Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā)

    ๗. มหาสมยสุตฺตวณฺณนา

    7. Mahāsamayasuttavaṇṇanā

    นิทานวณฺณนา

    Nidānavaṇṇanā

    ๓๓๑. อุทานนฺติ รญฺญา โอกฺกาเกน ชาติสเมฺภทปริหารนิมิตฺตํ ปวตฺติตํ อุทานํ ปฎิจฺจฯ เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหิสเทฺทน ‘‘สกฺกา’’ติ วุจฺจตีติ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ มหานิทานวณฺณนายํ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ อโรปิเตติ เกนจิ อโรปิเตฯ

    331.Udānanti raññā okkākena jātisambhedaparihāranimittaṃ pavattitaṃ udānaṃ paṭicca. Ekopi janapado ruḷhisaddena ‘‘sakkā’’ti vuccatīti ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ mahānidānavaṇṇanāyaṃ vuttanayena veditabbaṃ. Aropiteti kenaci aropite.

    อาวรเณนาติ เสตุนาฯ พนฺธาเปตฺวาติ ปํสุปลาสปาสาณมตฺติกาขณฺฑาทีหิ อาฬิํ ถิรํ การาเปตฺวาฯ

    Āvaraṇenāti setunā. Bandhāpetvāti paṃsupalāsapāsāṇamattikākhaṇḍādīhi āḷiṃ thiraṃ kārāpetvā.

    ‘‘ชาติํ ฆเฎฺฎตฺวา กลหํ วฑฺฒยิํสู’’ติ สเงฺขเปน วุตฺตมตฺถํ ปากฎตรํ กาตุํ ‘‘โกลิยกมฺมกรา วทนฺตี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    ‘‘Jātiṃ ghaṭṭetvā kalahaṃ vaḍḍhayiṃsū’’ti saṅkhepena vuttamatthaṃ pākaṭataraṃ kātuṃ ‘‘koliyakammakarā vadantī’’tiādi vuttaṃ.

    ตีณิ ชาตกานีติ ผนฺทนชาตกปถวีอุนฺทฺริยชาตกลฎุกิกชาตกานิ เทฺว ชาตกานีติ รุกฺขธมฺม วฎฺฎกชาตกานิฯ

    Tīṇi jātakānīti phandanajātakapathavīundriyajātakalaṭukikajātakāni dve jātakānīti rukkhadhamma vaṭṭakajātakāni.

    เตนาติ ภควตาฯ กลหการณภาโวติ กลหการณสฺส อตฺถิภาโวฯ

    Tenāti bhagavatā. Kalahakāraṇabhāvoti kalahakāraṇassa atthibhāvo.

    อฎฺฐาเนติ อการเณฯ เวรํ กตฺวาติ วิโรธํ อุปฺปาเทตฺวาฯ ‘‘กุฐาริหโตฺถ ปุริโส’’ติอาทินา ผนฺทนชาตกํ กเถสิฯ ‘‘ทุทฺทุภายติ ภทฺทเนฺต’’ติอาทินา ปถวีอุนฺทฺริยชาตกํ กเถสิฯ ‘‘วนฺทามิ ตํ กุญฺชรา’’ติอาทินา ลฎุกิกชาตกํ กเถสิฯ

    Aṭṭhāneti akāraṇe. Veraṃ katvāti virodhaṃ uppādetvā. ‘‘Kuṭhārihattho puriso’’tiādinā phandanajātakaṃ kathesi. ‘‘Duddubhāyati bhaddante’’tiādinā pathavīundriyajātakaṃ kathesi. ‘‘Vandāmi taṃ kuñjarā’’tiādinā laṭukikajātakaṃ kathesi.

    ‘‘สาธู สมฺพหุลา ญาตี; อปิ รุกฺขา อรญฺญชา;

    ‘‘Sādhū sambahulā ñātī; api rukkhā araññajā;

    วาโต วหติ เอกฎฺฐํ, พฺรหนฺตมฺปิ วนปฺปติ’’นฺติฯ –

    Vāto vahati ekaṭṭhaṃ, brahantampi vanappati’’nti. –

    อาทินา รุกฺขธมฺมชาตกํ กเถสิฯ

    Ādinā rukkhadhammajātakaṃ kathesi.

    ‘‘สโมฺมทมานา คจฺฉนฺติ, ชาลํ อาทาย ปกฺขิโน;

    ‘‘Sammodamānā gacchanti, jālaṃ ādāya pakkhino;

    ยทา เต วิวทิสฺสนฺติ, ตทา เอหินฺติ เม วส’’นฺติฯ –

    Yadā te vivadissanti, tadā ehinti me vasa’’nti. –

    อาทินา วฎฺฎกชาตกํ กเถสิฯ

    Ādinā vaṭṭakajātakaṃ kathesi.

    ‘‘อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ, ชนํ ปสฺสถ เมธคํ;

    ‘‘Attadaṇḍā bhayaṃ jātaṃ, janaṃ passatha medhagaṃ;

    สํเวคํ กิตฺตยิสฺสามิ, ยถา สํวิชิตํ มยา’’ติฯ (สุ. นิ. ๑.๙๔๑);

    Saṃvegaṃ kittayissāmi, yathā saṃvijitaṃ mayā’’ti. (su. ni. 1.941);

    อาทินา อตฺตทณฺฑสุตฺตํ กเถสิฯ

    Ādinā attadaṇḍasuttaṃ kathesi.

    ตํตํปโลภนกิริยา กายวาจาหิ ปรกฺกมนฺติโย ‘‘อุกฺกณฺฐนฺตู’’ติ สาสนํ เปเสนฺติฯ

    Taṃtaṃpalobhanakiriyā kāyavācāhi parakkamantiyo ‘‘ukkaṇṭhantū’’ti sāsanaṃ pesenti.

    กุณาลทเหติ กุณาลทหตีเร ปติฎฺฐายฯ ปุจฺฉิตปุจฺฉิตํ กเถสิ (ชา. ๒.กุณาลชาตก) ‘‘อนุกฺกเมน กุณาลสกุณราชสฺส ปุจฺฉนปฺปสเงฺคน กุณาลชาตกํ กเถสฺสามี’’ติฯ อนภิรติํ วิโนเทสิ อิตฺถีนํ โทสทสฺสนมุเขน กามานํ อาทีนโวการสํกิเลสวิภาวเนนฯ

    Kuṇāladaheti kuṇāladahatīre patiṭṭhāya. Pucchitapucchitaṃ kathesi (jā. 2.kuṇālajātaka) ‘‘anukkamena kuṇālasakuṇarājassa pucchanappasaṅgena kuṇālajātakaṃ kathessāmī’’ti. Anabhiratiṃ vinodesi itthīnaṃ dosadassanamukhena kāmānaṃ ādīnavokārasaṃkilesavibhāvanena.

    โกสชฺชํ วิธมิตฺวา ปุริสถามปริพฺรูหเนน ‘‘อุตฺตมปุริสสทิเสหิ โน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อุปฺปนฺนจิตฺตาฯ

    Kosajjaṃ vidhamitvā purisathāmaparibrūhanena ‘‘uttamapurisasadisehi no bhavituṃ vaṭṭatī’’ti uppannacittā.

    อวิสฺสฎฺฐกมฺมนฺตาติ อรติวิโนทนโต ปฎฺฐาย อวิสฺสฎฺฐสมณกมฺมนฺตา, อปริจตฺตกมฺมฎฺฐานาติ อโตฺถฯ นิสีทิตุํ วฎฺฎตีติ ภควา จิเนฺตสีติ โยชนาฯ

    Avissaṭṭhakammantāti arativinodanato paṭṭhāya avissaṭṭhasamaṇakammantā, aparicattakammaṭṭhānāti attho. Nisīdituṃ vaṭṭatīti bhagavā cintesīti yojanā.

    ปทุมินิยนฺติ ปทุมสฺสเรฯ วิกสิํสุ คุณคณวิโพเธนฯ ‘‘อยํ อิมสฺส…เป.… น กเถสี’’ติ อิมินา สเพฺพปิ เต ภิกฺขู ตาวเทว ปฎิปาฎิยา อาคตตฺตา อญฺญมญฺญสฺส ลชฺชมานา อตฺตนา ปฎิวิทฺธวิเสสํ ภควโต นาโรเจสุนฺติ ทเสฺสติฯ ‘‘ขีณาสวาน’’นฺติอาทินา ตตฺถ การณมาหฯ

    Paduminiyanti padumassare. Vikasiṃsu guṇagaṇavibodhena. ‘‘Ayaṃ imassa…pe… na kathesī’’ti iminā sabbepi te bhikkhū tāvadeva paṭipāṭiyā āgatattā aññamaññassa lajjamānā attanā paṭividdhavisesaṃ bhagavato nārocesunti dasseti. ‘‘Khīṇāsavāna’’ntiādinā tattha kāraṇamāha.

    โอสีทมเตฺตติ ภควโต สนฺติกํ อุปคตมเตฺตฯ อริยมณฺฑเลติ อริยสมูเหฯ ปาจีนยุคนฺธรปริเกฺขปโตติ ยุคนฺธรปพฺพตสฺส ปาจีนปริเกฺขปโต, น พาหิรเกหิ อุจฺจมานอุทยปพฺพตโตฯ รามเณยฺยกทสฺสนตฺถนฺติ พุทฺธุปฺปาทปฎิมณฺฑิตตฺตา วิเสสโต รมณียสฺส โลกสฺส รมณียภาวทสฺสนตฺถํฯ อุลฺลงฺฆิตฺวาติ อุฎฺฐหิตฺวาฯ เอวรูเป ขเณ ลเย มุหุเตฺตติ ยถาวุเตฺต จนฺทมณฺฑลสฺส อุฎฺฐิตกฺขเณ อุฎฺฐิตเวลายํ อุฎฺฐิตมุหุเตฺตติ อุปรูปริ กาลสฺส วฑฺฒิตภาวทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ

    Osīdamatteti bhagavato santikaṃ upagatamatte. Ariyamaṇḍaleti ariyasamūhe. Pācīnayugandharaparikkhepatoti yugandharapabbatassa pācīnaparikkhepato, na bāhirakehi uccamānaudayapabbatato. Rāmaṇeyyakadassanatthanti buddhuppādapaṭimaṇḍitattā visesato ramaṇīyassa lokassa ramaṇīyabhāvadassanatthaṃ. Ullaṅghitvāti uṭṭhahitvā. Evarūpe khaṇe laye muhutteti yathāvutte candamaṇḍalassa uṭṭhitakkhaṇe uṭṭhitavelāyaṃ uṭṭhitamuhutteti uparūpari kālassa vaḍḍhitabhāvadassanatthaṃ vuttaṃ.

    ตถา เตสํ ภิกฺขูนํ ชาติอาทิวเสน ภควโต อนุรูปปริวาริตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตตฺถา’’ติ อาทิมาหฯ

    Tathā tesaṃ bhikkhūnaṃ jātiādivasena bhagavato anurūpaparivāritaṃ dassento ‘‘tatthā’’ti ādimāha.

    สมาปนฺนเทวตาติ อาสนฺนฎฺฐาเน ฌานสมาปตฺติ สมาปนฺนเทวตาฯ จลิํสูติ อุฎฺฐหิํสุฯ โกสมตฺตํ ฐานํ สทฺทนฺตรํฯ ชมฺพุทีเป กิร อาทิโต เตสฎฺฐิมตฺตานิ นครสหสฺสานิ อุปฺปนฺนานิ, ตถา ทุติยํ, ตถา ตติยํ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ติกฺขตฺตุํ เตสฎฺฐิยา นครสหเสฺสสู’’ติฯ เต ปน สมฺปิเณฺฑตฺวา สตสหสฺสโต ปรํ อสีติสหสฺสานิ, นวสหสฺสานิ จ โหนฺติฯ นวนวุติยา โทณมุขสตสหเสฺสสูติ นวสตสหสฺสาธิเกสุ นวุติสตสหเสฺสสุ โทณมุเขสุฯ โทณมุขนฺติ จ มหานครสฺส อายุปฺปตฺติฎฺฐานภูตํ ปาทนครํ วุจฺจติฯ ฉนฺนวุติยา ปฎฺฎนโกฎิสตสหเสฺสสูติ ฉโกฎิอธิกนวุติโกฎิสตสหสฺสปฎฺฎเนสุฯ ตมฺพปณฺณิทีปาทีสุ ฉปณฺณาสาย รตนากเรสุฯ เอวํ ปน นครโทณิมุขปฎฺฎนรตนากราทิวิภาเคน กถนํ ตํตํอธิวตฺถาย วสนฺตีนํ เทวตานํ พหุภาวทสฺสนตฺถํฯ ยทิ ทสสหสฺสจกฺกวาเฬสุ เทวตา สนฺนิปติตา, อถ กสฺมา ปาฬิยํ ‘‘ทสหิ จ โลกธาตูหี’’ติ วุตฺตนฺติ อาห ‘‘ทสสหสฺส…เป.… อธิเปฺปตา’’ติ, เตน สหสฺสิโลกธาตุ อิธ ‘‘เอกา โลกธาตู’’ติ วุตฺตาติ เวทิตพฺพํฯ

    Samāpannadevatāti āsannaṭṭhāne jhānasamāpatti samāpannadevatā. Caliṃsūti uṭṭhahiṃsu. Kosamattaṃ ṭhānaṃ saddantaraṃ. Jambudīpe kira ādito tesaṭṭhimattāni nagarasahassāni uppannāni, tathā dutiyaṃ, tathā tatiyaṃ, taṃ sandhāyāha ‘‘tikkhattuṃ tesaṭṭhiyā nagarasahassesū’’ti. Te pana sampiṇḍetvā satasahassato paraṃ asītisahassāni, navasahassāni ca honti. Navanavutiyā doṇamukhasatasahassesūti navasatasahassādhikesu navutisatasahassesu doṇamukhesu. Doṇamukhanti ca mahānagarassa āyuppattiṭṭhānabhūtaṃ pādanagaraṃ vuccati. Channavutiyā paṭṭanakoṭisatasahassesūti chakoṭiadhikanavutikoṭisatasahassapaṭṭanesu. Tambapaṇṇidīpādīsu chapaṇṇāsāya ratanākaresu. Evaṃ pana nagaradoṇimukhapaṭṭanaratanākarādivibhāgena kathanaṃ taṃtaṃadhivatthāya vasantīnaṃ devatānaṃ bahubhāvadassanatthaṃ. Yadi dasasahassacakkavāḷesu devatā sannipatitā, atha kasmā pāḷiyaṃ ‘‘dasahi ca lokadhātūhī’’ti vuttanti āha ‘‘dasasahassa…pe… adhippetā’’ti, tena sahassilokadhātu idha ‘‘ekā lokadhātū’’ti vuttāti veditabbaṃ.

    โลหปาสาเทติ อาทิโต กเต โลหปาสาเทฯ พฺรหฺมโลเกติ เหฎฺฐิเม พฺรหฺมโลเกฯ ยทิ ตา เทวตา เอวํ นิรนฺตรา, ปจฺฉา อาคตานํ โอกาโส เอว น ภเวยฺยาติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘ยถา โข ปนา’’ติอาทิฯ สุทฺธาวาสกายํ อุปปนฺนา สุทฺธาวาสกายิกา, ตาสํ ปน ยสฺมา สุทฺธาวาสภูมิ นิวาสฎฺฐานํ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สุทฺธาวาสวาสีน’’นฺติฯ อาวาสาติ อาวาสนฎฺฐานภูตา , เทวตา ปน โอรมฺภาคิยานํ, อิตเรสญฺจ สํโยชนานํ สมุจฺฉินฺทเนน สุโทฺธ อาวาโส เอเตสนฺติ สุทฺธาวาสาฯ

    Lohapāsādeti ādito kate lohapāsāde. Brahmaloketi heṭṭhime brahmaloke. Yadi tā devatā evaṃ nirantarā, pacchā āgatānaṃ okāso eva na bhaveyyāti codanaṃ sandhāyāha ‘‘yathā kho panā’’tiādi. Suddhāvāsakāyaṃ upapannā suddhāvāsakāyikā, tāsaṃ pana yasmā suddhāvāsabhūmi nivāsaṭṭhānaṃ, tasmā vuttaṃ ‘‘suddhāvāsavāsīna’’nti. Āvāsāti āvāsanaṭṭhānabhūtā , devatā pana orambhāgiyānaṃ, itaresañca saṃyojanānaṃ samucchindanena suddho āvāso etesanti suddhāvāsā.

    ๓๓๒. ปุรตฺถิมจกฺกวาฬมุขวฎฺฎิยํ โอตริ อญฺญตฺถ โอกาสํ อลภมาโนฯ เอวํ เสสาปิฯ พุทฺธานํ อภิมุขมโคฺค พุทฺธวีถิฯ ยาว จกฺกวาฬา โอตฺถริตุํ โอวริตุํ น สกฺกาฯ ปหฎพุทฺธวีถิยาวาติ พุทฺธานํ สนฺติกํ อุปสงฺกมเนฺตหิ เตหิ เทวพฺรเหฺมหิ วฬญฺชิตวีถิยาวฯ สมิติ สงฺคติ สนฺนิปาโต สมโย, มหโนฺต สมโย มหาสมโยติ อาห ‘‘มหาสมูโห’’ติ ฯ ปวทฺธํ วนํ ปวนนฺติ อาห ‘‘วนสโณฺฑ’’ติฯ เทวฆฎาติ เทวสมูหาฯ

    332.Puratthimacakkavāḷamukhavaṭṭiyaṃ otari aññattha okāsaṃ alabhamāno. Evaṃ sesāpi. Buddhānaṃ abhimukhamaggo buddhavīthi. Yāva cakkavāḷā ottharituṃ ovarituṃ na sakkā. Pahaṭabuddhavīthiyāvāti buddhānaṃ santikaṃ upasaṅkamantehi tehi devabrahmehi vaḷañjitavīthiyāva. Samiti saṅgati sannipāto samayo, mahanto samayo mahāsamayoti āha ‘‘mahāsamūho’’ti . Pavaddhaṃ vanaṃ pavananti āha ‘‘vanasaṇḍo’’ti. Devaghaṭāti devasamūhā.

    สมาทหํสูติ สมาทหิตํ โลกุตฺตรสมาธินา สุฎฺฐุ อปฺปิตํ อกํสุ, ยถาสมาหิตํ ปน สมาธินา โยชิตํ นาม โหตีติ วุตฺตํ ‘‘สมาธินา โยเชสุ’’นฺติฯ สเพฺพสํ โคมุตฺตวงฺกาทีนํ ทูรสมูหนิตตฺตา สเพฺพ…เป.… อกริํสุฯ นยติ อเสฺส เอเตหีติ เนตฺตานิ, โยตฺตานิฯ อวีถิปฎิปนฺนานํ อสฺสานํ วีถิปฎิปาทนํ รสฺมิคฺคหเณน ปโหตีติ ‘‘สพฺพโยตฺตานิ คเหตฺวา อโจเทโนฺต’’ติ วตฺวา ตํ ปน อโจทนํ อวารณํ เอวาติ อาห ‘‘อโจเทโนฺต อวาเรโนฺต’’ติฯ

    Samādahaṃsūti samādahitaṃ lokuttarasamādhinā suṭṭhu appitaṃ akaṃsu, yathāsamāhitaṃ pana samādhinā yojitaṃ nāma hotīti vuttaṃ ‘‘samādhinā yojesu’’nti. Sabbesaṃ gomuttavaṅkādīnaṃ dūrasamūhanitattā sabbe…pe… akariṃsu. Nayati asse etehīti nettāni, yottāni. Avīthipaṭipannānaṃ assānaṃ vīthipaṭipādanaṃ rasmiggahaṇena pahotīti ‘‘sabbayottāni gahetvā acodento’’ti vatvā taṃ pana acodanaṃ avāraṇaṃ evāti āha ‘‘acodento avārento’’ti.

    ยถา ขีลํ ภิตฺติยํ วา ภูมิยํ วา อาโกฎิตํ ทุนฺนีหรณํ, ยถา จ ปลิฆํ นครปฺปเวสนิวารณํ, ยถา จ อินฺทขีลํ คมฺภีรเนมิ สุนิขาตํ ทุนฺนีหรณํ, เอวํ ราคาทโย สตฺตสนฺตานโต ทุนฺนีหรณา, นิพฺพานนครปฺปเวสนิวารณา จาติ เต ‘‘ขีลํ, ปลิฆํ, อินฺทขีล’’นฺติ จ วุตฺตาฯ ตณฺหาเอชาย อภาเวน อเนชา ปรมสนฺตุฎฺฐภาเวน จาตุทฺทิสตฺตา อปฺปฎิหตจาริกํ จรนฺติฯ

    Yathā khīlaṃ bhittiyaṃ vā bhūmiyaṃ vā ākoṭitaṃ dunnīharaṇaṃ, yathā ca palighaṃ nagarappavesanivāraṇaṃ, yathā ca indakhīlaṃ gambhīranemi sunikhātaṃ dunnīharaṇaṃ, evaṃ rāgādayo sattasantānato dunnīharaṇā, nibbānanagarappavesanivāraṇā cāti te ‘‘khīlaṃ, palighaṃ, indakhīla’’nti ca vuttā. Taṇhāejāya abhāvena anejā paramasantuṭṭhabhāvena cātuddisattā appaṭihatacārikaṃ caranti.

    คตาเสติ คตา เอว, น ปน คมิสฺสนฺติ ปรินิฎฺฐิตสรณคมนตฺตาติ ฯ โลกุตฺตรสรณคมนํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘นิเพฺพมติกสรณคมเนน คตา’’ติฯ เต หิ นิยเมน อปายภูมิํ น คมิสฺสนฺติ, เทวกายญฺจ ปริปูเรสฺสนฺติฯ เย ปน โลกิเยน สรณคมเนน พุทฺธํ สรณํ คตาเส, น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิํ, สติ จ ปจฺจยนฺตรสมวาเย ปหาย มานุสํ เทหํ, เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ

    Gatāseti gatā eva, na pana gamissanti pariniṭṭhitasaraṇagamanattāti . Lokuttarasaraṇagamanaṃ adhippetanti āha ‘‘nibbematikasaraṇagamanena gatā’’ti. Te hi niyamena apāyabhūmiṃ na gamissanti, devakāyañca paripūressanti. Ye pana lokiyena saraṇagamanena buddhaṃ saraṇaṃ gatāse, na te gamissanti apāyabhūmiṃ, sati ca paccayantarasamavāye pahāya mānusaṃ dehaṃ, devakāyaṃ paripūressantīti ayamettha attho.

    เทวตาสนฺนิปาตวณฺณนา

    Devatāsannipātavaṇṇanā

    ๓๓๓. เอเตสนฺติ เทวตาสนฺนิปาตานํฯ อิทานีติ อิมสฺมิํ กาเลฯ พุทฺธานนฺติ อเญฺญสํ พุทฺธานํ อภาวาฯ จิตฺตกลฺลตา จิตฺตมทฺทวํฯ

    333.Etesanti devatāsannipātānaṃ. Idānīti imasmiṃ kāle. Buddhānanti aññesaṃ buddhānaṃ abhāvā. Cittakallatā cittamaddavaṃ.

    กิํ ปน ภควตาว มหเนฺต เทวตาสมาคเม เตสํ นามโคตฺตํ กเถตุํ สกฺกาติ? อาม สกฺกาติ ทเสฺสตุํ ‘‘พุทฺธา นาม มหนฺตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ทิฎฺฐนฺติ รูปายตนมาห, สุตนฺติ สทฺทายตนํ, มุตนฺติ สมฺปตฺตคฺคาหิอินฺทฺริยวิสยํ คนฺธรสโผฎฺฐพฺพายตนํ, วิญฺญาตนฺติ วุตฺตาวเสสํ สพฺพํ เญยฺยํ, ปตฺตนฺติ ปริเยสิตฺวา, อปริเยสิตฺวา วา สมฺปตฺตํ, ปริเยสิตนฺติ ปตฺตํ, อปฺปตฺตํ วา ปริยิฎฺฐํฯ อนุวิจริตํ มนสาติ เกวลํ มนสา อาโลจิตํฯ กตฺถจิ นีลาทิวเสน วิภตฺตรูปารมฺมเณติ อภิธเมฺม (ธ. ส. ๖๑๕) ‘‘นีลํ ปีตก’’นฺติอาทินา วิภเตฺต ยตฺถ กตฺถจิ รูปารมฺมเณ กิญฺจิ รูปารมฺมณํ วา น อตฺถีติ โยชนาฯ เภริสทฺทาทิวเสนาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ นฺติ ยํ อารมฺมณํฯ เอเตสนฺติ พุทฺธานํฯ

    Kiṃ pana bhagavatāva mahante devatāsamāgame tesaṃ nāmagottaṃ kathetuṃ sakkāti? Āma sakkāti dassetuṃ ‘‘buddhā nāma mahantā’’tiādi vuttaṃ. Tattha diṭṭhanti rūpāyatanamāha, sutanti saddāyatanaṃ, mutanti sampattaggāhiindriyavisayaṃ gandharasaphoṭṭhabbāyatanaṃ, viññātanti vuttāvasesaṃ sabbaṃ ñeyyaṃ, pattanti pariyesitvā, apariyesitvā vā sampattaṃ, pariyesitanti pattaṃ, appattaṃ vā pariyiṭṭhaṃ. Anuvicaritaṃ manasāti kevalaṃ manasā ālocitaṃ. Katthaci nīlādivasena vibhattarūpārammaṇeti abhidhamme (dha. sa. 615) ‘‘nīlaṃ pītaka’’ntiādinā vibhatte yattha katthaci rūpārammaṇe kiñci rūpārammaṇaṃ vā na atthīti yojanā. Bherisaddādivasenāti etthāpi eseva nayo. Yanti yaṃ ārammaṇaṃ. Etesanti buddhānaṃ.

    อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ ปาฬิยา สมเตฺถตุํ ‘‘ยถาหา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตทา ชานนกิริยาย อปริโยสิตภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘ชานามี’’ติ วตฺวา ยสฺมา ยํ กิญฺจิ เนยฺยํ นาม, สพฺพํ ตํ ภควตา อญฺญาตํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘ตมหํ อพฺภญฺญาสิ’’นฺติฯ

    Idāni yathāvuttamatthaṃ pāḷiyā samatthetuṃ ‘‘yathāhā’’tiādi vuttaṃ. Tadā jānanakiriyāya apariyositabhāvadassanatthaṃ ‘‘jānāmī’’ti vatvā yasmā yaṃ kiñci neyyaṃ nāma, sabbaṃ taṃ bhagavatā aññātaṃ nāma natthi, tasmā vuttaṃ ‘‘tamahaṃ abbhaññāsi’’nti.

    น โอโลเกนฺติ ปโยชนาภาวโตฯ วิปรีตา ‘‘น กมฺมาวรเณน สมนฺนาคตา’’ติอาทินา นเยน วุตฺตาฯ ‘‘ยสฺส มงฺคลา สมูหตา’’ติ (สุ. นิ. ๓๖๒) อารภิตฺวา ‘‘ราคํ วินเยถ มานุเสสุ ทิเพฺพสุ กาเมสุ จา’’ติอาทินา (สุ. นิ. ๓๖๓) จ ราคนิคฺคหกถาพาหุลฺลโต สมฺมาปริพฺพาชนียสุตฺตํ ราคจริตานํ สปฺปายํ, ‘‘ปิยมปฺปิยภูตา กลห วิวาทา ปริเทวโสกา สหมจฺฉรา จา’’ติอาทินา (สุ. นิ. ๘๖๙; มหานิ. ๙๘) กลหาทโย ยโต โทสโต สมุฎฺฐหนฺติ, โส จ โทโส ยโต ปิยภาวโต, โส จ ปิยภาโว ยโต ฉนฺทโต สมุฎฺฐหนฺติ, อิติ ผลโต, การณปรมฺปรโต จ โทเส อาทีนววิภาวนพาหุลฺลโต กลหวิวาทสุตฺตํ (สุ. นิ. ๘๖๙; มหานิ. ๙๘) โทสจริตานํ สปฺปายํ –

    Na olokenti payojanābhāvato. Viparītā ‘‘na kammāvaraṇena samannāgatā’’tiādinā nayena vuttā. ‘‘Yassa maṅgalā samūhatā’’ti (su. ni. 362) ārabhitvā ‘‘rāgaṃ vinayetha mānusesu dibbesu kāmesu cā’’tiādinā (su. ni. 363) ca rāganiggahakathābāhullato sammāparibbājanīyasuttaṃ rāgacaritānaṃ sappāyaṃ, ‘‘piyamappiyabhūtā kalaha vivādā paridevasokā sahamaccharā cā’’tiādinā (su. ni. 869; mahāni. 98) kalahādayo yato dosato samuṭṭhahanti, so ca doso yato piyabhāvato, so ca piyabhāvo yato chandato samuṭṭhahanti, iti phalato, kāraṇaparamparato ca dose ādīnavavibhāvanabāhullato kalahavivādasuttaṃ (su. ni. 869; mahāni. 98) dosacaritānaṃ sappāyaṃ –

    ‘‘อปฺปญฺหิ เอตํ น อลํ สมาย,

    ‘‘Appañhi etaṃ na alaṃ samāya,

    ทุเว วิวาทสฺส ผลานิ พฺรูมิ;

    Duve vivādassa phalāni brūmi;

    เอตมฺปิ ทิสฺวา น วิวาทเยถ,

    Etampi disvā na vivādayetha,

    เขมาภิปสฺสํ อวิวาทภูมิ’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๙๐๒; มหานิ. ๑๓๑) –

    Khemābhipassaṃ avivādabhūmi’’nti. (su. ni. 902; mahāni. 131) –

    อาทินา นเยน สโมฺมหวิธมนโต, ปญฺญาปริพฺรูหนโต จ มหาพฺยูหสุตฺตํ โมหจริตานํ สปฺปายํ –

    Ādinā nayena sammohavidhamanato, paññāparibrūhanato ca mahābyūhasuttaṃ mohacaritānaṃ sappāyaṃ –

    ‘‘ปรสฺส เจ ธมฺมํ อนานุชานํ,

    ‘‘Parassa ce dhammaṃ anānujānaṃ,

    พาโล, มโค โหติ นิหีนปโญฺญ;

    Bālo, mago hoti nihīnapañño;

    สเพฺพว พาลา สุนิหีนปญฺญา,

    Sabbeva bālā sunihīnapaññā,

    สเพฺพวิเม ทิฎฺฐิปริพฺพสานา’’ติฯ (สุ. นิ. ๘๘๖; มหานิ. ๑๑๕) –

    Sabbevime diṭṭhiparibbasānā’’ti. (su. ni. 886; mahāni. 115) –

    อาทินา นเยน สนฺทิฎฺฐิปรามาสิตาปนยนมุเขน สวิสเยสุ ทิฎฺฐิคฺคหเณสุ วิสฎวิตกฺกวิจฺฉินฺทนวเสน ปวตฺตตฺตา จูฬพฺยูหสุตฺตํ วิตกฺกจริตานํ สปฺปายํ –

    Ādinā nayena sandiṭṭhiparāmāsitāpanayanamukhena savisayesu diṭṭhiggahaṇesu visaṭavitakkavicchindanavasena pavattattā cūḷabyūhasuttaṃ vitakkacaritānaṃ sappāyaṃ –

    ‘‘มูลํ ปปญฺจสงฺขาย (อิติ ภควา),

    ‘‘Mūlaṃ papañcasaṅkhāya (iti bhagavā),

    มนฺตา อสฺมีติ สพฺพํ อุปรุเนฺธ;

    Mantā asmīti sabbaṃ uparundhe;

    ยา กาจิ ตณฺหา อชฺฌตฺตํ,

    Yā kāci taṇhā ajjhattaṃ,

    ตาสํ วินยา สทา สโต สิเกฺข’’ติฯ (สุ. นิ. ๙๒๒; มหานิ. ๑๕๑) –

    Tāsaṃ vinayā sadā sato sikkhe’’ti. (su. ni. 922; mahāni. 151) –

    ปปญฺจสงฺขาย มูลํ อวิชฺชาทิกิเลสชาตํ อสฺมีติ ปวตฺตมานญฺจาติ สพฺพํ มนฺตา ปญฺญาย อุปรุเนฺธยฺยฯ ยา กาจิ อชฺฌตฺตํ รูปตณฺหาทิเภทา ตณฺหา อุปฺปเชฺชยฺย, ตาสํ วินยา วูปสมาย สทา สโต อุปฎฺฐิตสฺสติ หุตฺวา สิเกฺขยฺยาติ เอวมาทิ อุปเทสสฺส สโทฺธว ภาชนํฯ ตสฺส หิ โส อตฺถาวโหติ ตุวฎฺฎกสุตฺตํ สทฺธาจริตานํ สปฺปายํ –

    Papañcasaṅkhāya mūlaṃ avijjādikilesajātaṃ asmīti pavattamānañcāti sabbaṃ mantā paññāya uparundheyya. Yā kāci ajjhattaṃ rūpataṇhādibhedā taṇhā uppajjeyya, tāsaṃ vinayā vūpasamāya sadā sato upaṭṭhitassati hutvā sikkheyyāti evamādi upadesassa saddhova bhājanaṃ. Tassa hi so atthāvahoti tuvaṭṭakasuttaṃ saddhācaritānaṃ sappāyaṃ –

    ‘‘วีตตโณฺห ปุรา เภทา (อิติ ภควา),

    ‘‘Vītataṇho purā bhedā (iti bhagavā),

    ปุพฺพมนฺตมนิสฺสิโต;

    Pubbamantamanissito;

    เวมเชฺฌ นุปสเงฺขโยฺย,

    Vemajjhe nupasaṅkheyyo,

    ตสฺส นตฺถิ ปุรกฺขต’’นฺติฯ (สุ. นิ. ๘๕๕; มหานิ. ๘๔) –

    Tassa natthi purakkhata’’nti. (su. ni. 855; mahāni. 84) –

    โย สรีรเภทโต ปุเพฺพว ปหีนตโณฺห, ตโต เอว อตีตทฺธสญฺญิตํ ปุริมโกฎฺฐาสํ ตณฺหานิสฺสเยน อนิสฺสิโต, เวมเชฺฌ ปจฺจุปฺปเนฺนปิ อทฺธนิ ‘‘รโตฺต’’ติอาทินา อุปสงฺขาตโพฺพ, ตสฺส อรหโต ตณฺหาทิฎฺฐิปุรกฺขารานํ อภาวา อนาคเต อทฺธนิ กิญฺจิ ปุรกฺขตํ นตฺถีติ อาทินา เอวํ คมฺภีรกถาพาหุลฺลโต ปูราเภทสุตฺตํ (สุ. นิ. ๘๕๕; มหานิ. ๘๔) พุทฺธิจริตานํ สปฺปายนฺติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘อถ เนสํ สปฺปายํ …เป.… ววตฺถเปตฺวา’’ติฯ มนสากาสีติ เอวํ จริยาย วเสน มนสิ กตฺวา ปุน ตํ สทิสํ อตฺตโน เทสนานิเกฺขปโยคฺยตาวเสน มนสิ อกาสิฯ อตฺตชฺฌาสเยน นุ โข ชาเนยฺยาติ ปรชฺฌาสยาทิํ อนเปกฺขิตฺวา มยฺหํเยว อชฺฌาสเยน อารทฺธ เทสนํ ชาเนยฺย นุ โขฯ ปรชฺฌาสเยนาติ สนฺนิปติตาย ปริสาย กสฺสจิ อชฺฌาสเยนฯ อฎฺฐุปฺปตฺติเกนาติ อิธ สมุฎฺฐิตอฎฺฐุปฺปตฺติยาฯ ปุจฺฉาวเสนาติ กสฺสจิ ปุจฺฉนฺตสฺส ปุจฺฉาวเสนฯ อารทฺธเทสนํ ชาเนยฺยาติฯ ‘‘สเจ ปเจฺจกพุโทฺธ ภเวยฺยา’’ติ อิทํ อิเมสํ สุตฺตานํ เทสนาย ปุจฺฉา ปเจฺจกพุทฺธานํ ภาริยา, อวิสยา จาติ ทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘โสปิ น สกฺกุเณยฺยา’’ติฯ

    Yo sarīrabhedato pubbeva pahīnataṇho, tato eva atītaddhasaññitaṃ purimakoṭṭhāsaṃ taṇhānissayena anissito, vemajjhe paccuppannepi addhani ‘‘ratto’’tiādinā upasaṅkhātabbo, tassa arahato taṇhādiṭṭhipurakkhārānaṃ abhāvā anāgate addhani kiñci purakkhataṃ natthīti ādinā evaṃ gambhīrakathābāhullato pūrābhedasuttaṃ (su. ni. 855; mahāni. 84) buddhicaritānaṃ sappāyanti katvā vuttaṃ ‘‘atha nesaṃ sappāyaṃ …pe… vavatthapetvā’’ti. Manasākāsīti evaṃ cariyāya vasena manasi katvā puna taṃ sadisaṃ attano desanānikkhepayogyatāvasena manasi akāsi. Attajjhāsayena nu kho jāneyyāti parajjhāsayādiṃ anapekkhitvā mayhaṃyeva ajjhāsayena āraddha desanaṃ jāneyya nu kho. Parajjhāsayenāti sannipatitāya parisāya kassaci ajjhāsayena. Aṭṭhuppattikenāti idha samuṭṭhitaaṭṭhuppattiyā. Pucchāvasenāti kassaci pucchantassa pucchāvasena. Āraddhadesanaṃ jāneyyāti. ‘‘Sace paccekabuddho bhaveyyā’’ti idaṃ imesaṃ suttānaṃ desanāya pucchā paccekabuddhānaṃ bhāriyā, avisayā cāti dassanatthaṃ vuttaṃ. Tenāha ‘‘sopi na sakkuṇeyyā’’ti.

    เอตฺถ จ ยสฺมา น อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา วา ยุตฺตา, อถ โข ทิฎฺฐสํสนฺทนปุจฺฉาสทิสี วา วิมติเจฺฉทนปุจฺฉาสทิสี วา ปุจฺฉา ยุตฺตา, ตาว ปุคฺคลชฺฌาสยวเสน ปวตฺติตา นาม โหนฺติ, น ยถาธมฺมวเสน, ตตฺถ ยทิ ภควา ตถา สยเมว ปุจฺฉิตฺวา สยเมว วิสฺสเชฺชยฺย, สุณนฺตีนํ เทวตานํ สโมฺมโห ภเวยฺย ‘‘กิํ นาเมตํ ภควา ปฐมํ เอวมาห, ปุนปิ เอวมาหา’’ติ, อนฺธการํ ปวิฎฺฐา วิย โหนฺติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘เอวํ เปตา เทวตา น สกฺขิสฺสนฺติ ปฎิวิชฺฌิตุ’’นฺติฯ ยถาธมฺมเทสนายํ ปน กเถตุกมฺยตาวเสน ปุจฺฉเนน สโมฺมโห โหตีติฯ สูริโย อุคฺคโตติ อาห เทวสโงฺฆ อาสนฺนตรภาเวน โอภาสสฺส วิปุลอุฬารภาวโตฯ เอกิสฺสา โลกธาตุยาติ สุเตฺต (ที. นิ. ๓.๑๖๑; ม. นิ. ๓.๑๒๙; อ. นิ. ๑.๒๗๗; วิภ. ๘๐๙; เนตฺติ. ๕๗; มิ. ป. ๕.๑.๑) อาคตนเยน สพฺพเตฺถว ปน อปุพฺพํ อจริมํ เทฺว พุทฺธา น โหเนฺตวฯ เตเนวาห – ‘‘อนนฺตาสุ…เป.… อทฺทสา’’ติฯ

    Ettha ca yasmā na anumatipucchā, kathetukamyatāpucchā vā yuttā, atha kho diṭṭhasaṃsandanapucchāsadisī vā vimaticchedanapucchāsadisī vā pucchā yuttā, tāva puggalajjhāsayavasena pavattitā nāma honti, na yathādhammavasena, tattha yadi bhagavā tathā sayameva pucchitvā sayameva vissajjeyya, suṇantīnaṃ devatānaṃ sammoho bhaveyya ‘‘kiṃ nāmetaṃ bhagavā paṭhamaṃ evamāha, punapi evamāhā’’ti, andhakāraṃ paviṭṭhā viya honti, tasmā vuttaṃ ‘‘evaṃ petā devatā na sakkhissanti paṭivijjhitu’’nti. Yathādhammadesanāyaṃ pana kathetukamyatāvasena pucchanena sammoho hotīti. Sūriyo uggatoti āha devasaṅgho āsannatarabhāvena obhāsassa vipulauḷārabhāvato. Ekissā lokadhātuyāti sutte (dī. ni. 3.161; ma. ni. 3.129; a. ni. 1.277; vibha. 809; netti. 57; mi. pa. 5.1.1) āgatanayena sabbattheva pana apubbaṃ acarimaṃ dve buddhā na honteva. Tenevāha – ‘‘anantāsu…pe… addasā’’ti.

    คาถายํ ปุจฺฉามีติ นิมฺมิตพุโทฺธ ภควนฺตํ ปุจฺฉิตุํ โอกาสํ การาเปสิฯ มุนินฺติ พุทฺธมุนิํ ฯ ปหูตปญฺญนฺติ มหาปญฺญํฯ ติณฺณนฺติ จตุโรฆติณฺณํฯ ปารงฺคตนฺติ นิพฺพานปฺปตฺตํ, สพฺพสฺส วา เญยฺยสฺส ปารํ ปริยนฺตํ คตํฯ ปรินิพฺพุตํ สอุปาทิเสสนิพฺพานวเสนฯ ฐิตตฺตนฺติ อวฎฺฐิตจิตฺตํ โลกธเมฺมหิ อกมฺปเนยฺยตายฯ นิกฺขมฺม ฆรา ปนุชฺช กาเมติ วตฺถุกาเม ปนูทิตฺวา ฆราวาสา นิกฺขมฺมฯ กถํ ภิกฺขุ สมฺมา โส โลเก ปริพฺพเชยฺยาติ โส ภิกฺขุ กถํ สมฺมา ปริพฺพเชยฺย คเจฺฉยฺย วิหเรยฺย, อนุปลิโตฺต หุตฺวา โลกํ อติกฺกเมยฺยาติ อโตฺถฯ

    Gāthāyaṃ pucchāmīti nimmitabuddho bhagavantaṃ pucchituṃ okāsaṃ kārāpesi. Muninti buddhamuniṃ . Pahūtapaññanti mahāpaññaṃ. Tiṇṇanti caturoghatiṇṇaṃ. Pāraṅgatanti nibbānappattaṃ, sabbassa vā ñeyyassa pāraṃ pariyantaṃ gataṃ. Parinibbutaṃ saupādisesanibbānavasena. Ṭhitattanti avaṭṭhitacittaṃ lokadhammehi akampaneyyatāya. Nikkhamma gharā panujja kāmeti vatthukāme panūditvā gharāvāsā nikkhamma. Kathaṃ bhikkhu sammā so loke paribbajeyyāti so bhikkhu kathaṃ sammā paribbajeyya gaccheyya vihareyya, anupalitto hutvā lokaṃ atikkameyyāti attho.

    ๓๓๔. สิโลกํ อนุกสฺสามีติ เอตฺถ สิโลโก นาม ปาทสมุทโย, อิสีหิ วุจฺจมานา คาถาติปิ วุจฺจติฯ ปาโทว นิยตวณฺณานุปุพฺพิกานํ ปทานํ สมูโห, ตํ สิโลกํ อนุกสฺสามิ ปวตฺตยิสฺสามีติ อโตฺถติ อาห ‘‘อกฺขร…เป.… ปวตฺตยิสฺสามี’’ติฯ ยตฺถาติ อธิกรเณ ภุมฺมํฯ อาเมฑิตโลเปนายํ นิเทฺทโสติ อาห ‘‘เยสุ เยสุ ฐาเนสู’’ติฯ ภุมฺมาติ ภูมิปฎิพทฺธนิวาสาฯ ตํ ตํ นิสฺสิตา ตํ ตํ ฐานํ นิสฺสิตวโนฺต นิสฺสาย วสมานา, เตหิ สทฺธิํ สิโลกํ อนุกสฺสามีติ อธิปฺปาโยฯ ‘‘เย สิตา คิริคพฺภร’’นฺติ อิมินา เตสํ วิเวกวาสํ ทเสฺสติ, ‘‘ปหิตตฺตา สมาหิตา’’ติ อิมินา ภาวนาภิโยคํฯ

    334.Silokaṃanukassāmīti ettha siloko nāma pādasamudayo, isīhi vuccamānā gāthātipi vuccati. Pādova niyatavaṇṇānupubbikānaṃ padānaṃ samūho, taṃ silokaṃ anukassāmi pavattayissāmīti atthoti āha ‘‘akkhara…pe… pavattayissāmī’’ti. Yatthāti adhikaraṇe bhummaṃ. Āmeḍitalopenāyaṃ niddesoti āha ‘‘yesu yesu ṭhānesū’’ti. Bhummāti bhūmipaṭibaddhanivāsā. Taṃ taṃ nissitā taṃ taṃ ṭhānaṃ nissitavanto nissāya vasamānā, tehi saddhiṃ silokaṃ anukassāmīti adhippāyo. ‘‘Ye sitā girigabbhara’’nti iminā tesaṃ vivekavāsaṃ dasseti, ‘‘pahitattā samāhitā’’ti iminā bhāvanābhiyogaṃ.

    พหุชนา ปญฺจสตสงฺขฺยตฺตาฯ ปฎิปกฺขาภิภวนโต, เตชุสฺสทตาย จ สีหา วิย ปวิวิตฺตตาย นิลีนาฯ เอกตฺตนฺติ เอกีภาวํฯ โอทาตจิตฺตา หุตฺวา สุทฺธาติ อรหตฺตมคฺคาธิคเมน ปริโยทาตจิตฺตา หุตฺวา สุทฺธา, น เกวลํ สรีรสุทฺธิยาวฯ วิปฺปสนฺนาติ อริยมคฺคปฺปสาเทน วิเสสโต ปสนฺนาฯ จิตฺตสฺส อาวิลภาวกรานํ กิเลสานํ อภาเวน อนาวิลาฯ

    Bahujanā pañcasatasaṅkhyattā. Paṭipakkhābhibhavanato, tejussadatāya ca sīhā viya pavivittatāya nilīnā. Ekattanti ekībhāvaṃ. Odātacittā hutvā suddhāti arahattamaggādhigamena pariyodātacittā hutvā suddhā, na kevalaṃ sarīrasuddhiyāva. Vippasannāti ariyamaggappasādena visesato pasannā. Cittassa āvilabhāvakarānaṃ kilesānaṃ abhāvena anāvilā.

    ภิกฺขู ชานิตฺวาติ ภินฺนกิเลเส ภิกฺขู ‘‘อิเม ทิพฺพจกฺขุนา เอเต เทวกาเย ปสฺสนฺตีติ ชานิตฺวาฯ สวนเนฺต ชาตตฺตาติ ธมฺมสฺสวนปริโยสาเน อริยชาติยา ชาตตฺตาฯ อิทํ สพฺพนฺติ อิทํ ‘‘ภิโยฺย ปญฺจสเต’’ติอาทิกํ สพฺพํฯ

    Bhikkhū jānitvāti bhinnakilese bhikkhū ‘‘ime dibbacakkhunā ete devakāye passantīti jānitvā. Savanante jātattāti dhammassavanapariyosāne ariyajātiyā jātattā. Idaṃ sabbanti idaṃ ‘‘bhiyyo pañcasate’’tiādikaṃ sabbaṃ.

    ตทตฺถาย วีริยํ กริํสูติ ทิพฺพจกฺขุญาณาภินีหารวเสน วีริยํ อุสฺสาหํ อกํสุฯ เตนาห ‘‘น ตํ เตหี’’ติอาทิฯ สตฺตรินฺติ ต-การสฺส ร-การาเทสํ กตฺวา วุตฺตํ, สตฺตตินฺติ อโตฺถฯ ‘‘สหสฺส’’นฺติ ปน อนุวตฺตติ, สตฺตติโยเคน พหุวจนํฯ เตนาห ‘‘เอเก สหสฺสํฯ เอเก สตฺตติสหสฺสานี’’ติฯ

    Tadatthāya vīriyaṃ kariṃsūti dibbacakkhuñāṇābhinīhāravasena vīriyaṃ ussāhaṃ akaṃsu. Tenāha ‘‘na taṃ tehī’’tiādi. Sattarinti ta-kārassa ra-kārādesaṃ katvā vuttaṃ, sattatinti attho. ‘‘Sahassa’’nti pana anuvattati, sattatiyogena bahuvacanaṃ. Tenāha ‘‘eke sahassaṃ. Eke sattatisahassānī’’ti.

    อนนฺตนฺติ อนฺตรหิตํ, ตํ ปน อติวิย มหนฺตํ นาม โหตีติ อาห ‘‘วิปุล’’นฺติฯ

    Anantanti antarahitaṃ, taṃ pana ativiya mahantaṃ nāma hotīti āha ‘‘vipula’’nti.

    อเวกฺขิตฺวาติ ญาณจกฺขุนา วิสุํ วิสุํ อเวกฺขิตฺวา ‘‘ววตฺถิตฺวานา’’ติปิ ปฐนฺติ, โส เอวโตฺถฯ ตํ อเวกฺขนํ นิจฺฉยกรณํ โหตีติ อาห ‘‘ววตฺถเปตฺวา’’ติฯ ปุเพฺพ วุตฺตคาถาสุ ตติยคาถาย ปจฺฉิมทฺธํ, จตุตฺถคาถาย ปุริมทฺธญฺจ สนฺธายาห ‘‘ปุเพฺพ วุตฺตคาถเมวา’’ติฯ

    Avekkhitvāti ñāṇacakkhunā visuṃ visuṃ avekkhitvā ‘‘vavatthitvānā’’tipi paṭhanti, so evattho. Taṃ avekkhanaṃ nicchayakaraṇaṃ hotīti āha ‘‘vavatthapetvā’’ti. Pubbe vuttagāthāsu tatiyagāthāya pacchimaddhaṃ, catutthagāthāya purimaddhañca sandhāyāha ‘‘pubbe vuttagāthamevā’’ti.

    วิชานนมฺปิ ทสฺสนํ เอวาติ อาห ‘‘ปสฺสถ โอโลเกถา’’ติฯ วาจายตปวตฺติตภาวโต ‘‘อนุปฎิปาฎิยาว กิตฺตยิสฺสามี’’ติ วทติฯ

    Vijānanampi dassanaṃ evāti āha ‘‘passatha olokethā’’ti. Vācāyatapavattitabhāvato ‘‘anupaṭipāṭiyāva kittayissāmī’’ti vadati.

    ๓๓๕. สตฺต สหสฺสานิ สงฺขายาติ สตฺต สหสฺสาฯ ยกฺขาเยวาติ ยกฺขชาติกา เอวฯ อานุภาวสมฺปนฺนาติ มเหสกฺขาฯ อิทฺธิมโนฺตติ วา มหานุภาวาฯ ชุติมโนฺตติ มหปฺปภาฯ วณฺณวโนฺตติ อติกฺกนฺตวณฺณาฯ ยสสฺสิโนติ มหาปริวารา เจว ปตฺถฎกิตฺติสทฺทา จฯ สมิติ-สโทฺท สมีปโตฺถติ อธิปฺปาเยนาห ‘‘ภิกฺขูนํ สนฺติก’’นฺติฯ

    335. Satta sahassāni saṅkhāyāti satta sahassā. Yakkhāyevāti yakkhajātikā eva. Ānubhāvasampannāti mahesakkhā. Iddhimantoti vā mahānubhāvā. Jutimantoti mahappabhā. Vaṇṇavantoti atikkantavaṇṇā. Yasassinoti mahāparivārā ceva patthaṭakittisaddā ca. Samiti-saddo samīpatthoti adhippāyenāha ‘‘bhikkhūnaṃ santika’’nti.

    เหมวตปพฺพเตติ หิมวโต สมีเป ฐิตปพฺพเตฯ

    Hemavatapabbateti himavato samīpe ṭhitapabbate.

    เอเต สเพฺพปีติ เอเต สตฺตสหสฺสา กาปิลวตฺถวา, ฉสหสฺสา เหมวตา, ติสหสฺสา สาตาคิราติ ยถาวุตฺตา สเพฺพปิ โสฬสสหสฺสาฯ

    Ete sabbepīti ete sattasahassā kāpilavatthavā, chasahassā hemavatā, tisahassā sātāgirāti yathāvuttā sabbepi soḷasasahassā.

    ราชคหนคเรติ ราชคหนครสฺส สมีเปฯ นฺติ กุมฺภีรํฯ

    Rājagahanagareti rājagahanagarassa samīpe. Tanti kumbhīraṃ.

    ๓๓๖. กามํ ปาจีนทิสํ ปสาสติ, ตถาปิ จตูสุปิ ทิสาสุ สปริวารทีเปสุ จตูสุปิ มหาทีเปสุ คนฺธพฺพานํ เชฎฺฐโก, กถํ? สเพฺพ เต ตสฺส วเส วตฺตนฺติฯ กุมฺภณฺฑานํ อธิปตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    336. Kāmaṃ pācīnadisaṃ pasāsati, tathāpi catūsupi disāsu saparivāradīpesu catūsupi mahādīpesu gandhabbānaṃ jeṭṭhako, kathaṃ? Sabbe te tassa vase vattanti.Kumbhaṇḍānaṃ adhipatītiādīsupi eseva nayo.

    ตสฺสาปิ วิรุฬฺหสฺสฯ ตาทิสาเยวาติ ธตรฎฺฐสฺส ปุตฺตสทิสา เอว ปุถุตฺถโต, นามโต, พลโต, อิทฺธิอาทิวิเสสโต จฯ

    Tassāpi viruḷhassa. Tādisāyevāti dhataraṭṭhassa puttasadisā eva puthutthato, nāmato, balato, iddhiādivisesato ca.

    สพฺพสงฺคาหิกวเสนาติ ทสสหสฺสิโลกธาตุยา ปเจฺจกํ จตฺตาโร จตฺตาโร มหาราชาโนติ เตสํ สเพฺพสํ สงฺคณฺหนวเสนฯ เตนาห ‘‘อยเญฺจตฺถา’’ติอาทิฯ

    Sabbasaṅgāhikavasenāti dasasahassilokadhātuyā paccekaṃ cattāro cattāro mahārājānoti tesaṃ sabbesaṃ saṅgaṇhanavasena. Tenāha ‘‘ayañcetthā’’tiādi.

    จตุโร ทิสาติ จตูสุ ทิสาสุฯ จตุโร ทิสา ชลมานา สมุชฺชลนฺตา โอภาเสนฺตาฯ ยทิ เอวํ มหติยา ปริสาย อาคตานํ กถํ กาปิลวตฺถเว วเน ฐิตาติ อาห ‘‘เต ปนา’’ติอาทิฯ

    Caturo disāti catūsu disāsu. Caturo disā jalamānā samujjalantā obhāsentā. Yadi evaṃ mahatiyā parisāya āgatānaṃ kathaṃ kāpilavatthave vane ṭhitāti āha ‘‘te panā’’tiādi.

    ๓๓๗. เตสํ มหาราชานํ ทาสาติ โยชนาฯ มายาย ยุตฺตา, ตสฺมา มายาวิโนฯ วญฺจนํ เอเตสุ อตฺถิ, วญฺจเน วา นิยุตฺตาติ วญฺจนิกาฯ เกราฎิยสาเฐเยฺยนาติ นิหีนสเฐน กเมฺมนฯ มายา เอเตสํ อตฺถีติ มายา, เต จ ปเรสํ วญฺจนตฺถํ เยน มายากรเณน ‘‘มายา’’ติ วุตฺตา, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มายาการกา’’ติ อาหฯ

    337. Tesaṃ mahārājānaṃ dāsāti yojanā. Māyāya yuttā, tasmā māyāvino. Vañcanaṃ etesu atthi, vañcane vā niyuttāti vañcanikā. Kerāṭiyasāṭheyyenāti nihīnasaṭhena kammena. Māyā etesaṃ atthīti māyā, te ca paresaṃ vañcanatthaṃ yena māyākaraṇena ‘‘māyā’’ti vuttā, taṃ dassento ‘‘māyākārakā’’ti āha.

    เอตฺตกา ทาสาติ เอตฺตกา กุเฎณฺฑุอาทิกา นิฆณฺฑุปริโยสานา อฎฺฐมหาราชานํ ทาสาฯ

    Ettakā dāsāti ettakā kuṭeṇḍuādikā nighaṇḍupariyosānā aṭṭhamahārājānaṃ dāsā.

    เทวราชาโนติ เทวา หุตฺวา ตํตํเทวกายสฺส ราชาโนฯ จิโตฺต จ เสโน จ จิตฺตเสโน จาติ ตโย เอเต เทวปุตฺตา ปาฬิยํ เอกเสสนเยน วุตฺตาติ อาห ‘‘จิโตฺต จา’’ติอาทิฯ

    Devarājānoti devā hutvā taṃtaṃdevakāyassa rājāno. Citto ca seno ca cittaseno cāti tayo ete devaputtā pāḷiyaṃ ekasesanayena vuttāti āha ‘‘citto cā’’tiādi.

    ภิกฺขุสโงฺฆ สมิโต สนฺนิปติโต เอตฺถาติ ภิกฺขุสงฺฆสมิติ, อิมํ วนํฯ

    Bhikkhusaṅgho samito sannipatito etthāti bhikkhusaṅghasamiti, imaṃ vanaṃ.

    ๓๓๘. นาคสทหวาสิกาติ นาคสทหนิวาสิโนฯ ตเตฺถโก กิร นาคราชา, จิรกาลํ วสโต ตสฺส ปริสา มหตี ปรมฺปราคตา อตฺถิ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ตจฺฉกนาคปริสายา’’ติฯ

    338.Nāgasadahavāsikāti nāgasadahanivāsino. Tattheko kira nāgarājā, cirakālaṃ vasato tassa parisā mahatī paramparāgatā atthi, taṃ sandhāyāha ‘‘tacchakanāgaparisāyā’’ti.

    ยมุนวาสิโนติ ยมุนายํ วสนกนาคาฯ นาคโวหาเรนาติ หตฺถินาคโวหาเรนฯ

    Yamunavāsinoti yamunāyaṃ vasanakanāgā. Nāgavohārenāti hatthināgavohārena.

    วุตฺตปฺปกาเรติ กมฺพลสฺสตเร ฐเปตฺวา อิตเร วุตฺตปฺปการนาคาฯ โลภาภิภูตาติ อาหารโลเภน อภิภูตาฯ ทิพฺพานุภาวตาติ ทิพฺพานุภาวโต, ทิพฺพานุภาวเหตุ วา ทิพฺพาฯ ‘‘จิตฺรสุปณฺณา’’ติ นามํ วิจิตฺรสุนฺทรปตฺตวนฺตตายฯ

    Vuttappakāreti kambalassatare ṭhapetvā itare vuttappakāranāgā. Lobhābhibhūtāti āhāralobhena abhibhūtā. Dibbānubhāvatāti dibbānubhāvato, dibbānubhāvahetu vā dibbā. ‘‘Citrasupaṇṇā’’ti nāmaṃ vicitrasundarapattavantatāya.

    อุปวฺหยนฺตาติ อุเปจฺจ กเถนฺตาฯ กาโกลูกอหินกุลาทโย วิย อญฺญมญฺญํ ชาติสมุทาคตเวราปิ สมานา มิตฺตา วิย…เป.… หฎฺฐตุฎฺฐจิตฺตา อญฺญมญฺญสฺมินฺติ อธิปฺปาโยฯ พุทฺธํเยว เต สรณํ คตา ‘‘พุทฺธานุภาเวเนว มยํ อญฺญมญฺญสฺมิํ เมตฺติํ ปฎิลภิมฺหา’’ติฯ

    Upavhayantāti upecca kathentā. Kākolūkaahinakulādayo viya aññamaññaṃ jātisamudāgataverāpi samānā mittā viya…pe… haṭṭhatuṭṭhacittā aññamaññasminti adhippāyo. Buddhaṃyeva te saraṇaṃ gatā ‘‘buddhānubhāveneva mayaṃ aññamaññasmiṃ mettiṃ paṭilabhimhā’’ti.

    ๓๓๙. ภาตโรติ เมถุนภาตโรฯ เตนาห ‘‘สุชาย อสุรกญฺญาย การณา’’ติฯ

    339.Bhātaroti methunabhātaro. Tenāha ‘‘sujāya asurakaññāya kāraṇā’’ti.

    เตสูติ อสุเรสุฯ กาลกญฺจาติ เอวํ นามาฯ มหาภิสฺมาติ ภิํสนกมหาสรีราฯ อภพฺพาติ สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมิตุํ น ภพฺพา อจฺฉนฺทิกตฺตา ตาทิสสฺส ฉนฺทเสฺสว อภาวโตฯ

    Tesūti asuresu. Kālakañcāti evaṃ nāmā. Mahābhismāti bhiṃsanakamahāsarīrā. Abhabbāti sammattaniyāmaṃ okkamituṃ na bhabbā acchandikattā tādisassa chandasseva abhāvato.

    พลิโน มหาอสุรสฺส อพฺภตีตตฺตา ตสฺส ปุเตฺต เอว กิเตฺตโนฺต ภควา ‘‘สตญฺจ พลิปุตฺตาน’’นฺติ อาทิมาหฯ โส กิร สุขุมํ อตฺตภาวํ มาเปตฺวา อุปคจฺฉิฯ

    Balino mahāasurassa abbhatītattā tassa putte eva kittento bhagavā ‘‘satañca baliputtāna’’nti ādimāha. So kira sukhumaṃ attabhāvaṃ māpetvā upagacchi.

    ๓๔๐. กมฺมํ กตฺวาติ ปริกมฺมํ กตฺวาฯ นิพฺพตฺตาติ อุปจารชฺฌาเนน นิพฺพตฺตาฯ อปฺปนาฌาเนน ปน นิพฺพตฺตา พฺรหฺมาโน โหนฺติ, เต ปรโต วกฺขติ ‘‘สุพฺรหฺมา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๓๔๑), อยญฺจ กามาวจรเทวตา วุจฺจติฯ เตเนวาห – ‘‘เมตฺตากรุณากายิกาติ เมตฺตาฌาเน จ กรุณาฌาเน จ ปริกมฺมํ กตฺวา นิพฺพตฺตเทวา’’ติฯ เมตฺตาฌาเน กรุณาฌาเนติ เมตฺตาฌานนิมิตฺตํ กรุณาฌานนิมิตฺตํ, ตทตฺถนฺติ อโตฺถฯ

    340.Kammaṃ katvāti parikammaṃ katvā. Nibbattāti upacārajjhānena nibbattā. Appanājhānena pana nibbattā brahmāno honti, te parato vakkhati ‘‘subrahmā’’tiādinā (dī. ni. 2.341), ayañca kāmāvacaradevatā vuccati. Tenevāha – ‘‘mettākaruṇākāyikāti mettājhāne ca karuṇājhāne ca parikammaṃ katvā nibbattadevā’’ti. Mettājhāne karuṇājhāneti mettājhānanimittaṃ karuṇājhānanimittaṃ, tadatthanti attho.

    เต อาโปเทวาทโย ยถาสกํ วคฺควเสน ฐิตตฺตา ทสธา ฐิตาฯ ยาว กรุณากายิกา ทส เทวกายาฯ นานตฺตวณฺณาติ นานาสภาววณฺณวโนฺตฯ

    Te āpodevādayo yathāsakaṃ vaggavasena ṭhitattā dasadhā ṭhitā. Yāva karuṇākāyikā dasa devakāyā.Nānattavaṇṇāti nānāsabhāvavaṇṇavanto.

    เวณฺฑุเทวตาติ เวณฺฑุ นาม เทวตา, เอวํ สหลิ เทวตาฯ อสมเทวตา, ยมกเทวตาติ ‘‘เทฺว อยนิโย’’ติ วทนฺติ, ตปฺปมุขา เทฺว เทวนิกายาติฯ จนฺทสฺสูปนิสา เทวา จนฺทสฺส อุปนิสฺสยโต วตฺตมานา ตสฺส ปุรโต จ ปจฺฉโต จ ปสฺสโต จ ธาวนกเทวาฯ เตนาห ‘‘จนฺทนิสฺสิตกา เทวา’’ติฯ สูริยสฺสูปนิสา, นกฺขตฺตนิสฺสิตาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ เกวลํ วาตวายนเหตโว เทวตา วาตวลาหกาฯ ตถา เกวลํ อพฺภปฎลสญฺจรณเหตโว อพฺภวลาหกาฯ อุณฺหปฺปวตฺติเหตโว อุณฺหวลาหกาฯ วสฺสวลาหกา ปน ปชฺชุนฺนสทิสาติฯ เต อิธ น วุตฺตาฯ วสุเทวตา นาม เอโก เทวนิกาโย, เตสํ ปุพฺพงฺคมตฺตา วาสโว, สโกฺกฯ

    Veṇḍudevatāti veṇḍu nāma devatā, evaṃ sahali devatā. Asamadevatā, yamakadevatāti ‘‘dve ayaniyo’’ti vadanti, tappamukhā dve devanikāyāti. Candassūpanisā devā candassa upanissayato vattamānā tassa purato ca pacchato ca passato ca dhāvanakadevā. Tenāha ‘‘candanissitakā devā’’ti. Sūriyassūpanisā, nakkhattanissitāti etthāpi eseva nayo. Kevalaṃ vātavāyanahetavo devatā vātavalāhakā. Tathā kevalaṃ abbhapaṭalasañcaraṇahetavo abbhavalāhakā. Uṇhappavattihetavo uṇhavalāhakā. Vassavalāhakā pana pajjunnasadisāti. Te idha na vuttā. Vasudevatā nāma eko devanikāyo, tesaṃ pubbaṅgamattā vāsavo, sakko.

    ทเสเตติ เอเต เวณฺฑุเทวตาทโย วาสวปริโยสานา ทส เทวกายาฯ

    Daseteti ete veṇḍudevatādayo vāsavapariyosānā dasa devakāyā.

    อิมานีติ ‘‘ชลมคฺคี’’ติ จ ‘‘สิขาริวา’’ติ จ อิมานิ เตสํ นามานิฯ เกจิ ปน ม-กาโร ปทสนฺธิกโร ‘‘ชลา’’ติ จ ‘‘อคฺคี’’ติ จ ‘‘สิขาริวา’’ติ จ อิมานิ เตสํ นามานีติ วทนฺติฯ เอเตติ เตสุ เอว ‘‘อริฎฺฐกา, โรชา’’ติ จ วุตฺตเทเวสุ เอกเจฺจ,อุมาปุปฺผนิภาสิโน วณฺณโต อุมาปุปฺผสทิสาติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพ, อญฺญถา เอกาทส เทวกายา สิยุํฯ

    Imānīti ‘‘jalamaggī’’ti ca ‘‘sikhārivā’’ti ca imāni tesaṃ nāmāni. Keci pana ma-kāro padasandhikaro ‘‘jalā’’ti ca ‘‘aggī’’ti ca ‘‘sikhārivā’’ti ca imāni tesaṃ nāmānīti vadanti. Eteti tesu eva ‘‘ariṭṭhakā, rojā’’ti ca vuttadevesu ekacce,umāpupphanibhāsino vaṇṇato umāpupphasadisāti evamattho gahetabbo, aññathā ekādasa devakāyā siyuṃ.

    ทเสเตติ เอเต ทส สหภูเทวาทโย วาสวเนสิปริโยสานา ทส เทวกายาฯ เตเนว นิกายเภทวเสน ทสธาว อาคตาฯ

    Daseteti ete dasa sahabhūdevādayo vāsavanesipariyosānā dasa devakāyā. Teneva nikāyabhedavasena dasadhāva āgatā.

    ‘‘สมานา’’ติอาทิ เตสํ เทวานํ นิกายสมุทายคตํ นามํฯ เอวํ เสสานมฺปิฯ

    ‘‘Samānā’’tiādi tesaṃ devānaṃ nikāyasamudāyagataṃ nāmaṃ. Evaṃ sesānampi.

    ทเสเตติ เอเต สมานาทิกา มหาปารคปริโยสานา ทส เทวกายาฯ เตเนว นิกายเภเทน ทสธา อาคตาฯ

    Daseteti ete samānādikā mahāpāragapariyosānā dasa devakāyā. Teneva nikāyabhedena dasadhā āgatā.

    สุกฺกาทโย ตโย เทวกายาฯ ปาโมกฺขเทวาติ ปมุขา ปธานภูตา เทวาฯ

    Sukkādayo tayo devakāyā. Pāmokkhadevāti pamukhā padhānabhūtā devā.

    ทิสาติ ทิสาสุฯ เทโวติ เมโฆฯ ทเสเตติ เอเต สุกฺกาทโย ปชฺชุนฺนปริโยสานา ทส เทวกายา, เต เทวนิกายเภเทน ทสธา อาคตาฯ

    Disāti disāsu. Devoti megho. Daseteti ete sukkādayo pajjunnapariyosānā dasa devakāyā, te devanikāyabhedena dasadhā āgatā.

    ทเสเตติ เอเต เขมิยาทโย ปรนิมฺมิตปริโยสานา ทส เทวกายา, เต เทวนิกายเภเทน ทสธาว อาคตาฯ ตตฺถ ‘‘เขมิยา, กฎฺฐกาทโย จ ปญฺจาปิ สเทวกายา ตาวติํสกายิกา’’ติ วทนฺติฯ นามนฺวเยนาติ นามานุคเมน ‘‘อาโปเทวตา’’ติอาทินามสภาเคนฯ เตเนวาห ‘‘นามภาเคน นามโกฎฺฐาเสนา’’ติฯ สพฺพา เทวตาติ ทสสหสฺสิโลกธาตูสุ สพฺพาปิ เทวตาฯ นิทฺทิสติ ตํตํนามสภาเคน เอกชฺฌํ กตฺวาฯ

    Daseteti ete khemiyādayo paranimmitapariyosānā dasa devakāyā, te devanikāyabhedena dasadhāva āgatā. Tattha ‘‘khemiyā, kaṭṭhakādayo ca pañcāpi sadevakāyā tāvatiṃsakāyikā’’ti vadanti. Nāmanvayenāti nāmānugamena ‘‘āpodevatā’’tiādināmasabhāgena. Tenevāha ‘‘nāmabhāgena nāmakoṭṭhāsenā’’ti. Sabbā devatāti dasasahassilokadhātūsu sabbāpi devatā. Niddisati taṃtaṃnāmasabhāgena ekajjhaṃ katvā.

    ปวุตฺถาติ ปวาสํ คตา วิย อเปตาติ อาห ‘‘วิคตา’’ติฯ ปวุตฺถา วา ปการโต วุตฺถา วุสิตา, เตน ชาติ วุสิตพฺพา อสฺสาติ ปวุฎฺฐชาติฯ กาฬกภาวา สํกิเลสธมฺมา, สพฺพโส ตทภาวโต กาฬกภาวาตีตํ ทสพลํฯ ลญฺจนาภาเวน วา อสิตาติโค กาฬกภาวาตีตาย สิริยา จโนฺท, ตาทิสํ จนฺทํ วิย สิริยา วิโรจมานํฯ

    Pavutthāti pavāsaṃ gatā viya apetāti āha ‘‘vigatā’’ti. Pavutthā vā pakārato vutthā vusitā, tena jāti vusitabbā assāti pavuṭṭhajāti. Kāḷakabhāvā saṃkilesadhammā, sabbaso tadabhāvato kāḷakabhāvātītaṃ dasabalaṃ. Lañcanābhāvena vā asitātigo kāḷakabhāvātītāya siriyā cando, tādisaṃ candaṃ viya siriyā virocamānaṃ.

    ๓๔๑. เอโก พฺรหฺมาติ สคาถกวเคฺค (สํ. นิ. ๑.๙๘) อาคโต สุพฺรหฺมเทวปุโตฺตฯ พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺติตฺวา เหฎฺฐิเมสุ ปติฎฺฐิตา อริยพฺรหฺมาโน, น สุทฺธาวาสพฺรหฺมาโนฯ ติสฺสมหาพฺรหฺมา ปุถุชฺชโน, โย อปรภาเค มนุเสฺสสุ นิพฺพตฺติตฺวา โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถโร ชาโตฯ

    341.Eko brahmāti sagāthakavagge (saṃ. ni. 1.98) āgato subrahmadevaputto. Brahmaloke nibbattitvā heṭṭhimesu patiṭṭhitā ariyabrahmāno, na suddhāvāsabrahmāno. Tissamahābrahmā puthujjano, yo aparabhāge manussesu nibbattitvā moggaliputtatissatthero jāto.

    สหสฺสํ พฺรหฺมโลกานนฺติ พฺรหฺมโลโก เอเตสนฺติ พฺรหฺมโลกา, พฺรหฺมาโน, เตสํ พฺรหฺมโลกานํ สหสฺสํ สตฺตโลกปริยาโย จายํ โลกสโทฺทติ อาห ‘‘มหาพฺรหฺมานํ สหสฺสํ อาคต’’นฺติฯ อนนฺตรคาถายํ ‘‘อาคตา’’ติ วุตฺตปทเมว อตฺถวเสน วทติฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ พฺรหฺมสหเสฺสฯ อเญฺญ พฺรเหฺมติ ตทเญฺญ พฺรหฺมาโนฯ อภิภวิตฺวา ติฎฺฐติ วเณฺณน, ยสสา อายุนา จฯ

    Sahassaṃbrahmalokānanti brahmaloko etesanti brahmalokā, brahmāno, tesaṃ brahmalokānaṃ sahassaṃ sattalokapariyāyo cāyaṃ lokasaddoti āha ‘‘mahābrahmānaṃ sahassaṃ āgata’’nti. Anantaragāthāyaṃ ‘‘āgatā’’ti vuttapadameva atthavasena vadati. Yatthāti yasmiṃ brahmasahasse. Aññe brahmeti tadaññe brahmāno. Abhibhavitvā tiṭṭhati vaṇṇena, yasasā āyunā ca.

    อิสฺสราติ เตเนว วสปวตฺตเนน เสสพฺรหฺมานํ อธิปติโนฯ

    Issarāti teneva vasapavattanena sesabrahmānaṃ adhipatino.

    ๓๔๒. กาฬกธมฺมสมนฺนาคโต กาฬกสฺส ปาปิมสฺส มารสฺส พาลภาวํ ปสฺสถ, โย อตฺตโน อวิสเย นิรตฺถกํ ปรกฺกมิตุํ วายมติฯ

    342. Kāḷakadhammasamannāgato kāḷakassa pāpimassa mārassa bālabhāvaṃ passatha, yo attano avisaye niratthakaṃ parakkamituṃ vāyamati.

    วีตราคภาวาวหสฺส ธมฺมสฺสวนสฺส อนฺตรายกรเณน อวีตราคา ราเคน พทฺธา เอว นาม โหนฺตีติ วุตฺตํ ‘‘ราเคน พทฺธํ โหตู’’ติฯ

    Vītarāgabhāvāvahassa dhammassavanassa antarāyakaraṇena avītarāgā rāgena baddhā eva nāma hontīti vuttaṃ ‘‘rāgena baddhaṃ hotū’’ti.

    ภยานกํ สรญฺจ กตฺวาติ เภรวํ มหนฺตํ สทฺทํ สมุฎฺฐเปตฺวาฯ

    Bhayānakaṃ sarañca katvāti bheravaṃ mahantaṃ saddaṃ samuṭṭhapetvā.

    อิทานิ ตํ สทฺทํ อุปมาย ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา’’ติ อาทิมาหฯ กญฺจีติ ตสฺมิํ สมาคเม กญฺจิ เทวตํ, มานุสกํ วา อตฺตโน วเส วเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต อสยํวเส สยญฺจ น อตฺตโน วเส ฐิโตฯ เตนาห ‘‘อสยํวสี’’ติอาทิฯ

    Idāni taṃ saddaṃ upamāya dassento ‘‘yathā’’ti ādimāha. Kañcīti tasmiṃ samāgame kañci devataṃ, mānusakaṃ vā attano vase vattetuṃ asakkonto asayaṃvase sayañca na attano vase ṭhito. Tenāha ‘‘asayaṃvasī’’tiādi.

    ๓๔๓. ‘‘วีตราเคหี’’ติ เทสนาสีสเมตํฯ สพฺพายปิ หิ ตตฺถ สมาคตปริสาย มารเสนา อปกฺกนฺตาวฯ เนสํ โลมมฺปิ อิญฺชยุํ เตสํ โลมมตฺตมฺปิ น จาเลสุํ, กุโต อนฺตรายกรณํฯ อิติ ยตฺตกา ตตฺถ วิเสสํ อธิคจฺฉิํสุ, เตสํ สเพฺพสมฺปิ อนฺตรายากรณวเสน อโตฺถ วิภาเวตโพฺพ, วีตราคคฺคหเณน วา สราควีตราควิภาวิโน จ ตตฺถ สงฺคหิตาติ เวทิตพฺพํฯ มาโร อิมํ คาถํ อภาสิ อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโตฯ กถญฺหิ นาม ตาว โฆรตรํ มหติํ วิภิํสกํ มยิ กโรเนฺตปิ สเพฺพ ปิเม นิพฺพิการา สมาหิตา เอวฯ กสฺมา? วิชิตาวิโน อิเม อุตฺตมปุริสาติฯ เตนาห ‘‘สเพฺพ’’ติอาทิฯ ยาทิโส อริยานํ ธมฺมนิสฺสิโต ปโมโท, น กทาจิ ตาทิโส อนริยานํ โหตีติ ‘‘สาสเน ภูเตหิ อริเยหิ’’ อิเจฺจตํ วุตฺตํฯ วิ-สเทฺทน วินา เกวโลปิ สุต-สโทฺท วิขฺยาตตฺถวจโน โหติ ‘‘สุตธมฺมสฺสา’’ติอาทีสุ (มหาว. ๕; อุทา. ๑๑) วิยาติ อาห ‘‘ชเน วิสฺสุตา’’ติฯ

    343.‘‘Vītarāgehī’’ti desanāsīsametaṃ. Sabbāyapi hi tattha samāgataparisāya mārasenā apakkantāva. Nesaṃ lomampi iñjayuṃ tesaṃ lomamattampi na cālesuṃ, kuto antarāyakaraṇaṃ. Iti yattakā tattha visesaṃ adhigacchiṃsu, tesaṃ sabbesampi antarāyākaraṇavasena attho vibhāvetabbo, vītarāgaggahaṇena vā sarāgavītarāgavibhāvino ca tattha saṅgahitāti veditabbaṃ. Māro imaṃ gāthaṃ abhāsi acchariyabbhutacittajāto. Kathañhi nāma tāva ghorataraṃ mahatiṃ vibhiṃsakaṃ mayi karontepi sabbe pime nibbikārā samāhitā eva. Kasmā? Vijitāvino ime uttamapurisāti. Tenāha ‘‘sabbe’’tiādi. Yādiso ariyānaṃ dhammanissito pamodo, na kadāci tādiso anariyānaṃ hotīti ‘‘sāsane bhūtehi ariyehi’’ iccetaṃ vuttaṃ. Vi-saddena vinā kevalopi suta-saddo vikhyātatthavacano hoti ‘‘sutadhammassā’’tiādīsu (mahāva. 5; udā. 11) viyāti āha ‘‘jane vissutā’’ti.

    ทูเรติ ทูเร ปเทเสฯ ทหรสฺส อนฺตรายํ ปริหรนฺตี ‘‘น สกฺกา ภเนฺต สกลํ กายํ ทเสฺสตุ’’นฺติ อโวจาติฯ

    Dūreti dūre padese. Daharassa antarāyaṃ pariharantī ‘‘na sakkā bhante sakalaṃ kāyaṃ dassetu’’nti avocāti.

    มหาสมยสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ

    Mahāsamayasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๗. มหาสมยสุตฺตํ • 7. Mahāsamayasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๗. มหาสมยสุตฺตวณฺณนา • 7. Mahāsamayasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact