Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. มหาสาลสุตฺตวณฺณนา

    4. Mahāsālasuttavaṇṇanā

    ๒๐๐. จตุเตฺถ ลูโข ลูขปาวุรโณติ ชิโณฺณ ชิณฺณปาวุรโณฯ อุปสงฺกมีติ กสฺมา อุปสงฺกมิ? ตสฺส กิร ฆเร อฎฺฐสตสหสฺสธนํ อโหสิฯ โส จตุนฺนํ ปุตฺตานํ อาวาหํ กตฺวา จตฺตาริ สตสหสฺสานิ อทาสิ ฯ อถสฺส พฺราหฺมณิยา กาลงฺกตาย ปุตฺตา สมฺมนฺตยิํสุ – ‘‘สเจ อญฺญํ พฺราหฺมณิํ อาเนสฺสติ, ตสฺสา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตวเสน กุลํ ภิชฺชิสฺสติฯ หนฺท นํ มยํ สงฺคณฺหามา’’ติฯ เต จตฺตาโรปิ ปณีเตหิ ฆาสจฺฉาทนาทีหิ อุปฎฺฐหนฺตา หตฺถปาทสมฺพาหนาทีนิ กโรนฺตา สงฺคณฺหิตฺวา เอกทิวสํ ทิวา นิทฺทายิตฺวา วุฎฺฐิตสฺส หตฺถปาเท สมฺพาหมานา ปาฎิเยกฺกํ ฆราวาเส อาทีนวํ วตฺวา – ‘‘มยํ ตุเมฺห อิมินา นีหาเรน ยาวชีวํ อุปฎฺฐหิสฺสาม, เสสธนมฺปิ โน เทถา’’ติ ยาจิํสุฯ พฺราหฺมโณ ปุน เอเกกสฺส สตสหสฺสํ สตสหสฺสํ ทตฺวา อตฺตโน นิวตฺถปารุปนมตฺตํ ฐเปตฺวา สพฺพํ อุปโภคปริโภคํ จตฺตาโร โกฎฺฐาเส กตฺวา นิยฺยาเทสิฯ ตํ เชฎฺฐปุโตฺต กติปาหํ อุปฎฺฐหิฯ

    200. Catutthe lūkho lūkhapāvuraṇoti jiṇṇo jiṇṇapāvuraṇo. Upasaṅkamīti kasmā upasaṅkami? Tassa kira ghare aṭṭhasatasahassadhanaṃ ahosi. So catunnaṃ puttānaṃ āvāhaṃ katvā cattāri satasahassāni adāsi . Athassa brāhmaṇiyā kālaṅkatāya puttā sammantayiṃsu – ‘‘sace aññaṃ brāhmaṇiṃ ānessati, tassā kucchiyaṃ nibbattavasena kulaṃ bhijjissati. Handa naṃ mayaṃ saṅgaṇhāmā’’ti. Te cattāropi paṇītehi ghāsacchādanādīhi upaṭṭhahantā hatthapādasambāhanādīni karontā saṅgaṇhitvā ekadivasaṃ divā niddāyitvā vuṭṭhitassa hatthapāde sambāhamānā pāṭiyekkaṃ gharāvāse ādīnavaṃ vatvā – ‘‘mayaṃ tumhe iminā nīhārena yāvajīvaṃ upaṭṭhahissāma, sesadhanampi no dethā’’ti yāciṃsu. Brāhmaṇo puna ekekassa satasahassaṃ satasahassaṃ datvā attano nivatthapārupanamattaṃ ṭhapetvā sabbaṃ upabhogaparibhogaṃ cattāro koṭṭhāse katvā niyyādesi. Taṃ jeṭṭhaputto katipāhaṃ upaṭṭhahi.

    อถ นํ เอกทิวสํ นฺหตฺวา อาคจฺฉนฺตํ ทฺวารโกฎฺฐเก ฐตฺวา สุณฺหา เอวมาห – ‘‘กิํ ตยา เชฎฺฐปุตฺตสฺส สตํ วา สหสฺสํ วา อติเรกํ ทินฺนมตฺถิ? นนุ สเพฺพสํ เทฺว เทฺว สตสหสฺสานิ ทินฺนานิ, กิํ เสสปุตฺตานํ ฆรสฺส มคฺคํ น ชานาสี’’ติ? โส ‘‘นสฺส วสลี’’ติ กุชฺฌิตฺวา อญฺญสฺส ฆรํ อคมาสิ, ตโตปิ กติปาหจฺจเยน อิมินาว อุปาเยน ปลาปิโต อญฺญสฺสาติ เอวํ เอกฆเรปิ ปเวสนํ อลภมาโน ปณฺฑรงฺคปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ภิกฺขาย จรโนฺต กาลานมจฺจเยน ชราชิโณฺณ ทุโพฺภชนทุกฺขเสยฺยาหิ มิลาตสรีโร ภิกฺขาจารโต อาคมฺม, ปีฐกาย นิปโนฺน นิทฺทํ โอกฺกมิตฺวา วุฎฺฐาย นิสิโนฺน อตฺตานํ โอโลเกตฺวา ปุเตฺตสุ ปติฎฺฐํ อปสฺสโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ กิร โคตโม อพฺภากุฎิโก อุตฺตานมุโข สุขสมฺภาโส ปฎิสนฺถารกุสโล, สกฺกา สมณํ โคตมํ อุปสงฺกมิตฺวา ปฎิสนฺถารํ ลภิตุ’’นฺติ นิวาสนปาวุรณํ สณฺฐเปตฺวา ภิกฺขาภาชนมาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิฯ

    Atha naṃ ekadivasaṃ nhatvā āgacchantaṃ dvārakoṭṭhake ṭhatvā suṇhā evamāha – ‘‘kiṃ tayā jeṭṭhaputtassa sataṃ vā sahassaṃ vā atirekaṃ dinnamatthi? Nanu sabbesaṃ dve dve satasahassāni dinnāni, kiṃ sesaputtānaṃ gharassa maggaṃ na jānāsī’’ti? So ‘‘nassa vasalī’’ti kujjhitvā aññassa gharaṃ agamāsi, tatopi katipāhaccayena imināva upāyena palāpito aññassāti evaṃ ekagharepi pavesanaṃ alabhamāno paṇḍaraṅgapabbajjaṃ pabbajitvā bhikkhāya caranto kālānamaccayena jarājiṇṇo dubbhojanadukkhaseyyāhi milātasarīro bhikkhācārato āgamma, pīṭhakāya nipanno niddaṃ okkamitvā vuṭṭhāya nisinno attānaṃ oloketvā puttesu patiṭṭhaṃ apassanto cintesi – ‘‘samaṇo kira gotamo abbhākuṭiko uttānamukho sukhasambhāso paṭisanthārakusalo, sakkā samaṇaṃ gotamaṃ upasaṅkamitvā paṭisanthāraṃ labhitu’’nti nivāsanapāvuraṇaṃ saṇṭhapetvā bhikkhābhājanamādāya yena bhagavā tenupasaṅkami.

    ทาเรหิ สํปุจฺฉ ฆรา นิกฺขาเมนฺตีติ สพฺพํ มม สนฺตกํ คเหตฺวา มยฺหํ นิทฺธนภาวํ ญตฺวา อตฺตโน ภริยาหิ สทฺธิํ มนฺตยิตฺวา มํ ฆรา นิกฺกฑฺฒาเปนฺติฯ

    Dārehisaṃpuccha gharā nikkhāmentīti sabbaṃ mama santakaṃ gahetvā mayhaṃ niddhanabhāvaṃ ñatvā attano bhariyāhi saddhiṃ mantayitvā maṃ gharā nikkaḍḍhāpenti.

    นนฺทิสฺสนฺติ นนฺทิชาโต ตุโฎฺฐ ปมุทิโต อโหสิํฯ ภวมิจฺฉิสนฺติ วุฑฺฒิํ ปตฺถยิํฯ สาว วาเรนฺติ สูกรนฺติ ยถา สุนขา วคฺควคฺคา หุตฺวา ภุสฺสนฺตา ภุสฺสนฺตา สูกรํ วาเรนฺติ, ปุนปฺปุนํ มหารวํ รวาเปนฺติ, เอวํ ทาเรหิ สทฺธิํ มํ พหุํ วตฺวา วิรวนฺตํ ปลาเปนฺตีติ อโตฺถฯ

    Nandissanti nandijāto tuṭṭho pamudito ahosiṃ. Bhavamicchisanti vuḍḍhiṃ patthayiṃ. Sāva vārenti sūkaranti yathā sunakhā vaggavaggā hutvā bhussantā bhussantā sūkaraṃ vārenti, punappunaṃ mahāravaṃ ravāpenti, evaṃ dārehi saddhiṃ maṃ bahuṃ vatvā viravantaṃ palāpentīti attho.

    อสนฺตาติ อสปฺปุริสาฯ ชมฺมาติ ลามกาฯ ภาสเรติ ภาสนฺติฯ ปุตฺตรูเปนาติ ปุตฺตเวเสนฯ วโยคตนฺติ ตโย วเย คตํ อติกฺกนฺตํ ปจฺฉิมวเย ฐิตํ มํฯ ชหนฺตีติ ปริจฺจชนฺติฯ

    Asantāti asappurisā. Jammāti lāmakā. Bhāsareti bhāsanti. Puttarūpenāti puttavesena. Vayogatanti tayo vaye gataṃ atikkantaṃ pacchimavaye ṭhitaṃ maṃ. Jahantīti pariccajanti.

    นิโพฺภโคติ นิปฺปริโภโคฯ ขาทนา อปนียตีติ อโสฺส หิ ยาวเทว ตรุโณ โหติ ชวสมฺปโนฺน, ตาวสฺส นานารสํ ขาทนํ ททนฺติ, ชิณฺณํ นิโพฺภคํ ตโต อปเนนฺติ, อนฺติมวเย ตํ วตฺตํ น ลภติ, คาวีหิ สทฺธิํ อฎวิยํ สุกฺขติณานิ ขาทโนฺต จรติฯ ยถา โส อโสฺส, เอวํ ชิณฺณกาเล วิลุตฺตสพฺพธนตฺตา นิโพฺภโค มาทิโสปิ พาลกานํ ปิตา เถโร ปรฆเรสุ ภิกฺขติฯ

    Nibbhogoti nipparibhogo. Khādanā apanīyatīti asso hi yāvadeva taruṇo hoti javasampanno, tāvassa nānārasaṃ khādanaṃ dadanti, jiṇṇaṃ nibbhogaṃ tato apanenti, antimavaye taṃ vattaṃ na labhati, gāvīhi saddhiṃ aṭaviyaṃ sukkhatiṇāni khādanto carati. Yathā so asso, evaṃ jiṇṇakāle viluttasabbadhanattā nibbhogo mādisopi bālakānaṃ pitā thero paragharesu bhikkhati.

    ยเญฺจติ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เย มม ปุตฺตา อนสฺสวา อปฺปติสฺสา อวสวตฺติโน, เตหิ ทโณฺฑว กิร เสโยฺย สุนฺทรตโรติฯ อิทานิสฺส เสยฺยภาวํ ทเสฺสตุํ จณฺฑมฺปิ โคณนฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Yañceti nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – ye mama puttā anassavā appatissā avasavattino, tehi daṇḍova kira seyyo sundarataroti. Idānissa seyyabhāvaṃ dassetuṃ caṇḍampi goṇantiādi vuttaṃ.

    ปุเร โหตีติ อคฺคโต โหติ, ตํ ปุรโต กตฺวา คนฺตุํ สุขํ โหตีติ อโตฺถ ฯ คาธเมธตีติ อุทกํ โอตรณกาเล คมฺภีเร อุทเก ปติฎฺฐํ ลภติฯ

    Pure hotīti aggato hoti, taṃ purato katvā gantuṃ sukhaṃ hotīti attho . Gādhamedhatīti udakaṃ otaraṇakāle gambhīre udake patiṭṭhaṃ labhati.

    ปริยาปุณิตฺวาติ อุคฺคณฺหิตฺวา วา วาจุคฺคตา กตฺวาฯ สนฺนิสิเนฺนสูติ ตถารูเป พฺราหฺมณานํ สมาคมทิวเส สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเตสุ ปุเตฺตสุ ตํ สภํ โอคาเหตฺวา พฺราหฺมณานํ มเชฺฌ มหารเห อาสเน นิสิเนฺนสุฯ อภาสีติ ‘อยํ เม กาโล’ติ สภาย มเชฺฌ ปวิสิตฺวา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา , ‘‘โภ อหํ ตุมฺหากํ คาถา ภาสิตุกาโม, ภาสิเต สุณิสฺสถา’’ติ วตฺวา – ‘‘ภาส, พฺราหฺมณ, สุโณมา’’ติ วุโตฺต ฐิตโกว อภาสิฯ ‘‘เตน จ สมเยน มนุสฺสานํ วตฺตํ โหติ โย มาตาปิตูนํ สนฺตกํ ขาทโนฺต มาตาปิตโร น โปเสติ, โส มาเรตโพฺพ’’ติฯ ตสฺมา เต พฺราหฺมณปุตฺตา ปิตุปาเทสุ นิปติตฺวา ‘‘ชีวิตํ โน ตาต, เทหี’’ติ ยาจิํสุฯ โส ปิตุหทยสฺส ปุตฺตานํ มุทุตฺตา ‘‘มา เม, โภ, พาลเก วินาสยิตฺถ, โปสิสฺสนฺติ ม’’นฺติ อาหฯ

    Pariyāpuṇitvāti uggaṇhitvā vā vācuggatā katvā. Sannisinnesūti tathārūpe brāhmaṇānaṃ samāgamadivase sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitesu puttesu taṃ sabhaṃ ogāhetvā brāhmaṇānaṃ majjhe mahārahe āsane nisinnesu. Abhāsīti ‘ayaṃ me kālo’ti sabhāya majjhe pavisitvā hatthaṃ ukkhipitvā , ‘‘bho ahaṃ tumhākaṃ gāthā bhāsitukāmo, bhāsite suṇissathā’’ti vatvā – ‘‘bhāsa, brāhmaṇa, suṇomā’’ti vutto ṭhitakova abhāsi. ‘‘Tena ca samayena manussānaṃ vattaṃ hoti yo mātāpitūnaṃ santakaṃ khādanto mātāpitaro na poseti, so māretabbo’’ti. Tasmā te brāhmaṇaputtā pitupādesu nipatitvā ‘‘jīvitaṃ no tāta, dehī’’ti yāciṃsu. So pituhadayassa puttānaṃ muduttā ‘‘mā me, bho, bālake vināsayittha, posissanti ma’’nti āha.

    อถสฺส ปุเตฺต มนุสฺสา อาหํสุ – ‘‘สเจ, โภ, อชฺช ปฎฺฐาย ปิตรํ น สมฺมา ปฎิชคฺคิสฺสถ, ฆาเตสฺสาม โว’’ติฯ เต ภีตา ฆรํ เนตฺวา ปฎิชคฺคิํสุฯ ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข นํ พฺราหฺมณมหาสาลนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เนตฺวาติ ปีเฐ นิสีทาเปตฺวา สยํ อุกฺขิปิตฺวา นยิํสุฯ นฺหาเปตฺวาติ สรีรํ เตเลน อพฺภญฺชิตฺวา อุพฺพเฎฺฎตฺวา คนฺธจุณฺณาทีหิ นฺหาเปสุํฯ พฺราหฺมณิโยปิ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘อชฺช ปฎฺฐาย อมฺหากํ ปิตรํ สมฺมา ปฎิชคฺคถฯ สเจ ปมาทํ อาปชฺชิสฺสถ, ฆรโต โว นิกฺกฑฺฒิสฺสามา’’ติ วตฺวา, ปณีตโภชนํ โภเชสุํฯ

    Athassa putte manussā āhaṃsu – ‘‘sace, bho, ajja paṭṭhāya pitaraṃ na sammā paṭijaggissatha, ghātessāma vo’’ti. Te bhītā gharaṃ netvā paṭijaggiṃsu. Taṃ dassetuṃ atha kho naṃ brāhmaṇamahāsālantiādi vuttaṃ. Tattha netvāti pīṭhe nisīdāpetvā sayaṃ ukkhipitvā nayiṃsu. Nhāpetvāti sarīraṃ telena abbhañjitvā ubbaṭṭetvā gandhacuṇṇādīhi nhāpesuṃ. Brāhmaṇiyopi pakkosāpetvā, ‘‘ajja paṭṭhāya amhākaṃ pitaraṃ sammā paṭijaggatha. Sace pamādaṃ āpajjissatha, gharato vo nikkaḍḍhissāmā’’ti vatvā, paṇītabhojanaṃ bhojesuṃ.

    พฺราหฺมโณ สุโภชนญฺจ สุขเสยฺยญฺจ อาคมฺม กติปาหจฺจเยน สญฺชาตพโล ปีณิตินฺทฺริโย อตฺตภาวํ โอโลเกตฺวา, ‘‘อยํ เม สมฺปตฺติ สมณํ โคตมํ นิสฺสาย ลทฺธา’’ติ ปณฺณาการํ อาทาย ภควโต สนฺติกํ อคมาสิฯ ตํ ทเสฺสตุํ อถ โข โสติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอตทโวจาติ ทุสฺสยุคํ ปาทมูเล ฐเปตฺวา เอตํ อโวจฯ สรณคมนาวสาเน จาปิ ภควนฺตํ เอวมาห – ‘‘โภ โคตม, มยฺหํ ปุเตฺตหิ จตฺตาริ ธุรภตฺตานิ ทินฺนานิ , ตโต อหํ เทฺว ตุมฺหากํ ทมฺมิ, เทฺว สยํ ปริภุญฺชิสฺสามี’’ติฯ กลฺยาณํ, พฺราหฺมณ, ปาฎิเยกฺกํ ปน มา นิยฺยาเทหิ, อมฺหากํ รุจฺจนฎฺฐานเมว คมิสฺสามาติฯ ‘‘เอวํ, โภ’’ติ โข พฺราหฺมโณ ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ฆรํ คนฺตฺวา ปุเตฺต อามเนฺตสิ ‘‘ตาตา, สมโณ โคตโม มยฺหํ สหาโย, ตสฺส เทฺว ธุรภตฺตานิ ทินฺนานิ, ตุเมฺห ตสฺมิํ สมฺปเตฺต มา ปมชฺชถา’’ติฯ สาธุ, ตาตาติฯ ปุนทิวเส ภควา ปุพฺพณฺหสมเย ปตฺตจีวรํ อาทาย เชฎฺฐปุตฺตสฺส นิเวสนทฺวารํ คโตฯ โส สตฺถารํ ทิสฺวาว หตฺถโต ปตฺตํ คเหตฺวา ฆรํ ปเวเสตฺวา มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา ปณีตโภชนมทาสิฯ สตฺถา ปุนทิวเส อิตรสฺส, ปุนทิวเส อิตรสฺสาติ ปฎิปาฎิยา สเพฺพสํ ฆรานิ อคมาสิฯ สเพฺพ ตเถว สกฺการํ อกํสุฯ

    Brāhmaṇo subhojanañca sukhaseyyañca āgamma katipāhaccayena sañjātabalo pīṇitindriyo attabhāvaṃ oloketvā, ‘‘ayaṃ me sampatti samaṇaṃ gotamaṃ nissāya laddhā’’ti paṇṇākāraṃ ādāya bhagavato santikaṃ agamāsi. Taṃ dassetuṃ atha kho sotiādi vuttaṃ. Tattha etadavocāti dussayugaṃ pādamūle ṭhapetvā etaṃ avoca. Saraṇagamanāvasāne cāpi bhagavantaṃ evamāha – ‘‘bho gotama, mayhaṃ puttehi cattāri dhurabhattāni dinnāni , tato ahaṃ dve tumhākaṃ dammi, dve sayaṃ paribhuñjissāmī’’ti. Kalyāṇaṃ, brāhmaṇa, pāṭiyekkaṃ pana mā niyyādehi, amhākaṃ ruccanaṭṭhānameva gamissāmāti. ‘‘Evaṃ, bho’’ti kho brāhmaṇo bhagavantaṃ vanditvā gharaṃ gantvā putte āmantesi ‘‘tātā, samaṇo gotamo mayhaṃ sahāyo, tassa dve dhurabhattāni dinnāni, tumhe tasmiṃ sampatte mā pamajjathā’’ti. Sādhu, tātāti. Punadivase bhagavā pubbaṇhasamaye pattacīvaraṃ ādāya jeṭṭhaputtassa nivesanadvāraṃ gato. So satthāraṃ disvāva hatthato pattaṃ gahetvā gharaṃ pavesetvā mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā paṇītabhojanamadāsi. Satthā punadivase itarassa, punadivase itarassāti paṭipāṭiyā sabbesaṃ gharāni agamāsi. Sabbe tatheva sakkāraṃ akaṃsu.

    อเถกทิวสํ เชฎฺฐปุตฺตสฺส ฆเร มงฺคลํ ปจฺจุปฎฺฐิตํฯ โส ปิตรํ อาห – ‘‘ตาต, กสฺส มงฺคลํ เทมา’’ติฯ อเมฺห อญฺญํ น ชานาม? นนุ สมโณ โคตโม มยฺหํ สหาโยติ? เตน หิ ตุเมฺห ปญฺจหิ ภิกฺขุสเตหิ สทฺธิํ สฺวาตนาย สมณํ โคตมํ นิมเนฺตถาติฯ พฺราหฺมโณ ตถา อกาสิ ฯ ภควา อธิวาเสตฺวา ปุนทิวเส ภิกฺขุสงฺฆปริวุโต ตสฺส เคหทฺวารํ อคมาสิฯ โส หริตุปลิตฺตํ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ เคหํ สตฺถารํ ปเวเสตฺวา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทาเปตฺวา อโปฺปทกปายาสเญฺจว ขชฺชกวิกติญฺจ อทาสิฯ อนฺตรภตฺตสฺมิํเยว พฺราหฺมณสฺส จตฺตาโรปิ ปุตฺตา สตฺถุ สนฺติเก นิสีทิตฺวา อาหํสุ – ‘‘โภ โคตม, มยํ อมฺหากํ ปิตรํ ปฎิชคฺคาม นปฺปมชฺชาม, ปสฺสถสฺส อตฺตภาว’’นฺติฯ สตฺถา ‘‘กลฺยาณํ โว กตํ, มาตาปิตุโปสกํ นาม โปราณกปณฺฑิตานํ อาจิณฺณเมวา’’ติ วตฺวา มหานาคชาตกํ (ชา. ๑.๑๑.๑ อาทโย; จริยา. ๒.๑ อาทโย) นาม กเถตฺวา, จตฺตาริ สจฺจานิ ทีเปตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เทสนาปริโยสาเน พฺราหฺมโณ สทฺธิํ จตูหิ ปุเตฺตหิ จตูหิ จ สุณฺหาหิ เทสนานุสาเรน ญาณํ เปเสตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิโตฯ ตโต ปฎฺฐาย สตฺถา น สพฺพกาลํ เตสํ เคหํ อคมาสีติฯ จตุตฺถํฯ

    Athekadivasaṃ jeṭṭhaputtassa ghare maṅgalaṃ paccupaṭṭhitaṃ. So pitaraṃ āha – ‘‘tāta, kassa maṅgalaṃ demā’’ti. Amhe aññaṃ na jānāma? Nanu samaṇo gotamo mayhaṃ sahāyoti? Tena hi tumhe pañcahi bhikkhusatehi saddhiṃ svātanāya samaṇaṃ gotamaṃ nimantethāti. Brāhmaṇo tathā akāsi . Bhagavā adhivāsetvā punadivase bhikkhusaṅghaparivuto tassa gehadvāraṃ agamāsi. So haritupalittaṃ sabbālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ gehaṃ satthāraṃ pavesetvā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paññattāsanesu nisīdāpetvā appodakapāyāsañceva khajjakavikatiñca adāsi. Antarabhattasmiṃyeva brāhmaṇassa cattāropi puttā satthu santike nisīditvā āhaṃsu – ‘‘bho gotama, mayaṃ amhākaṃ pitaraṃ paṭijaggāma nappamajjāma, passathassa attabhāva’’nti. Satthā ‘‘kalyāṇaṃ vo kataṃ, mātāpituposakaṃ nāma porāṇakapaṇḍitānaṃ āciṇṇamevā’’ti vatvā mahānāgajātakaṃ (jā. 1.11.1 ādayo; cariyā. 2.1 ādayo) nāma kathetvā, cattāri saccāni dīpetvā dhammaṃ desesi. Desanāpariyosāne brāhmaṇo saddhiṃ catūhi puttehi catūhi ca suṇhāhi desanānusārena ñāṇaṃ pesetvā sotāpattiphale patiṭṭhito. Tato paṭṭhāya satthā na sabbakālaṃ tesaṃ gehaṃ agamāsīti. Catutthaṃ.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๔. มหาสาลสุตฺตํ • 4. Mahāsālasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔. มหาสาลสุตฺตวณฺณนา • 4. Mahāsālasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact