหํ กริสฺสามฯ เอวญฺหิ สติ ทฬฺหํ สุเตฺตน สงฺคหิตานิ ปุปฺผานิ วิย อยํ ธมฺมวินโย นิจฺจโล ภวิสฺสติฯ
Bhagavatā hi desito dhammo asaṅgahitapuppharāsisadiso. Tattha yathā vātena pahaṭapupphāni yato vā tato vā gacchanti, evameva evarūpānaṃ pāpapuggalānaṃ vasena gacchante gacchante kāle vinaye ekaṃ dve sikkhāpadāni nassissanti, sutte eko dve pañhāvārā nassissanti, abhidhamme ekaṃ dve bhūmantarāni nassissanti, evaṃ anukkamena mūle naṭṭhe pisācasadisā bhavissāma; tasmā dhammavinayasaṅgahaṃ karissāma. Evañhi sati daḷhaṃ suttena saṅgahitāni pupphāni viya ayaṃ dhammavinayo niccalo bhavissati.
เอตทตฺถญฺหิ ภควา มยฺหํ ตีณิ คาวุตานิ ปจฺจุคฺคมนํ อกาสิ, ตีหิ โอวาเทหิ อุปสมฺปทํ อทาสิ, กายโต อปเนตฺวา กาเย จีวรปริวตฺตนํ อกาสิ, อากาเส ปาณิํ จาเลตฺวา จนฺทูปมํ ปฎิปทํ กเถโนฺต มํ กายสกฺขิํ กตฺวา กเถสิ, ติกฺขตฺตุํ สกลสาสนทายชฺชํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ มาทิเส ภิกฺขุมฺหิ ติฎฺฐมาเน อยํ ปาโป สาสเน วุฑฺฒิํ มา อลตฺถฯ ยาว อธโมฺม น ทิปฺปติ, ธโมฺม น ปฎิพาหิยติฯ อวินโย น ทิปฺปติ วินโย น ปฎิพาหิยติฯ อธมฺมวาทิโน น พลวโนฺต โหนฺติ, ธมฺมวาทิโน น ทุพฺพลา โหนฺติ; อวินยวาทิโน น พลวโนฺต โหนฺติ, วินยวาทิโน น ทุพฺพลา โหนฺติฯ ตาว ธมฺมญฺจ วินยญฺจ สงฺคายิสฺสามิฯ ตโต ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน ปโหนกํ คเหตฺวา กปฺปิยากปฺปิยํ กเถสฺสนฺติฯ อถายํ ปาโป สยเมว นิคฺคหํ ปาปุณิสฺสติ, ปุน สีสํ อุกฺขิปิตุํ น สกฺขิสฺสติ, สาสนํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ ภวิสฺสตี’’ติฯ
Etadatthañhi bhagavā mayhaṃ tīṇi gāvutāni paccuggamanaṃ akāsi, tīhi ovādehi upasampadaṃ adāsi, kāyato apanetvā kāye cīvaraparivattanaṃ akāsi, ākāse pāṇiṃ cāletvā candūpamaṃ paṭipadaṃ kathento maṃ kāyasakkhiṃ katvā kathesi, tikkhattuṃ sakalasāsanadāyajjaṃ paṭicchāpesi. Mādise bhikkhumhi tiṭṭhamāne ayaṃ pāpo sāsane vuḍḍhiṃ mā alattha. Yāva adhammo na dippati, dhammo na paṭibāhiyati. Avinayo na dippati vinayo na paṭibāhiyati. Adhammavādino na balavanto honti, dhammavādino na dubbalā honti; avinayavādino na balavanto honti, vinayavādino na dubbalā honti. Tāva dhammañca vinayañca saṅgāyissāmi. Tato bhikkhū attano attano pahonakaṃ gahetvā kappiyākappiyaṃ kathessanti. Athāyaṃ pāpo sayameva niggahaṃ pāpuṇissati, puna sīsaṃ ukkhipituṃ na sakkhissati, sāsanaṃ iddhañceva phītañca bhavissatī’’ti.
โส เอวํ นาม มยฺหํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนนฺติ กสฺสจิ อนาโรเจตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ สมสฺสาเสสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป…เป.… เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติฯ
So evaṃ nāma mayhaṃ cittaṃ uppannanti kassaci anārocetvā bhikkhusaṅghaṃ samassāsesi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho āyasmā mahākassapo…pe… netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti.
๒๓๓. จิตกนฺติ วีสรตนสติกํ จนฺทนจิตกํฯ อาฬิเมฺปสฺสามาติ อคฺคิํ คาหาเปสฺสามฯ น สโกฺกนฺติ อาฬิเมฺปตุนฺติ อฎฺฐปิ โสฬสปิ ทฺวตฺติํสปิ ชนา ชาลนตฺถาย ยมกยมกอุกฺกาโย คเหตฺวา ตาลวเณฺฎหิ พีชนฺตา ภสฺตาหิ ธมนฺตา ตานิ ตานิ การณานิ กโรนฺตาปิ น สโกฺกนฺติเยว อคฺคิํ คาหาเปตุํฯ เทวตานํ อธิปฺปาโยติ เอตฺถ ตา กิร เทวตา เถรสฺส อุปฎฺฐากเทวตาวฯ อสีติมหาสาวเกสุ หิ จิตฺตานิ ปสาเทตฺวา เตสํ อุปฎฺฐากานิ อสีติกุลสหสฺสานิ สเคฺค นิพฺพตฺตานิฯ ตตฺถ เถเร จิตฺตํ ปสาเทตฺวา สเคฺค นิพฺพตฺตา เทวตา ตสฺมิํ สมาคเม เถรํ อทิสฺวา – ‘‘กุหิํ นุ โข อมฺหากํ กุลูปกเตฺถโร’’ติ อนฺตรามเคฺค ปฎิปนฺนํ ทิสฺวา ‘‘อมฺหากํ กุลูปกเตฺถเรน อวนฺทิเต จิตโก มา ปชฺชลิตฺถา’’ติ อธิฎฺฐหิํสุฯ
233.Citakanti vīsaratanasatikaṃ candanacitakaṃ. Āḷimpessāmāti aggiṃ gāhāpessāma. Na sakkonti āḷimpetunti aṭṭhapi soḷasapi dvattiṃsapi janā jālanatthāya yamakayamakaukkāyo gahetvā tālavaṇṭehi bījantā bhastāhi dhamantā tāni tāni kāraṇāni karontāpi na sakkontiyeva aggiṃ gāhāpetuṃ. Devatānaṃ adhippāyoti ettha tā kira devatā therassa upaṭṭhākadevatāva. Asītimahāsāvakesu hi cittāni pasādetvā tesaṃ upaṭṭhākāni asītikulasahassāni sagge nibbattāni. Tattha there cittaṃ pasādetvā sagge nibbattā devatā tasmiṃ samāgame theraṃ adisvā – ‘‘kuhiṃ nu kho amhākaṃ kulūpakatthero’’ti antarāmagge paṭipannaṃ disvā ‘‘amhākaṃ kulūpakattherena avandite citako mā pajjalitthā’’ti adhiṭṭhahiṃsu.
มนุสฺสา ตํ สุตฺวา – ‘‘มหากสฺสโป กิร นาม โภ ภิกฺขุ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ ‘ทสพลสฺส ปาเท วนฺทิสฺสามี’ติ อาคจฺฉติฯ ตสฺมิํ กิร อนาคเต จิตโก น ปชฺชลิสฺสติฯ กีทิโส โภ โส ภิกฺขุ กาโฬ โอทาโต ทีโฆ รโสฺส, เอวรูเป นาม โภ ภิกฺขุมฺหิ ฐิเต กิํ ทสพลสฺส ปรินิพฺพานํ นามา’’ติ เกจิ คนฺธมาลาทิหตฺถา ปฎิปถํ คจฺฉิํสุฯ เกจิ วีถิโย วิจิตฺตา กตฺวา อาคมนมคฺคํ โอโลกยมานา อฎฺฐํสุฯ
Manussā taṃ sutvā – ‘‘mahākassapo kira nāma bho bhikkhu pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ ‘dasabalassa pāde vandissāmī’ti āgacchati. Tasmiṃ kira anāgate citako na pajjalissati. Kīdiso bho so bhikkhu kāḷo odāto dīgho rasso, evarūpe nāma bho bhikkhumhi ṭhite kiṃ dasabalassa parinibbānaṃ nāmā’’ti keci gandhamālādihatthā paṭipathaṃ gacchiṃsu. Keci vīthiyo vicittā katvā āgamanamaggaṃ olokayamānā aṭṭhaṃsu.
๒๓๔. อถ โข อายสฺมา มหากสฺสโป เยน กุสินารา…เป.… สิรสา วนฺทีติ เถโร กิร จิตกํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาวชฺชโนฺตว สลฺลเกฺขสิ – ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สีสํ, อิมสฺมิํ ฐาเน ปาทา’’ติฯ ตโต ปาทานํ สมีเป ฐตฺวา อภิญฺญาปาทกํ จตุตฺถชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย – ‘‘อราสหสฺสปฎิมณฺฑิตจกฺกลกฺขณปติฎฺฐิตา ทสพลสฺส ปาทา สทฺธิํ กปฺปาสปฎเลหิ ปญฺจ ทุสฺสยุคสตานิ สุวณฺณโทณิํ จนฺทนจิตกญฺจ เทฺวธา กตฺวา มยฺหํ อุตฺตมเงฺค สิรสฺมิํ ปติฎฺฐหนฺตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ สห อธิฎฺฐานจิเตฺตน ตานิ ปญฺจ ทุสฺสยุคสตานิ เทฺวธา กตฺวา วลาหกนฺตรา ปุณฺณจโนฺท วิย ปาทา นิกฺขมิํสุฯ เถโร วิกสิตรตฺตปทุมสทิเส หเตฺถ ปสาเรตฺวา สุวณฺณวเณฺณ สตฺถุปาเท ยาว โคปฺผกา ทฬฺหํ คเหตฺวา อตฺตโน สิรวเร ปติฎฺฐเปสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ภควโต ปาเท สิรสา วนฺที’’ติฯ
234.Atha kho āyasmā mahākassapo yena kusinārā…pe… sirasā vandīti thero kira citakaṃ padakkhiṇaṃ katvā āvajjantova sallakkhesi – ‘‘imasmiṃ ṭhāne sīsaṃ, imasmiṃ ṭhāne pādā’’ti. Tato pādānaṃ samīpe ṭhatvā abhiññāpādakaṃ catutthajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya – ‘‘arāsahassapaṭimaṇḍitacakkalakkhaṇapatiṭṭhitā dasabalassa pādā saddhiṃ kappāsapaṭalehi pañca dussayugasatāni suvaṇṇadoṇiṃ candanacitakañca dvedhā katvā mayhaṃ uttamaṅge sirasmiṃ patiṭṭhahantū’’ti adhiṭṭhāsi. Saha adhiṭṭhānacittena tāni pañca dussayugasatāni dvedhā katvā valāhakantarā puṇṇacando viya pādā nikkhamiṃsu. Thero vikasitarattapadumasadise hatthe pasāretvā suvaṇṇavaṇṇe satthupāde yāva gopphakā daḷhaṃ gahetvā attano siravare patiṭṭhapesi. Tena vuttaṃ – ‘‘bhagavato pāde sirasā vandī’’ti.
มหาชโน ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา เอกปฺปหาเรเนว มหานาทํ นทิ, คนฺธมาลาทีหิ ปูเชตฺวา ยถารุจิ วนฺทิฯ เอวํ ปน เถเรน จ มหาชเนน จ เตหิ จ ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ วนฺทิตมเตฺต ปุน อธิฎฺฐานกิจฺจํ นตฺถิฯ ปกติอธิฎฺฐานวเสเนว เถรสฺส หตฺถโต มุจฺจิตฺวา อลตฺตกวณฺณานิ ภควโต ปาทตลานิ จนฺทนทารุอาทีสุ กิญฺจิ อจาเลตฺวาว ยถาฐาเน ปติฎฺฐหิํสุ, ยถาฐาเน ฐิตาเนว อเหสุํฯ ภควโต หิ ปาเทสุ นิกฺขมเนฺตสุ วา ปวิสเนฺตสุ วา กปฺปาสอํสุ วา ทสิกตนฺตํ วา เตลพินฺทุ วา ทารุกฺขนฺธํ วา ฐานา จลิตํ นาม นาโหสิฯ สพฺพํ ยถาฐาเน ฐิตเมว อโหสิฯ อุฎฺฐหิตฺวา ปน อตฺถงฺคเต จเนฺท วิย สูริเย วิย จ ตถาคตสฺส ปาเทสุ อนฺตรหิเตสุ มหาชโน มหากนฺทิตํ กนฺทิฯ ปรินิพฺพานกาลโต อธิกตรํ การุญฺญํ อโหสิฯ
Mahājano taṃ acchariyaṃ disvā ekappahāreneva mahānādaṃ nadi, gandhamālādīhi pūjetvā yathāruci vandi. Evaṃ pana therena ca mahājanena ca tehi ca pañcahi bhikkhusatehi vanditamatte puna adhiṭṭhānakiccaṃ natthi. Pakatiadhiṭṭhānavaseneva therassa hatthato muccitvā alattakavaṇṇāni bhagavato pādatalāni candanadāruādīsu kiñci acāletvāva yathāṭhāne patiṭṭhahiṃsu, yathāṭhāne ṭhitāneva ahesuṃ. Bhagavato hi pādesu nikkhamantesu vā pavisantesu vā kappāsaaṃsu vā dasikatantaṃ vā telabindu vā dārukkhandhaṃ vā ṭhānā calitaṃ nāma nāhosi. Sabbaṃ yathāṭhāne ṭhitameva ahosi. Uṭṭhahitvā pana atthaṅgate cande viya sūriye viya ca tathāgatassa pādesu antarahitesu mahājano mahākanditaṃ kandi. Parinibbānakālato adhikataraṃ kāruññaṃ ahosi.
สยเมว ภควโต จิตโก ปชฺชลีติ อิทํ ปน กสฺสจิ ปชฺชลาเปตุํ วายมนฺตสฺส อทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ เทวตานุภาเวน ปเนส สมนฺตโต เอกปฺปหาเรเนว ปชฺชลิฯ
Sayamevabhagavato citako pajjalīti idaṃ pana kassaci pajjalāpetuṃ vāyamantassa adassanavasena vuttaṃ. Devatānubhāvena panesa samantato ekappahāreneva pajjali.
๒๓๕. สรีราเนว อวสิสฺสิํสูติ ปุเพฺพ เอกคฺฆเนน ฐิตตฺตา สรีรํ นาม อโหสิฯ อิทานิ วิปฺปกิณฺณตฺตา สรีรานีติ วุตฺตํ สุมนมกุฬสทิสา จ โธตมุตฺตสทิสา จ สุวณฺณสทิสา จ ธาตุโย อวสิสฺสิํสูติ อโตฺถฯ ทีฆายุกพุทฺธานญฺหิ สรีรํ สุวณฺณกฺขนฺธสทิสํ เอกเมว โหติฯ ภควา ปน – ‘‘อหํ น จิรํ ฐตฺวา ปรินิพฺพายามิ, มยฺหํ สาสนํ ตาว สพฺพตฺถ น วิตฺถาริตํ, ตสฺมา ปรินิพฺพุตสฺสาปิ เม สาสปมตฺตมฺปิ ธาตุํ คเหตฺวา อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐาเน เจติยํ กตฺวา ปริจรโนฺต มหาชโน สคฺคปรายโณ โหตู’’ติ ธาตูนํ วิกิรณํ อธิฎฺฐาสิฯ กติ, ปนสฺส ธาตุโย วิปฺปกิณฺณา, กติ น วิปฺปกิณฺณาติฯ จตโสฺส ทาฐา, เทฺว อกฺขกา, อุณฺหีสนฺติ อิมา สตฺต ธาตุโย น วิปฺปกิริํสุ, เสสา วิปฺปกิริํสูติฯ ตตฺถ สพฺพขุทฺทกา ธาตุ สาสปพีชมตฺตา อโหสิ, มหาธาตุ มเชฺฌ ภินฺนตณฺฑุลมตฺตา, อติมหตี มเชฺฌ ภินฺนมุคฺคมตฺตาติฯ
235.Sarīrāneva avasissiṃsūti pubbe ekagghanena ṭhitattā sarīraṃ nāma ahosi. Idāni vippakiṇṇattā sarīrānīti vuttaṃ sumanamakuḷasadisā ca dhotamuttasadisā ca suvaṇṇasadisā ca dhātuyo avasissiṃsūti attho. Dīghāyukabuddhānañhi sarīraṃ suvaṇṇakkhandhasadisaṃ ekameva hoti. Bhagavā pana – ‘‘ahaṃ na ciraṃ ṭhatvā parinibbāyāmi, mayhaṃ sāsanaṃ tāva sabbattha na vitthāritaṃ, tasmā parinibbutassāpi me sāsapamattampi dhātuṃ gahetvā attano attano vasanaṭṭhāne cetiyaṃ katvā paricaranto mahājano saggaparāyaṇo hotū’’ti dhātūnaṃ vikiraṇaṃ adhiṭṭhāsi. Kati, panassa dhātuyo vippakiṇṇā, kati na vippakiṇṇāti. Catasso dāṭhā, dve akkhakā, uṇhīsanti imā satta dhātuyo na vippakiriṃsu, sesā vippakiriṃsūti. Tattha sabbakhuddakā dhātu sāsapabījamattā ahosi, mahādhātu majjhe bhinnataṇḍulamattā, atimahatī majjhe bhinnamuggamattāti.
อุทกธาราติ อคฺคพาหุมตฺตาปิ ชงฺฆมตฺตาปิ ตาลกฺขนฺธมตฺตาปิ อุทกธารา อากาสโต ปติตฺวา นิพฺพาเปสิฯ อุทกสาลโตติ ปริวาเรตฺวา ฐิตสาลรุเกฺข สนฺธาเยตํ วุตฺตํ, เตสมฺปิ หิ ขนฺธนฺตรวิฎปนฺตเรหิ อุทกธารา นิกฺขมิตฺวา นิพฺพาเปสุํฯ ภควโต จิตโก มหโนฺตฯ สมนฺตา ปถวิํ ภินฺทิตฺวาปิ นงฺคลสีสมตฺตา อุทกวฎฺฎิ ผลิกวฎํสกสทิสา อุคฺคนฺตฺวา จิตกเมว คณฺหนฺติฯ คโนฺธทเกนาติ สุวณฺณฆเฎ รชตฆเฎ จ ปูเรตฺวา อาภตนานาคโนฺธทเกนฯ นิพฺพาเปสุนฺติ สุวณฺณมยรชตมเยหิ อฎฺฐทณฺฑเกหิ วิกิริตฺวา จนฺทนจิตกํ นิพฺพาเปสุํฯ
Udakadhārāti aggabāhumattāpi jaṅghamattāpi tālakkhandhamattāpi udakadhārā ākāsato patitvā nibbāpesi. Udakasālatoti parivāretvā ṭhitasālarukkhe sandhāyetaṃ vuttaṃ, tesampi hi khandhantaraviṭapantarehi udakadhārā nikkhamitvā nibbāpesuṃ. Bhagavato citako mahanto. Samantā pathaviṃ bhinditvāpi naṅgalasīsamattā udakavaṭṭi phalikavaṭaṃsakasadisā uggantvā citakameva gaṇhanti. Gandhodakenāti suvaṇṇaghaṭe rajataghaṭe ca pūretvā ābhatanānāgandhodakena. Nibbāpesunti suvaṇṇamayarajatamayehi aṭṭhadaṇḍakehi vikiritvā candanacitakaṃ nibbāpesuṃ.
เอตฺถ จ จิตเก ฌายมาเน ปริวาเรตฺวา ฐิตสาลรุกฺขานํ สาขนฺตเรหิ วิฎปนฺตเรหิ ปตฺตนฺตเรหิ ชาลา อุคฺคจฺฉนฺติ, ปตฺตํ วา สาขา วา ปุปฺผํ วา ทฑฺฒา นาม นตฺถิ, กิปิลฺลิกาปิ มกฺกฎกาปิ ชาลานํ อนฺตเรเนว วิจรนฺติ ฯ อากาสโต ปติตอุทกธาราสุปิ สาลรุเกฺขหิ นิกฺขนฺตอุทกธาราสุปิ ปถวิํ ภินฺทิตฺวา นิกฺขนฺตอุทกธาราสุปิ ธมฺมกถาว ปมาณํฯ เอวํ จิตกํ นิพฺพาเปตฺวา ปน มลฺลราชาโน สนฺถาคาเร จตุชฺชาติยคนฺธปริภณฺฑํ กาเรตฺวา ลาชปญฺจมานิ ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา อุปริ เจลวิตานํ พนฺธิตฺวา สุวณฺณตารกาทีหิ ขจิตฺวา ตตฺถ คนฺธทามมาลาทามรตนทามานิ โอลเมฺพตฺวา สนฺถาคารโต ยาว มกุฎพนฺธนสงฺขาตา สีสปสาธนมงฺคลสาลา, ตาว อุโภหิ ปเสฺสหิ สาณิกิลญฺชปริเกฺขปํ กาเรตฺวา อุปริ เจลวิตานํ พนฺธาเปตฺวา สุวณฺณตารกาทีหิ ขจิตฺวา ตตฺถปิ คนฺธทามมาลาทามรตนทามานิ โอลเมฺพตฺวา มณิทณฺฑวเณฺณหิ เวณูหิ จ ปญฺจวณฺณทฺธเช อุสฺสาเปตฺวา สมนฺตา วาตปฎากา ปริกฺขิปิตฺวา สุสมฺมฎฺฐาสุ วีถีสุ กทลิโย จ ปุณฺณฆเฎ จ ฐเปตฺวา ทณฺฑกทีปิกา ชาเลตฺวา อลงฺกตหตฺถิกฺขเนฺธ สห ธาตูหิ สุวณฺณโทณิํ ฐเปตฺวา มาลาคนฺธาทีหิ ปูเชนฺตา สาธุกีฬิตํ กีฬนฺตา อโนฺตนครํ ปเวเสตฺวา สนฺถาคาเร สรภมยปลฺลเงฺก ฐเปตฺวา อุปริ เสตจฺฉตฺตํ ธาเรสุํฯ เอวํ กตฺวา – ‘‘อถ โข โกสินารกา มลฺลา ภควโต สรีรานิ สตฺตาหํ สนฺถาคาเร สตฺติปญฺชรํ กริตฺวา’’ติ สพฺพํ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca citake jhāyamāne parivāretvā ṭhitasālarukkhānaṃ sākhantarehi viṭapantarehi pattantarehi jālā uggacchanti, pattaṃ vā sākhā vā pupphaṃ vā daḍḍhā nāma natthi, kipillikāpi makkaṭakāpi jālānaṃ antareneva vicaranti . Ākāsato patitaudakadhārāsupi sālarukkhehi nikkhantaudakadhārāsupi pathaviṃ bhinditvā nikkhantaudakadhārāsupi dhammakathāva pamāṇaṃ. Evaṃ citakaṃ nibbāpetvā pana mallarājāno santhāgāre catujjātiyagandhaparibhaṇḍaṃ kāretvā lājapañcamāni pupphāni vikiritvā upari celavitānaṃ bandhitvā suvaṇṇatārakādīhi khacitvā tattha gandhadāmamālādāmaratanadāmāni olambetvā santhāgārato yāva makuṭabandhanasaṅkhātā sīsapasādhanamaṅgalasālā, tāva ubhohi passehi sāṇikilañjaparikkhepaṃ kāretvā upari celavitānaṃ bandhāpetvā suvaṇṇatārakādīhi khacitvā tatthapi gandhadāmamālādāmaratanadāmāni olambetvā maṇidaṇḍavaṇṇehi veṇūhi ca pañcavaṇṇaddhaje ussāpetvā samantā vātapaṭākā parikkhipitvā susammaṭṭhāsu vīthīsu kadaliyo ca puṇṇaghaṭe ca ṭhapetvā daṇḍakadīpikā jāletvā alaṅkatahatthikkhandhe saha dhātūhi suvaṇṇadoṇiṃ ṭhapetvā mālāgandhādīhi pūjentā sādhukīḷitaṃ kīḷantā antonagaraṃ pavesetvā santhāgāre sarabhamayapallaṅke ṭhapetvā upari setacchattaṃ dhāresuṃ. Evaṃ katvā – ‘‘atha kho kosinārakā mallā bhagavato sarīrāni sattāhaṃ santhāgāre sattipañjaraṃ karitvā’’ti sabbaṃ veditabbaṃ.
ตตฺถ สตฺติปญฺชรํ กริตฺวาติ สตฺติหเตฺถหิ ปุริเสหิ ปริกฺขิปาเปตฺวาฯ ธนุปาการนฺติ ปฐมํ ตาว หตฺถิกุเมฺภน กุมฺภํ ปหรเนฺต ปริกฺขิปาเปสุํ, ตโต อเสฺส คีวาย คีวํ ปหรเนฺต, ตโต รเถ อาณิโกฎิยา อาณิโกฎิํ ปหรเนฺต, ตโต โยเธ พาหุนา พาหุํ ปหรเนฺตฯ เตสํ ปริยเนฺต โกฎิยา โกฎิํ ปหรมานานิ ธนูนิ ปริกฺขิปาเปสุํฯ อิติ สมนฺตา โยชนปฺปมาณํ ฐานํ สตฺตาหํ สนฺนาหควจฺฉิกํ วิย กตฺวา อารกฺขํ สํวิทหิํสุฯ ตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ธนุปาการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา’’ติฯ
Tattha sattipañjaraṃ karitvāti sattihatthehi purisehi parikkhipāpetvā. Dhanupākāranti paṭhamaṃ tāva hatthikumbhena kumbhaṃ paharante parikkhipāpesuṃ, tato asse gīvāya gīvaṃ paharante, tato rathe āṇikoṭiyā āṇikoṭiṃ paharante, tato yodhe bāhunā bāhuṃ paharante. Tesaṃ pariyante koṭiyā koṭiṃ paharamānāni dhanūni parikkhipāpesuṃ. Iti samantā yojanappamāṇaṃ ṭhānaṃ sattāhaṃ sannāhagavacchikaṃ viya katvā ārakkhaṃ saṃvidahiṃsu. Taṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘dhanupākāraṃ parikkhipāpetvā’’ti.
กสฺมา ปเนเต เอวมกํสูติ? อิโต ปุริเมสุ หิ ทฺวีสุ สตฺตาเหสุ เต ภิกฺขุสงฺฆสฺส ฐานนิสโชฺชกาสํ กโรนฺตา ขาทนียํ โภชนียํ สํวิทหนฺตา สาธุกีฬิกาย โอกาสํ น ลภิํสุฯ ตโต เนสํ อโหสิ – ‘‘อิมํ สตฺตาหํ สาธุกีฬิตํ กีฬิสฺสาม, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ อมฺหากํ ปมตฺตภาวํ ญตฺวา โกจิเทว อาคนฺตฺวา ธาตุโย คเณฺหยฺย, ตสฺมา อารกฺขํ ฐเปตฺวา กีฬิสฺสามา’’ติฯ เต ตถา เอวมกํสุฯ
Kasmā panete evamakaṃsūti? Ito purimesu hi dvīsu sattāhesu te bhikkhusaṅghassa ṭhānanisajjokāsaṃ karontā khādanīyaṃ bhojanīyaṃ saṃvidahantā sādhukīḷikāya okāsaṃ na labhiṃsu. Tato nesaṃ ahosi – ‘‘imaṃ sattāhaṃ sādhukīḷitaṃ kīḷissāma, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ amhākaṃ pamattabhāvaṃ ñatvā kocideva āgantvā dhātuyo gaṇheyya, tasmā ārakkhaṃ ṭhapetvā kīḷissāmā’’ti. Te tathā evamakaṃsu.
สรีรธาตุวิภชนวณฺณนา
Sarīradhātuvibhajanavaṇṇanā
๒๓๖. อโสฺสสิ โข ราชาติ กถํ อโสฺสสิ? ปฐมเมว กิรสฺส อมจฺจา สุตฺวา จินฺตยิํสุ – ‘‘สตฺถา นาม ปรินิพฺพุโต, น โส สกฺกา ปุน อาหริตุํฯ โปถุชฺชนิกสทฺธาย ปน อมฺหากํ รญฺญา สทิโส นตฺถิ, สเจ เอส อิมินาว นิยาเมน สุณิสฺสติ, หทยมสฺส ผลิสฺสติฯ ราชา โข ปน อเมฺหหิ อนุรกฺขิตโพฺพ’’ติ เต ติโสฺส สุวณฺณโทณิโย อาหริตฺวา จตุมธุรสฺส ปูเรตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา เอตทโวจุํ – ‘‘เทว , อเมฺหหิ สุปินโก ทิโฎฺฐ, ตสฺส ปฎิฆาตตฺถํ ตุเมฺหหิ ทุกูลทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา ยถา นาสาปุฎมตฺตํ ปญฺญายติ, เอวํ จตุมธุรโทณิยา นิปชฺชิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา อตฺถจรานํ อมจฺจานํ วจนํ สุตฺวา ‘‘เอวํ โหตุ ตาตา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ
236.Assosikho rājāti kathaṃ assosi? Paṭhamameva kirassa amaccā sutvā cintayiṃsu – ‘‘satthā nāma parinibbuto, na so sakkā puna āharituṃ. Pothujjanikasaddhāya pana amhākaṃ raññā sadiso natthi, sace esa imināva niyāmena suṇissati, hadayamassa phalissati. Rājā kho pana amhehi anurakkhitabbo’’ti te tisso suvaṇṇadoṇiyo āharitvā catumadhurassa pūretvā rañño santikaṃ gantvā etadavocuṃ – ‘‘deva , amhehi supinako diṭṭho, tassa paṭighātatthaṃ tumhehi dukūladupaṭṭaṃ nivāsetvā yathā nāsāpuṭamattaṃ paññāyati, evaṃ catumadhuradoṇiyā nipajjituṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā atthacarānaṃ amaccānaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘evaṃ hotu tātā’’ti sampaṭicchitvā tathā akāsi.
อเถโก อมโจฺจ อลงฺการํ โอมุญฺจิตฺวา เกเส ปกิริย ยาย ทิสาย สตฺถา ปรินิพฺพุโต, ตทภิมุโข หุตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ราชานํ อาห – ‘‘เทว, มรณโต มุจฺจนกสโตฺต นาม นตฺถิ, อมฺหากํ อายุวฑฺฒโน เจติยฎฺฐานํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ อภิเสกสิญฺจโก โส ภควา สตฺถา กุสินาราย ปรินิพฺพุโต’’ติฯ ราชา สุตฺวาว วิสญฺญีชาโต จตุมธุรโทณิยํ อุสุมํ มุญฺจิฯ อถ นํ อุกฺขิปิตฺวา ทุติยาย โทณิยา นิปชฺชาเปสุํฯ โส ปุน สญฺญํ ลภิตฺวา – ‘‘ตาตา, กิํ วเทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สตฺถา, มหาราช, ปรินิพฺพุโต’’ติฯ ราชา ปุนปิ วิสญฺญีชาโต จตุมธุรโทณิยา อุสุมํ มุญฺจิฯ อถ นํ ตโตปิ อุกฺขิปิตฺวา ตติยาย โทณิยา นิปชฺชาเปสุํฯ โส ปุน สญฺญํ ลภิตฺวา ‘‘ตาตา, กิํ วเทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สตฺถา, มหาราช, ปรินิพฺพุโต’’ติฯ ราชา ปุนปิ วิสญฺญีชาโต, อถ นํ อุกฺขิปิตฺวา นหาเปตฺวา มตฺถเก ฆเฎหิ อุทกํ อาสิญฺจิํสุฯ
Atheko amacco alaṅkāraṃ omuñcitvā kese pakiriya yāya disāya satthā parinibbuto, tadabhimukho hutvā añjaliṃ paggayha rājānaṃ āha – ‘‘deva, maraṇato muccanakasatto nāma natthi, amhākaṃ āyuvaḍḍhano cetiyaṭṭhānaṃ puññakkhettaṃ abhisekasiñcako so bhagavā satthā kusinārāya parinibbuto’’ti. Rājā sutvāva visaññījāto catumadhuradoṇiyaṃ usumaṃ muñci. Atha naṃ ukkhipitvā dutiyāya doṇiyā nipajjāpesuṃ. So puna saññaṃ labhitvā – ‘‘tātā, kiṃ vadethā’’ti pucchi. ‘‘Satthā, mahārāja, parinibbuto’’ti. Rājā punapi visaññījāto catumadhuradoṇiyā usumaṃ muñci. Atha naṃ tatopi ukkhipitvā tatiyāya doṇiyā nipajjāpesuṃ. So puna saññaṃ labhitvā ‘‘tātā, kiṃ vadethā’’ti pucchi. ‘‘Satthā, mahārāja, parinibbuto’’ti. Rājā punapi visaññījāto, atha naṃ ukkhipitvā nahāpetvā matthake ghaṭehi udakaṃ āsiñciṃsu.
ราชา สญฺญํ ลภิตฺวา อาสนา วุฎฺฐาย คนฺธปริภาวิเต มณิวเณฺณ เกเส วิกิริตฺวา สุวณฺณผลกวณฺณาย ปิฎฺฐิยํ ปกิริตฺวา ปาณินา อุรํ ปหริตฺวา ปวาฬงฺกุรวณฺณาหิ สุวฎฺฎิตงฺคุลีหิ สุวณฺณพิมฺพิสกวณฺณํ อุรํ สิพฺพโนฺต วิย คเหตฺวา ปริเทวมาโน อุมฺมตฺตกเวเสน อนฺตรวีถิํ โอติโณฺณ, โส อลงฺกตนาฎกปริวุโต นครโต นิกฺขมฺม ชีวกมฺพวนํ คนฺตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน นิสิเนฺนน ภควตา ธโมฺม เทสิโต ตํ โอโลเกตฺวา – ‘‘ภควา สพฺพญฺญุ, นนุ อิมสฺมิํ ฐาเน นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทสยิตฺถ, โสกสลฺลํ เม วิโนทยิตฺถ, ตุเมฺห มยฺหํ โสกสลฺลํ นีหริตฺถ, อหํ ตุมฺหากํ สรณํ คโต, อิทานิ ปน เม ปฎิวจนมฺปิ น เทถ, ภควา’’ติ ปุนปฺปุนํ ปริเทวิตฺวา ‘‘นนุ ภควา อหํ อญฺญทา เอวรูเป กาเล ‘ตุเมฺห มหาภิกฺขุสงฺฆปริวารา ชมฺพุทีปตเล จาริกํ จรถา’ติ สุโณมิ, อิทานิ ปนาหํ ตุมฺหากํ อนนุรูปํ อยุตฺตํ ปวตฺติํ สุโณมี’’ติ เอวมาทีนิ จ วตฺวา สฎฺฐิมตฺตาหิ คาถาหิ ภควโต คุณํ อนุสฺสริตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘มม ปริเทวิเตเนว น สิชฺฌติ, ทสพลสฺส ธาตุโย อาหราเปสฺสามี’’ติ เอวํ อโสฺสสิฯ สุตฺวา จ อิมิสฺสา วิสญฺญิภาวาทิปวตฺติยา อวสาเน ทูตํ ปาเหสิฯ ตํ สนฺธาย อถ โข ราชาติอาทิ วุตฺตํฯ
Rājā saññaṃ labhitvā āsanā vuṭṭhāya gandhaparibhāvite maṇivaṇṇe kese vikiritvā suvaṇṇaphalakavaṇṇāya piṭṭhiyaṃ pakiritvā pāṇinā uraṃ paharitvā pavāḷaṅkuravaṇṇāhi suvaṭṭitaṅgulīhi suvaṇṇabimbisakavaṇṇaṃ uraṃ sibbanto viya gahetvā paridevamāno ummattakavesena antaravīthiṃ otiṇṇo, so alaṅkatanāṭakaparivuto nagarato nikkhamma jīvakambavanaṃ gantvā yasmiṃ ṭhāne nisinnena bhagavatā dhammo desito taṃ oloketvā – ‘‘bhagavā sabbaññu, nanu imasmiṃ ṭhāne nisīditvā dhammaṃ desayittha, sokasallaṃ me vinodayittha, tumhe mayhaṃ sokasallaṃ nīharittha, ahaṃ tumhākaṃ saraṇaṃ gato, idāni pana me paṭivacanampi na detha, bhagavā’’ti punappunaṃ paridevitvā ‘‘nanu bhagavā ahaṃ aññadā evarūpe kāle ‘tumhe mahābhikkhusaṅghaparivārā jambudīpatale cārikaṃ carathā’ti suṇomi, idāni panāhaṃ tumhākaṃ ananurūpaṃ ayuttaṃ pavattiṃ suṇomī’’ti evamādīni ca vatvā saṭṭhimattāhi gāthāhi bhagavato guṇaṃ anussaritvā cintesi – ‘‘mama parideviteneva na sijjhati, dasabalassa dhātuyo āharāpessāmī’’ti evaṃ assosi. Sutvā ca imissā visaññibhāvādipavattiyā avasāne dūtaṃ pāhesi. Taṃ sandhāya atha kho rājātiādi vuttaṃ.
ตตฺถ ทูตํ ปาเหสีติ ทูตญฺจ ปณฺณญฺจ เปเสสิฯ เปเสตฺวา จ ปน – ‘‘สเจ ทสฺสนฺติ, สุนฺทรํฯ โน เจ ทสฺสนฺติ, อาหรณุปาเยน อาหริสฺสามี’’ติ จตุรงฺคินิํ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา สยมฺปิ นิกฺขโนฺตเยวฯ ยถา จ อชาตสตฺตุ, เอวํ ลิจฺฉวีอาทโยปิ ทูตํ เปเสตฺวา สยมฺปิ จตุรงฺคินิยา เสนาย นิกฺขมิํสุเยวฯ ตตฺถ ปาเวยฺยกา สเพฺพหิ อาสนฺนตรา กุสินารโต ติคาวุตนฺตเร นคเร วสนฺติ, ภควาปิ ปาวํ ปวิสิตฺวาว กุสินารํ คโตฯ อถ กสฺมา ปฐมตรํ น อาคตาติ เจ? มหาปริวารา ปเนเต ราชาโน มหาปริวารํ กโรนฺตาว ปจฺฉโต ชาตาฯ
Tattha dūtaṃ pāhesīti dūtañca paṇṇañca pesesi. Pesetvā ca pana – ‘‘sace dassanti, sundaraṃ. No ce dassanti, āharaṇupāyena āharissāmī’’ti caturaṅginiṃ senaṃ sannayhitvā sayampi nikkhantoyeva. Yathā ca ajātasattu, evaṃ licchavīādayopi dūtaṃ pesetvā sayampi caturaṅginiyā senāya nikkhamiṃsuyeva. Tattha pāveyyakā sabbehi āsannatarā kusinārato tigāvutantare nagare vasanti, bhagavāpi pāvaṃ pavisitvāva kusināraṃ gato. Atha kasmā paṭhamataraṃ na āgatāti ce? Mahāparivārā panete rājāno mahāparivāraṃ karontāva pacchato jātā.
เต สเงฺฆ คเณ เอตทโวจุนฺติ สเพฺพปิ เต สตฺตนครวาสิโน อาคนฺตฺวา – ‘‘อมฺหากํ ธาตุโย วา เทนฺตุ, ยุทฺธํ วา’’ติ กุสินารานครํ ปริวาเรตฺวา ฐิเต – ‘‘เอตํ ภควา อมฺหากํ คามเกฺขเตฺต’’ติ ปฎิวจนํ อโวจุํฯ เต กิร เอวมาหํสุ – ‘‘น มยํ สตฺถุ สาสนํ ปหิณิมฺห, นาปิ คนฺตฺวา อานยิมฺหฯ สตฺถา ปน สยเมว อาคนฺตฺวา สาสนํ เปเสตฺวา อเมฺห ปโกฺกสาเปสิฯ ตุเมฺหปิ โข ปน ยํ ตุมฺหากํ คามเกฺขเตฺต รตนํ อุปฺปชฺชติ, น ตํ อมฺหากํ เทถฯ สเทวเก จ โลเก พุทฺธรตนสมํ รตนํ นาม นตฺถิ, เอวรูปํ อุตฺตมรตนํ ลภิตฺวา มยํ น ทสฺสามฯ น โข ปน ตุเมฺหหิเยว มาตุถนโต ขีรํ ปีตํ, อเมฺหหิปิ มาตุถนโต ขีรํ ปีตํฯ น ตุเมฺหเยว ปุริสา, อเมฺหปิ ปุริสา โหตู’’ติ อญฺญมญฺญํ อหํการํ กตฺวา สาสนปฎิสาสนํ เปเสนฺติ, อญฺญมญฺญํ มานคชฺชิตํ คชฺชนฺติฯ ยุเทฺธ ปน สติ โกสินารกานํเยว ชโย อภวิสฺสฯ กสฺมา? ยสฺมา ธาตุปาสนตฺถํ อาคตา เทวตา เนสํ ปกฺขา อเหสุํฯ ปาฬิยํ ปน – ‘‘ภควา อมฺหากํ คามเกฺขเตฺต ปรินิพฺพุโต, น มยํ ทสฺสาม ภควโต สรีรานํ ภาค’’นฺติ เอตฺตกเมว อาคตํฯ
Te saṅghe gaṇe etadavocunti sabbepi te sattanagaravāsino āgantvā – ‘‘amhākaṃ dhātuyo vā dentu, yuddhaṃ vā’’ti kusinārānagaraṃ parivāretvā ṭhite – ‘‘etaṃ bhagavā amhākaṃ gāmakkhette’’ti paṭivacanaṃ avocuṃ. Te kira evamāhaṃsu – ‘‘na mayaṃ satthu sāsanaṃ pahiṇimha, nāpi gantvā ānayimha. Satthā pana sayameva āgantvā sāsanaṃ pesetvā amhe pakkosāpesi. Tumhepi kho pana yaṃ tumhākaṃ gāmakkhette ratanaṃ uppajjati, na taṃ amhākaṃ detha. Sadevake ca loke buddharatanasamaṃ ratanaṃ nāma natthi, evarūpaṃ uttamaratanaṃ labhitvā mayaṃ na dassāma. Na kho pana tumhehiyeva mātuthanato khīraṃ pītaṃ, amhehipi mātuthanato khīraṃ pītaṃ. Na tumheyeva purisā, amhepi purisā hotū’’ti aññamaññaṃ ahaṃkāraṃ katvā sāsanapaṭisāsanaṃ pesenti, aññamaññaṃ mānagajjitaṃ gajjanti. Yuddhe pana sati kosinārakānaṃyeva jayo abhavissa. Kasmā? Yasmā dhātupāsanatthaṃ āgatā devatā nesaṃ pakkhā ahesuṃ. Pāḷiyaṃ pana – ‘‘bhagavā amhākaṃ gāmakkhette parinibbuto, na mayaṃ dassāma bhagavato sarīrānaṃ bhāga’’nti ettakameva āgataṃ.
๒๓๗. เอวํ วุเตฺต โทโณ พฺราหฺมโณติ โทณพฺราหฺมโณ อิมํ เตสํ วิวาทํ สุตฺวา – ‘‘เอเต ราชาโน ภควโต ปรินิพฺพุตฎฺฐาเน วิวาทํ กโรนฺติ, น โข ปเนตํ ปติรูปํ, อลํ อิมินา กลเหน, วูปสเมสฺสามิ น’’นฺติ โส คนฺตฺวา เต สเงฺฆ คเณ เอตทโวจฯ กิมโวจ? อุนฺนตปฺปเทเส ฐตฺวา ทฺวิภาณวารปริมาณํ โทณคชฺชิตํ นาม อโวจฯ ตตฺถ ปฐมภาณวาเร ตาว เอกปทมฺปิ เต น ชานิํสุฯ ทุติยภาณวารปริโยสาเน – ‘‘อาจริยสฺส วิย โภ สโทฺท, อาจริยสฺส วิย โภ สโทฺท’’ติ สเพฺพ นิรวา อเหสุํฯ ชมฺพุทีปตเล กิร กุลฆเร ชาตา เยภุเยฺยน ตสฺส น อเนฺตวาสิโก นาม นตฺถิฯ อถ โส เต อตฺตโน วจนํ สุตฺวา นิรเว ตุณฺหีภูเต วิทิตฺวา ปุน เอตทโวจ – ‘‘สุณนฺตุ โภโนฺต’’ติ เอตํ คาถาทฺวยํ อโวจฯ
237.Evaṃ vutte doṇo brāhmaṇoti doṇabrāhmaṇo imaṃ tesaṃ vivādaṃ sutvā – ‘‘ete rājāno bhagavato parinibbutaṭṭhāne vivādaṃ karonti, na kho panetaṃ patirūpaṃ, alaṃ iminā kalahena, vūpasamessāmi na’’nti so gantvā te saṅghe gaṇe etadavoca. Kimavoca? Unnatappadese ṭhatvā dvibhāṇavāraparimāṇaṃ doṇagajjitaṃ nāma avoca. Tattha paṭhamabhāṇavāre tāva ekapadampi te na jāniṃsu. Dutiyabhāṇavārapariyosāne – ‘‘ācariyassa viya bho saddo, ācariyassa viya bho saddo’’ti sabbe niravā ahesuṃ. Jambudīpatale kira kulaghare jātā yebhuyyena tassa na antevāsiko nāma natthi. Atha so te attano vacanaṃ sutvā nirave tuṇhībhūte viditvā puna etadavoca – ‘‘suṇantu bhonto’’ti etaṃ gāthādvayaṃ avoca.
ตตฺถ อมฺหากํ พุโทฺธติ อมฺหากํ พุโทฺธฯ อหุ ขนฺติวาโทติ พุทฺธภูมิํ อปฺปตฺวาปิ ปารมิโย ปูเรโนฺต ขนฺติวาทิตาปสกาเล ธมฺมปาลกุมารกาเล ฉทฺทนฺตหตฺถิกาเล ภูริทตฺตนาคราชกาเล จเมฺปยฺยนาคราชกาเล สงฺขปาลนาคราชกาเล มหากปิกาเล อเญฺญสุ จ พหูสุ ชาตเกสุ ปเรสุ โกปํ อกตฺวา ขนฺติเมว อกาสิฯ ขนฺติเมว วณฺณยิฯ กิมงฺคํ ปน เอตรหิ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ ตาทิลกฺขณํ ปโตฺต, สพฺพถาปิ อมฺหากํ พุโทฺธ ขนฺติวาโท อโหสิ, ตสฺส เอวํวิธสฺสฯ น หิ สาธุ ยํ อุตฺตมปุคฺคลสฺส, สรีรภาเค สิยา สมฺปหาโรติ น หิ สาธุยนฺติ น หิ สาธุ อยํฯ สรีรภาเคติ สรีรวิภาคนิมิตฺตํ, ธาตุโกฎฺฐาสเหตูติ อโตฺถฯ สิยา สมฺปหาโรติ อาวุธสมฺปหาโร สาธุ น สิยาติ วุตฺตํ โหติฯ
Tattha amhākaṃ buddhoti amhākaṃ buddho. Ahu khantivādoti buddhabhūmiṃ appatvāpi pāramiyo pūrento khantivāditāpasakāle dhammapālakumārakāle chaddantahatthikāle bhūridattanāgarājakāle campeyyanāgarājakāle saṅkhapālanāgarājakāle mahākapikāle aññesu ca bahūsu jātakesu paresu kopaṃ akatvā khantimeva akāsi. Khantimeva vaṇṇayi. Kimaṅgaṃ pana etarahi iṭṭhāniṭṭhesu tādilakkhaṇaṃ patto, sabbathāpi amhākaṃ buddho khantivādo ahosi, tassa evaṃvidhassa. Na hi sādhu yaṃ uttamapuggalassa, sarīrabhāge siyā sampahāroti na hi sādhuyanti na hi sādhu ayaṃ. Sarīrabhāgeti sarīravibhāganimittaṃ, dhātukoṭṭhāsahetūti attho. Siyā sampahāroti āvudhasampahāro sādhu na siyāti vuttaṃ hoti.
สเพฺพว โภโนฺต สหิตาติ สเพฺพว โภโนฺต สหิตา โหถ, มา ภิชฺชถฯ สมคฺคาติ กาเยน จ วาจาย จ เอกสนฺนิปาตา เอกวจนา สมคฺคา โหถฯ สโมฺมทมานาติ จิเตฺตนาปิ อญฺญมญฺญํ สโมฺมทมานา โหถฯ กโรมฎฺฐภาเคติ ภควโต สรีรานิ อฎฺฐ ภาเค กโรม ฯ จกฺขุมโตติ ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมโต พุทฺธสฺสฯ น เกวลํ ตุเมฺหเยว, พหุชโนปิ ปสโนฺน, เตสุ เอโกปิ ลทฺธุํ อยุโตฺต นาม นตฺถีติ พหุํ การณํ วตฺวา สญฺญาเปสิฯ
Sabbeva bhonto sahitāti sabbeva bhonto sahitā hotha, mā bhijjatha. Samaggāti kāyena ca vācāya ca ekasannipātā ekavacanā samaggā hotha. Sammodamānāti cittenāpi aññamaññaṃ sammodamānā hotha. Karomaṭṭhabhāgeti bhagavato sarīrāni aṭṭha bhāge karoma . Cakkhumatoti pañcahi cakkhūhi cakkhumato buddhassa. Na kevalaṃ tumheyeva, bahujanopi pasanno, tesu ekopi laddhuṃ ayutto nāma natthīti bahuṃ kāraṇaṃ vatvā saññāpesi.
๒๓๘. เตสํ สงฺฆานํ คณานํ ปฎิสฺสุตฺวาติ เตสํ เตสํ ตโต ตโต สมาคตสงฺฆานํ สมาคตคณานํ ปฎิสฺสุณิตฺวาฯ ภควโต สรีรานิ อฎฺฐธา สมํ สุวิภตฺตํ วิภชิตฺวาติ เอตฺถ อยมนุกฺกโม – โทโณ กิร เตสํ ปฎิสฺสุณิตฺวา สุวณฺณโทณิํ วิวราเปสิฯ ราชาโน อาคนฺตฺวา โทณิยํเยว ฐิตา สุวณฺณวณฺณา ธาตุโย ทิสฺวา – ‘‘ภควา สพฺพญฺญุ ปุเพฺพ มยํ ตุมฺหากํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ ฉพฺพณฺณพุทฺธรสฺมิขจิตํ อสีติอนุพฺยญฺชนสมุชฺชลิตโสภํ สุวณฺณวณฺณํ สรีรํ อทฺทสาม, อิทานิ ปน สุวณฺณวณฺณาว ธาตุโย อวสิฎฺฐา ชาตา, น ยุตฺตมิทํ ภควา ตุมฺหาก’’นฺติ ปริเทวิํสุฯ
238.Tesaṃ saṅghānaṃ gaṇānaṃ paṭissutvāti tesaṃ tesaṃ tato tato samāgatasaṅghānaṃ samāgatagaṇānaṃ paṭissuṇitvā. Bhagavatosarīrāni aṭṭhadhā samaṃ suvibhattaṃ vibhajitvāti ettha ayamanukkamo – doṇo kira tesaṃ paṭissuṇitvā suvaṇṇadoṇiṃ vivarāpesi. Rājāno āgantvā doṇiyaṃyeva ṭhitā suvaṇṇavaṇṇā dhātuyo disvā – ‘‘bhagavā sabbaññu pubbe mayaṃ tumhākaṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ chabbaṇṇabuddharasmikhacitaṃ asītianubyañjanasamujjalitasobhaṃ suvaṇṇavaṇṇaṃ sarīraṃ addasāma, idāni pana suvaṇṇavaṇṇāva dhātuyo avasiṭṭhā jātā, na yuttamidaṃ bhagavā tumhāka’’nti parideviṃsu.
พฺราหฺมโณปิ ตสฺมิํ สมเย เตสํ ปมตฺตภาวํ ญตฺวา ทกฺขิณทาฐํ คเหตฺวา เวฐนฺตเร ฐเปสิ, อถ ปจฺฉา อฎฺฐธา สมํ สุวิภตฺตํ วิภชิ, สพฺพาปิ ธาตุโย ปากติกนาฬิยา โสฬส นาฬิโย อเหสุํ, เอเกกนครวาสิโน เทฺว เทฺว นาฬิโย ลภิํสุฯ พฺราหฺมณสฺส ปน ธาตุโย วิภชนฺตเสฺสว สโกฺก เทวานมิโนฺท – ‘‘เกน นุ โข สเทวกสฺส โลกสฺส กงฺขเจฺฉทนตฺถาย จตุสจฺจกถาย ปจฺจยภูตา ภควโต ทกฺขิณทาฐา คหิตา’’ติ โอโลเกโนฺต ‘‘พฺราหฺมเณน คหิตา’’ติ ทิสฺวา – ‘‘พฺราหฺมโณปิ ทาฐาย อนุจฺฉวิกํ สกฺการํ กาตุํ น สกฺขิสฺสติ, คณฺหามิ น’’นฺติ เวฐนฺตรโต คเหตฺวา สุวณฺณจโงฺกฎเก ฐเปตฺวา เทวโลกํ เนตฺวา จูฬามณิเจติเย ปติฎฺฐเปสิฯ
Brāhmaṇopi tasmiṃ samaye tesaṃ pamattabhāvaṃ ñatvā dakkhiṇadāṭhaṃ gahetvā veṭhantare ṭhapesi, atha pacchā aṭṭhadhā samaṃ suvibhattaṃ vibhaji, sabbāpi dhātuyo pākatikanāḷiyā soḷasa nāḷiyo ahesuṃ, ekekanagaravāsino dve dve nāḷiyo labhiṃsu. Brāhmaṇassa pana dhātuyo vibhajantasseva sakko devānamindo – ‘‘kena nu kho sadevakassa lokassa kaṅkhacchedanatthāya catusaccakathāya paccayabhūtā bhagavato dakkhiṇadāṭhā gahitā’’ti olokento ‘‘brāhmaṇena gahitā’’ti disvā – ‘‘brāhmaṇopi dāṭhāya anucchavikaṃ sakkāraṃ kātuṃ na sakkhissati, gaṇhāmi na’’nti veṭhantarato gahetvā suvaṇṇacaṅkoṭake ṭhapetvā devalokaṃ netvā cūḷāmaṇicetiye patiṭṭhapesi.
พฺราหฺมโณปิ ธาตุโย วิภชิตฺวา ทาฐํ อปสฺสโนฺต โจริกาย คหิตตฺตา – ‘‘เกน เม ทาฐา คหิตา’’ติ ปุจฺฉิตุมฺปิ นาสกฺขิฯ ‘‘นนุ ตยาว ธาตุโย ภาชิตา, กิํ ตฺวํ ปฐมํเยว อตฺตโน ธาตุยา อตฺถิภาวํ น อญฺญาสี’’ติ อตฺตนิ โทสาโรปนํ สมฺปสฺสโนฺต – ‘‘มยฺหมฺปิ โกฎฺฐาสํ เทถา’’ติ วตฺตุมฺปิ นาสกฺขิฯ ตโต – ‘‘อยมฺปิ สุวณฺณตุโมฺพ ธาตุคติโกว, เยน ตถาคตสฺส ธาตุโย มิตา, อิมสฺสาหํ ถูปํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ เม โภโนฺต ตุมฺพํ ททนฺตูติ อาหฯ
Brāhmaṇopi dhātuyo vibhajitvā dāṭhaṃ apassanto corikāya gahitattā – ‘‘kena me dāṭhā gahitā’’ti pucchitumpi nāsakkhi. ‘‘Nanu tayāva dhātuyo bhājitā, kiṃ tvaṃ paṭhamaṃyeva attano dhātuyā atthibhāvaṃ na aññāsī’’ti attani dosāropanaṃ sampassanto – ‘‘mayhampi koṭṭhāsaṃ dethā’’ti vattumpi nāsakkhi. Tato – ‘‘ayampi suvaṇṇatumbo dhātugatikova, yena tathāgatassa dhātuyo mitā, imassāhaṃ thūpaṃ karissāmī’’ti cintetvā imaṃ me bhonto tumbaṃ dadantūti āha.
ปิปฺปลิวนิยา โมริยาปิ อชาตสตฺตุอาทโย วิย ทูตํ เปเสตฺวา ยุทฺธสชฺชาว นิกฺขมิํสุฯ
Pippalivaniyāmoriyāpi ajātasattuādayo viya dūtaṃ pesetvā yuddhasajjāva nikkhamiṃsu.
ธาตุถูปปูชาวณฺณนา
Dhātuthūpapūjāvaṇṇanā
๒๓๙. ราชคเห ภควโต สรีรานํ ถูปญฺจ มหญฺจ อกาสีติ กถํ อกาสิ? กุสินารโต ยาว ราชคหํ ปญฺจวีสติ โยชนานิ, เอตฺถนฺตเร อฎฺฐอุสภวิตฺถตํ สมตลํ มคฺคํ กาเรตฺวา ยาทิสํ มลฺลราชาโน มกุฎพนฺธนสฺส จ สนฺถาคารสฺส จ อนฺตเร ปูชํ กาเรสุํฯ ตาทิสํ ปญฺจวีสติโยชเนปิ มเคฺค ปูชํ กาเรตฺวา โลกสฺส อนุกฺกณฺฐนตฺถํ สพฺพตฺถ อนฺตราปเณ ปสาเรตฺวา สุวณฺณโทณิยํ ปกฺขิตฺตธาตุโย สตฺติปญฺชเรน ปริกฺขิปาเปตฺวา อตฺตโน วิชิเต ปญฺจโยชนสตปริมณฺฑเล มนุเสฺส สนฺนิปาตาเปสิฯ เต ธาตุโย คเหตฺวา กุสินารโต สาธุกีฬิตํ กีฬนฺตา นิกฺขมิตฺวา ยตฺถ ยตฺถ สุวณฺณวณฺณานิ ปุปฺผานิ ปสฺสนฺติ, ตตฺถ ตตฺถ ธาตุโย สตฺติอนฺตเร ฐเปตฺวา ปูชํ อกํสุฯ เตสํ ปุปฺผานํ ขีณกาเล คจฺฉนฺติ, รถสฺส ธุรฎฺฐานํ ปจฺฉิมฎฺฐาเน สมฺปเตฺต สตฺต ทิวเส สาธุกีฬิตํ กีฬนฺติฯ เอวํ ธาตุโย คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตานํ สตฺต วสฺสานิ สตฺต มาสานิ สตฺต ทิวสานิ วีติวตฺตานิฯ
239.Rājagahe bhagavato sarīrānaṃ thūpañca mahañca akāsīti kathaṃ akāsi? Kusinārato yāva rājagahaṃ pañcavīsati yojanāni, etthantare aṭṭhausabhavitthataṃ samatalaṃ maggaṃ kāretvā yādisaṃ mallarājāno makuṭabandhanassa ca santhāgārassa ca antare pūjaṃ kāresuṃ. Tādisaṃ pañcavīsatiyojanepi magge pūjaṃ kāretvā lokassa anukkaṇṭhanatthaṃ sabbattha antarāpaṇe pasāretvā suvaṇṇadoṇiyaṃ pakkhittadhātuyo sattipañjarena parikkhipāpetvā attano vijite pañcayojanasataparimaṇḍale manusse sannipātāpesi. Te dhātuyo gahetvā kusinārato sādhukīḷitaṃ kīḷantā nikkhamitvā yattha yattha suvaṇṇavaṇṇāni pupphāni passanti, tattha tattha dhātuyo sattiantare ṭhapetvā pūjaṃ akaṃsu. Tesaṃ pupphānaṃ khīṇakāle gacchanti, rathassa dhuraṭṭhānaṃ pacchimaṭṭhāne sampatte satta divase sādhukīḷitaṃ kīḷanti. Evaṃ dhātuyo gahetvā āgacchantānaṃ satta vassāni satta māsāni satta divasāni vītivattāni.
มิจฺฉาทิฎฺฐิกา – ‘‘สมณสฺส โคตมสฺส ปรินิพฺพุตกาลโต ปฎฺฐาย พลกฺกาเรน สาธุกีฬิตาย อุปทฺทุตมฺห สเพฺพ โน กมฺมนฺตา นฎฺฐา’’ติ อุชฺฌายนฺตา มนํ ปโทเสตฺวา ฉฬาสีติสหสฺสมตฺตา อปาเย นิพฺพตฺตาฯ ขีณาสวา อาวชฺชิตฺวา ‘‘มหาชโน มนํ ปโทเสตฺวา อปาเย นิพฺพตฺตี’’ติ ทิสฺวา – ‘‘สกฺกํ เทวราชานํ ธาตุอาหรณูปายํ กาเรสฺสามา’’ติ ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา – ‘‘ธาตุอาหรณูปายํ กโรหิ มหาราชา’’ติ อาหํสุฯ สโกฺก อาห – ‘‘ภเนฺต, ปุถุชฺชโน นาม อชาตสตฺตุนา สโม สโทฺธ นตฺถิ, น โส มม วจนํ กริสฺสติ, อปิจ โข มารวิภิํสกสทิสํ วิภิํสกํ ทเสฺสสฺสามิ, มหาสทฺทํ สาเวสฺสามิ, ยกฺขคาหกขิปิตกอโรจเก กริสฺสามิ, ตุเมฺห ‘อมนุสฺสา มหาราช กุปิตา ธาตุโย อาหราเปถา’ติ วเทยฺยาถ, เอวํ โส อาหราเปสฺสตี’’ติฯ อถ โข สโกฺก ตํ สพฺพํ อกาสิฯ
Micchādiṭṭhikā – ‘‘samaṇassa gotamassa parinibbutakālato paṭṭhāya balakkārena sādhukīḷitāya upaddutamha sabbe no kammantā naṭṭhā’’ti ujjhāyantā manaṃ padosetvā chaḷāsītisahassamattā apāye nibbattā. Khīṇāsavā āvajjitvā ‘‘mahājano manaṃ padosetvā apāye nibbattī’’ti disvā – ‘‘sakkaṃ devarājānaṃ dhātuāharaṇūpāyaṃ kāressāmā’’ti tassa santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocetvā – ‘‘dhātuāharaṇūpāyaṃ karohi mahārājā’’ti āhaṃsu. Sakko āha – ‘‘bhante, puthujjano nāma ajātasattunā samo saddho natthi, na so mama vacanaṃ karissati, apica kho māravibhiṃsakasadisaṃ vibhiṃsakaṃ dassessāmi, mahāsaddaṃ sāvessāmi, yakkhagāhakakhipitakaarocake karissāmi, tumhe ‘amanussā mahārāja kupitā dhātuyo āharāpethā’ti vadeyyātha, evaṃ so āharāpessatī’’ti. Atha kho sakko taṃ sabbaṃ akāsi.
เถราปิ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา – ‘‘มหาราช, อมนุสฺสา กุปิตา, ธาตุโย อาหราเปหี’’ติ ภณิํสุฯ ราชา – ‘‘น ตาว, ภเนฺต, มยฺหํ จิตฺตํ ตุสฺสติ, เอวํ สเนฺตปิ อาหรนฺตู’’ติ อาหฯ สตฺตมทิวเส ธาตุโย อาหริํสุฯ เอวํ อาหตา ธาตุโย คเหตฺวา ราชคเห ถูปญฺจ มหญฺจ อกาสิฯ อิตเรปิ อตฺตโน อตฺตโน พลานุรูเปน อาหริตฺวา สกสกฎฺฐาเนสุ ถูปญฺจ มหญฺจ อกํสุฯ
Therāpi rājānaṃ upasaṅkamitvā – ‘‘mahārāja, amanussā kupitā, dhātuyo āharāpehī’’ti bhaṇiṃsu. Rājā – ‘‘na tāva, bhante, mayhaṃ cittaṃ tussati, evaṃ santepi āharantū’’ti āha. Sattamadivase dhātuyo āhariṃsu. Evaṃ āhatā dhātuyo gahetvā rājagahe thūpañca mahañca akāsi. Itarepi attano attano balānurūpena āharitvā sakasakaṭṭhānesu thūpañca mahañca akaṃsu.
๒๔๐. เอวเมตํ ภูตปุพฺพนฺติ เอวํ เอตํ ธาตุภาชนเญฺจว ทสถูปกรณญฺจ ชมฺพุทีเป ภูตปุพฺพนฺติ ปจฺฉา สงฺคีติการกา อาหํสุฯ เอวํ ปติฎฺฐิเตสุ ปน ถูเปสุ มหากสฺสปเตฺถโร ธาตูนํ อนฺตรายํ ทิสฺวา ราชานํ อชาตสตฺตุํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘มหาราช, เอกํ ธาตุนิธานํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ สาธุ, ภเนฺต, นิธานกมฺมํ ตาว มม โหตุ, เสสธาตุโย ปน กถํ อาหรามีติ? น, มหาราช, ธาตุอาหรณํ ตุยฺหํ ภาโร, อมฺหากํ ภาโรติฯ สาธุ, ภเนฺต, ตุเมฺห ธาตุโย อาหรถ, อหํ ธาตุนิธานํ กริสฺสามีติฯ เถโร เตสํ เตสํ ราชกุลานํ ปริจรณมตฺตเมว ฐเปตฺวา เสสธาตุโย อาหริฯ รามคาเม ปน ธาตุโย นาคา ปริคฺคณฺหิํสุ, ตาสํ อนฺตราโย นตฺถิฯ ‘‘อนาคเต ลงฺกาทีเป มหาวิหาเร มหาเจติยมฺหิ นิทหิสฺสนฺตี’’ติ ตา น อาหริตฺวา เสเสหิ สตฺตหิ นคเรหิ อาหริตฺวา ราชคหสฺส ปาจีนทกฺขิณทิสาภาเค ฐตฺวา – ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน โย ปาสาโณ อตฺถิ, โส อนฺตรธายตุ, ปํสุ สุวิสุทฺธา โหตุ, อุทกํ มา อุฎฺฐหตู’’ติ อธิฎฺฐาสิฯ
240.Evametaṃ bhūtapubbanti evaṃ etaṃ dhātubhājanañceva dasathūpakaraṇañca jambudīpe bhūtapubbanti pacchā saṅgītikārakā āhaṃsu. Evaṃ patiṭṭhitesu pana thūpesu mahākassapatthero dhātūnaṃ antarāyaṃ disvā rājānaṃ ajātasattuṃ upasaṅkamitvā ‘‘mahārāja, ekaṃ dhātunidhānaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti āha. Sādhu, bhante, nidhānakammaṃ tāva mama hotu, sesadhātuyo pana kathaṃ āharāmīti? Na, mahārāja, dhātuāharaṇaṃ tuyhaṃ bhāro, amhākaṃ bhāroti. Sādhu, bhante, tumhe dhātuyo āharatha, ahaṃ dhātunidhānaṃ karissāmīti. Thero tesaṃ tesaṃ rājakulānaṃ paricaraṇamattameva ṭhapetvā sesadhātuyo āhari. Rāmagāme pana dhātuyo nāgā pariggaṇhiṃsu, tāsaṃ antarāyo natthi. ‘‘Anāgate laṅkādīpe mahāvihāre mahācetiyamhi nidahissantī’’ti tā na āharitvā sesehi sattahi nagarehi āharitvā rājagahassa pācīnadakkhiṇadisābhāge ṭhatvā – ‘‘imasmiṃ ṭhāne yo pāsāṇo atthi, so antaradhāyatu, paṃsu suvisuddhā hotu, udakaṃ mā uṭṭhahatū’’ti adhiṭṭhāsi.
ราชา ตํ ฐานํ ขณาเปตฺวา ตโต อุทฺธตปํสุนา อิฎฺฐกา กาเรตฺวา อสีติมหาสาวกานํ เจติยานิ กาเรติฯ ‘‘อิธ ราชา กิํ กาเรตี’’ติ ปุจฺฉนฺตานมฺปิ ‘‘มหาสาวกานํ เจติยานี’’ติ วทนฺติ, น โกจิ ธาตุนิธานภาวํ ชานาติฯ อสีติหตฺถคมฺภีเร ปน ตสฺมิํ ปเทเส ชาเต เหฎฺฐา โลหสนฺถารํ สนฺถราเปตฺวา ตตฺถ ถูปาราเม เจติยฆรปฺปมาณํ ตมฺพโลหมยํ เคหํ การาเปตฺวา อฎฺฐ อฎฺฐ หริจนฺทนาทิมเย กรเณฺฑ จ ถูเป จ การาเปสิฯ อถ ภควโต ธาตุโย หริจนฺทนกรเณฺฑ ปกฺขิปิตฺวา ตํ หริจนฺทนกรณฺฑกมฺปิ อญฺญสฺมิํ หริจนฺทนกรณฺฑเก, ตมฺปิ อญฺญสฺมินฺติ เอวํ อฎฺฐ หริจนฺทนกรเณฺฑ เอกโต กตฺวา เอเตเนว อุปาเยน เต อฎฺฐ กรเณฺฑ อฎฺฐสุ หริจนฺทนถูเปสุ, อฎฺฐ หริจนฺทนถูเป อฎฺฐสุ โลหิตจนฺทนกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ โลหิตจนฺทนกรเณฺฑ อฎฺฐสุ โลหิตจนฺทนถูเปสุ, อฎฺฐ โลหิตจนฺทนถูเป อฎฺฐสุ ทนฺตกรเณฺฑสุ , อฎฺฐ ทนฺตกรเณฺฑ อฎฺฐสุ ทนฺตถูเปสุ, อฎฺฐ ทนฺตถูเป อฎฺฐสุ สพฺพรตนกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ สพฺพรตนกรเณฺฑ อฎฺฐสุ สพฺพรตนถูเปสุ, อฎฺฐ สพฺพรตนถูเป อฎฺฐสุ สุวณฺณกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ สุวณฺณกรเณฺฑ, อฎฺฐสุ สุวณฺณถูเปสุ, อฎฺฐ สุวณฺณถูเป อฎฺฐสุ รชตกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ รชตกรเณฺฑ อฎฺฐสุ รชตถูเปสุ, อฎฺฐ รชตถูเป, อฎฺฐสุ มณิกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ มณิกรเณฺฑ อฎฺฐสุ มณิถูเปสุ, อฎฺฐ มณิถูเป อฎฺฐสุ โลหิตงฺกกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ โลหิตงฺกกรเณฺฑ อฎฺฐสุ โลหิตงฺกถูเปสุ, อฎฺฐ โลหิตงฺกถูเป อฎฺฐสุ มสารคลฺลกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ มสารคลฺลกรเณฺฑ อฎฺฐสุ มสารคลฺลถูเปสุ, อฎฺฐ มสารคลฺลถูเป อฎฺฐสุ ผลิกกรเณฺฑสุ, อฎฺฐ ผลิกกรเณฺฑ อฎฺฐสุ ผลิกมยถูเปสุ ปกฺขิปิฯ
Rājā taṃ ṭhānaṃ khaṇāpetvā tato uddhatapaṃsunā iṭṭhakā kāretvā asītimahāsāvakānaṃ cetiyāni kāreti. ‘‘Idha rājā kiṃ kāretī’’ti pucchantānampi ‘‘mahāsāvakānaṃ cetiyānī’’ti vadanti, na koci dhātunidhānabhāvaṃ jānāti. Asītihatthagambhīre pana tasmiṃ padese jāte heṭṭhā lohasanthāraṃ santharāpetvā tattha thūpārāme cetiyagharappamāṇaṃ tambalohamayaṃ gehaṃ kārāpetvā aṭṭha aṭṭha haricandanādimaye karaṇḍe ca thūpe ca kārāpesi. Atha bhagavato dhātuyo haricandanakaraṇḍe pakkhipitvā taṃ haricandanakaraṇḍakampi aññasmiṃ haricandanakaraṇḍake, tampi aññasminti evaṃ aṭṭha haricandanakaraṇḍe ekato katvā eteneva upāyena te aṭṭha karaṇḍe aṭṭhasu haricandanathūpesu, aṭṭha haricandanathūpe aṭṭhasu lohitacandanakaraṇḍesu, aṭṭha lohitacandanakaraṇḍe aṭṭhasu lohitacandanathūpesu, aṭṭha lohitacandanathūpe aṭṭhasu dantakaraṇḍesu , aṭṭha dantakaraṇḍe aṭṭhasu dantathūpesu, aṭṭha dantathūpe aṭṭhasu sabbaratanakaraṇḍesu, aṭṭha sabbaratanakaraṇḍe aṭṭhasu sabbaratanathūpesu, aṭṭha sabbaratanathūpe aṭṭhasu suvaṇṇakaraṇḍesu, aṭṭha suvaṇṇakaraṇḍe, aṭṭhasu suvaṇṇathūpesu, aṭṭha suvaṇṇathūpe aṭṭhasu rajatakaraṇḍesu, aṭṭha rajatakaraṇḍe aṭṭhasu rajatathūpesu, aṭṭha rajatathūpe, aṭṭhasu maṇikaraṇḍesu, aṭṭha maṇikaraṇḍe aṭṭhasu maṇithūpesu, aṭṭha maṇithūpe aṭṭhasu lohitaṅkakaraṇḍesu, aṭṭha lohitaṅkakaraṇḍe aṭṭhasu lohitaṅkathūpesu, aṭṭha lohitaṅkathūpe aṭṭhasu masāragallakaraṇḍesu, aṭṭha masāragallakaraṇḍe aṭṭhasu masāragallathūpesu, aṭṭha masāragallathūpe aṭṭhasu phalikakaraṇḍesu, aṭṭha phalikakaraṇḍe aṭṭhasu phalikamayathūpesu pakkhipi.
สเพฺพสํ อุปริมํ ผลิกเจติยํ ถูปารามเจติยปฺปมาณํ อโหสิ, ตสฺส อุปริ สพฺพรตนมยํ เคหํ กาเรสิ, ตสฺส อุปริ สุวณฺณมยํ, ตสฺส อุปริ รชตมยํ, ตสฺส อุปริ ตมฺพโลหมยํ เคหํฯ ตตฺถ สพฺพรตนมยํ วาลิกํ โอกิริตฺวา ชลชถลชปุปฺผานํ สหสฺสานิ วิปฺปกิริตฺวา อฑฺฒฉฎฺฐานิ ชาตกสตานิ อสีติมหาเถเร สุโทฺธทนมหาราชานํ มหามายาเทวิํ สตฺต สหชาเตติ สพฺพาเนตานิ สุวณฺณมยาเนว กาเรสิฯ ปญฺจปญฺจสเต สุวณฺณรชตมเย ปุณฺณฆเฎ ฐปาเปสิ, ปญฺจ สุวณฺณทฺธชสเต อุสฺสาเปสิฯ ปญฺจสเต สุวณฺณทีเป, ปญฺจสเต รชตทีเป การาเปตฺวา สุคนฺธเตลสฺส ปูเรตฺวา เตสุ ทุกูลวฎฺฎิโย ฐเปสิฯ
Sabbesaṃ uparimaṃ phalikacetiyaṃ thūpārāmacetiyappamāṇaṃ ahosi, tassa upari sabbaratanamayaṃ gehaṃ kāresi, tassa upari suvaṇṇamayaṃ, tassa upari rajatamayaṃ, tassa upari tambalohamayaṃ gehaṃ. Tattha sabbaratanamayaṃ vālikaṃ okiritvā jalajathalajapupphānaṃ sahassāni vippakiritvā aḍḍhachaṭṭhāni jātakasatāni asītimahāthere suddhodanamahārājānaṃ mahāmāyādeviṃ satta sahajāteti sabbānetāni suvaṇṇamayāneva kāresi. Pañcapañcasate suvaṇṇarajatamaye puṇṇaghaṭe ṭhapāpesi, pañca suvaṇṇaddhajasate ussāpesi. Pañcasate suvaṇṇadīpe, pañcasate rajatadīpe kārāpetvā sugandhatelassa pūretvā tesu dukūlavaṭṭiyo ṭhapesi.
อถายสฺมา มหากสฺสโป – ‘‘มาลา มา มิลายนฺตุ, คนฺธา มา วินสฺสนฺตุ, ทีปา มา วิชฺฌายนฺตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา สุวณฺณปเฎฺฎ อกฺขรานิ ฉินฺทาเปสิ –
Athāyasmā mahākassapo – ‘‘mālā mā milāyantu, gandhā mā vinassantu, dīpā mā vijjhāyantū’’ti adhiṭṭhahitvā suvaṇṇapaṭṭe akkharāni chindāpesi –
‘‘อนาคเต ปิยทาโส นาม กุมาโร ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อโสโก ธมฺมราชา ภวิสฺสติฯ โส อิมา ธาตุโย วิตฺถาริกา กริสฺสตี’’ติฯ
‘‘Anāgate piyadāso nāma kumāro chattaṃ ussāpetvā asoko dhammarājā bhavissati. So imā dhātuyo vitthārikā karissatī’’ti.
ราชา สพฺพปสาธเนหิ ปูเชตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย ทฺวารํ ปิทหโนฺต นิกฺขมิ, โส ตมฺพโลหทฺวารํ ปิทหิตฺวา อาวิญฺฉนรชฺชุยํ กุญฺจิกมุทฺทิกํ พนฺธิตฺวา ตเตฺถว มหนฺตํ มณิกฺขนฺธํ ฐเปตฺวา – ‘‘อนาคเต ทลิทฺทราชา อิมํ มณิํ คเหตฺวา ธาตูนํ สกฺการํ กโรตู’’ติ อกฺขรํ ฉินฺทาเปสิฯ
Rājā sabbapasādhanehi pūjetvā ādito paṭṭhāya dvāraṃ pidahanto nikkhami, so tambalohadvāraṃ pidahitvā āviñchanarajjuyaṃ kuñcikamuddikaṃ bandhitvā tattheva mahantaṃ maṇikkhandhaṃ ṭhapetvā – ‘‘anāgate daliddarājā imaṃ maṇiṃ gahetvā dhātūnaṃ sakkāraṃ karotū’’ti akkharaṃ chindāpesi.
สโกฺก เทวราชา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา – ‘‘ตาต, อชาตสตฺตุนา ธาตุนิธานํ กตํ, เอตฺถ อารกฺขํ ปฎฺฐเปหี’’ติ ปหิณิฯ โส อาคนฺตฺวา วาฬสงฺฆาฎยนฺตํ โยเชสิ, กฎฺฐรูปกานิ ตสฺมิํ ธาตุคเพฺภ ผลิกวณฺณขเคฺค คาเหตฺวา วาตสทิเสน เวเคน อนุปริยายนฺตํ ยนฺตํ โยเชตฺวา เอกาย เอว อาณิยา พนฺธิตฺวา สมนฺตโต คิญฺชกาวสถากาเรน สิลาปริเกฺขปํ กตฺวา อุปริ เอกาย ปิทหิตฺวา ปํสุํ ปกฺขิปิตฺวา ภูมิํ สมํ กตฺวา ตสฺส อุปริ ปาสาณถูปํ ปติฎฺฐเปสิฯ เอวํ นิฎฺฐิเต ธาตุนิธาเน ยาวตายุกํ ฐตฺวา เถโรปิ ปรินิพฺพุโต, ราชาปิ ยถากมฺมํ คโต, เตปิ มนุสฺสา กาลงฺกตาฯ
Sakko devarājā vissakammaṃ āmantetvā – ‘‘tāta, ajātasattunā dhātunidhānaṃ kataṃ, ettha ārakkhaṃ paṭṭhapehī’’ti pahiṇi. So āgantvā vāḷasaṅghāṭayantaṃ yojesi, kaṭṭharūpakāni tasmiṃ dhātugabbhe phalikavaṇṇakhagge gāhetvā vātasadisena vegena anupariyāyantaṃ yantaṃ yojetvā ekāya eva āṇiyā bandhitvā samantato giñjakāvasathākārena silāparikkhepaṃ katvā upari ekāya pidahitvā paṃsuṃ pakkhipitvā bhūmiṃ samaṃ katvā tassa upari pāsāṇathūpaṃ patiṭṭhapesi. Evaṃ niṭṭhite dhātunidhāne yāvatāyukaṃ ṭhatvā theropi parinibbuto, rājāpi yathākammaṃ gato, tepi manussā kālaṅkatā.
อปรภาเค ปิยทาโส นาม กุมาโร ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อโสโก นาม ธมฺมราชา หุตฺวา ตา ธาตุโย คเหตฺวา ชมฺพุทีเป วิตฺถาริกา อกาสิฯ กถํ? โส นิโคฺรธสามเณรํ นิสฺสาย สาสเน ลทฺธปฺปสาโท จตุราสีติ วิหารสหสฺสานิ กาเรตฺวา ภิกฺขุสงฺฆํ ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, มยา จตุราสีติ วิหารสหสฺสานิ การิตานิ, ธาตุโย กุโต ลภิสฺสามี’’ติ? มหาราช, – ‘‘ธาตุนิธานํ นาม อตฺถี’’ติ สุโณม, น ปน ปญฺญายติ – ‘‘อสุกสฺมิํ ฐาเน’’ติฯ ราชา ราชคเห เจติยํ ภินฺทาเปตฺวา ธาตุํ อปสฺสโนฺต ปฎิปากติกํ กาเรตฺวา ภิกฺขุภิกฺขุนิโย อุปาสกอุปาสิกาโยติ จตโสฺส ปริสา คเหตฺวา เวสาลิํ คโตฯ ตตฺราปิ อลภิตฺวา กปิลวตฺถุํฯ ตตฺราปิ อลภิตฺวา รามคามํ คโตฯ รามคาเม นาคา เจติยํ ภินฺทิตุํ น อทํสุ, เจติเย นิปติตกุทาโล ขณฺฑาขณฺฑํ โหติฯ เอวํ ตตฺราปิ อลภิตฺวา อลฺลกปฺปํ เวฐทีปํ ปาวํ กุสินารนฺติ สพฺพตฺถ เจติยานิ ภินฺทิตฺวา ธาตุํ อลภิตฺวาว ปฎิปากติกานิ กตฺวา ปุน ราชคหํ คนฺตฺวา จตโสฺส ปริสา สนฺนิปาตาเปตฺวา – ‘‘อตฺถิ เกนจิ สุตปุพฺพํ ‘อสุกฎฺฐาเน นาม ธาตุนิธาน’นฺติ’’ ปุจฺฉิฯ
Aparabhāge piyadāso nāma kumāro chattaṃ ussāpetvā asoko nāma dhammarājā hutvā tā dhātuyo gahetvā jambudīpe vitthārikā akāsi. Kathaṃ? So nigrodhasāmaṇeraṃ nissāya sāsane laddhappasādo caturāsīti vihārasahassāni kāretvā bhikkhusaṅghaṃ pucchi – ‘‘bhante, mayā caturāsīti vihārasahassāni kāritāni, dhātuyo kuto labhissāmī’’ti? Mahārāja, – ‘‘dhātunidhānaṃ nāma atthī’’ti suṇoma, na pana paññāyati – ‘‘asukasmiṃ ṭhāne’’ti. Rājā rājagahe cetiyaṃ bhindāpetvā dhātuṃ apassanto paṭipākatikaṃ kāretvā bhikkhubhikkhuniyo upāsakaupāsikāyoti catasso parisā gahetvā vesāliṃ gato. Tatrāpi alabhitvā kapilavatthuṃ. Tatrāpi alabhitvā rāmagāmaṃ gato. Rāmagāme nāgā cetiyaṃ bhindituṃ na adaṃsu, cetiye nipatitakudālo khaṇḍākhaṇḍaṃ hoti. Evaṃ tatrāpi alabhitvā allakappaṃ veṭhadīpaṃ pāvaṃ kusināranti sabbattha cetiyāni bhinditvā dhātuṃ alabhitvāva paṭipākatikāni katvā puna rājagahaṃ gantvā catasso parisā sannipātāpetvā – ‘‘atthi kenaci sutapubbaṃ ‘asukaṭṭhāne nāma dhātunidhāna’nti’’ pucchi.
ตเตฺรโก วีสวสฺสสติโก เถโร – ‘‘อสุกฎฺฐาเน ธาตุนิธาน’’นฺติ น ชานามิ, มยฺหํ ปน ปิตา มหาเถโร มํ สตฺตวสฺสกาเล มาลาจโงฺกฎกํ คาหาเปตฺวา – ‘‘เอหิ สามเณร, อสุกคจฺฉนฺตเร ปาสาณถูโป อตฺถิ, ตตฺถ คจฺฉามา’’ติ คนฺตฺวา ปูเชตฺวา – ‘‘อิมํ ฐานํ อุปธาเรตุํ วฎฺฎติ สามเณรา’’ติ อาหฯ อหํ เอตฺตกํ ชานามิ มหาราชาติ อาหฯ ราชา ‘‘เอตเทว ฐาน’’นฺติ วตฺวา คเจฺฉ หาเรตฺวา ปาสาณถูปญฺจ ปํสุญฺจ อปเนตฺวา เหฎฺฐา สุธาภูมิํ อทฺทสฯ ตโต สุธญฺจ อิฎฺฐกาโย จ หาเรตฺวา อนุปุเพฺพน ปริเวณํ โอรุยฺห สตฺตรตนวาลุกํ อสิหตฺถานิ จ กฎฺฐรูปกานิ สมฺปริวตฺตกานิ อทฺทสฯ โส ยกฺขทาสเก ปโกฺกสาเปตฺวา พลิกมฺมํ กาเรตฺวาปิ เนว อนฺตํ น โกฎิํ ปสฺสโนฺต เทวตานํ นมสฺสมาโน – ‘‘อหํ อิมา ธาตุโย คเหตฺวา จตุราสีติยา วิหารสหเสฺสสุ นิทหิตฺวา สกฺการํ กโรมิ, มา เม เทวตา อนฺตรายํ กโรนฺตู’’ติ อาหฯ
Tatreko vīsavassasatiko thero – ‘‘asukaṭṭhāne dhātunidhāna’’nti na jānāmi, mayhaṃ pana pitā mahāthero maṃ sattavassakāle mālācaṅkoṭakaṃ gāhāpetvā – ‘‘ehi sāmaṇera, asukagacchantare pāsāṇathūpo atthi, tattha gacchāmā’’ti gantvā pūjetvā – ‘‘imaṃ ṭhānaṃ upadhāretuṃ vaṭṭati sāmaṇerā’’ti āha. Ahaṃ ettakaṃ jānāmi mahārājāti āha. Rājā ‘‘etadeva ṭhāna’’nti vatvā gacche hāretvā pāsāṇathūpañca paṃsuñca apanetvā heṭṭhā sudhābhūmiṃ addasa. Tato sudhañca iṭṭhakāyo ca hāretvā anupubbena pariveṇaṃ oruyha sattaratanavālukaṃ asihatthāni ca kaṭṭharūpakāni samparivattakāni addasa. So yakkhadāsake pakkosāpetvā balikammaṃ kāretvāpi neva antaṃ na koṭiṃ passanto devatānaṃ namassamāno – ‘‘ahaṃ imā dhātuyo gahetvā caturāsītiyā vihārasahassesu nidahitvā sakkāraṃ karomi, mā me devatā antarāyaṃ karontū’’ti āha.
สโกฺก เทวราชา จาริกํ จรโนฺต ตํ ทิสฺวา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตสิ – ‘‘ตาต, อโสโก ธมฺมราชา ‘ธาตุโย นีหริสฺสามี’ติ ปริเวณํ โอติโณฺณ, คนฺตฺวา กฎฺฐรูปกานิ หาเรหี’’ติฯ โส ปญฺจจูฬคามทารกเวเสน คนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต ธนุหโตฺถ ฐตฺวา – ‘‘หรามิ มหาราชา’’ติ อาหฯ ‘‘หร, ตาตา’’ติ สรํ คเหตฺวา สนฺธิมฺหิเยว วิชฺฌิ, สพฺพํ วิปฺปกิริยิตฺถฯ อถ ราชา อาวิญฺฉเน พนฺธํ กุญฺจิกมุทฺทิกํ คณฺหิ, มณิกฺขนฺธํ ปสฺสิฯ ‘‘อนาคเต ทลิทฺทราชา อิมํ มณิํ คเหตฺวา ธาตูนํ สกฺการํ กโรตู’’ติ ปุน อกฺขรานิ ทิสฺวา กุชฺฌิตฺวา – ‘‘มาทิสํ นาม ราชานํ ทลิทฺทราชาติ วตฺตุํ อยุตฺต’’นฺติ ปุนปฺปุนํ ฆเฎตฺวา ทฺวารํ วิวราเปตฺวา อโนฺตเคหํ ปวิโฎฺฐฯ
Sakko devarājā cārikaṃ caranto taṃ disvā vissakammaṃ āmantesi – ‘‘tāta, asoko dhammarājā ‘dhātuyo nīharissāmī’ti pariveṇaṃ otiṇṇo, gantvā kaṭṭharūpakāni hārehī’’ti. So pañcacūḷagāmadārakavesena gantvā rañño purato dhanuhattho ṭhatvā – ‘‘harāmi mahārājā’’ti āha. ‘‘Hara, tātā’’ti saraṃ gahetvā sandhimhiyeva vijjhi, sabbaṃ vippakiriyittha. Atha rājā āviñchane bandhaṃ kuñcikamuddikaṃ gaṇhi, maṇikkhandhaṃ passi. ‘‘Anāgate daliddarājā imaṃ maṇiṃ gahetvā dhātūnaṃ sakkāraṃ karotū’’ti puna akkharāni disvā kujjhitvā – ‘‘mādisaṃ nāma rājānaṃ daliddarājāti vattuṃ ayutta’’nti punappunaṃ ghaṭetvā dvāraṃ vivarāpetvā antogehaṃ paviṭṭho.
อฎฺฐารสวสฺสาธิกานํ ทฺวินฺนํ วสฺสสตานํ อุปริ อาโรปิตทีปา ตเถว ปชฺชลนฺติฯ นีลุปฺปลปุปฺผานิ ตงฺขณํ อาหริตฺวา อาโรปิตานิ วิย, ปุปฺผสนฺถาโร ตงฺขณํ สนฺถโต วิย, คนฺธา ตํ มุหุตฺตํ ปิสิตฺวา ฐปิตา วิย ราชา สุวณฺณปฎฺฎํ คเหตฺวา – ‘‘อนาคเต ปิยทาโส นาม กุมาโร ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา อโสโก นาม ธมฺมราชา ภวิสฺสติ โส อิมา ธาตุโย วิตฺถาริกา กริสฺสตี’’ติ วาเจตฺวา – ‘‘ทิโฎฺฐ โภ, อหํ อเยฺยน มหากสฺสปเตฺถเรนา’’ติ วตฺวา วามหตฺถํ อาภุชิตฺวา ทกฺขิเณน หเตฺถน อโปฺผเฎสิฯ โส ตสฺมิํ ฐาเน ปริจรณธาตุมตฺตเมว ฐเปตฺวา เสสา ธาตุโย คเหตฺวา ธาตุเคหํ ปุเพฺพ ปิหิตนเยเนว ปิทหิตฺวา สพฺพํ ยถาปกติยาว กตฺวา อุปริ ปาสาณเจติยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา จตุราสีติยา วิหารสหเสฺสสุ ธาตุโย ปติฎฺฐาเปตฺวา มหาเถเร วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ทายาโทมฺหิ, ภเนฺต, พุทฺธสาสเน’’ติฯ กิสฺส ทายาโท ตฺวํ, มหาราช, พาหิรโก ตฺวํ สาสนสฺสาติฯ ภเนฺต, ฉนฺนวุติโกฎิธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา จตุราสีติ วิหารสหสฺสานิ กาเรตฺวา อหํ น ทายาโท, อโญฺญ โก ทายาโทติ? ปจฺจยทายโก นาม ตฺวํ มหาราช, โย ปน อตฺตโน ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจ ปพฺพาเชติ, อยํ สาสเน ทายาโท นามาติฯ โส ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจ ปพฺพาเชสิฯ อถ นํ เถรา อาหํสุ – ‘‘อิทานิ, มหาราช, สาสเน ทายาโทสี’’ติฯ
Aṭṭhārasavassādhikānaṃ dvinnaṃ vassasatānaṃ upari āropitadīpā tatheva pajjalanti. Nīluppalapupphāni taṅkhaṇaṃ āharitvā āropitāni viya, pupphasanthāro taṅkhaṇaṃ santhato viya, gandhā taṃ muhuttaṃ pisitvā ṭhapitā viya rājā suvaṇṇapaṭṭaṃ gahetvā – ‘‘anāgate piyadāso nāma kumāro chattaṃ ussāpetvā asoko nāma dhammarājā bhavissati so imā dhātuyo vitthārikā karissatī’’ti vācetvā – ‘‘diṭṭho bho, ahaṃ ayyena mahākassapattherenā’’ti vatvā vāmahatthaṃ ābhujitvā dakkhiṇena hatthena apphoṭesi. So tasmiṃ ṭhāne paricaraṇadhātumattameva ṭhapetvā sesā dhātuyo gahetvā dhātugehaṃ pubbe pihitanayeneva pidahitvā sabbaṃ yathāpakatiyāva katvā upari pāsāṇacetiyaṃ patiṭṭhāpetvā caturāsītiyā vihārasahassesu dhātuyo patiṭṭhāpetvā mahāthere vanditvā pucchi – ‘‘dāyādomhi, bhante, buddhasāsane’’ti. Kissa dāyādo tvaṃ, mahārāja, bāhirako tvaṃ sāsanassāti. Bhante, channavutikoṭidhanaṃ vissajjetvā caturāsīti vihārasahassāni kāretvā ahaṃ na dāyādo, añño ko dāyādoti? Paccayadāyako nāma tvaṃ mahārāja, yo pana attano puttañca dhītarañca pabbājeti, ayaṃ sāsane dāyādo nāmāti. So puttañca dhītarañca pabbājesi. Atha naṃ therā āhaṃsu – ‘‘idāni, mahārāja, sāsane dāyādosī’’ti.
เอวเมตํ ภูตปุพฺพนฺติ เอวํ เอตํ อตีเต ธาตุนิธานมฺปิ ชมฺพุทีปตเล ภูตปุพฺพนฺติฯ ตติยสงฺคีติการาปิ อิมํ ปทํ ฐปยิํสุฯ
Evametaṃbhūtapubbanti evaṃ etaṃ atīte dhātunidhānampi jambudīpatale bhūtapubbanti. Tatiyasaṅgītikārāpi imaṃ padaṃ ṭhapayiṃsu.
อฎฺฐโทณํ จกฺขุมโต สรีรนฺติอาทิคาถาโย ปน ตมฺพปณฺณิทีเป เถเรหิ วุตฺตาติฯ
Aṭṭhadoṇaṃ cakkhumato sarīrantiādigāthāyo pana tambapaṇṇidīpe therehi vuttāti.
อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ
Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ
มหาปรินิพฺพานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāparinibbānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๓. มหาปรินิพฺพานสุตฺตํ • 3. Mahāparinibbānasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๓. มหาปรินิพฺพานสุตฺตวณฺณนา • 3. Mahāparinibbānasuttavaṇṇanā