Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) |
๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา
7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā
๒๓๗. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสกุลุทายิสุตฺตํฯ ตตฺถ โมรนิวาเปติ ตสฺมิํ ฐาเน โมรานํ อภยํ โฆเสตฺวา โภชนํ อทํสุฯ ตสฺมา ตํ ฐานํ โมรนิวาโปติ สงฺขํ คตํฯ อนฺนภาโรติ เอกสฺส ปริพฺพาชกสฺส นามํฯ ตถา วรธโรติฯ อเญฺญ จาติ น เกวลํ อิเม ตโย, อเญฺญปิ อภิญฺญาตา พหู ปริพฺพาชกาฯ อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีติ อิธ อปฺปสทฺทวินีโตติ อวตฺวาว อิทํ วุตฺตํฯ กสฺมา? น หิ ภควา อเญฺญน วินีโตติฯ
237.Evaṃme sutanti mahāsakuludāyisuttaṃ. Tattha moranivāpeti tasmiṃ ṭhāne morānaṃ abhayaṃ ghosetvā bhojanaṃ adaṃsu. Tasmā taṃ ṭhānaṃ moranivāpoti saṅkhaṃ gataṃ. Annabhāroti ekassa paribbājakassa nāmaṃ. Tathā varadharoti. Aññe cāti na kevalaṃ ime tayo, aññepi abhiññātā bahū paribbājakā. Appasaddassa vaṇṇavādīti idha appasaddavinītoti avatvāva idaṃ vuttaṃ. Kasmā? Na hi bhagavā aññena vinītoti.
๒๓๘. ปุริมานีติ หิโยฺยทิวสํ อุปาทาย ปุริมานิ นาม โหนฺติ, ตโต ปรํ ปุริมตรานิฯ กุตูหลสาลายนฺติ กุตูหลสาลา นาม ปเจฺจกสาลา นตฺถิ, ยตฺถ ปน นานาติตฺถิยา สมณพฺราหฺมณา นานาวิธํ กถํ ปวเตฺตนฺติ, สา พหูนํ – ‘‘อยํ กิํ วทติ , อยํ กิํ วทตี’’ติ กุตูหลุปฺปตฺติฎฺฐานโต ‘‘กุตูหลสาลา’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘โกตูหลสาลา’’ติปิ ปาโฐฯ ลาภาติ เย เอวรูเป สมณพฺราหฺมเณ ทฎฺฐุํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตุํ ธมฺมกถํ วา เนสํ โสตุํ ลภนฺติ, เตสํ องฺคมคธานํ อิเม ลาภาติ อโตฺถฯ
238.Purimānīti hiyyodivasaṃ upādāya purimāni nāma honti, tato paraṃ purimatarāni. Kutūhalasālāyanti kutūhalasālā nāma paccekasālā natthi, yattha pana nānātitthiyā samaṇabrāhmaṇā nānāvidhaṃ kathaṃ pavattenti, sā bahūnaṃ – ‘‘ayaṃ kiṃ vadati , ayaṃ kiṃ vadatī’’ti kutūhaluppattiṭṭhānato ‘‘kutūhalasālā’’ti vuccati. ‘‘Kotūhalasālā’’tipi pāṭho. Lābhāti ye evarūpe samaṇabrāhmaṇe daṭṭhuṃ pañhaṃ pucchituṃ dhammakathaṃ vā nesaṃ sotuṃ labhanti, tesaṃ aṅgamagadhānaṃ ime lābhāti attho.
สงฺฆิโนติอาทีสุ ปพฺพชิตสมูหสงฺขาโต สโงฺฆ เอเตสํ อตฺถีติ สงฺฆิโนฯ เสฺวว คโณ เอเตสํ อตฺถีติ คณิโนฯ อาจารสิกฺขาปนวเสน ตสฺส คณสฺส อาจริยาติ คณาจริยาฯ ญาตาติ ปญฺญาตา ปากฎาฯ ยถาภุจฺจคุเณหิ เจว อยถาภูตคุเณหิ จ สมุคฺคโต ยโส เอเตสํ อตฺถีติ ยสสฺสิโนฯ ปูรณาทีนญฺหิ ‘‘อปฺปิโจฺฉ สนฺตุโฎฺฐ, อปฺปิจฺฉตาย วตฺถมฺปิ น นิวาเสตี’’ติอาทินา นเยน ยโส สมุคฺคโต, ตถาคตสฺส ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทีหิ ยถาภูตคุเณหิฯ ติตฺถกราติ ลทฺธิกราฯ สาธุสมฺมตาติ อิเม สาธู สุนฺทรา สปฺปุริสาติ เอวํ สมฺมตาฯ พหุชนสฺสาติ อสฺสุตวโต เจว อนฺธพาลปุถุชฺชนสฺส วิภาวิโน จ ปณฺฑิตชนสฺสฯ ตตฺถ ติตฺถิยา พาลชนสฺส เอวํ สมฺมตา, ตถาคโต ปณฺฑิตชนสฺสฯ อิมินา นเยน ปูรโณ กสฺสโป สงฺฆีติอาทีสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ภควา ปน ยสฺมา อฎฺฐติํส อารมฺมณานิ วิภชโนฺต พหูนิ นิพฺพานโอตรณติตฺถานิ อกาสิ, ตสฺมา ‘‘ติตฺถกโร’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Saṅghinotiādīsu pabbajitasamūhasaṅkhāto saṅgho etesaṃ atthīti saṅghino. Sveva gaṇo etesaṃ atthīti gaṇino. Ācārasikkhāpanavasena tassa gaṇassa ācariyāti gaṇācariyā. Ñātāti paññātā pākaṭā. Yathābhuccaguṇehi ceva ayathābhūtaguṇehi ca samuggato yaso etesaṃ atthīti yasassino. Pūraṇādīnañhi ‘‘appiccho santuṭṭho, appicchatāya vatthampi na nivāsetī’’tiādinā nayena yaso samuggato, tathāgatassa ‘‘itipi so bhagavā’’tiādīhi yathābhūtaguṇehi. Titthakarāti laddhikarā. Sādhusammatāti ime sādhū sundarā sappurisāti evaṃ sammatā. Bahujanassāti assutavato ceva andhabālaputhujjanassa vibhāvino ca paṇḍitajanassa. Tattha titthiyā bālajanassa evaṃ sammatā, tathāgato paṇḍitajanassa. Iminā nayena pūraṇo kassapo saṅghītiādīsu attho veditabbo. Bhagavā pana yasmā aṭṭhatiṃsa ārammaṇāni vibhajanto bahūni nibbānaotaraṇatitthāni akāsi, tasmā ‘‘titthakaro’’ti vattuṃ vaṭṭati.
กสฺมา ปเนเต สเพฺพปิ ตตฺถ โอสฎาติ? อุปฎฺฐากรกฺขณตฺถเญฺจว ลาภสกฺการตฺถญฺจฯ เตสญฺหิ เอวํ โหติ – ‘‘อมฺหากํ อุปฎฺฐากา สมณํ โคตมํ สรณํ คเจฺฉยฺยุํ, เต จ รกฺขิสฺสามฯ สมณสฺส จ โคตมสฺส อุปฎฺฐาเก สกฺการํ กโรเนฺต ทิสฺวา อมฺหากมฺปิ อุปฎฺฐากา อมฺหากํ สกฺการํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ตสฺมา ยตฺถ ยตฺถ ภควา โอสรติ, ตตฺถ ตตฺถ สเพฺพ โอสรนฺติฯ
Kasmā panete sabbepi tattha osaṭāti? Upaṭṭhākarakkhaṇatthañceva lābhasakkāratthañca. Tesañhi evaṃ hoti – ‘‘amhākaṃ upaṭṭhākā samaṇaṃ gotamaṃ saraṇaṃ gaccheyyuṃ, te ca rakkhissāma. Samaṇassa ca gotamassa upaṭṭhāke sakkāraṃ karonte disvā amhākampi upaṭṭhākā amhākaṃ sakkāraṃ karissantī’’ti. Tasmā yattha yattha bhagavā osarati, tattha tattha sabbe osaranti.
๒๓๙. วาทํ อาโรเปตฺวาติ วาเท โทสํ อาโรเปตฺวาฯ อปกฺกนฺตาติ, อปคตา, เกจิ ทิสํ ปกฺกนฺตา, เกจิ คิหิภาวํ ปตฺตา, เกจิ อิมํ สาสนํ อาคตาฯ สหิตํ เมติ มยฺหํ วจนํ สหิตํ สิลิฎฺฐํ, อตฺถยุตฺตํ การณยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ อสหิตํ เตติ ตุยฺหํ วจนํ อสหิตํฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตนฺติ ยํ ตุยฺหํ ทีฆรตฺตาจิณฺณวเสน สุปฺปคุณํ, ตํ มยฺหํ เอกวจเนเนว วิปราวตฺตํ วิปริวตฺติตฺวา ฐิตํ, น กิญฺจิ ชาตนฺติ อโตฺถฯ อาโรปิโต เต วาโทติ มยา ตว วาเท โทโส อาโรปิโตฯ จร วาทปฺปโมกฺขายาติ โทสโมจนตฺถํ จร วิจร, ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา สิกฺขาติ อโตฺถฯ นิเพฺพเฐหิ วา สเจ ปโหสีติ อถ สยํ ปโหสิ, อิทาเนว นิเพฺพเฐหิฯ ธมฺมโกฺกเสนาติ สภาวโกฺกเสนฯ
239.Vādaṃ āropetvāti vāde dosaṃ āropetvā. Apakkantāti, apagatā, keci disaṃ pakkantā, keci gihibhāvaṃ pattā, keci imaṃ sāsanaṃ āgatā. Sahitaṃ meti mayhaṃ vacanaṃ sahitaṃ siliṭṭhaṃ, atthayuttaṃ kāraṇayuttanti attho. Asahitaṃ teti tuyhaṃ vacanaṃ asahitaṃ. Adhiciṇṇaṃ te viparāvattanti yaṃ tuyhaṃ dīgharattāciṇṇavasena suppaguṇaṃ, taṃ mayhaṃ ekavacaneneva viparāvattaṃ viparivattitvā ṭhitaṃ, na kiñci jātanti attho. Āropito te vādoti mayā tava vāde doso āropito. Cara vādappamokkhāyāti dosamocanatthaṃ cara vicara, tattha tattha gantvā sikkhāti attho. Nibbeṭhehi vā sace pahosīti atha sayaṃ pahosi, idāneva nibbeṭhehi. Dhammakkosenāti sabhāvakkosena.
๒๔๐. ตํ โน โสสฺสามาติ ตํ อมฺหากํ เทสิตํ ธมฺมํ สุณิสฺสามฯ ขุทฺทมธุนฺติ ขุทฺทกมกฺขิกาหิ กตํ ทณฺฑกมธุํฯ อเนลกนฺติ นิโทฺทสํ อปคตมจฺฉิกณฺฑกํฯ ปีเฬยฺยาติ ทเทยฺยฯ ปจฺจาสีสมานรูโปติ ปูเรตฺวา นุ โข โน โภชนํ ทสฺสตีติ ภาชนหโตฺถ ปจฺจาสีสมาโน ปจฺจุปฎฺฐิโต อสฺสฯ สมฺปโยเชตฺวาติ อปฺปมตฺตกํ วิวาทํ กตฺวาฯ
240.Taṃ no sossāmāti taṃ amhākaṃ desitaṃ dhammaṃ suṇissāma. Khuddamadhunti khuddakamakkhikāhi kataṃ daṇḍakamadhuṃ. Anelakanti niddosaṃ apagatamacchikaṇḍakaṃ. Pīḷeyyāti dadeyya. Paccāsīsamānarūpoti pūretvā nu kho no bhojanaṃ dassatīti bhājanahattho paccāsīsamāno paccupaṭṭhito assa. Sampayojetvāti appamattakaṃ vivādaṃ katvā.
๒๔๑. อิตรีตเรนาติ ลามกลามเกนฯ ปวิวิโตฺตติ อิทํ ปริพฺพาชโก กายวิเวกมตฺตํ สนฺธาย วทติ, ภควา ปน ตีหิ วิเวเกหิ วิวิโตฺตวฯ
241.Itarītarenāti lāmakalāmakena. Pavivittoti idaṃ paribbājako kāyavivekamattaṃ sandhāya vadati, bhagavā pana tīhi vivekehi vivittova.
๒๔๒. โกสกาหาราปีติ ทานปตีนํ ฆเร อคฺคภิกฺขาฐปนตฺถํ ขุทฺทกสราวา โหนฺติ, ทานปติโน อคฺคภตฺตํ วา ตตฺถ ฐเปตฺวา ภุญฺชนฺติ, ปพฺพชิเต สมฺปเตฺต ตํ ภตฺตํ ตสฺส เทนฺติฯ ตํ สราวกํ โกสโกติ วุจฺจติฯ ตสฺมา เย จ เอเกเนว ภตฺตโกสเกน ยาเปนฺติ, เต โกสกาหาราติฯ เพลุวาหาราติ เพลุวมตฺตภตฺตาหาราฯ สมติตฺติกนฺติ โอฎฺฐวฎฺฎิยา เหฎฺฐิมเลขาสมํ ฯ อิมินา ธเมฺมนาติ อิมินา อปฺปาหารตาธเมฺมนฯ เอตฺถ ปน สพฺพากาเรเนว ภควา อนปฺปาหาโรติ น วตฺตโพฺพฯ ปธานภูมิยํ ฉพฺพสฺสานิ อปฺปาหาโรว อโหสิ, เวรญฺชายํ ตโย มาเส ปโตฺถทเนเนว ยาเปสิ ปาลิเลยฺยกวนสเณฺฑ ตโย มาเส ภิสมุฬาเลเหว ยาเปสิฯ อิธ ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ – ‘‘อหํ เอกสฺมิํ กาเล อปฺปาหาโร อโหสิํ, มยฺหํ ปน สาวกา ธุตงฺคสมาทานโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ ธุตงฺคํ น ภินฺทนฺตี’’ติฯ ตสฺมา ยทิ เต อิมินา ธเมฺมน สกฺกเรยฺยุํ, มยา หิ เต วิเสสตราฯ อโญฺญ เจว ปน ธโมฺม อตฺถิ, เยน มํ เต สกฺกโรนฺตีติ ทเสฺสติฯ อิมินา นเยน สพฺพวาเรสุ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
242.Kosakāhārāpīti dānapatīnaṃ ghare aggabhikkhāṭhapanatthaṃ khuddakasarāvā honti, dānapatino aggabhattaṃ vā tattha ṭhapetvā bhuñjanti, pabbajite sampatte taṃ bhattaṃ tassa denti. Taṃ sarāvakaṃ kosakoti vuccati. Tasmā ye ca ekeneva bhattakosakena yāpenti, te kosakāhārāti. Beluvāhārāti beluvamattabhattāhārā. Samatittikanti oṭṭhavaṭṭiyā heṭṭhimalekhāsamaṃ . Iminā dhammenāti iminā appāhāratādhammena. Ettha pana sabbākāreneva bhagavā anappāhāroti na vattabbo. Padhānabhūmiyaṃ chabbassāni appāhārova ahosi, verañjāyaṃ tayo māse patthodaneneva yāpesi pālileyyakavanasaṇḍe tayo māse bhisamuḷāleheva yāpesi. Idha pana etamatthaṃ dasseti – ‘‘ahaṃ ekasmiṃ kāle appāhāro ahosiṃ, mayhaṃ pana sāvakā dhutaṅgasamādānato paṭṭhāya yāvajīvaṃ dhutaṅgaṃ na bhindantī’’ti. Tasmā yadi te iminā dhammena sakkareyyuṃ, mayā hi te visesatarā. Añño ceva pana dhammo atthi, yena maṃ te sakkarontīti dasseti. Iminā nayena sabbavāresu yojanā veditabbā.
ปํสุกูลิกาติ สมาทินฺนปํสุกูลิกงฺคาฯ ลูขจีวรธราติ สตฺถสุตฺตลูขานิ จีวรานิ ธารยมานาฯ นนฺตกานีติ อนฺตวิรหิตานิ วตฺถขณฺฑานิ, ยทิ หิ เนสํ อโนฺต ภเวยฺย, ปิโลติกาติ สงฺขํ คเจฺฉยฺยุํฯ อุจฺจินิตฺวาติ ผาเลตฺวา ทุพฺพลฎฺฐานํ ปหาย ถิรฎฺฐานเมว คเหตฺวาฯ อลาพุโลมสานีติ อลาพุโลมสทิสสุตฺตานิ สุขุมานีติ ทีเปติฯ เอตฺตาวตา จ สตฺถา จีวรสโนฺตเสน อสนฺตุโฎฺฐติ น วตฺตโพฺพฯ อติมุตฺตกสุสานโต หิสฺส ปุณฺณทาสิยา ปารุปิตฺวา ปาติตสาณปํสุกูลํ คหณทิวเส อุทกปริยนฺตํ กตฺวา มหาปถวี อกมฺปิฯ อิธ ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ – ‘‘อหํ เอกสฺมิํเยว กาเล ปํสุกูลํ คณฺหิํ, มยฺหํ ปน สาวกา ธุตงฺคสมาทานโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ ธุตงฺคํ น ภินฺทนฺตี’’ติฯ
Paṃsukūlikāti samādinnapaṃsukūlikaṅgā. Lūkhacīvaradharāti satthasuttalūkhāni cīvarāni dhārayamānā. Nantakānīti antavirahitāni vatthakhaṇḍāni, yadi hi nesaṃ anto bhaveyya, pilotikāti saṅkhaṃ gaccheyyuṃ. Uccinitvāti phāletvā dubbalaṭṭhānaṃ pahāya thiraṭṭhānameva gahetvā. Alābulomasānīti alābulomasadisasuttāni sukhumānīti dīpeti. Ettāvatā ca satthā cīvarasantosena asantuṭṭhoti na vattabbo. Atimuttakasusānato hissa puṇṇadāsiyā pārupitvā pātitasāṇapaṃsukūlaṃ gahaṇadivase udakapariyantaṃ katvā mahāpathavī akampi. Idha pana etamatthaṃ dasseti – ‘‘ahaṃ ekasmiṃyeva kāle paṃsukūlaṃ gaṇhiṃ, mayhaṃ pana sāvakā dhutaṅgasamādānato paṭṭhāya yāvajīvaṃ dhutaṅgaṃ na bhindantī’’ti.
ปิณฺฑปาติกาติ อติเรกลาภํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมาทินฺนปิณฺฑปาติกงฺคาฯ สปทานจาริโนติ โลลุปฺปจารํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมาทินฺนสปทานจาราฯ อุญฺฉาสเก วเต รตาติ อุญฺฉาจริยสงฺขาเต ภิกฺขูนํ ปกติวเต รตา, อุจฺจนีจฆรทฺวารฎฺฐายิโน หุตฺวา กพรมิสฺสกํ ภตฺตํ สํหริตฺวา ปริภุญฺชนฺตีติ อโตฺถฯ อนฺตรฆรนฺติ พฺรหฺมายุสุเตฺต อุมฺมารโต ปฎฺฐาย อนฺตรฆรํ, อิธ อินฺทขีลโต ปฎฺฐาย อธิเปฺปตํฯ เอตฺตาวตา จ สตฺถา ปิณฺฑปาตสโนฺตเสน อสนฺตุโฎฺฐติ น วตฺตโพฺพ, อปฺปาหารตาย วุตฺตนิยาเมเนว ปน สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อิธ ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ – ‘‘อหํ เอกสฺมิํเยว กาเล นิมนฺตนํ น สาทยิํ, มยฺหํ ปน สาวกา ธุตงฺคสมาทานโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ ธุตงฺคํ น ภินฺทนฺตี’’ติฯ
Piṇḍapātikāti atirekalābhaṃ paṭikkhipitvā samādinnapiṇḍapātikaṅgā. Sapadānacārinoti loluppacāraṃ paṭikkhipitvā samādinnasapadānacārā. Uñchāsake vate ratāti uñchācariyasaṅkhāte bhikkhūnaṃ pakativate ratā, uccanīcagharadvāraṭṭhāyino hutvā kabaramissakaṃ bhattaṃ saṃharitvā paribhuñjantīti attho. Antaragharanti brahmāyusutte ummārato paṭṭhāya antaragharaṃ, idha indakhīlato paṭṭhāya adhippetaṃ. Ettāvatā ca satthā piṇḍapātasantosena asantuṭṭhoti na vattabbo, appāhāratāya vuttaniyāmeneva pana sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Idha pana etamatthaṃ dasseti – ‘‘ahaṃ ekasmiṃyeva kāle nimantanaṃ na sādayiṃ, mayhaṃ pana sāvakā dhutaṅgasamādānato paṭṭhāya yāvajīvaṃ dhutaṅgaṃ na bhindantī’’ti.
รุกฺขมูลิกาติ ฉนฺนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมาทินฺนรุกฺขมูลิกงฺคาฯ อโพฺภกาสิกาติ ฉนฺนญฺจ รุกฺขมูลญฺจ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมาทินฺนอโพฺภกาสิกงฺคาฯ อฎฺฐมาเสติ เหมนฺตคิมฺหิเก มาเสฯ อโนฺตวเสฺส ปน จีวรานุคฺคหตฺถํ ฉนฺนํ ปวิสนฺติฯ เอตฺตาวตา จ สตฺถา เสนาสนสโนฺตเสน อสนฺตุโฎฺฐติ น วตฺตโพฺพ, เสนาสนสโนฺตโส ปนสฺส ฉพฺพสฺสิกมหาปธาเนน จ ปาลิเลยฺยกวนสเณฺฑน จ ทีเปตโพฺพฯ อิธ ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ – ‘‘อหํ เอกสฺมิํเยว กาเล ฉนฺนํ น ปาวิสิํ, มยฺหํ ปน สาวกา ธุตงฺคสมาทานโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ ธุตงฺคํ น ภินฺทนฺตี’’ติฯ
Rukkhamūlikāti channaṃ paṭikkhipitvā samādinnarukkhamūlikaṅgā. Abbhokāsikāti channañca rukkhamūlañca paṭikkhipitvā samādinnaabbhokāsikaṅgā. Aṭṭhamāseti hemantagimhike māse. Antovasse pana cīvarānuggahatthaṃ channaṃ pavisanti. Ettāvatā ca satthā senāsanasantosena asantuṭṭhoti na vattabbo, senāsanasantoso panassa chabbassikamahāpadhānena ca pālileyyakavanasaṇḍena ca dīpetabbo. Idha pana etamatthaṃ dasseti – ‘‘ahaṃ ekasmiṃyeva kāle channaṃ na pāvisiṃ, mayhaṃ pana sāvakā dhutaṅgasamādānato paṭṭhāya yāvajīvaṃ dhutaṅgaṃ na bhindantī’’ti.
อารญฺญิกาติ คามนฺตเสนาสนํ ปฎิกฺขิปิตฺวา สมาทินฺนอารญฺญิกงฺคาฯ สงฺฆมเชฺฌ โอสรนฺตีติ อพทฺธสีมาย กถิตํ, พทฺธสีมายํ ปน วสนฺตา อตฺตโน วสนฎฺฐาเนเยว อุโปสถํ กโรนฺติฯ เอตฺตาวตา จ สตฺถา โน ปวิวิโตฺตติ น วตฺตโพฺพ, ‘‘อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อฑฺฒมาสํ ปฎิสลฺลิยิตุ’’นฺติ (ปารา. ๑๖๒; ๕๖๕) เอวญฺหิสฺส ปวิเวโก ปญฺญายติฯ อิธ ปน เอตมตฺถํ ทเสฺสติ ‘‘อหํ เอกสฺมิํเยว ตถารูเป กาเล ปฎิสลฺลิยิํ, มยฺหํ ปน สาวกา ธุตงฺคสมาทานโต ปฎฺฐาย ยาวชีวํ ธุตงฺคํ น ภินฺทนฺตี’’ติฯ มมํ สาวกาติ มํ สาวกาฯ
Āraññikāti gāmantasenāsanaṃ paṭikkhipitvā samādinnaāraññikaṅgā. Saṅghamajjhe osarantīti abaddhasīmāya kathitaṃ, baddhasīmāyaṃ pana vasantā attano vasanaṭṭhāneyeva uposathaṃ karonti. Ettāvatā ca satthā no pavivittoti na vattabbo, ‘‘icchāmahaṃ, bhikkhave, aḍḍhamāsaṃ paṭisalliyitu’’nti (pārā. 162; 565) evañhissa paviveko paññāyati. Idha pana etamatthaṃ dasseti ‘‘ahaṃ ekasmiṃyeva tathārūpe kāle paṭisalliyiṃ, mayhaṃ pana sāvakā dhutaṅgasamādānato paṭṭhāya yāvajīvaṃ dhutaṅgaṃ na bhindantī’’ti. Mamaṃ sāvakāti maṃ sāvakā.
๒๔๔. สนิทานนฺติ สปฺปจฺจยํฯ กิํ ปน อปฺปจฺจยํ นิพฺพานํ น เทเสตีติฯ โน น เทเสติ, สเหตุกํ ปน ตํ เทสนํ กตฺวา เทเสติ, โน อเหตุกนฺติฯ สปฺปาฎิหาริยนฺติ ปุริมเสฺสเวตํ เววจนํ, สการณนฺติ อโตฺถฯ ตํ วตาติ เอตฺถ วตาติ นิปาตมตฺตํฯ
244.Sanidānanti sappaccayaṃ. Kiṃ pana appaccayaṃ nibbānaṃ na desetīti. No na deseti, sahetukaṃ pana taṃ desanaṃ katvā deseti, no ahetukanti. Sappāṭihāriyanti purimassevetaṃ vevacanaṃ, sakāraṇanti attho. Taṃ vatāti ettha vatāti nipātamattaṃ.
๒๔๕. อนาคตํ วาทปถนฺติ อชฺช ฐเปตฺวา เสฺว วา ปุนทิวเส วา อฑฺฒมาเส วา มาเส วา สํวจฺฉเร วา ตสฺส ตสฺส ปญฺหสฺส อุปริ อาคมนวาทปถํฯ น ทกฺขตีติ ยถา สจฺจโก นิคโณฺฐ อตฺตโน นิคฺคหณตฺถํ อาคตการณํ วิเสเสตฺวา วทโนฺต น อทฺทส, เอวํ น ทกฺขตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ สหธเมฺมนาติ สการเณนฯ อนฺตรนฺตรา กถํ โอปาเตยฺยุนฺติ มม กถาวารํ ปจฺฉินฺทิตฺวา อนฺตรนฺตเร อตฺตโน กถํ ปเวเสยฺยุนฺติ อโตฺถฯ น โข ปนาหํ, อุทายีติ, อุทายิ, อหํ อมฺพฎฺฐโสณทณฺฑกูฎทนฺตสจฺจกนิคณฺฐาทีหิ สทฺธิํ มหาวาเท วตฺตมาเนปิ – ‘‘อโห วต เม เอกสาวโกปิ อุปมํ วา การณํ วา อาหริตฺวา ทเทยฺยา’’ติ เอวํ สาวเกสุ อนุสาสนิํ น ปจฺจาสีสามิฯ มมเยวาติ เอวรูเปสุ ฐาเนสุ สาวกา มมเยว อนุสาสนิํ โอวาทํ ปจฺจาสีสนฺติฯ
245.Anāgataṃ vādapathanti ajja ṭhapetvā sve vā punadivase vā aḍḍhamāse vā māse vā saṃvacchare vā tassa tassa pañhassa upari āgamanavādapathaṃ. Nadakkhatīti yathā saccako nigaṇṭho attano niggahaṇatthaṃ āgatakāraṇaṃ visesetvā vadanto na addasa, evaṃ na dakkhatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Sahadhammenāti sakāraṇena. Antarantarā kathaṃ opāteyyunti mama kathāvāraṃ pacchinditvā antarantare attano kathaṃ paveseyyunti attho. Na kho panāhaṃ, udāyīti, udāyi, ahaṃ ambaṭṭhasoṇadaṇḍakūṭadantasaccakanigaṇṭhādīhi saddhiṃ mahāvāde vattamānepi – ‘‘aho vata me ekasāvakopi upamaṃ vā kāraṇaṃ vā āharitvā dadeyyā’’ti evaṃ sāvakesu anusāsaniṃ na paccāsīsāmi. Mamayevāti evarūpesu ṭhānesu sāvakā mamayeva anusāsaniṃ ovādaṃ paccāsīsanti.
๒๔๖. เตสาหํ จิตฺตํ อาราเธมีติ เตสํ อหํ ตสฺส ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน จิตฺตํ คณฺหามิ สมฺปาเทมิ ปริปูเรมิ, อญฺญํ ปุโฎฺฐ อญฺญํ น พฺยากโรมิ, อมฺพํ ปุโฎฺฐ ลพุชํ วิย ลพุชํ วา ปุโฎฺฐ อมฺพํ วิยฯ เอตฺถ จ ‘‘อธิสีเล สมฺภาเวนฺตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน พุทฺธสีลํ นาม กถิตํ, ‘‘อภิกฺกเนฺต ญาณทสฺสเน สมฺภาเวนฺตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ‘‘อธิปญฺญาย สมฺภาเวนฺตี’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน ฐานุปฺปตฺติกปญฺญา, ‘‘เยน ทุเกฺขนา’’ติ วุตฺตฎฺฐาเน สจฺจพฺยากรณปญฺญาฯ ตตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณญฺจ สจฺจพฺยากรณปญฺญญฺจ ฐเปตฺวา อวเสสา ปญฺญา อธิปญฺญํ ภชติฯ
246.Tesāhaṃcittaṃ ārādhemīti tesaṃ ahaṃ tassa pañhassa veyyākaraṇena cittaṃ gaṇhāmi sampādemi paripūremi, aññaṃ puṭṭho aññaṃ na byākaromi, ambaṃ puṭṭho labujaṃ viya labujaṃ vā puṭṭho ambaṃ viya. Ettha ca ‘‘adhisīle sambhāventī’’ti vuttaṭṭhāne buddhasīlaṃ nāma kathitaṃ, ‘‘abhikkante ñāṇadassane sambhāventī’’ti vuttaṭṭhāne sabbaññutaññāṇaṃ, ‘‘adhipaññāya sambhāventī’’ti vuttaṭṭhāne ṭhānuppattikapaññā, ‘‘yena dukkhenā’’ti vuttaṭṭhāne saccabyākaraṇapaññā. Tattha sabbaññutaññāṇañca saccabyākaraṇapaññañca ṭhapetvā avasesā paññā adhipaññaṃ bhajati.
๒๔๗. อิทานิ เตสํ เตสํ วิเสสาธิคมานํ ปฎิปทํ อาจิกฺขโนฺต ปุน จปรํ อุทายีติอาทิมาหฯ ตตฺถ อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตาติ อภิญฺญาโวสานสงฺขาตเญฺจว อภิญฺญาปารมีสงฺขาตญฺจ อรหตฺตํ ปตฺตาฯ
247. Idāni tesaṃ tesaṃ visesādhigamānaṃ paṭipadaṃ ācikkhanto puna caparaṃ udāyītiādimāha. Tattha abhiññāvosānapāramippattāti abhiññāvosānasaṅkhātañceva abhiññāpāramīsaṅkhātañca arahattaṃ pattā.
สมฺมปฺปธาเนติ อุปายปธาเนฯ ฉนฺทํ ชเนตีติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทํ ชเนติฯ วายมตีติ วายามํ กโรติฯ วีริยํ อารภตีติ วีริยํ ปวเตฺตติฯ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาตีติ จิตฺตํ อุกฺขิปติฯ ปทหตีติ อุปายปธานํ กโรติฯ ภาวนาย ปาริปูริยาติ วฑฺฒิยา ปริปูรณตฺถํฯ อปิเจตฺถ – ‘‘ยา ฐิติ, โส อสโมฺมโส…เป.… ยํ เวปุลฺลํ, สา ภาวนาปาริปูรี’’ติ (วิภ. ๔๐๖) เอวํ ปุริมํ ปุริมสฺส ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมสฺส อโตฺถติปิ เวทิตพฺพํฯ
Sammappadhāneti upāyapadhāne. Chandaṃ janetīti kattukamyatākusalacchandaṃ janeti. Vāyamatīti vāyāmaṃ karoti. Vīriyaṃ ārabhatīti vīriyaṃ pavatteti. Cittaṃ paggaṇhātīti cittaṃ ukkhipati. Padahatīti upāyapadhānaṃ karoti. Bhāvanāya pāripūriyāti vaḍḍhiyā paripūraṇatthaṃ. Apicettha – ‘‘yā ṭhiti, so asammoso…pe… yaṃ vepullaṃ, sā bhāvanāpāripūrī’’ti (vibha. 406) evaṃ purimaṃ purimassa pacchimaṃ pacchimassa atthotipi veditabbaṃ.
อิเมหิ ปน สมฺมปฺปธาเนหิ กิํ กถิตํ? กสฺสปสํยุตฺตปริยาเยน สาวกสฺส ปุพฺพภาคปฎิปทา กถิตาฯ วุตฺตเญฺหตํ ตตฺถ –
Imehi pana sammappadhānehi kiṃ kathitaṃ? Kassapasaṃyuttapariyāyena sāvakassa pubbabhāgapaṭipadā kathitā. Vuttañhetaṃ tattha –
‘‘จตฺตาโรเม , อาวุโส, สมฺมปฺปธานาฯ กตเม จตฺตาโร? อิธาวุโส, ภิกฺขุ, อนุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุนฺติ อาตปฺปํ กโรติฯ อุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปฺปหียมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุนฺติ อาตปฺปํ กโรติฯ อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา อนุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุนฺติ อาตปฺปํ กโรติฯ อุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุนฺติ อาตปฺปํ กโรตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๕)ฯ
‘‘Cattārome , āvuso, sammappadhānā. Katame cattāro? Idhāvuso, bhikkhu, anuppannā me pāpakā akusalā dhammā uppajjamānā anatthāya saṃvatteyyunti ātappaṃ karoti. Uppannā me pāpakā akusalā dhammā appahīyamānā anatthāya saṃvatteyyunti ātappaṃ karoti. Anuppannā me kusalā dhammā anuppajjamānā anatthāya saṃvatteyyunti ātappaṃ karoti. Uppannā me kusalā dhammā nirujjhamānā anatthāya saṃvatteyyunti ātappaṃ karotī’’ti (saṃ. ni. 2.145).
เอตฺถ จ ปาปกา อกุสลาติ โลภาทโย เวทิตพฺพาฯ อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมาติ สมถวิปสฺสนา เจว มโคฺค จ, อุปฺปนฺนา กุสลา นาม สมถวิปสฺสนาวฯ มโคฺค ปน สกิํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌมาโน อนตฺถาย สํวตฺตนโก นาม นตฺถิฯ โส หิ ผลสฺส ปจฺจยํ ทตฺวาว นิรุชฺฌติฯ ปุริมสฺมิมฺปิ วา สมถวิปสฺสนาว คเหตพฺพาติ วุตฺตํ, ตํ ปน น ยุตฺตํฯ
Ettha ca pāpakā akusalāti lobhādayo veditabbā. Anuppannā kusalā dhammāti samathavipassanā ceva maggo ca, uppannā kusalā nāma samathavipassanāva. Maggo pana sakiṃ uppajjitvā nirujjhamāno anatthāya saṃvattanako nāma natthi. So hi phalassa paccayaṃ datvāva nirujjhati. Purimasmimpi vā samathavipassanāva gahetabbāti vuttaṃ, taṃ pana na yuttaṃ.
ตตฺถ ‘‘อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺตี’’ติ อตฺถสฺส อาวิภาวตฺถมิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ขีณาสวเตฺถโร ‘‘มหาเจติยญฺจ มหาโพธิญฺจ วนฺทิสฺสามี’’ติ สมาปตฺติลาภินา ภณฺฑคาหกสามเณเรน สทฺธิํ ชนปทโต มหาวิหารํ อาคนฺตฺวา วิหารปริเวณํ ปาวิสิฯ สายนฺหสมเย มหาภิกฺขุสเงฺฆ เจติยํ วนฺทมาเน เจติยํ วนฺทนตฺถาย น นิกฺขมิฯ กสฺมา? ขีณาสวานญฺหิ ตีสุ รตเนสุ มหนฺตํ คารวํ โหติฯ ตสฺมา ภิกฺขุสเงฺฆ วนฺทิตฺวา ปฎิกฺกมเนฺต มนุสฺสานํ สายมาสภุตฺตเวลายํ สามเณรมฺปิ อชานาเปตฺวา ‘‘เจติยํ วนฺทิสฺสามี’’ติ เอกโกว นิกฺขมิฯ สามเณโร – ‘‘กิํ นุ โข เถโร อเวลาย เอกโกว คจฺฉติ, ชานิสฺสามี’’ติ อุปชฺฌายสฺส ปทานุปทิโก นิกฺขมิฯ เถโร อนาวชฺชเนน ตสฺส อาคมนํ อชานโนฺต ทกฺขิณทฺวาเรน เจติยงฺคณํ อารุหิฯ สามเณโรปิ อนุปทํเยว อารุโฬฺหฯ
Tattha ‘‘uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattantī’’ti atthassa āvibhāvatthamidaṃ vatthu – eko kira khīṇāsavatthero ‘‘mahācetiyañca mahābodhiñca vandissāmī’’ti samāpattilābhinā bhaṇḍagāhakasāmaṇerena saddhiṃ janapadato mahāvihāraṃ āgantvā vihārapariveṇaṃ pāvisi. Sāyanhasamaye mahābhikkhusaṅghe cetiyaṃ vandamāne cetiyaṃ vandanatthāya na nikkhami. Kasmā? Khīṇāsavānañhi tīsu ratanesu mahantaṃ gāravaṃ hoti. Tasmā bhikkhusaṅghe vanditvā paṭikkamante manussānaṃ sāyamāsabhuttavelāyaṃ sāmaṇerampi ajānāpetvā ‘‘cetiyaṃ vandissāmī’’ti ekakova nikkhami. Sāmaṇero – ‘‘kiṃ nu kho thero avelāya ekakova gacchati, jānissāmī’’ti upajjhāyassa padānupadiko nikkhami. Thero anāvajjanena tassa āgamanaṃ ajānanto dakkhiṇadvārena cetiyaṅgaṇaṃ āruhi. Sāmaṇeropi anupadaṃyeva āruḷho.
มหาเถโร มหาเจติยํ อุโลฺลเกตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา หฎฺฐปหโฎฺฐ เจติยํ วนฺทติฯ สามเณโร เถรสฺส วนฺทนาการํ ทิสฺวา ‘‘อุปชฺฌาโย เม อติวิย ปสนฺนจิโตฺต วนฺทติ, กิํ นุ โข ปุปฺผานิ ลภิตฺวา ปูชํ กเรยฺยา’’ติ จิเนฺตสิฯ เถโร วนฺทิตฺวา อุฎฺฐาย สิรสิ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา มหาเจติยํ อุโลฺลเกตฺวา ฐิโตฯ สามเณโร อุกฺกาสิตฺวา อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปสิฯ เถโร ปริวเตฺตตฺวา โอโลเกโนฺต ‘‘กทา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ตุมฺหากํ เจติยํ วนฺทนกาเล, ภเนฺตฯ อติวิย ปสนฺนา เจติยํ วนฺทิตฺถ กิํ นุ โข ปุปฺผานิ ลภิตฺวา ปูเชยฺยาถาติ? อาม สามเณร อิมสฺมิํ เจติเย วิย อญฺญตฺร เอตฺตกํ ธาตูนํ นิธานํ นาม นตฺถิ, เอวรูปํ อสทิสํ มหาถูปํ ปุปฺผานิ ลภิตฺวา โก น ปูเชยฺยาติฯ เตน หิ, ภเนฺต, อธิวาเสถ, อาหริสฺสามีติ ตาวเทว ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อิทฺธิยา หิมวนฺตํ คนฺตฺวา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนปุปฺผานิ ปริสฺสาวนํ ปูเรตฺวา มหาเถเร ทกฺขิณมุขโต ปจฺฉิมํ มุขํ อสมฺปเตฺตเยว อาคนฺตฺวา ปุปฺผปริสฺสาวนํ หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ปูเชถ, ภเนฺต,’’ติ อาห ฯ เถโร ‘‘อติมนฺทานิ โน สามเณร ปุปฺผานี’’ติ อาหฯ คจฺฉถ, ภเนฺต, ภควโต คุเณ อาวชฺชิตฺวา ปูเชถาติฯ
Mahāthero mahācetiyaṃ ulloketvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā sabbaṃ cetaso samannāharitvā haṭṭhapahaṭṭho cetiyaṃ vandati. Sāmaṇero therassa vandanākāraṃ disvā ‘‘upajjhāyo me ativiya pasannacitto vandati, kiṃ nu kho pupphāni labhitvā pūjaṃ kareyyā’’ti cintesi. Thero vanditvā uṭṭhāya sirasi añjaliṃ ṭhapetvā mahācetiyaṃ ulloketvā ṭhito. Sāmaṇero ukkāsitvā attano āgatabhāvaṃ jānāpesi. Thero parivattetvā olokento ‘‘kadā āgatosī’’ti pucchi. Tumhākaṃ cetiyaṃ vandanakāle, bhante. Ativiya pasannā cetiyaṃ vandittha kiṃ nu kho pupphāni labhitvā pūjeyyāthāti? Āma sāmaṇera imasmiṃ cetiye viya aññatra ettakaṃ dhātūnaṃ nidhānaṃ nāma natthi, evarūpaṃ asadisaṃ mahāthūpaṃ pupphāni labhitvā ko na pūjeyyāti. Tena hi, bhante, adhivāsetha, āharissāmīti tāvadeva jhānaṃ samāpajjitvā iddhiyā himavantaṃ gantvā vaṇṇagandhasampannapupphāni parissāvanaṃ pūretvā mahāthere dakkhiṇamukhato pacchimaṃ mukhaṃ asampatteyeva āgantvā pupphaparissāvanaṃ hatthe ṭhapetvā ‘‘pūjetha, bhante,’’ti āha . Thero ‘‘atimandāni no sāmaṇera pupphānī’’ti āha. Gacchatha, bhante, bhagavato guṇe āvajjitvā pūjethāti.
เถโร ปจฺฉิมมุขนิสฺสิเตน โสปาเณน อารุยฺห กุจฺฉิเวทิกาภูมิยํ ปุปฺผปูชํ กาตุํ อารโทฺธฯ เวทิกาภูมิยํ ปริปุณฺณานิ ปุปฺผานิ ปติตฺวา ทุติยภูมิยํ ชณฺณุปมาเณน โอธินา ปูรยิํสุฯ ตโต โอตริตฺวา ปาทปิฎฺฐิกปนฺติํ ปูเชสิฯ สาปิ ปริปูริฯ ปริปุณฺณภาวํ ญตฺวา เหฎฺฐิมตเล วิกิรโนฺต อคมาสิฯ สพฺพํ เจติยงฺคณํ ปริปูริฯ ตสฺมิํ ปริปุเณฺณ ‘‘สามเณร ปุปฺผานิ น ขียนฺตี’’ติ อาหฯ ปริสฺสาวนํ, ภเนฺต, อโธมุขํ กโรถาติฯ อโธมุขํ กตฺวา จาเลสิ, ตทา ปุปฺผานิ ขีณานิฯ ปริสฺสาวนํ สามเณรสฺส ทตฺวา สทฺธิํ หตฺถิปากาเรน เจติยํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ปริเวณํ คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘ยาว มหิทฺธิโก วตายํ สามเณโร, สกฺขิสฺสติ นุ โข อิมํ อิทฺธานุภาวํ รกฺขิตุ’’นฺติฯ ตโต ‘‘น สกฺขิสฺสตี’’ติ ทิสฺวา สามเณรมาห – ‘‘สามเณร ตฺวํ อิทานิ มหิทฺธิโก, เอวรูปํ ปน อิทฺธิํ นาเสตฺวา ปจฺฉิมกาเล กาณเปสการิยา หเตฺถน มทฺทิตกญฺชิยํ ปิวิสฺสสี’’ติฯ ทหรกภาวสฺส นาเมส โทโสยํ, โส อุปชฺฌายสฺส กถายํ สํวิชฺชิตฺวา – ‘‘กมฺมฎฺฐานํ เม, ภเนฺต, อาจิกฺขถา’’ติ น ยาจิ, อมฺหากํ อุปชฺฌาโย กิํ วทตีติ ตํ ปน อสุณโนฺต วิย อคมาสิฯ
Thero pacchimamukhanissitena sopāṇena āruyha kucchivedikābhūmiyaṃ pupphapūjaṃ kātuṃ āraddho. Vedikābhūmiyaṃ paripuṇṇāni pupphāni patitvā dutiyabhūmiyaṃ jaṇṇupamāṇena odhinā pūrayiṃsu. Tato otaritvā pādapiṭṭhikapantiṃ pūjesi. Sāpi paripūri. Paripuṇṇabhāvaṃ ñatvā heṭṭhimatale vikiranto agamāsi. Sabbaṃ cetiyaṅgaṇaṃ paripūri. Tasmiṃ paripuṇṇe ‘‘sāmaṇera pupphāni na khīyantī’’ti āha. Parissāvanaṃ, bhante, adhomukhaṃ karothāti. Adhomukhaṃ katvā cālesi, tadā pupphāni khīṇāni. Parissāvanaṃ sāmaṇerassa datvā saddhiṃ hatthipākārena cetiyaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā pariveṇaṃ gacchanto cintesi – ‘‘yāva mahiddhiko vatāyaṃ sāmaṇero, sakkhissati nu kho imaṃ iddhānubhāvaṃ rakkhitu’’nti. Tato ‘‘na sakkhissatī’’ti disvā sāmaṇeramāha – ‘‘sāmaṇera tvaṃ idāni mahiddhiko, evarūpaṃ pana iddhiṃ nāsetvā pacchimakāle kāṇapesakāriyā hatthena madditakañjiyaṃ pivissasī’’ti. Daharakabhāvassa nāmesa dosoyaṃ, so upajjhāyassa kathāyaṃ saṃvijjitvā – ‘‘kammaṭṭhānaṃ me, bhante, ācikkhathā’’ti na yāci, amhākaṃ upajjhāyo kiṃ vadatīti taṃ pana asuṇanto viya agamāsi.
เถโร มหาเจติยญฺจ มหาโพธิญฺจ วนฺทิตฺวา สามเณรํ ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา อนุปุเพฺพน กุเฎฬิติสฺสมหาวิหารํ อคมาสิฯ สามเณโร อุปชฺฌายสฺส ปทานุปทิโก หุตฺวา ภิกฺขาจารํ น คจฺฉติ, ‘‘กตรํ คามํ ปวิสถ, ภเนฺต,’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปน ‘‘อิทานิ เม อุปชฺฌาโย คามทฺวารํ ปโตฺต ภวิสฺสตี’’ติ ญตฺวา อตฺตโน จ อุปชฺฌายสฺส จ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา เถรสฺส ปตฺตจีวรํ ทตฺวา ปิณฺฑาย ปวิสติฯ เถโร สพฺพกาลํ โอวทติ – ‘‘สามเณร มา เอวมกาสิ, ปุถุชฺชนิทฺธิ นาม จลา อนิพทฺธา, อสปฺปายํ รูปาทิอารมฺมณํ ลภิตฺวา อปฺปมตฺตเกเนว ภิชฺชติ, สนฺตาย สมาปตฺติยา ปริหีนาย พฺรหฺมจริยวาโส สนฺถมฺภิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ สามเณโร ‘‘กิํ กเถติ มยฺหํ อุปชฺฌาโย’’ติ โสตุํ น อิจฺฉติ, ตเถว กโรติฯ เถโร อนุปุเพฺพน เจติยวนฺทนํ กโรโนฺต กมฺมุพินฺทุวิหารํ นาม คโตฯ ตตฺถ วสเนฺตปิ เถเร สามเณโร ตเถว กโรติฯ
Thero mahācetiyañca mahābodhiñca vanditvā sāmaṇeraṃ pattacīvaraṃ gāhāpetvā anupubbena kuṭeḷitissamahāvihāraṃ agamāsi. Sāmaṇero upajjhāyassa padānupadiko hutvā bhikkhācāraṃ na gacchati, ‘‘kataraṃ gāmaṃ pavisatha, bhante,’’ti pucchitvā pana ‘‘idāni me upajjhāyo gāmadvāraṃ patto bhavissatī’’ti ñatvā attano ca upajjhāyassa ca pattacīvaraṃ gahetvā ākāsena gantvā therassa pattacīvaraṃ datvā piṇḍāya pavisati. Thero sabbakālaṃ ovadati – ‘‘sāmaṇera mā evamakāsi, puthujjaniddhi nāma calā anibaddhā, asappāyaṃ rūpādiārammaṇaṃ labhitvā appamattakeneva bhijjati, santāya samāpattiyā parihīnāya brahmacariyavāso santhambhituṃ na sakkotī’’ti. Sāmaṇero ‘‘kiṃ katheti mayhaṃ upajjhāyo’’ti sotuṃ na icchati, tatheva karoti. Thero anupubbena cetiyavandanaṃ karonto kammubinduvihāraṃ nāma gato. Tattha vasantepi there sāmaṇero tatheva karoti.
อเถกทิวสํ เอกา เปสการธีตา อภิรูปา ปฐมวเย ฐิตา กมฺมพินฺทุคามโต นิกฺขมิตฺวา ปทุมสฺสรํ โอรุยฺห คายมานา ปุปฺผานิ ภญฺชติฯ ตสฺมิํ สมเย สามเณโร ปทุมสฺสรมตฺถเกน คจฺฉติ, คจฺฉโนฺต ปน สิเลสิกาย กาณมจฺฉิกา วิย ตสฺสา คีตสเทฺท พชฺฌิฯ ตาวเทวสฺส อิทฺธิ อนฺตรหิตา, ฉินฺนปกฺขกาโก วิย อโหสิฯ สนฺตสมาปตฺติพเลน ปน ตเตฺถว อุทกปิเฎฺฐ อปติตฺวา สิมฺพลิตูลํ วิย ปตมานํ อนุปุเพฺพน ปทุมสรตีเร อฎฺฐาสิฯ โส เวเคน คนฺตฺวา อุปชฺฌายสฺส ปตฺตจีวรํ ทตฺวา นิวตฺติฯ มหาเถโร ‘‘ปเคเวตํ มยา ทิฎฺฐํ, นิวาริยมาโนปิ น นิวตฺติสฺสตี’’ติ กิญฺจิ อวตฺวา ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Athekadivasaṃ ekā pesakāradhītā abhirūpā paṭhamavaye ṭhitā kammabindugāmato nikkhamitvā padumassaraṃ oruyha gāyamānā pupphāni bhañjati. Tasmiṃ samaye sāmaṇero padumassaramatthakena gacchati, gacchanto pana silesikāya kāṇamacchikā viya tassā gītasadde bajjhi. Tāvadevassa iddhi antarahitā, chinnapakkhakāko viya ahosi. Santasamāpattibalena pana tattheva udakapiṭṭhe apatitvā simbalitūlaṃ viya patamānaṃ anupubbena padumasaratīre aṭṭhāsi. So vegena gantvā upajjhāyassa pattacīvaraṃ datvā nivatti. Mahāthero ‘‘pagevetaṃ mayā diṭṭhaṃ, nivāriyamānopi na nivattissatī’’ti kiñci avatvā piṇḍāya pāvisi.
สามเณโร คนฺตฺวา ปทุมสรตีเร อฎฺฐาสิ ตสฺสา ปจฺจุตฺตรณํ อาคมยมาโนฯ สาปิ สามเณรํ อากาเสน คจฺฉนฺตญฺจ ปุน อาคนฺตฺวา ฐิตญฺจ ทิสฺวา ‘‘อทฺธา เอส มํ นิสฺสาย อุกฺกณฺฐิโต’’ติ ญตฺวา ‘‘ปฎิกฺกม สามเณรา’’ติ อาหฯ โส ปฎิกฺกมิฯ อิตรา ปจฺจุตฺตริตฺวา สาฎกํ นิวาเสตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต,’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สา พหูหิ การเณหิ ฆราวาเส อาทีนวํ พฺรหฺมจริยวาเส อานิสํสญฺจ ทเสฺสตฺวา โอวทมานาปิ ตสฺส อุกฺกณฺฐํ วิโนเทตุํ อสโกฺกนฺตี – ‘‘อยํ มม การณา เอวรูปาย อิทฺธิยา ปริหีโน, น ทานิ ยุตฺตํ ปริจฺจชิตุ’’นฺติ อิเธว ติฎฺฐาติ วตฺวา ฆรํ คนฺตฺวา มาตาปิตูนํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ เตปิ อาคนฺตฺวา นานปฺปการํ โอวทมานา วจนํ อคฺคณฺหนฺตํ อาหํสุ – ‘‘ตฺวํ อเมฺห อุจฺจกุลาติ สลฺลเกฺขสิ, มยํ เปสการาฯ สกฺขิสฺสสิ เปสการกมฺมํ กาตุ’’นฺติ สามเณโร อาห – ‘‘อุปาสก คิหิภูโต นาม เปสการกมฺมํ วา กเรยฺย นฬการกมฺมํ วา, กิํ อิมินา สาฎกมเตฺตน โลภํ กโรถา’’ติฯ เปสกาโร อุทเร พทฺธสาฎกํ ทตฺวา ฆรํ เนตฺวา ธีตรํ อทาสิฯ
Sāmaṇero gantvā padumasaratīre aṭṭhāsi tassā paccuttaraṇaṃ āgamayamāno. Sāpi sāmaṇeraṃ ākāsena gacchantañca puna āgantvā ṭhitañca disvā ‘‘addhā esa maṃ nissāya ukkaṇṭhito’’ti ñatvā ‘‘paṭikkama sāmaṇerā’’ti āha. So paṭikkami. Itarā paccuttaritvā sāṭakaṃ nivāsetvā taṃ upasaṅkamitvā ‘‘kiṃ, bhante,’’ti pucchi. So tamatthaṃ ārocesi. Sā bahūhi kāraṇehi gharāvāse ādīnavaṃ brahmacariyavāse ānisaṃsañca dassetvā ovadamānāpi tassa ukkaṇṭhaṃ vinodetuṃ asakkontī – ‘‘ayaṃ mama kāraṇā evarūpāya iddhiyā parihīno, na dāni yuttaṃ pariccajitu’’nti idheva tiṭṭhāti vatvā gharaṃ gantvā mātāpitūnaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Tepi āgantvā nānappakāraṃ ovadamānā vacanaṃ aggaṇhantaṃ āhaṃsu – ‘‘tvaṃ amhe uccakulāti sallakkhesi, mayaṃ pesakārā. Sakkhissasi pesakārakammaṃ kātu’’nti sāmaṇero āha – ‘‘upāsaka gihibhūto nāma pesakārakammaṃ vā kareyya naḷakārakammaṃ vā, kiṃ iminā sāṭakamattena lobhaṃ karothā’’ti. Pesakāro udare baddhasāṭakaṃ datvā gharaṃ netvā dhītaraṃ adāsi.
โส เปสการกมฺมํ อุคฺคณฺหิตฺวา เปสกาเรหิ สทฺธิํ สาลาย กมฺมํ กโรติฯ อเญฺญสํ อิตฺถิโย ปาโตว ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา อาหริํสุ, ตสฺส ภริยา น ตาว อาคจฺฉติฯ โส อิตเรสุ กมฺมํ วิสฺสเชฺชตฺวา ภุญฺชมาเนสุ ตสรํ วเฎฺฎโนฺต นิสีทิฯ สา ปจฺฉา อคมาสิฯ อถ นํ โส ‘‘อติจิเรน อาคตาสี’’ติ ตเชฺชสิฯ มาตุคาโม จ นาม อปิ จกฺกวตฺติราชานํ อตฺตนิ ปฎิพทฺธจิตฺตํ ญตฺวา ทาสํ วิย สลฺลเกฺขติฯ ตสฺมา สา เอวมาห – ‘‘อเญฺญสํ ฆเร ทารุปณฺณโลณาทีนิ สนฺนิหิตานิ, พาหิรโต อาหริตฺวา ทายกา เปสนตการกาปิ อตฺถิ, อหํ ปน เอกิกาว, ตฺวมฺปิ มยฺหํ ฆเร อิทํ อตฺถิ อิทํ นตฺถีติ น ชานาสิฯ สเจ อิจฺฉสิ, ภุญฺช, โน เจ อิจฺฉสิ, มา ภุญฺชา’’ติฯ โส ‘‘น เกวลญฺจ อุสฺสูเร ภตฺตํ อาหรสิ, วาจายปิ มํ ฆเฎฺฎสี’’ติ กุชฺฌิตฺวา อญฺญํ ปหรณํ อปสฺสโนฺต ตเมว ตสรทณฺฑกํ ตสรโต ลุญฺจิตฺวา ขิปิฯ สา ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อีสกํ ปริวตฺติฯ ตสรทณฺฑกสฺส จ โกฎิ นาม ติขิณา โหติ, สา ตสฺสา ปริวตฺตมานาย อกฺขิโกฎิยํ ปวิสิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา อุโภหิ หเตฺถหิ เวเคน อกฺขิํ อคฺคเหสิ, ภินฺนฎฺฐานโต โลหิตํ ปคฺฆรติฯ โส ตสฺมิํ กาเล อุปชฺฌายสฺส วจนํ อนุสฺสริ – ‘‘อิทํ สนฺธาย มํ อุปชฺฌาโย ‘อนาคเต กาเล กาณเปสการิยา หเตฺถหิ มทฺทิตกญฺชิยํ ปิวิสฺสสี’ติ อาห, อิทํ เถเรน ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติ, อโห ทีฆทสฺสี อโยฺย’’ติ มหาสเทฺทน โรทิตุํ อารภิฯ ตเมนํ อเญฺญ – ‘‘อลํ, อาวุโส, มา โรทิ, อกฺขิ นาม ภินฺนํ น สกฺกา โรทเนน ปฎิปากติกํ กาตุ’’นฺติ อาหํสุฯ โส ‘‘นาหเมตมตฺถํ โรทามิ, อปิจ โข อิมํ สนฺธาย โรทามี’’ติ สพฺพํ ปฎิปาฎิยา กเถสิฯ เอวํ อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺติฯ
So pesakārakammaṃ uggaṇhitvā pesakārehi saddhiṃ sālāya kammaṃ karoti. Aññesaṃ itthiyo pātova bhattaṃ sampādetvā āhariṃsu, tassa bhariyā na tāva āgacchati. So itaresu kammaṃ vissajjetvā bhuñjamānesu tasaraṃ vaṭṭento nisīdi. Sā pacchā agamāsi. Atha naṃ so ‘‘aticirena āgatāsī’’ti tajjesi. Mātugāmo ca nāma api cakkavattirājānaṃ attani paṭibaddhacittaṃ ñatvā dāsaṃ viya sallakkheti. Tasmā sā evamāha – ‘‘aññesaṃ ghare dārupaṇṇaloṇādīni sannihitāni, bāhirato āharitvā dāyakā pesanatakārakāpi atthi, ahaṃ pana ekikāva, tvampi mayhaṃ ghare idaṃ atthi idaṃ natthīti na jānāsi. Sace icchasi, bhuñja, no ce icchasi, mā bhuñjā’’ti. So ‘‘na kevalañca ussūre bhattaṃ āharasi, vācāyapi maṃ ghaṭṭesī’’ti kujjhitvā aññaṃ paharaṇaṃ apassanto tameva tasaradaṇḍakaṃ tasarato luñcitvā khipi. Sā taṃ āgacchantaṃ disvā īsakaṃ parivatti. Tasaradaṇḍakassa ca koṭi nāma tikhiṇā hoti, sā tassā parivattamānāya akkhikoṭiyaṃ pavisitvā aṭṭhāsi. Sā ubhohi hatthehi vegena akkhiṃ aggahesi, bhinnaṭṭhānato lohitaṃ paggharati. So tasmiṃ kāle upajjhāyassa vacanaṃ anussari – ‘‘idaṃ sandhāya maṃ upajjhāyo ‘anāgate kāle kāṇapesakāriyā hatthehi madditakañjiyaṃ pivissasī’ti āha, idaṃ therena diṭṭhaṃ bhavissati, aho dīghadassī ayyo’’ti mahāsaddena rodituṃ ārabhi. Tamenaṃ aññe – ‘‘alaṃ, āvuso, mā rodi, akkhi nāma bhinnaṃ na sakkā rodanena paṭipākatikaṃ kātu’’nti āhaṃsu. So ‘‘nāhametamatthaṃ rodāmi, apica kho imaṃ sandhāya rodāmī’’ti sabbaṃ paṭipāṭiyā kathesi. Evaṃ uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattanti.
อปรมฺปิ วตฺถุ – ติํสมตฺตา ภิกฺขู กลฺยาณิมหาเจติยํ วนฺทิตฺวา อฎวิมเคฺคน มหามคฺคํ โอตรมานา อนฺตรามเคฺค ฌามเขเตฺต กมฺมํ กตฺวา อาคจฺฉนฺตํ เอกํ มนุสฺสํ อทฺทสํสุฯ ตสฺส สรีรํ มสิมกฺขิตํ วิย อโหสิฯ มสิมกฺขิตํเยว เอกํ กาสาวํ กจฺฉํ ปีเฬตฺวา นิวตฺถํ, โอโลกิยมาโน ฌามขาณุโก วิย ขายติฯ โส ทิวสภาเค กมฺมํ กตฺวา อุปฑฺฒชฺฌายมานานํ ทารูนํ กลาปํ อุกฺขิปิตฺวา ปิฎฺฐิยํ วิปฺปกิเณฺณหิ เกเสหิ กุมฺมเคฺคน อาคนฺตฺวา ภิกฺขูนํ สมฺมุเข อฎฺฐาสิฯ สามเณรา ทิสฺวา อญฺญมญฺญํ โอโลกยมานา, – ‘‘อาวุโส, ตุยฺหํ ปิตา ตุยฺหํ มหาปิตา ตุยฺหํ มาตุโล’’ติ หสมานา คนฺตฺวา ‘‘โกนาโม ตฺวํ อุปาสกา’’ติ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ โส นามํ ปุจฺฉิโต วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ทารุกลาปํ ฉเฑฺฑตฺวา วตฺถํ สํวิธาย นิวาเสตฺวา มหาเถเร วนฺทิตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ตาว, ภเนฺต,’’ติ อาหฯ มหาเถรา อฎฺฐํสุฯ
Aparampi vatthu – tiṃsamattā bhikkhū kalyāṇimahācetiyaṃ vanditvā aṭavimaggena mahāmaggaṃ otaramānā antarāmagge jhāmakhette kammaṃ katvā āgacchantaṃ ekaṃ manussaṃ addasaṃsu. Tassa sarīraṃ masimakkhitaṃ viya ahosi. Masimakkhitaṃyeva ekaṃ kāsāvaṃ kacchaṃ pīḷetvā nivatthaṃ, olokiyamāno jhāmakhāṇuko viya khāyati. So divasabhāge kammaṃ katvā upaḍḍhajjhāyamānānaṃ dārūnaṃ kalāpaṃ ukkhipitvā piṭṭhiyaṃ vippakiṇṇehi kesehi kummaggena āgantvā bhikkhūnaṃ sammukhe aṭṭhāsi. Sāmaṇerā disvā aññamaññaṃ olokayamānā, – ‘‘āvuso, tuyhaṃ pitā tuyhaṃ mahāpitā tuyhaṃ mātulo’’ti hasamānā gantvā ‘‘konāmo tvaṃ upāsakā’’ti nāmaṃ pucchiṃsu. So nāmaṃ pucchito vippaṭisārī hutvā dārukalāpaṃ chaḍḍetvā vatthaṃ saṃvidhāya nivāsetvā mahāthere vanditvā ‘‘tiṭṭhatha tāva, bhante,’’ti āha. Mahātherā aṭṭhaṃsu.
ทหรสามเณรา อาคนฺตฺวา มหาเถรานํ สมฺมุขาปิ ปริหาสํ กโรนฺติฯ อุปาสโก อาห – ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห มํ ปสฺสิตฺวา ปริหสถ, เอตฺตเกเนว มตฺถกํ ปตฺตมฺหาติ มา สลฺลเกฺขถฯ อหมฺปิ ปุเพฺพ ตุมฺหาทิโสว สมโณ อโหสิํฯ ตุมฺหากํ ปน จิเตฺตกคฺคตามตฺตกมฺปิ นตฺถิ, อหํ อิมสฺมิํ สาสเน มหิทฺธิโก มหานุภาโว อโหสิํ, อากาสํ คเหตฺวา ปถวิํ กโรมิ, ปถวิํ อากาสํฯ ทูรํ คณฺหิตฺวา สนฺติกํ กโรมิ, สนฺติกํ ทูรํฯ จกฺกวาฬสตสหสฺสํ ขเณน วินิวิชฺฌามิฯ หเตฺถ เม ปสฺสถ, อิทานิ มกฺกฎหตฺถสทิสา, อหํ อิเมเหว หเตฺถหิ อิธ นิสิโนฺนว จนฺทิมสูริเย ปรามสิํฯ อิเมสํเยว ปาทานํ จนฺทิมสูริเย ปาทกถลิกํ กตฺวา นิสีทิํฯ เอวรูปา เม อิทฺธิ ปมาเทน อนฺตรหิตา, ตุเมฺห มา ปมชฺชิตฺถฯ ปมาเทน หิ เอวรูปํ พฺยสนํ ปาปุณนฺติฯ อปฺปมตฺตา วิหรนฺตา ชาติชรามรณสฺส อนฺตํ กโรนฺติฯ ตสฺมา ตุเมฺห มเญฺญว อารมฺมณํ กริตฺวา อปฺปมตฺตา โหถ, ภเนฺต,’’ติ ตเชฺชตฺวา โอวาทมทาสิฯ เต ตสฺส กเถนฺตเสฺสว สํเวคํ อาปชฺชิตฺวา วิปสฺสมานา ติํสชนา ตเตฺถว อรหตฺตํ ปาปุณิํสูติฯ เอวมฺปิ อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ
Daharasāmaṇerā āgantvā mahātherānaṃ sammukhāpi parihāsaṃ karonti. Upāsako āha – ‘‘bhante, tumhe maṃ passitvā parihasatha, ettakeneva matthakaṃ pattamhāti mā sallakkhetha. Ahampi pubbe tumhādisova samaṇo ahosiṃ. Tumhākaṃ pana cittekaggatāmattakampi natthi, ahaṃ imasmiṃ sāsane mahiddhiko mahānubhāvo ahosiṃ, ākāsaṃ gahetvā pathaviṃ karomi, pathaviṃ ākāsaṃ. Dūraṃ gaṇhitvā santikaṃ karomi, santikaṃ dūraṃ. Cakkavāḷasatasahassaṃ khaṇena vinivijjhāmi. Hatthe me passatha, idāni makkaṭahatthasadisā, ahaṃ imeheva hatthehi idha nisinnova candimasūriye parāmasiṃ. Imesaṃyeva pādānaṃ candimasūriye pādakathalikaṃ katvā nisīdiṃ. Evarūpā me iddhi pamādena antarahitā, tumhe mā pamajjittha. Pamādena hi evarūpaṃ byasanaṃ pāpuṇanti. Appamattā viharantā jātijarāmaraṇassa antaṃ karonti. Tasmā tumhe maññeva ārammaṇaṃ karitvā appamattā hotha, bhante,’’ti tajjetvā ovādamadāsi. Te tassa kathentasseva saṃvegaṃ āpajjitvā vipassamānā tiṃsajanā tattheva arahattaṃ pāpuṇiṃsūti. Evampi uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattantīti veditabbā.
อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ เจตฺถ ‘‘อนุปฺปโนฺน วา กามาสโว น อุปฺปชฺชตี’’ติอาทีสุ วุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ เอตฺถ ปน จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ, โอกาสกตุปฺปนฺนํ, ภูมิลทฺธุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ เย กิเลสา วิชฺชมานา อุปฺปาทาทิสมงฺคิโน, อิทํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ นามฯ กเมฺม ปน ชวิเต อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธวิปาโก ภุตฺวา วิคตํ นามฯ กมฺมํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธํ ภวิตฺวา วิคตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนนฺติ สงฺขํ คจฺฉติฯ กุสลากุสลํ กมฺมํ อญฺญสฺส กมฺมสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กโรติ, เอวํ กเต โอกาเส วิปาโก อุปฺปชฺชมาโน โอกาสกรณโต ปฎฺฐาย อุปฺปโนฺนติ สงฺขํ คจฺฉติฯ อิทํ โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามฯ ปญฺจกฺขนฺธา ปน วิปสฺสนาย ภูมิ นามฯ เต อตีตาทิเภทา โหนฺติฯ เตสุ อนุสยิตกิเลสา ปน อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ อตีตขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ หิ อปฺปหีนาว โหนฺติ, อนาคตขเนฺธสุ, ปจฺจุปฺปนฺนขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ อปฺปหีนาว โหนฺติฯ อิทํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามฯ เตนาหุ โปราณา – ‘‘ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อสมุคฺฆาติตกิเลสา ภูมิลทฺธุปฺปนฺนาติ สงฺขํ คจฺฉนฺตี’’ติฯ
Anuppannānaṃ pāpakānanti cettha ‘‘anuppanno vā kāmāsavo na uppajjatī’’tiādīsu vuttanayena attho veditabbo. Uppannānaṃ pāpakānanti ettha pana catubbidhaṃ uppannaṃ vattamānuppannaṃ bhutvāvigatuppannaṃ, okāsakatuppannaṃ, bhūmiladdhuppannanti. Tattha ye kilesā vijjamānā uppādādisamaṅgino, idaṃ vattamānuppannaṃ nāma. Kamme pana javite ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhavipāko bhutvā vigataṃ nāma. Kammaṃ uppajjitvā niruddhaṃ bhavitvā vigataṃ nāma. Tadubhayampi bhutvāvigatuppannanti saṅkhaṃ gacchati. Kusalākusalaṃ kammaṃ aññassa kammassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassa okāsaṃ karoti, evaṃ kate okāse vipāko uppajjamāno okāsakaraṇato paṭṭhāya uppannoti saṅkhaṃ gacchati. Idaṃ okāsakatuppannaṃ nāma. Pañcakkhandhā pana vipassanāya bhūmi nāma. Te atītādibhedā honti. Tesu anusayitakilesā pana atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Atītakhandhesu anusayitāpi hi appahīnāva honti, anāgatakhandhesu, paccuppannakhandhesu anusayitāpi appahīnāva honti. Idaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāma. Tenāhu porāṇā – ‘‘tāsu tāsu bhūmīsu asamugghātitakilesā bhūmiladdhuppannāti saṅkhaṃ gacchantī’’ti.
อปรมฺปิ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ สมุทาจารุปฺปนฺนํ, อารมฺมณาธิคหิตุปฺปนฺนํ, อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ สมฺปติ วตฺตมานํเยว สมุทาจารุปฺปนฺนํ นามฯ สกิํ จกฺขูนิ อุมฺมีเลตฺวา อารมฺมเณ นิมิเตฺต คหิเต อนุสฺสริตานุสฺสริตกฺขเณ กิเลสา นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อารมฺมณสฺส อธิคหิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา ขีรรุกฺขสฺส กุฐาริยา อาหตาหตฎฺฐาเน ขีรํ น นิกฺขมิสฺสตีติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ อารมฺมณาธิคหิตุปฺปนฺนํ นามฯ สมาปตฺติยา อวิกฺขมฺภิตา กิเลสา ปน อิมสฺมิํ นาม ฐาเน นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อวิกฺขมฺภิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา สเจ ขีรรุเกฺข กุฐาริยา อาหเนยฺยุํ, อิมสฺมิํ นาม ฐาเน ขีรํ น นิกฺขเมยฺยาติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ นามฯ มเคฺคน อสมุคฺฆาติตกิเลสา ปน ภวเคฺค นิพฺพตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชนฺตีติ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อิทํ อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนํ นามฯ
Aparampi catubbidhaṃ uppannaṃ samudācāruppannaṃ, ārammaṇādhigahituppannaṃ, avikkhambhituppannaṃ asamugghātituppannanti. Tattha sampati vattamānaṃyeva samudācāruppannaṃ nāma. Sakiṃ cakkhūni ummīletvā ārammaṇe nimitte gahite anussaritānussaritakkhaṇe kilesā nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Ārammaṇassa adhigahitattā. Yathā kiṃ? Yathā khīrarukkhassa kuṭhāriyā āhatāhataṭṭhāne khīraṃ na nikkhamissatīti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ ārammaṇādhigahituppannaṃ nāma. Samāpattiyā avikkhambhitā kilesā pana imasmiṃ nāma ṭhāne nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Avikkhambhitattā. Yathā kiṃ? Yathā sace khīrarukkhe kuṭhāriyā āhaneyyuṃ, imasmiṃ nāma ṭhāne khīraṃ na nikkhameyyāti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ avikkhambhituppannaṃ nāma. Maggena asamugghātitakilesā pana bhavagge nibbattassāpi uppajjantīti purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Idaṃ asamugghātituppannaṃ nāma.
อิเมสุ อุปฺปเนฺนสุ วตฺตมานุปฺปนฺนํ ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ โอกาสกตุปฺปนฺนํ สมุทาจารุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ น มคฺควชฺฌํ, ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ อารมฺมณาธิคหิตุปฺปนฺนํ อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ มคฺควชฺฌํฯ มโคฺค หิ อุปฺปชฺชมาโน เอเต กิเลเส ปชหติฯ โส เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Imesu uppannesu vattamānuppannaṃ bhutvāvigatuppannaṃ okāsakatuppannaṃ samudācāruppannanti catubbidhaṃ uppannaṃ na maggavajjhaṃ, bhūmiladdhuppannaṃ ārammaṇādhigahituppannaṃ avikkhambhituppannaṃ asamugghātituppannanti catubbidhaṃ maggavajjhaṃ. Maggo hi uppajjamāno ete kilese pajahati. So ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Vuttampi cetaṃ –
‘‘หญฺจิ อตีเต กิเลเส ปชหติ, เตน หิ ขีณํ เขเปติ, นิรุทฺธํ นิโรเธติ, วิคตํ วิคเมติ อตฺถงฺคตํ อตฺถงฺคเมติฯ อตีตํ ยํ นตฺถิ, ตํ ปชหติฯ หญฺจิ อนาคเต กิเลเส ปชหติ, เตน หิ อชาตํ ปชหติ, อนิพฺพตฺตํ, อนุปฺปนฺนํ, อปาตุภูตํ ปชหติฯ อนาคตํ ยํ นตฺถิ, ตํ ปชหติ, หญฺจิ ปจฺจุปฺปเนฺน กิเลเส ปชหติ, เตน หิ รโตฺต ราคํ ปชหติ , ทุโฎฺฐ โทสํ, มูโฬฺห โมหํ, วินิพโทฺธ มานํ, ปรามโฎฺฐ ทิฎฺฐิํ, วิเกฺขปคโต อุทฺธจฺจํ, อนิฎฺฐงฺคโต วิจิกิจฺฉํ, ถามคโต อนุสยํ ปชหติฯ กณฺหสุกฺกธมฺมา ยุคนทฺธา สมเมว วตฺตนฺติฯ สํกิเลสิกา มคฺคภาวนา โหติ…เป.… เตน หิ นตฺถิ มคฺคภาวนา, นตฺถิ ผลสจฺฉิกิริยา, นตฺถิ กิเลสปฺปหานํ, นตฺถิ ธมฺมาภิสมโยติฯ อตฺถิ มคฺคภาวนา…เป.… อตฺถิ ธมฺมาภิสมโยติฯ ยถา กถํ วิย, เสยฺยถาปิ ตรุโณ รุโกฺข อชาตผโล…เป.… อปาตุภูตาเยว น ปาตุภวนฺตี’’ติฯ
‘‘Hañci atīte kilese pajahati, tena hi khīṇaṃ khepeti, niruddhaṃ nirodheti, vigataṃ vigameti atthaṅgataṃ atthaṅgameti. Atītaṃ yaṃ natthi, taṃ pajahati. Hañci anāgate kilese pajahati, tena hi ajātaṃ pajahati, anibbattaṃ, anuppannaṃ, apātubhūtaṃ pajahati. Anāgataṃ yaṃ natthi, taṃ pajahati, hañci paccuppanne kilese pajahati, tena hi ratto rāgaṃ pajahati , duṭṭho dosaṃ, mūḷho mohaṃ, vinibaddho mānaṃ, parāmaṭṭho diṭṭhiṃ, vikkhepagato uddhaccaṃ, aniṭṭhaṅgato vicikicchaṃ, thāmagato anusayaṃ pajahati. Kaṇhasukkadhammā yuganaddhā samameva vattanti. Saṃkilesikā maggabhāvanā hoti…pe… tena hi natthi maggabhāvanā, natthi phalasacchikiriyā, natthi kilesappahānaṃ, natthi dhammābhisamayoti. Atthi maggabhāvanā…pe… atthi dhammābhisamayoti. Yathā kathaṃ viya, seyyathāpi taruṇo rukkho ajātaphalo…pe… apātubhūtāyeva na pātubhavantī’’ti.
อิติ ปาฬิยํ อชาตผลรุโกฺข อาคโต, ชาตผลรุเกฺขน ปน ทีเปตพฺพํฯ ยถา หิ สผโล ตรุณมฺพรุโกฺข, ตสฺส ผลานิ มนุสฺสา ปริภุเญฺชยฺยุํ, เสสานิ ปาเตตฺวา ปจฺฉิโย ปูเรยฺยุํ ฯ อถโญฺญ ปุริโส ตํ ผรสุนา ฉิเนฺทยฺย, เตนสฺส เนว อตีตานิ ผลานิ นาสิตานิ โหนฺติ, น อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานิ นาสิตานิฯ อตีตานิ หิ มนุเสฺสหิ ปริภุตฺตานิ, อนาคตานิ อนิพฺพตฺตานิ, น สกฺกา นาเสตุํฯ ยสฺมิํ ปน สมเย โส ฉิโนฺน, ตทา ผลานิเยว นตฺถีติ ปจฺจุปฺปนฺนานิปิ อนาสิตานิฯ สเจ ปน รุโกฺข อจฺฉิโนฺน, อถสฺส ปถวีรสญฺจ อาโปรสญฺจ อาคมฺม ยานิ ผลานิ นิพฺพเตฺตยฺยุํ, ตานิ นาสิตานิ โหนฺติฯ ตานิ หิ อชาตาเนว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาเนว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาเนว น ปาตุภวนฺติ, เอวเมว มโคฺค นาปิ อตีตาทิเภเท กิเลเส ปชหติ, นาปิ น ปชหติฯ เยสญฺหิ กิเลสานํ มเคฺคน ขเนฺธสุ อปริญฺญาเตสุ อุปฺปตฺติ สิยา, มเคฺคน อุปฺปชฺชิตฺวา ขนฺธานํ ปริญฺญาตตฺตา เต กิเลสา อชาตาว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาว น ปาตุภวนฺติ, ตรุณปุตฺตาย อิตฺถิยา ปุน อวิชายนตฺถํ, พฺยาธิตานํ โรควูปสมนตฺถํ ปีตเภสเชฺชหิ จาปิ อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ เอวํ มโคฺค เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพา, น จ มโคฺค กิเลเส น ปชหติฯ เย ปน มโคฺค กิเลเส ปชหติ, เต สนฺธาย ‘‘อุปฺปนฺนานํ ปาปกาน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Iti pāḷiyaṃ ajātaphalarukkho āgato, jātaphalarukkhena pana dīpetabbaṃ. Yathā hi saphalo taruṇambarukkho, tassa phalāni manussā paribhuñjeyyuṃ, sesāni pātetvā pacchiyo pūreyyuṃ . Athañño puriso taṃ pharasunā chindeyya, tenassa neva atītāni phalāni nāsitāni honti, na anāgatapaccuppannāni nāsitāni. Atītāni hi manussehi paribhuttāni, anāgatāni anibbattāni, na sakkā nāsetuṃ. Yasmiṃ pana samaye so chinno, tadā phalāniyeva natthīti paccuppannānipi anāsitāni. Sace pana rukkho acchinno, athassa pathavīrasañca āporasañca āgamma yāni phalāni nibbatteyyuṃ, tāni nāsitāni honti. Tāni hi ajātāneva na jāyanti, anibbattāneva na nibbattanti, apātubhūtāneva na pātubhavanti, evameva maggo nāpi atītādibhede kilese pajahati, nāpi na pajahati. Yesañhi kilesānaṃ maggena khandhesu apariññātesu uppatti siyā, maggena uppajjitvā khandhānaṃ pariññātattā te kilesā ajātāva na jāyanti, anibbattāva na nibbattanti, apātubhūtāva na pātubhavanti, taruṇaputtāya itthiyā puna avijāyanatthaṃ, byādhitānaṃ rogavūpasamanatthaṃ pītabhesajjehi cāpi ayamattho vibhāvetabbo. Evaṃ maggo ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā, na ca maggo kilese na pajahati. Ye pana maggo kilese pajahati, te sandhāya ‘‘uppannānaṃ pāpakāna’’ntiādi vuttaṃ.
น เกวลญฺจ มโคฺค กิเลเสเยว ปชหติ, กิเลสานํ ปน อปฺปหีนตฺตา เย จ อุปฺปเชฺชยฺยุํ อุปาทินฺนกกฺขนฺธา, เตปิ ปชหติเยวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน สตฺต ภเว ฐเปตฺวา อนมตเคฺค สํสาเร เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ นามญฺจ รูปญฺจ, เอเตฺถเต นิรุชฺฌนฺตี’’ติ (จูฬนิ. ๖) วิตฺถาโรฯ อิติ มโคฺค อุปาทินฺนอนุปาทินฺนโต วุฎฺฐาติฯ ภววเสน ปน โสตาปตฺติมโคฺค อปายภวโต วุฎฺฐาติ, สกทาคามิมโคฺค สุคติภเวกเทสโต, อนาคามิมโคฺค สุคติกามภวโต, อรหตฺตมโคฺค รูปารูปภวโต วุฎฺฐาติฯ สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติปิ วทนฺติฯ
Na kevalañca maggo kileseyeva pajahati, kilesānaṃ pana appahīnattā ye ca uppajjeyyuṃ upādinnakakkhandhā, tepi pajahatiyeva. Vuttampi cetaṃ – ‘‘sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena satta bhave ṭhapetvā anamatagge saṃsāre ye uppajjeyyuṃ nāmañca rūpañca, etthete nirujjhantī’’ti (cūḷani. 6) vitthāro. Iti maggo upādinnaanupādinnato vuṭṭhāti. Bhavavasena pana sotāpattimaggo apāyabhavato vuṭṭhāti, sakadāgāmimaggo sugatibhavekadesato, anāgāmimaggo sugatikāmabhavato, arahattamaggo rūpārūpabhavato vuṭṭhāti. Sabbabhavehi vuṭṭhātiyevātipi vadanti.
อถ มคฺคกฺขเณ กถํ อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปาทาย ภาวนา โหติ, กถํ วา อุปฺปนฺนานํ ฐิติยาติฯ มคฺคปฺปวตฺติยาเยวฯ มโคฺค หิ ปวตฺตมาโน ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนปุพฺพตฺตา อนุปฺปโนฺน นาม วุจฺจติฯ อนาคตปุพฺพญฺหิ ฐานํ อาคนฺตฺวา อนนุภูตปุพฺพํ วา อารมฺมณํ อนุภวิตฺวา วตฺตาโร ภวนฺติ ‘‘อนาคตฎฺฐานํ อาคตมฺหา, อนนุภูตํ อารมฺมณํ อนุภวามา’’ติฯ ยา จสฺส ปวตฺติ, อยเมว ฐิติ นามาติ ฐิติยา ภาเวตีติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Atha maggakkhaṇe kathaṃ anuppannānaṃ uppādāya bhāvanā hoti, kathaṃ vā uppannānaṃ ṭhitiyāti. Maggappavattiyāyeva. Maggo hi pavattamāno pubbe anuppannapubbattā anuppanno nāma vuccati. Anāgatapubbañhi ṭhānaṃ āgantvā ananubhūtapubbaṃ vā ārammaṇaṃ anubhavitvā vattāro bhavanti ‘‘anāgataṭṭhānaṃ āgatamhā, ananubhūtaṃ ārammaṇaṃ anubhavāmā’’ti. Yā cassa pavatti, ayameva ṭhiti nāmāti ṭhitiyā bhāvetītipi vattuṃ vaṭṭati.
อิทฺธิปาเทสุ สเงฺขปกถา เจโตขิลสุเตฺต (ม. นิ. ๑.๑๘๕ อาทโย) วุตฺตาฯ อุปสมมานํ คจฺฉติ, กิเลสูปสมตฺถํ วา คจฺฉตีติ อุปสมคามีฯ สมฺพุชฺฌมานา คจฺฉติ, มคฺคสโมฺพธตฺถาย วา คจฺฉตีติ สโมฺพธคามีฯ
Iddhipādesu saṅkhepakathā cetokhilasutte (ma. ni. 1.185 ādayo) vuttā. Upasamamānaṃ gacchati, kilesūpasamatthaṃ vā gacchatīti upasamagāmī. Sambujjhamānā gacchati, maggasambodhatthāya vā gacchatīti sambodhagāmī.
วิเวกนิสฺสิตาทีนิ สพฺพาสวสํวเร วุตฺตานิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปนายํ โพธิปกฺขิยกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ
Vivekanissitādīni sabbāsavasaṃvare vuttāni. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panāyaṃ bodhipakkhiyakathā visuddhimagge vuttā.
๒๔๘. วิโมกฺขกถายํ วิโมเกฺขติ เกนเฎฺฐน วิโมกฺขา, อธิมุจฺจนเฎฺฐนฯ โก ปนายํ อธิมุจฺจนโฎฺฐ นาม? ปจฺจนีกธเมฺมหิ จ สุฎฺฐุ มุจฺจนโฎฺฐ, อารมฺมเณ จ อภิรติวเสน สุฎฺฐุ มุจฺจนโฎฺฐ, ปิตุอเงฺก วิสฺสฎฺฐงฺคปจฺจงฺคสฺส ทารกสฺส สยนํ วิย อนิคฺคหิตภาเวน นิราสงฺกตาย อารมฺมเณ ปวตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อยํ ปนโตฺถ ปจฺฉิมวิโมเกฺข นตฺถิ, ปุริเมสุ สเพฺพสุ อตฺถิฯ รูปี รูปานิ ปสฺสตีติ เอตฺถ อชฺฌตฺตเกสาทีสุ นีลกสิณาทิวเสน อุปฺปาทิตํ รูปชฺฌานํ รูปํ, ตทสฺส อตฺถีติ รูปีฯ พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ พหิทฺธาปิ นีลกสิณาทีนิ รูปานิ ฌานจกฺขุนา ปสฺสติฯ อิมินา อชฺฌตฺต พหิทฺธาวตฺถุเกสุ กสิเณสุ อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส ปุคฺคลสฺส จตฺตาริปิ รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิฯ
248. Vimokkhakathāyaṃ vimokkheti kenaṭṭhena vimokkhā, adhimuccanaṭṭhena. Ko panāyaṃ adhimuccanaṭṭho nāma? Paccanīkadhammehi ca suṭṭhu muccanaṭṭho, ārammaṇe ca abhirativasena suṭṭhu muccanaṭṭho, pituaṅke vissaṭṭhaṅgapaccaṅgassa dārakassa sayanaṃ viya aniggahitabhāvena nirāsaṅkatāya ārammaṇe pavattīti vuttaṃ hoti. Ayaṃ panattho pacchimavimokkhe natthi, purimesu sabbesu atthi. Rūpī rūpāni passatīti ettha ajjhattakesādīsu nīlakasiṇādivasena uppāditaṃ rūpajjhānaṃ rūpaṃ, tadassa atthīti rūpī. Bahiddhā rūpāni passatīti bahiddhāpi nīlakasiṇādīni rūpāni jhānacakkhunā passati. Iminā ajjhatta bahiddhāvatthukesu kasiṇesu uppāditajjhānassa puggalassa cattāripi rūpāvacarajjhānāni dassitāni.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อชฺฌตฺตํ น รูปสญฺญี, อตฺตโน เกสาทีสุ อนุปฺปาทิตรูปาวจรชฺฌาโนติ อโตฺถฯ อิมินา พหิทฺธา ปริกมฺมํ กตฺวา พหิทฺธาว อุปฺปาทิตชฺฌานสฺส รูปาวจรชฺฌานานิ ทสฺสิตานิฯ สุภเนฺตว อธิมุโตฺต โหตีติ อิมินา สุวิสุเทฺธสุ นีลาทีสุ วณฺณกสิเณสุ ฌานานิ ทสฺสิตานิฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ อโนฺตอปฺปนายํ สุภนฺติ อาโภโค นตฺถิ, โย ปน สุวิสุทฺธํ สุภกสิณํ อารมฺมณํ กตฺวา วิหรติ, โส ยสฺมา สุภนฺติ อธิมุโตฺต โหตีติ วตฺตพฺพตํ อาปชฺชติ, ตสฺมา เอวํ เทสนา กตาฯ ปฎิสมฺภิทามเคฺค ปน ‘‘กถํ สุภเนฺตว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺขฯ อิธ ภิกฺขุ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… เมตฺตาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติฯ กรุณาสหคเตน, มุทิตาสหคเตน, อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ…เป.… อุเปกฺขาย ภาวิตตฺตา สตฺตา อปฺปฎิกูลา โหนฺติฯ เอวํ สุภเนฺตว อธิมุโตฺต โหตีติ วิโมโกฺข’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๑๒) วุตฺตํฯ
Ajjhattaṃ arūpasaññīti ajjhattaṃ na rūpasaññī, attano kesādīsu anuppāditarūpāvacarajjhānoti attho. Iminā bahiddhā parikammaṃ katvā bahiddhāva uppāditajjhānassa rūpāvacarajjhānāni dassitāni. Subhanteva adhimutto hotīti iminā suvisuddhesu nīlādīsu vaṇṇakasiṇesu jhānāni dassitāni. Tattha kiñcāpi antoappanāyaṃ subhanti ābhogo natthi, yo pana suvisuddhaṃ subhakasiṇaṃ ārammaṇaṃ katvā viharati, so yasmā subhanti adhimutto hotīti vattabbataṃ āpajjati, tasmā evaṃ desanā katā. Paṭisambhidāmagge pana ‘‘kathaṃ subhanteva adhimutto hotīti vimokkho. Idha bhikkhu mettāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… mettāya bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti. Karuṇāsahagatena, muditāsahagatena, upekkhāsahagatena cetasā ekaṃ disaṃ pharitvā viharati…pe… upekkhāya bhāvitattā sattā appaṭikūlā honti. Evaṃ subhanteva adhimutto hotīti vimokkho’’ti (paṭi. ma. 1.212) vuttaṃ.
สพฺพโส รูปสญฺญานนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ อยํ อฎฺฐโม วิโมโกฺขติ อยํ จตุนฺนํ ขนฺธานํ สพฺพโส วิสฺสฎฺฐตฺตา วิมุตฺตตฺตา อฎฺฐโม อุตฺตโม วิโมโกฺข นามฯ
Sabbasorūpasaññānantiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ visuddhimagge vuttameva. Ayaṃ aṭṭhamo vimokkhoti ayaṃ catunnaṃ khandhānaṃ sabbaso vissaṭṭhattā vimuttattā aṭṭhamo uttamo vimokkho nāma.
๒๔๙. อภิภายตนกถายํ อภิภายตนานีติ อภิภวนการณานิฯ กิํ อภิภวนฺติ? ปจฺจนีกธเมฺมปิ อารมฺมณานิปิฯ ตานิ หิ ปฎิปกฺขภาเวน ปจฺจนีกธเมฺม อภิภวนฺติ, ปุคฺคลสฺส ญาณุตฺตริตาย อารมฺมณานิฯ อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญีติอาทีสุ ปน อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี นาม โหติฯ อชฺฌตฺตญฺจ นีลปริกมฺมํ กโรโนฺต เกเส วา ปิเตฺต วา อกฺขิตารกาย วา กโรติ, ปีตปริกมฺมํ กโรโนฺต เมเท วา ฉวิยา วา หตฺถตลปาทตเลสุ วา อกฺขีนํ ปีตฎฺฐาเน วา กโรติ, โลหิตปริกมฺมํ กโรโนฺต มํเส วา โลหิเต วา ชิวฺหาย วา อกฺขีนํ รตฺตฎฺฐาเน วา กโรติ, โอทาตปริกมฺมํ กโรโนฺต อฎฺฐิมฺหิ วา ทเนฺต วา นเข วา อกฺขีนํ เสตฎฺฐาเน วา กโรติฯ ตํ ปน สุนีลํ สุปีตกํ สุโลหิตกํ สุโอทาตํ น โหติ, อสุวิสุทฺธเมว โหติฯ
249. Abhibhāyatanakathāyaṃ abhibhāyatanānīti abhibhavanakāraṇāni. Kiṃ abhibhavanti? Paccanīkadhammepi ārammaṇānipi. Tāni hi paṭipakkhabhāvena paccanīkadhamme abhibhavanti, puggalassa ñāṇuttaritāya ārammaṇāni. Ajjhattaṃ rūpasaññītiādīsu pana ajjhattarūpe parikammavasena ajjhattaṃ rūpasaññī nāma hoti. Ajjhattañca nīlaparikammaṃ karonto kese vā pitte vā akkhitārakāya vā karoti, pītaparikammaṃ karonto mede vā chaviyā vā hatthatalapādatalesu vā akkhīnaṃ pītaṭṭhāne vā karoti, lohitaparikammaṃ karonto maṃse vā lohite vā jivhāya vā akkhīnaṃ rattaṭṭhāne vā karoti, odātaparikammaṃ karonto aṭṭhimhi vā dante vā nakhe vā akkhīnaṃ setaṭṭhāne vā karoti. Taṃ pana sunīlaṃ supītakaṃ sulohitakaṃ suodātaṃ na hoti, asuvisuddhameva hoti.
เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยเสฺสตํ ปริกมฺมํ อชฺฌตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, นิมิตฺตํ ปน พหิทฺธา, โส เอวํ อชฺฌตฺตํ ปริกมฺมสฺส พหิทฺธา จ อปฺปนาย วเสน – ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ ปริตฺตานีติ อวฑฺฒิตานิฯ สุวณฺณทุพฺพณฺณานีติ สุวณฺณานิ วา โหนฺตุ ทุพฺพณฺณานิ วา, ปริตฺตวเสเนว อิทมภิภายตนํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตานิ อภิภุยฺยาติ ยถา นาม สมฺปนฺนคหณิโก กฎจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํ ลภิตฺวา ‘‘กิเมตฺถ ภุญฺชิตพฺพํ อตฺถี’’ติ สงฺกฑฺฒิตฺวา เอกกพฬเมว กโรติ, เอวเมวํ ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล วิสทญาโณ – ‘‘กิเมตฺถ ปริตฺตเก อารมฺมเณ สมาปชฺชิตพฺพํ อตฺถิ, นายํ มม ภาโร’’ติ ตานิ รูปานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ ชานามิ ปสฺสามีติ อิมินา ปนสฺส อาโภโค กถิโต, โส จ โข สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส, น อโนฺตสมาปตฺติยํฯ เอวํสญฺญี โหตีติ อาโภคสญฺญายปิ ฌานสญฺญายปิ เอวํสญฺญี โหติฯ อภิภวสญฺญา หิสฺส อโนฺตสมาปตฺติยํ อตฺถิ, อาโภคสญฺญา ปน สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตเสฺสวฯ
Eko bahiddhā rūpāni passatīti yassetaṃ parikammaṃ ajjhattaṃ uppannaṃ hoti, nimittaṃ pana bahiddhā, so evaṃ ajjhattaṃ parikammassa bahiddhā ca appanāya vasena – ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Parittānīti avaḍḍhitāni. Suvaṇṇadubbaṇṇānīti suvaṇṇāni vā hontu dubbaṇṇāni vā, parittavaseneva idamabhibhāyatanaṃ vuttanti veditabbaṃ. Tāniabhibhuyyāti yathā nāma sampannagahaṇiko kaṭacchumattaṃ bhattaṃ labhitvā ‘‘kimettha bhuñjitabbaṃ atthī’’ti saṅkaḍḍhitvā ekakabaḷameva karoti, evamevaṃ ñāṇuttariko puggalo visadañāṇo – ‘‘kimettha parittake ārammaṇe samāpajjitabbaṃ atthi, nāyaṃ mama bhāro’’ti tāni rūpāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho. Jānāmi passāmīti iminā panassa ābhogo kathito, so ca kho samāpattito vuṭṭhitassa, na antosamāpattiyaṃ. Evaṃsaññī hotīti ābhogasaññāyapi jhānasaññāyapi evaṃsaññī hoti. Abhibhavasaññā hissa antosamāpattiyaṃ atthi, ābhogasaññā pana samāpattito vuṭṭhitasseva.
อปฺปมาณานีติ วฑฺฒิตปฺปมาณานิ, มหนฺตานีติ อโตฺถฯ อภิภุยฺยาติ เอตฺถ ปน ยถา มหคฺฆโส ปุริโส เอกํ ภตฺตวฑฺฒิตกํ ลภิตฺวา ‘‘อญฺญาปิ โหตุ, อญฺญาปิ โหตุ, กิเมสา มยฺหํ กริสฺสตี’’ติ ตํ น มหนฺตโต ปสฺสติ, เอวเมว ญาณุตฺตโร ปุคฺคโล วิสทญาโณ ‘‘กิเมตฺถ สมาปชฺชิตพฺพํ, นยิทํ อปฺปมาณํ, น มยฺหํ จิเตฺตกคฺคตากรเณ ภาโร อตฺถี’’ติ ตานิ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตีติ อโตฺถฯ
Appamāṇānīti vaḍḍhitappamāṇāni, mahantānīti attho. Abhibhuyyāti ettha pana yathā mahagghaso puriso ekaṃ bhattavaḍḍhitakaṃ labhitvā ‘‘aññāpi hotu, aññāpi hotu, kimesā mayhaṃ karissatī’’ti taṃ na mahantato passati, evameva ñāṇuttaro puggalo visadañāṇo ‘‘kimettha samāpajjitabbaṃ, nayidaṃ appamāṇaṃ, na mayhaṃ cittekaggatākaraṇe bhāro atthī’’ti tāni abhibhavitvā samāpajjati, saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetīti attho.
อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญีติ อลาภิตาย วา อนตฺถิกตาย วา อชฺฌตฺตรูเป ปริกมฺมสญฺญาวิรหิโตฯ เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตีติ ยสฺส ปริกมฺมมฺปิ นิมิตฺตมฺปิ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนํ, โส เอวํ พหิทฺธา ปริกมฺมสฺส เจว อปฺปนาย จ วเสน – ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสตี’’ติ วุจฺจติฯ เสสเมตฺถ จตุตฺถาภิภายตเน วุตฺตนยเมวฯ อิเมสุ ปน จตูสุ ปริตฺตํ วิตกฺกจริตวเสน อาคตํ, อปฺปมาณํ โมหจริตวเสน, สุวณฺณํ โทสจริตวเสน, ทุพฺพณฺณํ ราคจริตวเสนฯ เอเตสญฺหิ เอตานิ สปฺปายานิฯ สา จ เนสํ สปฺปายตา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺคจริยนิเทฺทเส วุตฺตาฯ
Ajjhattaṃ arūpasaññīti alābhitāya vā anatthikatāya vā ajjhattarūpe parikammasaññāvirahito. Ekobahiddhā rūpāni passatīti yassa parikammampi nimittampi bahiddhāva uppannaṃ, so evaṃ bahiddhā parikammassa ceva appanāya ca vasena – ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passatī’’ti vuccati. Sesamettha catutthābhibhāyatane vuttanayameva. Imesu pana catūsu parittaṃ vitakkacaritavasena āgataṃ, appamāṇaṃ mohacaritavasena, suvaṇṇaṃ dosacaritavasena, dubbaṇṇaṃ rāgacaritavasena. Etesañhi etāni sappāyāni. Sā ca nesaṃ sappāyatā vitthārato visuddhimaggecariyaniddese vuttā.
ปญฺจมอภิภายตนาทีสุ นีลานีติ สพฺพสงฺคาหิกวเสน วุตฺตํฯ นีลวณฺณานีติ วณฺณวเสนฯ นีลนิทสฺสนานีติ นิทสฺสนวเสนฯ อปญฺญายมานวิวรานิ อสมฺภินฺนวณฺณานิ เอกนีลาเนว หุตฺวา ทิสฺสนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ นีลนิภาสานีติ อิทํ ปน โอภาสวเสน วุตฺตํ, นีโลภาสานิ นีลปภายุตฺตานีติ อโตฺถฯ เอเตน เนสํ สุวิสุทฺธตํ ทเสฺสติฯ วิสุทฺธวณฺณวเสเนว หิ อิมานิ จตฺตาริ อภิภายตนานิ วุตฺตานิฯ อุมาปุปฺผนฺติ เอตญฺหิ ปุปฺผํ สินิทฺธํ มุทุํ ทิสฺสมานมฺปิ นีลเมว โหติฯ คิริกณฺณิกปุปฺผาทีนิ ปน ทิสฺสมานานิ เสตธาตุกานิ โหนฺติฯ ตสฺมา อิทเมว คหิตํ, น ตานิฯ พาราณเสยฺยกนฺติ พาราณสิยํ ภวํฯ ตตฺถ กิร กปฺปาโสปิ มุทุ, สุตฺตกนฺติกาโยปิ ตนฺตวายาปิ เฉกา, อุทกมฺปิ สุจิ สินิทฺธํ, ตสฺมา วตฺถํ อุภโตภาควิมฎฺฐํ โหติ, ทฺวีสุ ปเสฺสสุ มฎฺฐํ มุทุ สินิทฺธํ ขายติฯ ปีตานีติอาทีสุ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ‘‘นีลกสิณํ อุคฺคณฺหโนฺต นีลสฺมิํ นิมิตฺตํ คณฺหาติ ปุปฺผสฺมิํ วา วตฺถสฺมิํ วา วณฺณธาตุยา วา’’ติอาทิกํ ปเนตฺถ กสิณกรณเญฺจว ปริกมฺมญฺจ อปฺปนาวิธานญฺจ สพฺพํ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถารโต วุตฺตเมวฯ
Pañcamaabhibhāyatanādīsu nīlānīti sabbasaṅgāhikavasena vuttaṃ. Nīlavaṇṇānīti vaṇṇavasena. Nīlanidassanānīti nidassanavasena. Apaññāyamānavivarāni asambhinnavaṇṇāni ekanīlāneva hutvā dissantīti vuttaṃ hoti. Nīlanibhāsānīti idaṃ pana obhāsavasena vuttaṃ, nīlobhāsāni nīlapabhāyuttānīti attho. Etena nesaṃ suvisuddhataṃ dasseti. Visuddhavaṇṇavaseneva hi imāni cattāri abhibhāyatanāni vuttāni. Umāpupphanti etañhi pupphaṃ siniddhaṃ muduṃ dissamānampi nīlameva hoti. Girikaṇṇikapupphādīni pana dissamānāni setadhātukāni honti. Tasmā idameva gahitaṃ, na tāni. Bārāṇaseyyakanti bārāṇasiyaṃ bhavaṃ. Tattha kira kappāsopi mudu, suttakantikāyopi tantavāyāpi chekā, udakampi suci siniddhaṃ, tasmā vatthaṃ ubhatobhāgavimaṭṭhaṃ hoti, dvīsu passesu maṭṭhaṃ mudu siniddhaṃ khāyati. Pītānītiādīsu imināva nayena attho veditabbo. ‘‘Nīlakasiṇaṃ uggaṇhanto nīlasmiṃ nimittaṃ gaṇhāti pupphasmiṃ vā vatthasmiṃ vā vaṇṇadhātuyā vā’’tiādikaṃ panettha kasiṇakaraṇañceva parikammañca appanāvidhānañca sabbaṃ visuddhimagge vitthārato vuttameva.
อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตาติ อิโต ปุเพฺพสุ สติปฎฺฐานาทีสุ เต ธเมฺม ภาเวตฺวา อรหตฺตปฺปตฺตาว อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา นาม โหนฺติ, อิเมสุ ปน อฎฺฐสุ อภิภายตเนสุ จิณฺณวสีภาวาเยว อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา นามฯ
Abhiññāvosānapāramippattāti ito pubbesu satipaṭṭhānādīsu te dhamme bhāvetvā arahattappattāva abhiññāvosānapāramippattā nāma honti, imesu pana aṭṭhasu abhibhāyatanesu ciṇṇavasībhāvāyeva abhiññāvosānapāramippattā nāma.
๒๕๐. กสิณกถายํ สกลเฎฺฐน กสิณานิ, ตทารมฺมณานํ ธมฺมานํ เขตฺตเฎฺฐน อธิฎฺฐานเฎฺฐน วา อายตนานิฯ อุทฺธนฺติ อุปริ คคนตลาภิมุขํฯ อโธติ เหฎฺฐา ภูมิตลาภิมุขํฯ ติริยนฺติ เขตฺตมณฺฑลมิว สมนฺตา ปริจฺฉินฺทิตฺวาฯ เอกโจฺจ หิ อุทฺธเมว กสิณํ วเฑฺฒติ, เอกโจฺจ อโธ, เอกโจฺจ สมนฺตโตฯ เตน เตน การเณน เอวํ ปสาเรติ อาโลกมิว รูปทสฺสนกาโมฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปถวีกสิณเมโก สญฺชานาติ อุทฺธํอโธติริย’’นฺติฯ อทฺวยนฺติ ทิสาอนุทิสาสุ อทฺวยํฯ อิทํ ปน เอกสฺส อญฺญภาวานุปคมนตฺถํ วุตฺตํฯ ยถา หิ อุทกํ ปวิฎฺฐสฺส สพฺพทิสาสุ อุทกเมว โหติ อนญฺญํ, เอวเมวํ ปถวีกสิณํ ปถวีกสิณเมว โหติ, นตฺถิ ตสฺส อโญฺญ กสิณสเมฺภโทติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ อปฺปมาณนฺติ อิทํ ตสฺส ตสฺส ผรณอปฺปมาณวเสน วุตฺตํฯ ตญฺหิ เจตสา ผรโนฺต สกลเมว ผรติ, อยมสฺส อาทิ, อิทํ มชฺฌนฺติ ปมาณํ คณฺหาตีติฯ วิญฺญาณกสิณนฺติ เจตฺถ กสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตํ วิญฺญาณํฯ ตตฺถ กสิณวเสน กสิณุคฺฆาฎิมากาเส, กสิณุคฺฆาฎิมากาสวเสน ตตฺถ ปวตฺตวิญฺญาเณ อุทฺธํอโธติริยตา เวทิตพฺพาฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ กมฺมฎฺฐานภาวนานเยน ปเนตานิ ปถวีกสิณาทีนิ วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาเนวฯ อิธาปิ จิณฺณวสิภาเวเนว อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ตถา อิโต อนนฺตเรสุ จตูสุ ฌาเนสุฯ ยํ ปเนตฺถ วตฺตพฺพํ, ตํ มหาอสฺสปุรสุเตฺต วุตฺตเมวฯ
250. Kasiṇakathāyaṃ sakalaṭṭhena kasiṇāni, tadārammaṇānaṃ dhammānaṃ khettaṭṭhena adhiṭṭhānaṭṭhena vā āyatanāni. Uddhanti upari gaganatalābhimukhaṃ. Adhoti heṭṭhā bhūmitalābhimukhaṃ. Tiriyanti khettamaṇḍalamiva samantā paricchinditvā. Ekacco hi uddhameva kasiṇaṃ vaḍḍheti, ekacco adho, ekacco samantato. Tena tena kāraṇena evaṃ pasāreti ālokamiva rūpadassanakāmo. Tena vuttaṃ – ‘‘pathavīkasiṇameko sañjānāti uddhaṃadhotiriya’’nti. Advayanti disāanudisāsu advayaṃ. Idaṃ pana ekassa aññabhāvānupagamanatthaṃ vuttaṃ. Yathā hi udakaṃ paviṭṭhassa sabbadisāsu udakameva hoti anaññaṃ, evamevaṃ pathavīkasiṇaṃ pathavīkasiṇameva hoti, natthi tassa añño kasiṇasambhedoti. Esa nayo sabbattha. Appamāṇanti idaṃ tassa tassa pharaṇaappamāṇavasena vuttaṃ. Tañhi cetasā pharanto sakalameva pharati, ayamassa ādi, idaṃ majjhanti pamāṇaṃ gaṇhātīti. Viññāṇakasiṇanti cettha kasiṇugghāṭimākāse pavattaṃ viññāṇaṃ. Tattha kasiṇavasena kasiṇugghāṭimākāse, kasiṇugghāṭimākāsavasena tattha pavattaviññāṇe uddhaṃadhotiriyatā veditabbā. Ayamettha saṅkhepo. Kammaṭṭhānabhāvanānayena panetāni pathavīkasiṇādīni vitthārato visuddhimagge vuttāneva. Idhāpi ciṇṇavasibhāveneva abhiññāvosānapāramippattā hontīti veditabbā. Tathā ito anantaresu catūsu jhānesu. Yaṃ panettha vattabbaṃ, taṃ mahāassapurasutte vuttameva.
๒๕๒. วิปสฺสนาญาเณ ปน รูปีติอาทีนมโตฺถ วุโตฺตเยวฯ เอตฺถ สิตเมตฺถ ปฎิพทฺธนฺติ เอตฺถ จาตุมหาภูติเก กาเย นิสฺสิตญฺจ ปฎิพทฺธญฺจฯ สุโภติ สุนฺทโรฯ ชาติมาติ สุปริสุทฺธอากรสมุฎฺฐิโตฯ สุปริกมฺมกโตติ สุฎฺฐุ กตปริกโมฺม อปนีตปาสาณสกฺขโรฯ อโจฺฉติ ตนุจฺฉวิฯ วิปฺปสโนฺนติ สุฎฺฐุ วิปฺปสโนฺนฯ สพฺพาการสมฺปโนฺนติ โธวน เวธนาทีหิ สเพฺพหิ อากาเรหิ สมฺปโนฺนฯ นีลนฺติอาทีหิ วณฺณสมฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ ตาทิสญฺหิ อาวุตํ ปากฎํ โหติฯ
252. Vipassanāñāṇe pana rūpītiādīnamattho vuttoyeva. Ettha sitamettha paṭibaddhanti ettha cātumahābhūtike kāye nissitañca paṭibaddhañca. Subhoti sundaro. Jātimāti suparisuddhaākarasamuṭṭhito. Suparikammakatoti suṭṭhu kataparikammo apanītapāsāṇasakkharo. Acchoti tanucchavi. Vippasannoti suṭṭhu vippasanno. Sabbākārasampannoti dhovana vedhanādīhi sabbehi ākārehi sampanno. Nīlantiādīhi vaṇṇasampattiṃ dasseti. Tādisañhi āvutaṃ pākaṭaṃ hoti.
เอวเมว โขติ เอตฺถ เอวํ อุปมาสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํ – มณิ วิย หิ กรชกาโยฯ อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณํฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย วิปสฺสนาลาภี ภิกฺขุฯ หเตฺถ กริตฺวา ปจฺจเวกฺขโต ‘‘อยํ โข มณี’’ติ มณิโน อาวิภูตกาโล วิย วิปสฺสนาญาณํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน จาตุมหาภูติกกายสฺส อาวิภูตกาโลฯ ‘‘ตตฺริทํ สุตฺตํ อาวุต’’นฺติ สุตฺตสฺส อาวิภูตกาโล วิย วิปสฺสนาญาณํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ตทารมฺมณานํ ผสฺสปญฺจมกานํ วา สพฺพจิตฺตเจตสิกานํ วา วิปสฺสนาญาณเสฺสว วา อาวิภูตกาโลติฯ
Evameva khoti ettha evaṃ upamāsaṃsandanaṃ veditabbaṃ – maṇi viya hi karajakāyo. Āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇaṃ. Cakkhumā puriso viya vipassanālābhī bhikkhu. Hatthe karitvā paccavekkhato ‘‘ayaṃ kho maṇī’’ti maṇino āvibhūtakālo viya vipassanāñāṇaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno cātumahābhūtikakāyassa āvibhūtakālo. ‘‘Tatridaṃ suttaṃ āvuta’’nti suttassa āvibhūtakālo viya vipassanāñāṇaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno tadārammaṇānaṃ phassapañcamakānaṃ vā sabbacittacetasikānaṃ vā vipassanāñāṇasseva vā āvibhūtakāloti.
กิํ ปเนตํ ญาณสฺส อาวิภูตํ, ปุคฺคลสฺสาติฯ ญาณสฺส, ตสฺส ปน อาวิภาวตฺตา ปุคฺคลสฺส อาวิภูตาว โหนฺติฯ อิทญฺจ วิปสฺสนาญาณํ มคฺคสฺส อนนฺตรํ, เอวํ สเนฺตปิ ยสฺมา อภิญฺญาวาเร อารเทฺธ เอตสฺส อนฺตราวาโร นตฺถิ, ตสฺมา อิเธว ทสฺสิตํฯ ยสฺมา จ อนิจฺจาทิวเสน อกตสมฺมสนสฺส ทิพฺพาย โสตธาตุยา เภรวสทฺทํ สุณโนฺต ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติยา เภรเว ขเนฺธ อนุสฺสรโต ทิเพฺพน จกฺขุนา เภรวรูปํ ปสฺสโต ภยสนฺตาโส อุปฺปชฺชติ, น อนิจฺจาทิวเสน กตสมฺมสนสฺส, ตสฺมา อภิญฺญาปตฺตสฺส ภยวิโนทกเหตุสมฺปาทนตฺถมฺปิ อิทํ อิเธว ทสฺสิตํฯ อิธาปิ อรหตฺตวเสเนว อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตตา เวทิตพฺพาฯ
Kiṃ panetaṃ ñāṇassa āvibhūtaṃ, puggalassāti. Ñāṇassa, tassa pana āvibhāvattā puggalassa āvibhūtāva honti. Idañca vipassanāñāṇaṃ maggassa anantaraṃ, evaṃ santepi yasmā abhiññāvāre āraddhe etassa antarāvāro natthi, tasmā idheva dassitaṃ. Yasmā ca aniccādivasena akatasammasanassa dibbāya sotadhātuyā bheravasaddaṃ suṇanto pubbenivāsānussatiyā bherave khandhe anussarato dibbena cakkhunā bheravarūpaṃ passato bhayasantāso uppajjati, na aniccādivasena katasammasanassa, tasmā abhiññāpattassa bhayavinodakahetusampādanatthampi idaṃ idheva dassitaṃ. Idhāpi arahattavaseneva abhiññāvosānapāramippattatā veditabbā.
๒๕๓. มโนมยิทฺธิยํ จิณฺณวสิตายฯ ตตฺถ มโนมยนฺติ มเนน นิพฺพตฺตํฯ สพฺพงฺคปจฺจงฺคินฺติ สเพฺพหิ อเงฺคหิ จ ปจฺจเงฺคหิ จ สมนฺนาคตํฯ อหีนินฺทฺริยนฺติ สณฺฐานวเสน อวิกลินฺทฺริยํฯ อิทฺธิมตา นิมฺมิตรูปญฺหิ สเจ อิทฺธิมา โอทาโต, ตมฺปิ โอทาตํฯ สเจ อวิทฺธกโณฺณ, ตมฺปิ อวิทฺธกณฺณนฺติ เอวํ สพฺพากาเรหิ เตน สทิสเมว โหติฯ มุญฺชมฺหา อีสิกนฺติอาทิ อุปมตฺตยมฺปิ ตํ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมว วุตฺตํฯ มุญฺชสทิสา เอว หิ ตสฺส อโนฺต อีสิกา โหติฯ โกสสทิโสเยว อสิ, วฎฺฎาย โกสิยา วฎฺฎํ อสิเมว ปกฺขิปนฺติ, ปตฺถฎาย ปตฺถฎํฯ
253. Manomayiddhiyaṃ ciṇṇavasitāya. Tattha manomayanti manena nibbattaṃ. Sabbaṅgapaccaṅginti sabbehi aṅgehi ca paccaṅgehi ca samannāgataṃ. Ahīnindriyanti saṇṭhānavasena avikalindriyaṃ. Iddhimatā nimmitarūpañhi sace iddhimā odāto, tampi odātaṃ. Sace aviddhakaṇṇo, tampi aviddhakaṇṇanti evaṃ sabbākārehi tena sadisameva hoti. Muñjamhā īsikantiādi upamattayampi taṃ sadisabhāvadassanatthameva vuttaṃ. Muñjasadisā eva hi tassa anto īsikā hoti. Kosasadisoyeva asi, vaṭṭāya kosiyā vaṭṭaṃ asimeva pakkhipanti, patthaṭāya patthaṭaṃ.
กรณฺฑาติ อิทมฺปิ อหิกญฺจุกสฺส นามํ, น วิลีวกรณฺฑกสฺสฯ อหิกญฺจุโก หิ อหินา สทิโสว โหติฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘ปุริโส อหิํ กรณฺฑา อุทฺธเรยฺยา’’ติ หเตฺถน อุทฺธรมาโน วิย ทสฺสิโต, อถ โข จิเตฺตเนวสฺส อุทฺธรณํ เวทิตพฺพํฯ อยญฺหิ อหิ นาม สชาติยํ ฐิโต, กฎฺฐนฺตรํ วา รุกฺขนฺตรํ วา นิสฺสาย, ตจโต สรีรนิกฺกฑฺฒนปโยคสงฺขาเตน ถาเมน, สรีรํ ขาทมานํ วิย ปุราณตจํ ชิคุจฺฉโนฺตติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ สยเมว กญฺจุกํ ชหาติ, น สกฺกา ตโต อเญฺญน อุทฺธริตุํฯ ตสฺมา จิเตฺตน อุทฺธรณํ สนฺธาย อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิติ มุญฺชาทิสทิสํ อิมสฺส ภิกฺขุโน สรีรํ, อีสิกาทิสทิสํ นิมฺมิตรูปนฺติ อิทเมตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํฯ นิมฺมานวิธานํ ปเนตฺถ ปรโต จ อิทฺธิวิธาทิปญฺจอภิญฺญากถา สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาติ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ อุปมามตฺตเมว หิ อิธ อธิกํฯ
Karaṇḍāti idampi ahikañcukassa nāmaṃ, na vilīvakaraṇḍakassa. Ahikañcuko hi ahinā sadisova hoti. Tattha kiñcāpi ‘‘puriso ahiṃ karaṇḍā uddhareyyā’’ti hatthena uddharamāno viya dassito, atha kho cittenevassa uddharaṇaṃ veditabbaṃ. Ayañhi ahi nāma sajātiyaṃ ṭhito, kaṭṭhantaraṃ vā rukkhantaraṃ vā nissāya, tacato sarīranikkaḍḍhanapayogasaṅkhātena thāmena, sarīraṃ khādamānaṃ viya purāṇatacaṃ jigucchantoti imehi catūhi kāraṇehi sayameva kañcukaṃ jahāti, na sakkā tato aññena uddharituṃ. Tasmā cittena uddharaṇaṃ sandhāya idaṃ vuttanti veditabbaṃ. Iti muñjādisadisaṃ imassa bhikkhuno sarīraṃ, īsikādisadisaṃ nimmitarūpanti idamettha opammasaṃsandanaṃ. Nimmānavidhānaṃ panettha parato ca iddhividhādipañcaabhiññākathā sabbākārena visuddhimagge vitthāritāti tattha vuttanayeneva veditabbā. Upamāmattameva hi idha adhikaṃ.
ตตฺถ เฉกกุมฺภการาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณลาภี ภิกฺขุ ทฎฺฐโพฺพฯ สุปริกมฺมกตมตฺติกาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิจฺฉิติจฺฉิตภาชนวิกติอาทิกรณํ วิย ตสฺส ภิกฺขุโน วิกุพฺพนํ ทฎฺฐพฺพํฯ อิธาปิ จิณฺณวสิตาวเสเนว อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตตา เวทิตพฺพาฯ ตถา อิโต ปราสุ จตูสุ อภิญฺญาสุฯ
Tattha chekakumbhakārādayo viya iddhividhañāṇalābhī bhikkhu daṭṭhabbo. Suparikammakatamattikādayo viya iddhividhañāṇaṃ daṭṭhabbaṃ. Icchiticchitabhājanavikatiādikaraṇaṃ viya tassa bhikkhuno vikubbanaṃ daṭṭhabbaṃ. Idhāpi ciṇṇavasitāvaseneva abhiññāvosānapāramippattatā veditabbā. Tathā ito parāsu catūsu abhiññāsu.
๒๕๕. ตตฺถ ทิพฺพโสตธาตุอุปมายํ สงฺขธโมติ สงฺขธมโกฯ อปฺปกสิเรเนวาติ นิทฺทุเกฺขเนวฯ วิญฺญาเปยฺยาติ ชานาเปยฺยฯ ตตฺถ เอวํ จาตุทฺทิสา วิญฺญาเปเนฺต สงฺขธมเก ‘‘สงฺขสโทฺท อย’’นฺติ ววตฺถาเปนฺตานํ สตฺตานํ ตสฺส สงฺขสทฺทสฺส อาวิภูตกาโล วิย โยคิโน ทูรสนฺติกเภทานํ ทิพฺพานเญฺจว มานุสกานญฺจ สทฺทานํ อาวิภูตกาโล ทฎฺฐโพฺพฯ
255. Tattha dibbasotadhātuupamāyaṃ saṅkhadhamoti saṅkhadhamako. Appakasirenevāti niddukkheneva. Viññāpeyyāti jānāpeyya. Tattha evaṃ cātuddisā viññāpente saṅkhadhamake ‘‘saṅkhasaddo aya’’nti vavatthāpentānaṃ sattānaṃ tassa saṅkhasaddassa āvibhūtakālo viya yogino dūrasantikabhedānaṃ dibbānañceva mānusakānañca saddānaṃ āvibhūtakālo daṭṭhabbo.
๒๕๖. เจโตปริยญาณ-อุปมายํ ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพเนน สมนฺนาคโตฯ มณฺฑนกชาติโกติ ยุวาปิ สมาโน น อลสิโย กิลิฎฺฐวตฺถสรีโร, อถ โข มณฺฑนกปกติโก, ทิวสสฺส เทฺว ตโย วาเร นฺหายิตฺวา สุทฺธวตฺถ-ปริทหน-อลงฺการกรณสีโลติ อโตฺถฯ สกณิกนฺติ กาฬติลกวงฺก-มุขทูสิปีฬกาทีนํ อญฺญตเรน สโทสํฯ ตตฺถ ยถา ตสฺส มุขนิมิตฺตํ ปจฺจเวกฺขโต มุขโทโส ปากโฎ โหติ, เอวํ เจโตปริยญาณาย จิตฺตํ อภินีหริตฺวา นิสินฺนสฺส ภิกฺขุโน ปเรสํ โสฬสวิธํ จิตฺตํ ปากฎํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ปุเพฺพนิวาสอุปมาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ มหาอสฺสปุเร วุตฺตเมวฯ
256. Cetopariyañāṇa-upamāyaṃ daharoti taruṇo. Yuvāti yobbanena samannāgato. Maṇḍanakajātikoti yuvāpi samāno na alasiyo kiliṭṭhavatthasarīro, atha kho maṇḍanakapakatiko, divasassa dve tayo vāre nhāyitvā suddhavattha-paridahana-alaṅkārakaraṇasīloti attho. Sakaṇikanti kāḷatilakavaṅka-mukhadūsipīḷakādīnaṃ aññatarena sadosaṃ. Tattha yathā tassa mukhanimittaṃ paccavekkhato mukhadoso pākaṭo hoti, evaṃ cetopariyañāṇāya cittaṃ abhinīharitvā nisinnassa bhikkhuno paresaṃ soḷasavidhaṃ cittaṃ pākaṭaṃ hotīti veditabbaṃ. Pubbenivāsaupamādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ mahāassapure vuttameva.
๒๕๙. อยํ โข อุทายิ ปญฺจโม ธโมฺมติ เอกูนวีสติ ปพฺพานิ ปฎิปทาวเสน เอกํ ธมฺมํ กตฺวา ปญฺจโม ธโมฺมติ วุโตฺตฯ ยถา หิ อฎฺฐกนาครสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๑๗ อาทโย) เอกาทส ปพฺพานิ ปุจฺฉาวเสน เอกธโมฺม กโต, เอวมิธ เอกูนวีสติ ปพฺพานิ ปฎิปทาวเสน เอโก ธโมฺม กโตติ เวทิตพฺพานิฯ อิเมสุ จ ปน เอกูนวีสติยา ปเพฺพสุ ปฎิปาฎิยา อฎฺฐสุ โกฎฺฐาเสสุ วิปสฺสนาญาเณ จ อาสวกฺขยญาเณ จ อรหตฺตวเสน อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตตา เวทิตพฺพา, เสเสสุ จิณฺณวสิภาววเสนฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
259.Ayaṃ kho udāyi pañcamo dhammoti ekūnavīsati pabbāni paṭipadāvasena ekaṃ dhammaṃ katvā pañcamo dhammoti vutto. Yathā hi aṭṭhakanāgarasutte (ma. ni. 2.17 ādayo) ekādasa pabbāni pucchāvasena ekadhammo kato, evamidha ekūnavīsati pabbāni paṭipadāvasena eko dhammo katoti veditabbāni. Imesu ca pana ekūnavīsatiyā pabbesu paṭipāṭiyā aṭṭhasu koṭṭhāsesu vipassanāñāṇe ca āsavakkhayañāṇe ca arahattavasena abhiññāvosānapāramippattatā veditabbā, sesesu ciṇṇavasibhāvavasena. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย
Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya
มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตํ • 7. Mahāsakuludāyisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā