Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๒. มหาราหุโลวาทสุตฺตวณฺณนา
2. Mahārāhulovādasuttavaṇṇanā
๑๑๓. เอวํ เม สุตนฺติ มหาราหุโลวาทสุตฺตํฯ ตตฺถ ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธีติ ทสฺสนํ อวิชหิตฺวา คมนํ อโพฺพจฺฉินฺนํ กตฺวา ปจฺฉโต ปจฺฉโต อิริยาปถานุพนฺธเนน อนุพนฺธิฯ ตทา หิ ภควา ปเท ปทํ นิกฺขิปโนฺต วิลาสิตคมเนน ปุรโต ปุรโต คจฺฉติ, ราหุลเตฺถโร ทสพลสฺส ปทานุปทิโก หุตฺวา ปจฺฉโต ปจฺฉโตฯ
113.Evaṃme sutanti mahārāhulovādasuttaṃ. Tattha piṭṭhito piṭṭhito anubandhīti dassanaṃ avijahitvā gamanaṃ abbocchinnaṃ katvā pacchato pacchato iriyāpathānubandhanena anubandhi. Tadā hi bhagavā pade padaṃ nikkhipanto vilāsitagamanena purato purato gacchati, rāhulatthero dasabalassa padānupadiko hutvā pacchato pacchato.
ตตฺถ ภควา สุปุปฺผิตสาลวนมชฺฌคโต สุภูมิโอตรณตฺถาย นิกฺขนฺตมตฺตวรวารโณ วิย วิโรจิตฺถ, ราหุลภโทฺท จ วรวารณสฺส ปจฺฉโต นิกฺขนฺตคชโปตโก วิยฯ ภควา สายนฺหสมเย มณิคุหโต นิกฺขมิตฺวา โคจรํ ปฎิปโนฺน เกสรสีโห วิย, ราหุลภโทฺท จ สีหมิคราชานํ อนุพนฺธโนฺต นิกฺขนฺตสีหโปตโก วิยฯ ภควา มณิปพฺพตสสฺสิริกวนสณฺฑโต ทาฐพโล มหาพฺยโคฺฆ วิย, ราหุลภโทฺท จ พฺยคฺฆราชานํ อนุพนฺธพฺยคฺฆโปตโก วิยฯ ภควา สิมฺพลิทายโต นิกฺขนฺตสุปณฺณราชา วิย, ราหุลภโทฺท จ สุปณฺณราชสฺส ปจฺฉโต นิกฺขนฺตสุปณฺณโปตโก วิยฯ ภควา จิตฺตกูฎปพฺพตโต คคนตลํ ปกฺขนฺทสุวณฺณหํสราชา วิย, ราหุลภโทฺท จ หํสาธิปติํ อนุปกฺขนฺทหํสโปตโก วิยฯ ภควา มหาสรํ อโชฺฌคาฬฺหา สุวณฺณมหานาวา วิย, ราหุลภโทฺท จ สุวณฺณนาวํ ปจฺฉา อนุพนฺธนาวาโปตโก วิยฯ ภควา จกฺกรตนานุภาเวน คคนตเล สมฺปยาตจกฺกวตฺติราชา วิย, ราหุลภโทฺท จ ราชานํ อนุสมฺปยาตปริณายกรตนํ วิยฯ ภควา วิคตวลาหกํ นภํ ปฎิปนฺนตารกราชา วิย, ราหุลภโทฺท จ ตารกาธิปติโน อนุมคฺคปฎิปนฺนา ปริสุทฺธโอสธิตารกา วิยฯ
Tattha bhagavā supupphitasālavanamajjhagato subhūmiotaraṇatthāya nikkhantamattavaravāraṇo viya virocittha, rāhulabhaddo ca varavāraṇassa pacchato nikkhantagajapotako viya. Bhagavā sāyanhasamaye maṇiguhato nikkhamitvā gocaraṃ paṭipanno kesarasīho viya, rāhulabhaddo ca sīhamigarājānaṃ anubandhanto nikkhantasīhapotako viya. Bhagavā maṇipabbatasassirikavanasaṇḍato dāṭhabalo mahābyaggho viya, rāhulabhaddo ca byaggharājānaṃ anubandhabyagghapotako viya. Bhagavā simbalidāyato nikkhantasupaṇṇarājā viya, rāhulabhaddo ca supaṇṇarājassa pacchato nikkhantasupaṇṇapotako viya. Bhagavā cittakūṭapabbatato gaganatalaṃ pakkhandasuvaṇṇahaṃsarājā viya, rāhulabhaddo ca haṃsādhipatiṃ anupakkhandahaṃsapotako viya. Bhagavā mahāsaraṃ ajjhogāḷhā suvaṇṇamahānāvā viya, rāhulabhaddo ca suvaṇṇanāvaṃ pacchā anubandhanāvāpotako viya. Bhagavā cakkaratanānubhāvena gaganatale sampayātacakkavattirājā viya, rāhulabhaddo ca rājānaṃ anusampayātapariṇāyakaratanaṃ viya. Bhagavā vigatavalāhakaṃ nabhaṃ paṭipannatārakarājā viya, rāhulabhaddo ca tārakādhipatino anumaggapaṭipannā parisuddhaosadhitārakā viya.
ภควาปิ มหาสมฺมตปเวณิยํ โอกฺกากราชวํเส ชาโต, ราหุลภโทฺทปิฯ ภควาปิ สเงฺข ปกฺขิตฺตขีรสทิโส สุปริสุทฺธชาติขตฺติยกุเล ชาโต, ราหุลภโทฺทปิฯ ภควาปิ รชฺชํ ปหาย ปพฺพชิโต, ราหุลภโทฺทปิฯ ภควโตปิ สรีรํ ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ เทวนคเรสุ สมุสฺสิตรตนโตรณํ วิย สพฺพปาลิผุโลฺล ปาริจฺฉตฺตโก วิย จ อติมโนหรณํ, ราหุลภทฺทสฺสาปิฯ อิติ เทฺวปิ อภินีหารสมฺปนฺนา, เทฺวปิ ราชปพฺพชิตา, เทฺวปิ ขตฺติยสุขุมาลา, เทฺวปิ สุวณฺณวณฺณา, เทฺวปิ ลกฺขณสมฺปนฺนา เอกมคฺคํ ปฎิปนฺนา ปฎิปาฎิยา คจฺฉนฺตานํ ทฺวินฺนํ จนฺทมณฺฑลานํ ทฺวินฺนํ สูริยมณฺฑลานํ ทฺวินฺนํ สกฺกสุยามสนฺตุสิตสุนิมฺมิตวสวตฺติมหาพฺรหฺมาทีนํ สิริยา สิริํ อภิภวมานา วิย วิโรจิํสุฯ
Bhagavāpi mahāsammatapaveṇiyaṃ okkākarājavaṃse jāto, rāhulabhaddopi. Bhagavāpi saṅkhe pakkhittakhīrasadiso suparisuddhajātikhattiyakule jāto, rāhulabhaddopi. Bhagavāpi rajjaṃ pahāya pabbajito, rāhulabhaddopi. Bhagavatopi sarīraṃ dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ devanagaresu samussitaratanatoraṇaṃ viya sabbapāliphullo pāricchattako viya ca atimanoharaṇaṃ, rāhulabhaddassāpi. Iti dvepi abhinīhārasampannā, dvepi rājapabbajitā, dvepi khattiyasukhumālā, dvepi suvaṇṇavaṇṇā, dvepi lakkhaṇasampannā ekamaggaṃ paṭipannā paṭipāṭiyā gacchantānaṃ dvinnaṃ candamaṇḍalānaṃ dvinnaṃ sūriyamaṇḍalānaṃ dvinnaṃ sakkasuyāmasantusitasunimmitavasavattimahābrahmādīnaṃ siriyā siriṃ abhibhavamānā viya virociṃsu.
ตตฺรายสฺมา ราหุโล ภควโต ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต คจฺฉโนฺตว ปาทตลโต ยาว อุปริ เกสนฺตา ตถาคตํ อาโลเกสิฯ โส ภควโต พุทฺธเวสวิลาสํ ทิสฺวา ‘‘โสภติ ภควา ทฺวตฺติํสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตสรีโร พฺยามปฺปภาปริกฺขิตฺตตาย วิปฺปกิณฺณสุวณฺณจุณฺณมชฺฌคโต วิย, วิชฺชุลตาปริกฺขิโตฺต กนกปพฺพโต วิย, ยนฺตสุตฺตสมากฑฺฒิตรตนวิจิตฺตํ สุวณฺณอคฺฆิกํ วิย, รตฺตปํสุกูลจีวรปฎิจฺฉโนฺนปิ รตฺตกมฺพลปริกฺขิตฺตกนกปพฺพโต วิย, ปวาฬลตาปฎิมณฺฑิตํ สุวณฺณอคฺฆิกํ วิย , จีนปิฎฺฐจุณฺณปูชิตํ สุวณฺณเจติยํ วิย, ลาขารสานุลิโตฺต กนกยูโป วิย, รตฺตวลาหกนฺตรโต ตงฺขณพฺภุคฺคตปุณฺณจโนฺท วิย, อโห สมติํสปารมิตานุภาวสชฺชิตสฺส อตฺตภาวสฺส สิรีสมฺปตฺตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตโต อตฺตานมฺปิ โอโลเกตฺวา – ‘‘อหมฺปิ โสภามิฯ สเจ ภควา จตูสุ มหาทีเปสุ จกฺกวตฺติรชฺชํ อกริสฺสา, มยฺหํ ปริณายกฎฺฐานนฺตรํ อทสฺสาฯ เอวํ สเนฺต อติวิย ชมฺพุทีปตลํ อโสภิสฺสา’’ติ อตฺตภาวํ นิสฺสาย เคหสฺสิตํ ฉนฺทราคํ อุปฺปาเทสิฯ
Tatrāyasmā rāhulo bhagavato piṭṭhito piṭṭhito gacchantova pādatalato yāva upari kesantā tathāgataṃ ālokesi. So bhagavato buddhavesavilāsaṃ disvā ‘‘sobhati bhagavā dvattiṃsamahāpurisalakkhaṇavicittasarīro byāmappabhāparikkhittatāya vippakiṇṇasuvaṇṇacuṇṇamajjhagato viya, vijjulatāparikkhitto kanakapabbato viya, yantasuttasamākaḍḍhitaratanavicittaṃ suvaṇṇaagghikaṃ viya, rattapaṃsukūlacīvarapaṭicchannopi rattakambalaparikkhittakanakapabbato viya, pavāḷalatāpaṭimaṇḍitaṃ suvaṇṇaagghikaṃ viya , cīnapiṭṭhacuṇṇapūjitaṃ suvaṇṇacetiyaṃ viya, lākhārasānulitto kanakayūpo viya, rattavalāhakantarato taṅkhaṇabbhuggatapuṇṇacando viya, aho samatiṃsapāramitānubhāvasajjitassa attabhāvassa sirīsampattī’’ti cintesi. Tato attānampi oloketvā – ‘‘ahampi sobhāmi. Sace bhagavā catūsu mahādīpesu cakkavattirajjaṃ akarissā, mayhaṃ pariṇāyakaṭṭhānantaraṃ adassā. Evaṃ sante ativiya jambudīpatalaṃ asobhissā’’ti attabhāvaṃ nissāya gehassitaṃ chandarāgaṃ uppādesi.
ภควาปิ ปุรโต คจฺฉโนฺตว จิเนฺตสิ – ‘‘ปริปุณฺณจฺฉวิมํสโลหิโต ทานิ ราหุลสฺส อตฺตภาโวฯ รชนีเยสุ รูปารมฺมณาทีสุ หิ จิตฺตสฺส ปกฺขนฺทนกาโล ชาโต, กิํ พหุลตาย นุ โข ราหุโล วีตินาเมตี’’ติฯ อถ สหาวชฺชเนเนว ปสนฺนอุทเก มจฺฉํ วิย, ปริสุเทฺธ อาทาสมณฺฑเล มุขนิมิตฺตํ วิย จ ตสฺส ตํ จิตฺตุปฺปาทํ อทฺทสฯ ทิสฺวาว – ‘‘อยํ ราหุโล มยฺหํ อตฺรโช หุตฺวา มม ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺต ‘อหํ โสภามิ, มยฺหํ วณฺณายตนํ ปสนฺน’นฺติ อตฺตภาวํ นิสฺสาย เคหสฺสิตฉนฺทราคํ อุปฺปาเทติ, อติเตฺถ ปกฺขโนฺท อุปฺปถํ ปฎิปโนฺน อโคจเร จรติ, ทิสามูฬฺหอทฺธิโก วิย อคนฺตพฺพํ ทิสํ คจฺฉติฯ อยํ โข ปนสฺส กิเลโส อพฺภนฺตเร วฑฺฒโนฺต อตฺตตฺถมฺปิ ยถาภูตํ ปสฺสิตุํ น ทสฺสติ, ปรตฺถมฺปิ, อุภยตฺถมฺปิฯ ตโต นิรเยปิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหาเปสฺสติ, ติรจฺฉานโยนิยมฺปิ, เปตฺติวิสเยปิ, อสุรกาเยปิ, สมฺพาเธปิ มาตุกุจฺฉิสฺมินฺติ อนมตเคฺค สํสารวเฎฺฎ ปริปาเตสฺสติฯ อยญฺหิ –
Bhagavāpi purato gacchantova cintesi – ‘‘paripuṇṇacchavimaṃsalohito dāni rāhulassa attabhāvo. Rajanīyesu rūpārammaṇādīsu hi cittassa pakkhandanakālo jāto, kiṃ bahulatāya nu kho rāhulo vītināmetī’’ti. Atha sahāvajjaneneva pasannaudake macchaṃ viya, parisuddhe ādāsamaṇḍale mukhanimittaṃ viya ca tassa taṃ cittuppādaṃ addasa. Disvāva – ‘‘ayaṃ rāhulo mayhaṃ atrajo hutvā mama pacchato āgacchanto ‘ahaṃ sobhāmi, mayhaṃ vaṇṇāyatanaṃ pasanna’nti attabhāvaṃ nissāya gehassitachandarāgaṃ uppādeti, atitthe pakkhando uppathaṃ paṭipanno agocare carati, disāmūḷhaaddhiko viya agantabbaṃ disaṃ gacchati. Ayaṃ kho panassa kileso abbhantare vaḍḍhanto attatthampi yathābhūtaṃ passituṃ na dassati, paratthampi, ubhayatthampi. Tato nirayepi paṭisandhiṃ gaṇhāpessati, tiracchānayoniyampi, pettivisayepi, asurakāyepi, sambādhepi mātukucchisminti anamatagge saṃsāravaṭṭe paripātessati. Ayañhi –
อนตฺถชนโน โลโภ, โลโภ จิตฺตปฺปโกปโน;
Anatthajanano lobho, lobho cittappakopano;
ภยมนฺตรโต ชาตํ, ตํ ชโน นาวพุชฺฌติฯ
Bhayamantarato jātaṃ, taṃ jano nāvabujjhati.
ลุโทฺธ อตฺถํ น ชานาติ, ลุโทฺธ ธมฺมํ น ปสฺสติ;
Luddho atthaṃ na jānāti, luddho dhammaṃ na passati;
อนฺธตมํ ตทา โหติ, ยํ โลโภ สหเต นรํฯ (อิติวุ. ๘๘) –
Andhatamaṃ tadā hoti, yaṃ lobho sahate naraṃ. (itivu. 88) –
ยถา โข ปน อเนกรตนปูรา มหานาวา ภินฺนผลกนฺตเรน อุทกํ อาทิยมานา มุหุตฺตมฺปิ น อชฺฌุเปกฺขิตพฺพา โหติ, เวเคนสฺสา วิวรํ ปิทหิตุํ วฎฺฎติ, เอวเมวํ อยมฺปิ น อชฺฌุเปกฺขิตโพฺพฯ ยาวสฺส อยํ กิเลโส อพฺภนฺตเร สีลรตนาทีนิ น วินาเสติ, ตาวเทว นํ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ อชฺฌาสยมกาสิฯ เอวรูเปสุ ปน ฐาเนสุ พุทฺธานํ นาควิโลกนํ นาม โหติฯ ตสฺมา ยเนฺตน ปริวตฺติตสุวณฺณปฎิมา วิย สกลกาเยเนว ปริวเตฺตตฺวา ฐิโต ราหุลภทฺทํ อามเนฺตสิฯ ตํ สนฺธาย ‘‘อถ โข ภควา อปโลเกตฺวา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Yathā kho pana anekaratanapūrā mahānāvā bhinnaphalakantarena udakaṃ ādiyamānā muhuttampi na ajjhupekkhitabbā hoti, vegenassā vivaraṃ pidahituṃ vaṭṭati, evamevaṃ ayampi na ajjhupekkhitabbo. Yāvassa ayaṃ kileso abbhantare sīlaratanādīni na vināseti, tāvadeva naṃ niggaṇhissāmī’’ti ajjhāsayamakāsi. Evarūpesu pana ṭhānesu buddhānaṃ nāgavilokanaṃ nāma hoti. Tasmā yantena parivattitasuvaṇṇapaṭimā viya sakalakāyeneva parivattetvā ṭhito rāhulabhaddaṃ āmantesi. Taṃ sandhāya ‘‘atha kho bhagavā apaloketvā’’tiādi vuttaṃ.
ตตฺถ ยํกิญฺจิ รูปนฺติอาทีนิ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค ขนฺธนิเทฺทเส วิตฺถาริตานิฯ เนตํ มมาติอาทีนิ มหาหตฺถิปโทปเม วุตฺตานิฯ รูปเมว นุ โข ภควาติ กสฺมา ปุจฺฉติ? ตสฺส กิร – ‘‘สพฺพํ รูปํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตา’’ติ สุตฺวา – ‘‘ภควา สพฺพํ รูปํ วิปสฺสนาปญฺญาย เอวํ ทฎฺฐพฺพนฺติ วทติ, เวทนาทีสุ นุ โข กถํ ปฎิปชฺชิตพฺพ’’นฺติ นโย อุทปาทิฯ ตสฺมา ตสฺมิํ นเย ฐิโต ปุจฺฉติฯ นยกุสโล เหส อายสฺมา ราหุโล, อิทํ น กตฺตพฺพนฺติ วุเตฺต อิทมฺปิ น กตฺตพฺพํ อิทมฺปิ น กตฺตพฺพเมวาติ นยสเตนปิ นยสหเสฺสนปิ ปฎิวิชฺฌติฯ อิทํ กตฺตพฺพนฺติ วุเตฺตปิ เอเสว นโยฯ
Tattha yaṃkiñci rūpantiādīni sabbākārena visuddhimagge khandhaniddese vitthāritāni. Netaṃ mamātiādīni mahāhatthipadopame vuttāni. Rūpameva nu kho bhagavāti kasmā pucchati? Tassa kira – ‘‘sabbaṃ rūpaṃ netaṃ mama, nesohamasmi na meso attā’’ti sutvā – ‘‘bhagavā sabbaṃ rūpaṃ vipassanāpaññāya evaṃ daṭṭhabbanti vadati, vedanādīsu nu kho kathaṃ paṭipajjitabba’’nti nayo udapādi. Tasmā tasmiṃ naye ṭhito pucchati. Nayakusalo hesa āyasmā rāhulo, idaṃ na kattabbanti vutte idampi na kattabbaṃ idampi na kattabbamevāti nayasatenapi nayasahassenapi paṭivijjhati. Idaṃ kattabbanti vuttepi eseva nayo.
สิกฺขากาโม หิ อยํ อายสฺมา, ปาโตว คนฺธกุฎิปริเวเณ ปตฺถมตฺตํ วาลิกํ โอกิรติ – ‘‘อชฺช สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส สนฺติกา มยฺหํ อุปชฺฌายสฺส สนฺติกา เอตฺตกํ โอวาทํ เอตฺตกํ ปริภาสํ ลภามี’’ติฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธปิ นํ เอตทเคฺค ฐเปโนฺต – ‘‘เอตทคฺคํ, ภิกฺขเว, มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ สิกฺขากามานํ ยทิทํ ราหุโล’’ติ (อ. นิ. ๑.๒๐๙) สิกฺขายเมว อคฺคํ กตฺวา ฐเปสิฯ โสปิ อายสฺมา ภิกฺขุสงฺฆมเชฺฌ ตเมว สีหนาทํ นทิ –
Sikkhākāmo hi ayaṃ āyasmā, pātova gandhakuṭipariveṇe patthamattaṃ vālikaṃ okirati – ‘‘ajja sammāsambuddhassa santikā mayhaṃ upajjhāyassa santikā ettakaṃ ovādaṃ ettakaṃ paribhāsaṃ labhāmī’’ti. Sammāsambuddhopi naṃ etadagge ṭhapento – ‘‘etadaggaṃ, bhikkhave, mama sāvakānaṃ bhikkhūnaṃ sikkhākāmānaṃ yadidaṃ rāhulo’’ti (a. ni. 1.209) sikkhāyameva aggaṃ katvā ṭhapesi. Sopi āyasmā bhikkhusaṅghamajjhe tameva sīhanādaṃ nadi –
‘‘สพฺพเมตํ อภิญฺญาย, ธมฺมราชา ปิตา มม;
‘‘Sabbametaṃ abhiññāya, dhammarājā pitā mama;
สมฺมุขา ภิกฺขุสงฺฆสฺส, เอตทเคฺค ฐเปสิ มํฯ
Sammukhā bhikkhusaṅghassa, etadagge ṭhapesi maṃ.
สิกฺขากามานหํ อโคฺค, ธมฺมราเชน โถมิโต;
Sikkhākāmānahaṃ aggo, dhammarājena thomito;
สทฺธาปพฺพชิตานญฺจ, สหาโย ปวโร มมฯ
Saddhāpabbajitānañca, sahāyo pavaro mama.
ธมฺมราชา ปิตา มยฺหํ, ธมฺมารโกฺข จ เปตฺติโย;
Dhammarājā pitā mayhaṃ, dhammārakkho ca pettiyo;
สาริปุโตฺต อุปชฺฌาโย, สพฺพํ เม ชินสาสน’’นฺติฯ
Sāriputto upajjhāyo, sabbaṃ me jinasāsana’’nti.
อถสฺส ภควา ยสฺมา น เกวลํ รูปเมว, เวทนาทโยปิ เอวํ ทฎฺฐพฺพา, ตสฺมา รูปมฺปิ ราหุลาติอาทิมาหฯ โก นชฺชาติ โก นุ อชฺชฯ เถรสฺส กิร เอตทโหสิ ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ มยฺหํ อตฺตภาวนิสฺสิตํ ฉนฺทราคํ ญตฺวา ‘สมเณน นาม เอวรูโป วิตโกฺก น วิตกฺกิตโพฺพ’ติ เนว ปริยาเยน กถํ กเถสิ, คจฺฉ ภิกฺขุ ราหุลํ วเทหิ ‘มา ปุน เอวรูปํ วิตกฺกํ วิตเกฺกสี’ติ น ทูตํ เปเสสิฯ มํ สมฺมุเกฺข ฐตฺวาเยว ปน สภณฺฑกํ โจรํ จูฬาย คณฺหโนฺต วิย สมฺมุขา สุคโตวาทํ อทาสิฯ สุคโตวาโท จ นาม อสเงฺขเยฺยหิปิ กเปฺปหิ ทุลฺลโภฯ เอวรูปสฺส พุทฺธสฺส สมฺมุขา โอวาทํ ลภิตฺวา โก นุ วิญฺญู ปณฺฑิตชาติโก อชฺช คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสตี’’ติฯ อเถส อายสฺมา อาหารกิจฺจํ ปหาย ยสฺมิํ นิสินฺนฎฺฐาเน ฐิเตน โอวาโท ลโทฺธ, ตโตว ปฎินิวเตฺตตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสีทิฯ ภควาปิ ตํ อายสฺมนฺตํ นิวตฺตมานํ ทิสฺวา น เอวมาห – ‘‘มา นิวตฺต ตาว, ราหุล, ภิกฺขาจารกาโล เต’’ติฯ กสฺมา? เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘อชฺช ตาว กายคตาสติอมตโภชนํ ภุญฺชตู’’ติฯ
Athassa bhagavā yasmā na kevalaṃ rūpameva, vedanādayopi evaṃ daṭṭhabbā, tasmā rūpampi rāhulātiādimāha. Ko najjāti ko nu ajja. Therassa kira etadahosi ‘‘sammāsambuddho mayhaṃ attabhāvanissitaṃ chandarāgaṃ ñatvā ‘samaṇena nāma evarūpo vitakko na vitakkitabbo’ti neva pariyāyena kathaṃ kathesi, gaccha bhikkhu rāhulaṃ vadehi ‘mā puna evarūpaṃ vitakkaṃ vitakkesī’ti na dūtaṃ pesesi. Maṃ sammukkhe ṭhatvāyeva pana sabhaṇḍakaṃ coraṃ cūḷāya gaṇhanto viya sammukhā sugatovādaṃ adāsi. Sugatovādo ca nāma asaṅkheyyehipi kappehi dullabho. Evarūpassa buddhassa sammukhā ovādaṃ labhitvā ko nu viññū paṇḍitajātiko ajja gāmaṃ piṇḍāya pavisissatī’’ti. Athesa āyasmā āhārakiccaṃ pahāya yasmiṃ nisinnaṭṭhāne ṭhitena ovādo laddho, tatova paṭinivattetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle nisīdi. Bhagavāpi taṃ āyasmantaṃ nivattamānaṃ disvā na evamāha – ‘‘mā nivatta tāva, rāhula, bhikkhācārakālo te’’ti. Kasmā? Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘ajja tāva kāyagatāsatiamatabhojanaṃ bhuñjatū’’ti.
อทฺทสา โข อายสฺมา สาริปุโตฺตติ ภควติ คเต ปจฺฉา คจฺฉโนฺต อทฺทสฯ เอตสฺส กิรายสฺมโต เอกกสฺส วิหรโต อญฺญํ วตฺตํ, ภควตา สทฺธิํ วิหรโต อญฺญํฯ ยทา หิ เทฺว อคฺคสาวกา เอกากิโน วสนฺติ, ตทา ปาโตว เสนาสนํ สมฺมชฺชิตฺวา สรีรปฎิชคฺคนํ กตฺวา สมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา สนฺนิสินฺนา อตฺตโน จิตฺตรุจิยา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺติฯ ภควตา สทฺธิํ วิหรนฺตา ปน เถรา เอวํ น กโรนฺติฯ ตทา หิ ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ปฐมํ ภิกฺขาจารํ คจฺฉติฯ ตสฺมิํ คเต เถโร อตฺตโน เสนาสนา นิกฺขมิตฺวา – ‘‘พหูนํ วสนฎฺฐาเน นาม สเพฺพว ปาสาทิกํ กาตุํ สโกฺกนฺติ วา, น วา สโกฺกนฺตี’’ติ ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา อสมฺมฎฺฐํ ฐานํ สมฺมชฺชติฯ สเจ กจวโร อฉฑฺฑิโต โหติ, ตํ ฉเฑฺฑติฯ ปานียฎฺฐเปตพฺพฎฺฐานมฺหิ ปานียกูเฎ อสติ ปานียฆฎํ ฐเปติฯ คิลานานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา, ‘‘อาวุโส, ตุมฺหากํ กิํ อาหรามิ, กิํ โว อิจฺฉิตพฺพ’’นฺติ? ปุจฺฉติฯ อวสฺสิกทหรานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา – ‘‘อภิรมถ, อาวุโส, มา อุกฺกณฺฐิตฺถ, ปฎิปตฺติสารกํ พุทฺธสาสน’’นฺติ โอวทติฯ เอวํ กตฺวา สพฺพปจฺฉา ภิกฺขาจารํ คจฺฉติฯ ยถา หิ จกฺกวตฺติ กุหิญฺจิ คนฺตุกาโม เสนาย ปริวาริโต ปฐมํ นิกฺขมติ, ปริณายกรตนํ เสนงฺคานิ สํวิธาย ปจฺฉา นิกฺขมติ, เอวํ สทฺธมฺมจกฺกวตฺติ ภควา ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ปฐมํ นิกฺขมติ, ตสฺส ภควโต ปริณายกรตนภูโต ธมฺมเสนาปติ อิมํ กิจฺจํ กตฺวา สพฺพปจฺฉา นิกฺขมติฯ โส เอวํ นิกฺขโนฺต ตสฺมิํ ทิวเส อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล นิสินฺนํ ราหุลภทฺทํ อทฺทสฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปจฺฉา คจฺฉโนฺต อทฺทสา’’ติฯ
Addasā kho āyasmā sāriputtoti bhagavati gate pacchā gacchanto addasa. Etassa kirāyasmato ekakassa viharato aññaṃ vattaṃ, bhagavatā saddhiṃ viharato aññaṃ. Yadā hi dve aggasāvakā ekākino vasanti, tadā pātova senāsanaṃ sammajjitvā sarīrapaṭijagganaṃ katvā samāpattiṃ appetvā sannisinnā attano cittaruciyā bhikkhācāraṃ gacchanti. Bhagavatā saddhiṃ viharantā pana therā evaṃ na karonti. Tadā hi bhagavā bhikkhusaṅghaparivāro paṭhamaṃ bhikkhācāraṃ gacchati. Tasmiṃ gate thero attano senāsanā nikkhamitvā – ‘‘bahūnaṃ vasanaṭṭhāne nāma sabbeva pāsādikaṃ kātuṃ sakkonti vā, na vā sakkontī’’ti tattha tattha gantvā asammaṭṭhaṃ ṭhānaṃ sammajjati. Sace kacavaro achaḍḍito hoti, taṃ chaḍḍeti. Pānīyaṭṭhapetabbaṭṭhānamhi pānīyakūṭe asati pānīyaghaṭaṃ ṭhapeti. Gilānānaṃ santikaṃ gantvā, ‘‘āvuso, tumhākaṃ kiṃ āharāmi, kiṃ vo icchitabba’’nti? Pucchati. Avassikadaharānaṃ santikaṃ gantvā – ‘‘abhiramatha, āvuso, mā ukkaṇṭhittha, paṭipattisārakaṃ buddhasāsana’’nti ovadati. Evaṃ katvā sabbapacchā bhikkhācāraṃ gacchati. Yathā hi cakkavatti kuhiñci gantukāmo senāya parivārito paṭhamaṃ nikkhamati, pariṇāyakaratanaṃ senaṅgāni saṃvidhāya pacchā nikkhamati, evaṃ saddhammacakkavatti bhagavā bhikkhusaṅghaparivāro paṭhamaṃ nikkhamati, tassa bhagavato pariṇāyakaratanabhūto dhammasenāpati imaṃ kiccaṃ katvā sabbapacchā nikkhamati. So evaṃ nikkhanto tasmiṃ divase aññatarasmiṃ rukkhamūle nisinnaṃ rāhulabhaddaṃ addasa. Tena vuttaṃ ‘‘pacchā gacchanto addasā’’ti.
อถ กสฺมา อานาปานสฺสติยํ นิโยเชสิ? นิสชฺชานุจฺฉวิกตฺตาฯ เถโร กิร ‘‘เอตสฺส ภควตา รูปกมฺมฎฺฐานํ กถิต’’นฺติ อนาวชฺชิตฺวาว เยนากาเรน อยํ อจโล อโนพโทฺธ หุตฺวา นิสิโนฺน, อิทมสฺส เอติสฺสา นิสชฺชาย กมฺมฎฺฐานํ อนุจฺฉวิกนฺติ จิเนฺตตฺวา เอวมาหฯ ตตฺถ อานาปานสฺสตินฺติ อสฺสาสปสฺสาเส ปริคฺคเหตฺวา ตตฺถ จตุกฺกปญฺจกชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาหีติ ทเสฺสติฯ
Atha kasmā ānāpānassatiyaṃ niyojesi? Nisajjānucchavikattā. Thero kira ‘‘etassa bhagavatā rūpakammaṭṭhānaṃ kathita’’nti anāvajjitvāva yenākārena ayaṃ acalo anobaddho hutvā nisinno, idamassa etissā nisajjāya kammaṭṭhānaṃ anucchavikanti cintetvā evamāha. Tattha ānāpānassatinti assāsapassāse pariggahetvā tattha catukkapañcakajjhānaṃ nibbattetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ gaṇhāhīti dasseti.
มหปฺผลา โหตีติ กีวมหปฺผลา โหติ? อิธ ภิกฺขุ อานาปานสฺสติํ อนุยุโตฺต เอกาสเน นิสิโนฺนว สพฺพาสเว เขเปตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตถา อสโกฺกโนฺต มรณกาเล สมสีสี โหติ, ตถา อสโกฺกโนฺต เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ธมฺมกถิกเทวปุตฺตสฺส ธมฺมํ สุตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ, ตโต วิรโทฺธ อนุปฺปเนฺน พุทฺธุปฺปาเท ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, ตํ อสจฺฉิกโรโนฺต พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว พาหิยเตฺถราทโย วิย ขิปฺปาภิโญฺญ โหติ, เอวํ มหปฺผลาฯ มหานิสํสาติ ตเสฺสว เววจนํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Mahapphalā hotīti kīvamahapphalā hoti? Idha bhikkhu ānāpānassatiṃ anuyutto ekāsane nisinnova sabbāsave khepetvā arahattaṃ pāpuṇāti, tathā asakkonto maraṇakāle samasīsī hoti, tathā asakkonto devaloke nibbattitvā dhammakathikadevaputtassa dhammaṃ sutvā arahattaṃ pāpuṇāti, tato viraddho anuppanne buddhuppāde paccekabodhiṃ sacchikaroti, taṃ asacchikaronto buddhānaṃ sammukhībhāve bāhiyattherādayo viya khippābhiñño hoti, evaṃ mahapphalā. Mahānisaṃsāti tasseva vevacanaṃ. Vuttampi cetaṃ –
‘‘อานาปานสฺสตี ยสฺส, ปริปุณฺณา สุภาวิตา;
‘‘Ānāpānassatī yassa, paripuṇṇā subhāvitā;
อนุปุพฺพํ ปริจิตา, ยถา พุเทฺธน เทสิตา;
Anupubbaṃ paricitā, yathā buddhena desitā;
โสมํ โลกํ ปภาเสติ, อพฺภา มุโตฺตว จนฺทิมา’’ติฯ (เถรคา. ๕๔๘; ปฎิ. ม. ๑.๑.๖๐) –
Somaṃ lokaṃ pabhāseti, abbhā muttova candimā’’ti. (theragā. 548; paṭi. ma. 1.1.60) –
อิมํ มหปฺผลตํ สมฺปสฺสมาโน เถโร สทฺธิวิหาริกํ ตตฺถ นิโยเชติฯ
Imaṃ mahapphalataṃ sampassamāno thero saddhivihārikaṃ tattha niyojeti.
อิติ ภควา รูปกมฺมฎฺฐานํ, เถโร อานาปานสฺสตินฺติ อุโภปิ กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา คตา, ราหุลภโทฺท วิหาเรเยว โอหีโนฯ ภควา ตสฺส โอหีนภาวํ ชานโนฺตปิ เนว อตฺตนา ขาทนียํ โภชนียํ คเหตฺวา อคมาสิ, น อานนฺทเตฺถรสฺส หเตฺถ เปเสสิ, น ปเสนทิมหาราชอนาถปิณฺฑิกาทีนํ สญฺญํ อทาสิฯ สญฺญามตฺตกญฺหิ ลภิตฺวา เต กาชภตฺตํ อภิหเรยฺยุํฯ ยถา จ ภควา, เอวํ สาริปุตฺตเตฺถโรปิ น กิญฺจิ อกาสิฯ ราหุลเตฺถโร นิราหาโร ฉินฺนภโตฺต อโหสิฯ ตสฺส ปนายสฺมโต – ‘‘ภควา มํ วิหาเร โอหีนํ ชานโนฺตปิ อตฺตนา ลทฺธปิณฺฑปาตํ นาปิ สยํ คเหตฺวา อาคโต, น อญฺญสฺส หเตฺถ ปหิณิ , น มนุสฺสานํ สญฺญํ อทาสิ, อุปชฺฌาโยปิ เม โอหีนภาวํ ชานโนฺต ตเถว น กิญฺจิ อกาสี’’ติ จิตฺตมฺปิ น อุปฺปนฺนํ, กุโต ตปฺปจฺจยา โอมานํ วา อติมานํ วา ชเนสฺสติฯ ภควตา ปน อาจิกฺขิตกมฺมฎฺฐานเมว ปุเรภตฺตมฺปิ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ – ‘‘อิติปิ รูปํ อนิจฺจํ, อิติปิ ทุกฺขํ, อิติปิ อสุภํ, อิติปิ อนตฺตา’’ติ อคฺคิํ อภิมเตฺถโนฺต วิย นิรนฺตรํ มนสิกตฺวา สายนฺหสมเย จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ อุปชฺฌาเยน อานาปานสฺสติํ ภาเวหีติ วุโตฺต , ตสฺส วจนํ น กริสฺสามิฯ อาจริยุปชฺฌายานญฺหิ วจนํ อกโรโนฺต ทุพฺพโจ นาม โหติฯ ‘ทุพฺพโจ ราหุโล, อุปชฺฌายสฺสปิ วจนํ น กโรตี’ติ จ ครหุปฺปตฺติโต กกฺขฬตรา ปีฬา นาม นตฺถี’’ติ ภาวนาวิธานํ ปุจฺฉิตุกาโม ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข อายสฺมา ราหุโลติอาทิ วุตฺตํฯ
Iti bhagavā rūpakammaṭṭhānaṃ, thero ānāpānassatinti ubhopi kammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā gatā, rāhulabhaddo vihāreyeva ohīno. Bhagavā tassa ohīnabhāvaṃ jānantopi neva attanā khādanīyaṃ bhojanīyaṃ gahetvā agamāsi, na ānandattherassa hatthe pesesi, na pasenadimahārājaanāthapiṇḍikādīnaṃ saññaṃ adāsi. Saññāmattakañhi labhitvā te kājabhattaṃ abhihareyyuṃ. Yathā ca bhagavā, evaṃ sāriputtattheropi na kiñci akāsi. Rāhulatthero nirāhāro chinnabhatto ahosi. Tassa panāyasmato – ‘‘bhagavā maṃ vihāre ohīnaṃ jānantopi attanā laddhapiṇḍapātaṃ nāpi sayaṃ gahetvā āgato, na aññassa hatthe pahiṇi , na manussānaṃ saññaṃ adāsi, upajjhāyopi me ohīnabhāvaṃ jānanto tatheva na kiñci akāsī’’ti cittampi na uppannaṃ, kuto tappaccayā omānaṃ vā atimānaṃ vā janessati. Bhagavatā pana ācikkhitakammaṭṭhānameva purebhattampi pacchābhattampi – ‘‘itipi rūpaṃ aniccaṃ, itipi dukkhaṃ, itipi asubhaṃ, itipi anattā’’ti aggiṃ abhimatthento viya nirantaraṃ manasikatvā sāyanhasamaye cintesi – ‘‘ahaṃ upajjhāyena ānāpānassatiṃ bhāvehīti vutto , tassa vacanaṃ na karissāmi. Ācariyupajjhāyānañhi vacanaṃ akaronto dubbaco nāma hoti. ‘Dubbaco rāhulo, upajjhāyassapi vacanaṃ na karotī’ti ca garahuppattito kakkhaḷatarā pīḷā nāma natthī’’ti bhāvanāvidhānaṃ pucchitukāmo bhagavato santikaṃ agamāsi. Taṃ dassetuṃ atha kho āyasmā rāhulotiādi vuttaṃ.
๑๑๔. ตตฺถ ปฎิสลฺลานาติ เอกีภาวโตฯ ยํกิญฺจิ ราหุลาติ กสฺมา? ภควา อานาปานสฺสติํ ปุโฎฺฐ รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตีติฯ รูเป ฉนฺทราคปฺปหานตฺถํฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘ราหุลสฺส อตฺตภาวํ นิสฺสาย ฉนฺทราโค อุปฺปโนฺน, เหฎฺฐา จสฺส สเงฺขเปน รูปกมฺมฎฺฐานํ กถิตํฯ อิทานิสฺสาปิ ทฺวิจตฺตาลีสาย อากาเรหิ อตฺตภาวํ วิราเชตฺวา วิสงฺขริตฺวา ตํนิสฺสิตํ ฉนฺทราคํ อนุปฺปตฺติธมฺมตํ อาปาเทสฺสามี’’ติฯ อถ อากาสธาตุํ กสฺมา วิตฺถาเรสีติ? อุปาทารูปทสฺสนตฺถํฯ เหฎฺฐา หิ จตฺตาริ มหาภูตาเนว กถิตานิ, น อุปาทารูปํฯ ตสฺมา อิมินา มุเขน ตํ ทเสฺสตุํ อากาสธาตุํ วิตฺถาเรสิฯ อปิจ อชฺฌตฺติเกน อากาเสน ปริจฺฉินฺนรูปมฺปิ ปากฎํ โหติฯ
114. Tattha paṭisallānāti ekībhāvato. Yaṃkiñci rāhulāti kasmā? Bhagavā ānāpānassatiṃ puṭṭho rūpakammaṭṭhānaṃ kathetīti. Rūpe chandarāgappahānatthaṃ. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘rāhulassa attabhāvaṃ nissāya chandarāgo uppanno, heṭṭhā cassa saṅkhepena rūpakammaṭṭhānaṃ kathitaṃ. Idānissāpi dvicattālīsāya ākārehi attabhāvaṃ virājetvā visaṅkharitvā taṃnissitaṃ chandarāgaṃ anuppattidhammataṃ āpādessāmī’’ti. Atha ākāsadhātuṃ kasmā vitthāresīti? Upādārūpadassanatthaṃ. Heṭṭhā hi cattāri mahābhūtāneva kathitāni, na upādārūpaṃ. Tasmā iminā mukhena taṃ dassetuṃ ākāsadhātuṃ vitthāresi. Apica ajjhattikena ākāsena paricchinnarūpampi pākaṭaṃ hoti.
อากาเสน ปริจฺฉินฺนํ, รูปํ ยาติ วิภูตตํ;
Ākāsena paricchinnaṃ, rūpaṃ yāti vibhūtataṃ;
ตเสฺสวํ อาวิภาวตฺถํ, ตํ ปกาเสสิ นายโกฯ
Tassevaṃ āvibhāvatthaṃ, taṃ pakāsesi nāyako.
เอตฺถ ปน ปุริมาสุ ตาว จตูสุ ธาตูสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ มหาหตฺถิปโทปเม วุตฺตเมวฯ
Ettha pana purimāsu tāva catūsu dhātūsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ mahāhatthipadopame vuttameva.
๑๑๘. อากาสธาตุยํ อากาสคตนฺติ อากาสภาวํ คตํฯ อุปาทินฺนนฺติอาทินฺนํ คหิตํ ปรามฎฺฐํ, สรีรฎฺฐกนฺติ อโตฺถฯ กณฺณจฺฉิทฺทนฺติ มํสโลหิตาทีหิ อสมฺผุฎฺฐกณฺณวิวรํฯ นาสจฺฉิทฺทาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เยน จาติ เยน ฉิเทฺทนฯ อโชฺฌหรตีติ อโนฺต ปเวเสติ, ชิวฺหาพนฺธนโต หิ ยาว อุทรปฎลา มนุสฺสานํ วิทตฺถิจตุรงฺคุลํ ฉิทฺทฎฺฐานํ โหติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยตฺถ จาติ ยสฺมิํ โอกาเสฯ สนฺติฎฺฐตีติ ปติฎฺฐาติฯ มนุสฺสานญฺหิ มหนฺตํ ปฎปริสฺสาวนมตฺตญฺจ อุทรปฎลํ นาม โหติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อโธภาคํ นิกฺขมตีติ เยน เหฎฺฐา นิกฺขมติฯ ทฺวตฺติํสหตฺถมตฺตํ เอกวีสติยา ฐาเนสุ วงฺกํ อนฺตํ นาม โหติฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยํ วา ปนญฺญมฺปีติ อิมินา สุขุมสุขุมํ จมฺมมํสาทิอนฺตรคตเญฺจว โลมกูปภาเวน จ ฐิตํ อากาสํ ทเสฺสติฯ เสสเมตฺถาปิ ปถวีธาตุอาทีสุ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
118. Ākāsadhātuyaṃ ākāsagatanti ākāsabhāvaṃ gataṃ. Upādinnantiādinnaṃ gahitaṃ parāmaṭṭhaṃ, sarīraṭṭhakanti attho. Kaṇṇacchiddanti maṃsalohitādīhi asamphuṭṭhakaṇṇavivaraṃ. Nāsacchiddādīsupi eseva nayo. Yenacāti yena chiddena. Ajjhoharatīti anto paveseti, jivhābandhanato hi yāva udarapaṭalā manussānaṃ vidatthicaturaṅgulaṃ chiddaṭṭhānaṃ hoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yattha cāti yasmiṃ okāse. Santiṭṭhatīti patiṭṭhāti. Manussānañhi mahantaṃ paṭaparissāvanamattañca udarapaṭalaṃ nāma hoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Adhobhāgaṃ nikkhamatīti yena heṭṭhā nikkhamati. Dvattiṃsahatthamattaṃ ekavīsatiyā ṭhānesu vaṅkaṃ antaṃ nāma hoti. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yaṃ vā panaññampīti iminā sukhumasukhumaṃ cammamaṃsādiantaragatañceva lomakūpabhāvena ca ṭhitaṃ ākāsaṃ dasseti. Sesametthāpi pathavīdhātuādīsu vuttanayeneva veditabbaṃ.
๑๑๙. อิทานิสฺส ตาทิภาวลกฺขณํ อาจิกฺขโนฺต ปถวีสมนฺติอาทิมาหฯ อิฎฺฐานิเฎฺฐสุ หิ อรชฺชโนฺต อทุสฺสโนฺต ตาที นาม โหติฯ มนาปามนาปาติ เอตฺถ อฎฺฐ โลภสหคตจิตฺตสมฺปยุตฺตา มนาปา นาม, เทฺว โทมนสฺสจิตฺตสมฺปยุตฺตา อมนาปา นามฯ จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺตีติ เอเต ผสฺสา อุปฺปชฺชิตฺวา ตว จิตฺตํ อโนฺตมุฎฺฐิคตํ กโรโนฺต วิย ปริยาทาย คเหตฺวา ฐาตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ ‘‘อหํ โสภามิ, มยฺหํ วณฺณายตนํ ปสนฺน’’นฺติ ปุน อตฺตภาวํ นิสฺสาย ฉนฺทราโค นุปฺปชฺชิสฺสติฯ คูถคตนฺติอาทีสุ คูถเมว คูถคตํฯ เอวํ สพฺพตฺถฯ
119. Idānissa tādibhāvalakkhaṇaṃ ācikkhanto pathavīsamantiādimāha. Iṭṭhāniṭṭhesu hi arajjanto adussanto tādī nāma hoti. Manāpāmanāpāti ettha aṭṭha lobhasahagatacittasampayuttā manāpā nāma, dve domanassacittasampayuttā amanāpā nāma. Cittaṃ na pariyādāya ṭhassantīti ete phassā uppajjitvā tava cittaṃ antomuṭṭhigataṃ karonto viya pariyādāya gahetvā ṭhātuṃ na sakkhissanti ‘‘ahaṃ sobhāmi, mayhaṃ vaṇṇāyatanaṃ pasanna’’nti puna attabhāvaṃ nissāya chandarāgo nuppajjissati. Gūthagatantiādīsu gūthameva gūthagataṃ. Evaṃ sabbattha.
น กตฺถจิ ปติฎฺฐิโตติ ปถวีปพฺพตรุกฺขาทีสุ เอกสฺมิมฺปิ น ปติฎฺฐิโต, ยทิ หิ ปถวิยํ ปติฎฺฐิโต ภเวยฺย, ปถวิยา ภิชฺชมานาย สเหว ภิเชฺชยฺย, ปพฺพเต ปตมาเน สเหว ปเตยฺย, รุเกฺข ฉิชฺชมาเน สเหว ฉิเชฺชยฺยฯ
Na katthaci patiṭṭhitoti pathavīpabbatarukkhādīsu ekasmimpi na patiṭṭhito, yadi hi pathaviyaṃ patiṭṭhito bhaveyya, pathaviyā bhijjamānāya saheva bhijjeyya, pabbate patamāne saheva pateyya, rukkhe chijjamāne saheva chijjeyya.
๑๒๐. เมตฺตํ ราหุลาติ กสฺมา อารภิ? ตาทิภาวสฺส การณทสฺสนตฺถํฯ เหฎฺฐา หิ ตาทิภาวลกฺขณํ ทสฺสิตํ, น จ สกฺกา อหํ ตาที โหมีติ อการณา ภวิตุํ, นปิ ‘‘อหํ อุจฺจากุลปฺปสุโต พหุสฺสุโต ลาภี, มํ ราชราชมหามตฺตาทโย ภชนฺติ, อหํ ตาที โหมี’’ติ อิเมหิ การเณหิ โกจิ ตาที นาม โหติ, เมตฺตาทิภาวนาย ปน โหตีติ ตาทิภาวสฺส การณทสฺสนตฺถํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ
120.Mettaṃrāhulāti kasmā ārabhi? Tādibhāvassa kāraṇadassanatthaṃ. Heṭṭhā hi tādibhāvalakkhaṇaṃ dassitaṃ, na ca sakkā ahaṃ tādī homīti akāraṇā bhavituṃ, napi ‘‘ahaṃ uccākulappasuto bahussuto lābhī, maṃ rājarājamahāmattādayo bhajanti, ahaṃ tādī homī’’ti imehi kāraṇehi koci tādī nāma hoti, mettādibhāvanāya pana hotīti tādibhāvassa kāraṇadassanatthaṃ imaṃ desanaṃ ārabhi.
ตตฺถ ภาวยโตติ อุปจารํ วา อปฺปนํ วา ปาเปนฺตสฺสฯ โย พฺยาปาโทติ โย สเตฺต โกโป, โส ปหียิสฺสติฯ วิเหสาติ ปาณิอาทีหิ สตฺตานํ วิหิํสนํฯ อรตีติ ปนฺตเสนาสเนสุ เจว อธิกุสลธเมฺมสุ จ อุกฺกณฺฐิตตาฯ ปฎิโฆติ ยตฺถ กตฺถจิ สเตฺตสุ สงฺขาเรสุ จ ปฎิหญฺญนกิเลโสฯ อสุภนฺติ อุทฺธุมาตกาทีสุ อุปจารปฺปนํฯ อุทฺธุมาตกาทีสุ อสุภภาวนา จ นาเมสา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค กถิตาวฯ ราโคติ ปญฺจกามคุณิกราโคฯ อนิจฺจสญฺญนฺติ อนิจฺจานุปสฺสนาย สหชาตสญฺญํฯ วิปสฺสนา เอว วา เอสา อสญฺญาปิ สญฺญาสีเสน สญฺญาติ วุตฺตาฯ อสฺมิมาโนติ รูปาทีสุ อสฺมีติ มาโนฯ
Tattha bhāvayatoti upacāraṃ vā appanaṃ vā pāpentassa. Yo byāpādoti yo satte kopo, so pahīyissati. Vihesāti pāṇiādīhi sattānaṃ vihiṃsanaṃ. Aratīti pantasenāsanesu ceva adhikusaladhammesu ca ukkaṇṭhitatā. Paṭighoti yattha katthaci sattesu saṅkhāresu ca paṭihaññanakileso. Asubhanti uddhumātakādīsu upacārappanaṃ. Uddhumātakādīsu asubhabhāvanā ca nāmesā vitthārato visuddhimagge kathitāva. Rāgoti pañcakāmaguṇikarāgo. Aniccasaññanti aniccānupassanāya sahajātasaññaṃ. Vipassanā eva vā esā asaññāpi saññāsīsena saññāti vuttā. Asmimānoti rūpādīsu asmīti māno.
๑๒๑. อิทานิ เถเรน ปุจฺฉิตํ ปญฺหํ วิตฺถาเรโนฺต อานาปานสฺสตินฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิทํ กมฺมฎฺฐานญฺจ กมฺมฎฺฐานภาวนา จ ปาฬิอโตฺถ จ สทฺธิํ อานิสํสกถาย สโพฺพ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค อนุสฺสตินิเทฺทเส วิตฺถาริโตเยวฯ อิมํ เทสนํ ภควา เนยฺยปุคฺคลวเสเนว ปรินิฎฺฐาเปสีติฯ
121. Idāni therena pucchitaṃ pañhaṃ vitthārento ānāpānassatintiādimāha. Tattha idaṃ kammaṭṭhānañca kammaṭṭhānabhāvanā ca pāḷiattho ca saddhiṃ ānisaṃsakathāya sabbo sabbākārena visuddhimagge anussatiniddese vitthāritoyeva. Imaṃ desanaṃ bhagavā neyyapuggalavaseneva pariniṭṭhāpesīti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มาหาราหุโลวาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Māhārāhulovādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. มหาราหุโลวาทสุตฺตํ • 2. Mahārāhulovādasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. มหาราหุโลวาทสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahārāhulovādasuttavaṇṇanā