Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตํ

    7. Mahāsakuludāyisuttaṃ

    ๒๓๗. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุลา อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา ปริพฺพาชกา โมรนิวาเป ปริพฺพาชการาเม ปฎิวสนฺติ, เสยฺยถิทํ – อนฺนภาโร วรธโร สกุลุทายี จ ปริพฺพาชโก อเญฺญ จ อภิญฺญาตา อภิญฺญาตา ปริพฺพาชกาฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อถ โข ภควโต เอตทโหสิ – ‘‘อติปฺปโค โข ตาว ราชคเห ปิณฺฑาย จริตุํฯ ยํนูนาหํ เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกเมยฺย’’นฺติฯ อถ โข ภควา เยน โมรนิวาโป ปริพฺพาชการาโม เตนุปสงฺกมิฯ เตน โข ปน สมเยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธิํ นิสิโนฺน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยา, เสยฺยถิทํ – ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฎฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ อทฺทสา โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปติ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ; มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถฯ อยํ สมโณ โคตโม อาคจฺฉติ; อปฺปสทฺทกาโม โข ปน โส อายสฺมา อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีฯ อเปฺปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มเญฺญยฺยา’’ติฯ อถ โข เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ อถ โข ภควา เยน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตุ โข, ภเนฺต, ภควาฯ สฺวาคตํ, ภเนฺต, ภควโตฯ จิรสฺสํ โข, ภเนฺต, ภควา อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ, ภเนฺต, ภควา; อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญเตฺต อาสเนฯ สกุลุทายีปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจํ อาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สกุลุทายิํ ปริพฺพาชกํ ภควา เอตทโวจ –

    237. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati veḷuvane kalandakanivāpe. Tena kho pana samayena sambahulā abhiññātā abhiññātā paribbājakā moranivāpe paribbājakārāme paṭivasanti, seyyathidaṃ – annabhāro varadharo sakuludāyī ca paribbājako aññe ca abhiññātā abhiññātā paribbājakā. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya rājagahaṃ piṇḍāya pāvisi. Atha kho bhagavato etadahosi – ‘‘atippago kho tāva rājagahe piṇḍāya carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ yena moranivāpo paribbājakārāmo yena sakuludāyī paribbājako tenupasaṅkameyya’’nti. Atha kho bhagavā yena moranivāpo paribbājakārāmo tenupasaṅkami. Tena kho pana samayena sakuludāyī paribbājako mahatiyā paribbājakaparisāya saddhiṃ nisinno hoti unnādiniyā uccāsaddamahāsaddāya anekavihitaṃ tiracchānakathaṃ kathentiyā, seyyathidaṃ – rājakathaṃ corakathaṃ mahāmattakathaṃ senākathaṃ bhayakathaṃ yuddhakathaṃ annakathaṃ pānakathaṃ vatthakathaṃ sayanakathaṃ mālākathaṃ gandhakathaṃ ñātikathaṃ yānakathaṃ gāmakathaṃ nigamakathaṃ nagarakathaṃ janapadakathaṃ itthikathaṃ sūrakathaṃ visikhākathaṃ kumbhaṭṭhānakathaṃ pubbapetakathaṃ nānattakathaṃ lokakkhāyikaṃ samuddakkhāyikaṃ itibhavābhavakathaṃ iti vā. Addasā kho sakuludāyī paribbājako bhagavantaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvāna sakaṃ parisaṃ saṇṭhāpeti – ‘‘appasaddā bhonto hontu; mā bhonto saddamakattha. Ayaṃ samaṇo gotamo āgacchati; appasaddakāmo kho pana so āyasmā appasaddassa vaṇṇavādī. Appeva nāma appasaddaṃ parisaṃ viditvā upasaṅkamitabbaṃ maññeyyā’’ti. Atha kho te paribbājakā tuṇhī ahesuṃ. Atha kho bhagavā yena sakuludāyī paribbājako tenupasaṅkami. Atha kho sakuludāyī paribbājako bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘etu kho, bhante, bhagavā. Svāgataṃ, bhante, bhagavato. Cirassaṃ kho, bhante, bhagavā imaṃ pariyāyamakāsi yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīdatu, bhante, bhagavā; idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi bhagavā paññatte āsane. Sakuludāyīpi kho paribbājako aññataraṃ nīcaṃ āsanaṃ gahetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho sakuludāyiṃ paribbājakaṃ bhagavā etadavoca –

    ๒๓๘. ‘‘กายนุตฺถ , อุทายิ, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา’’ติ? ‘‘ติฎฺฐเตสา, ภเนฺต, กถา ยาย มยํ เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาฯ เนสา, ภเนฺต, กถา ภควโต ทุลฺลภา ภวิสฺสติ ปจฺฉาปิ สวนายฯ ปุริมานิ, ภเนฺต, ทิวสานิ ปุริมตรานิ นานาติตฺถิยานํ สมณพฺราหฺมณานํ กุตูหลสาลายํ สนฺนิสินฺนานํ สนฺนิปติตานํ อยมนฺตรากถา อุทปาทิ – ‘ลาภา วต, โภ, องฺคมคธานํ, สุลทฺธลาภา วต, โภ, องฺคมคธานํ! ตตฺริเม 1 สมณพฺราหฺมณา สงฺฆิโน คณิโน คณาจริยา ญาตา ยสสฺสิโน ติตฺถกรา สาธุสมฺมตา พหุชนสฺส ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสฎาฯ อยมฺปิ โข ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฎฯ อยมฺปิ โข มกฺขลิ โคสาโล…เป.… อชิโต เกสกมฺพโล… ปกุโธ กจฺจายโน… สญฺชโย เพลฎฺฐปุโตฺต… นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฎฯ อยมฺปิ โข สมโณ โคตโม สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โสปิ ราชคหํ วสฺสาวาสํ โอสโฎฯ โก นุ โข อิเมสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ สงฺฆีนํ คณีนํ คณาจริยานํ ญาตานํ ยสสฺสีนํ ติตฺถกรานํ สาธุสมฺมตานํ พหุชนสฺส สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, กญฺจ ปน สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา 2 อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี’’’ติ?

    238. ‘‘Kāyanuttha , udāyi, etarahi kathāya sannisinnā, kā ca pana vo antarākathā vippakatā’’ti? ‘‘Tiṭṭhatesā, bhante, kathā yāya mayaṃ etarahi kathāya sannisinnā. Nesā, bhante, kathā bhagavato dullabhā bhavissati pacchāpi savanāya. Purimāni, bhante, divasāni purimatarāni nānātitthiyānaṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ kutūhalasālāyaṃ sannisinnānaṃ sannipatitānaṃ ayamantarākathā udapādi – ‘lābhā vata, bho, aṅgamagadhānaṃ, suladdhalābhā vata, bho, aṅgamagadhānaṃ! Tatrime 3 samaṇabrāhmaṇā saṅghino gaṇino gaṇācariyā ñātā yasassino titthakarā sādhusammatā bahujanassa rājagahaṃ vassāvāsaṃ osaṭā. Ayampi kho pūraṇo kassapo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; sopi rājagahaṃ vassāvāsaṃ osaṭo. Ayampi kho makkhali gosālo…pe… ajito kesakambalo… pakudho kaccāyano… sañjayo belaṭṭhaputto… nigaṇṭho nāṭaputto saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; sopi rājagahaṃ vassāvāsaṃ osaṭo. Ayampi kho samaṇo gotamo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; sopi rājagahaṃ vassāvāsaṃ osaṭo. Ko nu kho imesaṃ bhavataṃ samaṇabrāhmaṇānaṃ saṅghīnaṃ gaṇīnaṃ gaṇācariyānaṃ ñātānaṃ yasassīnaṃ titthakarānaṃ sādhusammatānaṃ bahujanassa sāvakānaṃ sakkato garukato mānito pūjito, kañca pana sāvakā sakkatvā garuṃ katvā 4 upanissāya viharantī’’’ti?

    ๒๓๙. ‘‘ตเตฺรกเจฺจ เอวมาหํสุ – ‘อยํ โข ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน ปูรณํ กสฺสปํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ ปูรโณ กสฺสโป อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติฯ ตตฺรญฺญตโร ปูรณสฺส กสฺสปสฺส สาวโก สทฺทมกาสิ – ‘‘มา โภโนฺต ปูรณํ กสฺสปํ เอตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺถ; เนโส เอตํ ชานาติ; มยเมตํ ชานาม, อเมฺห เอตมตฺถํ ปุจฺฉถ; มยเมตํ ภวนฺตานํ พฺยากริสฺสามา’’ติฯ ภูตปุพฺพํ ปูรโณ กสฺสโป พาหา ปคฺคยฺห กนฺทโนฺต น ลภติ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ, มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถฯ เนเต, ภวเนฺต, ปุจฺฉนฺติ, อเมฺห เอเต ปุจฺฉนฺติ; มยเมเตสํ พฺยากริสฺสามา’’ติฯ พหู โข ปน ปูรณสฺส กสฺสปสฺส สาวกา วาทํ อาโรเปตฺวา อปกฺกนฺตา – ‘‘น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิ , กิํ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ? มิจฺฉาปฎิปโนฺน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมาปฎิปโนฺน, สหิตํ เม, อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโตสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสี’’ติฯ อิติ ปูรโณ กสฺสโป สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน ปูรณํ กสฺสปํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ อกฺกุโฎฺฐ จ ปน ปูรโณ กสฺสโป ธมฺมโกฺกเสนา’’’ติฯ

    239. ‘‘Tatrekacce evamāhaṃsu – ‘ayaṃ kho pūraṇo kassapo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; so ca kho sāvakānaṃ na sakkato na garukato na mānito na pūjito, na ca pana pūraṇaṃ kassapaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Bhūtapubbaṃ pūraṇo kassapo anekasatāya parisāya dhammaṃ deseti. Tatraññataro pūraṇassa kassapassa sāvako saddamakāsi – ‘‘mā bhonto pūraṇaṃ kassapaṃ etamatthaṃ pucchittha; neso etaṃ jānāti; mayametaṃ jānāma, amhe etamatthaṃ pucchatha; mayametaṃ bhavantānaṃ byākarissāmā’’ti. Bhūtapubbaṃ pūraṇo kassapo bāhā paggayha kandanto na labhati – ‘‘appasaddā bhonto hontu, mā bhonto saddamakattha. Nete, bhavante, pucchanti, amhe ete pucchanti; mayametesaṃ byākarissāmā’’ti. Bahū kho pana pūraṇassa kassapassa sāvakā vādaṃ āropetvā apakkantā – ‘‘na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsi, ahaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāmi , kiṃ tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānissasi? Micchāpaṭipanno tvamasi, ahamasmi sammāpaṭipanno, sahitaṃ me, asahitaṃ te, purevacanīyaṃ pacchā avaca, pacchāvacanīyaṃ pure avaca, adhiciṇṇaṃ te viparāvattaṃ, āropito te vādo, niggahitosi, cara vādappamokkhāya, nibbeṭhehi vā sace pahosī’’ti. Iti pūraṇo kassapo sāvakānaṃ na sakkato na garukato na mānito na pūjito, na ca pana pūraṇaṃ kassapaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Akkuṭṭho ca pana pūraṇo kassapo dhammakkosenā’’’ti.

    ‘‘เอกเจฺจ เอวมาหํสุ – ‘อยมฺปิ โข มกฺขลิ โคสาโล…เป.… อชิโต เกสกมฺพโล… ปกุโธ กจฺจายโน… สญฺชโย เพลฎฺฐปุโตฺต… นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติฯ ตตฺรญฺญตโร นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส สาวโก สทฺทมกาสิ – มา โภโนฺต นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺถ; เนโส เอตํ ชานาติ; มยเมตํ ชานาม, อเมฺห เอตมตฺถํ ปุจฺฉถ; มยเมตํ ภวนฺตานํ พฺยากริสฺสามาติฯ ภูตปุพฺพํ นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต พาหา ปคฺคยฺห กนฺทโนฺต น ลภติ – ‘‘อปฺปสทฺทา โภโนฺต โหนฺตุ, มา โภโนฺต สทฺทมกตฺถฯ เนเต ภวเนฺต ปุจฺฉนฺติ, อเมฺห เอเต ปุจฺฉนฺติ; มยเมเตสํ พฺยากริสฺสามา’’ติฯ พหู โข ปน นิคณฺฐสฺส นาฎปุตฺตสฺส สาวกา วาทํ อาโรเปตฺวา อปกฺกนฺตา – ‘‘น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิฯ กิํ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิ? มิจฺฉาปฎิปโนฺน ตฺวมสิฯ อหมสฺมิ สมฺมาปฎิปโนฺนฯ สหิตํ เม อสหิตํ เต, ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจ, อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํ, อาโรปิโต เต วาโท, นิคฺคหิโตสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย, นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสี’’ติฯ อิติ นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต สาวกานํ น สกฺกโต น ครุกโต น มานิโต น ปูชิโต, น จ ปน นิคณฺฐํ นาฎปุตฺตํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ อกฺกุโฎฺฐ จ ปน นิคโณฺฐ นาฎปุโตฺต ธมฺมโกฺกเสนา’’’ติฯ

    ‘‘Ekacce evamāhaṃsu – ‘ayampi kho makkhali gosālo…pe… ajito kesakambalo… pakudho kaccāyano… sañjayo belaṭṭhaputto… nigaṇṭho nāṭaputto saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; so ca kho sāvakānaṃ na sakkato na garukato na mānito na pūjito, na ca pana nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Bhūtapubbaṃ nigaṇṭho nāṭaputto anekasatāya parisāya dhammaṃ deseti. Tatraññataro nigaṇṭhassa nāṭaputtassa sāvako saddamakāsi – mā bhonto nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ etamatthaṃ pucchittha; neso etaṃ jānāti; mayametaṃ jānāma, amhe etamatthaṃ pucchatha; mayametaṃ bhavantānaṃ byākarissāmāti. Bhūtapubbaṃ nigaṇṭho nāṭaputto bāhā paggayha kandanto na labhati – ‘‘appasaddā bhonto hontu, mā bhonto saddamakattha. Nete bhavante pucchanti, amhe ete pucchanti; mayametesaṃ byākarissāmā’’ti. Bahū kho pana nigaṇṭhassa nāṭaputtassa sāvakā vādaṃ āropetvā apakkantā – ‘‘na tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāsi, ahaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānāmi. Kiṃ tvaṃ imaṃ dhammavinayaṃ ājānissasi? Micchāpaṭipanno tvamasi. Ahamasmi sammāpaṭipanno. Sahitaṃ me asahitaṃ te, purevacanīyaṃ pacchā avaca, pacchāvacanīyaṃ pure avaca, adhiciṇṇaṃ te viparāvattaṃ, āropito te vādo, niggahitosi, cara vādappamokkhāya, nibbeṭhehi vā sace pahosī’’ti. Iti nigaṇṭho nāṭaputto sāvakānaṃ na sakkato na garukato na mānito na pūjito, na ca pana nigaṇṭhaṃ nāṭaputtaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Akkuṭṭho ca pana nigaṇṭho nāṭaputto dhammakkosenā’’’ti.

    ๒๔๐. ‘‘เอกเจฺจ เอวมาหํสุ – ‘อยมฺปิ โข สมโณ โคตโม สงฺฆี เจว คณี จ คณาจริโย จ ญาโต ยสสฺสี ติตฺถกโร สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส; โส จ โข สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, สมณญฺจ ปน โคตมํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ ภูตปุพฺพํ สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสสิฯ ตตฺรญฺญตโร สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อุกฺกาสิฯ ตเมนาญฺญตโร สพฺรหฺมจารี ชณฺณุเกน 5 ฆเฎฺฎสิ – ‘‘อปฺปสโทฺท อายสฺมา โหตุ, มายสฺมา สทฺทมกาสิ, สตฺถา โน ภควา ธมฺมํ เทเสสี’’ติฯ ยสฺมิํ สมเย สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติ, เนว ตสฺมิํ สมเย สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานํ ขิปิตสโทฺท วา โหติ อุกฺกาสิตสโทฺท วาฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป 6 ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ – ‘‘ยํ โน ภควา ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ โน โสสฺสามา’’ติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปุริโส จาตุมฺมหาปเถ ขุทฺทมธุํ 7 อเนลกํ ปีเฬยฺย 8ฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป ปจฺจุปฎฺฐิโต อสฺสฯ เอวเมว ยสฺมิํ สมเย สมโณ โคตโม อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสติ, เนว ตสฺมิํ สมเย สมณสฺส โคตมสฺส สาวกานํ ขิปิตสโทฺท วา โหติ อุกฺกาสิตสโทฺท วาฯ ตเมนํ มหาชนกาโย ปจฺจาสีสมานรูโป ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ – ‘‘ยํ โน ภควา ธมฺมํ ภาสิสฺสติ ตํ โน โสสฺสามา’’ติฯ เยปิ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา สพฺรหฺมจารีหิ สมฺปโยเชตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺตนฺติ เตปิ สตฺถุ เจว วณฺณวาทิโน โหนฺติ, ธมฺมสฺส จ วณฺณวาทิโน โหนฺติ, สงฺฆสฺส จ วณฺณวาทิโน โหนฺติ, อตฺตครหิโนเยว โหนฺติ อนญฺญครหิโน, ‘‘มยเมวมฺหา อลกฺขิกา มยํ อปฺปปุญฺญา เต มยํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตฺวา นาสกฺขิมฺหา ยาวชีวํ ปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ จริตุ’’นฺติฯ เต อารามิกภูตา วา อุปาสกภูตา วา ปญฺจสิกฺขาปเท สมาทาย วตฺตนฺติฯ อิติ สมโณ โคตโม สาวกานํ สกฺกโต ครุกโต มานิโต ปูชิโต, สมณญฺจ ปน โคตมํ สาวกา สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี’’’ติฯ

    240. ‘‘Ekacce evamāhaṃsu – ‘ayampi kho samaṇo gotamo saṅghī ceva gaṇī ca gaṇācariyo ca ñāto yasassī titthakaro sādhusammato bahujanassa; so ca kho sāvakānaṃ sakkato garukato mānito pūjito, samaṇañca pana gotamaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Bhūtapubbaṃ samaṇo gotamo anekasatāya parisāya dhammaṃ desesi. Tatraññataro samaṇassa gotamassa sāvako ukkāsi. Tamenāññataro sabrahmacārī jaṇṇukena 9 ghaṭṭesi – ‘‘appasaddo āyasmā hotu, māyasmā saddamakāsi, satthā no bhagavā dhammaṃ desesī’’ti. Yasmiṃ samaye samaṇo gotamo anekasatāya parisāya dhammaṃ deseti, neva tasmiṃ samaye samaṇassa gotamassa sāvakānaṃ khipitasaddo vā hoti ukkāsitasaddo vā. Tamenaṃ mahājanakāyo paccāsīsamānarūpo 10 paccupaṭṭhito hoti – ‘‘yaṃ no bhagavā dhammaṃ bhāsissati taṃ no sossāmā’’ti. Seyyathāpi nāma puriso cātummahāpathe khuddamadhuṃ 11 anelakaṃ pīḷeyya 12. Tamenaṃ mahājanakāyo paccāsīsamānarūpo paccupaṭṭhito assa. Evameva yasmiṃ samaye samaṇo gotamo anekasatāya parisāya dhammaṃ deseti, neva tasmiṃ samaye samaṇassa gotamassa sāvakānaṃ khipitasaddo vā hoti ukkāsitasaddo vā. Tamenaṃ mahājanakāyo paccāsīsamānarūpo paccupaṭṭhito hoti – ‘‘yaṃ no bhagavā dhammaṃ bhāsissati taṃ no sossāmā’’ti. Yepi samaṇassa gotamassa sāvakā sabrahmacārīhi sampayojetvā sikkhaṃ paccakkhāya hīnāyāvattanti tepi satthu ceva vaṇṇavādino honti, dhammassa ca vaṇṇavādino honti, saṅghassa ca vaṇṇavādino honti, attagarahinoyeva honti anaññagarahino, ‘‘mayamevamhā alakkhikā mayaṃ appapuññā te mayaṃ evaṃ svākkhāte dhammavinaye pabbajitvā nāsakkhimhā yāvajīvaṃ paripuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ caritu’’nti. Te ārāmikabhūtā vā upāsakabhūtā vā pañcasikkhāpade samādāya vattanti. Iti samaṇo gotamo sāvakānaṃ sakkato garukato mānito pūjito, samaṇañca pana gotamaṃ sāvakā sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharantī’’’ti.

    ๒๔๑. ‘‘กติ ปน ตฺวํ, อุทายิ, มยิ ธเมฺม สมนุปสฺสสิ, เยหิ มมํ 13 สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ 14 มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี’’ติ? ‘‘ปญฺจ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ธเมฺม สมนุปสฺสามิ เยหิ ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ กตเม ปญฺจ? ภควา หิ, ภเนฺต, อปฺปาหาโร, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภเนฺต, ภควา อปฺปาหาโร, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ปฐมํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    241. ‘‘Kati pana tvaṃ, udāyi, mayi dhamme samanupassasi, yehi mamaṃ 15 sāvakā sakkaronti garuṃ karonti 16 mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharantī’’ti? ‘‘Pañca kho ahaṃ, bhante, bhagavati dhamme samanupassāmi yehi bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Katame pañca? Bhagavā hi, bhante, appāhāro, appāhāratāya ca vaṇṇavādī. Yampi, bhante, bhagavā appāhāro, appāhāratāya ca vaṇṇavādī imaṃ kho ahaṃ, bhante, bhagavati paṭhamaṃ dhammaṃ samanupassāmi yena bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ทุติยํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī. Yampi, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī, imaṃ kho ahaṃ, bhante, bhagavati dutiyaṃ dhammaṃ samanupassāmi yena bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ตติยํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena piṇḍapātena, itarītarapiṇḍapātasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī. Yampi, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena piṇḍapātena, itarītarapiṇḍapātasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī, imaṃ kho ahaṃ, bhante, bhagavati tatiyaṃ dhammaṃ samanupassāmi yena bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาทีฯ ยมฺปิ, ภเนฺต, ภควา สนฺตุโฎฺฐ อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ จตุตฺถํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena senāsanena, itarītarasenāsanasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī. Yampi, bhante, bhagavā santuṭṭho itarītarena senāsanena, itarītarasenāsanasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī, imaṃ kho ahaṃ, bhante, bhagavati catutthaṃ dhammaṃ samanupassāmi yena bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, ภเนฺต, ภควา ปวิวิโตฺต, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที ฯ ยมฺปิ, ภเนฺต, ภควา ปวิวิโตฺต, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที, อิมํ โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ปญฺจมํ ธมฺมํ สมนุปสฺสามิ เยน ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, bhante, bhagavā pavivitto, pavivekassa ca vaṇṇavādī . Yampi, bhante, bhagavā pavivitto, pavivekassa ca vaṇṇavādī, imaṃ kho ahaṃ, bhante, bhagavati pañcamaṃ dhammaṃ samanupassāmi yena bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘อิเม โข อหํ, ภเนฺต, ภควติ ปญฺจ ธเมฺม สมนุปสฺสามิ เยหิ ภควนฺตํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี’’ติฯ

    ‘‘Ime kho ahaṃ, bhante, bhagavati pañca dhamme samanupassāmi yehi bhagavantaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharantī’’ti.

    ๒๔๒. ‘‘‘อปฺปาหาโร สมโณ โคตโม, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา โกสกาหาราปิ อฑฺฒโกสกาหาราปิ เพลุวาหาราปิ อฑฺฒเพลุวาหาราปิฯ อหํ โข ปน, อุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ ภิโยฺยปิ ภุญฺชามิฯ ‘อปฺปาหาโร สมโณ โคตโม, อปฺปาหารตาย จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา โกสกาหาราปิ อฑฺฒโกสกาหาราปิ เพลุวาหาราปิ อฑฺฒเพลุวาหาราปิ น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ

    242. ‘‘‘Appāhāro samaṇo gotamo, appāhāratāya ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, santi kho pana me, udāyi, sāvakā kosakāhārāpi aḍḍhakosakāhārāpi beluvāhārāpi aḍḍhabeluvāhārāpi. Ahaṃ kho pana, udāyi, appekadā iminā pattena samatittikampi bhuñjāmi bhiyyopi bhuñjāmi. ‘Appāhāro samaṇo gotamo, appāhāratāya ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, ye te, udāyi, mama sāvakā kosakāhārāpi aḍḍhakosakāhārāpi beluvāhārāpi aḍḍhabeluvāhārāpi na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ.

    ‘‘‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา ปํสุกูลิกา ลูขจีวรธรา เต สุสานา วา สงฺการกูฎา วา ปาปณิกา วา นนฺตกานิ 17 อุจฺจินิตฺวา 18 สงฺฆาฎิํ กริตฺวา ธาเรนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา คหปติจีวรานิ ธาเรมิ ทฬฺหานิ สตฺถลูขานิ อลาพุโลมสานิฯ ‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน จีวเรน, อิตรีตรจีวรสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา ปํสุกูลิกา ลูขจีวรธรา เต สุสานา วา สงฺการกูฎา วา ปาปณิกา วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา สงฺฆาฎิํ กริตฺวา ธาเรนฺติ, น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ

    ‘‘‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, santi kho pana me, udāyi, sāvakā paṃsukūlikā lūkhacīvaradharā te susānā vā saṅkārakūṭā vā pāpaṇikā vā nantakāni 19 uccinitvā 20 saṅghāṭiṃ karitvā dhārenti. Ahaṃ kho panudāyi, appekadā gahapaticīvarāni dhāremi daḷhāni satthalūkhāni alābulomasāni. ‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena cīvarena, itarītaracīvarasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, ye te, udāyi, mama sāvakā paṃsukūlikā lūkhacīvaradharā te susānā vā saṅkārakūṭā vā pāpaṇikā vā nantakāni uccinitvā saṅghāṭiṃ karitvā dhārenti, na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ.

    ‘‘‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา ปิณฺฑปาติกา สปทานจาริโน อุญฺฉาสเก วเต รตา, เต อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐา สมานา อาสเนนปิ นิมนฺติยมานา น สาทิยนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา นิมนฺตเนปิ 21 ภุญฺชามิ สาลีนํ โอทนํ วิจิตกาฬกํ อเนกสูปํ อเนกพฺยญฺชนํฯ ‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน ปิณฺฑปาเตน, อิตรีตรปิณฺฑปาตสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา ปิณฺฑปาติกา สปทานจาริโน อุญฺฉาสเก วเต รตา เต อนฺตรฆรํ ปวิฎฺฐา สมานา อาสเนนปิ นิมนฺติยมานา น สาทิยนฺติ, น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ

    ‘‘‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena piṇḍapātena, itarītarapiṇḍapātasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, santi kho pana me, udāyi, sāvakā piṇḍapātikā sapadānacārino uñchāsake vate ratā, te antaragharaṃ paviṭṭhā samānā āsanenapi nimantiyamānā na sādiyanti. Ahaṃ kho panudāyi, appekadā nimantanepi 22 bhuñjāmi sālīnaṃ odanaṃ vicitakāḷakaṃ anekasūpaṃ anekabyañjanaṃ. ‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena piṇḍapātena, itarītarapiṇḍapātasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, ye te, udāyi, mama sāvakā piṇḍapātikā sapadānacārino uñchāsake vate ratā te antaragharaṃ paviṭṭhā samānā āsanenapi nimantiyamānā na sādiyanti, na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ.

    ‘‘‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา รุกฺขมูลิกา อโพฺภกาสิกา, เต อฎฺฐมาเส ฉนฺนํ น อุเปนฺติฯ อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา กูฎาคาเรสุปิ วิหรามิ อุลฺลิตฺตาวลิเตฺตสุ นิวาเตสุ ผุสิตคฺคเฬสุ 23 ปิหิตวาตปาเนสุฯ ‘สนฺตุโฎฺฐ สมโณ โคตโม อิตรีตเรน เสนาสเนน, อิตรีตรเสนาสนสนฺตุฎฺฐิยา จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา รุกฺขมูลิกา อโพฺภกาสิกา เต อฎฺฐมาเส ฉนฺนํ น อุเปนฺติ, น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ

    ‘‘‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena senāsanena, itarītarasenāsanasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, santi kho pana me, udāyi, sāvakā rukkhamūlikā abbhokāsikā, te aṭṭhamāse channaṃ na upenti. Ahaṃ kho panudāyi, appekadā kūṭāgāresupi viharāmi ullittāvalittesu nivātesu phusitaggaḷesu 24 pihitavātapānesu. ‘Santuṭṭho samaṇo gotamo itarītarena senāsanena, itarītarasenāsanasantuṭṭhiyā ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, ye te, udāyi, mama sāvakā rukkhamūlikā abbhokāsikā te aṭṭhamāse channaṃ na upenti, na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ.

    ‘‘‘ปวิวิโตฺต สมโณ โคตโม, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, สนฺติ โข ปน เม, อุทายิ, สาวกา อารญฺญิกา ปนฺตเสนาสนา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อโชฺฌคาเหตฺวา วิหรนฺติ, เต อนฺวทฺธมาสํ สงฺฆมเชฺฌ โอสรนฺติ ปาติโมกฺขุเทฺทสายฯ อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา อากิโณฺณ วิหรามิ ภิกฺขูหิ ภิกฺขุนีหิ อุปาสเกหิ อุปาสิกาหิ รญฺญา ราชมหามเตฺตหิ ติตฺถิเยหิ ติตฺถิยสาวเกหิฯ ‘ปวิวิโตฺต สมโณ โคตโม, ปวิเวกสฺส จ วณฺณวาที’ติ, อิติ เจ มํ, อุทายิ, สาวกา สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํ, เย เต, อุทายิ, มม สาวกา อารญฺญกา ปนฺตเสนาสนา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ อโชฺฌคาเหตฺวา วิหรนฺติ เต อนฺวทฺธมาสํ สงฺฆมเชฺฌ โอสรนฺติ ปาติโมกฺขุเทฺทสาย, น มํ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ ครุํ กเรยฺยุํ มาเนยฺยุํ ปูเชยฺยุํ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺยุํฯ

    ‘‘‘Pavivitto samaṇo gotamo, pavivekassa ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, santi kho pana me, udāyi, sāvakā āraññikā pantasenāsanā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni ajjhogāhetvā viharanti, te anvaddhamāsaṃ saṅghamajjhe osaranti pātimokkhuddesāya. Ahaṃ kho panudāyi, appekadā ākiṇṇo viharāmi bhikkhūhi bhikkhunīhi upāsakehi upāsikāhi raññā rājamahāmattehi titthiyehi titthiyasāvakehi. ‘Pavivitto samaṇo gotamo, pavivekassa ca vaṇṇavādī’ti, iti ce maṃ, udāyi, sāvakā sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ, ye te, udāyi, mama sāvakā āraññakā pantasenāsanā araññavanapatthāni pantāni senāsanāni ajjhogāhetvā viharanti te anvaddhamāsaṃ saṅghamajjhe osaranti pātimokkhuddesāya, na maṃ te iminā dhammena sakkareyyuṃ garuṃ kareyyuṃ māneyyuṃ pūjeyyuṃ, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya vihareyyuṃ.

    ‘‘อิติ โข, อุทายิ, น มมํ สาวกา อิเมหิ ปญฺจหิ ธเมฺมหิ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Iti kho, udāyi, na mamaṃ sāvakā imehi pañcahi dhammehi sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ๒๔๓. ‘‘อตฺถิ โข, อุทายิ, อเญฺญ จ ปญฺจ ธมฺมา เยหิ ปญฺจหิ ธเมฺมหิ มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ , สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ กตเม ปญฺจ? อิธุทายิ, มมํ สาวกา อธิสีเล สมฺภาเวนฺติ – ‘สีลวา สมโณ โคตโม ปรเมน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต’ติฯ ยมฺปุทายิ 25, มมํ สาวกา อธิสีเล สมฺภาเวนฺติ – ‘สีลวา สมโณ โคตโม ปรเมน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต’ติ, อยํ โข, อุทายิ , ปฐโม ธโมฺม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    243. ‘‘Atthi kho, udāyi, aññe ca pañca dhammā yehi pañcahi dhammehi mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti , sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti. Katame pañca? Idhudāyi, mamaṃ sāvakā adhisīle sambhāventi – ‘sīlavā samaṇo gotamo paramena sīlakkhandhena samannāgato’ti. Yampudāyi 26, mamaṃ sāvakā adhisīle sambhāventi – ‘sīlavā samaṇo gotamo paramena sīlakkhandhena samannāgato’ti, ayaṃ kho, udāyi , paṭhamo dhammo yena mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ๒๔๔. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, มมํ สาวกา อภิกฺกเนฺต ญาณทสฺสเน สมฺภาเวนฺติ – ‘ชานํเยวาห สมโณ โคตโม – ชานามีติ, ปสฺสํเยวาห สมโณ โคตโม – ปสฺสามีติ; อภิญฺญาย สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนภิญฺญาย; สนิทานํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนิทานํ; สปฺปาฎิหาริยํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อปฺปาฎิหาริย’นฺติฯ ยมฺปุทายิ, มมํ สาวกา อภิกฺกเนฺต ญาณทสฺสเน สมฺภาเวนฺติ – ‘ชานํเยวาห สมโณ โคตโม – ชานามีติ, ปสฺสํเยวาห สมโณ โคตโม – ปสฺสามีติ; อภิญฺญาย สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนภิญฺญาย; สนิทานํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อนิทานํ; สปฺปาฎิหาริยํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ โน อปฺปาฎิหาริย’นฺติ, อยํ โข, อุทายิ, ทุติโย ธโมฺม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    244. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, mamaṃ sāvakā abhikkante ñāṇadassane sambhāventi – ‘jānaṃyevāha samaṇo gotamo – jānāmīti, passaṃyevāha samaṇo gotamo – passāmīti; abhiññāya samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no anabhiññāya; sanidānaṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no anidānaṃ; sappāṭihāriyaṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no appāṭihāriya’nti. Yampudāyi, mamaṃ sāvakā abhikkante ñāṇadassane sambhāventi – ‘jānaṃyevāha samaṇo gotamo – jānāmīti, passaṃyevāha samaṇo gotamo – passāmīti; abhiññāya samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no anabhiññāya; sanidānaṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no anidānaṃ; sappāṭihāriyaṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti no appāṭihāriya’nti, ayaṃ kho, udāyi, dutiyo dhammo yena mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ๒๔๕. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, มมํ สาวกา อธิปญฺญาย สมฺภาเวนฺติ – ‘ปญฺญวา สมโณ โคตโม ปรเมน ปญฺญากฺขเนฺธน สมนฺนาคโต; ตํ วต อนาคตํ วาทปถํ น ทกฺขติ, อุปฺปนฺนํ วา ปรปฺปวาทํ น สหธเมฺมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหิสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติ’ฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, อุทายิ, อปิ นุ เม สาวกา เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อนฺตรนฺตรา กถํ โอปาเตยฺยุ’’นฺติ?

    245. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, mamaṃ sāvakā adhipaññāya sambhāventi – ‘paññavā samaṇo gotamo paramena paññākkhandhena samannāgato; taṃ vata anāgataṃ vādapathaṃ na dakkhati, uppannaṃ vā parappavādaṃ na sahadhammena suniggahitaṃ niggaṇhissatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati’. Taṃ kiṃ maññasi, udāyi, api nu me sāvakā evaṃ jānantā evaṃ passantā antarantarā kathaṃ opāteyyu’’nti?

    ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ

    ‘‘No hetaṃ, bhante’’.

    ‘‘น โข ปนาหํ, อุทายิ, สาวเกสุ อนุสาสนิํ ปจฺจาสีสามิ 27; อญฺญทตฺถุ มมเยว สาวกา อนุสาสนิํ ปจฺจาสีสนฺติฯ

    ‘‘Na kho panāhaṃ, udāyi, sāvakesu anusāsaniṃ paccāsīsāmi 28; aññadatthu mamayeva sāvakā anusāsaniṃ paccāsīsanti.

    ‘‘ยมฺปุทายิ, มมํ สาวกา อธิปญฺญาย สมฺภาเวนฺติ – ‘ปญฺญวา สมโณ โคตโม ปรเมน ปญฺญากฺขเนฺธน สมนฺนาคโต; ตํ วต อนาคตํ วาทปถํ น ทกฺขติ, อุปฺปนฺนํ วา ปรปฺปวาทํ น สหธเมฺมน นิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหิสฺสตีติ – เนตํ ฐานํ วิชฺชติ’ฯ อยํ โข, อุทายิ, ตติโย ธโมฺม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    ‘‘Yampudāyi, mamaṃ sāvakā adhipaññāya sambhāventi – ‘paññavā samaṇo gotamo paramena paññākkhandhena samannāgato; taṃ vata anāgataṃ vādapathaṃ na dakkhati, uppannaṃ vā parappavādaṃ na sahadhammena niggahitaṃ niggaṇhissatīti – netaṃ ṭhānaṃ vijjati’. Ayaṃ kho, udāyi, tatiyo dhammo yena mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ๒๔๖. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, มม สาวกา เยน ทุเกฺขน ทุโกฺขติณฺณา ทุกฺขปเรตา เต มํ อุปสงฺกมิตฺวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุโฎฺฐ พฺยากโรมิ, เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน; เต มํ ทุกฺขสมุทยํ… ทุกฺขนิโรธํ… ทุกฺขนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ อริยสจฺจํ ปุโฎฺฐ พฺยากโรมิ , เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ ยมฺปุทายิ, มม สาวกา เยน ทุเกฺขน ทุโกฺขติณฺณา ทุกฺขปเรตา เต มํ อุปสงฺกมิตฺวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติ, เตสาหํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปุโฎฺฐ พฺยากโรมิ, เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ เต มํ ทุกฺขสมุทยํ … ทุกฺขนิโรธํ… ทุกฺขนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ อริยสจฺจํ ปุจฺฉนฺติฯ เตสาหํ ทุกฺขนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ อริยสจฺจํ ปุโฎฺฐ พฺยากโรมิฯ เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมิ ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณนฯ อยํ โข, อุทายิ, จตุโตฺถ ธโมฺม เยน มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    246. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, mama sāvakā yena dukkhena dukkhotiṇṇā dukkhaparetā te maṃ upasaṅkamitvā dukkhaṃ ariyasaccaṃ pucchanti, tesāhaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ puṭṭho byākaromi, tesāhaṃ cittaṃ ārādhemi pañhassa veyyākaraṇena; te maṃ dukkhasamudayaṃ… dukkhanirodhaṃ… dukkhanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ ariyasaccaṃ pucchanti, tesāhaṃ dukkhanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ ariyasaccaṃ puṭṭho byākaromi , tesāhaṃ cittaṃ ārādhemi pañhassa veyyākaraṇena. Yampudāyi, mama sāvakā yena dukkhena dukkhotiṇṇā dukkhaparetā te maṃ upasaṅkamitvā dukkhaṃ ariyasaccaṃ pucchanti, tesāhaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ puṭṭho byākaromi, tesāhaṃ cittaṃ ārādhemi pañhassa veyyākaraṇena. Te maṃ dukkhasamudayaṃ … dukkhanirodhaṃ… dukkhanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ ariyasaccaṃ pucchanti. Tesāhaṃ dukkhanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ ariyasaccaṃ puṭṭho byākaromi. Tesāhaṃ cittaṃ ārādhemi pañhassa veyyākaraṇena. Ayaṃ kho, udāyi, catuttho dhammo yena mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ๒๔๗. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ; เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ… จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ… ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    247. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāro satipaṭṭhāne bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu kāye kāyānupassī viharati ātāpī sampajāno satimā vineyya loke abhijjhādomanassaṃ; vedanāsu vedanānupassī viharati… citte cittānupassī viharati… dhammesu dhammānupassī viharati ātāpī sampajāno satimā vineyya loke abhijjhādomanassaṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเน ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ , ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติ; อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา อสโมฺมสาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา ฉนฺทํ ชเนติ, วายมติ, วีริยํ อารภติ, จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, ปทหติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāro sammappadhāne bhāventi. Idhudāyi , bhikkhu anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya chandaṃ janeti, vāyamati, vīriyaṃ ārabhati, cittaṃ paggaṇhāti, padahati; uppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya chandaṃ janeti, vāyamati, vīriyaṃ ārabhati, cittaṃ paggaṇhāti, padahati; anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya chandaṃ janeti, vāyamati, vīriyaṃ ārabhati, cittaṃ paggaṇhāti, padahati; uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā asammosāya bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā chandaṃ janeti, vāyamati, vīriyaṃ ārabhati, cittaṃ paggaṇhāti, padahati. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาโร อิทฺธิปาเท ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีริยสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, จิตฺตสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติ, วีมํสาสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ อิทฺธิปาทํ ภาเวติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāro iddhipāde bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu chandasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāveti, vīriyasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāveti, cittasamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāveti, vīmaṃsāsamādhipadhānasaṅkhārasamannāgataṃ iddhipādaṃ bhāveti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ปญฺจินฺทฺริยานิ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ , ภิกฺขุ สทฺธินฺทฺริยํ ภาเวติ อุปสมคามิํ สโมฺพธคามิํ; วีริยินฺทฺริยํ ภาเวติ…เป.… สตินฺทฺริยํ ภาเวติ… สมาธินฺทฺริยํ ภาเวติ… ปญฺญินฺทฺริยํ ภาเวติ อุปสมคามิํ สโมฺพธคามิํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā pañcindriyāni bhāventi. Idhudāyi , bhikkhu saddhindriyaṃ bhāveti upasamagāmiṃ sambodhagāmiṃ; vīriyindriyaṃ bhāveti…pe… satindriyaṃ bhāveti… samādhindriyaṃ bhāveti… paññindriyaṃ bhāveti upasamagāmiṃ sambodhagāmiṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ปญฺจ พลานิ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สทฺธาพลํ ภาเวติ อุปสมคามิํ สโมฺพธคามิํ; วีริยพลํ ภาเวติ…เป.… สติพลํ ภาเวติ… สมาธิพลํ ภาเวติ… ปญฺญาพลํ ภาเวติ อุปสมคามิํ สโมฺพธคามิํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā pañca balāni bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu saddhābalaṃ bhāveti upasamagāmiṃ sambodhagāmiṃ; vīriyabalaṃ bhāveti…pe… satibalaṃ bhāveti… samādhibalaṃ bhāveti… paññābalaṃ bhāveti upasamagāmiṃ sambodhagāmiṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา สตฺตโพชฺฌเงฺค ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามิํ; ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ…เป.… วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… ปีติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ… อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามิํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā sattabojjhaṅge bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu satisambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekanissitaṃ virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ vossaggapariṇāmiṃ; dhammavicayasambojjhaṅgaṃ bhāveti…pe… vīriyasambojjhaṅgaṃ bhāveti… pītisambojjhaṅgaṃ bhāveti… passaddhisambojjhaṅgaṃ bhāveti… samādhisambojjhaṅgaṃ bhāveti… upekkhāsambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekanissitaṃ virāganissitaṃ nirodhanissitaṃ vossaggapariṇāmiṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ สมฺมาทิฎฺฐิํ ภาเวติ, สมฺมาสงฺกปฺปํ ภาเวติ, สมฺมาวาจํ ภาเวติ , สมฺมากมฺมนฺตํ ภาเวติ, สมฺมาอาชีวํ ภาเวติ, สมฺมาวายามํ ภาเวติ, สมฺมาสติํ ภาเวติ, สมฺมาสมาธิํ ภาเวติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu sammādiṭṭhiṃ bhāveti, sammāsaṅkappaṃ bhāveti, sammāvācaṃ bhāveti , sammākammantaṃ bhāveti, sammāājīvaṃ bhāveti, sammāvāyāmaṃ bhāveti, sammāsatiṃ bhāveti, sammāsamādhiṃ bhāveti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๔๘. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อฎฺฐ วิโมเกฺข ภาเวนฺติฯ รูปี รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ปฐโม วิโมโกฺข; อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ, อยํ ทุติโย วิโมโกฺข; สุภเนฺตว อธิมุโตฺต โหติ, อยํ ตติโย วิโมโกฺข; สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ จตุโตฺถ วิโมโกฺข; สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ปญฺจโม วิโมโกฺข; สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ ฉโฎฺฐ วิโมโกฺข; สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ สตฺตโม วิโมโกฺข; สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อยํ อฎฺฐโม วิโมโกฺขฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    248. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā aṭṭha vimokkhe bhāventi. Rūpī rūpāni passati, ayaṃ paṭhamo vimokkho; ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati, ayaṃ dutiyo vimokkho; subhanteva adhimutto hoti, ayaṃ tatiyo vimokkho; sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ catuttho vimokkho; sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ pañcamo vimokkho; sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ chaṭṭho vimokkho; sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharati, ayaṃ sattamo vimokkho; sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharati, ayaṃ aṭṭhamo vimokkho. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๔๙. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อฎฺฐ อภิภายตนานิ ภาเวนฺติฯ อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ปฐมํ อภิภายตนํฯ

    249. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā aṭṭha abhibhāyatanāni bhāventi. Ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ paṭhamaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ทุติยํ อภิภายตนํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ dutiyaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ตติยํ อภิภายตนํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ tatiyaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ จตุตฺถํ อภิภายตนํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ catutthaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม อุมาปุปฺผํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํ, เสยฺยถาปิ วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ นีลํ นีลวณฺณํ นีลนิทสฺสนํ นีลนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ นีลานิ นีลวณฺณานิ นีลนิทสฺสนานิ นีลนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ปญฺจมํ อภิภายตนํ ฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati nīlāni nīlavaṇṇāni nīlanidassanāni nīlanibhāsāni. Seyyathāpi nāma umāpupphaṃ nīlaṃ nīlavaṇṇaṃ nīlanidassanaṃ nīlanibhāsaṃ, seyyathāpi vā pana taṃ vatthaṃ bārāṇaseyyakaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ nīlaṃ nīlavaṇṇaṃ nīlanidassanaṃ nīlanibhāsaṃ; evameva ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati nīlāni nīlavaṇṇāni nīlanidassanāni nīlanibhāsāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ pañcamaṃ abhibhāyatanaṃ .

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม กณิการปุปฺผํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํ, เสยฺยถาปิ วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ ปีตํ ปีตวณฺณํ ปีตนิทสฺสนํ ปีตนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปีตานิ ปีตวณฺณานิ ปีตนิทสฺสนานิ ปีตนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ ฉฎฺฐํ อภิภายตนํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati pītāni pītavaṇṇāni pītanidassanāni pītanibhāsāni. Seyyathāpi nāma kaṇikārapupphaṃ pītaṃ pītavaṇṇaṃ pītanidassanaṃ pītanibhāsaṃ, seyyathāpi vā pana taṃ vatthaṃ bārāṇaseyyakaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ pītaṃ pītavaṇṇaṃ pītanidassanaṃ pītanibhāsaṃ; evameva ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati pītāni pītavaṇṇāni pītanidassanāni pītanibhāsāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ chaṭṭhaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม พนฺธุชีวกปุปฺผํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํ, เสยฺยถาปิ วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ โลหิตกํ โลหิตกวณฺณํ โลหิตกนิทสฺสนํ โลหิตกนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โลหิตกานิ โลหิตกวณฺณานิ โลหิตกนิทสฺสนานิ โลหิตกนิภาสานิฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ, ปสฺสามี’ติ เอวํ สญฺญี โหติฯ อิทํ สตฺตมํ อภิภายตนํฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati lohitakāni lohitakavaṇṇāni lohitakanidassanāni lohitakanibhāsāni. Seyyathāpi nāma bandhujīvakapupphaṃ lohitakaṃ lohitakavaṇṇaṃ lohitakanidassanaṃ lohitakanibhāsaṃ, seyyathāpi vā pana taṃ vatthaṃ bārāṇaseyyakaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ lohitakaṃ lohitakavaṇṇaṃ lohitakanidassanaṃ lohitakanibhāsaṃ; evameva ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati lohitakāni lohitakavaṇṇāni lohitakanidassanāni lohitakanibhāsāni. ‘Tāni abhibhuyya jānāmi, passāmī’ti evaṃ saññī hoti. Idaṃ sattamaṃ abhibhāyatanaṃ.

    ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิฯ เสยฺยถาปิ นาม โอสธิตารกา โอทาตา โอทาตวณฺณา โอทาตนิทสฺสนา โอทาตนิภาสา, เสยฺยถาปิ วา ปน ตํ วตฺถํ พาราณเสยฺยกํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ โอทาตํ โอทาตวณฺณํ โอทาตนิทสฺสนํ โอทาตนิภาสํ; เอวเมว อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ โอทาตานิ โอทาตวณฺณานิ โอทาตนิทสฺสนานิ โอทาตนิภาสานิ ฯ ‘ตานิ อภิภุยฺย ชานามิ , ปสฺสามี’ติ เอวํสญฺญี โหติฯ อิทํ อฎฺฐมํ อภิภายตนํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati odātāni odātavaṇṇāni odātanidassanāni odātanibhāsāni. Seyyathāpi nāma osadhitārakā odātā odātavaṇṇā odātanidassanā odātanibhāsā, seyyathāpi vā pana taṃ vatthaṃ bārāṇaseyyakaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ odātaṃ odātavaṇṇaṃ odātanidassanaṃ odātanibhāsaṃ; evameva ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati odātāni odātavaṇṇāni odātanidassanāni odātanibhāsāni . ‘Tāni abhibhuyya jānāmi , passāmī’ti evaṃsaññī hoti. Idaṃ aṭṭhamaṃ abhibhāyatanaṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๐. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ทส กสิณายตนานิ ภาเวนฺติฯ ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธมโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณํ; อาโปกสิณเมโก สญฺชานาติ…เป.… เตโชกสิณเมโก สญฺชานาติ… วาโยกสิณเมโก สญฺชานาติ… นีลกสิณเมโก สญฺชานาติ… ปีตกสิณเมโก สญฺชานาติ… โลหิตกสิณเมโก สญฺชานาติ… โอทาตกสิณเมโก สญฺชานาติ… อากาสกสิณเมโก สญฺชานาติ … วิญฺญาณกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธมโธ ติริยํ อทฺวยํ อปฺปมาณํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    250. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā dasa kasiṇāyatanāni bhāventi. Pathavīkasiṇameko sañjānāti uddhamadho tiriyaṃ advayaṃ appamāṇaṃ; āpokasiṇameko sañjānāti…pe… tejokasiṇameko sañjānāti… vāyokasiṇameko sañjānāti… nīlakasiṇameko sañjānāti… pītakasiṇameko sañjānāti… lohitakasiṇameko sañjānāti… odātakasiṇameko sañjānāti… ākāsakasiṇameko sañjānāti … viññāṇakasiṇameko sañjānāti uddhamadho tiriyaṃ advayaṃ appamāṇaṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๑. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา จตฺตาริ ฌานานิ ภาเวนฺติฯ อิธุทายิ, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ทโกฺข นฺหาปโก 29 วา นฺหาปกเนฺตวาสี วา กํสถาเล นฺหานียจุณฺณานิ 30 อากิริตฺวา อุทเกน ปริโปฺผสกํ ปริโปฺผสกํ สเนฺนยฺย, สายํ นฺหานียปิณฺฑิ 31 เสฺนหานุคตา เสฺนหปเรโต สนฺตรพาหิรา ผุฎา เสฺนเหน น จ ปคฺฆริณี; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ วิเวกเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส วิเวกเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    251. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā cattāri jhānāni bhāventi. Idhudāyi, bhikkhu vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti. Seyyathāpi, udāyi, dakkho nhāpako 32 vā nhāpakantevāsī vā kaṃsathāle nhānīyacuṇṇāni 33 ākiritvā udakena paripphosakaṃ paripphosakaṃ sanneyya, sāyaṃ nhānīyapiṇḍi 34 snehānugatā snehapareto santarabāhirā phuṭā snehena na ca pagghariṇī; evameva kho, udāyi, bhikkhu imameva kāyaṃ vivekajena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa vivekajena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติ ฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อุทกรหโท คมฺภีโร อุพฺภิโททโก 35ฯ ตสฺส เนวสฺส ปุรตฺถิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ , น ปจฺฉิมาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น อุตฺตราย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, น ทกฺขิณาย ทิสาย อุทกสฺส อายมุขํ, เทโว จ น กาเลน กาลํ สมฺมา ธารํ อนุปฺปเวเจฺฉยฺย; อถ โข ตมฺหาว อุทกรหทา สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ตเมว อุทกรหทํ สีเตน วารินา อภิสเนฺทยฺย ปริสเนฺทยฺย ปริปูเรยฺย ปริปฺผเรยฺย, นาสฺส 36 กิญฺจิ สพฺพาวโต อุทกรหทสฺส สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺสฯ เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ สมาธิเชน ปีติสุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส สมาธิเชน ปีติสุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti . Seyyathāpi, udāyi, udakarahado gambhīro ubbhidodako 37. Tassa nevassa puratthimāya disāya udakassa āyamukhaṃ , na pacchimāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na uttarāya disāya udakassa āyamukhaṃ, na dakkhiṇāya disāya udakassa āyamukhaṃ, devo ca na kālena kālaṃ sammā dhāraṃ anuppaveccheyya; atha kho tamhāva udakarahadā sītā vāridhārā ubbhijjitvā tameva udakarahadaṃ sītena vārinā abhisandeyya parisandeyya paripūreyya paripphareyya, nāssa 38 kiñci sabbāvato udakarahadassa sītena vārinā apphuṭaṃ assa. Evameva kho, udāyi, bhikkhu imameva kāyaṃ samādhijena pītisukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa samādhijena pītisukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ ปีติยา จ วิราคา…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อุปฺปลินิยํ วา ปทุมินิยํ วา ปุณฺฑรีกินิยํ วา อเปฺปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก สํวฑฺฒานิ อุทกานุคฺคตานิ อโนฺต นิมุคฺคโปสีนิ, ตานิ ยาว จคฺคา ยาว จ มูลา สีเตน วารินา อภิสนฺนานิ ปริสนฺนานิ ปริปูรานิ ปริปฺผุฎานิ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวตํ, อุปฺปลานํ วา ปทุมานํ วา ปุณฺฑรีกานํ วา สีเตน วารินา อปฺผุฎํ อสฺส; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ นิปฺปีติเกน สุเขน อภิสเนฺทติ ปริสเนฺทติ ปริปูเรติ ปริปฺผรติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส นิปฺปีติเกน สุเขน อปฺผุฎํ โหติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, bhikkhu pītiyā ca virāgā…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti. Seyyathāpi, udāyi, uppaliniyaṃ vā paduminiyaṃ vā puṇḍarīkiniyaṃ vā appekaccāni uppalāni vā padumāni vā puṇḍarīkāni vā udake jātāni udake saṃvaḍḍhāni udakānuggatāni anto nimuggaposīni, tāni yāva caggā yāva ca mūlā sītena vārinā abhisannāni parisannāni paripūrāni paripphuṭāni, nāssa kiñci sabbāvataṃ, uppalānaṃ vā padumānaṃ vā puṇḍarīkānaṃ vā sītena vārinā apphuṭaṃ assa; evameva kho, udāyi, bhikkhu imameva kāyaṃ nippītikena sukhena abhisandeti parisandeti paripūreti parippharati, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa nippītikena sukhena apphuṭaṃ hoti.

    ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, ภิกฺขุ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ โส อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส โอทาเตน วเตฺถน สสีสํ ปารุปิตฺวา นิสิโนฺน อสฺส, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส โอทาเตน วเตฺถน อปฺผุฎํ อสฺส; เอวเมว โข, อุทายิ, ภิกฺขุ อิมเมว กายํ ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน ผริตฺวา นิสิโนฺน โหติ, นาสฺส กิญฺจิ สพฺพาวโต กายสฺส ปริสุเทฺธน เจตสา ปริโยทาเตน อปฺผุฎํ โหติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, bhikkhu sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. So imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti. Seyyathāpi, udāyi, puriso odātena vatthena sasīsaṃ pārupitvā nisinno assa, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa odātena vatthena apphuṭaṃ assa; evameva kho, udāyi, bhikkhu imameva kāyaṃ parisuddhena cetasā pariyodātena pharitvā nisinno hoti, nāssa kiñci sabbāvato kāyassa parisuddhena cetasā pariyodātena apphuṭaṃ hoti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๒. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา เอวํ ปชานนฺติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธํ’ฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน สพฺพาการสมฺปโนฺน; ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วาฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส หเตฺถ กริตฺวา ปจฺจเวเกฺขยฺย – ‘อยํ โข มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฎฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน สพฺพาการสมฺปโนฺน; ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุตํ นีลํ วา ปีตํ วา โลหิตํ วา โอทาตํ วา ปณฺฑุสุตฺตํ วา’ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา เอวํ ปชานนฺติ – ‘อยํ โข เม กาโย รูปี จาตุมหาภูติโก มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสูปจโย อนิจฺจุจฺฉาทนปริมทฺทนเภทนวิทฺธํสนธโมฺม; อิทญฺจ ปน เม วิญฺญาณํ เอตฺถ สิตํ เอตฺถ ปฎิพทฺธ’นฺติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    252. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā evaṃ pajānanti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo; idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddhaṃ’. Seyyathāpi, udāyi, maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno sabbākārasampanno; tatridaṃ suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā. Tamenaṃ cakkhumā puriso hatthe karitvā paccavekkheyya – ‘ayaṃ kho maṇi veḷuriyo subho jātimā aṭṭhaṃso suparikammakato accho vippasanno sabbākārasampanno; tatridaṃ suttaṃ āvutaṃ nīlaṃ vā pītaṃ vā lohitaṃ vā odātaṃ vā paṇḍusuttaṃ vā’ti. Evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā evaṃ pajānanti – ‘ayaṃ kho me kāyo rūpī cātumahābhūtiko mātāpettikasambhavo odanakummāsūpacayo aniccucchādanaparimaddanabhedanaviddhaṃsanadhammo; idañca pana me viññāṇaṃ ettha sitaṃ ettha paṭibaddha’nti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๓. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินนฺติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริยํฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส มุญฺชมฺหา อีสิกํ ปพฺพาเหยฺย; ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ มุโญฺช, อยํ อีสิกา; อโญฺญ มุโญฺช, อญฺญา อีสิกา; มุญฺชมฺหาเตฺวว อีสิกา ปพฺพาฬฺหา’ติฯ เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ปุริโส อสิํ โกสิยา ปพฺพาเหยฺย; ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อสิ, อยํ โกสิ; อโญฺญ อสิ อญฺญา โกสิ; โกสิยาเตฺวว อสิ ปพฺพาโฬฺห’ติฯ เสยฺยถา วา, ปนุทายิ , ปุริโส อหิํ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺย; ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ อหิ, อยํ กรโณฺฑ; อโญฺญ อหิ, อโญฺญ กรโณฺฑ; กรณฺฑาเตฺวว อหิ อุพฺภโต’ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อิมมฺหา กายา อญฺญํ กายํ อภินิมฺมินนฺติ รูปิํ มโนมยํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคิํ อหีนินฺทฺริยํฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    253. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimminanti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriyaṃ. Seyyathāpi, udāyi, puriso muñjamhā īsikaṃ pabbāheyya; tassa evamassa – ‘ayaṃ muñjo, ayaṃ īsikā; añño muñjo, aññā īsikā; muñjamhātveva īsikā pabbāḷhā’ti. Seyyathā vā panudāyi, puriso asiṃ kosiyā pabbāheyya; tassa evamassa – ‘ayaṃ asi, ayaṃ kosi; añño asi aññā kosi; kosiyātveva asi pabbāḷho’ti. Seyyathā vā, panudāyi , puriso ahiṃ karaṇḍā uddhareyya; tassa evamassa – ‘ayaṃ ahi, ayaṃ karaṇḍo; añño ahi, añño karaṇḍo; karaṇḍātveva ahi ubbhato’ti. Evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā imamhā kāyā aññaṃ kāyaṃ abhinimminanti rūpiṃ manomayaṃ sabbaṅgapaccaṅgiṃ ahīnindriyaṃ. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๔. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภนฺติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหนฺติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน 39 คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมนฺติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสนฺติ ปริมชฺชนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ทโกฺข กุมฺภกาโร วา กุมฺภการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตาย มตฺติกาย ยํ ยเทว ภาชนวิกติํ อากเงฺขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺย; เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ทโกฺข ทนฺตกาโร วา ทนฺตการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ ทนฺตสฺมิํ ยํ ยเทว ทนฺตวิกติํ อากเงฺขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺย; เสยฺยถา วา ปนุทายิ, ทโกฺข สุวณฺณกาโร วา สุวณฺณการเนฺตวาสี วา สุปริกมฺมกตสฺมิํ สุวณฺณสฺมิํ ยํ ยเทว สุวณฺณวิกติํ อากเงฺขยฺย ตํ ตเทว กเรยฺย อภินิปฺผาเทยฺยฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภนฺติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหนฺติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉนฺติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรนฺติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉนฺติ , เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมนฺติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสนฺติ ปริมชฺชนฺติ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตนฺติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    254. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhonti – ekopi hutvā bahudhā honti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ, tirobhāvaṃ; tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamānā gacchanti, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karonti, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāne 40 gacchanti, seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamanti, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasanti parimajjanti, yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattenti. Seyyathāpi, udāyi, dakkho kumbhakāro vā kumbhakārantevāsī vā suparikammakatāya mattikāya yaṃ yadeva bhājanavikatiṃ ākaṅkheyya taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya; seyyathā vā panudāyi, dakkho dantakāro vā dantakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ dantasmiṃ yaṃ yadeva dantavikatiṃ ākaṅkheyya taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya; seyyathā vā panudāyi, dakkho suvaṇṇakāro vā suvaṇṇakārantevāsī vā suparikammakatasmiṃ suvaṇṇasmiṃ yaṃ yadeva suvaṇṇavikatiṃ ākaṅkheyya taṃ tadeva kareyya abhinipphādeyya. Evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhonti – ekopi hutvā bahudhā honti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ, tirobhāvaṃ; tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamānā gacchanti, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karonti, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāne gacchanti , seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamanti, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasanti parimajjanti, yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattenti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๕. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณนฺติ – ทิเพฺพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, พลวา สงฺขธโม อปฺปกสิเรเนว จาตุทฺทิสา วิญฺญาเปยฺย; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณนฺติ – ทิเพฺพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    255. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇanti – dibbe ca mānuse ca, ye dūre santike ca. Seyyathāpi, udāyi, balavā saṅkhadhamo appakasireneva cātuddisā viññāpeyya; evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇanti – dibbe ca mānuse ca, ye dūre santike ca. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๖. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานนฺติ – สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ ‘วีตราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; สโทสํ วา จิตฺตํ ‘สโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ ‘วีตโทสํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; สโมหํ วา จิตฺตํ ‘สโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ ‘วีตโมหํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; สํขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘สงฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิกฺขิตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘มหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ ‘อมหคฺคตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘สอุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ ‘อนุตฺตรํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘สมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ ‘อสมาหิตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘วิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, อิตฺถี วา ปุริโส วา ทหโร ยุวา มณฺฑนกชาติโก อาทาเส วา ปริสุเทฺธ ปริโยทาเต อเจฺฉ วา อุทกปเตฺต สกํ มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขมาโน สกณิกํ วา ‘สกณิก’นฺติ 41 ชาเนยฺย , อกณิกํ วา ‘อกณิก’นฺติ 42 ชาเนยฺย; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานนฺติ – สราคํ วา จิตฺตํ ‘สราคํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ…เป.… สโทสํ วา จิตฺตํ… วีตโทสํ วา จิตฺตํ… สโมหํ วา จิตฺตํ… วีตโมหํ วา จิตฺตํ… สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ… วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ… มหคฺคตํ วา จิตฺตํ… อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ… สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ… อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ… สมาหิตํ วา จิตฺตํ… อสมาหิตํ วา จิตฺตํ… วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ… อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ ‘อวิมุตฺตํ จิตฺต’นฺติ ปชานนฺติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    256. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānanti – sarāgaṃ vā cittaṃ ‘sarāgaṃ citta’nti pajānanti, vītarāgaṃ vā cittaṃ ‘vītarāgaṃ citta’nti pajānanti; sadosaṃ vā cittaṃ ‘sadosaṃ citta’nti pajānanti, vītadosaṃ vā cittaṃ ‘vītadosaṃ citta’nti pajānanti; samohaṃ vā cittaṃ ‘samohaṃ citta’nti pajānanti, vītamohaṃ vā cittaṃ ‘vītamohaṃ citta’nti pajānanti; saṃkhittaṃ vā cittaṃ ‘saṅkhittaṃ citta’nti pajānanti, vikkhittaṃ vā cittaṃ ‘vikkhittaṃ citta’nti pajānanti; mahaggataṃ vā cittaṃ ‘mahaggataṃ citta’nti pajānanti, amahaggataṃ vā cittaṃ ‘amahaggataṃ citta’nti pajānanti; sauttaraṃ vā cittaṃ ‘sauttaraṃ citta’nti pajānanti, anuttaraṃ vā cittaṃ ‘anuttaraṃ citta’nti pajānanti; samāhitaṃ vā cittaṃ ‘samāhitaṃ citta’nti pajānanti, asamāhitaṃ vā cittaṃ ‘asamāhitaṃ citta’nti pajānanti; vimuttaṃ vā cittaṃ ‘vimuttaṃ citta’nti pajānanti, avimuttaṃ vā cittaṃ ‘avimuttaṃ citta’nti pajānanti. Seyyathāpi, udāyi, itthī vā puriso vā daharo yuvā maṇḍanakajātiko ādāse vā parisuddhe pariyodāte acche vā udakapatte sakaṃ mukhanimittaṃ paccavekkhamāno sakaṇikaṃ vā ‘sakaṇika’nti 43 jāneyya , akaṇikaṃ vā ‘akaṇika’nti 44 jāneyya; evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānanti – sarāgaṃ vā cittaṃ ‘sarāgaṃ citta’nti pajānanti, vītarāgaṃ vā cittaṃ…pe… sadosaṃ vā cittaṃ… vītadosaṃ vā cittaṃ… samohaṃ vā cittaṃ… vītamohaṃ vā cittaṃ… saṅkhittaṃ vā cittaṃ… vikkhittaṃ vā cittaṃ… mahaggataṃ vā cittaṃ… amahaggataṃ vā cittaṃ… sauttaraṃ vā cittaṃ… anuttaraṃ vā cittaṃ… samāhitaṃ vā cittaṃ… asamāhitaṃ vā cittaṃ… vimuttaṃ vā cittaṃ… avimuttaṃ vā cittaṃ ‘avimuttaṃ citta’nti pajānanti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๗. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ, อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปุริโส สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺย, ตมฺหาปิ คามา อญฺญํ คามํ คเจฺฉยฺย; โส ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคเจฺฉยฺย; ตสฺส เอวมสฺส – ‘อหํ โข สกมฺหา คามา อญฺญํ คามํ อคจฺฉิํ, ตตฺร เอวํ อฎฺฐาสิํ เอวํ นิสีทิํ เอวํ อภาสิํ เอวํ ตุณฺหี อโหสิํ; ตมฺหาปิ คามา อมุํ คามํ อคจฺฉิํ, ตตฺราปิ เอวํ อฎฺฐาสิํ เอวํ นิสีทิํ เอวํ อภาสิํ เอวํ ตุณฺหี อโหสิํ, โสมฺหิ ตมฺหา คามา สกํเยว คามํ ปจฺจาคโต’ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรนฺติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    257. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussaranti, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi, anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Seyyathāpi, udāyi, puriso sakamhā gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya, tamhāpi gāmā aññaṃ gāmaṃ gaccheyya; so tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgaccheyya; tassa evamassa – ‘ahaṃ kho sakamhā gāmā aññaṃ gāmaṃ agacchiṃ, tatra evaṃ aṭṭhāsiṃ evaṃ nisīdiṃ evaṃ abhāsiṃ evaṃ tuṇhī ahosiṃ; tamhāpi gāmā amuṃ gāmaṃ agacchiṃ, tatrāpi evaṃ aṭṭhāsiṃ evaṃ nisīdiṃ evaṃ abhāsiṃ evaṃ tuṇhī ahosiṃ, somhi tamhā gāmā sakaṃyeva gāmaṃ paccāgato’ti. Evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussaranti, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussaranti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๘. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานนฺติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, เทฺว อคารา สทฺวารา 45ฯ ตตฺร จกฺขุมา ปุริโส มเชฺฌ ฐิโต ปเสฺสยฺย มนุเสฺส เคหํ ปวิสเนฺตปิ นิกฺขมเนฺตปิ อนุจงฺกมเนฺตปิ อนุวิจรเนฺตปิ; เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสนฺติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานนฺติ…เป.… ตตฺร จ ป เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ

    258. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passanti cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānanti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā; ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passanti cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānanti. Seyyathāpi, udāyi, dve agārā sadvārā 46. Tatra cakkhumā puriso majjhe ṭhito passeyya manusse gehaṃ pavisantepi nikkhamantepi anucaṅkamantepi anuvicarantepi; evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passanti cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānanti…pe… tatra ca pa me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti.

    ๒๕๙. ‘‘ปุน จปรํ, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติฯ เสยฺยถาปิ, อุทายิ, ปพฺพตสเงฺขเป อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล, ตตฺถ จกฺขุมา ปุริโส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย สิปฺปิสมฺพุกมฺปิ 47 สกฺขรกฐลมฺปิ มจฺฉคุมฺพมฺปิ จรนฺตมฺปิ ติฎฺฐนฺตมฺปิฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘อยํ โข อุทกรหโท อโจฺฉ วิปฺปสโนฺน อนาวิโล, ตตฺริเม สิปฺปิสมฺพุกาปิ สกฺขรกฐลาปิ มจฺฉคุมฺพาปิ จรนฺติปิ ติฎฺฐนฺติปี’ติฯ เอวเมว โข, อุทายิ, อกฺขาตา มยา สาวกานํ ปฎิปทา, ยถาปฎิปนฺนา เม สาวกา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติฯ ตตฺร จ ปน เม สาวกา พหู อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา วิหรนฺติฯ อยํ โข, อุทายิ, ปญฺจโม ธโมฺม เยน มม สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺติฯ

    259. ‘‘Puna caparaṃ, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharanti. Seyyathāpi, udāyi, pabbatasaṅkhepe udakarahado accho vippasanno anāvilo, tattha cakkhumā puriso tīre ṭhito passeyya sippisambukampi 48 sakkharakaṭhalampi macchagumbampi carantampi tiṭṭhantampi. Tassa evamassa – ‘ayaṃ kho udakarahado accho vippasanno anāvilo, tatrime sippisambukāpi sakkharakaṭhalāpi macchagumbāpi carantipi tiṭṭhantipī’ti. Evameva kho, udāyi, akkhātā mayā sāvakānaṃ paṭipadā, yathāpaṭipannā me sāvakā āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharanti. Tatra ca pana me sāvakā bahū abhiññāvosānapāramippattā viharanti. Ayaṃ kho, udāyi, pañcamo dhammo yena mama sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharanti.

    ‘‘อิเม โข, อุทายิ, ปญฺจ ธมฺมา เยหิ มมํ สาวกา สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติ, สกฺกตฺวา ครุํ กตฺวา อุปนิสฺสาย วิหรนฺตี’’ติฯ

    ‘‘Ime kho, udāyi, pañca dhammā yehi mamaṃ sāvakā sakkaronti garuṃ karonti mānenti pūjenti, sakkatvā garuṃ katvā upanissāya viharantī’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน สกุลุทายี ปริพฺพาชโก ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano sakuludāyī paribbājako bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    มหาสกุลุทายิสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ สตฺตมํฯ

    Mahāsakuludāyisuttaṃ niṭṭhitaṃ sattamaṃ.







    Footnotes:
    1. ยตฺถิเม (สี.)
    2. ครุกตฺวา (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    3. yatthime (sī.)
    4. garukatvā (sī. syā. kaṃ. pī.)
    5. ชณฺณุเก (สี.)
    6. ปจฺจาสิํ สมานรูโป (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    7. ขุทฺทํ มธุํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    8. อุปฺปีเฬยฺย (สี.)
    9. jaṇṇuke (sī.)
    10. paccāsiṃ samānarūpo (sī. syā. kaṃ. pī.)
    11. khuddaṃ madhuṃ (sī. syā. kaṃ. pī.)
    12. uppīḷeyya (sī.)
    13. มม (สพฺพตฺถ)
    14. ครุกโรนฺติ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    15. mama (sabbattha)
    16. garukaronti (sī. syā. kaṃ. pī.)
    17. ปาปณิกานิ วา นนฺตกานิ วา (สี.)
    18. อุจฺฉินฺทิตฺวา (ก.)
    19. pāpaṇikāni vā nantakāni vā (sī.)
    20. ucchinditvā (ka.)
    21. นิมนฺตนสฺสาปิ (ก.)
    22. nimantanassāpi (ka.)
    23. ผุสฺสิตคฺคเฬสุ (สี. ปี.)
    24. phussitaggaḷesu (sī. pī.)
    25. ยมุทายิ (สฺยา. ก.)
    26. yamudāyi (syā. ka.)
    27. ปจฺจาสิํสามิ (สี. สฺยา. กํ. ปี.)
    28. paccāsiṃsāmi (sī. syā. kaṃ. pī.)
    29. นหาปโก (สี. ปี.)
    30. นหานียจุณฺณานิ (สี. ปี.)
    31. สาสฺส นหานียปิณฺฑี (สี. สฺยา. กํ.)
    32. nahāpako (sī. pī.)
    33. nahānīyacuṇṇāni (sī. pī.)
    34. sāssa nahānīyapiṇḍī (sī. syā. kaṃ.)
    35. อุพฺภิโตทโก (สฺยา. กํ. ก.)
    36. น เนสํ (สี.)
    37. ubbhitodako (syā. kaṃ. ka.)
    38. na nesaṃ (sī.)
    39. อภิชฺชมานา (ก.)
    40. abhijjamānā (ka.)
    41. สกณิกงฺคํ วา สกณิกงฺคนฺติ (สี.)
    42. อกณิกงฺคํ วา อกณิกงฺคนฺติ (สี.)
    43. sakaṇikaṅgaṃ vā sakaṇikaṅganti (sī.)
    44. akaṇikaṅgaṃ vā akaṇikaṅganti (sī.)
    45. สนฺนทฺวารา (ก.)
    46. sannadvārā (ka.)
    47. สิปฺปิกสมฺพุกมฺปิ (สฺยา. กํ. ก.)
    48. sippikasambukampi (syā. kaṃ. ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact