Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๗๗
The Middle-Length Suttas Collection 77
มหาสกุลุทายิสุตฺต
The Longer Discourse with Sakuludāyī
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground.
เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา ปริพฺพาชกา โมรนิวาเป ปริพฺพาชการาเม ปฏิวสนฺติ, เสยฺยถิทํ—อนฺนภาโร วรธโร สกุลุทายี จ ปริพฺพาชโก อญฺเญ จ อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา ปริพฺพาชกาฯ
Now at that time several very well-known wanderers were residing in the monastery of the wanderers in the peacocks’ feeding ground. They included Annabhāra, Varadhara, Sakuludāyī, and other very well-known wanderers.
อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “อติปฺปโค โข ตาว ราชคเห ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยนฺนูนาหํ เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกเมยฺยนฺ”ติฯ
Then the Buddha robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Rājagaha for alms. Then it occurred to him, “It’s too early to wander for alms in Rājagaha. Why don’t I visit the wanderer Sakuludāyī at the monastery of the wanderers in the peacocks’ feeding ground?”
อถ โข ภควา เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เตนุปสงฺกมิฯ
So the Buddha went to the monastery of the wanderers.
เตน โข ปน สมเยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ นิสินฺโน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฏฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ
Now at that time, Sakuludāyī was sitting together with a large assembly of wanderers making an uproar, a dreadful racket. They engaged in all kinds of low talk, such as talk about kings, bandits, and ministers; talk about armies, threats, and wars; talk about food, drink, clothes, and beds; talk about garlands and fragrances; talk about family, vehicles, villages, towns, cities, and countries; talk about women and heroes; street talk and well talk; talk about the departed; motley talk; tales of land and sea; and talk about being reborn in this or that state of existence.
อทฺทสา โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปติ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ; มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถฯ อยํ สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ; อปฺปสทฺทกาโม โข ปน โส อายสฺมา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีฯ อปฺเปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺเญยฺยา”ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ
Sakuludāyī saw the Buddha coming off in the distance, and hushed his own assembly, “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. Here comes the ascetic Gotama. The venerable likes quiet and praises quiet. Hopefully if he sees that our assembly is quiet he’ll see fit to approach.” Then those wanderers fell silent.
อถ โข ภควา เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอตุ โข, ภนฺเต, ภควาฯ สฺวาคตํ, ภนฺเต, ภควโตฯ จิรสฺสํ โข, ภนฺเต, ภควา อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ, ภนฺเต, ภควา; อิทมาสนํ ปญฺญตฺตนฺ”ติฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญตฺเต อาสเนฯ สกุลุทายีปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ
Then the Buddha approached Sakuludāyī, who said to him, “Let the Blessed One come, sir! Welcome to the Blessed One, sir! It’s been a long time since you took the opportunity to come here. Please, sir, sit down, this seat is ready.” The Buddha sat on the seat spread out, while Sakuludāyī took a low seat and sat to one side.
เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สกุลุทายึ ปริพฺพาชกํ ภควา เอตทโวจ: “กาย นุตฺถ, อุทายิ, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
The Buddha said to him, “Udāyī, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
“ติฏฺฐเตสา, ภนฺเต, กถา ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา, ภนฺเต, กถา ภควโต ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ
“Sir, leave aside what we were sitting talking about just now. It won’t be hard for you to hear about that later.
ปุริมานิ, ภนฺเต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ นานาติตฺถิยานํ สมณพฺราหฺมณานํ กุตูหลสาลายํ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยมนฺตรากถา อุทปาทิ: ‘ลาภา วต, โภ, องฺคมคธานํ, สุลทฺธลาภา วต, โภ, องฺคมคธานํฯ ตตฺริเม สมณพฺราหฺมณา สงฺฆิโน คณิโน คณาจริยา ญาตา ยสสฺสิโน ติตฺถกรา สาธุสมฺมตา พหุชนสฺส ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสฏาฯ อยมฺปิ โข ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฏฯ อยมฺปิ โข มกฺขลิ โคสาโล …เป… อชิโต เกสกมฺพโล … ปกุโธ กจฺจายโน … สญฺชโย เพลฏฺฐปุตฺโต … นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฏฯ อยมฺปิ โข สมโณ โคตโม สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฏฯ โก นุ โข อิเมสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สงฺฆีนํ คณีนํ คณาจริยานํ ญาตานํ ยสสฺสินํ ติตฺถกรานํ สาธุสมฺมตานํ พหุชนสฺส สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, กญฺจ ปน สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี'ติ?
Sir, a few days ago several ascetics and brahmins who follow various other religions were sitting together at the debating hall, and this discussion came up among them: ‘The people of Aṅga and Magadha are so fortunate, so very fortunate! For there are these ascetics and brahmins who lead an order and a community, and teach a community. They’re well-known and famous religious founders, deemed holy by many people. And they have come down for the rainy season residence at Rājagaha. They include Pūraṇa Kassapa, the bamboo-staffed ascetic Gosāla, Ajita of the hair blanket, Pakudha Kaccāyana, Sañjaya Belaṭṭhiputta, and the Jain ascetic of the Ñātika clan. This ascetic Gotama also leads an order and a community, and teaches a community. He’s a well-known and famous religious founder, deemed holy by many people. And he too has come down for the rains residence at Rājagaha. Which of these ascetics and brahmins is honored, respected, revered, and venerated by their disciples? And how do their disciples, after honoring and respecting them, remain loyal?’
ตเตฺรกจฺเจ เอวมาหํสุ: ‘อยํ โข ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน ปูรณํ กสฺสปํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ ปูรโณ กสฺสโป อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติฯ ตตฺรญฺญตโร ปูรณสฺส กสฺสปสฺส สาวโก สทฺทมกาสิ: “มา โภนฺโต ปูรณํ กสฺสปํ เอตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺถ; เนโส เอตํ ชานาติ; มยเมตํ ชานาม, อเมฺห เอตมตฺถํ ปุจฺฉถ; มยเมตํ ภวนฺตานํ พฺยากริสฺสามา”ติฯ ภูตปุพฺพํ ปูรโณ กสฺสโป พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺโต น ลภติ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถฯ เนเต, ภวนฺเต, ปุจฺฉนฺติ, อเมฺห เอเต ปุจฺฉนฺติ; มยเมเตสํ พฺยากริสฺสามา”ติฯ พหู โข ปน ปูรณสฺส กสฺสปสฺส สาวกา วาทํ อาโรเปตฺวา อปกฺกนฺตา: “น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิ, กึ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ? มิจฺฉาปฏิปนฺโน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมาปฏิปนฺโน, สหิตํ เม, อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโตสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิพฺเพเฐหิ วา สเจ ปโหสี”ติฯ อิติ ปูรโณ กสฺสโป สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน ปูรณํ กสฺสปํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ อกฺกุฏฺโฐ จ ปน ปูรโณ กสฺสโป ธมฺมกฺโกเสนา'ติฯ
Some of them said: ‘This Pūraṇa Kassapa leads an order and a community, and teaches a community. He’s a well-known and famous religious founder, deemed holy by many people. But he’s not honored, respected, revered, venerated, and esteemed by his disciples. And his disciples, not honoring and respecting him, don’t remain loyal to him. Once it so happened that he was teaching an assembly of many hundreds. Then one of his disciples made a noise, “My good sirs, don’t ask Pūraṇa Kassapa about that. He doesn’t know that. I know it. Ask me about it, and I’ll answer you.” It happened that Pūraṇa Kassapa didn’t get his way, though he called out with raised arms, “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. They’re not asking you, they’re asking me! I’ll answer you!” Indeed, many of his disciples have left him after refuting his doctrine: “You don’t understand this teaching and training. I understand this teaching and training. What, you understand this teaching and training? You’re practicing wrong. I’m practicing right. I stay on topic, you don’t. You said last what you should have said first. You said first what you should have said last. What you’ve thought so much about has been disproved. Your doctrine is refuted. Go on, save your doctrine! You’re trapped; get yourself out of this—if you can!” That’s how Pūraṇa Kassapa is not honored, respected, revered, venerated, and esteemed by his disciples. On the contrary, his disciples, not honoring and respecting him, don’t remain loyal to him. Rather, he’s reviled, and rightly so.’
เอกจฺเจ เอวมาหํสุ: ‘อยมฺปิ โข มกฺขลิ โคสาโล …เป… อชิโต เกสกมฺพโล … ปกุโธ กจฺจายโน … สญฺชโย เพลฏฺฐปุตฺโต … นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติฯ ตตฺรญฺญตโร นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส สาวโก สทฺทมกาสิ: “มา โภนฺโต นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺถ; เนโส เอตํ ชานาติ; มยเมตํ ชานาม, อเมฺห เอตมตฺถํ ปุจฺฉถ; มยเมตํ ภวนฺตานํ พฺยากริสฺสามา”ติฯ ภูตปุพฺพํ นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต พาหา ปคฺคยฺห กนฺทนฺโต น ลภติ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถฯ เนเต ภวนฺเต ปุจฺฉนฺติ, อเมฺห เอเต ปุจฺฉนฺติ; มยเมเตสํ พฺยากริสฺสามา”ติฯ พหู โข ปน นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส สาวกา วาทํ อาโรเปตฺวา อปกฺกนฺตา: “น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิฯ กึ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ? มิจฺฉาปฏิปนฺโน ตฺวมสิฯ อหมสฺมิ สมฺมาปฏิปนฺโนฯ สหิตํ เม อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโตสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิพฺเพเฐหิ วา สเจ ปโหสี”ติฯ อิติ นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน นิคณฺฐํ นาฏปุตฺตํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ อกฺกุฏฺโฐ จ ปน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ธมฺมกฺโกเสนา'ติฯ
Others said: 'This bamboo-staffed ascetic Gosāla … Ajita of the hair blanket … Pakudha Kaccāyana … Sañjaya Belaṭṭhiputta … The Jain ascetic of the Ñātika clan leads an order and a community, and teaches a community. He’s a well-known and famous religious founder, deemed holy by many people. But he’s not honored, respected, revered, and venerated by his disciples. And his disciples, not honoring and respecting him, don’t remain loyal to him. Once it so happened that he was teaching an assembly of many hundreds. Then one of his disciples made a noise, “My good sirs, don’t ask the Jain Ñātika about that. He doesn’t know that. I know it. Ask me about it, and I’ll answer you.” It happened that the Jain Ñātika didn’t get his way, though he called out with raised arms, “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. They’re not asking you, they’re asking me! I’ll answer you!” Indeed, many of his disciples have left him after refuting his doctrine: “You don’t understand this teaching and training. I understand this teaching and training. What, you understand this teaching and training? You’re practicing wrong. I’m practicing right. I stay on topic, you don’t. You said last what you should have said first. You said first what you should have said last. What you’ve thought so much about has been disproved. Your doctrine is refuted. Go on, save your doctrine! You’re trapped; get yourself out of this—if you can!” That’s how the Jain Ñātika is not honored, respected, revered, and venerated by his disciples. On the contrary, his disciples, not honoring and respecting him, don’t remain loyal to him. Rather, he’s reviled, and rightly so.’
เอกจฺเจ เอวมาหํสุ: ‘อยมฺปิ โข สมโณ โคตโม สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, สมณญฺจ ปน โคตมํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ตตฺรญฺญตโร สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อุกฺกาสิฯ ตเมนาญฺญตโร สพฺรหฺมจารี ชณฺณุเกน ฆฏฺเฏสิ: “อปฺปสทฺโท อายสฺมา โหตุ, มายสฺมา สทฺทมกาสิ, สตฺถา โน ภควา ธมฺมํ เทเสสี”ติฯ ยสฺมึ สมเย สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติ, เนว ตสฺมึ สมเย สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานํ ขิปิตสทฺโท วา โหติ อุกฺกาสิตสทฺโท วาฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ: “ยํ โน ภควา ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ โน โสสฺสามา”ติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุริโส จาตุมฺมหาปเถ ขุทฺทมธุํ อเนลกํ ปีเฬยฺยฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป ปจฺจุปฏฺฐิโต อสฺสฯ เอวเมว ยสฺมึ สมเย สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติ, เนว ตสฺมึ สมเย สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานํ ขิปิตสทฺโท วา โหติ อุกฺกาสิตสทฺโท วาฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ: “ยํ โน ภควา ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ โน โสสฺสามา”ติฯ เยปิ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา สพฺรหฺมจารีหิ สมฺปโยเชตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตนฺติ เตปิ สตฺถุ เจว วณฺณวาทิโน โหนฺติ, ธมฺมสฺส จ วณฺณวาทิโน โหนฺติ, สงฺฆสฺส จ วณฺณวาทิโน โหนฺติ, อตฺตครหิโนเยว โหนฺติ อนญฺญครหิโน, “มยเมวมฺหา อลกฺขิกา มยํ อปฺปปุญฺญา เต มยํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตฺวา นาสกฺขิมฺหา ยาวชีวํ ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ”ติฯ เต อารามิกภูตา วา อุปาสกภูตา วา ปญฺจสิกฺขาปเท สมาทาย วตฺตนฺติฯ อิติ สมโณ โคตโม สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, สมณญฺจ ปน โคตมํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี'”ติฯ
Others said: ‘This ascetic Gotama leads an order and a community, and teaches a community. He’s a well-known and famous religious founder, deemed holy by many people. He’s honored, respected, revered, and venerated by his disciples. And his disciples, honoring and respecting him, remain loyal to him. Once it so happened that he was teaching an assembly of many hundreds. Then one of his disciples cleared their throat. And one of their spiritual companions nudged them with their knee, to indicate, “Hush, venerable, don’t make sound! Our teacher, the Blessed One, is teaching!” While the ascetic Gotama is teaching an assembly of many hundreds, there is no sound of his disciples coughing or clearing their throats. That large crowd is poised on the edge of their seats, thinking, “Whatever the Buddha teaches, we shall listen to it.” It’s like when there’s a person at the crossroads pressing out pure dwarf-bee honey, and a large crowd is poised on the edge of their seats. In the same way, while the ascetic Gotama is teaching an assembly of many hundreds, there is no sound of his disciples coughing or clearing their throats. That large crowd is poised on the edge of their seats, thinking, “Whatever the Buddha teaches, we shall listen to it.” Even when a disciple of the ascetic Gotama resigns the training and returns to a lesser life, having been overly attached to their spiritual companions, they speak only praise of the teacher, the teaching, and the Saṅgha. They blame only themselves, not others: “We were unlucky, we had little merit. For even after going forth in such a well explained teaching and training we weren’t able to practice for life the perfectly full and pure spiritual life.” They become monastery workers or lay followers, and they proceed having undertaken the five precepts. That’s how the ascetic Gotama is honored, respected, revered, and venerated by his disciples. And that’s how his disciples, honoring and respecting him, remain loyal to him.’”
“กติ ปน ตฺวํ, อุทายิ, มยิ ธมฺเม สมนุปสฺสสิ, เยหิ มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี”ติ?
“But Udāyī, how many qualities do you see in me, because of which my disciples honor, respect, revere, and venerate me; and after honoring and respecting me, they remain loyal to me?”
“ปญฺจ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ธมฺเม สมนุปสฺสามิ เยหิ ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ กตเม ปญฺจ?
“Sir, I see five such qualities in the Buddha. What five?
ภควา หิ, ภนฺเต, อปฺปาหาโร, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภนฺเต, ภควา อปฺปาหาโร, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที อิมํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ปฐมํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
The Buddha eats little and praises eating little. This is the first such quality I see in the Buddha.
ปุน จปรํ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ทุติยํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, the Buddha is content with any kind of robe, and praises such contentment. This is the second such quality I see in the Buddha.
ปุน จปรํ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ตติยํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, the Buddha is content with any kind of almsfood, and praises such contentment. This is the third such quality I see in the Buddha.
ปุน จปรํ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภนฺเต, ภควา สนฺตุฏฺโฐ อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ จตุตฺถํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, the Buddha is content with any kind of lodging, and praises such contentment. This is the fourth such quality I see in the Buddha.
ปุน จปรํ, ภนฺเต, ภควา ปวิวิตฺโต, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภนฺเต, ภควา ปวิวิตฺโต, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ปญฺจมํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, the Buddha is secluded, and praises seclusion. This is the fifth such quality I see in the Buddha.
อิเม โข อหํ, ภนฺเต, ภควติ ปญฺจ ธมฺเม สมนุปสฺสามิ เยหิ ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี”ติฯ
These are the five qualities I see in the Buddha, because of which his disciples honor, respect, revere, and venerate him; and after honoring and respecting him, they remain loyal to him.”
“‘อปฺปาหาโร สมโณ โคตโม, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา โกสกาหาราปิ อฑฺฒโกสกาหาราปิ เพลุวาหาราปิ อฑฺฒเพลุวาหาราปิฯ อหํ โข ปน, อุทายิ, อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ ภิโยฺยปิ ภุญฺชามิฯ ‘อปฺปาหาโร สมโณ โคตโม, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา โกสกาหาราปิ อฑฺฒโกสกาหาราปิ เพลุวาหาราปิ อฑฺฒเพลุวาหาราปิ น มํ เต อิมินา ธมฺเมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ
“Suppose, Udāyī, my disciples were loyal to me because I eat little. Well, there are disciples of mine who eat a cupful of food, or half a cupful; they eat a wood apple, or half a wood apple. But sometimes I even eat this bowl full to the brim, or even more. So if it were the case that my disciples are loyal to me because I eat little, then those disciples who eat even less would not be loyal to me.
‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา ปํสุกูลิกา ลูขจีวรธรา เต สุสานา วา สงฺการกูฏา วา ปาปณิกา วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฏึ กริตฺวา ธาเรนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา คหปติจีวรานิ ธาเรมิ ทฬฺหานิ สตฺถลูขานิ อลาพุโลมสานิฯ ‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา ปํสุกูลิกา ลูขจีวรธรา เต สุสานา วา สงฺการกูฏา วา ปาปณิกา วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฏึ กริตฺวา ธาเรนฺติ, น มํ เต อิมินา ธมฺเมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ
Suppose my disciples were loyal to me because I’m content with any kind of robe. Well, there are disciples of mine who have rag robes, wearing shabby robes. They gather scraps from charnel grounds, rubbish dumps, and shops, make them into a patchwork robe and wear it. But sometimes I wear robes offered by householders that are strong, yet next to which bottle-gourd down is coarse. So if it were the case that my disciples are loyal to me because I’m content with any kind of robe, then those disciples who wear rag robes would not be loyal to me.
‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา ปิณฺฑปาติกา สปทานจาริโน อุญฺฉาสเก วเต รตา, เต อนฺตรฆรํ ปวิฏฺฐา สมานา อาสเนนปิ นิมนฺติยมานา น สาทิยนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา นิมนฺตเนปิ ภุญฺชามิ สาลีนํ โอทนํ วิจิตกาฬกํ อเนกสูปํ อเนกพฺยญฺชนํฯ ‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา ปิณฺฑปาติกา สปทานจาริโน อุญฺฉาสเก วเต รตา เต อนฺตรฆรํ ปวิฏฺฐา สมานา อาสเนนปิ นิมนฺติยมานา น สาทิยนฺติ, น มํ เต อิมินา ธมฺเมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ
Suppose my disciples were loyal to me because I’m content with any kind of almsfood. Well, there are disciples of mine who eat only almsfood, wander indiscriminately for almsfood, happy to eat whatever they glean. When they’ve entered an inhabited area, they don’t consent when invited to sit down. But sometimes I even eat by invitation boiled fine rice with the dark grains picked out, served with many soups and sauces. So if it were the case that my disciples are loyal to me because I’m content with any kind of almsfood, then those disciples who eat only almsfood would not be loyal to me.
‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา รุกฺขมูลิกา อพฺโภกาสิกา, เต อฏฺฐมาเส ฉนฺนํ น อุเปนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา กูฏาคาเรสุปิ วิหรามิ อุลฺลิตฺตาวลิตฺเตสุ นิวาเตสุ ผุสิตคฺคเฬสุ ปิหิตวาตปาเนสุฯ ‘สนฺตุฏฺโฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฏฺฐิยา จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา รุกฺขมูลิกา อพฺโภกาสิกา เต อฏฺฐมาเส ฉนฺนํ น อุเปนฺติ, น มํ เต อิมินา ธมฺเมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ
Suppose my disciples were loyal to me because I’m content with any kind of lodging. Well, there are disciples of mine who stay at the root of a tree, in the open air. For eight months they don’t go under a roof. But sometimes I even stay in bungalows, plastered inside and out, draft-free, with latches fastened and windows shuttered. So if it were the case that my disciples are loyal to me because I’m content with any kind of lodging, then those disciples who stay at the root of a tree would not be loyal to me.
‘ปวิวิตฺโต สมโณ โคตโม, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา อารญฺญิกา ปนฺตเสนาสนา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรนฺติ, เต อนฺวทฺธมาสํ สงฺฆมชฺเฌ โอสรนฺติ ปาติโมกฺขุทฺเทสายฯ อหํ โข ปนุทายิ, อปฺเปกทา อากิณฺโณ วิหรามิ ภิกฺขูหิ ภิกฺขุนีหิ อุปาสเกหิ อุปาสิกาหิ รญฺญา ราชมหามตฺเตหิ ติตฺถิเยหิ ติตฺถิยสาวเกหิฯ ‘ปวิวิตฺโต สมโณ โคตโม, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที'ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ เย เต, อุทายิ, มม สาวกา อารญฺญกา ปนฺตเสนาสนา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรนฺติ เต อนฺวทฺธมาสํ สงฺฆมชฺเฌ โอสรนฺติ ปาติโมกฺขุทฺเทสาย, น มํ เต อิมินา ธมฺเมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ
Suppose my disciples were loyal to me because I’m secluded and I praise seclusion. Well, there are disciples of mine who live in the wilderness, in remote lodgings. Having ventured deep into remote lodgings in the wilderness and the forest, they live there, coming down to the midst of the Saṅgha each fortnight for the recitation of the monastic code. But sometimes I live crowded by monks, nuns, laymen, and laywomen; by rulers and their ministers, and monastics of other religions and their disciples. So if it were the case that my disciples are loyal to me because I’m secluded and praise seclusion, then those disciples who live in the wilderness would not be loyal to me.
อิติ โข, อุทายิ, น มมํ สาวกา อิเมหิ ปญฺจหิ ธมฺเมหิ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
So, Udāyī, it’s not because of these five qualities that my disciples honor, respect, revere, and venerate me; and after honoring and respecting me, they remain loyal to me.
อตฺถิ โข, อุทายิ, อญฺเญ จ ปญฺจ ธมฺมา เยหิ ปญฺจหิ ธมฺเมหิ มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ กตเม ปญฺจ?
There are five other qualities because of which my disciples honor, respect, revere, and venerate me; and after honoring and respecting me, they remain loyal to me. What five?
อิธุทายิ, มมํ สาวกา อธิสีเล สมฺภาเวนฺติ: ‘สีลวา สมโณ โคตโม ปรเมน สีลกฺขนฺเธน สมนฺนาคโต'ติฯ ยมฺปุทายิ, มมํ สาวกา อธิสีเล สมฺภาเวนฺติ: ‘สีลวา สมโณ โคตโม ปรเมน สีลกฺขนฺเธน สมนฺนาคโต'ติ, อยํ โข, อุทายิ, ปฐโม ธมฺโม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Firstly, my disciples esteem me for the higher ethics: ‘The ascetic Gotama is ethical. He possesses the entire spectrum of ethical conduct to the highest degree.’ Since this is so, this is the first quality because of which my disciples are loyal to me.
ปุน จปรํ, อุทายิ, มมํ สาวกา อภิกฺกนฺเต ญาณทสฺสเน สมฺภาเวนฺติ: ‘ชานํเยวาห สมโณ โคตโม—ชานามีติ, ปสฺสํเยวาห สมโณ โคตโม—ปสฺสามีติ; อภิญฺญาย สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนภิญฺญาย; สนิทานํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนิทานํ; สปฺปาฏิหาริยํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อปฺปาฏิหาริยนฺ'ติฯ ยมฺปุทายิ, มมํ สาวกา อภิกฺกนฺเต ญาณทสฺสเน สมฺภาเวนฺติ: ‘ชานํเยวาห สมโณ โคตโม—ชานามีติ, ปสฺสํเยวาห สมโณ โคตโม—ปสฺสามีติ; อภิญฺญาย สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนภิญฺญาย; สนิทานํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนิทานํ; สปฺปาฏิหาริยํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อปฺปาฏิหาริยนฺ'ติ, อยํ โข, อุทายิ, ทุติโย ธมฺโม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, my disciples esteem me for my excellent knowledge and vision: ‘The ascetic Gotama only claims to know when he does in fact know. He only claims to see when he really does see. He teaches based on direct knowledge, not without direct knowledge. He teaches based on reason, not without reason. He teaches with a demonstrable basis, not without it.’ Since this is so, this is the second quality because of which my disciples are loyal to me.
ปุน จปรํ, อุทายิ, มมํ สาวกา อธิปญฺญาย สมฺภาเวนฺติ: ‘ปญฺญวา สมโณ โคตโม ปรเมน ปญฺญากฺขนฺเธน สมนฺนาคโต; ตํ วต อนาคตํ วาทปถํ น ทกฺขติ, อุปฺปนฺนํ วา ปรปฺปวาทํ น สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหิสฺสตีติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติ'ฯ ตํ กึ มญฺญสิ, อุทายิ, อปิ นุ เม สาวกา เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อนฺตรนฺตรา กถํ โอปาเตยฺยุนฺ”ติ?
Furthermore, my disciples esteem me for my higher wisdom: ‘The ascetic Gotama is wise. He possesses the entire spectrum of wisdom to the highest degree. It’s not possible that he would fail to foresee grounds for future criticism, or to legitimately and completely refute the doctrines of others that come up.’ What do you think, Udāyī? Would my disciples, knowing and seeing this, break in and interrupt me?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“น โข ปนาหํ, อุทายิ, สาวเกสุ อนุสาสนึ ปจฺจาสีสามิ; อญฺญทตฺถุ มมเยว สาวกา อนุสาสนึ ปจฺจาสีสนฺติฯ
“That’s because I don’t expect to be instructed by my disciples. Invariably, my disciples expect instruction from me.
ยมฺปุทายิ, มมํ สาวกา อธิปญฺญาย สมฺภาเวนฺติ: ‘ปญฺญวา สมโณ โคตโม ปรเมน ปญฺญากฺขนฺเธน สมนฺนาคโต; ตํ วต อนาคตํ วาทปถํ น ทกฺขติ, อุปฺปนฺนํ วา ปรปฺปวาทํ น สหธมฺเมน นิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหิสฺสตีติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติ'ฯ อยํ โข, อุทายิ, ตติโย ธมฺโม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Since this is so, this is the third quality because of which my disciples are loyal to me.
ปุน จปรํ, อุทายิ, มม สาวกา เยน ทุกฺเขน ทุกฺโขติณฺณา ทุกฺขปเรตา เต มํ อุปสงฺกมิตฺวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุฏฺโฐ พฺยากโรมิ, เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน; เต มํ ทุกฺขสมุทยํ … ทุกฺขนิโรธํ … ทุกฺขนิโรธคามินึ ปฏิปทํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขนิโรธคามินึ ปฏิปทํ อริยสจฺจํ ปุฏฺโฐ พฺยากโรมิ, เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ ยมฺปุทายิ, มม สาวกา เยน ทุกฺเขน ทุกฺโขติณฺณา ทุกฺขปเรตา เต มํ อุปสงฺกมิตฺวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุฏฺโฐ พฺยากโรมิ, เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ เต มํ ทุกฺขสมุทยํ … ทุกฺขนิโรธํ … ทุกฺขนิโรธคามินึ ปฏิปทํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติฯ เตสาหํ ทุกฺขนิโรธคามินึ ปฏิปทํ อริยสจฺจํ ปุฏฺโฐ พฺยากโรมิฯ เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ อยํ โข, อุทายิ, จตุตฺโถ ธมฺโม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
Furthermore, my disciples come to me and ask how the noble truth of suffering applies to the suffering in which they are swamped and mired. And I provide them with a satisfying answer to their question. They ask how the noble truths of the origin of suffering, the cessation of suffering, and the practice that leads to the cessation of suffering apply to the suffering that has overwhelmed them and brought them low. And I provide them with satisfying answers to their questions. Since this is so, this is the fourth quality because of which my disciples are loyal to me.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สติปฏฺฐาเน ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ; เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ … จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ … ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the four kinds of mindfulness meditation. It’s when a bhikkhu meditates by observing an aspect of the body—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. They meditate observing an aspect of feelings … mind … principles—keen, aware, and mindful, rid of covetousness and displeasure for the world. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเน ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสมฺโมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the four right efforts. It’s when a bhikkhu generates enthusiasm, tries, makes an effort, exerts the mind, and strives so that bad, unskillful qualities don’t arise. They generate enthusiasm, try, make an effort, exert the mind, and strive so that bad, unskillful qualities that have arisen are given up. They generate enthusiasm, try, make an effort, exert the mind, and strive so that skillful qualities arise. They generate enthusiasm, try, make an effort, exert the mind, and strive so that skillful qualities that have arisen remain, are not lost, but increase, mature, and are fulfilled by development. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร อิทฺธิปาเท ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีริยสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, จิตฺตสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีมํสาสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the four bases of psychic power. It’s when a bhikkhu develops the basis of psychic power that has immersion due to enthusiasm, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to energy, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to mental development, and active effort. They develop the basis of psychic power that has immersion due to inquiry, and active effort. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ปญฺจินฺทฺริยานิ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ อุปสมคามึ สมฺโพธคามึ; วีริยินฺทฺริยํ ภาเวติ …เป… สตินฺทฺริยํ ภาเวติ … สมาธินฺทฺริยํ ภาเวติ … ปญฺญินฺทฺริยํ ภาเวติ อุปสมคามึ สมฺโพธคามึฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the five faculties. It’s when a bhikkhu develops the faculties of faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom, which lead to peace and awakening. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ปญฺจ พลานิ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สทฺธาพลํ ภาเวติ อุปสมคามึ สมฺโพธคามึ; วีริยพลํ ภาเวติ …เป… สติพลํ ภาเวติ … สมาธิพลํ ภาเวติ … ปญฺญาพลํ ภาเวติ อุปสมคามึ สมฺโพธคามึฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the five powers. It’s when a bhikkhu develops the powers of faith, energy, mindfulness, immersion, and wisdom, which lead to peace and awakening. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา สตฺตโพชฺฌงฺเค ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึ; ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ …เป… วีริยสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ … ปีติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ … ปสฺสทฺธิสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ … สมาธิสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ … อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามึฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the seven awakening factors. It’s when a bhikkhu develops the awakening factors of mindfulness, investigation of principles, energy, rapture, tranquility, immersion, and equanimity, which rely on seclusion, fading away, and cessation, and ripen as letting go. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อริยํ อฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ, สมฺมาสงฺกปฺปํ ภาเวติ, สมฺมาวาจํ ภาเวติ, สมฺมากมฺมนฺตํ ภาเวติ, สมฺมาอาชีวํ ภาเวติ, สมฺมาวายามํ ภาเวติ, สมฺมาสตึ ภาเวติ, สมฺมาสมาธึ ภาเวติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the noble eightfold path. It’s when a bhikkhu develops right view, right thought, right speech, right action, right livelihood, right effort, right mindfulness, and right immersion. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อฏฺฐ วิโมกฺเข ภาเวนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the eight liberations.
รูปี รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ปฐโม วิโมกฺโข;
Having physical form, they see visions. This is the first liberation.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ทุติโย วิโมกฺโข;
Not perceiving form internally, they see visions externally. This is the second liberation.
สุภนฺเตว อธิมุตฺโต โหติ, อยํ ตติโย วิโมกฺโข;
They’re focused only on beauty. This is the third liberation.
สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนนฺโต อากาโส'ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ จตุตฺโถ วิโมกฺโข;
Going totally beyond perceptions of form, with the ending of perceptions of impingement, not focusing on perceptions of diversity, aware that ‘space is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite space. This is the fourth liberation.
สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณนฺ'ติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ปญฺจโม วิโมกฺโข;
Going totally beyond the dimension of infinite space, aware that ‘consciousness is infinite’, they enter and remain in the dimension of infinite consciousness. This is the fifth liberation.
สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ฉฏฺโฐ วิโมกฺโข;
Going totally beyond the dimension of infinite consciousness, aware that ‘there is nothing at all’, they enter and remain in the dimension of nothingness. This is the sixth liberation.
สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ สตฺตโม วิโมกฺโข;
Going totally beyond the dimension of nothingness, they enter and remain in the dimension of neither perception nor non-perception. This is the seventh liberation.
สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ อฏฺฐโม วิโมกฺโขฯ
Going totally beyond the dimension of neither perception nor non-perception, they enter and remain in the cessation of perception and feeling. This is the eighth liberation.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อฏฺฐ อภิภายตนานิ ภาเวนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the eight dimensions of mastery.
อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ปฐมํ อภิภายตนํฯ
Perceiving form internally, someone sees visions externally, limited, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the first dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ทุติยํ อภิภายตนํฯ
Perceiving form internally, someone sees visions externally, limitless, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the second dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ตติยํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally, limited, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the third dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ จตุตฺถํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally, limitless, both pretty and ugly. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the fourth dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม อุมาปุปฺผํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํ, เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ปญฺจมํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally, blue, with blue color, blue hue, and blue tint. They’re like a flax flower that’s blue, with blue color, blue hue, and blue tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, blue, with blue color, blue hue, and blue tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally, blue, with blue color, blue hue, and blue tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the fifth dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม กณิการปุปฺผํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํ, เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ฉฏฺฐํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. They’re like a champak flower that’s yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are yellow, with yellow color, yellow hue, and yellow tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the sixth dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม พนฺธุชีวกปุปฺผํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํ, เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ สตฺตมํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are red, with red color, red hue, and red tint. They’re like a scarlet mallow flower that’s red, with red color, red hue, and red tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, red, with red color, red hue, and red tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are red, with red color, red hue, and red tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the seventh dimension of mastery.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม โอสธิตารกา โอทาตา โอทาตวณฺณา โอทาตนิทสฺสนา โอทาตนิภาสา, เสยฺยถา วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฏฺฐํ โอทาตํ โอทาตวณฺณํ โอทาตนิทสฺสนํ โอทาตนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี'ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ อฏฺฐมํ อภิภายตนํฯ
Not perceiving form internally, someone sees visions externally that are white, with white color, white hue, and white tint. They’re like the morning star that’s white, with white color, white hue, and white tint. Or a cloth from Varanasi that’s smoothed on both sides, white, with white color, white hue, and white tint. In the same way, not perceiving form internally, someone sees visions externally that are white, with white color, white hue, and white tint. Mastering them, they perceive: ‘I know and see.’ This is the eighth dimension of mastery.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ทส กสิณายตนานิ ภาเวนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the ten universal dimensions of meditation.
ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธมโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณํ;
Someone perceives the meditation on universal earth above, below, across, undivided and limitless.
อาโปกสิณเมโก สญฺชานาติ …เป… เตโชกสิณเมโก สญฺชานาติ … วาโยกสิณเมโก สญฺชานาติ … นีลกสิณเมโก สญฺชานาติ … ปีตกสิณเมโก สญฺชานาติ … โลหิตกสิณเมโก สญฺชานาติ … โอทาตกสิณเมโก สญฺชานาติ … อากาสกสิณเมโก สญฺชานาติ … วิญฺญาณกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธมโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณํฯ
They perceive the meditation on universal water … the meditation on universal fire … the meditation on universal air … the meditation on universal blue … the meditation on universal yellow … the meditation on universal red … the meditation on universal white … the meditation on universal space … the meditation on universal consciousness above, below, across, undivided and limitless.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาริ ฌานานิ ภาเวนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to develop the four jhānas.
อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ทกฺโข นฺหาปโก วา นฺหาปกนฺเตวาสี วา กํสถาเล นฺหานียจุณฺณานิ อากิริตฺวา อุทเกน ปริปฺโผสกํ ปริปฺโผสกํ สนฺเนยฺย, สายํ นฺหานียปิณฺฑิ เสฺนหานุคตา เสฺนหปเรตา สนฺตรพาหิรา ผุฏา เสฺนเหน น จ ปคฺฆริณี; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ
It’s when a bhikkhu, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, enters and remains in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. They drench, steep, fill, and spread their body with rapture and bliss born of seclusion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of seclusion. It’s like when a deft bathroom attendant or their apprentice pours bath powder into a bronze dish, sprinkling it little by little with water. They knead it until the ball of bath powder is soaked and saturated with moisture, spread through inside and out; yet no moisture oozes out. In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with rapture and bliss born of seclusion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of seclusion.
ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ …เป… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อุทกรหโท คมฺภีโร อุพฺภิโททโกฯ ตสฺส เนวสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ปจฺฉิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น อุตฺตราย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ทกฺขิณาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, เทโว จ น กาเลน กาลํ สมฺมา ธารํ อนุปฺปเวจฺเฉยฺย; อถ โข ตมฺหาว อุทกรหทา สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ตเมว อุทกรหทํ สีเตน วารินา อภิสนฺเทยฺย ปริสนฺเทยฺย ปริปูเรยฺย ปริปฺผเรยฺย, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต อุทกรหทสฺส สีเตน วารินา อปฺผุฏํ อสฺสฯ เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ
Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna. It has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. They drench, steep, fill, and spread their body with rapture and bliss born of immersion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of immersion. It’s like a deep lake fed by spring water. There’s no inlet to the east, west, north, or south, and no rainfall to replenish it from time to time. But the stream of cool water welling up in the lake drenches, steeps, fills, and spreads throughout the lake. There’s no part of the lake that’s not spread through with cool water. In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with rapture and bliss born of immersion. There’s no part of the body that’s not spread with rapture and bliss born of immersion.
ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา …เป… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อนฺโต นิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ยาว จคฺคา ยาว จ มูลา สีเตน วารินา อภิสนฺนานิ ปริสนฺนานิ ปริปูรานิ ปริปฺผุฏานิ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวตํ, อุปฺปลานํ วา ปทุมานํ วา ปุณฺฑรีกานํ วา สีเตน วารินา อปฺผุฏํ อสฺส; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสนฺเทติ ปริสนฺเทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฏํ โหติฯ
Furthermore, with the fading away of rapture, a bhikkhu enters and remains in the third jhāna. They meditate with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ They drench, steep, fill, and spread their body with bliss free of rapture. There’s no part of the body that’s not spread with bliss free of rapture. It’s like a pool with blue water lilies, or pink or white lotuses. Some of them sprout and grow in the water without rising above it, thriving underwater. From the tip to the root they’re drenched, steeped, filled, and soaked with cool water. There’s no part of them that’s not soaked with cool water. In the same way, a bhikkhu drenches, steeps, fills, and spreads their body with bliss free of rapture. There’s no part of the body that’s not spread with bliss free of rapture.
ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสินฺโน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฏํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส โอทาเตน วตฺเถน สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสินฺโน อสฺส, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส โอทาเตน วตฺเถน อปฺผุฏํ อสฺส; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสินฺโน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฏํ โหติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
Furthermore, giving up pleasure and pain, and ending former happiness and sadness, a bhikkhu enters and remains in the fourth jhāna. It is without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness. They sit spreading their body through with pure bright mind. There’s no part of the body that’s not spread with pure bright mind. It’s like someone sitting wrapped from head to foot with white cloth. There’s no part of the body that’s not spread over with white cloth. In the same way, they sit spreading their body through with pure bright mind. There’s no part of the body that’s not spread with pure bright mind. And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา เอวํ ปชานนฺติ: ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธมฺโม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฏิพทฺธํ'ฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน สพฺพาการสมฺปนฺโน; ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วาฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส หตฺเถ กริตฺวา ปจฺจเวกฺเขยฺย: ‘อยํ โข มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน สพฺพาการสมฺปนฺโน; ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วา'ติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to understand this: ‘This body of mine is physical. It’s made up of the four primary elements, produced by mother and father, built up from rice and porridge, liable to impermanence, to wearing away and erosion, to breaking up and destruction. And this consciousness of mine is attached to it, tied to it.’ Suppose there was a beryl gem that was naturally beautiful, eight-faceted, well-worked, transparent and clear, endowed with all good qualities. And it was strung with a thread of blue, yellow, red, white, or golden brown. And someone with clear eyes were to take it in their hand and check it: ‘This beryl gem is naturally beautiful, eight-faceted, well-worked, transparent and clear, endowed with all good qualities. And it’s strung with a thread of blue, yellow, red, white, or golden brown.’
เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา เอวํ ปชานนฺติ: ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธมฺโม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฏิพทฺธนฺ'ติฯ
In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to understand this: ‘This body of mine is physical. It’s made up of the four primary elements, produced by mother and father, built up from rice and porridge, liable to impermanence, to wearing away and erosion, to breaking up and destruction. And this consciousness of mine is attached to it, tied to it.’
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินนฺติ รูปึ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคึ อหีนินฺทฺริยํฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส มุญฺชมฺหา อีสิกํ ปพฺพาเหยฺย; ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ มุญฺโช, อยํ อีสิกา; อญฺโญ มุญฺโช, อญฺญา อีสิกา; มุญฺชมฺหา เตฺวว อีสิกา ปพฺพาฬฺหา'ติฯ เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ปุริโส อสึ โกสิยา ปพฺพาเหยฺย; ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ อสิ, อยํ โกสิ; อญฺโญ อสิ อญฺญา โกสิ; โกสิยา เตฺวว อสิ ปพฺพาโฬฺห'ติฯ เสยฺยถา วา, ปนุทายิ, ปุริโส อหึ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺย; ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ อหิ, อยํ กรณฺโฑ; อญฺโญ อหิ, อญฺโญ กรณฺโฑ; กรณฺฑา เตฺวว อหิ อุพฺภโต'ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินนฺติ รูปึ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคึ อหีนินฺทฺริยํฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to create from this body another body, consisting of form, mind-made, complete in all its various parts, not deficient in any faculty. Suppose a person was to draw a reed out from its sheath. They’d think: ‘This is the reed, this is the sheath. The reed and the sheath are different things. The reed has been drawn out from the sheath.’ Or suppose a person was to draw a sword out from its scabbard. They’d think: ‘This is the sword, this is the scabbard. The sword and the scabbard are different things. The sword has been drawn out from the scabbard.’ Or suppose a person was to draw a snake out from its slough. They’d think: ‘This is the snake, this is the slough. The snake and the slough are different things. The snake has been drawn out from the slough.’ In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to create from this body another body, consisting of form, mind-made, complete in all its various parts, not deficient in any faculty.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภนฺติ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหนฺติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมนฺติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสนฺติ ปริมชฺชนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ทกฺโข กุมฺภกาโร วา กุมฺภการนฺเตวาสี วา สุปริกมฺมกตาย มตฺติกาย ยํ ยเทว ภาชนวิกตึ อากงฺเขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺย; เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ทกฺโข ทนฺตกาโร วา ทนฺตการนฺเตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมึ ทนฺตสฺมึ ยํ ยเทว ทนฺตวิกตึ อากงฺเขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺย; เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ทกฺโข สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการนฺเตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมึ สุวณฺณสฺมึ ยํ ยเทว สุวณฺณวิกตึ อากงฺเขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภนฺติ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหนฺติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมนฺติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสนฺติ ปริมชฺชนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to wield the many kinds of psychic power: multiplying themselves and becoming one again; appearing and disappearing; going unimpeded through a wall, a rampart, or a mountain as if through space; diving in and out of the earth as if it were water; walking on water as if it were earth; flying cross-legged through the sky like a bird; touching and stroking with the hand the sun and moon, so mighty and powerful. They control the body as far as the Brahmā realm. Suppose a deft potter or their apprentice had some well-prepared clay. They could produce any kind of pot that they like. Or suppose a deft ivory-carver or their apprentice had some well-prepared ivory. They could produce any kind of ivory item that they like. Or suppose a deft goldsmith or their apprentice had some well-prepared gold. They could produce any kind of gold item that they like. In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to wield the many kinds of psychic power …
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณนฺติ—ทิพฺเพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, พลวา สงฺขธโม อปฺปกสิเรเนว จาตุทฺทิสา วิญฺญาเปยฺย; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณนฺติ—ทิพฺเพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use so that, with clairaudience that is purified and superhuman, they hear both kinds of sounds, human and divine, whether near or far. Suppose there was a powerful horn blower. They’d easily make themselves heard in the four quarters. In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use so that, with clairaudience that is purified and superhuman, they hear both kinds of sounds, human and divine, whether near or far.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานนฺติ—สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; เสาตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘เสาตฺตรํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อิตฺถี วา ปุริโส วา ทหโร ยุวา มณฺฑนกชาติโก อาทาเส วา ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต อจฺเฉ วา อุทกปตฺเต สกํ มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขมาโน สกณิกํ วา ‘สกณิกนฺ'ติ ชาเนยฺย, อกณิกํ วา ‘อกณิกนฺ'ติ ชาเนยฺย; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานนฺติ—สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ …เป… สโทสํ วา จิตฺตํ … วีตโทสํ วา จิตฺตํ … สโมหํ วา จิตฺตํ … วีตโมหํ วา จิตฺตํ … สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ … วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ … มหคฺคตํ วา จิตฺตํ … อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ … เสาตฺตรํ วา จิตฺตํ … อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ … สมาหิตํ วา จิตฺตํ … อสมาหิตํ วา จิตฺตํ … วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ … อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺ'ติ ปชานนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to understand the minds of other beings and individuals, having comprehended them with their own mind. They understand mind with greed as ‘mind with greed’, and mind without greed as ‘mind without greed’; mind with hate as ‘mind with hate’, and mind without hate as ‘mind without hate’; mind with delusion as ‘mind with delusion’, and mind without delusion as ‘mind without delusion’; constricted mind as ‘constricted mind’, and scattered mind as ‘scattered mind’; expansive mind as ‘expansive mind’, and unexpansive mind as ‘unexpansive mind’; mind that is not supreme as ‘mind that is not supreme’, and mind that is supreme as ‘mind that is supreme’; mind immersed in samādhi as ‘mind immersed in samādhi’, and mind not immersed in samādhi as ‘mind not immersed in samādhi’; freed mind as ‘freed mind’, and unfreed mind as ‘unfreed mind’. Suppose there was a woman or man who was young, youthful, and fond of adornments, and they check their own reflection in a clean bright mirror or a clear bowl of water. If they had a spot they’d know ‘I have a spot’, and if they had no spots they’d know ‘I have no spots’. In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to understand the minds of other beings and individuals, having comprehended them with their own mind …
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ, อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ คจฺเฉยฺย, ตมฺหาปิ คามา อญฺญํ คามํ คจฺเฉยฺย; โส ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคจฺเฉยฺย; ตสฺส เอวมสฺส: ‘อหํ โข สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ อคจฺฉึ, ตตฺร เอวํ อฏฺฐาสึ เอวํ นิสีทึ เอวํ อภาสึ เอวํ ตุณฺหี อโหสึ; ตมฺหาปิ คามา อมุํ คามํ อคจฺฉึ, ตตฺราปิ เอวํ อฏฺฐาสึ เอวํ นิสีทึ เอวํ อภาสึ เอวํ ตุณฺหี อโหสึ, โสมฺหิ ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคโต'ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to recollect the many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details. Suppose a person was to leave their home village and go to another village. From that village they’d go to yet another village. And from that village they’d return to their home village. They’d think: ‘I went from my home village to another village. There I stood like this, sat like that, spoke like this, or kept silent like that. From that village I went to yet another village. There too I stood like this, sat like that, spoke like this, or kept silent like that. And from that village I returned to my home village.’ In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to recollect the many kinds of past lives.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานนฺติ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฏฺฐิกา สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติฯ อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, เทฺว อคารา สทฺวาราฯ ตตฺร จกฺขุมา ปุริโส มชฺเฌ ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสนฺเตปิ นิกฺขมนฺเตปิ อนุจงฺกมนฺเตปิ อนุวิจรนฺเตปิ; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานนฺติ …เป…
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use so that, with clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds: ‘These dear beings did bad things by way of body, speech, and mind. They spoke ill of the noble ones; they had wrong view; and they chose to act out of that wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. These dear beings, however, did good things by way of body, speech, and mind. They never spoke ill of the noble ones; they had right view; and they chose to act out of that right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.’ And so, with clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds. Suppose there were two houses with doors. A person with clear eyes standing in between them would see people entering and leaving a house and wandering to and fro. In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use so that, with clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn …
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปพฺพตสงฺเขเป อุทกรหโท อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโล, ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย สิปฺปิสมฺพุกมฺปิ สกฺขรกฐลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ จรนฺตมฺปิ ติฏฺฐนฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส: ‘อยํ โข อุทกรหโท อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโล, ตตฺริเม สิปฺปิสมฺพุกาปิ สกฺขรกฐลาปิ มจฺฉคุมฺพาปิ จรนฺติปิ ติฏฺฐนฺติปี'ติฯ
Furthermore, I have explained to my disciples a practice that they use to realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements. Suppose there was a lake that was transparent, clear, and unclouded. A person with clear eyes standing on the bank would see the clams and mussels, and pebbles and gravel, and schools of fish swimming about or staying still. They’d think: ‘This lake is transparent, clear, and unclouded. And here are the clams and mussels, and pebbles and gravel, and schools of fish swimming about or staying still.’
เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฏิปทา, ยถาปฏิปนฺนา เม สาวกา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติฯ
In the same way, I have explained to my disciples a practice that they use to realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life. And they live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.
ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ
And many of my disciples meditate on that having attained perfection and consummation of insight.
อยํ โข, อุทายิ, ปญฺจโม ธมฺโม เยน มม สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ
This is the fifth quality because of which my disciples are loyal to me.
อิเม โข, อุทายิ, ปญฺจ ธมฺมา เยหิ มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี”ติฯ
These are the five qualities because of which my disciples honor, respect, revere, and venerate me; and after honoring and respecting me, they remain loyal to me.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the wanderer Sakuludāyī was happy with what the Buddha said.
มหาสกุลุทายิสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ สตฺตมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]