Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๙. มหาเปสการเปติวตฺถุวณฺณนา

    9. Mahāpesakārapetivatthuvaṇṇanā

    คูถญฺจ มุตฺตํ รุหิรญฺจ ปุพฺพนฺติ อิทํ สตฺถริ สาวตฺถิยํ วิหรเนฺต อญฺญตรํ เปสการเปติํ อารพฺภ วุตฺตํฯ ทฺวาทสมตฺตา กิร ภิกฺขู สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา วสนโยคฺคฎฺฐานํ วีมํสนฺตา อุปกฎฺฐาย วสฺสูปนายิกาย อญฺญตรํ ฉายูทกสมฺปนฺนํ รมณียํ อรญฺญายตนํ ตสฺส จ นาติทูเร นาจฺจาสเนฺน โคจรคามํ ทิสฺวา ตตฺถ เอกรตฺติํ วสิตฺวา ทุติยทิวเส คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิํสุฯ ตตฺถ เอกาทส เปสการา ปฎิวสนฺติ, เต เต ภิกฺขู ทิสฺวา สญฺชาตโสมนสฺสา หุตฺวา อตฺตโน อตฺตโน เคหํ เนตฺวา ปณีเตน อาหาเรน ปริวิสิตฺวา อาหํสุ ‘‘กุหิํ, ภเนฺต, คจฺฉถา’’ติ? ‘‘ยตฺถ อมฺหากํ ผาสุกํ, ตตฺถ คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ, ภเนฺต, อิเธว วสิตพฺพ’’นฺติ วสฺสูปคมนํ ยาจิํสุฯ ภิกฺขู สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ อุปาสกา เตสํ ตตฺถ อรญฺญกุฎิกาโย กาเรตฺวา อทํสุฯ ภิกฺขู ตตฺถ วสฺสํ อุปคจฺฉิํสุฯ

    Gūthañcamuttaṃ ruhirañca pubbanti idaṃ satthari sāvatthiyaṃ viharante aññataraṃ pesakārapetiṃ ārabbha vuttaṃ. Dvādasamattā kira bhikkhū satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā vasanayoggaṭṭhānaṃ vīmaṃsantā upakaṭṭhāya vassūpanāyikāya aññataraṃ chāyūdakasampannaṃ ramaṇīyaṃ araññāyatanaṃ tassa ca nātidūre nāccāsanne gocaragāmaṃ disvā tattha ekarattiṃ vasitvā dutiyadivase gāmaṃ piṇḍāya pavisiṃsu. Tattha ekādasa pesakārā paṭivasanti, te te bhikkhū disvā sañjātasomanassā hutvā attano attano gehaṃ netvā paṇītena āhārena parivisitvā āhaṃsu ‘‘kuhiṃ, bhante, gacchathā’’ti? ‘‘Yattha amhākaṃ phāsukaṃ, tattha gamissāmā’’ti. ‘‘Yadi evaṃ, bhante, idheva vasitabba’’nti vassūpagamanaṃ yāciṃsu. Bhikkhū sampaṭicchiṃsu. Upāsakā tesaṃ tattha araññakuṭikāyo kāretvā adaṃsu. Bhikkhū tattha vassaṃ upagacchiṃsu.

    ตตฺถ เชฎฺฐกเปสกาโร เทฺว ภิกฺขู จตูหิ ปจฺจเยหิ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิ, อิตเร เอเกกํ ภิกฺขุํ อุปฎฺฐหิํสุฯ เชฎฺฐกเปสการสฺส ภริยา อสฺสทฺธา อปฺปสนฺนา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มจฺฉรินี ภิกฺขู น สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐาติฯ โส ตํ ทิสฺวา ตสฺสาเยว กนิฎฺฐภคินิํ อาเนตฺวา อตฺตโน เคเห อิสฺสริยํ นิยฺยาเทสิฯ สา สทฺธา ปสนฺนา หุตฺวา สกฺกจฺจํ ภิกฺขู ปฎิชคฺคิฯ เต สเพฺพ เปสกาโร วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ เอเกกสฺส เอเกกํ สาฎกมทํสุฯ ตตฺถ มจฺฉรินี เชฎฺฐเปสการสฺส ภริยา ปทุฎฺฐจิตฺตา อตฺตโน สามิกํ ปริภาสิ – ‘‘ยํ ตยา สมณานํ สกฺยปุตฺติยานํ ทานํ ทินฺนํ อนฺนปานํ, ตํ เต ปรโลเก คูถมุตฺตํ ปุพฺพโลหิตญฺจ หุตฺวา นิพฺพตฺตตุ, สาฎกา จ ชลิตา อโยมยปฎฺฎา โหนฺตู’’ติฯ

    Tattha jeṭṭhakapesakāro dve bhikkhū catūhi paccayehi sakkaccaṃ upaṭṭhahi, itare ekekaṃ bhikkhuṃ upaṭṭhahiṃsu. Jeṭṭhakapesakārassa bhariyā assaddhā appasannā micchādiṭṭhikā maccharinī bhikkhū na sakkaccaṃ upaṭṭhāti. So taṃ disvā tassāyeva kaniṭṭhabhaginiṃ ānetvā attano gehe issariyaṃ niyyādesi. Sā saddhā pasannā hutvā sakkaccaṃ bhikkhū paṭijaggi. Te sabbe pesakāro vassaṃ vutthānaṃ bhikkhūnaṃ ekekassa ekekaṃ sāṭakamadaṃsu. Tattha maccharinī jeṭṭhapesakārassa bhariyā paduṭṭhacittā attano sāmikaṃ paribhāsi – ‘‘yaṃ tayā samaṇānaṃ sakyaputtiyānaṃ dānaṃ dinnaṃ annapānaṃ, taṃ te paraloke gūthamuttaṃ pubbalohitañca hutvā nibbattatu, sāṭakā ca jalitā ayomayapaṭṭā hontū’’ti.

    ตตฺถ เชฎฺฐเปสกาโร อปเรน สมเยน กาลํ กตฺวา วิญฺฌาฎวิยํ อานุภาวสมฺปนฺนา รุกฺขเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ ตสฺส ปน กทริยา ภริยา กาลํ กตฺวา ตเสฺสว วสนฎฺฐานสฺส อวิทูเร เปตี หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ สา นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปา ชิฆจฺฉาปิปาสาภิภูตา ตสฺส ภูมเทวสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาห – ‘‘อหํ, สามิ, นิโจฺจฬา อติวิย ชิฆจฺฉาปิปาสาภิภูตา วิจรามิ, เทหิ เม วตฺถํ อนฺนปานญฺจา’’ติฯ โส ตสฺสา ทิพฺพํ อุฬารํ อนฺนปานํ อุปเนสิฯ ตํ ตาย คหิตมตฺตเมว คูถมุตฺตํ ปุพฺพโลหิตญฺจ สมฺปชฺชติ, สาฎกญฺจ ทินฺนํ ตาย ปริทหิตํ ปชฺชลิตํ อโยมยปฎฺฎํ โหติฯ สา มหาทุกฺขํ อนุภวนฺตี ตํ ฉเฑฺฑตฺวา กนฺทนฺตี วิจรติฯ

    Tattha jeṭṭhapesakāro aparena samayena kālaṃ katvā viñjhāṭaviyaṃ ānubhāvasampannā rukkhadevatā hutvā nibbatti. Tassa pana kadariyā bhariyā kālaṃ katvā tasseva vasanaṭṭhānassa avidūre petī hutvā nibbatti. Sā naggā dubbaṇṇarūpā jighacchāpipāsābhibhūtā tassa bhūmadevassa santikaṃ gantvā āha – ‘‘ahaṃ, sāmi, niccoḷā ativiya jighacchāpipāsābhibhūtā vicarāmi, dehi me vatthaṃ annapānañcā’’ti. So tassā dibbaṃ uḷāraṃ annapānaṃ upanesi. Taṃ tāya gahitamattameva gūthamuttaṃ pubbalohitañca sampajjati, sāṭakañca dinnaṃ tāya paridahitaṃ pajjalitaṃ ayomayapaṭṭaṃ hoti. Sā mahādukkhaṃ anubhavantī taṃ chaḍḍetvā kandantī vicarati.

    เตน จ สมเยน อญฺญตโร ภิกฺขุ วุตฺถวโสฺส สตฺถารํ วนฺทิตุํ คจฺฉโนฺต มหตา สเตฺถน สทฺธิํ วิญฺฌาฎวิํ ปฎิปชฺชิฯ สตฺถิกา รตฺติํ มคฺคํ คนฺตฺวา ทิวา วเน สนฺทจฺฉายูทกสมฺปนฺนํ ปเทสํ ทิสฺวา ยานานิ มุญฺจิตฺวา มุหุตฺตํ วิสฺสมิํสุฯ ภิกฺขุ ปน วิเวกกามตาย โถกํ อปกฺกมิตฺวา อญฺญตรสฺส สนฺทจฺฉายสฺส วนคหนปฎิจฺฉนฺนสฺส รุกฺขสฺส มูเล สงฺฆาฎิํ ปญฺญเปตฺวา นิปโนฺน รตฺติยํ มคฺคคมนปริสฺสเมน กิลนฺตกาโย นิทฺทํ อุปคญฺฉิฯ สตฺถิกา วิสฺสมิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิํสุ, โส ภิกฺขุ น ปฎิพุชฺฌิฯ อถ สายนฺหสมเย อุฎฺฐหิตฺวา เต อปสฺสโนฺต อญฺญตรํ กุมฺมคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา อนุกฺกเมน ตสฺสา เทวตาย วสนฎฺฐานํ สมฺปาปุณิฯ อถ นํ โส เทวปุโตฺต ทิสฺวา มนุสฺสรูเปน อุปคนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา อตฺตโน วิมานํ ปเวเสตฺวา ปาทพฺภญฺชนาทีนิ ทตฺวา ปยิรุปาสโนฺต นิสีทิฯ ตสฺมิญฺจ สมเย สา เปตี อาคนฺตฺวา ‘‘เทหิ เม, สามิ, อนฺนปานํ สาฎกญฺจา’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา ตานิ อทาสิฯ ตานิ จ ตาย คหิตมตฺตานิ คูถมุตฺตปุพฺพโลหิตปชฺชลิตอโยปฎฺฎาเยว อเหสุํฯ โส ภิกฺขุ ตํ ทิสฺวา สญฺชาตสํเวโค ตํ เทวปุตฺตํ –

    Tena ca samayena aññataro bhikkhu vutthavasso satthāraṃ vandituṃ gacchanto mahatā satthena saddhiṃ viñjhāṭaviṃ paṭipajji. Satthikā rattiṃ maggaṃ gantvā divā vane sandacchāyūdakasampannaṃ padesaṃ disvā yānāni muñcitvā muhuttaṃ vissamiṃsu. Bhikkhu pana vivekakāmatāya thokaṃ apakkamitvā aññatarassa sandacchāyassa vanagahanapaṭicchannassa rukkhassa mūle saṅghāṭiṃ paññapetvā nipanno rattiyaṃ maggagamanaparissamena kilantakāyo niddaṃ upagañchi. Satthikā vissamitvā maggaṃ paṭipajjiṃsu, so bhikkhu na paṭibujjhi. Atha sāyanhasamaye uṭṭhahitvā te apassanto aññataraṃ kummaggaṃ paṭipajjitvā anukkamena tassā devatāya vasanaṭṭhānaṃ sampāpuṇi. Atha naṃ so devaputto disvā manussarūpena upagantvā paṭisanthāraṃ katvā attano vimānaṃ pavesetvā pādabbhañjanādīni datvā payirupāsanto nisīdi. Tasmiñca samaye sā petī āgantvā ‘‘dehi me, sāmi, annapānaṃ sāṭakañcā’’ti āha. So tassā tāni adāsi. Tāni ca tāya gahitamattāni gūthamuttapubbalohitapajjalitaayopaṭṭāyeva ahesuṃ. So bhikkhu taṃ disvā sañjātasaṃvego taṃ devaputtaṃ –

    ๕๔.

    54.

    ‘‘คูถญฺจ มุตฺตํ รุหิรญฺจ ปุพฺพํ, ปริภุญฺชติ กิสฺส อยํ วิปาโก;

    ‘‘Gūthañca muttaṃ ruhirañca pubbaṃ, paribhuñjati kissa ayaṃ vipāko;

    อยํ นุ กิํ กมฺมมกาสิ นารี, ยา สพฺพทา โลหิตปุพฺพภกฺขาฯ

    Ayaṃ nu kiṃ kammamakāsi nārī, yā sabbadā lohitapubbabhakkhā.

    ๕๕.

    55.

    ‘‘นวานิ วตฺถานิ สุภานิ เจว, มุทูนิ สุทฺธานิ จ โลมสานิ;

    ‘‘Navāni vatthāni subhāni ceva, mudūni suddhāni ca lomasāni;

    ทินฺนานิ มิสฺสา กิตกา ภวนฺติ, อยํ นุ กิํ กมฺมมกาสิ นารี’’ติฯ –

    Dinnāni missā kitakā bhavanti, ayaṃ nu kiṃ kammamakāsi nārī’’ti. –

    ทฺวีหิ คาถาหิ ปฎิปุจฺฉิฯ ตตฺถ กิสฺส อยํ วิปาโกติ กีทิสสฺส กมฺมสฺส อยํ วิปาโก, ยํ เอสา อิทานิ ปจฺจนุภวตีติฯ อยํ นุ กิํ กมฺมมกาสิ นารีติ อยํ อิตฺถี กิํ นุ โข กมฺมํ ปุเพฺพ อกาสิฯ ยา สพฺพทา โลหิตปุพฺพภกฺขาติ ยา สพฺพกาลํ รุหิรปุพฺพเมว ภกฺขติ ปริภุญฺชติฯ นวานีติ ปจฺจคฺฆานิ ตาวเทว ปาตุภูตานิฯ สุภานีติ สุนฺทรานิ ทสฺสนียานิฯ มุทูนีติ สุขสมฺผสฺสานิฯ สุทฺธานีติ ปริสุทฺธวณฺณานิฯ โลมสานีติ สโลมกานิ สุขสมฺผสฺสานิ , สุนฺทรานีติ อโตฺถฯ ทินฺนานิ มิสฺสา กิตกา ภวนฺตีติ กิตกกณฺฎกสทิสานิ โลหปฎฺฎสทิสานิ ภวนฺติฯ ‘‘กีฎกา ภวนฺตี’’ติ วา ปาโฐ, ขาทกปาณกวณฺณานิ ภวนฺตีติ อโตฺถฯ

    Dvīhi gāthāhi paṭipucchi. Tattha kissa ayaṃ vipākoti kīdisassa kammassa ayaṃ vipāko, yaṃ esā idāni paccanubhavatīti. Ayaṃ nu kiṃ kammamakāsi nārīti ayaṃ itthī kiṃ nu kho kammaṃ pubbe akāsi. Yā sabbadā lohitapubbabhakkhāti yā sabbakālaṃ ruhirapubbameva bhakkhati paribhuñjati. Navānīti paccagghāni tāvadeva pātubhūtāni. Subhānīti sundarāni dassanīyāni. Mudūnīti sukhasamphassāni. Suddhānīti parisuddhavaṇṇāni. Lomasānīti salomakāni sukhasamphassāni , sundarānīti attho. Dinnāni missā kitakā bhavantīti kitakakaṇṭakasadisāni lohapaṭṭasadisāni bhavanti. ‘‘Kīṭakā bhavantī’’ti vā pāṭho, khādakapāṇakavaṇṇāni bhavantīti attho.

    เอวํ โส เทวปุโตฺต เตน ภิกฺขุนา ปุโฎฺฐ ตาย ปุริมชาติยา กตกมฺมํ ปกาเสโนฺต –

    Evaṃ so devaputto tena bhikkhunā puṭṭho tāya purimajātiyā katakammaṃ pakāsento –

    ๕๖.

    56.

    ‘‘ภริยา มเมสา อหุ ภทเนฺต, อทายิกา มจฺฉรินี กทริยา;

    ‘‘Bhariyā mamesā ahu bhadante, adāyikā maccharinī kadariyā;

    สา มํ ททนฺตํ สมณพฺราหฺมณานํ, อโกฺกสติ จ ปริภาสติ จฯ

    Sā maṃ dadantaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ, akkosati ca paribhāsati ca.

    ๕๗.

    57.

    ‘‘คูถญฺจ มุตฺตํ รุหิรญฺจ ปุพฺพํ, ปริภุญฺช ตฺวํ อสุจิํ สพฺพกาลํ;

    ‘‘Gūthañca muttaṃ ruhirañca pubbaṃ, paribhuñja tvaṃ asuciṃ sabbakālaṃ;

    เอตํ เต ปรโลกสฺมิํ โหตุ, วตฺถา จ เต กิตกสมา ภวนฺตุ;

    Etaṃ te paralokasmiṃ hotu, vatthā ca te kitakasamā bhavantu;

    เอตาทิสํ ทุจฺจริตํ จริตฺวา, อิธาคตา จิรรตฺตาย ขาทตี’’ติฯ –

    Etādisaṃ duccaritaṃ caritvā, idhāgatā cirarattāya khādatī’’ti. –

    เทฺว คาถา อภาสิฯ ตตฺถ อทายิกาติ กสฺสจิ กิญฺจิปิ อทานสีลาฯ มจฺฉรินี กทริยาติ ปฐมํ มเจฺฉรมลสฺส สภาเวน มจฺฉรินี, ตาย จ ปุนปฺปุนํ อาเสวนตาย ถทฺธมจฺฉรินี, ตาย กทริยา อหูติ โยชนาฯ อิทานิ ตสฺสา ตเมว กทริยตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สา มํ ททนฺต’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอตาทิสนฺติ เอวรูปํ ยถาวุตฺตวจีทุจฺจริตาทิํ จริตฺวาฯ อิธาคตาติ อิมํ เปตโลกํ อาคตา, เปตตฺตภาวํ อุปคตาฯ จิรรตฺตาย ขาทตีติ จิรกาลํ คูถาทิเมว ขาทติฯ ตสฺสา หิ เยนากาเรน อกฺกุฎฺฐํ, เตเนวากาเรน ปวตฺตมานมฺปิ ผลํฯ ยํ อุทฺทิสฺส อกฺกุฎฺฐํ, ตโต อญฺญตฺถ ปถวิยํ กมนฺตกสงฺขาเต มตฺถเก อสนิปาโต วิย อตฺตโน อุปริ ปตติฯ

    Dve gāthā abhāsi. Tattha adāyikāti kassaci kiñcipi adānasīlā. Maccharinī kadariyāti paṭhamaṃ maccheramalassa sabhāvena maccharinī, tāya ca punappunaṃ āsevanatāya thaddhamaccharinī, tāya kadariyā ahūti yojanā. Idāni tassā tameva kadariyataṃ dassento ‘‘sā maṃ dadanta’’ntiādimāha. Tattha etādisanti evarūpaṃ yathāvuttavacīduccaritādiṃ caritvā. Idhāgatāti imaṃ petalokaṃ āgatā, petattabhāvaṃ upagatā. Cirarattāya khādatīti cirakālaṃ gūthādimeva khādati. Tassā hi yenākārena akkuṭṭhaṃ, tenevākārena pavattamānampi phalaṃ. Yaṃ uddissa akkuṭṭhaṃ, tato aññattha pathaviyaṃ kamantakasaṅkhāte matthake asanipāto viya attano upari patati.

    เอวํ โส เทวปุโตฺต ตาย ปุเพฺพ กตกมฺมํ กเถตฺวา ปุน ตํ ภิกฺขุํ อาห – ‘‘อตฺถิ ปน, ภเนฺต, โกจิ อุปาโย อิมํ เปตโลกโต โมเจตุ’’นฺติ ? ‘‘อตฺถี’’ติ จ วุเตฺต ‘‘กเถถ, ภเนฺต’’ติฯ ยทิ ภควโต อริยสงฺฆสฺส จ เอกเสฺสว วา ภิกฺขุโน ทานํ ทตฺวา อิมิสฺสา อุทฺทิสิยติ, อยญฺจ ตํ อนุโมทติ, เอวเมติสฺสา อิโต ทุกฺขโต มุตฺติ ภวิสฺสตีติฯ ตํ สุตฺวา เทวปุโตฺต ตสฺส ภิกฺขุโน ปณีตํ อนฺนปานํ ทตฺวา ตํ ทกฺขิณํ ตสฺสา เปติยา อาทิสิฯ ตาวเทว สา เปตี สุหิตา ปีณินฺทฺริยา ทิพฺพาหารสฺส ติตฺตา อโหสิฯ ปุน ตเสฺสว ภิกฺขุโน หเตฺถ ทิพฺพสาฎกยุคํ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ทตฺวา ตญฺจ ทกฺขิณํ เปติยา อาทิสิฯ ตาวเทว จ สา ทิพฺพวตฺถนิวตฺถา ทิพฺพาลงฺการวิภูสิตา สพฺพกามสมิทฺธา เทวจฺฉราปฎิภาคา อโหสิฯ โส จ ภิกฺขุ ตสฺส เทวปุตฺตสฺส อิทฺธิยา ตทเหว สาวตฺถิํ ปตฺวา เชตวนํ ปวิสิตฺวา ภควโต สนฺติกํ อุปคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ตํ สาฎกยุคํ ทตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ ภควาปิ ตมตฺถํ อฎฺฐุปฺปตฺติํ กตฺวา สมฺปตฺตปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ สา เทสนา มหาชนสฺส สาตฺถิกา อโหสีติฯ

    Evaṃ so devaputto tāya pubbe katakammaṃ kathetvā puna taṃ bhikkhuṃ āha – ‘‘atthi pana, bhante, koci upāyo imaṃ petalokato mocetu’’nti ? ‘‘Atthī’’ti ca vutte ‘‘kathetha, bhante’’ti. Yadi bhagavato ariyasaṅghassa ca ekasseva vā bhikkhuno dānaṃ datvā imissā uddisiyati, ayañca taṃ anumodati, evametissā ito dukkhato mutti bhavissatīti. Taṃ sutvā devaputto tassa bhikkhuno paṇītaṃ annapānaṃ datvā taṃ dakkhiṇaṃ tassā petiyā ādisi. Tāvadeva sā petī suhitā pīṇindriyā dibbāhārassa tittā ahosi. Puna tasseva bhikkhuno hatthe dibbasāṭakayugaṃ bhagavantaṃ uddissa datvā tañca dakkhiṇaṃ petiyā ādisi. Tāvadeva ca sā dibbavatthanivatthā dibbālaṅkāravibhūsitā sabbakāmasamiddhā devaccharāpaṭibhāgā ahosi. So ca bhikkhu tassa devaputtassa iddhiyā tadaheva sāvatthiṃ patvā jetavanaṃ pavisitvā bhagavato santikaṃ upagantvā vanditvā taṃ sāṭakayugaṃ datvā taṃ pavattiṃ ārocesi. Bhagavāpi tamatthaṃ aṭṭhuppattiṃ katvā sampattaparisāya dhammaṃ desesi. Sā desanā mahājanassa sātthikā ahosīti.

    มหาเปสการเปติวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāpesakārapetivatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๙. มหาเปสการเปติวตฺถุ • 9. Mahāpesakārapetivatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact