Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๖. มหาสจฺจกสุตวณฺณนา
6. Mahāsaccakasutavaṇṇanā
๓๖๔. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสจฺจกสุตฺตํฯ ตตฺถ เอกํ สมยนฺติ จ เตน โข ปน สมเยนาติ จ ปุพฺพณฺหสมยนฺติ จ ตีหิ ปเทหิ เอโกว สมโย วุโตฺตฯ ภิกฺขูนญฺหิ วตฺตปฎิปตฺติํ กตฺวา มุขํ โธวิตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เจติยํ วนฺทิตฺวา กตรํ คามํ ปวิสิสฺสามาติ วิตกฺกมาฬเก ฐิตกาโล นาม โหติฯ ภควา เอวรูเป สมเย รตฺตทุปฎฺฎํ นิวาเสตฺวา กายพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ปํสุกูลจีวรํ เอกํสํ ปารุปิตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมฺม ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต คนฺธกุฎิปมุเข อฎฺฐาสิฯ ตํ สนฺธาย, – ‘‘เอกํ สมยนฺติ จ เตน โข ปน สมเยนาติ จ ปุพฺพณฺหสมย’’นฺติ จ วุตฺตํฯ ปวิสิตุกาโมติ ปิณฺฑาย ปวิสิสฺสามีติ เอวํ กตสนฺนิฎฺฐาโนฯ เตนุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมีติ? วาทาโรปนชฺฌาสเยนฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – ‘‘ปุเพฺพปาหํ อปณฺฑิตตาย สกลํ เวสาลิปริสํ คเหตฺวา สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปริสมเชฺฌ มงฺกุ ชาโตฯ อิทานิ ตถา อกตฺวา เอกโกว คนฺตฺวา วาทํ อาโรเปสฺสามิฯ ยทิ สมณํ โคตมํ ปราเชตุํ สกฺขิสฺสามิ, อตฺตโน ลทฺธิํ ทีเปตฺวา ชยํ กริสฺสามิฯ ยทิ สมณสฺส โคตมสฺส ชโย ภวิสฺสติ, อนฺธกาเร นจฺจํ วิย น โกจิ ชานิสฺสตี’’ติ นิทฺทาปญฺหํ นาม คเหตฺวา อิมินา วาทชฺฌาสเยน อุปสงฺกมิฯ
364.Evaṃme sutanti mahāsaccakasuttaṃ. Tattha ekaṃ samayanti ca tena kho pana samayenāti ca pubbaṇhasamayanti ca tīhi padehi ekova samayo vutto. Bhikkhūnañhi vattapaṭipattiṃ katvā mukhaṃ dhovitvā pattacīvaramādāya cetiyaṃ vanditvā kataraṃ gāmaṃ pavisissāmāti vitakkamāḷake ṭhitakālo nāma hoti. Bhagavā evarūpe samaye rattadupaṭṭaṃ nivāsetvā kāyabandhanaṃ bandhitvā paṃsukūlacīvaraṃ ekaṃsaṃ pārupitvā gandhakuṭito nikkhamma bhikkhusaṅghaparivuto gandhakuṭipamukhe aṭṭhāsi. Taṃ sandhāya, – ‘‘ekaṃ samayanti ca tena kho pana samayenāti ca pubbaṇhasamaya’’nti ca vuttaṃ. Pavisitukāmoti piṇḍāya pavisissāmīti evaṃ katasanniṭṭhāno. Tenupasaṅkamīti kasmā upasaṅkamīti? Vādāropanajjhāsayena. Evaṃ kirassa ahosi – ‘‘pubbepāhaṃ apaṇḍitatāya sakalaṃ vesāliparisaṃ gahetvā samaṇassa gotamassa santikaṃ gantvā parisamajjhe maṅku jāto. Idāni tathā akatvā ekakova gantvā vādaṃ āropessāmi. Yadi samaṇaṃ gotamaṃ parājetuṃ sakkhissāmi, attano laddhiṃ dīpetvā jayaṃ karissāmi. Yadi samaṇassa gotamassa jayo bhavissati, andhakāre naccaṃ viya na koci jānissatī’’ti niddāpañhaṃ nāma gahetvā iminā vādajjhāsayena upasaṅkami.
อนุกมฺปํ อุปาทายาติ สจฺจกสฺส นิคณฺฐปุตฺตสฺส อนุกมฺปํ ปฎิจฺจฯ เถรสฺส กิรสฺส เอวํ อโหสิ – ‘‘ภควติ มุหุตฺตํ นิสิเนฺน พุทฺธทสฺสนํ ธมฺมสฺสวนญฺจ ลภิสฺสติฯ ตทสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย สํวตฺติสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา ภควนฺตํ ยาจิตฺวา ปํสุกูลจีวรํ จตุคฺคุณํ ปญฺญเปตฺวา นิสีทตุ ภควาติ อาหฯ ‘‘การณํ อานโนฺท วทตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ ภควนฺตํ เอตทโวจาติ ยํ ปน ปญฺหํ โอวฎฺฎิกสารํ กตฺวา อาทาย อาคโต ตํ ฐเปตฺวา ปเสฺสน ตาว ปริหรโนฺต เอตํ สนฺติ, โภ โคตมาติอาทิวจนํ อโวจฯ
Anukampaṃ upādāyāti saccakassa nigaṇṭhaputtassa anukampaṃ paṭicca. Therassa kirassa evaṃ ahosi – ‘‘bhagavati muhuttaṃ nisinne buddhadassanaṃ dhammassavanañca labhissati. Tadassa dīgharattaṃ hitāya sukhāya saṃvattissatī’’ti. Tasmā bhagavantaṃ yācitvā paṃsukūlacīvaraṃ catugguṇaṃ paññapetvā nisīdatu bhagavāti āha. ‘‘Kāraṇaṃ ānando vadatī’’ti sallakkhetvā nisīdi bhagavā paññatte āsane. Bhagavantaṃ etadavocāti yaṃ pana pañhaṃ ovaṭṭikasāraṃ katvā ādāya āgato taṃ ṭhapetvā passena tāva pariharanto etaṃ santi, bho gotamātiādivacanaṃ avoca.
๓๖๕. ผุสนฺติ หิ เต, โภ โคตมาติ เต สมณพฺราหฺมณา สรีเร อุปฺปนฺนํ สารีริกํ ทุกฺขํ เวทนํ ผุสนฺติ ลภนฺติ, อนุภวนฺตีติ อโตฺถฯ อูรุกฺขโมฺภติ ขมฺภกตอูรุภาโว, อูรุถทฺธตาติ อโตฺถฯ วิมฺหยตฺถวเสน ปเนตฺถ ภวิสฺสตีติ อนาคตวจนํ กตํฯ กายนฺวยํ โหตีติ กายานุคตํ โหติ กายสฺส วสวตฺติฯ กายภาวนาติ ปน วิปสฺสนา วุจฺจติ, ตาย จิตฺตวิเกฺขปํ ปาปุณโนฺต นาม นตฺถิ, อิติ นิคโณฺฐ อสนฺตํ อภูตํ ยํ นตฺถิ, ตเทวาหฯ จิตฺตภาวนาติปิ สมโถ วุจฺจติ, สมาธิยุตฺตสฺส จ ปุคฺคลสฺส อูรุกฺขมฺภาทโย นาม นตฺถิ, อิติ นิคโณฺฐ อิทํ อภูตเมว อาหฯ อฎฺฐกถายํ ปน วุตฺตํ – ‘‘ยเถว ‘ภูตปุพฺพนฺติ วตฺวา อูรุกฺขโมฺภปิ นาม ภวิสฺสตี’ติอาทีนิ วทโต อนาคตรูปํ น สเมติ, ตถา อโตฺถปิ น สเมติ, อสนฺตํ อภูตํ ยํ นตฺถิ, ตํ กเถตี’’ติฯ
365.Phusanti hi te, bho gotamāti te samaṇabrāhmaṇā sarīre uppannaṃ sārīrikaṃ dukkhaṃ vedanaṃ phusanti labhanti, anubhavantīti attho. Ūrukkhambhoti khambhakataūrubhāvo, ūruthaddhatāti attho. Vimhayatthavasena panettha bhavissatīti anāgatavacanaṃ kataṃ. Kāyanvayaṃ hotīti kāyānugataṃ hoti kāyassa vasavatti. Kāyabhāvanāti pana vipassanā vuccati, tāya cittavikkhepaṃ pāpuṇanto nāma natthi, iti nigaṇṭho asantaṃ abhūtaṃ yaṃ natthi, tadevāha. Cittabhāvanātipi samatho vuccati, samādhiyuttassa ca puggalassa ūrukkhambhādayo nāma natthi, iti nigaṇṭho idaṃ abhūtameva āha. Aṭṭhakathāyaṃ pana vuttaṃ – ‘‘yatheva ‘bhūtapubbanti vatvā ūrukkhambhopi nāma bhavissatī’tiādīni vadato anāgatarūpaṃ na sameti, tathā atthopi na sameti, asantaṃ abhūtaṃ yaṃ natthi, taṃ kathetī’’ti.
โน กายภาวนนฺติ ปญฺจาตปตปฺปนาทิํ อตฺตกิลมถานุโยคํ สนฺธายาหฯ อยญฺหิ เตสํ กายภาวนา นามฯ กิํ ปน โส ทิสฺวา เอวมาห? โส กิร ทิวาทิวสฺส วิหารํ อาคจฺฉติ, ตสฺมิํ โข ปน สมเย ภิกฺขู ปตฺตจีวรํ ปฎิสาเมตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ ปฎิสลฺลานํ อุปคจฺฉนฺติฯ โส เต ปฎิสลฺลีเน ทิสฺวา จิตฺตภาวนามตฺตํ เอเต อนุยุญฺชนฺติ, กายภาวนา ปเนเตสํ นตฺถีติ มญฺญมาโน เอวมาหฯ
No kāyabhāvananti pañcātapatappanādiṃ attakilamathānuyogaṃ sandhāyāha. Ayañhi tesaṃ kāyabhāvanā nāma. Kiṃ pana so disvā evamāha? So kira divādivassa vihāraṃ āgacchati, tasmiṃ kho pana samaye bhikkhū pattacīvaraṃ paṭisāmetvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu paṭisallānaṃ upagacchanti. So te paṭisallīne disvā cittabhāvanāmattaṃ ete anuyuñjanti, kāyabhāvanā panetesaṃ natthīti maññamāno evamāha.
๓๖๖. อถ นํ ภควา อนุยุญฺชโนฺต กินฺติ ปน เต, อคฺคิเวสฺสน, กายภาวนา สุตาติ อาหฯ โส ตํ วิตฺถาเรโนฺต เสยฺยถิทํ, นโนฺท วโจฺฉติอาทิมาหฯ ตตฺถ นโนฺทติ ตสฺส นามํฯ วโจฺฉติ โคตฺตํฯ กิโสติ นามํฯ สํกิโจฺจติ โคตฺตํฯ มกฺขลิโคสาโล เหฎฺฐา อาคโตวฯ เอเตติ เอเต ตโย ชนา, เต กิร กิลิฎฺฐตปานํ มตฺถกปตฺตา อเหสุํฯ อุฬารานิ อุฬารานีติ ปณีตานิ ปณีตานิฯ คาเหนฺติ นามาติ พลํ คณฺหาเปนฺติ นามฯ พฺรูเหนฺตีติ วเฑฺฒนฺติฯ เมเทนฺตีติ ชาตเมทํ กโรนฺติฯ ปุริมํ ปหายาติ ปุริมํ ทุกฺกรการํ ปหายฯ ปจฺฉา อุปจินนฺตีติ ปจฺฉา อุฬารขาทนียาทีหิ สนฺตเปฺปนฺติ, วเฑฺฒนฺติฯ อาจยาปจโย โหตีติ วฑฺฒิ จ อวฑฺฒิ จ โหติ, อิติ อิมสฺส กายสฺส กาเลน วฑฺฒิ, กาเลน ปริหานีติ วฑฺฒิปริหานิมตฺตเมว ปญฺญายติ, กายภาวนา ปน น ปญฺญายตีติ ทีเปตฺวา จิตฺตภาวนํ ปุจฺฉโนฺต, ‘‘กินฺติ ปน เต, อคฺคิเวสฺสน, จิตฺตภาวนา สุตา’’ติ อาหฯ น สมฺปายาสีติ สมฺปาเทตฺวา กเถตุํ นาสกฺขิ, ยถา ตํ พาลปุถุชฺชโนฯ
366. Atha naṃ bhagavā anuyuñjanto kinti pana te, aggivessana, kāyabhāvanā sutāti āha. So taṃ vitthārento seyyathidaṃ, nando vacchotiādimāha. Tattha nandoti tassa nāmaṃ. Vacchoti gottaṃ. Kisoti nāmaṃ. Saṃkiccoti gottaṃ. Makkhaligosālo heṭṭhā āgatova. Eteti ete tayo janā, te kira kiliṭṭhatapānaṃ matthakapattā ahesuṃ. Uḷārāni uḷārānīti paṇītāni paṇītāni. Gāhenti nāmāti balaṃ gaṇhāpenti nāma. Brūhentīti vaḍḍhenti. Medentīti jātamedaṃ karonti. Purimaṃ pahāyāti purimaṃ dukkarakāraṃ pahāya. Pacchā upacinantīti pacchā uḷārakhādanīyādīhi santappenti, vaḍḍhenti. Ācayāpacayo hotīti vaḍḍhi ca avaḍḍhi ca hoti, iti imassa kāyassa kālena vaḍḍhi, kālena parihānīti vaḍḍhiparihānimattameva paññāyati, kāyabhāvanā pana na paññāyatīti dīpetvā cittabhāvanaṃ pucchanto, ‘‘kinti pana te, aggivessana, cittabhāvanā sutā’’ti āha. Na sampāyāsīti sampādetvā kathetuṃ nāsakkhi, yathā taṃ bālaputhujjano.
๓๖๗. กุโต ปน ตฺวนฺติ โย ตฺวํ เอวํ โอฬาริกํ ทุพฺพลํ กายภาวนํ น ชานาสิ? โส ตฺวํ กุโต สณฺหํ สุขุมํ จิตฺตภาวนํ ชานิสฺสสีติฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน โจทนาลยเตฺถโร, ‘‘อพุทฺธวจนํ นาเมตํ ปท’’นฺติ พีชนิํ ฐเปตฺวา ปกฺกมิตุํ อารภิฯ อถ นํ มหาสีวเตฺถโร อาห – ‘‘ทิสฺสติ, ภิกฺขเว, อิมสฺส จาตุมหาภูติกสฺส กายสฺส อาจโยปิ อปจโยปิ อาทานมฺปิ นิเกฺขปนมฺปี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๖๒)ฯ ตํ สุตฺวา สลฺลเกฺขสิ – ‘‘โอฬาริกํ กายํ ปริคฺคณฺหนฺตสฺส อุปฺปนฺนวิปสฺสนา โอฬาริกาติ วตฺตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ
367.Kutopana tvanti yo tvaṃ evaṃ oḷārikaṃ dubbalaṃ kāyabhāvanaṃ na jānāsi? So tvaṃ kuto saṇhaṃ sukhumaṃ cittabhāvanaṃ jānissasīti. Imasmiṃ pana ṭhāne codanālayatthero, ‘‘abuddhavacanaṃ nāmetaṃ pada’’nti bījaniṃ ṭhapetvā pakkamituṃ ārabhi. Atha naṃ mahāsīvatthero āha – ‘‘dissati, bhikkhave, imassa cātumahābhūtikassa kāyassa ācayopi apacayopi ādānampi nikkhepanampī’’ti (saṃ. ni. 2.62). Taṃ sutvā sallakkhesi – ‘‘oḷārikaṃ kāyaṃ pariggaṇhantassa uppannavipassanā oḷārikāti vattuṃ vaṭṭatī’’ti.
๓๖๘. สุขสาราคีติ สุขสาราเคน สมนฺนาคโตฯ สุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ ทุกฺขา เวทนาติ น อนนฺตราว อุปฺปชฺชติ, สุขทุกฺขานญฺหิ อนนฺตรปจฺจยตา ปฎฺฐาเน (ปฎฺฐา. ๑.๒.๔๕-๔๖) ปฎิสิทฺธาฯ ยสฺมา ปน สุเข อนิรุเทฺธ ทุกฺขํ นุปฺปชฺชติ, ตสฺมา อิธ เอวํ วุตฺตํฯ ปริยาทาย ติฎฺฐตีติ เขเปตฺวา คณฺหิตฺวา ติฎฺฐติฯ อุภโตปกฺขนฺติ สุขํ เอกํ ปกฺขํ ทุกฺขํ เอกํ ปกฺขนฺติ เอวํ อุภโตปกฺขํ หุตฺวาฯ
368.Sukhasārāgīti sukhasārāgena samannāgato. Sukhāya vedanāya nirodhā uppajjati dukkhā vedanāti na anantarāva uppajjati, sukhadukkhānañhi anantarapaccayatā paṭṭhāne (paṭṭhā. 1.2.45-46) paṭisiddhā. Yasmā pana sukhe aniruddhe dukkhaṃ nuppajjati, tasmā idha evaṃ vuttaṃ. Pariyādāya tiṭṭhatīti khepetvā gaṇhitvā tiṭṭhati. Ubhatopakkhanti sukhaṃ ekaṃ pakkhaṃ dukkhaṃ ekaṃ pakkhanti evaṃ ubhatopakkhaṃ hutvā.
๓๖๙. อุปฺปนฺนาปิ สุขา เวทนา จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ภาวิตตฺตา กายสฺสฯ อุปฺปนฺนาปิ ทุกฺขา เวทนา จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ภาวิตตฺตา จิตฺตสฺสาติ เอตฺถ กายภาวนา วิปสฺสนา, จิตฺตภาวนา สมาธิฯ วิปสฺสนา จ สุขสฺส ปจฺจนีกา, ทุกฺขสฺส อาสนฺนาฯ สมาธิ ทุกฺขสฺส ปจฺจนีโก, สุขสฺส อาสโนฺนฯ กถํ? วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา นิสินฺนสฺส หิ อทฺธาเน คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต ตตฺถ ตตฺถ อคฺคิอุฎฺฐานํ วิย โหติ, กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติ, มตฺถกโต อุสุมวฎฺฎิอุฎฺฐานํ วิย โหตีติ จิตฺตํ หญฺญติ วิหญฺญติ วิปฺผนฺทติฯ เอวํ ตาว วิปสฺสนา สุขสฺส ปจฺจนีกา, ทุกฺขสฺส อาสนฺนาฯ อุปฺปเนฺน ปน กายิเก วา เจตสิเก วา ทุเกฺข ตํ ทุกฺขํ วิกฺขเมฺภตฺวา สมาปตฺติํ สมาปนฺนสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ทุกฺขํ ทูราปคตํ โหติ, อนปฺปกํ สุขํ โอกฺกมติฯ เอวํ สมาธิ ทุกฺขสฺส ปจฺจนีโก, สุขสฺส อาสโนฺนฯ ยถา วิปสฺสนา สุขสฺส ปจฺจนีกา, ทุกฺขสฺส อาสนฺนา, น ตถา สมาธิฯ ยถา สมาธิ ทุกฺขสฺส ปจฺจนีโก, สุขสฺส อาสโนฺน, น จ ตถา วิปสฺสนาติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุปฺปนฺนาปิ สุขา เวทนา จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ภาวิตตฺตา กายสฺสฯ อุปฺปนฺนาปิ ทุกฺขา เวทนา จิตฺตํ น ปริยาทาย ติฎฺฐติ, ภาวิตตฺตา จิตฺตสฺสา’’ติฯ
369.Uppannāpi sukhā vedanā cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, bhāvitattā kāyassa. Uppannāpi dukkhā vedanā cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, bhāvitattā cittassāti ettha kāyabhāvanā vipassanā, cittabhāvanā samādhi. Vipassanā ca sukhassa paccanīkā, dukkhassa āsannā. Samādhi dukkhassa paccanīko, sukhassa āsanno. Kathaṃ? Vipassanaṃ paṭṭhapetvā nisinnassa hi addhāne gacchante gacchante tattha tattha aggiuṭṭhānaṃ viya hoti, kacchehi sedā muccanti, matthakato usumavaṭṭiuṭṭhānaṃ viya hotīti cittaṃ haññati vihaññati vipphandati. Evaṃ tāva vipassanā sukhassa paccanīkā, dukkhassa āsannā. Uppanne pana kāyike vā cetasike vā dukkhe taṃ dukkhaṃ vikkhambhetvā samāpattiṃ samāpannassa samāpattikkhaṇe dukkhaṃ dūrāpagataṃ hoti, anappakaṃ sukhaṃ okkamati. Evaṃ samādhi dukkhassa paccanīko, sukhassa āsanno. Yathā vipassanā sukhassa paccanīkā, dukkhassa āsannā, na tathā samādhi. Yathā samādhi dukkhassa paccanīko, sukhassa āsanno, na ca tathā vipassanāti. Tena vuttaṃ – ‘‘uppannāpi sukhā vedanā cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, bhāvitattā kāyassa. Uppannāpi dukkhā vedanā cittaṃ na pariyādāya tiṭṭhati, bhāvitattā cittassā’’ti.
๓๗๐. อาสชฺช อุปนียาติ คุเณ ฆเฎฺฎตฺวา เจว อุปเนตฺวา จฯ ตํ วต เมติ ตํ วต มม จิตฺตํฯ
370.Āsajjaupanīyāti guṇe ghaṭṭetvā ceva upanetvā ca. Taṃ vata meti taṃ vata mama cittaṃ.
๓๗๑. กิญฺหิ โน สิยา, อคฺคิเวสฺสนาติ, อคฺคิเวสฺสน, กิํ น ภวิสฺสติ, ภวิสฺสเตว, มา เอวํ สญฺญี โหหิ, อุปฺปชฺชิเยว เม สุขาปิ ทุกฺขาปิ เวทนา, อุปฺปนฺนาย ปนสฺสา อหํ จิตฺตํ ปริยาทาย ฐาตุํ น เทมิฯ อิทานิสฺส ตมตฺถํ ปกาเสตุํ อุปริ ปสาทาวหํ ธมฺมเทสนํ เทเสตุกาโม มูลโต ปฎฺฐาย มหาภินิกฺขมนํ อารภิฯ ตตฺถ อิธ เม, อคฺคิเวสฺสน, ปุเพฺพว สโมฺพธา…เป.… ตเตฺถว นิสีทิํ, อลมิทํ ปธานายาติ อิทํ สพฺพํ เหฎฺฐา ปาสราสิสุเตฺต วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส, ตตฺถ โพธิปลฺลเงฺก นิสชฺชา, อิธ ทุกฺกรการิกาฯ
371.Kiñhi no siyā, aggivessanāti, aggivessana, kiṃ na bhavissati, bhavissateva, mā evaṃ saññī hohi, uppajjiyeva me sukhāpi dukkhāpi vedanā, uppannāya panassā ahaṃ cittaṃ pariyādāya ṭhātuṃ na demi. Idānissa tamatthaṃ pakāsetuṃ upari pasādāvahaṃ dhammadesanaṃ desetukāmo mūlato paṭṭhāya mahābhinikkhamanaṃ ārabhi. Tattha idha me, aggivessana, pubbeva sambodhā…pe… tattheva nisīdiṃ, alamidaṃ padhānāyāti idaṃ sabbaṃ heṭṭhā pāsarāsisutte vuttanayeneva veditabbaṃ. Ayaṃ pana viseso, tattha bodhipallaṅke nisajjā, idha dukkarakārikā.
๓๗๔. อลฺลกฎฺฐนฺติ อลฺลํ อุทุมฺพรกฎฺฐํฯ สเสฺนหนฺติ สขีรํฯ กาเมหีติ วตฺถุกาเมหิฯ อวูปกฎฺฐาติ อนปคตาฯ กามจฺฉโนฺทติอาทีสุ กิเลสกาโมว ฉนฺทกรณวเสน ฉโนฺทฯ สิเนหกรณวเสน เสฺนโหฯ มุจฺฉากรณวเสน มุจฺฉาฯ ปิปาสากรณวเสน ปิปาสาฯ อนุทหนวเสน ปริฬาโหติ เวทิตโพฺพฯ โอปกฺกมิกาติ อุปกฺกมนิพฺพตฺตาฯ ญาณาย ทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายาติ สพฺพํ โลกุตฺตรมคฺคเววจนเมวฯ
374.Allakaṭṭhanti allaṃ udumbarakaṭṭhaṃ. Sasnehanti sakhīraṃ. Kāmehīti vatthukāmehi. Avūpakaṭṭhāti anapagatā. Kāmacchandotiādīsu kilesakāmova chandakaraṇavasena chando. Sinehakaraṇavasena sneho. Mucchākaraṇavasena mucchā. Pipāsākaraṇavasena pipāsā. Anudahanavasena pariḷāhoti veditabbo. Opakkamikāti upakkamanibbattā. Ñāṇāya dassanāya anuttarāya sambodhāyāti sabbaṃ lokuttaramaggavevacanameva.
อิทํ ปเนตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํ – อลฺลํ สขีรํ อุทุมฺพรกฎฺฐํ วิย หิ กิเลสกาเมน วตฺถุกามโต อนิสฺสฎปุคฺคลาฯ อุทเก ปกฺขิตฺตภาโว วิย กิเลสกาเมน ตินฺตตา; มนฺถเนนาปิ อคฺคิโน อนภินิพฺพตฺตนํ วิย กิเลสกาเมน วตฺถุกามโต อนิสฺสฎานํ โอปกฺกมิกาหิ เวทนาหิ โลกุตฺตรมคฺคสฺส อนธิคโมฯ อมนฺถเนนาปิ อคฺคิโน อนภินิพฺพตฺตนํ วิย เตสํ ปุคฺคลานํ วินาปิ โอปกฺกมิกาหิ เวทนาหิ โลกุตฺตรมคฺคสฺส อนธิคโมฯ ทุติยอุปมาปิ อิมินาว นเยน เวทิตพฺพาฯ อยํ ปน วิเสโส, ปุริมา สปุตฺตภริยปพฺพชฺชาย อุปมา; ปจฺฉิมา พฺราหฺมณธมฺมิกปพฺพชฺชายฯ
Idaṃ panettha opammasaṃsandanaṃ – allaṃ sakhīraṃ udumbarakaṭṭhaṃ viya hi kilesakāmena vatthukāmato anissaṭapuggalā. Udake pakkhittabhāvo viya kilesakāmena tintatā; manthanenāpi aggino anabhinibbattanaṃ viya kilesakāmena vatthukāmato anissaṭānaṃ opakkamikāhi vedanāhi lokuttaramaggassa anadhigamo. Amanthanenāpi aggino anabhinibbattanaṃ viya tesaṃ puggalānaṃ vināpi opakkamikāhi vedanāhi lokuttaramaggassa anadhigamo. Dutiyaupamāpi imināva nayena veditabbā. Ayaṃ pana viseso, purimā saputtabhariyapabbajjāya upamā; pacchimā brāhmaṇadhammikapabbajjāya.
๓๗๖. ตติยอุปมาย โกฬาปนฺติ ฉินฺนสิเนหํ นิราปํฯ ถเล นิกฺขิตฺตนฺติ ปพฺพตถเล วา ภูมิถเล วา นิกฺขิตฺตํฯ เอตฺถาปิ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – สุกฺขโกฬาปกฎฺฐํ วิย หิ กิเลสกาเมน วตฺถุกามโต นิสฺสฎปุคฺคลา, อารกา อุทกา ถเล นิกฺขิตฺตภาโว วิย กิเลสกาเมน อตินฺตตาฯ มนฺถเนนาปิ อคฺคิโน อภินิพฺพตฺตนํ วิย กิเลสกาเมน วตฺถุกามโต นิสฺสฎานํ อโพฺภกาสิกเนสชฺชิกาทิวเสน โอปกฺกมิกาหิปิ เวทนาหิ โลกุตฺตรมคฺคสฺส อธิคโมฯ อญฺญสฺส รุกฺขสฺส สุกฺขสาขาย สทฺธิํ ฆํสนมเตฺตเนว อคฺคิโน อภินิพฺพตฺตนํ วิย วินาปิ โอปกฺกมิกาหิ เวทนาหิ สุขาเยว ปฎิปทาย โลกุตฺตรมคฺคสฺส อธิคโมติฯ อยํ อุปมา ภควตา อตฺตโน อตฺถาย อาหฎาฯ
376. Tatiyaupamāya koḷāpanti chinnasinehaṃ nirāpaṃ. Thale nikkhittanti pabbatathale vā bhūmithale vā nikkhittaṃ. Etthāpi idaṃ opammasaṃsandanaṃ – sukkhakoḷāpakaṭṭhaṃ viya hi kilesakāmena vatthukāmato nissaṭapuggalā, ārakā udakā thale nikkhittabhāvo viya kilesakāmena atintatā. Manthanenāpi aggino abhinibbattanaṃ viya kilesakāmena vatthukāmato nissaṭānaṃ abbhokāsikanesajjikādivasena opakkamikāhipi vedanāhi lokuttaramaggassa adhigamo. Aññassa rukkhassa sukkhasākhāya saddhiṃ ghaṃsanamatteneva aggino abhinibbattanaṃ viya vināpi opakkamikāhi vedanāhi sukhāyeva paṭipadāya lokuttaramaggassa adhigamoti. Ayaṃ upamā bhagavatā attano atthāya āhaṭā.
๓๗๗. อิทานิ อตฺตโน ทุกฺกรการิกํ ทเสฺสโนฺต, ตสฺส มยฺหนฺติอาทิมาหฯ กิํ ปน ภควา ทุกฺกรํ อกตฺวา พุโทฺธ ภวิตุํ น สมโตฺถติ? กตฺวาปิ อกตฺวาปิ สมโตฺถวฯ อถ กสฺมา อกาสีติ? สเทวกสฺส โลกสฺส อตฺตโน ปรกฺกมํ ทเสฺสสฺสามิฯ โส จ มํ วีริยนิมฺมถนคุโณ หาเสสฺสตีติฯ ปาสาเท นิสิโนฺนเยว หิ ปเวณิอาคตํ รชฺชํ ลภิตฺวาปิ ขตฺติโย น ตถาปมุทิโต โหติ, ยถา พลกายํ คเหตฺวา สงฺคาเม เทฺว ตโย สมฺปหาเร ทตฺวา อมิตฺตมถนํ กตฺวา ปตฺตรโชฺชฯ เอวํ ปตฺตรชฺชสฺส หิ รชฺชสิริํ อนุภวนฺตสฺส ปริสํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน ปรกฺกมํ อนุสฺสริตฺวา, ‘‘อสุกฎฺฐาเน อสุกกมฺมํ กตฺวา อสุกญฺจ อสุกญฺจ อมิตฺตํ เอวํ วิชฺฌิตฺวา เอวํ ปหริตฺวา อิมํ รชฺชสิริํ ปโตฺตสฺมี’’ติ จินฺตยโต พลวโสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ เอวเมวํ ภควาปิ สเทวกสฺส โลกสฺส ปรกฺกมํ ทเสฺสสฺสามิ, โส หิ มํ ปรกฺกโม อติวิย หาเสสฺสติ, โสมนสฺสํ อุปฺปาเทสฺสตีติ ทุกฺกรมกาสิฯ
377. Idāni attano dukkarakārikaṃ dassento, tassa mayhantiādimāha. Kiṃ pana bhagavā dukkaraṃ akatvā buddho bhavituṃ na samatthoti? Katvāpi akatvāpi samatthova. Atha kasmā akāsīti? Sadevakassa lokassa attano parakkamaṃ dassessāmi. So ca maṃ vīriyanimmathanaguṇo hāsessatīti. Pāsāde nisinnoyeva hi paveṇiāgataṃ rajjaṃ labhitvāpi khattiyo na tathāpamudito hoti, yathā balakāyaṃ gahetvā saṅgāme dve tayo sampahāre datvā amittamathanaṃ katvā pattarajjo. Evaṃ pattarajjassa hi rajjasiriṃ anubhavantassa parisaṃ oloketvā attano parakkamaṃ anussaritvā, ‘‘asukaṭṭhāne asukakammaṃ katvā asukañca asukañca amittaṃ evaṃ vijjhitvā evaṃ paharitvā imaṃ rajjasiriṃ pattosmī’’ti cintayato balavasomanassaṃ uppajjati. Evamevaṃ bhagavāpi sadevakassa lokassa parakkamaṃ dassessāmi, so hi maṃ parakkamo ativiya hāsessati, somanassaṃ uppādessatīti dukkaramakāsi.
อปิจ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาโนปิ อกาสิเยว, ปจฺฉิมา หิ ชนตา สมฺมาสมฺพุโทฺธ กปฺปสตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวาปิ ปธานํ ปทหิตฺวาว สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปโตฺต, กิมงฺคํ ปน มยนฺติ ปธานวีริยํ กตฺตพฺพํ มญฺญิสฺสติ; เอวํ สเนฺต ขิปฺปเมว ชาติชรามรณสฺส อนฺตํ กริสฺสตีติ ปจฺฉิมํ ชนตํ อนุกมฺปมาโน อกาสิเยวฯ
Apica pacchimaṃ janataṃ anukampamānopi akāsiyeva, pacchimā hi janatā sammāsambuddho kappasatasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvāpi padhānaṃ padahitvāva sabbaññutaññāṇaṃ patto, kimaṅgaṃ pana mayanti padhānavīriyaṃ kattabbaṃ maññissati; evaṃ sante khippameva jātijarāmaraṇassa antaṃ karissatīti pacchimaṃ janataṃ anukampamāno akāsiyeva.
ทเนฺตภิทนฺตมาธายาติ เหฎฺฐาทเนฺต อุปริทนฺตํ ฐเปตฺวาฯ เจตสา จิตฺตนฺติ กุสลจิเตฺตน อกุสลจิตฺตํฯ อภินิคฺคเณฺหยฺยนฺติ นิคฺคเณฺหยฺยํฯ อภินิปฺปีเฬยฺยนฺติ นิปฺปีเฬยฺยํฯ อภิสนฺตาเปยฺยนฺติ ตาเปตฺวา วีริยนิมฺมถนํ กเรยฺยํฯ สารโทฺธติ สทรโถฯ ปธานาภิตุนฺนสฺสาติ ปธาเนน อภิตุนฺนสฺส, วิทฺธสฺส สโตติ อโตฺถฯ
Dantebhidantamādhāyāti heṭṭhādante uparidantaṃ ṭhapetvā. Cetasā cittanti kusalacittena akusalacittaṃ. Abhiniggaṇheyyanti niggaṇheyyaṃ. Abhinippīḷeyyanti nippīḷeyyaṃ. Abhisantāpeyyanti tāpetvā vīriyanimmathanaṃ kareyyaṃ. Sāraddhoti sadaratho. Padhānābhitunnassāti padhānena abhitunnassa, viddhassa satoti attho.
๓๗๘. อปฺปาณกนฺติ นิรสฺสาสกํฯ กมฺมารคคฺคริยาติ กมฺมารสฺส คคฺครนาฬิยาฯ สีสเวทนา โหนฺตีติ กุโตจิ นิกฺขมิตุํ อลภมาเนหิ วาเตหิ สมุฎฺฐาปิตา พลวติโย สีสเวทนา โหนฺติฯ สีสเวฐํ ทเทยฺยาติ สีสเวฐนํ ทเทยฺยฯ เทวตาติ โพธิสตฺตสฺส จงฺกมนโกฎิยํ ปณฺณสาลปริเวณสามนฺตา จ อธิวตฺถา เทวตาฯ
378.Appāṇakanti nirassāsakaṃ. Kammāragaggariyāti kammārassa gaggaranāḷiyā. Sīsavedanā hontīti kutoci nikkhamituṃ alabhamānehi vātehi samuṭṭhāpitā balavatiyo sīsavedanā honti. Sīsaveṭhaṃ dadeyyāti sīsaveṭhanaṃ dadeyya. Devatāti bodhisattassa caṅkamanakoṭiyaṃ paṇṇasālapariveṇasāmantā ca adhivatthā devatā.
ตทา กิร โพธิสตฺตสฺส อธิมเตฺต กายทาเห อุปฺปเนฺน มุจฺฉา อุทปาทิฯ โส จงฺกเมว นิสิโนฺน หุตฺวา ปปติฯ ตํ ทิสฺวา เทวตา เอวมาหํสุ – ‘‘วิหาโรเตฺวว โส อรหโต’’ติ, ‘‘อรหโนฺต นาม เอวรูปา โหนฺติ มตกสทิสา’’ติ ลทฺธิยา วทนฺติฯ ตตฺถ ยา เทวตา ‘‘กาลงฺกโต’’ติ อาหํสุ, ตา คนฺตฺวา สุโทฺธทนมหาราชสฺส อาโรเจสุํ – ‘‘ตุมฺหากํ ปุโตฺต กาลงฺกโต’’ติฯ มม ปุโตฺต พุโทฺธ หุตฺวา กาลงฺกโต, โน อหุตฺวาติ? พุโทฺธ ภวิตุํ นาสกฺขิ, ปธานภูมิยํเยว ปติตฺวา กาลงฺกโตติฯ นาหํ สทฺทหามิ, มม ปุตฺตสฺส โพธิํ อปตฺวา กาลงฺกิริยา นาม นตฺถีติฯ
Tadā kira bodhisattassa adhimatte kāyadāhe uppanne mucchā udapādi. So caṅkameva nisinno hutvā papati. Taṃ disvā devatā evamāhaṃsu – ‘‘vihārotveva so arahato’’ti, ‘‘arahanto nāma evarūpā honti matakasadisā’’ti laddhiyā vadanti. Tattha yā devatā ‘‘kālaṅkato’’ti āhaṃsu, tā gantvā suddhodanamahārājassa ārocesuṃ – ‘‘tumhākaṃ putto kālaṅkato’’ti. Mama putto buddho hutvā kālaṅkato, no ahutvāti? Buddho bhavituṃ nāsakkhi, padhānabhūmiyaṃyeva patitvā kālaṅkatoti. Nāhaṃ saddahāmi, mama puttassa bodhiṃ apatvā kālaṅkiriyā nāma natthīti.
อปรภาเค สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา อนุปุเพฺพน ราชคหํ คนฺตฺวา กปิลวตฺถุํ อนุปฺปตฺตสฺส สุโทฺธทนมหาราชา ปตฺตํ คเหตฺวา ปาสาทํ อาโรเปตฺวา ยาคุขชฺชกํ ทตฺวา อนฺตราภตฺตสมเย เอตมตฺถํ อาโรเจสิ – ตุมฺหากํ ภควา ปธานกรณกาเล เทวตา อาคนฺตฺวา, ‘‘ปุโตฺต เต, มหาราช, กาลงฺกโต’’ติ อาหํสูติฯ กิํ สทฺทหสิ มหาราชาติ? น ภควา สทฺทหินฺติฯ อิทานิ, มหาราช, สุปินปฺปฎิคฺคหณโต ปฎฺฐาย อจฺฉริยานิ ปสฺสโนฺต กิํ สทฺทหิสฺสสิ? อหมฺปิ พุโทฺธ ชาโต, ตฺวมฺปิ พุทฺธปิตา ชาโต, ปุเพฺพ ปน มยฺหํ อปริปเกฺก ญาเณ โพธิจริยํ จรนฺตสฺส ธมฺมปาลกุมารกาเลปิ สิปฺปํ อุคฺคเหตุํ คตสฺส, ‘‘ตุมฺหากํ ปุโตฺต ธมฺมปาลกุมาโร กาลงฺกโต, อิทมสฺส อฎฺฐี’’ติ เอฬกฎฺฐิํ อาหริตฺวา ทเสฺสสุํ, ตทาปิ ตุเมฺห, ‘‘มม ปุตฺตสฺส อนฺตรามรณํ นาม นตฺถิ, นาหํ สทฺทหามี’’ติ อโวจุตฺถ, มหาราชาติ อิมิสฺสา อฎฺฐุปฺปตฺติยา ภควา มหาธมฺมปาลชาตกํ กเถสิฯ
Aparabhāge sammāsambuddhassa dhammacakkaṃ pavattetvā anupubbena rājagahaṃ gantvā kapilavatthuṃ anuppattassa suddhodanamahārājā pattaṃ gahetvā pāsādaṃ āropetvā yāgukhajjakaṃ datvā antarābhattasamaye etamatthaṃ ārocesi – tumhākaṃ bhagavā padhānakaraṇakāle devatā āgantvā, ‘‘putto te, mahārāja, kālaṅkato’’ti āhaṃsūti. Kiṃ saddahasi mahārājāti? Na bhagavā saddahinti. Idāni, mahārāja, supinappaṭiggahaṇato paṭṭhāya acchariyāni passanto kiṃ saddahissasi? Ahampi buddho jāto, tvampi buddhapitā jāto, pubbe pana mayhaṃ aparipakke ñāṇe bodhicariyaṃ carantassa dhammapālakumārakālepi sippaṃ uggahetuṃ gatassa, ‘‘tumhākaṃ putto dhammapālakumāro kālaṅkato, idamassa aṭṭhī’’ti eḷakaṭṭhiṃ āharitvā dassesuṃ, tadāpi tumhe, ‘‘mama puttassa antarāmaraṇaṃ nāma natthi, nāhaṃ saddahāmī’’ti avocuttha, mahārājāti imissā aṭṭhuppattiyā bhagavā mahādhammapālajātakaṃ kathesi.
๓๗๙. มา โข ตฺวํ มาริสาติ สมฺปิยายมานา อาหํสุฯ เทวตานํ กิรายํ ปิยมนาปโวหาโร, ยทิทํ มาริสาติฯ อชชฺชิตนฺติ อโภชนํฯ หลนฺติ วทามีติ อลนฺติ วทามิ, อลํ อิมินา เอวํ มา กริตฺถ, ยาเปสฺสามหนฺติ เอวํ ปฎิเสเธมีติ อโตฺถฯ
379.Mākho tvaṃ mārisāti sampiyāyamānā āhaṃsu. Devatānaṃ kirāyaṃ piyamanāpavohāro, yadidaṃ mārisāti. Ajajjitanti abhojanaṃ. Halanti vadāmīti alanti vadāmi, alaṃ iminā evaṃ mā karittha, yāpessāmahanti evaṃ paṭisedhemīti attho.
๓๘๐-๑. มงฺคุรจฺฉวีติ มงฺคุรมจฺฉจฺฉวิฯ เอตาว ปรมนฺติ ตาสมฺปิ เวทนานเมตํเยว ปรมํ, อุตฺตมํ ปมาณํฯ ปิตุ สกฺกสฺส กมฺมเนฺต…เป.… ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตาติ รโญฺญ กิร วปฺปมงฺคลทิวโส นาม โหติ, ตทา อเนกปฺปการํ ขาทนียํ โภชนียํ ปฎิยาเทนฺติฯ นครวีถิโย โสธาเปตฺวา ปุณฺณฆเฎ ฐปาเปตฺวา ธชปฎากาทโย อุสฺสาเปตฺวา สกลนครํ เทววิมานํ วิย อลงฺกโรนฺติฯ สเพฺพ ทาสกมฺมกราทโย อหตวตฺถนิวตฺถา คนฺธมาลาทิปฎิมณฺฑิตา ราชกุเล สนฺนิปตนฺติฯ รโญฺญ กมฺมเนฺต นงฺคลสตสหสฺสํ โยชียติฯ ตสฺมิํ ปน ทิวเส เอเกน อูนํ อฎฺฐสตํ โยเชนฺติฯ สพฺพนงฺคลานิ สทฺธิํ พลิพทฺทรสฺมิโยเตฺตหิ ชาณุโสฺสณิสฺส รโถ วิย รชตปริกฺขิตฺตานิ โหนฺติฯ รโญฺญ อาลมฺพนนงฺคลํ รตฺตสุวณฺณปริกฺขิตฺตํ โหติฯ พลิพทฺทานํ สิงฺคานิปิ รสฺมิปโตทาปิ สุวณฺณปริกฺขิตฺตา โหนฺติฯ ราชา มหาปริวาเรน นิกฺขมโนฺต ปุตฺตํ คเหตฺวา อคมาสิฯ
380-1.Maṅguracchavīti maṅguramacchacchavi. Etāva paramanti tāsampi vedanānametaṃyeva paramaṃ, uttamaṃ pamāṇaṃ. Pitu sakkassa kammante…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharitāti rañño kira vappamaṅgaladivaso nāma hoti, tadā anekappakāraṃ khādanīyaṃ bhojanīyaṃ paṭiyādenti. Nagaravīthiyo sodhāpetvā puṇṇaghaṭe ṭhapāpetvā dhajapaṭākādayo ussāpetvā sakalanagaraṃ devavimānaṃ viya alaṅkaronti. Sabbe dāsakammakarādayo ahatavatthanivatthā gandhamālādipaṭimaṇḍitā rājakule sannipatanti. Rañño kammante naṅgalasatasahassaṃ yojīyati. Tasmiṃ pana divase ekena ūnaṃ aṭṭhasataṃ yojenti. Sabbanaṅgalāni saddhiṃ balibaddarasmiyottehi jāṇussoṇissa ratho viya rajataparikkhittāni honti. Rañño ālambananaṅgalaṃ rattasuvaṇṇaparikkhittaṃ hoti. Balibaddānaṃ siṅgānipi rasmipatodāpi suvaṇṇaparikkhittā honti. Rājā mahāparivārena nikkhamanto puttaṃ gahetvā agamāsi.
กมฺมนฺตฎฺฐาเน เอโก ชมฺพุรุโกฺข พหลปตฺตปลาโส สนฺทจฺฉาโย อโหสิฯ ตสฺส เหฎฺฐา กุมารสฺส สยนํ ปญฺญเปตฺวา อุปริ สุวณฺณตารกขจิตํ วิตานํ พนฺธาเปตฺวา สาณิปากาเรน ปริกฺขิปาเปตฺวา อารกฺขํ ฐเปตฺวา ราชา สพฺพาลงฺการํ อลงฺกริตฺวา อมจฺจคณปริวุโต นงฺคลกรณฎฺฐานํ อคมาสิฯ ตตฺถ ราชา สุวณฺณนงฺคลํ คณฺหาติฯ อมจฺจา เอเกนูนอฎฺฐสตรชตนงฺคลานิ คเหตฺวา อิโต จิโต จ กสนฺติฯ ราชา ปน โอรโต ปารํ คจฺฉติ, ปารโต วา โอรํ คจฺฉติฯ เอตสฺมิํ ฐาเน มหาสมฺปตฺติ โหติ, โพธิสตฺตํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา ธาติโย รโญฺญ สมฺปตฺติํ ปสฺสิสฺสามาติ อโนฺตสาณิโต พหิ นิกฺขนฺตาฯ โพธิสโตฺต อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต กญฺจิ อทิสฺวา เวเคน อุฎฺฐาย ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อานาปาเน ปริคฺคเหตฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตสิฯ ธาติโย ขชฺชโภชฺชนฺตเร วิจรมานา โถกํ จิรายิํสุ, เสสรุกฺขานํ ฉายา นิวตฺตา, ตสฺส ปน รุกฺขสฺส ปริมณฺฑลา หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ธาติโย อยฺยปุโตฺต เอกโกติ เวเคน สาณิํ อุกฺขิปิตฺวา อโนฺต ปวิสมานา โพธิสตฺตํ สยเน ปลฺลเงฺกน นิสินฺนํ ตญฺจ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรจยิํสุ – ‘‘กุมาโร เทว, เอวํ นิสิโนฺน อเญฺญสํ รุกฺขานํ ฉายา นิวตฺตา, ชมฺพุรุกฺขสฺส ปริมณฺฑลา ฐิตา’’ติฯ ราชา เวเคนาคนฺตฺวา ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา, ‘‘อิทํ เต, ตาต, ทุติยํ วนฺทน’’นฺติ ปุตฺตํ วนฺทิฯ อิทเมตํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘ปิตุ สกฺกสฺส กมฺมเนฺต…เป.… ปฐมชฺฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหริตา’’ติฯ สิยา นุ โข เอโส มโคฺค โพธายาติ ภเวยฺย นุ โข เอตํ อานาปานสฺสติปฐมชฺฌานํ พุชฺฌนตฺถาย มโคฺคติฯ สตานุสาริวิญฺญาณนฺติ นยิทํ โพธาย มโคฺค ภวิสฺสติ, อานาปานสฺสติปฐมชฺฌานํ ปน ภวิสฺสตีติ เอวํ เอกํ เทฺว วาเร อุปฺปนฺนสติยา อนนฺตรํ อุปฺปนฺนวิญฺญาณํ สตานุสาริวิญฺญาณํ นามฯ ยํ ตํ สุขนฺติ ยํ ตํ อานาปานสฺสติปฐมชฺฌานสุขํฯ
Kammantaṭṭhāne eko jamburukkho bahalapattapalāso sandacchāyo ahosi. Tassa heṭṭhā kumārassa sayanaṃ paññapetvā upari suvaṇṇatārakakhacitaṃ vitānaṃ bandhāpetvā sāṇipākārena parikkhipāpetvā ārakkhaṃ ṭhapetvā rājā sabbālaṅkāraṃ alaṅkaritvā amaccagaṇaparivuto naṅgalakaraṇaṭṭhānaṃ agamāsi. Tattha rājā suvaṇṇanaṅgalaṃ gaṇhāti. Amaccā ekenūnaaṭṭhasatarajatanaṅgalāni gahetvā ito cito ca kasanti. Rājā pana orato pāraṃ gacchati, pārato vā oraṃ gacchati. Etasmiṃ ṭhāne mahāsampatti hoti, bodhisattaṃ parivāretvā nisinnā dhātiyo rañño sampattiṃ passissāmāti antosāṇito bahi nikkhantā. Bodhisatto ito cito ca olokento kañci adisvā vegena uṭṭhāya pallaṅkaṃ ābhujitvā ānāpāne pariggahetvā paṭhamajjhānaṃ nibbattesi. Dhātiyo khajjabhojjantare vicaramānā thokaṃ cirāyiṃsu, sesarukkhānaṃ chāyā nivattā, tassa pana rukkhassa parimaṇḍalā hutvā aṭṭhāsi. Dhātiyo ayyaputto ekakoti vegena sāṇiṃ ukkhipitvā anto pavisamānā bodhisattaṃ sayane pallaṅkena nisinnaṃ tañca pāṭihāriyaṃ disvā gantvā rañño ārocayiṃsu – ‘‘kumāro deva, evaṃ nisinno aññesaṃ rukkhānaṃ chāyā nivattā, jamburukkhassa parimaṇḍalā ṭhitā’’ti. Rājā vegenāgantvā pāṭihāriyaṃ disvā, ‘‘idaṃ te, tāta, dutiyaṃ vandana’’nti puttaṃ vandi. Idametaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘pitu sakkassa kammante…pe… paṭhamajjhānaṃ upasampajja viharitā’’ti. Siyā nu kho eso maggo bodhāyāti bhaveyya nu kho etaṃ ānāpānassatipaṭhamajjhānaṃ bujjhanatthāya maggoti. Satānusāriviññāṇanti nayidaṃ bodhāya maggo bhavissati, ānāpānassatipaṭhamajjhānaṃ pana bhavissatīti evaṃ ekaṃ dve vāre uppannasatiyā anantaraṃ uppannaviññāṇaṃ satānusāriviññāṇaṃ nāma. Yaṃ taṃ sukhanti yaṃ taṃ ānāpānassatipaṭhamajjhānasukhaṃ.
๓๘๒. ปจฺจุปฎฺฐิตา โหนฺตีติ ปณฺณสาลปริเวณสมฺมชฺชนาทิวตฺตกรเณน อุปฎฺฐิตา โหนฺติฯ พาหุลฺลิโกติ ปจฺจยพาหุลฺลิโกฯ อาวโตฺต พาหุลฺลายาติ รสคิโทฺธ หุตฺวา ปณีตปิณฺฑปาตาทีนํ อตฺถาย อาวโตฺตฯ นิพฺพิชฺช ปกฺกมิํสูติ อุกฺกณฺฐิตฺวา ธมฺมนิยาเมเนว ปกฺกนฺตา โพธิสตฺตสฺส สโมฺพธิํ ปตฺตกาเล กายวิเวกสฺส โอกาสทานตฺถํ ธมฺมตาย คตาฯ คจฺฉนฺตา จ อญฺญฎฺฐานํ อคนฺตฺวา พาราณสิเมว อคมํสุฯ โพธิสโตฺต เตสุ คเตสุ อทฺธมาสํ กายวิเวกํ ลภิตฺวา โพธิมเณฺฑ อปราชิตปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิฯ
382.Paccupaṭṭhitā hontīti paṇṇasālapariveṇasammajjanādivattakaraṇena upaṭṭhitā honti. Bāhullikoti paccayabāhulliko. Āvatto bāhullāyāti rasagiddho hutvā paṇītapiṇḍapātādīnaṃ atthāya āvatto. Nibbijja pakkamiṃsūti ukkaṇṭhitvā dhammaniyāmeneva pakkantā bodhisattassa sambodhiṃ pattakāle kāyavivekassa okāsadānatthaṃ dhammatāya gatā. Gacchantā ca aññaṭṭhānaṃ agantvā bārāṇasimeva agamaṃsu. Bodhisatto tesu gatesu addhamāsaṃ kāyavivekaṃ labhitvā bodhimaṇḍe aparājitapallaṅke nisīditvā sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhi.
๓๘๓. วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทิ ภยเภรเว วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
383.Vivicceva kāmehītiādi bhayabherave vuttanayeneva veditabbaṃ.
๓๘๗. อภิชานามิ โข ปนาหนฺติ อยํ ปาฎิเยโกฺก อนุสนฺธิฯ นิคโณฺฐ กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ สมณํ โคตมํ เอกํ ปญฺหํ ปุจฺฉิํฯ สมโณ โคตโม ‘อปราปิ มํ, อคฺคิเวสฺสน, อปราปิ มํ, อคฺคิเวสฺสนา’ติ ปริโยสานํ อทเสฺสโนฺต กเถติเยวฯ กุปิโต นุ โข’’ติ? อถ ภควา, อคฺคิเวสฺสน , ตถาคเต อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสเนฺต กุปิโต สมโณ โคตโมติ เอโกปิ วตฺตา นตฺถิ, ปเรสํ โพธนตฺถาย ปฎิวิชฺฌนตฺถาย เอว ตถาคโต ธมฺมํ เทเสตีติ ทเสฺสโนฺต อิมํ ธมฺมเทสนํ อารภิฯ ตตฺถ อารพฺภาติ สนฺธายฯ ยาวเทวาติ ปโยชนวิธิ ปริเจฺฉทนิยมนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ปเรสํ วิญฺญาปนเมว ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนาย ปโยชนํ, ตสฺมา น เอกเสฺสว เทเสติ, ยตฺตกา วิญฺญาตาโร อตฺถิ, สเพฺพสํ เทเสตีติฯ ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมินฺติ อิมินา กิํ ทเสฺสตีติ? สจฺจโก กิร จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม อภิรูโป ปาสาทิโก สุผุสิตํ ทนฺตาวรณํ, ชิวฺหา มุทุกา, มธุรํ วากฺกรณํ, ปริสํ รเญฺชโนฺต มเญฺญ วิจรติ, อโนฺต ปนสฺส จิเตฺตกคฺคตา นตฺถี’’ติฯ อถ ภควา, อคฺคิเวสฺสน, น ตถาคโต ปริสํ รเญฺชโนฺต วิจรติ, จกฺกวาฬปริยนฺตายปิ ปริสาย ตถาคโต ธมฺมํ เทเสติ, อสลฺลีโน อนุปลิโตฺต เอตฺตกํ เอกวิหารี, สุญฺญตผลสมาปตฺติํ อนุยุโตฺตติ ทเสฺสตุํ เอวมาหฯ
387.Abhijānāmi kho panāhanti ayaṃ pāṭiyekko anusandhi. Nigaṇṭho kira cintesi – ‘‘ahaṃ samaṇaṃ gotamaṃ ekaṃ pañhaṃ pucchiṃ. Samaṇo gotamo ‘aparāpi maṃ, aggivessana, aparāpi maṃ, aggivessanā’ti pariyosānaṃ adassento kathetiyeva. Kupito nu kho’’ti? Atha bhagavā, aggivessana , tathāgate anekasatāya parisāya dhammaṃ desente kupito samaṇo gotamoti ekopi vattā natthi, paresaṃ bodhanatthāya paṭivijjhanatthāya eva tathāgato dhammaṃ desetīti dassento imaṃ dhammadesanaṃ ārabhi. Tattha ārabbhāti sandhāya. Yāvadevāti payojanavidhi paricchedaniyamanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – paresaṃ viññāpanameva tathāgatassa dhammadesanāya payojanaṃ, tasmā na ekasseva deseti, yattakā viññātāro atthi, sabbesaṃ desetīti. Tasmiṃyeva purimasminti iminā kiṃ dassetīti? Saccako kira cintesi – ‘‘samaṇo gotamo abhirūpo pāsādiko suphusitaṃ dantāvaraṇaṃ, jivhā mudukā, madhuraṃ vākkaraṇaṃ, parisaṃ rañjento maññe vicarati, anto panassa cittekaggatā natthī’’ti. Atha bhagavā, aggivessana, na tathāgato parisaṃ rañjento vicarati, cakkavāḷapariyantāyapi parisāya tathāgato dhammaṃ deseti, asallīno anupalitto ettakaṃ ekavihārī, suññataphalasamāpattiṃ anuyuttoti dassetuṃ evamāha.
อชฺฌตฺตเมวาติ โคจรชฺฌตฺตเมวฯ สนฺนิสาเทมีติ สนฺนิสีทาเปมิ, ตถาคโต หิ ยสฺมิํ ขเณ ปริสา สาธุการํ เทติ, ตสฺมิํ ขเณ ปุพฺพาโภเคน ปริจฺฉินฺทิตฺวา ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชติ, สาธุการสทฺทสฺส นิโคฺฆเส อวิจฺฉิเนฺนเยว สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสติ, พุทฺธานญฺหิ ภวงฺคปริวาโส ลหุโก โหตีติ อสฺสาสวาเร ปสฺสาสวาเร สมาปตฺติํ สมาปชฺชนฺติฯ เยน สุทํ นิจฺจกปฺปนฺติ เยน สุเญฺญน ผลสมาธินา นิจฺจกาลํ วิหรามิ, ตสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สมาทหามีติ ทเสฺสติฯ
Ajjhattamevāti gocarajjhattameva. Sannisādemīti sannisīdāpemi, tathāgato hi yasmiṃ khaṇe parisā sādhukāraṃ deti, tasmiṃ khaṇe pubbābhogena paricchinditvā phalasamāpattiṃ samāpajjati, sādhukārasaddassa nigghose avicchinneyeva samāpattito vuṭṭhāya ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dhammaṃ deseti, buddhānañhi bhavaṅgaparivāso lahuko hotīti assāsavāre passāsavāre samāpattiṃ samāpajjanti. Yena sudaṃ niccakappanti yena suññena phalasamādhinā niccakālaṃ viharāmi, tasmiṃ samādhinimitte cittaṃ saṇṭhapemi samādahāmīti dasseti.
โอกปฺปนิยเมตนฺติ สทฺทหนิยเมตํฯ เอวํ ภควโต เอกคฺคจิตฺตตํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อิทานิ อตฺตโน โอวฎฺฎิกสารํ กตฺวา อานีตปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต อภิชานาติ โข ปน ภวํ โคตโม ทิวา สุปิตาติ อาหฯ ยถา หิ สุนโข นาม อสมฺภินฺนขีรปกฺกปายสํ สปฺปินา โยเชตฺวา อุทรปูรํ โภชิโตปิ คูถํ ทิสฺวา อขาทิตฺวา คนฺตุํ น สกฺกา, อขาทมาโน ฆายิตฺวาปิ คจฺฉติ, อฆายิตฺวาว คตสฺส กิรสฺส สีสํ รุชฺชติ; เอวเมวํ อิมสฺสปิ สตฺถา อสมฺภินฺนขีรปกฺกปายสสทิสํ อภินิกฺขมนโต ปฎฺฐาย ยาว อาสวกฺขยา ปสาทนียํ ธมฺมเทสนํ เทเสติฯ เอตสฺส ปน เอวรูปํ ธมฺมเทสนํ สุตฺวา สตฺถริ ปสาทมตฺตมฺปิ น อุปฺปนฺนํ, ตสฺมา โอวฎฺฎิกสารํ กตฺวา อานีตปญฺหํ อปุจฺฉิตฺวา คนฺตุํ อสโกฺกโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ ยสฺมา ถินมิทฺธํ สพฺพขีณาสวานํ อรหตฺตมเคฺคเนว ปหียติ, กายทรโถ ปน อุปาทินฺนเกปิ โหติ อนุปาทินฺนเกปิฯ ตถา หิ กมลุปฺปลาทีนิ เอกสฺมิํ กาเล วิกสนฺติ, เอกสฺมิํ มกุลานิ โหนฺติ, สายํ เกสญฺจิ รุกฺขานมฺปิ ปตฺตานิ ปติลียนฺติ, ปาโต วิปฺผาริกานิ โหนฺติฯ เอวํ อุปาทินฺนกสฺส กายสฺส ทรโถเยว ทรถวเสน ภวงฺคโสตญฺจ อิธ นิทฺทาติ อธิเปฺปตํ, ตํ ขีณาสวานมฺปิ โหติฯ ตํ สนฺธาย, ‘‘อภิชานามห’’นฺติอาทิมาหฯ สโมฺมหวิหารสฺมิํ วทนฺตีติ สโมฺมหวิหาโรติ วทนฺติฯ
Okappaniyametanti saddahaniyametaṃ. Evaṃ bhagavato ekaggacittataṃ sampaṭicchitvā idāni attano ovaṭṭikasāraṃ katvā ānītapañhaṃ pucchanto abhijānāti kho pana bhavaṃ gotamo divā supitāti āha. Yathā hi sunakho nāma asambhinnakhīrapakkapāyasaṃ sappinā yojetvā udarapūraṃ bhojitopi gūthaṃ disvā akhāditvā gantuṃ na sakkā, akhādamāno ghāyitvāpi gacchati, aghāyitvāva gatassa kirassa sīsaṃ rujjati; evamevaṃ imassapi satthā asambhinnakhīrapakkapāyasasadisaṃ abhinikkhamanato paṭṭhāya yāva āsavakkhayā pasādanīyaṃ dhammadesanaṃ deseti. Etassa pana evarūpaṃ dhammadesanaṃ sutvā satthari pasādamattampi na uppannaṃ, tasmā ovaṭṭikasāraṃ katvā ānītapañhaṃ apucchitvā gantuṃ asakkonto evamāha. Tattha yasmā thinamiddhaṃ sabbakhīṇāsavānaṃ arahattamaggeneva pahīyati, kāyadaratho pana upādinnakepi hoti anupādinnakepi. Tathā hi kamaluppalādīni ekasmiṃ kāle vikasanti, ekasmiṃ makulāni honti, sāyaṃ kesañci rukkhānampi pattāni patilīyanti, pāto vipphārikāni honti. Evaṃ upādinnakassa kāyassa darathoyeva darathavasena bhavaṅgasotañca idha niddāti adhippetaṃ, taṃ khīṇāsavānampi hoti. Taṃ sandhāya, ‘‘abhijānāmaha’’ntiādimāha. Sammohavihārasmiṃ vadantīti sammohavihāroti vadanti.
๓๘๙. อาสชฺช อาสชฺชาติ ฆเฎฺฎตฺวา ฆเฎฺฎตฺวาฯ อุปนีเตหีติ อุปเนตฺวา กถิเตหิฯ วจนปฺปเถหีติ วจเนหิฯ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวาติ อลนฺติ จิเตฺตน สมฺปฎิจฺฉโนฺต อภินนฺทิตฺวา วาจายปิ ปสํสโนฺต อนุโมทิตฺวาฯ ภควตา อิมสฺส นิคณฺฐสฺส เทฺว สุตฺตานิ กถิตานิฯ ปุริมสุตฺตํ เอโก ภาณวาโร, อิทํ ทิยโฑฺฒ, อิติ อฑฺฒติเย ภาณวาเร สุตฺวาปิ อยํ นิคโณฺฐ เนว อภิสมยํ ปโตฺต, น ปพฺพชิโต, น สรเณสุ ปติฎฺฐิโตฯ กสฺมา เอตสฺส ภควา ธมฺมํ เทเสสีติ? อนาคเต วาสนตฺถายฯ ปสฺสติ หิ ภควา, ‘‘อิมสฺส อิทานิ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, มยฺหํ ปน ปรินิพฺพานโต สมธิกานํ ทฺวินฺนํ วสฺสสตานํ อจฺจเยน ตมฺพปณฺณิทีเป สาสนํ ปติฎฺฐหิสฺสติฯ ตตฺรายํ กุลฆเร นิพฺพตฺติตฺวา สมฺปเตฺต กาเล ปพฺพชิตฺวา ตีณิ ปิฎกานิ อุคฺคเหตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา กาฬพุทฺธรกฺขิโต นาม มหาขีณาสโว ภวิสฺสตี’’ติฯ อิทํ ทิสฺวา อนาคเต วาสนตฺถาย ธมฺมํ เทเสสิฯ
389.Āsajja āsajjāti ghaṭṭetvā ghaṭṭetvā. Upanītehīti upanetvā kathitehi. Vacanappathehīti vacanehi. Abhinanditvā anumoditvāti alanti cittena sampaṭicchanto abhinanditvā vācāyapi pasaṃsanto anumoditvā. Bhagavatā imassa nigaṇṭhassa dve suttāni kathitāni. Purimasuttaṃ eko bhāṇavāro, idaṃ diyaḍḍho, iti aḍḍhatiye bhāṇavāre sutvāpi ayaṃ nigaṇṭho neva abhisamayaṃ patto, na pabbajito, na saraṇesu patiṭṭhito. Kasmā etassa bhagavā dhammaṃ desesīti? Anāgate vāsanatthāya. Passati hi bhagavā, ‘‘imassa idāni upanissayo natthi, mayhaṃ pana parinibbānato samadhikānaṃ dvinnaṃ vassasatānaṃ accayena tambapaṇṇidīpe sāsanaṃ patiṭṭhahissati. Tatrāyaṃ kulaghare nibbattitvā sampatte kāle pabbajitvā tīṇi piṭakāni uggahetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā kāḷabuddharakkhito nāma mahākhīṇāsavo bhavissatī’’ti. Idaṃ disvā anāgate vāsanatthāya dhammaṃ desesi.
โสปิ ตเตฺถว ตมฺพปณฺณิทีปมฺหิ สาสเน ปติฎฺฐิเต เทวโลกโต จวิตฺวา ทกฺขิณคิริวิหารสฺส ภิกฺขาจารคาเม เอกสฺมิํ อมจฺจกุเล นิพฺพโตฺต ปพฺพชฺชาสมตฺถโยพฺพเน ปพฺพชิตฺวา เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา คณํ ปริหรโนฺต มหาภิกฺขุสงฺฆปริวุโต อุปชฺฌายํ ปสฺสิตุํ อคมาสิฯ อถสฺส อุปชฺฌาโย สทฺธิวิหาริกํ โจเทสฺสามีติ เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อุคฺคเหตฺวา อาคเตน เตน สทฺธิํ มุขํ ทตฺวา กถามตฺตมฺปิ น อกาสิฯ โส ปจฺจูสสมเย วุฎฺฐาย เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา, – ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, มยิ คนฺถกมฺมํ กตฺวา ตุมฺหากํ สนฺติกํ อาคเต มุขํ ทตฺวา กถามตฺตมฺปิ น กริตฺถ, โก มยฺหํ โทโส’’ติ ปุจฺฉิฯ เถโร อาห – ‘‘ตฺวํ, อาวุโส, พุทฺธรกฺขิต เอตฺตเกเนว ‘ปพฺพชฺชากิจฺจํ เม มตฺถกํ ปตฺต’นฺติ สญฺญํ กโรสี’’ติฯ กิํ กโรมิ, ภเนฺตติ? คณํ วิโนเทตฺวา ตฺวํ ปปญฺจํ ฉินฺทิตฺวา เจติยปพฺพตวิหารํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ กโรหีติฯ โส อุปชฺฌายสฺส โอวาเท ฐตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา ปุญฺญวา ราชปูชิโต หุตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร เจติยปพฺพตวิหาเร วสิฯ
Sopi tattheva tambapaṇṇidīpamhi sāsane patiṭṭhite devalokato cavitvā dakkhiṇagirivihārassa bhikkhācāragāme ekasmiṃ amaccakule nibbatto pabbajjāsamatthayobbane pabbajitvā tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ uggahetvā gaṇaṃ pariharanto mahābhikkhusaṅghaparivuto upajjhāyaṃ passituṃ agamāsi. Athassa upajjhāyo saddhivihārikaṃ codessāmīti tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ uggahetvā āgatena tena saddhiṃ mukhaṃ datvā kathāmattampi na akāsi. So paccūsasamaye vuṭṭhāya therassa santikaṃ gantvā, – ‘‘tumhe, bhante, mayi ganthakammaṃ katvā tumhākaṃ santikaṃ āgate mukhaṃ datvā kathāmattampi na karittha, ko mayhaṃ doso’’ti pucchi. Thero āha – ‘‘tvaṃ, āvuso, buddharakkhita ettakeneva ‘pabbajjākiccaṃ me matthakaṃ patta’nti saññaṃ karosī’’ti. Kiṃ karomi, bhanteti? Gaṇaṃ vinodetvā tvaṃ papañcaṃ chinditvā cetiyapabbatavihāraṃ gantvā samaṇadhammaṃ karohīti. So upajjhāyassa ovāde ṭhatvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā puññavā rājapūjito hutvā mahābhikkhusaṅghaparivāro cetiyapabbatavihāre vasi.
ตสฺมิญฺหิ กาเล ติสฺสมหาราชา อุโปสถกมฺมํ กโรโนฺต เจติยปพฺพเต ราชเลเณ วสติฯ โส เถรสฺส อุปฎฺฐากภิกฺขุโน สญฺญํ อทาสิ – ‘‘ยทา มยฺหํ อโยฺย ปญฺหํ วิสฺสเชฺชติ, ธมฺมํ วา กเถติ, ตทา เม สญฺญํ ทเทยฺยาถา’’ติฯ เถโรปิ เอกสฺมิํ ธมฺมสฺสวนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆปริวาโร กณฺฎกเจติยงฺคณํ อารุยฺห เจติยํ วนฺทิตฺวา กาฬติมฺพรุรุกฺขมูเล อฎฺฐาสิฯ อถ นํ เอโก ปิณฺฑปาติกเตฺถโร กาฬการามสุตฺตเนฺต ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ เถโร นนุ, อาวุโส, อชฺช ธมฺมสฺสวนทิวโสติ อาหฯ อาม, ภเนฺต, ธมฺมสฺสวนทิวโสติฯ เตน หิ ปีฐกํ อาเนถ, อิเธว นิสินฺนา ธมฺมสฺสวนํ กริสฺสามาติฯ อถสฺส รุกฺขมูเล อาสนํ ปญฺญเปตฺวา อทํสุฯ เถโร ปุพฺพคาถา วตฺวา กาฬการามสุตฺตํ อารภิฯ โสปิสฺส อุปฎฺฐากทหโร รโญฺญ สญฺญํ ทาเปสิฯ ราชา ปุพฺพคาถาสุ อนิฎฺฐิตาสุเยว ปาปุณิฯ ปตฺวา จ อญฺญาตกเวเสเนว ปริสเนฺต ฐตฺวา ติยามรตฺติํ ฐิตโกว ธมฺมํ สุตฺวา เถรสฺส, อิทมโวจ ภควาติ วจนกาเล สาธุการํ อทาสิฯ เถโร ญตฺวา, กทา อาคโตสิ, มหาราชาติ ปุจฺฉิฯ ปุพฺพคาถา โอสารณกาเลเยว, ภเนฺตติฯ ทุกฺกรํ เต มหาราช, กตนฺติฯ นยิทํ, ภเนฺต, ทุกฺกรํ, ยทิ ปน เม อยฺยสฺส ธมฺมกถํ อารทฺธกาลโต ปฎฺฐาย เอกปเทปิ อญฺญวิหิตภาโว อโหสิ, ตมฺพปณฺณิทีปสฺส ปโตทยฎฺฐินิตุทนมเตฺตปิ ฐาเน สามิภาโว นาม เม มา โหตูติ สปถมกาสิฯ
Tasmiñhi kāle tissamahārājā uposathakammaṃ karonto cetiyapabbate rājaleṇe vasati. So therassa upaṭṭhākabhikkhuno saññaṃ adāsi – ‘‘yadā mayhaṃ ayyo pañhaṃ vissajjeti, dhammaṃ vā katheti, tadā me saññaṃ dadeyyāthā’’ti. Theropi ekasmiṃ dhammassavanadivase bhikkhusaṅghaparivāro kaṇṭakacetiyaṅgaṇaṃ āruyha cetiyaṃ vanditvā kāḷatimbarurukkhamūle aṭṭhāsi. Atha naṃ eko piṇḍapātikatthero kāḷakārāmasuttante pañhaṃ pucchi. Thero nanu, āvuso, ajja dhammassavanadivasoti āha. Āma, bhante, dhammassavanadivasoti. Tena hi pīṭhakaṃ ānetha, idheva nisinnā dhammassavanaṃ karissāmāti. Athassa rukkhamūle āsanaṃ paññapetvā adaṃsu. Thero pubbagāthā vatvā kāḷakārāmasuttaṃ ārabhi. Sopissa upaṭṭhākadaharo rañño saññaṃ dāpesi. Rājā pubbagāthāsu aniṭṭhitāsuyeva pāpuṇi. Patvā ca aññātakaveseneva parisante ṭhatvā tiyāmarattiṃ ṭhitakova dhammaṃ sutvā therassa, idamavoca bhagavāti vacanakāle sādhukāraṃ adāsi. Thero ñatvā, kadā āgatosi, mahārājāti pucchi. Pubbagāthā osāraṇakāleyeva, bhanteti. Dukkaraṃ te mahārāja, katanti. Nayidaṃ, bhante, dukkaraṃ, yadi pana me ayyassa dhammakathaṃ āraddhakālato paṭṭhāya ekapadepi aññavihitabhāvo ahosi, tambapaṇṇidīpassa patodayaṭṭhinitudanamattepi ṭhāne sāmibhāvo nāma me mā hotūti sapathamakāsi.
ตสฺมิํ ปน สุเตฺต พุทฺธคุณา ปริทีปิตา, ตสฺมา ราชา ปุจฺฉิ – ‘‘เอตฺตกาว, ภเนฺต, พุทฺธคุณา, อุทาหุ อเญฺญปิ อตฺถี’’ติฯ มยา กถิตโต, มหาราช, อกถิตเมว พหุ อปฺปมาณนฺติฯ อุปมํ, ภเนฺต, กโรถาติฯ ยถา, มหาราช , กรีสสหสฺสมเตฺต สาลิเกฺขเตฺต เอกสาลิสีสโต อวเสสสาลีเยว พหู, เอวํ มยา กถิตคุณา อปฺปา, อวเสสา พหูติฯ อปรมฺปิ, ภเนฺต, อุปมํ กโรถาติฯ ยถา, มหาราช, มหาคงฺคาย โอฆปุณฺณาย สูจิปาสํ สมฺมุขํ กเรยฺย, สูจิปาเสน คตอุทกํ อปฺปํ, เสสํ พหุ, เอวเมว มยา กถิตคุณา อปฺปา, อวเสสา พหูติฯ อปรมฺปิ, ภเนฺต, อุปมํ กโรถาติฯ อิธ, มหาราช, จาตกสกุณา นาม อากาเส กีฬนฺตา วิจรนฺติฯ ขุทฺทกา สา สกุณชาติ, กิํ นุ โข ตสฺส สกุณสฺส อากาเส ปกฺขปสารณฎฺฐานํ พหุ, อวเสโส อากาโส อโปฺปติ? กิํ, ภเนฺต, วทถ, อโปฺป ตสฺส ปกฺขปสารโณกาโส, อวเสโสว พหูติฯ เอวเมว, มหาราช, อปฺปกา มยา พุทฺธคุณา กถิตา, อวเสสา พหู อนนฺตา อปฺปเมยฺยาติฯ สุกถิตํ, ภเนฺต, อนนฺตา พุทฺธคุณา อนเนฺตเนว อากาเสน อุปมิตาฯ ปสนฺนา มยํ อยฺยสฺส, อนุจฺฉวิกํ ปน กาตุํ น สโกฺกมฯ อยํ เม ทุคฺคตปณฺณากาโร อิมสฺมิํ ตมฺพปณฺณิทีเป อิมํ ติโยชนสติกํ รชฺชํ อยฺยสฺส เทมาติฯ ตุเมฺหหิ, มหาราช, อตฺตโน ปสนฺนากาโร กโต, มยํ ปน อมฺหากํ ทินฺนํ รชฺชํ ตุมฺหากํเยว เทม, ธเมฺมน สเมน รชฺชํ กาเรหิ มหาราชาติฯ
Tasmiṃ pana sutte buddhaguṇā paridīpitā, tasmā rājā pucchi – ‘‘ettakāva, bhante, buddhaguṇā, udāhu aññepi atthī’’ti. Mayā kathitato, mahārāja, akathitameva bahu appamāṇanti. Upamaṃ, bhante, karothāti. Yathā, mahārāja , karīsasahassamatte sālikkhette ekasālisīsato avasesasālīyeva bahū, evaṃ mayā kathitaguṇā appā, avasesā bahūti. Aparampi, bhante, upamaṃ karothāti. Yathā, mahārāja, mahāgaṅgāya oghapuṇṇāya sūcipāsaṃ sammukhaṃ kareyya, sūcipāsena gataudakaṃ appaṃ, sesaṃ bahu, evameva mayā kathitaguṇā appā, avasesā bahūti. Aparampi, bhante, upamaṃ karothāti. Idha, mahārāja, cātakasakuṇā nāma ākāse kīḷantā vicaranti. Khuddakā sā sakuṇajāti, kiṃ nu kho tassa sakuṇassa ākāse pakkhapasāraṇaṭṭhānaṃ bahu, avaseso ākāso appoti? Kiṃ, bhante, vadatha, appo tassa pakkhapasāraṇokāso, avasesova bahūti. Evameva, mahārāja, appakā mayā buddhaguṇā kathitā, avasesā bahū anantā appameyyāti. Sukathitaṃ, bhante, anantā buddhaguṇā ananteneva ākāsena upamitā. Pasannā mayaṃ ayyassa, anucchavikaṃ pana kātuṃ na sakkoma. Ayaṃ me duggatapaṇṇākāro imasmiṃ tambapaṇṇidīpe imaṃ tiyojanasatikaṃ rajjaṃ ayyassa demāti. Tumhehi, mahārāja, attano pasannākāro kato, mayaṃ pana amhākaṃ dinnaṃ rajjaṃ tumhākaṃyeva dema, dhammena samena rajjaṃ kārehi mahārājāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มหาสจฺจกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāsaccakasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๖. มหาสจฺจกสุตฺตํ • 6. Mahāsaccakasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๖. มหาสจฺจกสุตฺตวณฺณนา • 6. Mahāsaccakasuttavaṇṇanā