Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา

    7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā

    ๒๓๗. อภิญฺญาตาติ เอทิโส เอทิโส จาติ อภิลกฺขณวเสน ญาตาฯ อปฺปสทฺทสฺส วินีโต, อปฺปสทฺทตาย มนฺทภาณิตาย วินีโตติ จ อปฺปสทฺทวินีโตติ วุจฺจมาเน อเญฺญน วินีตภาโว ทีปิโต โหติ, ภควา ปน สยมฺภุญาเณน สยเมว วินีโตฯ ตสฺมา ปาฬิยํ ‘‘อปฺปสทฺทวินีโต’’ติ น วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘น หิ ภควา อเญฺญน วินีโต’’ติฯ

    237.Abhiññātāti ediso ediso cāti abhilakkhaṇavasena ñātā. Appasaddassa vinīto, appasaddatāya mandabhāṇitāya vinītoti ca appasaddavinītoti vuccamāne aññena vinītabhāvo dīpito hoti, bhagavā pana sayambhuñāṇena sayameva vinīto. Tasmā pāḷiyaṃ ‘‘appasaddavinīto’’ti na vuttaṃ. Tenāha ‘‘na hi bhagavā aññena vinīto’’ti.

    ๒๓๘. หิโยฺยทิวสํ อุปาทาย ตโต อาสนฺนานิ กติปยานิ ทิวสานิ ปุริมานิ นาม โหนฺติ, ปุริมานีติ จ ปุพฺพกานิ, อตีตานีติ อโตฺถฯ ตโต ปรนฺติ ยถา วุตฺตอตีตทิวสโต อนนฺตรํ ปรํ ปุริมตรํ อติสเยน ปุริมตฺตาฯ อิติ อิเมสุ ทฺวีสุ ปวตฺติโต ยถากฺกมํ ปุริมปุริมตรภาโว, เอวํ สเนฺตปิ ยเทตฺถ ‘‘ปุริมตร’’นฺติ วุตฺตํ, ตโต ปภุติ ยํ ยํ โอรํ, ตํ ตํ ปรํ, ยํ ยํ ปรํ, ตํ ตํ ‘‘ปุริมตร’’นฺติ วุตฺตํ โหติฯ กุตูหลยุตฺตา สาลา กุตูหลสาลา ยถา ‘‘อาชญฺญรโถ’’ติฯ อิเม ทสฺสนาทโยฯ

    238.Hiyyodivasaṃupādāya tato āsannāni katipayāni divasāni purimāni nāma honti, purimānīti ca pubbakāni, atītānīti attho. Tato paranti yathā vuttaatītadivasato anantaraṃ paraṃ purimataraṃ atisayena purimattā. Iti imesu dvīsu pavattito yathākkamaṃ purimapurimatarabhāvo, evaṃ santepi yadettha ‘‘purimatara’’nti vuttaṃ, tato pabhuti yaṃ yaṃ oraṃ, taṃ taṃ paraṃ, yaṃ yaṃ paraṃ, taṃ taṃ ‘‘purimatara’’nti vuttaṃ hoti. Kutūhalayuttā sālā kutūhalasālā yathā ‘‘ājaññaratho’’ti. Ime dassanādayo.

    อยถาภูตคุเณหีติ อยถาภูตํ มิจฺฉาทีปิตอตฺถมเตฺตเนว อุโคฺฆสิตคุเณหิ สมุคฺคโต โฆสิโตฯ ตรนฺติ อติกฺกมนฺติ เอเตนาติ ติตฺถํ, อคฺคมโคฺคฯ ทิฎฺฐิคติกมโคฺค ปน อยถาภูโตปิ เตสํ ตถา วิตรณํ อุปาทาย ติตฺถนฺติ โวหรียตีติ ตํ กโรนฺตา ติตฺถกราฯ โอสรตีติ ปวิสติฯ

    Ayathābhūtaguṇehīti ayathābhūtaṃ micchādīpitaatthamatteneva ugghositaguṇehi samuggato ghosito. Taranti atikkamanti etenāti titthaṃ, aggamaggo. Diṭṭhigatikamaggo pana ayathābhūtopi tesaṃ tathā vitaraṇaṃ upādāya titthanti voharīyatīti taṃ karontā titthakarā. Osaratīti pavisati.

    ๒๓๙. สหิตนฺติ ปุพฺพาปราวิรุทฺธํฯ น กิญฺจิ ชาตนฺติ ปฎิญฺญาโทสเหตุโทสอุทาหรณโทสทุฎฺฐโทสตาย น กิญฺจิ ชาตํฯ เตนาห ‘‘อาโรปิโต เต วาโท’’ติฯ วทนฺติ เตน ปริภาสนฺตีติ วาโท โทโสฯ สภาวโกฺกเสนาติ สภาวโต ปวตฺตโกฎฺฐาเสนฯ

    239.Sahitanti pubbāparāviruddhaṃ. Na kiñci jātanti paṭiññādosahetudosaudāharaṇadosaduṭṭhadosatāya na kiñci jātaṃ. Tenāha ‘‘āropito te vādo’’ti. Vadanti tena paribhāsantīti vādo doso. Sabhāvakkosenāti sabhāvato pavattakoṭṭhāsena.

    ๒๔๐. ปีเฬยฺยาติ มธุภเณฺฑน สห ภาชเน ปีเฬตฺวา ทเทยฺยฯ สพฺรหฺมจารีหิ สมฺปโยเชตฺวาติ สหธมฺมิเกหิ วิเหฐนปโยคํ กตฺวา, เตนาห ‘‘วิวาทํ กตฺวา’’ติฯ

    240.Pīḷeyyāti madhubhaṇḍena saha bhājane pīḷetvā dadeyya. Sabrahmacārīhi sampayojetvāti sahadhammikehi viheṭhanapayogaṃ katvā, tenāha ‘‘vivādaṃ katvā’’ti.

    ๒๔๑. อิตรีตเรนาติ ปณีตโต อิตเรนฯ เตนาห ‘‘ลามกลามเกนา’’ติฯ

    241.Itarītarenāti paṇītato itarena. Tenāha ‘‘lāmakalāmakenā’’ti.

    ๒๔๒. ภตฺตโกสเกนาติ โกสกภเตฺตน, ขุทฺทกสราวภตฺตเกนาติ อโตฺถฯ เพลุวมตฺตภตฺตาหาราติ พิลฺลปมาณภตฺตโภชนาฯ โอฎฺฐวฎฺฎิยาติ มุขวฎฺฎิยาฯ สพฺพากาเรเนวาติ สพฺพปฺปกาเรเนวฯ อนปฺปาหาโรติ น วตฺตโพฺพ กทาจิ อปฺปาหาโรติ กตฺวาฯ ตตฺถ อติวิย อเญฺญหิ อวิสยฺหํ อปฺปาหารตํ ภควโต ทเสฺสตุํ ‘‘ปธานภูมิย’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ มยาติ นิสฺสกฺกวจนํฯ วิเสสตราติ เตน ธเมฺมน วิเสสวนฺตตราฯ

    242.Bhattakosakenāti kosakabhattena, khuddakasarāvabhattakenāti attho. Beluvamattabhattāhārāti billapamāṇabhattabhojanā. Oṭṭhavaṭṭiyāti mukhavaṭṭiyā. Sabbākārenevāti sabbappakāreneva. Anappāhāroti na vattabbo kadāci appāhāroti katvā. Tattha ativiya aññehi avisayhaṃ appāhārataṃ bhagavato dassetuṃ ‘‘padhānabhūmiya’’ntiādi vuttaṃ. Mayāti nissakkavacanaṃ. Visesatarāti tena dhammena visesavantatarā.

    วตสมาทานวเสเนว ปํสุกูลํ ธาเรนฺตีติ ปํสุกูลิกาติ อาห – ‘‘สมาทินฺนปํสุกูลิกงฺคา’’ติ, สทฺทโตฺถ ปน ‘‘วิสุทฺธิมเคฺค’’ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๔) วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ ปิณฺฑปาติกา สปทานจาริโนติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ตตฺถ สเตฺถน ฉินฺทิตตฺตา สตฺถลูขานิฯ ยํ ยํ สปฺปายํ, ตเสฺสว คหณํ อุจฺจินนฺติ อาห ‘‘อุจฺจินิตฺวา…เป.… ถิรฎฺฐานเมว คเหตฺวา’’ติฯ อลาพุโลมสานีติ อลาพุโลมานิ วิย สุขุมตรานิ จีวรสุตฺตํสูนิ เอเตสํ สนฺตีติ อลาพุโลมสานิฯ ปาติตสาณปํสุกูลนฺติ กเฬวเรน สทฺธิํ ฉฑฺฑิตสาณมยํ ปํสุกูลํ, ยํ ตุมฺพมเตฺต ปุฬเว โอธุนิตฺวา สตฺถา คณฺหิฯ

    Vatasamādānavaseneva paṃsukūlaṃ dhārentīti paṃsukūlikāti āha – ‘‘samādinnapaṃsukūlikaṅgā’’ti, saddattho pana ‘‘visuddhimagge’’ (visuddhi. 1.24) vuttanayena veditabbo. Piṇḍapātikā sapadānacārinotiādīsupi eseva nayo. Tattha tattha satthena chinditattā satthalūkhāni. Yaṃ yaṃ sappāyaṃ, tasseva gahaṇaṃ uccinanti āha ‘‘uccinitvā…pe… thiraṭṭhānameva gahetvā’’ti. Alābulomasānīti alābulomāni viya sukhumatarāni cīvarasuttaṃsūni etesaṃ santīti alābulomasāni. Pātitasāṇapaṃsukūlanti kaḷevarena saddhiṃ chaḍḍitasāṇamayaṃ paṃsukūlaṃ, yaṃ tumbamatte puḷave odhunitvā satthā gaṇhi.

    ‘‘ยถาปิ ภมโร ปุปฺผ’’นฺติอาทินา (ธ. ป. ๔๙) วุตฺตํ มธุกรภิกฺขาจารวตํ ‘‘ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา’’ติ (มหาว. ๗๓, ๑๒๘) วจนโต ภิกฺขูนํ ปกติภูตํ วตนฺติ วุตฺตํ ‘‘อุญฺฉาสเก วเต รตา’’ติฯ วต-สโทฺท เจตฺถ ปกติวตสงฺขาตํ สกวตํ วทติฯ เตนาห ‘‘อุญฺฉาจริยสงฺขาเต ภิกฺขูนํ ปกติวเต’’ติฯ อุจฺจนีจฆรทฺวารฎฺฐายิโนติ มหนฺตขุทฺทกเคหานํ พหิทฺวารโกฎฺฐกฎฺฐายิโนฯ กพรมิสฺสกํ ภตฺตํ สํหริตฺวาติ กณาชกมิสฺสกํ ภตฺตํ สมฺปิณฺฑิตฺวาฯ อุมฺมารโต ปฎฺฐายาติ ฆรุมฺมารโต ปฎฺฐายฯ

    ‘‘Yathāpi bhamaro puppha’’ntiādinā (dha. pa. 49) vuttaṃ madhukarabhikkhācāravataṃ ‘‘piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāya pabbajjā’’ti (mahāva. 73, 128) vacanato bhikkhūnaṃ pakatibhūtaṃ vatanti vuttaṃ ‘‘uñchāsake vate ratā’’ti. Vata-saddo cettha pakativatasaṅkhātaṃ sakavataṃ vadati. Tenāha ‘‘uñchācariyasaṅkhāte bhikkhūnaṃ pakativate’’ti. Uccanīcagharadvāraṭṭhāyinoti mahantakhuddakagehānaṃ bahidvārakoṭṭhakaṭṭhāyino. Kabaramissakaṃ bhattaṃ saṃharitvāti kaṇājakamissakaṃ bhattaṃ sampiṇḍitvā. Ummārato paṭṭhāyāti gharummārato paṭṭhāya.

    จีวรานุคฺคหตฺถนฺติ จีวรานุรกฺขณตฺถํฯ เอตฺถ จ ยสฺมา พุทฺธา นาม สเทวเก โลเก อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ, สา จสฺส ปุญฺญเกฺขตฺตตา ปรมุกฺกํสคตา, ตสฺมา สตฺตานํ ตาทิสํ อุปการํ อาจิกฺขิตฺวา เต จ อนุคฺคณฺหนฺตา คหปติจีวรํ สาทิยนฺติ, จตุปจฺจยสโนฺตเส ปน เน ปรมุกฺกํสคตา เอวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Cīvarānuggahatthanti cīvarānurakkhaṇatthaṃ. Ettha ca yasmā buddhā nāma sadevake loke anuttaraṃ puññakkhettaṃ, sā cassa puññakkhettatā paramukkaṃsagatā, tasmā sattānaṃ tādisaṃ upakāraṃ ācikkhitvā te ca anuggaṇhantā gahapaticīvaraṃ sādiyanti, catupaccayasantose pana ne paramukkaṃsagatā evāti daṭṭhabbaṃ.

    ๒๔๔. สปฺปจฺจยนฺติ สเหตุกํ สการณํ หุตฺวา ธมฺมํ เทเสตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ โจทโก ปน อธิปฺปายํ อชานโนฺต ‘‘กิํ ปนา’’ติอาทิมาหฯ อิตโร ‘‘โน น เทเสตี’’ติอาทินา อธิปฺปายํ วิวรติฯ นิทานนฺติ เจตฺถ ญาปกํ อุปฺปตฺติการณํ อธิเปฺปตํ, ตญฺจ ตสฺส ตสฺส อนุปฺปตฺติยุตฺตสฺส อตฺถสฺส ปฎิปกฺขหรณโต ‘‘สปฺปาฎิหาริย’’นฺติ วุจฺจตีติ อาห ‘‘ปุริมเสฺสเวตํ เววจน’’นฺติฯ ราคาทีนํ วา ปฎิหรณํ ปฎิหาริยํ, ตเทว ปาฎิหาริยํ, สห ปาฎิหาริเยนาติ สปฺปาฎิหาริยํฯ ราคาทิปฎิเสธวเสเนว หิ สตฺถา ธมฺมํ เทเสติฯ

    244.Sappaccayanti sahetukaṃ sakāraṇaṃ hutvā dhammaṃ desetīti ayamettha attho. Codako pana adhippāyaṃ ajānanto ‘‘kiṃ panā’’tiādimāha. Itaro ‘‘no na desetī’’tiādinā adhippāyaṃ vivarati. Nidānanti cettha ñāpakaṃ uppattikāraṇaṃ adhippetaṃ, tañca tassa tassa anuppattiyuttassa atthassa paṭipakkhaharaṇato ‘‘sappāṭihāriya’’nti vuccatīti āha ‘‘purimassevetaṃvevacana’’nti. Rāgādīnaṃ vā paṭiharaṇaṃ paṭihāriyaṃ, tadeva pāṭihāriyaṃ, saha pāṭihāriyenāti sappāṭihāriyaṃ. Rāgādipaṭisedhavaseneva hi satthā dhammaṃ deseti.

    ๒๔๕. ตสฺส ตสฺส ปญฺหสฺสาติ ยํ ยํ ปญฺหํ ปโร อภิสงฺขริตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉติ, ตสฺส ตสฺส ปญฺหสฺสฯ อุปริ อาคมนวาทปถนฺติ วิสฺสชฺชเน กเต ตโต อุปริ อาคจฺฉนกํ วาทมคฺคํฯ วิเสเสตฺวา วทโนฺตติ วตฺตติ, ‘‘โภ โคตม, วตฺตุมรหตี’’ติ อตฺตโน วาทเภทนตฺถํ อาหตํ การณํ อตฺตโน มารณตฺถํ อาวุธํ นิทเสฺสโนฺต วิย วิเสเสตฺวา วทโนฺต ปหารเกน วจเนนฯ อนฺตรนฺตเรติ มยา วุจฺจมานกถาปพนฺธสฺส อนฺตรนฺตเรฯ ทเทยฺย วเทยฺยฯ เอวรูเปสุ ฐาเนสูติ ปรวาทีหิ สทฺธิํ วาทปฎิวาทฎฺฐาเนสุฯ เต นิคฺคเหตุํ มยา เทสิตํ สุตฺตปทํ อาเนตฺวา มมเยว อนุสาสนิํ โอวาทํ ปจฺจาสีสนฺติ

    245.Tassatassa pañhassāti yaṃ yaṃ pañhaṃ paro abhisaṅkharitvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pucchati, tassa tassa pañhassa. Upari āgamanavādapathanti vissajjane kate tato upari āgacchanakaṃ vādamaggaṃ. Visesetvā vadantoti vattati, ‘‘bho gotama, vattumarahatī’’ti attano vādabhedanatthaṃ āhataṃ kāraṇaṃ attano māraṇatthaṃ āvudhaṃ nidassento viya visesetvā vadanto pahārakena vacanena. Antarantareti mayā vuccamānakathāpabandhassa antarantare. Dadeyya vadeyya. Evarūpesu ṭhānesūti paravādīhi saddhiṃ vādapaṭivādaṭṭhānesu. Te niggahetuṃ mayā desitaṃ suttapadaṃ ānetvā mamayeva anusāsaniṃ ovādaṃ paccāsīsanti.

    ๒๔๖. สมฺปาเทมีติ มโนรถํ สมฺปาเทมิฯ ปริปูเรมีติ อชฺฌาสยํ ปริปูเรมิฯ อธิสีเลติ อธิเก อุตฺตมสีเลฯ สาวกสีลโต จ ปเจฺจกพุทฺธสีลโต จ พุทฺธานํ สีลํ อธิกํ อุกฺกฎฺฐํ ปรมุกฺกํสโต อนญฺญสาธารณภาวโตฯ เตนาห ‘‘พุทฺธสีลํ นาม กถิต’’นฺติฯ ฐานุปฺปตฺติกปญฺญาติ ตตฺถ ตตฺถ ฐานโส อุปฺปนฺนปญฺญาฯ เตนาห ‘‘ตตฺถา’’ติอาทิฯ อวเสสา ปญฺญาติ อิธ ปาฬิยํ อาคตา อนาคตา จ ยถาวุตฺตญาณทฺวยวินิมุตฺตา ปญฺญาฯ

    246.Sampādemīti manorathaṃ sampādemi. Paripūremīti ajjhāsayaṃ paripūremi. Adhisīleti adhike uttamasīle. Sāvakasīlato ca paccekabuddhasīlato ca buddhānaṃ sīlaṃ adhikaṃ ukkaṭṭhaṃ paramukkaṃsato anaññasādhāraṇabhāvato. Tenāha ‘‘buddhasīlaṃ nāma kathita’’nti. Ṭhānuppattikapaññāti tattha tattha ṭhānaso uppannapaññā. Tenāha ‘‘tatthā’’tiādi. Avasesā paññāti idha pāḷiyaṃ āgatā anāgatā ca yathāvuttañāṇadvayavinimuttā paññā.

    ๒๔๗. วิเสสาธิคมานนฺติ สติปฎฺฐานาทีนํ อธิคนฺธพฺพวิเสสานํฯ อภิญฺญา นาม ฉ อภิญฺญา, ตาสุ อุกฺกฎฺฐนิเทฺทเสน ฉฬภิญฺญารหโตว อคฺคมคฺคปญฺญา อิธ อภิญฺญาติ อธิเปฺปตา, ตสฺส โวสานํ ปริโยสานํ ปารมี ปรมุกฺกํสาติ อวกํสาติ จ อคฺคผลํ วุจฺจตีติ อาห ‘‘อภิญฺญา…เป.… อรหตฺตํ ปตฺตา’’ติฯ

    247.Visesādhigamānanti satipaṭṭhānādīnaṃ adhigandhabbavisesānaṃ. Abhiññā nāma cha abhiññā, tāsu ukkaṭṭhaniddesena chaḷabhiññārahatova aggamaggapaññā idha abhiññāti adhippetā, tassa vosānaṃ pariyosānaṃ pāramī paramukkaṃsāti avakaṃsāti ca aggaphalaṃ vuccatīti āha ‘‘abhiññā…pe… arahattaṃ pattā’’ti.

    อุปายปธาเนติ อริยผลาธิคมนสฺส อุปายภูเต ปธาเนฯ ‘‘อนุปฺปนฺนปาปกานุปฺปาทาทิอตฺถา’’ติ คหิตา ตเถว โหนฺติ, ตํ อตฺถํ สาเธนฺติเยวาติ เอตสฺส อตฺถสฺส ทีปโก สมฺมา-สโทฺทติ ยถาอธิเปฺปตตฺถสฺส อนุปฺปนฺนปาปกานุปฺปาทาทิโน อุปายภูเต, ปธานอุปายภูเตติ อโตฺถฯ สมฺมา-สทฺทสฺส วา โยนิโส อตฺถทีปกตํ สนฺธาย ‘‘โยนิโส ปธาเน’’ติ วุตฺตํฯ ฉนฺทํ ชเนตีติ กตฺตุกมฺยตากุสลจฺฉนฺทํ อุปฺปาเทติ ปวเตฺตติ วาฯ วายมตีติ ปโยคปรกฺกมํ กโรติฯ วีริยํ อารภตีติ กายิกเจตสิกวีริยํ กโรติฯ จิตฺตํ อุกฺขิปตีติ เตเนว สหชาตวีริเยน โกสชฺชปกฺขโต จิตฺตํ อุกฺขิปติฯ ปทหตีติ สมฺมปฺปธานภูตํ วีริยํ ปวเตฺตติฯ ปฎิปาฎิยา ปเนตานิ จตฺตาริ ปทานิ อาเสวนาภาวนาพหุลีกมฺมสาตจฺจกิริยาหิ โยเชตพฺพานิฯ ‘‘ปทหตี’’ติ วา อิมินา อาเสวนาทีหิ สทฺธิํ สิขาปตฺตํ อุโสฺสฬฺหิวีริยํ โยเชตพฺพํฯ วฑฺฒิยา ปริปูรณตฺถนฺติ ยาวตา ภาวนาปาริปูริยา ปริปูรณตฺถํฯ ยา ฐิตีติ ยา กุสลานํ ธมฺมานํ ปฎิปกฺขวิคเมน อวฎฺฐิติฯ โส อสโมฺมโสติ โส อวินาโสฯ ยํ เวปุลฺลนฺติ โย สพฺพโส วิปุลภาโว มหนฺตตาฯ ภาวนาปาริปูรีติ ภาวนาย ปริปูริตาฯ อโตฺถติปิ เวทิตพฺพํ ปุริมปจฺฉิมปทานํ สมานตฺถภาวโตฯ

    Upāyapadhāneti ariyaphalādhigamanassa upāyabhūte padhāne. ‘‘Anuppannapāpakānuppādādiatthā’’ti gahitā tatheva honti, taṃ atthaṃ sādhentiyevāti etassa atthassa dīpako sammā-saddoti yathāadhippetatthassa anuppannapāpakānuppādādino upāyabhūte, padhānaupāyabhūteti attho. Sammā-saddassa vā yoniso atthadīpakataṃ sandhāya ‘‘yoniso padhāne’’ti vuttaṃ. Chandaṃ janetīti kattukamyatākusalacchandaṃ uppādeti pavatteti vā. Vāyamatīti payogaparakkamaṃ karoti. Vīriyaṃ ārabhatīti kāyikacetasikavīriyaṃ karoti. Cittaṃ ukkhipatīti teneva sahajātavīriyena kosajjapakkhato cittaṃ ukkhipati. Padahatīti sammappadhānabhūtaṃ vīriyaṃ pavatteti. Paṭipāṭiyā panetāni cattāri padāni āsevanābhāvanābahulīkammasātaccakiriyāhi yojetabbāni. ‘‘Padahatī’’ti vā iminā āsevanādīhi saddhiṃ sikhāpattaṃ ussoḷhivīriyaṃ yojetabbaṃ. Vaḍḍhiyā paripūraṇatthanti yāvatā bhāvanāpāripūriyā paripūraṇatthaṃ. Yā ṭhitīti yā kusalānaṃ dhammānaṃ paṭipakkhavigamena avaṭṭhiti. So asammosoti so avināso. Yaṃ vepullanti yo sabbaso vipulabhāvo mahantatā. Bhāvanāpāripūrīti bhāvanāya paripūritā. Atthotipi veditabbaṃ purimapacchimapadānaṃ samānatthabhāvato.

    ปุพฺพภาคปฎิปทา กถิตาตํตํวิเสสาธิคมสฺส ปฎิปทาวิภาวนาย อารทฺธตฺตาฯ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปชฺชเนน อนตฺถาวหตา นาม นตฺถีติ วุตฺตํ – ‘‘อุปฺปชฺชมานา’’ติ วจนํ อุปฺปนฺนานํ ราสนฺตรภาเวน คหิตตฺตาฯ ตถา กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปชฺชเนนาติ วุตฺตํ – อนุปฺปชฺชมานาติ วจนํ อุปฺปนฺนานํ ราสนฺตรภาเวน คหิตตฺตาฯ นิรุชฺฌมานาติ ปฎิปกฺขสมาโยเคน วินสฺสมานา, น ขณนิโรธวเสน นิรุชฺฌมานาฯ

    Pubbabhāgapaṭipadā kathitātaṃtaṃvisesādhigamassa paṭipadāvibhāvanāya āraddhattā. Akusalānaṃ dhammānaṃ anuppajjanena anatthāvahatā nāma natthīti vuttaṃ – ‘‘uppajjamānā’’ti vacanaṃ uppannānaṃ rāsantarabhāvena gahitattā. Tathā kusalānaṃ dhammānaṃ uppajjanenāti vuttaṃ – anuppajjamānāti vacanaṃ uppannānaṃ rāsantarabhāvena gahitattā. Nirujjhamānāti paṭipakkhasamāyogena vinassamānā, na khaṇanirodhavasena nirujjhamānā.

    โลภาทโย เวทิตพฺพา, เย อารทฺธวิปสฺสกานํ อุปฺปชฺชนารหาฯ สกิํ อุปฺปชฺชิตฺวาติ สภาวกถนมตฺตเมตํฯ เอกวารเมว หิ มโคฺค อุปฺปชฺชติฯ นิรุชฺฌมาโนติ สรเสเนว นิรุชฺฌมาโนฯ น หิ ตสฺส ปฎิปกฺขสมาโยโค นาม อตฺถิฯ ผลสฺสาติ อนนฺตรกาเลว อุปฺปชฺชนกผลสฺสฯ ปจฺจยํ ทตฺวาว นิรุชฺฌตีติ อิมินา มโคฺค สมฺปติ อายติญฺจ เอกเนฺตเนว อตฺถาวโหติ ทเสฺสติฯ ปุริมสฺมิมฺปีติ ‘‘อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา อนุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’’นฺติ เอตสฺมิํ ตติยวาเรปิฯ ‘‘สมถวิปสฺสนา คเหตพฺพา’’ติ วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ, ตํ ปน มคฺคสฺส อนุปฺปนฺนตาย สพฺภาวโต, อนุปฺปชฺชมาเน จ ตสฺมิํ วฎฺฎานตฺถสพฺภาวโตติ มคฺคสฺสปิ สาธารณภาวโต น ยุตฺตนฺติ ปฎิกฺขิปติฯ ยทิ สมถวิปสฺสนานมฺปิ อนุปฺปตฺติ อนตฺถาวหา, มคฺคสฺส อนุปฺปตฺติยา วตฺตพฺพํ นตฺถีติฯ

    Lobhādayo veditabbā, ye āraddhavipassakānaṃ uppajjanārahā. Sakiṃ uppajjitvāti sabhāvakathanamattametaṃ. Ekavārameva hi maggo uppajjati. Nirujjhamānoti saraseneva nirujjhamāno. Na hi tassa paṭipakkhasamāyogo nāma atthi. Phalassāti anantarakāleva uppajjanakaphalassa. Paccayaṃ datvāva nirujjhatīti iminā maggo sampati āyatiñca ekanteneva atthāvahoti dasseti. Purimasmimpīti ‘‘anuppannā me kusalā dhammā anuppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’’nti etasmiṃ tatiyavārepi. ‘‘Samathavipassanā gahetabbā’’ti vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ, taṃ pana maggassa anuppannatāya sabbhāvato, anuppajjamāne ca tasmiṃ vaṭṭānatthasabbhāvatoti maggassapi sādhāraṇabhāvato na yuttanti paṭikkhipati. Yadi samathavipassanānampi anuppatti anatthāvahā, maggassa anuppattiyā vattabbaṃ natthīti.

    มหนฺตํ , คารวํ โหติ, ตสฺมา ‘‘สงฺฆคารเวน ยถารุจิ วนฺทิตุํ น ลภามี’’ติ สเงฺฆน สห น นิกฺขมิฯ เอตฺตกํ ธาตูนํ นิธานํ นาม อญฺญตฺร นตฺถิ, มหาธาตุนิธานโต หิ นีหริตฺวา กติปยา ธาตุโย ตตฺถ ตตฺถ เจติเย อุปนีตา, อิธ ปน รามคามถูเป วินเฎฺฐ นาคภวนํ ปวิฎฺฐา โทณมตฺตา ธาตุโย อุปนีตาฯ อติมนฺทานิ โนติ นนุ อติวิย มนฺทานิฯ

    Mahantaṃ, gāravaṃ hoti, tasmā ‘‘saṅghagāravena yathāruci vandituṃ na labhāmī’’ti saṅghena saha na nikkhami. Ettakaṃ dhātūnaṃ nidhānaṃ nāma aññatra natthi, mahādhātunidhānato hi nīharitvā katipayā dhātuyo tattha tattha cetiye upanītā, idha pana rāmagāmathūpe vinaṭṭhe nāgabhavanaṃ paviṭṭhā doṇamattā dhātuyo upanītā. Atimandāni noti nanu ativiya mandāni.

    สํวิชฺชิตฺวาติ ‘‘กถญฺหิ นาม มาทิโส อีทิสํ อนตฺถํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ สํเวคํ ชเนตฺวาฯ อีทิสํ นาม มาทิสํ อารพฺภ วตฺตพฺพนฺติ กิํ วทตีติ ตํ วจนํ อนาทิยโนฺตฯ

    Saṃvijjitvāti ‘‘kathañhi nāma mādiso īdisaṃ anatthaṃ pāpuṇissatī’’ti saṃvegaṃ janetvā. Īdisaṃ nāma mādisaṃ ārabbha vattabbanti kiṃ vadatīti taṃ vacanaṃ anādiyanto.

    สนฺตสมาปตฺติโต อญฺญํ สนฺถมฺภนการณํ พลวํ นตฺถีติ ตโต ปริหีโน สมฺมาปฎิปตฺติยํ ปติฎฺฐา กถํ ภวิสฺสตีติ อาห ‘‘สนฺตาย…เป.… น สโกฺกตี’’ติฯ น หิ มหารชฺชุยา ฉินฺนาย สุตฺตตนฺตู สนฺถเมฺภตุํ สโกฺกนฺตีติฯ สมเถ ทเสฺสตฺวา เตน สมานคติกา อิมสฺมิํ วิสเย วิปสฺสนาปีติ อิมินา อธิปฺปาเยนาห ‘‘เอวํ อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา…เป.… สํวตฺตนฺตี’’ติฯ

    Santasamāpattito aññaṃ santhambhanakāraṇaṃ balavaṃ natthīti tato parihīno sammāpaṭipattiyaṃ patiṭṭhā kathaṃ bhavissatīti āha ‘‘santāya…pe… na sakkotī’’ti. Na hi mahārajjuyā chinnāya suttatantū santhambhetuṃ sakkontīti. Samathe dassetvā tena samānagatikā imasmiṃ visaye vipassanāpīti iminā adhippāyenāha ‘‘evaṃ uppannā samathavipassanā…pe… saṃvattantī’’ti.

    กาสาวนฺติ กาสาววตฺถํฯ กจฺฉํ ปีเฬตฺวา นิวตฺถนฺติ ปจฺฉิมํ โอวฎฺฎิกํ ปีเฬโนฺต วิย ทฬฺหํ กตฺวา นิวตฺถํ อทฺทสํสูติ โยชนาฯ

    Kāsāvanti kāsāvavatthaṃ. Kacchaṃ pīḷetvā nivatthanti pacchimaṃ ovaṭṭikaṃ pīḷento viya daḷhaṃ katvā nivatthaṃ addasaṃsūti yojanā.

    วุตฺตนเยนาติ (อ. นิ. ฎี. ๑.๑.๓๙๔) ‘‘กามา นาเมเต อนิจฺจา ทุกฺขา วิปริณามธมฺมา’’ติอาทินา วตฺถุกามกิเลสกาเมสุ อาทีนวทสฺสนปุพฺพกเนกฺขมฺมปฎิปตฺติยา ฉนฺทราคํ วิกฺขมฺภยโต สมุจฺฉินฺทนฺตสฺส จ ‘‘อนุปฺปโนฺน จ กามาสโว น อุปฺปชฺชตี’’ติอาทินา เหฎฺฐา สพฺพาสวสุตฺตวณฺณนาทีสุ (ม. นิ. ๑.๑๕ อาทโย; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๕ อาทโย) วุตฺตนเยนฯ อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธวิปาโกติ ตทารมฺมณมาหฯ อนุภวิตฺวา ภวิตฺวา จ วิคตํ ภูตวิคตํฯ อนุภูตภูตา หิ ภูตตาสามเญฺญน ภูต-สเทฺทน วุตฺตาฯ สามญฺญเมว หิ อุปสเคฺคน วิเสสียตีติฯ อนุภูตสโทฺท จ กมฺมวจนิจฺฉาย อภาวโต อนุภวกวาจโก ทฎฺฐโพฺพฯ วิปาโก อารมฺมเณ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุโทฺธ ภุตฺวาวิคโตติ วตฺตพฺพตํ อรหติ, วิกปฺปคาหวเสน ราคาทีหิ ตพฺพิปเกฺขหิ จ อกุสลํ กุสลญฺจ กมฺมํ อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา วิคตนฺติ วตฺตพฺพตํ อรหติฯ ยถาวุโตฺต ปน วิปาโก เกวลํ อารมฺมณรสานุภวนวเสเนว ปวตฺตตีติ อนุภวิตฺวา วิคตตฺตา นิปฺปริยาเยเนว วุโตฺต, ตสฺส จ ตถา วุตฺตตฺตา กมฺมํ ภวิตฺวา วิคตปริยาเยน, ยํ ‘‘อุปฺปนฺนานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย, อุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ ฐิติยา’’ติ เอตฺถ ‘‘อุปฺปนฺน’’นฺติ คเหตฺวา ตํสทิสานํ ปหานํ, วุทฺธิ จ วุตฺตาฯ วิปจฺจิตุํ โอกาสกรณวเสน อุปฺปติตํ อตีตกมฺมญฺจ ตโต อุปฺปชฺชิตุํ อารโทฺธ อนาคโต วิปาโก จ ‘‘โอกาสกตุปฺปโนฺน’’ติ วุโตฺตฯ ยํ อุปฺปนฺนสเทฺทน วินาปิ วิญฺญายมานํ อุปฺปนฺนํ สนฺธาย ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, สเญฺจตนิกาน’’นฺติอาทิ (อ. นิ. ๑๐.๒๑๗, ๒๑๙) วุตฺตํฯ

    Vuttanayenāti (a. ni. ṭī. 1.1.394) ‘‘kāmā nāmete aniccā dukkhā vipariṇāmadhammā’’tiādinā vatthukāmakilesakāmesu ādīnavadassanapubbakanekkhammapaṭipattiyā chandarāgaṃ vikkhambhayato samucchindantassa ca ‘‘anuppanno ca kāmāsavo na uppajjatī’’tiādinā heṭṭhā sabbāsavasuttavaṇṇanādīsu (ma. ni. 1.15 ādayo; ma. ni. aṭṭha. 1.15 ādayo) vuttanayena. Ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhavipākoti tadārammaṇamāha. Anubhavitvā bhavitvā ca vigataṃ bhūtavigataṃ. Anubhūtabhūtā hi bhūtatāsāmaññena bhūta-saddena vuttā. Sāmaññameva hi upasaggena visesīyatīti. Anubhūtasaddo ca kammavacanicchāya abhāvato anubhavakavācako daṭṭhabbo. Vipāko ārammaṇe uppajjitvā niruddho bhutvāvigatoti vattabbataṃ arahati, vikappagāhavasena rāgādīhi tabbipakkhehi ca akusalaṃ kusalañca kammaṃ ārammaṇarasaṃ anubhavitvā vigatanti vattabbataṃ arahati. Yathāvutto pana vipāko kevalaṃ ārammaṇarasānubhavanavaseneva pavattatīti anubhavitvā vigatattā nippariyāyeneva vutto, tassa ca tathā vuttattā kammaṃ bhavitvā vigatapariyāyena, yaṃ ‘‘uppannānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya, uppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ ṭhitiyā’’ti ettha ‘‘uppanna’’nti gahetvā taṃsadisānaṃ pahānaṃ, vuddhi ca vuttā. Vipaccituṃ okāsakaraṇavasena uppatitaṃ atītakammañca tato uppajjituṃ āraddho anāgato vipāko ca ‘‘okāsakatuppanno’’ti vutto. Yaṃ uppannasaddena vināpi viññāyamānaṃ uppannaṃ sandhāya ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, sañcetanikāna’’ntiādi (a. ni. 10.217, 219) vuttaṃ.

    เตสูติ วิปสฺสนาย ภูมิภูเตสุ ขเนฺธสุฯ อนุสยิตกิเลสาติ อนุสยวเสน ปวตฺตา อปฺปหีนา มเคฺคน ปหาตพฺพา กิเลสา อธิเปฺปตาฯ เตนาห ‘‘อตีตา…เป.… น วตฺตพฺพา’’ติฯ เตสญฺหิ อมฺพรุโกฺขปมาย วตฺตมานาทิตา น วตฺตพฺพา มเคฺคน ปหาตพฺพานํ ตาทิสสฺส วิภาคสฺส อนุปฺปชฺชนโตฯ อปฺปหีนาว โหนฺตีติ อิมินา อปฺปหีนเฎฺฐน อนุสยโฎฺฐติ ทเสฺสติฯ อิทํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามาติ อิทํ เตสุ ขเนฺธสุ อุปฺปตฺติรหกิเลสชาตํ ตาย เอว อุปฺปตฺติรหตาย ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นาม, เตภูมกภูมิลทฺธา นาม โหตีติ อโตฺถฯ ตาสุ ตาสุ ภูมีสูติ มนุสฺสเทวาทิอตฺตภาวสงฺขาเตสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุฯ ตสฺมิํ ตสฺมิํ สนฺตาเน อนุปฺปตฺติอนาปาทิตตาย อสมุคฺฆาติตาฯ เอตฺถ จ ลทฺธภูมิกํ ภูมิลทฺธนฺติ วุตฺตํ อคฺคิอาหิโต วิยฯ

    Tesūti vipassanāya bhūmibhūtesu khandhesu. Anusayitakilesāti anusayavasena pavattā appahīnā maggena pahātabbā kilesā adhippetā. Tenāha ‘‘atītā…pe… na vattabbā’’ti. Tesañhi ambarukkhopamāya vattamānāditā na vattabbā maggena pahātabbānaṃ tādisassa vibhāgassa anuppajjanato. Appahīnāva hontīti iminā appahīnaṭṭhena anusayaṭṭhoti dasseti. Idaṃbhūmiladdhuppannaṃ nāmāti idaṃ tesu khandhesu uppattirahakilesajātaṃ tāya eva uppattirahatāya bhūmiladdhuppannaṃ nāma, tebhūmakabhūmiladdhā nāma hotīti attho. Tāsu tāsu bhūmīsūti manussadevādiattabhāvasaṅkhātesu upādānakkhandhesu. Tasmiṃ tasmiṃ santāne anuppattianāpāditatāya asamugghātitā. Ettha ca laddhabhūmikaṃ bhūmiladdhanti vuttaṃ aggiāhito viya.

    โอกาสกตุปฺปนฺน-สเทฺทปิ จ โอกาโส กโต เอเตนาติ โอกาโส กโต เอตสฺสาติ จ อตฺถทฺวเยปิ กต-สทฺทสฺส ปรนิปาโต ทฎฺฐโพฺพฯ อาหตขีรรุโกฺข วิย นิมิตฺตคฺคาหวเสน อธิคฺคหิตํ อารมฺมณํ, อนาหตขีรรุโกฺข วิย อวิกฺขมฺภิตตาย อโนฺตคธกิเลสํ อารมฺมณํฯ นิมิตฺตคฺคาหกาวิกฺขมฺภิตกิเลสา วา ปุคฺคลา อาหตานาหตขีรรุกฺขสทิสาฯ ปุริมนเยเนวาติ อวิกฺขมฺภิตุปฺปเนฺน วิย ‘‘อิมสฺมิํ นาม ฐาเน นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อสมุคฺฆาติตตฺตา’’ติ โยเชตฺวา วิตฺถาเรตพฺพํฯ

    Okāsakatuppanna-saddepi ca okāso kato etenāti okāso kato etassāti ca atthadvayepi kata-saddassa paranipāto daṭṭhabbo. Āhatakhīrarukkho viya nimittaggāhavasena adhiggahitaṃ ārammaṇaṃ, anāhatakhīrarukkho viya avikkhambhitatāya antogadhakilesaṃ ārammaṇaṃ. Nimittaggāhakāvikkhambhitakilesā vā puggalā āhatānāhatakhīrarukkhasadisā. Purimanayenevāti avikkhambhituppanne viya ‘‘imasmiṃ nāma ṭhāne nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Asamugghātitattā’’ti yojetvā vitthāretabbaṃ.

    วุตฺตํ ปฎิสมฺภิทามเคฺคฯ ตตฺถ จ มเคฺคน ปหีนกิเลสานเมว ติธา นวตฺตพฺพตํ อปากฎํ สุปากฎํ กาตุํ อชาตผลรุโกฺข อุปมาภาเวน อาคโต ฯ อตีตาทีนํ อปฺปหีนตา ทสฺสนตฺถมฺปิ ‘‘ชาตผลรุเกฺขน ทีเปตพฺพ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ยถา อจฺฉิเนฺน รุเกฺข นิพฺพตฺตารหานิ ผลานิ ฉิเนฺน อนุปฺปชฺชมานานิ น กทาจิ สสภาวานิ อเหสุํ โหนฺติ ภวิสฺสนฺติ จาติ ตานิ อตีตาทิภาเวน น วตฺตพฺพานิ, เอวํ มเคฺคน ปหีนกิเลสา จ ทฎฺฐพฺพาฯ ยถา เฉเท อสติ ผลานิ อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ, สติ จ นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ เฉทสฺส สาตฺถกตา, เอวํ มคฺคภาวนาย จ สาตฺถกตา โยเชตพฺพาฯ

    Vuttaṃ paṭisambhidāmagge. Tattha ca maggena pahīnakilesānameva tidhā navattabbataṃ apākaṭaṃ supākaṭaṃ kātuṃ ajātaphalarukkho upamābhāvena āgato. Atītādīnaṃ appahīnatā dassanatthampi ‘‘jātaphalarukkhena dīpetabba’’nti vuttaṃ. Tattha yathā acchinne rukkhe nibbattārahāni phalāni chinne anuppajjamānāni na kadāci sasabhāvāni ahesuṃ honti bhavissanti cāti tāni atītādibhāvena na vattabbāni, evaṃ maggena pahīnakilesā ca daṭṭhabbā. Yathā chede asati phalāni uppajjissanti, sati ca nuppajjissantīti chedassa sātthakatā, evaṃ maggabhāvanāya ca sātthakatā yojetabbā.

    เตปิ ปชหติเยว กิเลสปฺปหาเนเนว เตสมฺปิ อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทนโตฯ อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺสาติ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺสฯ อุปาทินฺนอนุปาทินฺนโตติ อุปาทินฺนขนฺธโต เจว กิเลสโต จฯ อุปปตฺติวเสน วุฎฺฐานํ ทเสฺสตุมาห – ‘‘ภววเสน ปนา’’ติอาทิฯ เย โสตาปนฺนสฺส สตฺต ภวา อปฺปหีนา, ตโต ปญฺจ ฐเปตฺวา อิตเร เทฺว ‘‘สุคติภเวกเทสา’’ติ อธิเปฺปตาฯ สุคติกามภวโตติ สุคติภเวกเทสภูตกามภวโตฯ อรหตฺตมโคฺค รูปารูปภวโต วุฎฺฐาติ อุทฺธมฺภาคิยสํโยชนสมุคฺฆาตภาวโตฯ ยทิ อรหตฺตมโคฺค เอว อริยมโคฺค สิยา, โส เอว สพฺพกิเลเส ปชเหยฺย, สพฺพภเวหิปิ วุฎฺฐเหยฺยฯ ยสฺมา ปน โอธิโสว กิเลสา ปหียนฺติ, ตสฺมา เหฎฺฐิมเหฎฺฐิมมเคฺคหิ ปหีนาวเสเส กิเลเส โส ปชหติ, อิติ อิมํ สามตฺถิยํ สนฺธาย ‘‘สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติปิ วทนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ ตถา หิ โส เอว ‘‘วชิรูปโม’’ติ วุโตฺตฯ

    Tepi pajahatiyeva kilesappahāneneva tesampi anuppattidhammatāpādanato. Abhisaṅkhāraviññāṇassāti paṭisandhiviññāṇassa. Upādinnaanupādinnatoti upādinnakhandhato ceva kilesato ca. Upapattivasena vuṭṭhānaṃ dassetumāha – ‘‘bhavavasena panā’’tiādi. Ye sotāpannassa satta bhavā appahīnā, tato pañca ṭhapetvā itare dve ‘‘sugatibhavekadesā’’ti adhippetā. Sugatikāmabhavatoti sugatibhavekadesabhūtakāmabhavato. Arahattamaggo rūpārūpabhavato vuṭṭhāti uddhambhāgiyasaṃyojanasamugghātabhāvato. Yadi arahattamaggo eva ariyamaggo siyā, so eva sabbakilese pajaheyya, sabbabhavehipi vuṭṭhaheyya. Yasmā pana odhisova kilesā pahīyanti, tasmā heṭṭhimaheṭṭhimamaggehi pahīnāvasese kilese so pajahati, iti imaṃ sāmatthiyaṃ sandhāya ‘‘sabbabhavehi vuṭṭhātiyevātipi vadantī’’ti vuttaṃ. Tathā hi so eva ‘‘vajirūpamo’’ti vutto.

    โหตุ ตาว วุตฺตนเยน อนุปฺปนฺนานํ อกุสลานํ อนุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนานํ อุปฺปนฺนสทิสานํ ปหานาย อนุปฺปตฺติธมฺมตาปาทนาย มคฺคภาวนา, อถ มคฺคกฺขเณ กถํ อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนานญฺจ ฐิติยา ภาวนา โหติ เอกจิตฺตกฺขณิกตฺตา ตสฺสาติ โจเทติ, อิตโร ‘‘มคฺคปฺปวตฺติยาเยวา’’ติ ปริหารมาหฯ มโคฺค หิ กามเญฺจกจิตฺตกฺขณิโก, ตถารูโป ปนสฺส ปวตฺติวิเสโส, ยํ อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา สาติสยํ อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา จ สวิเสสํ ปาริปูริํ ปาปุณนฺติฯ เตนาห ‘‘มโคฺค หี’’ติอาทิฯ กิญฺจาปิ อริยมโคฺค วตฺตมานกฺขเณ อนุปฺปโนฺน นาม น โหติ, อนุปฺปนฺนปุพฺพตํ อุปาทาย อุปจารวเสน ตถา วุจฺจตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘อนาคตปุพฺพํ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อยเมวาติ อยํ มคฺคสฺส ยถาปจฺจยปวตฺติ เอว ฐิติ นามาติ, มคฺคสมงฺคี ปุคฺคโล มคฺคมฺปิ ภาเวโนฺต เอว ตสฺส ฐิติยา ภาเวตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติ

    Hotu tāva vuttanayena anuppannānaṃ akusalānaṃ anuppādāya, uppannānaṃ uppannasadisānaṃ pahānāya anuppattidhammatāpādanāya maggabhāvanā, atha maggakkhaṇe kathaṃ anuppannānaṃ kusalānaṃ uppādāya uppannānañca ṭhitiyā bhāvanā hoti ekacittakkhaṇikattā tassāti codeti, itaro ‘‘maggappavattiyāyevā’’ti parihāramāha. Maggo hi kāmañcekacittakkhaṇiko, tathārūpo panassa pavattiviseso, yaṃ anuppannā kusalā dhammā sātisayaṃ uppajjanti, uppannā ca savisesaṃ pāripūriṃ pāpuṇanti. Tenāha ‘‘maggo hī’’tiādi. Kiñcāpi ariyamaggo vattamānakkhaṇe anuppanno nāma na hoti, anuppannapubbataṃ upādāya upacāravasena tathā vuccatīti dassetuṃ ‘‘anāgatapubbaṃ hī’’tiādi vuttaṃ. Ayamevāti ayaṃ maggassa yathāpaccayapavatti eva ṭhiti nāmāti, maggasamaṅgī puggalo maggampi bhāvento eva tassa ṭhitiyā bhāvetīti vattuṃ vaṭṭati.

    อุปสมมานํ คจฺฉตีติ วิกฺขมฺภนวเสน สมุเจฺฉทวเสน กิเลเส อุปสเมนฺตํ วตฺตติฯ ปุพฺพภาคินฺทฺริยานิ เอว วา อธิเปฺปตานิฯ เตเนวาห ‘‘กิเลสูปสมตฺถํ วา คจฺฉตี’’ติฯ

    Upasamamānaṃ gacchatīti vikkhambhanavasena samucchedavasena kilese upasamentaṃ vattati. Pubbabhāgindriyāni eva vā adhippetāni. Tenevāha ‘‘kilesūpasamatthaṃ vā gacchatī’’ti.

    ๒๔๘. อธิมุจฺจนเฎฺฐนาติ (ที. นิ. ฎี. ๒.๑๒๙; อ. นิ. ฎี. ๓.๘.๖๖) อธิกํ สวิเสสํ มุจฺจนเฎฺฐน, เตนาห ‘‘สุฎฺฐุ มุจฺจนโฎฺฐ’’ติฯ เอเตน สติปิ สพฺพสฺสปิ รูปาวจรชฺฌานสฺส วิกฺขมฺภนวเสน ปฎิปกฺขโต วิมุตฺตภาเว เยน ภาวนาวิเสเสน ตํ ฌานํ สาติสยํ ปฎิปกฺขโต วิมุจฺจิตฺวา ปวตฺตติ, โส ภาวนาวิเสโส ทีปิโตฯ ภวติ หิ สมานชาติยุโตฺตปิ ภาวนาวิเสเสน ปวตฺติอาการวิเสโสฯ ยถา ตํ สทฺธาวิมุตฺตโต ทิฎฺฐิปฺปตฺตสฺส, ตถา ปจฺจนีกธเมฺมหิ สุฎฺฐุ วิมุตฺตตาย เอว อนิคฺคหิตภาเวน นิราสงฺกตาย อภิรติวเสน สุฎฺฐุ อธิมุจฺจนเฎฺฐนปิ วิโมโกฺขฯ เตนาห ‘‘อารมฺมเณ จา’’ติอาทิฯ อยํ ปนโตฺถติ อยํ อธิมุจฺจนโตฺถ ปจฺฉิมวิโมเกฺข นิโรเธ นตฺถิฯ เกวโล วิมุตฺตโตฺถ เอว ตตฺถ ลพฺภติ, ตํ สยเมว ปรโต วกฺขติฯ

    248.Adhimuccanaṭṭhenāti (dī. ni. ṭī. 2.129; a. ni. ṭī. 3.8.66) adhikaṃ savisesaṃ muccanaṭṭhena, tenāha ‘‘suṭṭhu muccanaṭṭho’’ti. Etena satipi sabbassapi rūpāvacarajjhānassa vikkhambhanavasena paṭipakkhato vimuttabhāve yena bhāvanāvisesena taṃ jhānaṃ sātisayaṃ paṭipakkhato vimuccitvā pavattati, so bhāvanāviseso dīpito. Bhavati hi samānajātiyuttopi bhāvanāvisesena pavattiākāraviseso. Yathā taṃ saddhāvimuttato diṭṭhippattassa, tathā paccanīkadhammehi suṭṭhu vimuttatāya eva aniggahitabhāvena nirāsaṅkatāya abhirativasena suṭṭhu adhimuccanaṭṭhenapi vimokkho. Tenāha ‘‘ārammaṇe cā’’tiādi. Ayaṃ panatthoti ayaṃ adhimuccanattho pacchimavimokkhe nirodhe natthi. Kevalo vimuttattho eva tattha labbhati, taṃ sayameva parato vakkhati.

    รูปีติ เยนายํ สสนฺตติปริยาปเนฺนน รูเปน สมนฺนาคโต, ตํ ยสฺส ฌานสฺส เหตุภาเวน วิสิฎฺฐํ รูปํ โหติฯ เยน วิสิเฎฺฐน รูเปน ‘‘รูปี’’ติ วุเจฺจยฺย รูปี-สทฺทสฺส อติสยตฺถทีปนโต, ตเทว สสนฺตติปริยาปนฺนรูปนิมิตฺตํ ฌานมิว ปรมตฺถโต รูปีภาวสาธกนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ เตนาห ‘‘อชฺฌตฺต’’นฺติอาทิฯ รูปชฺฌานํ รูปํ อุตฺตรปทโลเปนฯ รูปานีติ ปเนตฺถ ปุริมปทโลโป ทฎฺฐโพฺพฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นีลกสิณาทีนิ รูปานี’’ติฯ

    Rūpīti yenāyaṃ sasantatipariyāpannena rūpena samannāgato, taṃ yassa jhānassa hetubhāvena visiṭṭhaṃ rūpaṃ hoti. Yena visiṭṭhena rūpena ‘‘rūpī’’ti vucceyya rūpī-saddassa atisayatthadīpanato, tadeva sasantatipariyāpannarūpanimittaṃ jhānamiva paramatthato rūpībhāvasādhakanti daṭṭhabbaṃ. Tenāha ‘‘ajjhatta’’ntiādi. Rūpajjhānaṃ rūpaṃ uttarapadalopena. Rūpānīti panettha purimapadalopo daṭṭhabbo. Tena vuttaṃ ‘‘nīlakasiṇādīni rūpānī’’ti.

    อโนฺตอปฺปนายํ สุภนฺติ อาโภโค นตฺถีติ อิมินา ปุพฺพาโภควเสน อธิมุตฺติ สิยาติ ทเสฺสติฯ เอวเญฺหตฺถ ตถาวตฺตพฺพตาปตฺติโจทนา อนวกาสา โหติฯ ยสฺมา สุวิสุเทฺธสุ นีลาทีสุ วณฺณกสิเณสุ ตตฺถ กตาธิการานํ อภิรติวเสน สุฎฺฐุ อธิมุตฺติ สิยา, ตสฺมา อฎฺฐกถายํ ตถา ตติโย วิโมโกฺข สํวณฺณิโตฯ ยสฺมา ปน เมตฺตาทิวเสน ปวตฺตมานา ภาวนา สเตฺต อปฺปฎิกูลโต ทหติ, เต สุภโต อธิมุจฺจิตฺวาว ปวตฺตติ, ตสฺมา ปฎิสมฺภิทามเคฺค (ปฎิ. ม. ๑.๒๑๒) พฺรหฺมวิหารภาวนา ‘‘สุภวิโมโกฺข’’ติ วุตฺตา, ตยิทํ อุภยมฺปิ เตน เตน ปริยาเยน วุตฺตตฺตา น วิรุชฺฌตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Antoappanāyaṃ subhanti ābhogo natthīti iminā pubbābhogavasena adhimutti siyāti dasseti. Evañhettha tathāvattabbatāpatticodanā anavakāsā hoti. Yasmā suvisuddhesu nīlādīsu vaṇṇakasiṇesu tattha katādhikārānaṃ abhirativasena suṭṭhu adhimutti siyā, tasmā aṭṭhakathāyaṃ tathā tatiyo vimokkho saṃvaṇṇito. Yasmā pana mettādivasena pavattamānā bhāvanā satte appaṭikūlato dahati, te subhato adhimuccitvāva pavattati, tasmā paṭisambhidāmagge (paṭi. ma. 1.212) brahmavihārabhāvanā ‘‘subhavimokkho’’ti vuttā, tayidaṃ ubhayampi tena tena pariyāyena vuttattā na virujjhatīti daṭṭhabbaṃ.

    สพฺพโสติ อนวเสสโตฯ น หิ จตุนฺนํ อรูปกฺขนฺธานํ เอกเทโสปิ ตตฺถ อวสิโฎฺฐติฯ วิสฺสฎฺฐตฺตาติ ยถาปริจฺฉิเนฺน กาเล นิโรธิตตฺตาฯ อุตฺตโม วิโมโกฺข นาม อริเยเหว สมาปชฺชิตพฺพโต, อริยผลปริโยสานตฺตา ทิเฎฺฐว ธเมฺม นิพฺพานปฺปตฺติภาวโต จฯ

    Sabbasoti anavasesato. Na hi catunnaṃ arūpakkhandhānaṃ ekadesopi tattha avasiṭṭhoti. Vissaṭṭhattāti yathāparicchinne kāle nirodhitattā. Uttamo vimokkho nāma ariyeheva samāpajjitabbato, ariyaphalapariyosānattā diṭṭheva dhamme nibbānappattibhāvato ca.

    ๒๔๙. อภิภวตีติ อภิภุ (ที. นิ. ฎี. ๒.๑๗๓; อ. นิ. ฎี. ๓.๖.๖๑-๖๕) ปริกมฺมํ, ญาณํ วาฯ อภิภุ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ, ฌานํฯ อภิภวิตพฺพํ วา อารมฺมณสงฺขาตํ อายตนํ เอตสฺสาติ อภิภายตนํ, ฌานํฯ อารมฺมณาภิภวนโต อภิภุ จ ตํ อายตนญฺจ โยคิโน สุขวิเสสานํ อธิฎฺฐานภาวโต มนายตนธมฺมายตนภาวโต จาติปิ สสมฺปยุตฺตํ ฌานํ อภิภายตนํฯ เตนาห ‘‘อภิภวนการณานี’’ติอาทิฯ ตานีติ อภิภายตนสญฺญิตานิ ฌานานิฯ สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส อาโภโค ปุพฺพภาคภาวนาวเสน ฌานกฺขเณ ปวตฺตํ อภิภวนาการํ คเหตฺวา ปวโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ ปริกมฺมวเสน อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี, น อปฺปนาวเสนฯ น หิ ปฎิภาคนิมิตฺตารมฺมณา อปฺปนา อชฺฌตฺตวิสยา สมฺภวติฯ ตํ ปน อชฺฌตฺต ปริกมฺมวเสน ลทฺธํ กสิณนิมิตฺตํ อสุวิสุทฺธเมว โหติ, น พหิทฺธา ปริกมฺมวเสน ลทฺธํ วิย วิสุทฺธํฯ

    249. Abhibhavatīti abhibhu (dī. ni. ṭī. 2.173; a. ni. ṭī. 3.6.61-65) parikammaṃ, ñāṇaṃ vā. Abhibhu āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ, jhānaṃ. Abhibhavitabbaṃ vā ārammaṇasaṅkhātaṃ āyatanaṃ etassāti abhibhāyatanaṃ, jhānaṃ. Ārammaṇābhibhavanato abhibhu ca taṃ āyatanañca yogino sukhavisesānaṃ adhiṭṭhānabhāvato manāyatanadhammāyatanabhāvato cātipi sasampayuttaṃ jhānaṃ abhibhāyatanaṃ. Tenāha ‘‘abhibhavanakāraṇānī’’tiādi. Tānīti abhibhāyatanasaññitāni jhānāni. Samāpattito vuṭṭhitassa ābhogo pubbabhāgabhāvanāvasena jhānakkhaṇe pavattaṃ abhibhavanākāraṃ gahetvā pavattoti daṭṭhabbo. Parikammavasena ajjhattaṃ rūpasaññī, na appanāvasena. Na hi paṭibhāganimittārammaṇā appanā ajjhattavisayā sambhavati. Taṃ pana ajjhatta parikammavasena laddhaṃ kasiṇanimittaṃ asuvisuddhameva hoti, na bahiddhā parikammavasena laddhaṃ viya visuddhaṃ.

    ปริตฺตานีติ ยถาลทฺธานิ สุปฺปสราวมตฺตานิฯ เตนาห ‘‘อวฑฺฒิตานี’’ติฯ ปริตฺตวเสเนวาติ วณฺณวเสน อาโภเค วิชฺชมาเนปิ ปริตฺตวเสเนว อิทมภิภายตนํ วุตฺตํฯ ปริตฺตตา เหตฺถ อภิภวนสฺส การณํฯ วณฺณาโภเค สติปิ อสติปิ อภิภายตนภาวนา นาม ติกฺขปญฺญเสฺสว สมฺภวติ, น อิตรสฺสาติ ‘‘ญาณุตฺตริโก ปุคฺคโล’’ติฯ อภิภวิตฺวา สมาปชฺชตีติ เอตฺถ อภิภวนํ สมาปชฺชนญฺจ อุปจารชฺฌานาธิคมสมนนฺตรเมว อปฺปนาฌานุปฺปาทนนฺติ อาห ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติฯ สห นิมิตฺตุปฺปาเทนาติ จ อปฺปนาปริวาสาภาวสฺส ลกฺขณวจนเมตํฯ โย ‘‘ขิปฺปาภิโญฺญ’’ติ วุจฺจติ , ตโตปิ ญาณุตฺตรเสฺสว อภิภายตนภาวนาฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ นิมิเตฺตฯ อปฺปนํ ปาเปตีติ ภาวนา อปฺปนํ เนติฯ

    Parittānīti yathāladdhāni suppasarāvamattāni. Tenāha ‘‘avaḍḍhitānī’’ti. Parittavasenevāti vaṇṇavasena ābhoge vijjamānepi parittavaseneva idamabhibhāyatanaṃ vuttaṃ. Parittatā hettha abhibhavanassa kāraṇaṃ. Vaṇṇābhoge satipi asatipi abhibhāyatanabhāvanā nāma tikkhapaññasseva sambhavati, na itarassāti ‘‘ñāṇuttariko puggalo’’ti. Abhibhavitvā samāpajjatīti ettha abhibhavanaṃ samāpajjanañca upacārajjhānādhigamasamanantarameva appanājhānuppādananti āha ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti. Saha nimittuppādenāti ca appanāparivāsābhāvassa lakkhaṇavacanametaṃ. Yo ‘‘khippābhiñño’’ti vuccati , tatopi ñāṇuttarasseva abhibhāyatanabhāvanā. Etthāti etasmiṃ nimitte. Appanaṃ pāpetīti bhāvanā appanaṃ neti.

    เอตฺถ จ เกจิ ‘‘อุปฺปเนฺน อุปจารชฺฌาเน ตํ อารพฺภ เย เหฎฺฐิมเนฺตน เทฺว ตโย ชวนวารา ปวตฺตนฺติ, เต อุปจารชฺฌาน ปกฺขิกา เอว, ตทนนฺตรญฺจ ภวงฺคปริวาเสน อุปจาราเสวนาย จ วินา อปฺปนา โหติ, สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนว อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วทนฺติ, ตํ เตสํ มติมตฺตํฯ น หิ ปาริวาสิกปริกเมฺมน อปฺปนาวาโร อิจฺฉิโต, นาปิ มหคฺคตปฺปมาณชฺฌาเนสุ วิย อุปจารชฺฌาเน เอกนฺตโต ปจฺจเวกฺขณา อิจฺฉิตพฺพา, ตสฺมา อุปจารชฺฌานาธิคมโต ปรํ กติปยภวงฺคจิตฺตาวสาเน อปฺปนํ ปาปุณโนฺต ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทเนเวตฺถ อปฺปนํ ปาเปตี’’ติ วุโตฺตฯ ‘‘สห นิมิตฺตุปฺปาเทนา’’ติ จ อธิปฺปายิกมิทํ วจนํ, น นีตตฺถํ, อธิปฺปาโย วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    Ettha ca keci ‘‘uppanne upacārajjhāne taṃ ārabbha ye heṭṭhimantena dve tayo javanavārā pavattanti, te upacārajjhāna pakkhikā eva, tadanantarañca bhavaṅgaparivāsena upacārāsevanāya ca vinā appanā hoti, saha nimittuppādeneva appanaṃ pāpetī’’ti vadanti, taṃ tesaṃ matimattaṃ. Na hi pārivāsikaparikammena appanāvāro icchito, nāpi mahaggatappamāṇajjhānesu viya upacārajjhāne ekantato paccavekkhaṇā icchitabbā, tasmā upacārajjhānādhigamato paraṃ katipayabhavaṅgacittāvasāne appanaṃ pāpuṇanto ‘‘saha nimittuppādenevettha appanaṃ pāpetī’’ti vutto. ‘‘Saha nimittuppādenā’’ti ca adhippāyikamidaṃ vacanaṃ, na nītatthaṃ, adhippāyo vuttanayeneva veditabbo.

    น อโนฺตสมาปตฺติยํ ตทา ตถารูปสฺส อาโภคสฺส อสมฺภวโต, สมาปตฺติโต วุฎฺฐิตสฺส อาโภโค ปุพฺพภาคภาวนาวเสน ฌานกฺขเณ ปวตฺตํ อภิภวนาการํ คเหตฺวา ปวโตฺตติ ทฎฺฐพฺพํฯ อภิธมฺมฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๐๔) ปน ‘‘อิมินา ปนสฺส ปุพฺพภาโค กถิโต’’ติ วุตฺตํฯ อโนฺตสมาปตฺติยํ ตถา อาโภคาภาเว กสฺมา ‘‘ฌานสญฺญายปี’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘อภิภว…เป.… อตฺถี’’ติฯ

    Na antosamāpattiyaṃ tadā tathārūpassa ābhogassa asambhavato, samāpattito vuṭṭhitassa ābhogo pubbabhāgabhāvanāvasena jhānakkhaṇe pavattaṃ abhibhavanākāraṃ gahetvā pavattoti daṭṭhabbaṃ. Abhidhammaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 204) pana ‘‘iminā panassa pubbabhāgo kathito’’ti vuttaṃ. Antosamāpattiyaṃ tathā ābhogābhāve kasmā ‘‘jhānasaññāyapī’’ti vuttanti āha ‘‘abhibhava…pe… atthī’’ti.

    วฑฺฒิตปฺปมาณานีติ วิปุลปฺปมาณานีติ อโตฺถ, น เอกงฺคุลทฺวงฺคุลาทิวเสน วฑฺฒิตปฺปมาณานีติ ตถา วฑฺฒนเสฺสเวตฺถ อสมฺภวโตฯ เตนาห ‘‘มหนฺตานี’’ติฯ

    Vaḍḍhitappamāṇānīti vipulappamāṇānīti attho, na ekaṅguladvaṅgulādivasena vaḍḍhitappamāṇānīti tathā vaḍḍhanassevettha asambhavato. Tenāha ‘‘mahantānī’’ti.

    รูเป สญฺญา รูปสญฺญา, สา อสฺส อตฺถีติ รูปสญฺญี, น รูปสญฺญี อรูปสญฺญีฯ สญฺญาสีเสน ฌานํ วทติฯ รูปสญฺญาย อนุปฺปาทนเมเวตฺถ อลาภิตาฯ พหิทฺธาว อุปฺปนฺนนฺติ พหิทฺธาวตฺถุสฺมิํเยว อุปฺปนฺนํฯ อภิธเมฺม ปน ‘‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ, อปฺปมาณานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ เอวํ จตุนฺนํ อภิภายตนานํ อาคตตฺตา อภิธมฺมฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๒๐๔) ‘‘กสฺมา ปน ยถา สุตฺตเนฺต – ‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ปริตฺตานี’ติอาทิ วุตฺตํ, เอวํ อวตฺวา อิธ จตูสุปิ อภิภายตเนสุ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาว วุตฺตา’’ติ โจทนํ กตฺวา ‘‘อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโต’’ติ การณํ วตฺวา ‘‘ตตฺถ วา หิ อิธ วา พหิทฺธารูปาเนว อภิภวิตพฺพานิ, ตสฺมา ตานิ นิยมโต วตฺตพฺพานีติ ตตฺราปิ อิธาปิ วุตฺตานิฯ ‘อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญี’ติ อิทํ ปน สตฺถุ เทสนาวิลาสมตฺตเมวา’’ติ วุตฺตํฯ

    Rūpe saññā rūpasaññā, sā assa atthīti rūpasaññī, na rūpasaññī arūpasaññī. Saññāsīsena jhānaṃ vadati. Rūpasaññāya anuppādanamevettha alābhitā. Bahiddhāva uppannanti bahiddhāvatthusmiṃyeva uppannaṃ. Abhidhamme pana ‘‘ajjhattaṃ arūpasaññī bahiddhā rūpāni passati parittāni suvaṇṇadubbaṇṇāni, appamāṇāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti evaṃ catunnaṃ abhibhāyatanānaṃ āgatattā abhidhammaṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 204) ‘‘kasmā pana yathā suttante – ‘ajjhattaṃ rūpasaññī eko bahiddhā rūpāni passati parittānī’tiādi vuttaṃ, evaṃ avatvā idha catūsupi abhibhāyatanesu ajjhattaṃ arūpasaññitāva vuttā’’ti codanaṃ katvā ‘‘ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyato’’ti kāraṇaṃ vatvā ‘‘tattha vā hi idha vā bahiddhārūpāneva abhibhavitabbāni, tasmā tāni niyamato vattabbānīti tatrāpi idhāpi vuttāni. ‘Ajjhattaṃ arūpasaññī’ti idaṃ pana satthu desanāvilāsamattamevā’’ti vuttaṃ.

    เอตฺถ จ วณฺณาโภครหิตานิ สหิตานิ จ สพฺพานิ ‘‘ปริตฺตานิ สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ วุตฺตานิ, ตถา ‘‘อปฺปมาณานี’’ติ ทฎฺฐพฺพานิฯ อตฺถิ หิ เอโส ปริยาโย ‘‘ปริตฺตานิ อภิภุยฺย ตานิ เจ กทาจิ วณฺณวเสน อาภุชิตานิ โหนฺติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ อภิภุยฺยา’’ติฯ ปริยายกถา หิ สุตฺตนฺตเทสนาติฯ อภิธเมฺม ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วณฺณาโภครหิตานิ วิสุํ วุตฺตานิ, ตถา สหิตานิฯ อตฺถิ หิ อุภยตฺถ อภิภวนปริยาโยติ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติอาทินา ปฐมทุติยอภิภายตเนสุ ปฐมวิโมโกฺข, ตติยจตุตฺถาภิภายตเนสุ ทุติยวิโมโกฺข, วณฺณาภิภายตเนสุ ตติยวิโมโกฺข จ อภิภวนปฺปวตฺติโต สงฺคหิโต, อภิธเมฺม ปน นิปฺปริยายเทสนตฺตา วิโมกฺขาภิภายตนานิ อสงฺกรโต ทเสฺสตุํ วิโมเกฺข วเชฺชตฺวา อภิภายตนานิ กถิตานิ, สพฺพานิ จ วิโมกฺขกิจฺจานิ ฌานานิ วิโมกฺขเทสนายํ วุตฺตานิฯ ตเทตํ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี’’ติ อาคตสฺส อภิภายตนทฺวยสฺส อภิธเมฺม อภิภายตเนสุ อวจนโต ‘‘รูปี รูปานิ ปสฺสตี’’ติอาทีนญฺจ สพฺพวิโมกฺขกิจฺจสาธารณวจนภาวโต ววตฺถานํ กตนฺติ วิญฺญายติฯ

    Ettha ca vaṇṇābhogarahitāni sahitāni ca sabbāni ‘‘parittāni suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti vuttāni, tathā ‘‘appamāṇānī’’ti daṭṭhabbāni. Atthi hi eso pariyāyo ‘‘parittāni abhibhuyya tāni ce kadāci vaṇṇavasena ābhujitāni honti suvaṇṇadubbaṇṇāni abhibhuyyā’’ti. Pariyāyakathā hi suttantadesanāti. Abhidhamme pana nippariyāyadesanattā vaṇṇābhogarahitāni visuṃ vuttāni, tathā sahitāni. Atthi hi ubhayattha abhibhavanapariyāyoti ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’tiādinā paṭhamadutiyaabhibhāyatanesu paṭhamavimokkho, tatiyacatutthābhibhāyatanesu dutiyavimokkho, vaṇṇābhibhāyatanesu tatiyavimokkho ca abhibhavanappavattito saṅgahito, abhidhamme pana nippariyāyadesanattā vimokkhābhibhāyatanāni asaṅkarato dassetuṃ vimokkhe vajjetvā abhibhāyatanāni kathitāni, sabbāni ca vimokkhakiccāni jhānāni vimokkhadesanāyaṃ vuttāni. Tadetaṃ ‘‘ajjhattaṃ rūpasaññī’’ti āgatassa abhibhāyatanadvayassa abhidhamme abhibhāyatanesu avacanato ‘‘rūpī rūpāni passatī’’tiādīnañca sabbavimokkhakiccasādhāraṇavacanabhāvato vavatthānaṃ katanti viññāyati.

    ‘‘อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียโต’’ติ อิทํ อภิธเมฺม กตฺถจิปิ ‘‘อชฺฌตฺตํ รูปานิ ปสฺสตี’’ติ อวตฺวา สพฺพตฺถ ยํ วุตฺตํ ‘‘พหิทฺธารูปานิ ปสฺสตี’’ติ, ตสฺส การณวจนํฯ เตน ยํ อญฺญเหตุกํ, ตํ เตน เหตุนา วุตฺตํ, ยํ ปน เทสนาวิลาสเหตุกํ อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺญิตาย เอว อภิธเมฺม วจนํ, น ตสฺส อญฺญํ การณํ มคฺคิตพฺพนฺติ ทเสฺสติฯ อชฺฌตฺตรูปานํ อนภิภวนียตา จ เตสํ พหิทฺธารูปานํ วิย อวิภูตตฺตา, เทสนาวิลาโส จ ยถาวุตฺตววตฺถานวเสน เวทิตโพฺพ, เวเนยฺยชฺฌาสยวเสน วิชฺชมานปริยายกถนภาวโตฯ ‘‘สุวณฺณทุพฺพณฺณานี’’ติ เอเตเนว สิทฺธตฺตา นีลาทิอภิภายตนานิ น วตฺตพฺพานีติ เจ? น, นีลาทีสุ กตาธิการานํ นีลาทิภาวเสฺสว อภิภวนการณตฺตาฯ น หิ เตสํ ปริสุทฺธาปริสุทฺธวณฺณานํ ปริตฺตตา ตทปฺปมาณตา วา อภิภวนการณํ, อถ โข นีลาทิภาโว เอวาติฯ เอเตสุ จ ปริตฺตาทิกสิณรูเปสุ ยํ จริตสฺส อิมานิ อภิภายตนานิ อิชฺฌนฺติ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิเมสุ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    ‘‘Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyato’’ti idaṃ abhidhamme katthacipi ‘‘ajjhattaṃ rūpāni passatī’’ti avatvā sabbattha yaṃ vuttaṃ ‘‘bahiddhārūpāni passatī’’ti, tassa kāraṇavacanaṃ. Tena yaṃ aññahetukaṃ, taṃ tena hetunā vuttaṃ, yaṃ pana desanāvilāsahetukaṃ ajjhattaṃ arūpasaññitāya eva abhidhamme vacanaṃ, na tassa aññaṃ kāraṇaṃ maggitabbanti dasseti. Ajjhattarūpānaṃ anabhibhavanīyatā ca tesaṃ bahiddhārūpānaṃ viya avibhūtattā, desanāvilāso ca yathāvuttavavatthānavasena veditabbo, veneyyajjhāsayavasena vijjamānapariyāyakathanabhāvato. ‘‘Suvaṇṇadubbaṇṇānī’’ti eteneva siddhattā nīlādiabhibhāyatanāni na vattabbānīti ce? Na, nīlādīsu katādhikārānaṃ nīlādibhāvasseva abhibhavanakāraṇattā. Na hi tesaṃ parisuddhāparisuddhavaṇṇānaṃ parittatā tadappamāṇatā vā abhibhavanakāraṇaṃ, atha kho nīlādibhāvo evāti. Etesu ca parittādikasiṇarūpesu yaṃ caritassa imāni abhibhāyatanāni ijjhanti, taṃ dassetuṃ ‘‘imesu panā’’tiādi vuttaṃ.

    สพฺพสงฺคาหิกวเสนาติ สกลนีลวณฺณนีลนิทสฺสนนีลนิภาสานํ สาธารณวเสนฯ วณฺณวเสนาติ สภาววณฺณวเสนฯ นิทสฺสนวเสนาติ ปสฺสิตพฺพตาวเสนฯ โอภาสวเสนาติ สปฺปภาสตาย อวภาสนวเสนฯ อุมาปุปฺผนฺติ อตสิปุปฺผํฯ นีลเมว โหติ วณฺณสงฺกราภาวโตฯ พาราณสิยํ ภวนฺติ พาราณสิยํ สมุฎฺฐิตํฯ

    Sabbasaṅgāhikavasenāti sakalanīlavaṇṇanīlanidassananīlanibhāsānaṃ sādhāraṇavasena. Vaṇṇavasenāti sabhāvavaṇṇavasena. Nidassanavasenāti passitabbatāvasena. Obhāsavasenāti sappabhāsatāya avabhāsanavasena. Umāpupphanti atasipupphaṃ. Nīlameva hoti vaṇṇasaṅkarābhāvato. Bārāṇasiyaṃ bhavanti bārāṇasiyaṃ samuṭṭhitaṃ.

    เต ธเมฺมติ เต สติปฎฺฐานาทิธเมฺม เจว อฎฺฐวิโมกฺขธเมฺม จฯ จิณฺณวสีภาวาเยว ตตฺถ อภิวิสิฎฺฐาย ปญฺญาย ปริโยสานุตฺตรํ สตํ คตา อภิญฺญาโวสานปารมิปฺปตฺตา

    Te dhammeti te satipaṭṭhānādidhamme ceva aṭṭhavimokkhadhamme ca. Ciṇṇavasībhāvāyeva tattha abhivisiṭṭhāya paññāya pariyosānuttaraṃ sataṃ gatā abhiññāvosānapāramippattā.

    ๒๕๐. สกลเฎฺฐนาติ (ที. นิ. ฎี. ๓.๓๔๖; อ. นิ. ฎี. ๓.๑๐.๒๕) สกลภาเวน, อสุภนิมิตฺตาทีสุ วิย เอกเทเส อฎฺฐตฺวา อนวเสสโต คเหตพฺพเฎฺฐนาติ อโตฺถฯ ยถา เขตฺตํ สสฺสานํ อุปฺปตฺติฎฺฐานํ วฑฺฒิฎฺฐานญฺจ, เอวเมว ตํตํสมฺปยุตฺตธมฺมานนฺติ อาห ‘‘เขตฺตเฎฺฐนา’’ติฯ ปริจฺฉินฺทิตฺวาติ อิทํ อุทฺธํ อโธ ติริยนฺติ โยเชตพฺพํฯ ปริจฺฉินฺทิตฺวา เอว หิ สพฺพตฺถ กสิณํ วเฑฺฒตพฺพํฯ เตน เตน การเณนาติ อุปริอาทีสุ เตน เตน กสิเณนฯ ยถา กินฺติ อาห – ‘‘อาโลกมิว รูปทสฺสนกาโม’’ติ, ยถา ทิพฺพจกฺขุนา อุทฺธํ เจ รูปํ ทฎฺฐุกาโม, อุทฺธํ อาโลกํ ปสาเรติ, อโธ เจ, อโธ, สมนฺตโต เจ รูปํ ทฎฺฐุกาโม, สมนฺตโต อาโลกํ ปสาเรติ, เอวํ สพฺพกสิณนฺติ อโตฺถฯ เอกสฺสาติ ปถวีกสิณาทีสุ เอเกกสฺสฯ อญฺญภาวานุปคมนตฺถนฺติ อญฺญกสิณภาวานุปคมนทีปนตฺถํ, อญฺญสฺส วา กสิณภาวานุปคมนทีปนตฺถํฯ น หิ อเญฺญน ปสาริตกสิณํ ตโต อเญฺญน ปสาริตกสิณภาวํ อุปคจฺฉติ, เอวมฺปิ เนสํ อญฺญกสิณสเมฺภทาภาโว เวทิตโพฺพฯ น อญฺญํ ปถวีอาทิฯ น หิ อุทเกน ฐิตฎฺฐาเน สสมฺภารปถวี อตฺถิฯ อญฺญกสิณสเมฺภโทติ อาโปกสิณาทินา สงฺกโร ฯ สพฺพตฺถาติ สเพฺพสุ เสสกสิเณสุฯ เอกเทเส อฎฺฐตฺวา อนวเสสผรณํ ปมาณสฺส อคฺคหณโต อปฺปมาณํฯ เตเนว หิ เนสํ กสิณสมญฺญาฯ ตถา หิ ‘‘ตญฺหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เจตสา ผรโนฺตติ ภาวนาจิเตฺตน อารมฺมณํ กโรโนฺตฯ ภาวนาจิตฺตญฺหิ กสิณํ ปริตฺตํ วา วิปุลํ วา สกลเมว มนสิ กโรติฯ

    250.Sakalaṭṭhenāti (dī. ni. ṭī. 3.346; a. ni. ṭī. 3.10.25) sakalabhāvena, asubhanimittādīsu viya ekadese aṭṭhatvā anavasesato gahetabbaṭṭhenāti attho. Yathā khettaṃ sassānaṃ uppattiṭṭhānaṃ vaḍḍhiṭṭhānañca, evameva taṃtaṃsampayuttadhammānanti āha ‘‘khettaṭṭhenā’’ti. Paricchinditvāti idaṃ uddhaṃ adho tiriyanti yojetabbaṃ. Paricchinditvā eva hi sabbattha kasiṇaṃ vaḍḍhetabbaṃ. Tena tena kāraṇenāti upariādīsu tena tena kasiṇena. Yathā kinti āha – ‘‘ālokamiva rūpadassanakāmo’’ti, yathā dibbacakkhunā uddhaṃ ce rūpaṃ daṭṭhukāmo, uddhaṃ ālokaṃ pasāreti, adho ce, adho, samantato ce rūpaṃ daṭṭhukāmo, samantato ālokaṃ pasāreti, evaṃ sabbakasiṇanti attho. Ekassāti pathavīkasiṇādīsu ekekassa. Aññabhāvānupagamanatthanti aññakasiṇabhāvānupagamanadīpanatthaṃ, aññassa vā kasiṇabhāvānupagamanadīpanatthaṃ. Na hi aññena pasāritakasiṇaṃ tato aññena pasāritakasiṇabhāvaṃ upagacchati, evampi nesaṃ aññakasiṇasambhedābhāvo veditabbo. Na aññaṃ pathavīādi. Na hi udakena ṭhitaṭṭhāne sasambhārapathavī atthi. Aññakasiṇasambhedoti āpokasiṇādinā saṅkaro . Sabbatthāti sabbesu sesakasiṇesu. Ekadese aṭṭhatvā anavasesapharaṇaṃ pamāṇassa aggahaṇato appamāṇaṃ. Teneva hi nesaṃ kasiṇasamaññā. Tathā hi ‘‘tañhī’’tiādimāha. Tattha cetasā pharantoti bhāvanācittena ārammaṇaṃ karonto. Bhāvanācittañhi kasiṇaṃ parittaṃ vā vipulaṃ vā sakalameva manasi karoti.

    กสิณุคฺฆาฎิมากาเส ปวตฺตํ วิญฺญาณํ ผรณอปฺปมาณวเสน ‘‘วิญฺญาณกสิณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตถา หิ ตํ ‘‘วิญฺญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ กสิณวเสนาติ อุคฺฆาฎิตกสิณวเสน กสิณุคฺฆาฎิมากาเส อุทฺธํอโธติริยตา เวทิตพฺพาฯ ยตฺตกญฺหิ ฐานํ กสิณํ ปสาริตํ, ตตฺตกํ อากาสภาวนาวเสน อากาสํ โหตีติฯ เอวํ ยตฺตกํ ฐานํ อากาสํ หุตฺวา อุปฎฺฐิตํ, ตตฺตกํ อากาสเมว หุตฺวา วิญฺญาณสฺส ปวตฺตนโต อาคมนวเสน วิญฺญาณกสิเณปิ อุทฺธํอโธติริยตา วุตฺตาติ ‘‘กสิณุคฺฆาฎิมากาสวเสน ตตฺถ ปวตฺตวิญฺญาเณ อุทฺธํอโธติริยตา เวทิตพฺพา’’ติ อาหฯ

    Kasiṇugghāṭimākāse pavattaṃ viññāṇaṃ pharaṇaappamāṇavasena ‘‘viññāṇakasiṇa’’nti vuttaṃ. Tathā hi taṃ ‘‘viññāṇa’’nti vuccati. Kasiṇavasenāti ugghāṭitakasiṇavasena kasiṇugghāṭimākāse uddhaṃadhotiriyatā veditabbā. Yattakañhi ṭhānaṃ kasiṇaṃ pasāritaṃ, tattakaṃ ākāsabhāvanāvasena ākāsaṃ hotīti. Evaṃ yattakaṃ ṭhānaṃ ākāsaṃ hutvā upaṭṭhitaṃ, tattakaṃ ākāsameva hutvā viññāṇassa pavattanato āgamanavasena viññāṇakasiṇepi uddhaṃadhotiriyatā vuttāti ‘‘kasiṇugghāṭimākāsavasena tattha pavattaviññāṇe uddhaṃadhotiriyatā veditabbā’’ti āha.

    ๒๕๒. วุโตฺตเยว วมฺมิกสุเตฺตฯ นิสฺสิตญฺจ ฉวตฺถุนิสฺสิตตฺตา วิปสฺสนาญาณสฺสฯ ปฎิพทฺธญฺจ เตน วินา อปฺปวตฺตนโต กายสญฺญิตานํ รูปธมฺมานํ อารมฺมณกรณโต จฯ สุฎฺฐุ ภาติ โอภาสตีติ วา สุโภฯ กุรุวินฺทชาติอาทิชาติวิเสโสปิ มณิ อากรปาริสุทฺธิมูลโก เอวาติ อาห ‘‘สุปริสุทฺธอากรสมุฎฺฐิโต’’ติฯ โทสนีหรณวเสน ปริกมฺมนิปฺผตฺตีติ อาห ‘‘สุฎฺฐุ กตปริกโมฺม อปนีตปาสาณสกฺขโร’’ติฯ โธวนเวธนาทีหีติ จตูสุ ปาสาเณสุ โธวเนน เจว กาฬกาทิอปหรณตฺถาย สุเตฺตน อาวุนนตฺถาย จ วิชฺฌเนนฯ ตาปสณฺหกรณาทีนํ สงฺคโห อาทิ-สเทฺทนฯ วณฺณสมฺปตฺตินฺติ สุตฺตสฺส วณฺณสมฺปตฺติํฯ

    252.Vuttoyeva vammikasutte. Nissitañca chavatthunissitattā vipassanāñāṇassa. Paṭibaddhañca tena vinā appavattanato kāyasaññitānaṃ rūpadhammānaṃ ārammaṇakaraṇato ca. Suṭṭhu bhāti obhāsatīti vā subho. Kuruvindajātiādijātivisesopi maṇi ākarapārisuddhimūlako evāti āha ‘‘suparisuddhaākarasamuṭṭhito’’ti. Dosanīharaṇavasena parikammanipphattīti āha ‘‘suṭṭhu kataparikammo apanītapāsāṇasakkharo’’ti. Dhovanavedhanādīhīti catūsu pāsāṇesu dhovanena ceva kāḷakādiapaharaṇatthāya suttena āvunanatthāya ca vijjhanena. Tāpasaṇhakaraṇādīnaṃ saṅgaho ādi-saddena. Vaṇṇasampattinti suttassa vaṇṇasampattiṃ.

    มณิ วิย กรชกาโย ปจฺจเวกฺขิตพฺพโตฯ อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณํ อนุปวิสิตฺวา ฐิตตฺตาฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย วิปสฺสนาลาภี ภิกฺขุ สมฺมเทว ตสฺส ทสฺสนโตฯ ตทารมฺมณานนฺติ รูปธมฺมารมฺมณานํฯ ผสฺสปญฺจมกจิตฺตเจตสิกคฺคหเณน คหิตธมฺมาปิ วิปสฺสนาจิตฺตุปฺปาทปริยาปนฺนา เอวาติ เวทิตพฺพํฯ เอวญฺหิ เตสํ วิปสฺสนาญาณคติกตฺตา ‘‘อาวุตสุตฺตํ วิย วิปสฺสนาญาณ’’นฺติ วจนํ อวิโรธิตํ โหติฯ

    Maṇi viya karajakāyo paccavekkhitabbato. Āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇaṃ anupavisitvā ṭhitattā. Cakkhumā puriso viya vipassanālābhī bhikkhu sammadeva tassa dassanato. Tadārammaṇānanti rūpadhammārammaṇānaṃ. Phassapañcamakacittacetasikaggahaṇena gahitadhammāpi vipassanācittuppādapariyāpannā evāti veditabbaṃ. Evañhi tesaṃ vipassanāñāṇagatikattā ‘‘āvutasuttaṃ viya vipassanāñāṇa’’nti vacanaṃ avirodhitaṃ hoti.

    ญาณสฺสาติ ปจฺจเวกฺขณญาณสฺสฯ ยทิ เอวํ ญาณสฺส วเสน วตฺตพฺพํ, น ปุคฺคลสฺสาติ อาห ‘‘ตสฺส ปนา’’ติอาทิฯ มคฺคสฺส อนนฺตรํ, ตสฺมา โลกิยาภิญฺญานํ ปรโต ฉฎฺฐาภิญฺญาย ปุรโต วตฺตพฺพํ วิปสฺสนาญาณํฯ เอวํ สเนฺตปีติ ยทิปายํ ญาณานุปุพฺพฎฺฐิติ, เอวํ สเนฺตปิ เอตสฺส อนฺตรา วาโร นตฺถีติ ปญฺจสุ โลกิยาภิญฺญาสุ กถิตาสุ อากเงฺขยฺยสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๑.๖๔ อาทโย) วิย ฉฎฺฐาภิญฺญา กเถตพฺพาติ เอตสฺส อนภิญฺญาลกฺขณสฺส วิปสฺสนาญาณสฺส ตาสํ อนฺตรา วาโร น โหติ, ตสฺมา ตตฺถ อวสราภาวโต อิเธว รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานานนฺตรเมว ทสฺสิตํ วิปสฺสนาญาณํฯ ยสฺมา จาติ -สโทฺท สมุจฺจยโตฺถฯ เตน น เกวลํ ตเทว, อถ โข อิทมฺปิ การณํ วิปสฺสนาญาณสฺส อิเธว ทสฺสเนติ อิมมตฺถํ ทีเปติฯ ทิเพฺพน จกฺขุนา เภรวรูปํ ปสฺสโตติ เอตฺถ อิทฺธิวิธญาเณน เภรวํ รูปํ นิมฺมินิตฺวา จกฺขุนา ปสฺสโตติ วตฺตพฺพํ, เอวมฺปิ อภิญฺญาลาภิโน อปริญฺญาณวตฺถุกสฺส ภยสนฺตาโส อุปฺปชฺชติ อุจฺจวาลิกวาสีมหานาคเตฺถรสฺส วิยฯ อิธาปีติ อิมสฺมิํ วิปสฺสนาญาเณปิ, น สติปฎฺฐานาทีสุ เอวาติ อธิปฺปาโยฯ

    Ñāṇassāti paccavekkhaṇañāṇassa. Yadi evaṃ ñāṇassa vasena vattabbaṃ, na puggalassāti āha ‘‘tassa panā’’tiādi. Maggassa anantaraṃ, tasmā lokiyābhiññānaṃ parato chaṭṭhābhiññāya purato vattabbaṃ vipassanāñāṇaṃ. Evaṃ santepīti yadipāyaṃ ñāṇānupubbaṭṭhiti, evaṃ santepi etassa antarā vāro natthīti pañcasu lokiyābhiññāsu kathitāsu ākaṅkheyyasuttādīsu (ma. ni. 1.64 ādayo) viya chaṭṭhābhiññā kathetabbāti etassa anabhiññālakkhaṇassa vipassanāñāṇassa tāsaṃ antarā vāro na hoti, tasmā tattha avasarābhāvato idheva rūpāvacaracatutthajjhānānantarameva dassitaṃ vipassanāñāṇaṃ. Yasmā cāti ca-saddo samuccayattho. Tena na kevalaṃ tadeva, atha kho idampi kāraṇaṃ vipassanāñāṇassa idheva dassaneti imamatthaṃ dīpeti. Dibbena cakkhunā bheravarūpaṃ passatoti ettha iddhividhañāṇena bheravaṃ rūpaṃ nimminitvā cakkhunā passatoti vattabbaṃ, evampi abhiññālābhino apariññāṇavatthukassa bhayasantāso uppajjati uccavālikavāsīmahānāgattherassa viya. Idhāpīti imasmiṃ vipassanāñāṇepi, na satipaṭṭhānādīsu evāti adhippāyo.

    ๒๕๓. มโนมยิทฺธิยํ จิณฺณวสิตาย อภิญฺญา โวสานปารมิปฺปตฺตตา เวทิตพฺพาติ โยชนาฯ มเนน นิพฺพตฺตนฺติ อภิญฺญามเนน นิพฺพตฺติตํฯ ตํ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมวาติ สณฺฐานโตปิ วณฺณโตปิ อวยววิเสสโตปิ สทิสภาวทสฺสนตฺถเมวฯ สชาติยํ ฐิโต, น นาคิทฺธิยา อญฺญชาติรูโปฯ สุปริกมฺมกตมตฺติกาทโย วิย อิทฺธิวิธญาณํ วิกุพฺพนกิริยาย นิสฺสยภาวโตฯ

    253. Manomayiddhiyaṃ ciṇṇavasitāya abhiññā vosānapāramippattatā veditabbāti yojanā. Manena nibbattanti abhiññāmanena nibbattitaṃ. Taṃ sadisabhāvadassanatthamevāti saṇṭhānatopi vaṇṇatopi avayavavisesatopi sadisabhāvadassanatthameva. Sajātiyaṃ ṭhito, na nāgiddhiyā aññajātirūpo. Suparikammakatamattikādayo viya iddhividhañāṇaṃ vikubbanakiriyāya nissayabhāvato.

    ๒๕๕. อปฺปกสิเรเนวาติ อกิเจฺฉเนวฯ

    255.Appakasirenevāti akiccheneva.

    ๒๕๖. มโนฺท อุตฺตานเสยฺยกทารโกปิ ‘‘ทหโร’’ติ วุจฺจตีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘ยุวา’’ติ วุตฺตํฯ ยุวาปิ โกจิ อนิจฺฉนโต อมณฺฑนสีโล โหตีติ ตโต วิเสสนตฺถํ ‘‘มณฺฑนกชาติโก’’ติ วุตฺตํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ยุวาปี’’ติอาทิฯ กาฬติลปฺปมาณา พินฺทโว กาฬติลกานิฯ นาติกมฺมาสติลปฺปมาณา พินฺทโว ติลกานิฯ วงฺกํ นาม ปิยงฺคํฯ โยพฺพนปีฬกาทโย มุขทูสิปีฬกาฯ มุขคโต โทโส มุขโทโส, ลกฺขณวจนเญฺจตํ มุเข อโทสสฺสปิ ปากฎภาวสฺส อธิเปฺปตตฺตา ฯ ยถา วา มุเข โทโส, เอวํ มุเข อโทโสปิ มุขโทโส สรโลเปน, มุขโทโส จ มุขโทโส จ มุขโทโสติ เอกเสสนเยนเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ เอวญฺหิ ปเรสํ โสฬสวิธํ จิตฺตํ ปากฎํ โหตีติ วจนํ สมตฺถิตํ โหติฯ

    256. Mando uttānaseyyakadārakopi ‘‘daharo’’ti vuccatīti tato visesanatthaṃ ‘‘yuvā’’ti vuttaṃ. Yuvāpi koci anicchanato amaṇḍanasīlo hotīti tato visesanatthaṃ ‘‘maṇḍanakajātiko’’ti vuttaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘yuvāpī’’tiādi. Kāḷatilappamāṇā bindavo kāḷatilakāni. Nātikammāsatilappamāṇā bindavo tilakāni. Vaṅkaṃ nāma piyaṅgaṃ. Yobbanapīḷakādayo mukhadūsipīḷakā. Mukhagato doso mukhadoso, lakkhaṇavacanañcetaṃ mukhe adosassapi pākaṭabhāvassa adhippetattā . Yathā vā mukhe doso, evaṃ mukhe adosopi mukhadoso saralopena, mukhadoso ca mukhadoso ca mukhadosoti ekasesanayenapettha attho daṭṭhabbo. Evañhi paresaṃ soḷasavidhaṃ cittaṃ pākaṭaṃ hotīti vacanaṃ samatthitaṃ hoti.

    ๒๕๙. ปฎิปทาวเสนาติ ยถารหํ สมถวิปสฺสนามคฺคปฎิปทาวเสนฯ อฎฺฐสุ โกฎฺฐาเสสูติ สติปฎฺฐานาทีสุ โพธิปกฺขิยธมฺมโกฎฺฐาเสสุ, วิโมกฺขโกฎฺฐาเสสุ วาติ อิเมสุ อฎฺฐสุ โกฎฺฐาเสสุฯ เสเสสูติ วุตฺตาวเสเสสุ อภิภายตนโกฎฺฐาสาทีสุฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    259.Paṭipadāvasenāti yathārahaṃ samathavipassanāmaggapaṭipadāvasena. Aṭṭhasu koṭṭhāsesūti satipaṭṭhānādīsu bodhipakkhiyadhammakoṭṭhāsesu, vimokkhakoṭṭhāsesu vāti imesu aṭṭhasu koṭṭhāsesu. Sesesūti vuttāvasesesu abhibhāyatanakoṭṭhāsādīsu. Sesaṃ suviññeyyameva.

    มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตํ • 7. Mahāsakuludāyisuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๗. มหาสกุลุทายิสุตฺตวณฺณนา • 7. Mahāsakuludāyisuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact