Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๙. มหาสติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา

    9. Mahāsatipaṭṭhānasuttavaṇṇanā

    อุเทฺทสวารกถาวณฺณนา

    Uddesavārakathāvaṇṇanā

    ๓๗๓. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสติปฎฺฐานสุตฺตํฯ ตตฺรายมปุพฺพปทวณฺณนา – เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺคติ กสฺมา ภควา อิทํ สุตฺตมภาสิ? กุรุรฎฺฐวาสีนํ คมฺภีรเทสนาปฎิคฺคหณสมตฺถตายฯ กุรุรฎฺฐวาสิโน กิร ภิกฺขู ภิกฺขุนิโย อุปาสกา อุปาสิกาโย อุตุปจฺจยาทิสมฺปนฺนตฺตา ตสฺส รฎฺฐสฺส สปฺปายอุตุปจฺจยเสวเนน นิจฺจํ กลฺลสรีรา กลฺลจิตฺตา จ โหนฺติฯ เต จิตฺตสรีรกลฺลตาย อนุคฺคหิตปญฺญาพลา คมฺภีรกถํ ปฎิคฺคเหตุํ สมตฺถา โหนฺติฯ เตน เนสํ ภควา อิมํ คมฺภีรเทสนาปฎิคฺคหณสมตฺถตํ สมฺปสฺสโนฺต เอกวีสติยา ฐาเนสุ กมฺมฎฺฐานํ อรหเตฺต ปกฺขิปิตฺวา อิทํ คมฺภีรตฺถํ มหาสติปฎฺฐานสุตฺตํ อภาสิฯ ยถา หิ ปุริโส สุวณฺณจโงฺกฎกํ ลภิตฺวา ตตฺถ นานาปุปฺผานิ ปกฺขิเปยฺย, สุวณฺณมญฺชูสํ วา ปน ลภิตฺวา สตฺตรตนานิ ปกฺขิเปยฺย, เอวํ ภควา กุรุรฎฺฐวาสิปริสํ ลภิตฺวา คมฺภีรเทสนํ เทเสสิฯ เตเนเวตฺถ อญฺญานิปิ คมฺภีรตฺถานิ อิมสฺมิํ ทีฆนิกาเย มหานิทานํ มชฺฌิมนิกาเย สติปฎฺฐานํ, สาโรปมํ, รุโกฺขปมํ, รฎฺฐปาลํ, มาคณฺฑิยํ, อาเนญฺชสปฺปายนฺติ อญฺญานิปิ สุตฺตานิ เทเสสิฯ

    373.Evaṃme sutanti mahāsatipaṭṭhānasuttaṃ. Tatrāyamapubbapadavaṇṇanā – ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggoti kasmā bhagavā idaṃ suttamabhāsi? Kururaṭṭhavāsīnaṃ gambhīradesanāpaṭiggahaṇasamatthatāya. Kururaṭṭhavāsino kira bhikkhū bhikkhuniyo upāsakā upāsikāyo utupaccayādisampannattā tassa raṭṭhassa sappāyautupaccayasevanena niccaṃ kallasarīrā kallacittā ca honti. Te cittasarīrakallatāya anuggahitapaññābalā gambhīrakathaṃ paṭiggahetuṃ samatthā honti. Tena nesaṃ bhagavā imaṃ gambhīradesanāpaṭiggahaṇasamatthataṃ sampassanto ekavīsatiyā ṭhānesu kammaṭṭhānaṃ arahatte pakkhipitvā idaṃ gambhīratthaṃ mahāsatipaṭṭhānasuttaṃ abhāsi. Yathā hi puriso suvaṇṇacaṅkoṭakaṃ labhitvā tattha nānāpupphāni pakkhipeyya, suvaṇṇamañjūsaṃ vā pana labhitvā sattaratanāni pakkhipeyya, evaṃ bhagavā kururaṭṭhavāsiparisaṃ labhitvā gambhīradesanaṃ desesi. Tenevettha aññānipi gambhīratthāni imasmiṃ dīghanikāye mahānidānaṃ majjhimanikāye satipaṭṭhānaṃ, sāropamaṃ, rukkhopamaṃ, raṭṭhapālaṃ, māgaṇḍiyaṃ, āneñjasappāyanti aññānipi suttāni desesi.

    อปิจ ตสฺมิํ ชนปเท จตโสฺส ปริสา ปกติยาว สติปฎฺฐานภาวนานุโยคมนุยุตฺตา วิหรนฺติ, อนฺตมโส ทาสกมฺมกรปริชานาปิ สติปฎฺฐานปฎิสํยุตฺตเมว กถํ กเถนฺติฯ อุทกติตฺถสุตฺตกนฺตนฎฺฐานาทีสุปิ นิรตฺถกกถา นาม นปฺปวตฺตติฯ สเจ กาจิ อิตฺถี ‘‘อมฺม, ตฺวํ กตรํ สติปฎฺฐานภาวนํ มนสิกโรสี’’ติ ปุจฺฉิตา ‘‘น กิญฺจี’’ติ วทติ, ตํ ครหนฺติ ‘‘ธิรตฺถุ ตว ชีวิตํ, ชีวมานาปิ ตฺวํ มตสทิสา’’ติฯ อถ นํ ‘‘มา ทานิ ปุน เอวมกาสี’’ติ โอวทิตฺวา อญฺญตรํ สติปฎฺฐานํ อุคฺคณฺหาเปนฺติฯ ยา ปน ‘‘อหํ อสุกสติปฎฺฐานํ นาม มนสิกโรมี’’ติ วทติ, ตสฺสา ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สาธุการํ กตฺวา ‘‘ตว ชีวิตํ สุชีวิตํ, ตฺวํ นาม มนุสฺสตฺตํ ปตฺตา, ตวตฺถาย สมฺมาสมฺพุโทฺธ อุปฺปโนฺน’’ติอาทีหิ ปสํสนฺติฯ น เกวลเญฺจตฺถ มนุสฺสชาติกาว สติปฎฺฐานมนสิการยุตฺตา, เต นิสฺสาย วิหรนฺตา ติรจฺฉานคตาปิฯ

    Apica tasmiṃ janapade catasso parisā pakatiyāva satipaṭṭhānabhāvanānuyogamanuyuttā viharanti, antamaso dāsakammakaraparijānāpi satipaṭṭhānapaṭisaṃyuttameva kathaṃ kathenti. Udakatitthasuttakantanaṭṭhānādīsupi niratthakakathā nāma nappavattati. Sace kāci itthī ‘‘amma, tvaṃ kataraṃ satipaṭṭhānabhāvanaṃ manasikarosī’’ti pucchitā ‘‘na kiñcī’’ti vadati, taṃ garahanti ‘‘dhiratthu tava jīvitaṃ, jīvamānāpi tvaṃ matasadisā’’ti. Atha naṃ ‘‘mā dāni puna evamakāsī’’ti ovaditvā aññataraṃ satipaṭṭhānaṃ uggaṇhāpenti. Yā pana ‘‘ahaṃ asukasatipaṭṭhānaṃ nāma manasikaromī’’ti vadati, tassā ‘‘sādhu sādhū’’ti sādhukāraṃ katvā ‘‘tava jīvitaṃ sujīvitaṃ, tvaṃ nāma manussattaṃ pattā, tavatthāya sammāsambuddho uppanno’’tiādīhi pasaṃsanti. Na kevalañcettha manussajātikāva satipaṭṭhānamanasikārayuttā, te nissāya viharantā tiracchānagatāpi.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – เอโก กิร นฎโก สุวโปตกํ คเหตฺวา สิกฺขาเปโนฺต วิจรติฯ โส ภิกฺขุนุปสฺสยํ อุปนิสฺสาย วสิตฺวา คมนกาเล สุวโปตกํ ปมุสฺสิตฺวา คโตฯ ตํ สามเณริโย คเหตฺวา ปฎิชคฺคิํสุฯ พุทฺธรกฺขิโต ติสฺส นามํ อกํสุฯ ตํ เอกทิวสํ ปุรโต นิสินฺนํ ทิสฺวา มหาเถรี อาห – ‘‘พุทฺธรกฺขิตา’’ติฯ กิํ, อเยฺยติ? อตฺถิ เต โกจิ ภาวนามนสิกาโรติ? นตฺถิ, อเยฺยติฯ อาวุโส, ปพฺพชิตานํ สนฺติเก วสเนฺตน นาม วิสฺสฎฺฐอตฺตภาเวน ภวิตุํ น วฎฺฎติ, โกจิเทว มนสิกาโร อิจฺฉิตโพฺพ, ตฺวํ ปน อญฺญํ น สกฺขิสฺสสิ, ‘‘อฎฺฐิ อฎฺฐี’’ติ สชฺฌายํ กโรหีติฯ โส เถริยา โอวาเท ฐตฺวา ‘‘อฎฺฐิ อฎฺฐี’’ติ สชฺฌายโนฺต จรติฯ

    Tatridaṃ vatthu – eko kira naṭako suvapotakaṃ gahetvā sikkhāpento vicarati. So bhikkhunupassayaṃ upanissāya vasitvā gamanakāle suvapotakaṃ pamussitvā gato. Taṃ sāmaṇeriyo gahetvā paṭijaggiṃsu. Buddharakkhito tissa nāmaṃ akaṃsu. Taṃ ekadivasaṃ purato nisinnaṃ disvā mahātherī āha – ‘‘buddharakkhitā’’ti. Kiṃ, ayyeti? Atthi te koci bhāvanāmanasikāroti? Natthi, ayyeti. Āvuso, pabbajitānaṃ santike vasantena nāma vissaṭṭhaattabhāvena bhavituṃ na vaṭṭati, kocideva manasikāro icchitabbo, tvaṃ pana aññaṃ na sakkhissasi, ‘‘aṭṭhi aṭṭhī’’ti sajjhāyaṃ karohīti. So theriyā ovāde ṭhatvā ‘‘aṭṭhi aṭṭhī’’ti sajjhāyanto carati.

    ตํ เอกทิวสํ ปาโตว โตรณเคฺค นิสีทิตฺวา พาลาตปํ ตปมานํ เอโก สกุโณ นขปญฺชเรน อคฺคเหสิฯ โส ‘‘กิริ กิรี’’ติ สทฺทมกาสิฯ สามเณริโย สุตฺวา ‘‘อเยฺย พุทฺธรกฺขิโต สกุเณน คหิโต, โมเจม น’’นฺติ เลฑฺฑุอาทีนิ คเหตฺวา อนุพนฺธิตฺวา โมเจสุํ ฯ ตํ อาเนตฺวา ปุรโต ฐปิตํ เถรี อาห – ‘‘พุทฺธรกฺขิต, สกุเณน คหิตกาเล กิํ จิเนฺตสี’’ติ? น, อเยฺย, อญฺญํ กิญฺจิ จิเนฺตสิํ, อฎฺฐิปุโญฺชว อฎฺฐิปุญฺชํ คเหตฺวา คจฺฉติ, กตรสฺมิํ ฐาเน วิปฺปกิริสฺสตีติ, เอวํ อเยฺย อฎฺฐิปุญฺชเมว จิเนฺตสินฺติฯ สาธุ, สาธุ, พุทฺธรกฺขิต, อนาคเต ภวกฺขยสฺส เต ปจฺจโย ภวิสฺสตีติฯ เอวํ ตตฺถ ติรจฺฉานคตาปิ สติปฎฺฐานมนสิการยุตฺตาฯ ตสฺมา เนสํ ภควา สติปฎฺฐานพุทฺธิเมว ชเนโนฺต อิทํ สุตฺตมภาสิฯ

    Taṃ ekadivasaṃ pātova toraṇagge nisīditvā bālātapaṃ tapamānaṃ eko sakuṇo nakhapañjarena aggahesi. So ‘‘kiri kirī’’ti saddamakāsi. Sāmaṇeriyo sutvā ‘‘ayye buddharakkhito sakuṇena gahito, mocema na’’nti leḍḍuādīni gahetvā anubandhitvā mocesuṃ . Taṃ ānetvā purato ṭhapitaṃ therī āha – ‘‘buddharakkhita, sakuṇena gahitakāle kiṃ cintesī’’ti? Na, ayye, aññaṃ kiñci cintesiṃ, aṭṭhipuñjova aṭṭhipuñjaṃ gahetvā gacchati, katarasmiṃ ṭhāne vippakirissatīti, evaṃ ayye aṭṭhipuñjameva cintesinti. Sādhu, sādhu, buddharakkhita, anāgate bhavakkhayassa te paccayo bhavissatīti. Evaṃ tattha tiracchānagatāpi satipaṭṭhānamanasikārayuttā. Tasmā nesaṃ bhagavā satipaṭṭhānabuddhimeva janento idaṃ suttamabhāsi.

    ตตฺถ เอกายโนติ เอกมโคฺคฯ มคฺคสฺส หิ –

    Tattha ekāyanoti ekamaggo. Maggassa hi –

    ‘‘มโคฺค ปโนฺถ ปโถ ปโชฺช, อญฺชสํ วฎุมายนํ;

    ‘‘Maggo pantho patho pajjo, añjasaṃ vaṭumāyanaṃ;

    นาวา อุตฺตรเสตู จ, กุโลฺล จ ภิสิสงฺกโม’’ติฯ

    Nāvā uttarasetū ca, kullo ca bhisisaṅkamo’’ti.

    พหูนิ นามานิฯ สฺวายมิธ อยนนาเมน วุโตฺต, ตสฺมา เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺคติ เอตฺถ เอกมโคฺค อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค น ทฺวิธา ปถภูโตติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อถ วา เอเกน อยิตโพฺพติ เอกายโนฯ เอเกนาติ คณสงฺคณิกํ ปหาย วูปกเฎฺฐน ปวิวิตฺตจิเตฺตนฯ อยิตโพฺพ ปฎิปชฺชิตโพฺพ, อยนฺติ วา เอเตนาติ อยโน, สํสารโต นิพฺพานํ คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ เอกสฺส อยโน เอกายโนฯ เอกสฺสาติ เสฎฺฐสฺสฯ สพฺพสตฺตเสโฎฺฐ จ ภควา, ตสฺมา ภควโตติ วุตฺตํ โหติฯ กิญฺจาปิ หิ เตน อเญฺญปิ อยนฺติ, เอวํ สเนฺตปิ ภควโตว โส อยโน เตน อุปฺปาทิตตฺตาฯ ยถาห ‘‘โส หิ, พฺราหฺมณ, ภควา อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๗๙)ฯ อยตีติ วา อยโน, คจฺฉติ ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ เอกสฺมิํ อยโนติ เอกายโน, อิมสฺมิเญฺญว ธมฺมวินเย ปวตฺตติ, น อญฺญตฺถาติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห – ‘‘อิมสฺมิํ โข, สุภทฺท, ธมฺมวินเย อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค อุปลพฺภตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๔)ฯ เทสนาเภโทเยว เหโส, อตฺถโต ปน เอโกวฯ อปิจ เอกํ อยตีติ เอกายโนฯ ปุพฺพภาเค นานามุขภาวนานยปฺปวโตฺตปิ อปรภาเค เอกํ นิพฺพานเมว คจฺฉตีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถาห พฺรหฺมา สหมฺปติ –

    Bahūni nāmāni. Svāyamidha ayananāmena vutto, tasmā ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggoti ettha ekamaggo ayaṃ, bhikkhave, maggo na dvidhā pathabhūtoti evamattho daṭṭhabbo. Atha vā ekena ayitabboti ekāyano. Ekenāti gaṇasaṅgaṇikaṃ pahāya vūpakaṭṭhena pavivittacittena. Ayitabbo paṭipajjitabbo, ayanti vā etenāti ayano, saṃsārato nibbānaṃ gacchantīti attho. Ekassa ayano ekāyano. Ekassāti seṭṭhassa. Sabbasattaseṭṭho ca bhagavā, tasmā bhagavatoti vuttaṃ hoti. Kiñcāpi hi tena aññepi ayanti, evaṃ santepi bhagavatova so ayano tena uppāditattā. Yathāha ‘‘so hi, brāhmaṇa, bhagavā anuppannassa maggassa uppādetā’’tiādi (ma. ni. 3.79). Ayatīti vā ayano, gacchati pavattatīti attho. Ekasmiṃ ayanoti ekāyano, imasmiññeva dhammavinaye pavattati, na aññatthāti vuttaṃ hoti. Yathāha – ‘‘imasmiṃ kho, subhadda, dhammavinaye ariyo aṭṭhaṅgiko maggo upalabbhatī’’ti (dī. ni. 2.214). Desanābhedoyeva heso, atthato pana ekova. Apica ekaṃ ayatīti ekāyano. Pubbabhāge nānāmukhabhāvanānayappavattopi aparabhāge ekaṃ nibbānameva gacchatīti vuttaṃ hoti. Yathāha brahmā sahampati –

    เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี,

    Ekāyanaṃ jātikhayantadassī,

    มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี;

    Maggaṃ pajānāti hitānukampī;

    เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ,

    Etena maggena tariṃsu pubbe,

    ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆนฺติฯ (สํ. นิ. ๕.๔๐๙);

    Tarissanti ye ca taranti oghanti. (saṃ. ni. 5.409);

    เกจิ ปน ‘‘น ปารํ ทิคุณํ ยนฺตี’’ติ คาถานเยน ยสฺมา เอกวารํ นิพฺพานํ คจฺฉติ, ตสฺมา ‘‘เอกายโน’’ติ วทนฺติ, ตํ น ยุชฺชติฯ อิมสฺส หิ อตฺถสฺส สกิํ อยโนติ อิมินา พฺยญฺชเนน ภวิตพฺพํฯ ยทิ ปน เอกํ อยนมสฺส เอกา คติ ปวตฺตีติ เอวํ อตฺถํ โยเชตฺวา วุเจฺจยฺย, พฺยญฺชนํ ยุเชฺชยฺย, อโตฺถ ปน อุภยถาปิ น ยุชฺชติฯ กสฺมา? อิธ ปุพฺพภาคมคฺคสฺส อธิเปฺปตตฺตาฯ กายาทิจตุอารมฺมณปฺปวโตฺต หิ ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺค อิธาธิเปฺปโต, น โลกุตฺตโร, โส จ อเนกวารมฺปิ อยติ, อเนกญฺจสฺส อยนํ โหติฯ

    Keci pana ‘‘na pāraṃ diguṇaṃ yantī’’ti gāthānayena yasmā ekavāraṃ nibbānaṃ gacchati, tasmā ‘‘ekāyano’’ti vadanti, taṃ na yujjati. Imassa hi atthassa sakiṃ ayanoti iminā byañjanena bhavitabbaṃ. Yadi pana ekaṃ ayanamassa ekā gati pavattīti evaṃ atthaṃ yojetvā vucceyya, byañjanaṃ yujjeyya, attho pana ubhayathāpi na yujjati. Kasmā? Idha pubbabhāgamaggassa adhippetattā. Kāyādicatuārammaṇappavatto hi pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggo idhādhippeto, na lokuttaro, so ca anekavārampi ayati, anekañcassa ayanaṃ hoti.

    ปุเพฺพปิ จ อิมสฺมิํ ปเท มหาเถรานํ สากจฺฉา อโหสิเยวฯ ติปิฎกจูฬนาคเตฺถโร ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺคติ อาหฯ อาจริโย ปนสฺส ติปิฎกจูฬสุมเตฺถโร มิสฺสกมโคฺคติ อาหฯ ปุพฺพภาโค ภเนฺตติ? มิสฺสโก, อาวุโสติฯ อาจริเย ปน ปุนปฺปุนํ ภณเนฺต อปฺปฎิพาหิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ปญฺหํ อวินิจฺฉินิตฺวาว อุฎฺฐหิํสุฯ อถาจริยเตฺถโร นหานโกฎฺฐกํ คจฺฉโนฺต ‘‘มยา มิสฺสกมโคฺค กถิโต, จูฬนาโค ปุพฺพภาคมโคฺคติ อาทาย โวหรติ, โก นุ โข เอตฺถ นิจฺฉโย’’ติ สุตฺตนฺตํ อาทิโต ปฎฺฐาย ปริวเตฺตโนฺต ‘‘โย หิ โกจิ , ภิกฺขเว, อิเม จตฺตาโร สติปฎฺฐาเน เอวํ ภาเวยฺย สตฺต วสฺสานี’’ติ อิมสฺมิํ ฐาเน สลฺลเกฺขสิฯ โลกุตฺตรมโคฺค อุปฺปชฺชิตฺวา สตฺต วสฺสานิ ติฎฺฐมาโน นาม นตฺถิ, มยา วุโตฺต มิสฺสกมโคฺค น ลพฺภติฯ จูฬนาเคน ทิโฎฺฐ ปุพฺพภาคมโคฺคว ลพฺภตีติ ญตฺวา อฎฺฐมิยํ ธมฺมสวเน สงฺฆุเฎฺฐ อคมาสิฯ

    Pubbepi ca imasmiṃ pade mahātherānaṃ sākacchā ahosiyeva. Tipiṭakacūḷanāgatthero pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggoti āha. Ācariyo panassa tipiṭakacūḷasumatthero missakamaggoti āha. Pubbabhāgo bhanteti? Missako, āvusoti. Ācariye pana punappunaṃ bhaṇante appaṭibāhitvā tuṇhī ahosi. Pañhaṃ avinicchinitvāva uṭṭhahiṃsu. Athācariyatthero nahānakoṭṭhakaṃ gacchanto ‘‘mayā missakamaggo kathito, cūḷanāgo pubbabhāgamaggoti ādāya voharati, ko nu kho ettha nicchayo’’ti suttantaṃ ādito paṭṭhāya parivattento ‘‘yo hi koci , bhikkhave, ime cattāro satipaṭṭhāne evaṃ bhāveyya satta vassānī’’ti imasmiṃ ṭhāne sallakkhesi. Lokuttaramaggo uppajjitvā satta vassāni tiṭṭhamāno nāma natthi, mayā vutto missakamaggo na labbhati. Cūḷanāgena diṭṭho pubbabhāgamaggova labbhatīti ñatvā aṭṭhamiyaṃ dhammasavane saṅghuṭṭhe agamāsi.

    โปราณกเตฺถรา กิร ปิยธมฺมสวนา โหนฺติ, สทฺทํ สุตฺวาว ‘‘อหํ ปฐมํ, อหํ ปฐม’’นฺติ เอกปฺปหาเรเนว โอสรนฺติฯ ตสฺมิญฺจ ทิวเส จูฬนาคเตฺถรสฺส วาโร, เตน ธมฺมาสเน นิสีทิตฺวา พีชนิํ คเหตฺวา ปุพฺพคาถาสุ วุตฺตาสุ เถรสฺส อาสนปิฎฺฐิยํ ฐิตสฺส เอตทโหสิ – ‘‘รโห นิสีทิตฺวา น วกฺขามี’’ติฯ โปราณกเตฺถรา หิ อนุสูยกา โหนฺติฯ น อตฺตโน รุจิเมว อุจฺฉุภารํ วิย เอวํ อุกฺขิปิตฺวา วิจรนฺติ, การณเมว คณฺหนฺติ, อการณํ วิสฺสเชฺชนฺติฯ ตสฺมา เถโร ‘‘อาวุโส, จูฬนาคา’’ติ อาหฯ โส อาจริยสฺส วิย สโทฺทติ ธมฺมํ ฐเปตฺวา ‘‘กิํ ภเนฺต’’ติ อาหฯ อาวุโส, จูฬนาค, มยา วุโตฺต มิสฺสกมโคฺค น ลพฺภติ, ตยา วุโตฺต ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺคว ลพฺภตีติฯ เถโร จิเนฺตสิ – ‘‘อมฺหากํ อาจริโย สพฺพปริยตฺติโก เตปิฎโก สุตพุโทฺธ, เอวรูปสฺสาปิ นาม ภิกฺขุโน อยํ ปโญฺห อาลุเฬติ, อนาคเต มม ภาติกา อิมํ ปญฺหํ อาลุเฬสฺสนฺตีติ สุตฺตํ คเหตฺวา อิมํ ปญฺหํ นิจฺจลํ กริสฺสามี’’ติ ปฎิสมฺภิทามคฺคโต ‘‘เอกายนมโคฺค วุจฺจติ ปุพฺพภาคสติปฎฺฐานมโคฺค’’ฯ

    Porāṇakattherā kira piyadhammasavanā honti, saddaṃ sutvāva ‘‘ahaṃ paṭhamaṃ, ahaṃ paṭhama’’nti ekappahāreneva osaranti. Tasmiñca divase cūḷanāgattherassa vāro, tena dhammāsane nisīditvā bījaniṃ gahetvā pubbagāthāsu vuttāsu therassa āsanapiṭṭhiyaṃ ṭhitassa etadahosi – ‘‘raho nisīditvā na vakkhāmī’’ti. Porāṇakattherā hi anusūyakā honti. Na attano rucimeva ucchubhāraṃ viya evaṃ ukkhipitvā vicaranti, kāraṇameva gaṇhanti, akāraṇaṃ vissajjenti. Tasmā thero ‘‘āvuso, cūḷanāgā’’ti āha. So ācariyassa viya saddoti dhammaṃ ṭhapetvā ‘‘kiṃ bhante’’ti āha. Āvuso, cūḷanāga, mayā vutto missakamaggo na labbhati, tayā vutto pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggova labbhatīti. Thero cintesi – ‘‘amhākaṃ ācariyo sabbapariyattiko tepiṭako sutabuddho, evarūpassāpi nāma bhikkhuno ayaṃ pañho āluḷeti, anāgate mama bhātikā imaṃ pañhaṃ āluḷessantīti suttaṃ gahetvā imaṃ pañhaṃ niccalaṃ karissāmī’’ti paṭisambhidāmaggato ‘‘ekāyanamaggo vuccati pubbabhāgasatipaṭṭhānamaggo’’.

    มคฺคานฎฺฐงฺคิโก เสโฎฺฐ, สจฺจานํ จตุโร ปทา;

    Maggānaṭṭhaṅgiko seṭṭho, saccānaṃ caturo padā;

    วิราโค เสโฎฺฐ ธมฺมานํ, ทฺวิปทานญฺจ จกฺขุมาฯ

    Virāgo seṭṭho dhammānaṃ, dvipadānañca cakkhumā.

    เอเสว มโคฺค นตฺถโญฺญ, ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา;

    Eseva maggo natthañño, dassanassa visuddhiyā;

    เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฎิปชฺชถ, มารเสนปฺปมทฺทนํ;

    Etañhi tumhe paṭipajjatha, mārasenappamaddanaṃ;

    เอตญฺหิ ตุเมฺห ปฎิปนฺนา, ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถาติฯ –

    Etañhi tumhe paṭipannā, dukkhassantaṃ karissathāti. –

    สุตฺตํ อาหริตฺวา ฐเปสิฯ

    Suttaṃ āharitvā ṭhapesi.

    มโคฺคติ เกนเฎฺฐน มโคฺค? นิพฺพานคมนเฎฺฐน นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคนียเฎฺฐน จฯ สตฺตานํ วิสุทฺธิยาติ ราคาทีหิ มเลหิ อภิชฺฌาวิสมโลภาทีหิ จ อุปกฺกิเลเสหิ กิลิฎฺฐจิตฺตานํ สตฺตานํ วิสุทฺธตฺถายฯ ตถา หิ อิมินาว มเคฺคน อิโต สตสหสฺสกปฺปาธิกานํ จตุนฺนํ อสเงฺขฺยยฺยานํ อุปริ เอกสฺมิํเยว กเปฺป นิพฺพเตฺต ตณฺหงฺกรเมธงฺกรสรณงฺกรทีปงฺกรนามเก พุเทฺธ อาทิํ กตฺวา สกฺยมุนิปริโยสานา อเนเก สมฺมาสมฺพุทฺธา อเนกสตา ปเจฺจกพุทฺธา คณนปถํ วีติวตฺตา อริยสาวกา จาติ อิเม สตฺตา สเพฺพ จิตฺตมลํ ปวาเหตฺวา ปรมวิสุทฺธิํ ปตฺตาฯ รูปมลวเสน ปน สํกิเลสโวทานปญฺญตฺติเยว นตฺถิฯ ตถา หิ –

    Maggoti kenaṭṭhena maggo? Nibbānagamanaṭṭhena nibbānatthikehi magganīyaṭṭhena ca. Sattānaṃ visuddhiyāti rāgādīhi malehi abhijjhāvisamalobhādīhi ca upakkilesehi kiliṭṭhacittānaṃ sattānaṃ visuddhatthāya. Tathā hi imināva maggena ito satasahassakappādhikānaṃ catunnaṃ asaṅkhyeyyānaṃ upari ekasmiṃyeva kappe nibbatte taṇhaṅkaramedhaṅkarasaraṇaṅkaradīpaṅkaranāmake buddhe ādiṃ katvā sakyamunipariyosānā aneke sammāsambuddhā anekasatā paccekabuddhā gaṇanapathaṃ vītivattā ariyasāvakā cāti ime sattā sabbe cittamalaṃ pavāhetvā paramavisuddhiṃ pattā. Rūpamalavasena pana saṃkilesavodānapaññattiyeva natthi. Tathā hi –

    ‘‘รูเปน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;

    ‘‘Rūpena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;

    รูเป สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อนกฺขาตํ มเหสินาฯ

    Rūpe suddhe visujjhanti, anakkhātaṃ mahesinā.

    จิเตฺตน สํกิลิเฎฺฐน, สํกิลิสฺสนฺติ มาณวา;

    Cittena saṃkiliṭṭhena, saṃkilissanti māṇavā;

    จิเตฺต สุเทฺธ วิสุชฺฌนฺติ, อิติ วุตฺตํ มเหสินา’’ฯ

    Citte suddhe visujjhanti, iti vuttaṃ mahesinā’’.

    ยถาห – ‘‘จิตฺตสํกิเลสา, ภิกฺขเว, สตฺตา สํกิลิสฺสนฺติ, จิตฺตโวทานา วิสุชฺฌนฺตี’’ติฯ ตญฺจ จิตฺตโวทานํ อิมินา สติปฎฺฐานมเคฺคน โหติฯ เตนาห ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติฯ

    Yathāha – ‘‘cittasaṃkilesā, bhikkhave, sattā saṃkilissanti, cittavodānā visujjhantī’’ti. Tañca cittavodānaṃ iminā satipaṭṭhānamaggena hoti. Tenāha ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti.

    โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายาติ โสกสฺส จ ปริเทวสฺส จ สมติกฺกมาย ปหานายาติ อโตฺถ, อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต สนฺตติมหามตฺตาทีนํ วิย โสกสมติกฺกมาย, ปฎาจาราทีนํ วิย ปริเทวสมติกฺกมาย สํวตฺตติฯ เตนาห ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติฯ กิญฺจาปิ หิ สนฺตติมหามโตฺต –

    Sokaparidevānaṃ samatikkamāyāti sokassa ca paridevassa ca samatikkamāya pahānāyāti attho, ayañhi maggo bhāvito santatimahāmattādīnaṃ viya sokasamatikkamāya, paṭācārādīnaṃ viya paridevasamatikkamāya saṃvattati. Tenāha ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’ti. Kiñcāpi hi santatimahāmatto –

    ‘‘ยํ ปุเพฺพ ตํ วิโสเธหิ, ปจฺฉา เต มาตุ กิญฺจนํ;

    ‘‘Yaṃ pubbe taṃ visodhehi, pacchā te mātu kiñcanaṃ;

    มเชฺฌ เจ โน คเหสฺสสิ, อุปสโนฺต จริสฺสสี’’ติฯ (สุ. นิ. ๙๔๕);

    Majjhe ce no gahessasi, upasanto carissasī’’ti. (su. ni. 945);

    อิมํ คาถํ สุตฺวาว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปโตฺตฯ ปฎาจารา –

    Imaṃ gāthaṃ sutvāva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patto. Paṭācārā –

    ‘‘น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย, น ปิตา นาปิ พนฺธวา;

    ‘‘Na santi puttā tāṇāya, na pitā nāpi bandhavā;

    อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส, นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา’’ติฯ (ธ. ป. ๒๘๘);

    Antakenādhipannassa, natthi ñātīsu tāṇatā’’ti. (dha. pa. 288);

    อิมํ คาถํ สุตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐิตาฯ ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธเมฺมสุ กญฺจิ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ, ตสฺมา เตปิ อิมินาว มเคฺคน โสกปริเทเว สมติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Imaṃ gāthaṃ sutvā sotāpattiphale patiṭṭhitā. Yasmā pana kāyavedanācittadhammesu kañci dhammaṃ anāmasitvā bhāvanā nāma natthi, tasmā tepi imināva maggena sokaparideve samatikkantāti veditabbā.

    ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมายาติ กายิกทุกฺขสฺส เจตสิกโทมนสฺสสฺส จาติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ อตฺถงฺคมาย, นิโรธายาติ อโตฺถฯ อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต ติสฺสเตฺถราทีนํ วิย ทุกฺขสฺส, สกฺกาทีนํ วิย จ โทมนสฺสสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตติฯ

    Dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamāyāti kāyikadukkhassa cetasikadomanassassa cāti imesaṃ dvinnaṃ atthaṅgamāya, nirodhāyāti attho. Ayañhi maggo bhāvito tissattherādīnaṃ viya dukkhassa, sakkādīnaṃ viya ca domanassassa atthaṅgamāya saṃvattati.

    ตตฺรายํ อตฺถทีปนา – สาวตฺถิยํ กิร ติโสฺส นาม กุฎุมฺพิกปุโตฺต จตฺตาลีส หิรญฺญโกฎิโย ปหาย ปพฺพชิตฺวา อคามเก อรเญฺญ วิหรติฯ ตสฺส กนิฎฺฐภาตุ ภริยา ‘‘คจฺฉถ, นํ ชีวิตา โวโรเปถา’’ติ ปญฺจสเต โจเร เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา เถรํ ปริวาเรตฺวา นิสีทิํสุฯ เถโร อาห – ‘‘กสฺมา อาคตตฺถ อุปาสกา’’ติ? ตํ ชีวิตา โวโรเปสฺสามาติฯ ปาฎิโภคํ เม อุปาสกา, คเหตฺวา อเชฺชกรตฺติํ ชีวิตํ เทถาติฯ โก เต, สมณ, อิมสฺมิํ ฐาเน ปาฎิโภโค ภวิสฺสตีติ? เถโร มหนฺตํ ปาสาณํ คเหตฺวา เทฺว อูรุฎฺฐีนิ ภินฺทิตฺวา ‘‘วฎฺฎติ อุปาสกา ปาฎิโภโค’’ติ อาหฯ เต อปกฺกมิตฺวา จงฺกมนสีเส อคฺคิํ กตฺวา นิปชฺชิํสุฯ เถรสฺส เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา สีลํ ปจฺจเวกฺขโต ปริสุทฺธํ สีลํ นิสฺสาย ปีติปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชิฯ ตโต อนุกฺกเมน วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต ติยามรตฺติํ สมณธมฺมํ กตฺวา อรุณุคฺคมเน อรหตฺตํ ปโตฺต อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Tatrāyaṃ atthadīpanā – sāvatthiyaṃ kira tisso nāma kuṭumbikaputto cattālīsa hiraññakoṭiyo pahāya pabbajitvā agāmake araññe viharati. Tassa kaniṭṭhabhātu bhariyā ‘‘gacchatha, naṃ jīvitā voropethā’’ti pañcasate core pesesi. Te gantvā theraṃ parivāretvā nisīdiṃsu. Thero āha – ‘‘kasmā āgatattha upāsakā’’ti? Taṃ jīvitā voropessāmāti. Pāṭibhogaṃ me upāsakā, gahetvā ajjekarattiṃ jīvitaṃ dethāti. Ko te, samaṇa, imasmiṃ ṭhāne pāṭibhogo bhavissatīti? Thero mahantaṃ pāsāṇaṃ gahetvā dve ūruṭṭhīni bhinditvā ‘‘vaṭṭati upāsakā pāṭibhogo’’ti āha. Te apakkamitvā caṅkamanasīse aggiṃ katvā nipajjiṃsu. Therassa vedanaṃ vikkhambhetvā sīlaṃ paccavekkhato parisuddhaṃ sīlaṃ nissāya pītipāmojjaṃ uppajji. Tato anukkamena vipassanaṃ vaḍḍhento tiyāmarattiṃ samaṇadhammaṃ katvā aruṇuggamane arahattaṃ patto imaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา, สญฺญเปสฺสามิ โว อหํ;

    ‘‘Ubho pādāni bhinditvā, saññapessāmi vo ahaṃ;

    อฎฺฎิยามิ หรายามิ, สราคมรณํ อหํฯ

    Aṭṭiyāmi harāyāmi, sarāgamaraṇaṃ ahaṃ.

    เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน, ยถาภูตํ วิปสฺสิสํ;

    Evāhaṃ cintayitvāna, yathābhūtaṃ vipassisaṃ;

    สมฺปเตฺต อรุณุคฺคมฺหิ, อรหตฺตมปาปุณิ’’นฺติฯ

    Sampatte aruṇuggamhi, arahattamapāpuṇi’’nti.

    อปเรปิ ติํส ภิกฺขู ภควโต สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อรญฺญวิหาเร วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ‘‘อาวุโส, ติยามรตฺติํ สมณธโมฺมว กาตโพฺพ, น อญฺญมญฺญสฺส สนฺติกํ อาคนฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา วิหริํสุฯ เตสํ สมณธมฺมํ กตฺวา ปจฺจูสสมเย ปจลายนฺตานํ เอโก พฺยโคฺฆ อาคนฺตฺวา เอเกกํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา คจฺฉติฯ น โกจิ ‘‘มํ พฺยโคฺฆ คณฺหี’’ติ วาจมฺปิ นิจฺฉาเรสิฯ เอวํ ปญฺจสุ ทสสุ ภิกฺขูสุ ขาทิเตสุ อุโปสถทิวเส ‘‘อิตเร, อาวุโส , กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ญตฺวา จ ‘‘อิทานิ คหิเตน คหิโตมฺหีติ วตฺตพฺพ’’นฺติ วตฺวา วิหริํสุ ฯ อถ อญฺญตรํ ทหรภิกฺขุํ ปุริมนเยเนว พฺยโคฺฆ คณฺหิฯ โส ‘‘พฺยโคฺฆ ภเนฺต’’ติ อาหฯ ภิกฺขู กตฺตรทเณฺฑ จ อุกฺกาโย จ คเหตฺวา โมเจสฺสามาติ อนุพนฺธิํสุฯ พฺยโคฺฆ ภิกฺขูนํ อคติํ ฉินฺนตฎฎฺฐานมารุยฺห ตํ ภิกฺขุํ ปาทงฺคุฎฺฐกโต ปฎฺฐาย ขาทิตุํ อารภิฯ อิตเรปิ ‘‘อิทานิ สปฺปุริส, อเมฺหหิ กตฺตพฺพํ นตฺถิ, ภิกฺขูนํ วิเสโส นาม เอวรูเป ฐาเน ปญฺญายตี’’ติ อาหํสุฯ โส พฺยคฺฆมุเข นิปโนฺนว ตํ เวทนํ วิกฺขเมฺภตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต ยาว โคปฺผกา ขาทิตสมเย โสตาปโนฺน หุตฺวา, ยาว ชณฺณุกา ขาทิตสมเย สกทาคามี, ยาว นาภิยา ขาทิตสมเย อนาคามี หุตฺวา, หทยรูเป อขาทิเตเยว สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Aparepi tiṃsa bhikkhū bhagavato santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā araññavihāre vassaṃ upagantvā ‘‘āvuso, tiyāmarattiṃ samaṇadhammova kātabbo, na aññamaññassa santikaṃ āgantabba’’nti vatvā vihariṃsu. Tesaṃ samaṇadhammaṃ katvā paccūsasamaye pacalāyantānaṃ eko byaggho āgantvā ekekaṃ bhikkhuṃ gahetvā gacchati. Na koci ‘‘maṃ byaggho gaṇhī’’ti vācampi nicchāresi. Evaṃ pañcasu dasasu bhikkhūsu khāditesu uposathadivase ‘‘itare, āvuso , kuhi’’nti pucchitvā ñatvā ca ‘‘idāni gahitena gahitomhīti vattabba’’nti vatvā vihariṃsu . Atha aññataraṃ daharabhikkhuṃ purimanayeneva byaggho gaṇhi. So ‘‘byaggho bhante’’ti āha. Bhikkhū kattaradaṇḍe ca ukkāyo ca gahetvā mocessāmāti anubandhiṃsu. Byaggho bhikkhūnaṃ agatiṃ chinnataṭaṭṭhānamāruyha taṃ bhikkhuṃ pādaṅguṭṭhakato paṭṭhāya khādituṃ ārabhi. Itarepi ‘‘idāni sappurisa, amhehi kattabbaṃ natthi, bhikkhūnaṃ viseso nāma evarūpe ṭhāne paññāyatī’’ti āhaṃsu. So byagghamukhe nipannova taṃ vedanaṃ vikkhambhetvā vipassanaṃ vaḍḍhento yāva gopphakā khāditasamaye sotāpanno hutvā, yāva jaṇṇukā khāditasamaye sakadāgāmī, yāva nābhiyā khāditasamaye anāgāmī hutvā, hadayarūpe akhāditeyeva saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā imaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘สีลวา วตสมฺปโนฺน, ปญฺญวา สุสมาหิโต;

    ‘‘Sīlavā vatasampanno, paññavā susamāhito;

    มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย, พฺยเคฺฆโนรุทฺธมานโสฯ

    Muhuttaṃ pamādamanvāya, byagghenoruddhamānaso.

    ปญฺชรสฺมิํ คเหตฺวาน, สิลาย อุปรี กโต;

    Pañjarasmiṃ gahetvāna, silāya uparī kato;

    กามํ ขาทตุ มํ พฺยโคฺฆ, อฎฺฐิยา จ นฺหารุสฺส จ;

    Kāmaṃ khādatu maṃ byaggho, aṭṭhiyā ca nhārussa ca;

    กิเลเส เขปยิสฺสามิ, ผุสิสฺสามิ วิมุตฺติย’’นฺติฯ

    Kilese khepayissāmi, phusissāmi vimuttiya’’nti.

    อปโรปิ ปีตมลฺลเตฺถโร นาม คิหิกาเล ตีสุ รเชฺชสุ ปฎากํ คเหตฺวา ตมฺพปณฺณิทีปํ อาคมฺม ราชานํ ปสฺสิตฺวา รญฺญา กตานุคฺคโห เอกทิวสํ กิลญฺชกาปณสาลทฺวาเรน คจฺฉโนฺต ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถ, ตํ โว ปหีนํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ภวิสฺสตี’’ติ น ตุมฺหากวากฺยํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘เนว กิร รูปํ อตฺตโน, น เวทนา’’ติฯ โส ตํเยว องฺกุสํ กตฺวา นิกฺขมิตฺวา มหาวิหารํ คนฺตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชิโต อุปสมฺปโนฺน เทฺวมาติกา ปคุณา กตฺวา ติํส ภิกฺขู คเหตฺวา คพลวาลิยองฺคณํ คนฺตฺวา สมณธมฺมํ อกาสิฯ ปาเทสุ อวหเนฺตสุ ชณฺณุเกหิ จงฺกมติฯ ตเมนํ รตฺติํ เอโก มิคลุทฺทโก มิโคติ มญฺญมาโน ปหริฯ สตฺติ วินิวิชฺฌิตฺวา คตา, โส ตํ สตฺติํ หราเปตฺวา ปหรณมุขานิ ติณวฎฺฎิยา ปูราเปตฺวา ปาสาณปิฎฺฐิยํ อตฺตานํ นิสีทาเปตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปตฺวา อุกฺกาสิตสเทฺทน อาคตานํ ภิกฺขูนํ พฺยากริตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ –

    Aparopi pītamallatthero nāma gihikāle tīsu rajjesu paṭākaṃ gahetvā tambapaṇṇidīpaṃ āgamma rājānaṃ passitvā raññā katānuggaho ekadivasaṃ kilañjakāpaṇasāladvārena gacchanto ‘‘rūpaṃ, bhikkhave, na tumhākaṃ, taṃ pajahatha, taṃ vo pahīnaṃ dīgharattaṃ hitāya sukhāya bhavissatī’’ti na tumhākavākyaṃ sutvā cintesi ‘‘neva kira rūpaṃ attano, na vedanā’’ti. So taṃyeva aṅkusaṃ katvā nikkhamitvā mahāvihāraṃ gantvā pabbajjaṃ yācitvā pabbajito upasampanno dvemātikā paguṇā katvā tiṃsa bhikkhū gahetvā gabalavāliyaaṅgaṇaṃ gantvā samaṇadhammaṃ akāsi. Pādesu avahantesu jaṇṇukehi caṅkamati. Tamenaṃ rattiṃ eko migaluddako migoti maññamāno pahari. Satti vinivijjhitvā gatā, so taṃ sattiṃ harāpetvā paharaṇamukhāni tiṇavaṭṭiyā pūrāpetvā pāsāṇapiṭṭhiyaṃ attānaṃ nisīdāpetvā okāsaṃ kāretvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ patvā ukkāsitasaddena āgatānaṃ bhikkhūnaṃ byākaritvā imaṃ udānaṃ udānesi –

    ‘‘ภาสิตํ พุทฺธเสฎฺฐสฺส, สพฺพโลกคฺควาทิโน;

    ‘‘Bhāsitaṃ buddhaseṭṭhassa, sabbalokaggavādino;

    น ตุมฺหากมิทํ รูปํ, ตํ ชเหยฺยาถ ภิกฺขโวฯ

    Na tumhākamidaṃ rūpaṃ, taṃ jaheyyātha bhikkhavo.

    อนิจฺจา วต สงฺขารา, อุปฺปาทวยธมฺมิโน;

    Aniccā vata saṅkhārā, uppādavayadhammino;

    อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, เตสํ วูปสโม สุโข’’ติฯ

    Uppajjitvā nirujjhanti, tesaṃ vūpasamo sukho’’ti.

    เอวํ ตาว อยํ มโคฺค ติสฺสเตฺถราทีนํ วิย ทุกฺขสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตติฯ

    Evaṃ tāva ayaṃ maggo tissattherādīnaṃ viya dukkhassa atthaṅgamāya saṃvattati.

    สโกฺก ปน เทวานมิโนฺท อตฺตโน ปญฺจวิธปุพฺพนิมิตฺตํ ทิสฺวา มรณภยสนฺตชฺชิโต โทมนสฺสชาโต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ โส อุเปกฺขาปญฺหวิสฺสชฺชนาวสาเน อสีติสหสฺสาหิ เทวตาหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาสิฯ สา จสฺส อุปปตฺติ ปุน ปากติกาว อโหสิฯ

    Sakko pana devānamindo attano pañcavidhapubbanimittaṃ disvā maraṇabhayasantajjito domanassajāto bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchi. So upekkhāpañhavissajjanāvasāne asītisahassāhi devatāhi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāsi. Sā cassa upapatti puna pākatikāva ahosi.

    สุพฺรหฺมาปิ เทวปุโตฺต อจฺฉราสหสฺสปริวุโต สคฺคสมฺปตฺติํ อนุโภติฯ ตตฺถ ปญฺจสตา อจฺฉราโย รุกฺขโต ปุปฺผานิ โอจินนฺติโย จวิตฺวา นิรเย อุปฺปนฺนาฯ โส ‘‘กิํ อิมา จิรายนฺตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ตาสํ นิรเย นิพฺพตฺตนภาวํ ญตฺวา ‘‘กิตฺตกํ นุ โข มม อายู’’ติ อุปปริกฺขโนฺต อตฺตโน อายุปริกฺขยํ วิทิตฺวา จวิตฺวา ตเตฺถว นิรเย นิพฺพตฺตนภาวํ ทิสฺวา ภีโต อติวิย โทมนสฺสชาโต หุตฺวา ‘‘อิมํ เม โทมนสฺสํ สตฺถา วินยิสฺสติ, น อโญฺญ’’ติ อวเสสา ปญฺจสตา อจฺฉราโย คเหตฺวา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหํ ปุจฺฉิ –

    Subrahmāpi devaputto accharāsahassaparivuto saggasampattiṃ anubhoti. Tattha pañcasatā accharāyo rukkhato pupphāni ocinantiyo cavitvā niraye uppannā. So ‘‘kiṃ imā cirāyantī’’ti upadhārento tāsaṃ niraye nibbattanabhāvaṃ ñatvā ‘‘kittakaṃ nu kho mama āyū’’ti upaparikkhanto attano āyuparikkhayaṃ viditvā cavitvā tattheva niraye nibbattanabhāvaṃ disvā bhīto ativiya domanassajāto hutvā ‘‘imaṃ me domanassaṃ satthā vinayissati, na añño’’ti avasesā pañcasatā accharāyo gahetvā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā pañhaṃ pucchi –

    ‘‘นิจฺจํ อุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ, นิจฺจํ อุพฺพิคฺคิทํ มโน;

    ‘‘Niccaṃ utrastamidaṃ cittaṃ, niccaṃ ubbiggidaṃ mano;

    อนุปฺปเนฺนสุ กิเจฺฉสุ, อโถ อุปฺปติเตสุ จ;

    Anuppannesu kicchesu, atho uppatitesu ca;

    สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ, ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโตติฯ (สํ. นิ. ๑.๙๘);

    Sace atthi anutrastaṃ, taṃ me akkhāhi pucchitoti. (saṃ. ni. 1.98);

    ตโต นํ ภควา อาห –

    Tato naṃ bhagavā āha –

    ‘‘นาญฺญตฺร โพชฺฌา ตปสา, นาญฺญตฺรินฺทฺริยสํวรา;

    ‘‘Nāññatra bojjhā tapasā, nāññatrindriyasaṃvarā;

    นาญฺญตฺร สพฺพนิสฺสคฺคา, โสตฺถิํ ปสฺสามิ ปาณิน’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๑.๙๘);

    Nāññatra sabbanissaggā, sotthiṃ passāmi pāṇina’’nti. (saṃ. ni. 1.98);

    โส เทสนาปริโยสาเน ปญฺจหิ อจฺฉราสเตหิ สทฺธิํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาย ตํ สมฺปตฺติํ ถาวรํ กตฺวา เทวโลกเมว อคมาสีติฯ เอวํ อยํ มโคฺค ภาวิโต สกฺกาทีนํ วิย โทมนสฺสสฺส อตฺถงฺคมาย สํวตฺตตีติ เวทิตโพฺพฯ

    So desanāpariyosāne pañcahi accharāsatehi saddhiṃ sotāpattiphale patiṭṭhāya taṃ sampattiṃ thāvaraṃ katvā devalokameva agamāsīti. Evaṃ ayaṃ maggo bhāvito sakkādīnaṃ viya domanassassa atthaṅgamāya saṃvattatīti veditabbo.

    ญายสฺส อธิคมายาติ ญาโย วุจฺจติ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, ตสฺส อธิคมาย, ปตฺติยาติ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ ปุพฺพภาเค โลกิโย สติปฎฺฐานมโคฺค ภาวิโต โลกุตฺตรมคฺคสฺส อธิคมาย สํวตฺตติฯ เตนาห ‘‘ญายสฺส อธิคมายา’’ติฯ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายาติ ตณฺหาวานวิรหิตตฺตา นิพฺพานนฺติ ลทฺธนามสฺส อมตสฺส สจฺฉิกิริยาย, อตฺตปจฺจกฺขตายาติ วุตฺตํ โหติฯ อยญฺหิ มโคฺค ภาวิโต อนุปุเพฺพน นิพฺพานสจฺฉิกิริยํ สาเธติฯ เตนาห ‘‘นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายา’’ติฯ

    Ñāyassa adhigamāyāti ñāyo vuccati ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, tassa adhigamāya, pattiyāti vuttaṃ hoti. Ayañhi pubbabhāge lokiyo satipaṭṭhānamaggo bhāvito lokuttaramaggassa adhigamāya saṃvattati. Tenāha ‘‘ñāyassa adhigamāyā’’ti. Nibbānassa sacchikiriyāyāti taṇhāvānavirahitattā nibbānanti laddhanāmassa amatassa sacchikiriyāya, attapaccakkhatāyāti vuttaṃ hoti. Ayañhi maggo bhāvito anupubbena nibbānasacchikiriyaṃ sādheti. Tenāha ‘‘nibbānassa sacchikiriyāyā’’ti.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติ วุเตฺต โสกสมติกฺกมาทีนิ อตฺถโต สิทฺธาเนว โหนฺติ, ฐเปตฺวา ปน สาสนยุตฺติโกวิเท อเญฺญสํ น ปากฎานิ, น จ ภควา ปฐมํ สาสนยุตฺติโกวิทํ ชนํ กตฺวา ปจฺฉา ธมฺมํ เทเสติฯ เตน เตเนว ปน สุเตฺตน ตํ ตํ อตฺถํ ญาเปติฯ ตสฺมา อิธ ยํ ยํ อตฺถํ เอกายนมโคฺค สาเธติ, ตํ ตํ ปากฎํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติอาทิมาหฯ ยสฺมา วา ยา สตฺตานํ วิสุทฺธิ เอกายนมเคฺคน สํวตฺตติ, สา โสกปริเทวานํ สมติกฺกเมน โหติฯ โสกปริเทวานํ สมติกฺกโม ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคเมน, ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคโม ญายสฺสาธิคเมน, ญายสฺสาธิคโม นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยายฯ ตสฺมา อิมมฺปิ กมํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติ วตฺวา ‘‘โสกปริเทวานํ สมติกฺกมายา’’ติอาทิมาหฯ

    Tattha kiñcāpi ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti vutte sokasamatikkamādīni atthato siddhāneva honti, ṭhapetvā pana sāsanayuttikovide aññesaṃ na pākaṭāni, na ca bhagavā paṭhamaṃ sāsanayuttikovidaṃ janaṃ katvā pacchā dhammaṃ deseti. Tena teneva pana suttena taṃ taṃ atthaṃ ñāpeti. Tasmā idha yaṃ yaṃ atthaṃ ekāyanamaggo sādheti, taṃ taṃ pākaṭaṃ katvā dassento ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’tiādimāha. Yasmā vā yā sattānaṃ visuddhi ekāyanamaggena saṃvattati, sā sokaparidevānaṃ samatikkamena hoti. Sokaparidevānaṃ samatikkamo dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamena, dukkhadomanassānaṃ atthaṅgamo ñāyassādhigamena, ñāyassādhigamo nibbānassa sacchikiriyāya. Tasmā imampi kamaṃ dassento ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’ti vatvā ‘‘sokaparidevānaṃ samatikkamāyā’’tiādimāha.

    อปิจ วณฺณภณนเมตํ เอกายนมคฺคสฺสฯ ยเถว หิ ภควา – ‘‘ธมฺมํ โว, ภิกฺขเว, เทเสสฺสามิ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสฺสามิ ยทิทํ ฉฉกฺกานี’’ติ (ม. นิ. ๓.๔๒๐) ฉฉกฺกเทสนาย อฎฺฐหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิฯ ยถา จ อริยวํสเทสนาย ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อริยวํสา อคฺคญฺญา รตฺตญฺญา วํสญฺญา โปราณา อสํกิณฺณา อสํกิณฺณปุพฺพา น สงฺกียนฺติ น สงฺกียิสฺสนฺติ, อปฺปฎิกุฎฺฐา สมเณหิ พฺราหฺมเณหิ วิญฺญูหี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๘) นวหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิ; เอวํ อิมสฺสาปิ เอกายนมคฺคสฺส สตฺตานํ วิสุทฺธิยาติอาทีหิ สตฺตหิ ปเทหิ วณฺณํ อภาสิฯ กสฺมาติ เจ, เตสํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหชนนตฺถํฯ วณฺณภาสนญฺหิ สุตฺวา เต ภิกฺขู ‘‘อยํ กิร มโคฺค หทยสนฺตาปภูตํ โสกํ, วาจาวิปฺปลาปภูตํ ปริเทวํ, กายิกอสาตภูตํ ทุกฺขํ, เจตสิกอสาตภูตํ โทมนสฺสนฺติ จตฺตาโร อุปทฺทเว หนติ, วิสุทฺธิํ ญายํ นิพฺพานนฺติ ตโย วิเสเส อาวหตี’’ติ อุสฺสาหชาตา อิมํ ธมฺมเทสนํ อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ธาเรตพฺพํ, วาเจตพฺพํ, อิมญฺจ มคฺคํ ภาเวตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺติฯ อิติ เตสํ ภิกฺขูนํ อุสฺสาหชนนตฺถํ วณฺณํ อภาสิฯ กมฺพลวาณิชาทโย กมฺพลาทีนํ วณฺณํ วิยฯ

    Apica vaṇṇabhaṇanametaṃ ekāyanamaggassa. Yatheva hi bhagavā – ‘‘dhammaṃ vo, bhikkhave, desessāmi ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāsessāmi yadidaṃ chachakkānī’’ti (ma. ni. 3.420) chachakkadesanāya aṭṭhahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi. Yathā ca ariyavaṃsadesanāya ‘‘cattārome, bhikkhave, ariyavaṃsā aggaññā rattaññā vaṃsaññā porāṇā asaṃkiṇṇā asaṃkiṇṇapubbā na saṅkīyanti na saṅkīyissanti, appaṭikuṭṭhā samaṇehi brāhmaṇehi viññūhī’’ti (a. ni. 4.28) navahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi; evaṃ imassāpi ekāyanamaggassa sattānaṃ visuddhiyātiādīhi sattahi padehi vaṇṇaṃ abhāsi. Kasmāti ce, tesaṃ bhikkhūnaṃ ussāhajananatthaṃ. Vaṇṇabhāsanañhi sutvā te bhikkhū ‘‘ayaṃ kira maggo hadayasantāpabhūtaṃ sokaṃ, vācāvippalāpabhūtaṃ paridevaṃ, kāyikaasātabhūtaṃ dukkhaṃ, cetasikaasātabhūtaṃ domanassanti cattāro upaddave hanati, visuddhiṃ ñāyaṃ nibbānanti tayo visese āvahatī’’ti ussāhajātā imaṃ dhammadesanaṃ uggahetabbaṃ pariyāpuṇitabbaṃ dhāretabbaṃ, vācetabbaṃ, imañca maggaṃ bhāvetabbaṃ maññissanti. Iti tesaṃ bhikkhūnaṃ ussāhajananatthaṃ vaṇṇaṃ abhāsi. Kambalavāṇijādayo kambalādīnaṃ vaṇṇaṃ viya.

    ยถา หิ สตสหสฺสคฺฆนิกปณฺฑุกมฺพลวาณิเชน ‘กมฺพลํ คณฺหถา’ติ อุโคฺฆสิเตปิ อสุกกมฺพโลติ น ตาว มนุสฺสา ชานนฺติฯ เกสกมฺพลวาฬกมฺพลาทโยปิ หิ ทุคฺคนฺธา ขรสมฺผสฺสา กมฺพลาเตฺวว วุจฺจนฺติฯ ยทา ปน เตน คนฺธารโก รตฺตกมฺพโล สุขุโม อุชฺชโล สุขสมฺผโสฺสติ อุโคฺฆสิตํ โหติ, ตทา เย ปโหนฺติ, เต คณฺหนฺติฯ เย นปฺปโหนฺติ, เตปิ ทสฺสนกามา โหนฺติ; เอวเมว ‘เอกายโน, ภิกฺขเว, อยํ มโคฺค’ติ วุเตฺตปิ อสุกมโคฺคติ น ตาว ปากโฎ โหติฯ นานปฺปการกา หิ อนิยฺยานิกมคฺคาปิ มคฺคาเตฺวว วุจฺจนฺติฯ ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติอาทิมฺหิ ปน วุเตฺต ‘‘อยํ กิร มโคฺค จตฺตาโร อุปทฺทเว หนติ, ตโย วิเสเส อาวหตี’’ติ อุสฺสาหชาตา อิมํ ธมฺมเทสนํ อุคฺคเหตพฺพํ ปริยาปุณิตพฺพํ ธาเรตพฺพํ วาเจตพฺพํ, อิมญฺจ มคฺคํ ภาเวตพฺพํ มญฺญิสฺสนฺตีติ วณฺณํ ภาสโนฺต ‘‘สตฺตานํ วิสุทฺธิยา’’ติอาทิมาหฯ ยถา จ สตสหสฺสคฺฆนิกปณฺฑุกมฺพลวาณิชูปมา; เอวํ รตฺตชมฺพุนทสุวณฺณอุทกปฺปสาทกมณิรตนสุวิสุทฺธมุตฺตรตนปวาฬาทิวาณิชูปมาทโยเปตฺถ อาหริตพฺพาฯ

    Yathā hi satasahassagghanikapaṇḍukambalavāṇijena ‘kambalaṃ gaṇhathā’ti ugghositepi asukakambaloti na tāva manussā jānanti. Kesakambalavāḷakambalādayopi hi duggandhā kharasamphassā kambalātveva vuccanti. Yadā pana tena gandhārako rattakambalo sukhumo ujjalo sukhasamphassoti ugghositaṃ hoti, tadā ye pahonti, te gaṇhanti. Ye nappahonti, tepi dassanakāmā honti; evameva ‘ekāyano, bhikkhave, ayaṃ maggo’ti vuttepi asukamaggoti na tāva pākaṭo hoti. Nānappakārakā hi aniyyānikamaggāpi maggātveva vuccanti. ‘‘Sattānaṃ visuddhiyā’’tiādimhi pana vutte ‘‘ayaṃ kira maggo cattāro upaddave hanati, tayo visese āvahatī’’ti ussāhajātā imaṃ dhammadesanaṃ uggahetabbaṃ pariyāpuṇitabbaṃ dhāretabbaṃ vācetabbaṃ, imañca maggaṃ bhāvetabbaṃ maññissantīti vaṇṇaṃ bhāsanto ‘‘sattānaṃ visuddhiyā’’tiādimāha. Yathā ca satasahassagghanikapaṇḍukambalavāṇijūpamā; evaṃ rattajambunadasuvaṇṇaudakappasādakamaṇiratanasuvisuddhamuttaratanapavāḷādivāṇijūpamādayopettha āharitabbā.

    ยทิทนฺติ นิปาโต, เย อิเมติ อยมสฺส อโตฺถฯ จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโทฯ เตน น ตโต เหฎฺฐา, น อุทฺธนฺติ สติปฎฺฐานปริเจฺฉทํ ทีเปติฯ สติปฎฺฐานาติ ตโย สติปฎฺฐานา สติโคจโรปิ ติธา ปฎิปเนฺนสุ สาวเกสุ สตฺถุโน ปฎิฆานุนยวีติวตฺตตาปิ, สติปิฯ ‘‘จตุนฺนํ , ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ…เป.… โก จ, ภิกฺขเว, กายสฺส สมุทโยฯ อาหารสมุทยา กายสฺส สมุทโย’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๔๐๘) หิ สติโคจโร สติปฎฺฐานนฺติ วุจฺจติฯ ตถา ‘‘กาโย อุปฎฺฐานํ โน สติ, สติ ปน อุปฎฺฐานเญฺจว สติ จา’’ติอาทีสุปิ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕)ฯ ตสฺสโตฺถ – ปติฎฺฐาติ อสฺมินฺติ ปฎฺฐานํฯ กา ปติฎฺฐาติ? สติฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํ, ปธานํ ฐานนฺติ วา ปฎฺฐานํฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํ หตฺถิฎฺฐานอสฺสฎฺฐานาทีนิ วิยฯ

    Yadidanti nipāto, ye imeti ayamassa attho. Cattāroti gaṇanaparicchedo. Tena na tato heṭṭhā, na uddhanti satipaṭṭhānaparicchedaṃ dīpeti. Satipaṭṭhānāti tayo satipaṭṭhānā satigocaropi tidhā paṭipannesu sāvakesu satthuno paṭighānunayavītivattatāpi, satipi. ‘‘Catunnaṃ , bhikkhave, satipaṭṭhānānaṃ samudayañca atthaṅgamañca desessāmi, taṃ suṇātha…pe… ko ca, bhikkhave, kāyassa samudayo. Āhārasamudayā kāyassa samudayo’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.408) hi satigocaro satipaṭṭhānanti vuccati. Tathā ‘‘kāyo upaṭṭhānaṃ no sati, sati pana upaṭṭhānañceva sati cā’’tiādīsupi (paṭi. ma. 3.35). Tassattho – patiṭṭhāti asminti paṭṭhānaṃ. Kā patiṭṭhāti? Sati. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ, padhānaṃ ṭhānanti vā paṭṭhānaṃ. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ hatthiṭṭhānaassaṭṭhānādīni viya.

    ‘‘ตโย สติปฎฺฐานา ยทริโย เสวติ, ยทริโย เสวมาโน สตฺถา คณมนุสาสิตุํ อรหตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๓๑๑) เอตฺถ ติธา ปฎิปเนฺนสุ สาวเกสุ สตฺถุโน ปฎิฆานุนยวีติวตฺตตา ‘‘สติปฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตาฯ ตสฺสโตฺถ – ปฎฺฐเปตพฺพโต ปฎฺฐานํ, ปวตฺตยิตพฺพโตติ อโตฺถฯ เกน ปฎฺฐเปตพฺพโตติ? สติยาฯ สติยา ปฎฺฐานํ สติปฎฺฐานํฯ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา สตฺต สโมฺพชฺฌเงฺค ปริปูเรนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๔๗) ปน สติเยว ‘‘สติปฎฺฐานํ’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺสโตฺถ – ปฎฺฐาตีติ ปฎฺฐานํ, อุปฎฺฐาติ โอกฺกนฺทิตฺวา ปกฺขนฺทิตฺวา ปตฺถริตฺวา ปวตฺตตีติ อโตฺถฯ สติเยว สติปฎฺฐานํฯ อถ วา สรณเฎฺฐน สติ, อุปฎฺฐานเฎฺฐน ปฎฺฐานํฯ อิติ สติ จ สา ปฎฺฐานํ จาติปิ สติปฎฺฐานํฯ อิทมิธาธิเปฺปตํฯ

    ‘‘Tayo satipaṭṭhānā yadariyo sevati, yadariyo sevamāno satthā gaṇamanusāsituṃ arahatī’’ti (ma. ni. 3.311) ettha tidhā paṭipannesu sāvakesu satthuno paṭighānunayavītivattatā ‘‘satipaṭṭhāna’’nti vuttā. Tassattho – paṭṭhapetabbato paṭṭhānaṃ, pavattayitabbatoti attho. Kena paṭṭhapetabbatoti? Satiyā. Satiyā paṭṭhānaṃ satipaṭṭhānaṃ. ‘‘Cattāro satipaṭṭhānā bhāvitā bahulīkatā satta sambojjhaṅge paripūrentī’’tiādīsu (ma. ni. 3.147) pana satiyeva ‘‘satipaṭṭhānaṃ’’ti vuccati. Tassattho – paṭṭhātīti paṭṭhānaṃ, upaṭṭhāti okkanditvā pakkhanditvā pattharitvā pavattatīti attho. Satiyeva satipaṭṭhānaṃ. Atha vā saraṇaṭṭhena sati, upaṭṭhānaṭṭhena paṭṭhānaṃ. Iti sati ca sā paṭṭhānaṃ cātipi satipaṭṭhānaṃ. Idamidhādhippetaṃ.

    ยทิ เอวํ กสฺมา ‘‘สติปฎฺฐานา’’ติ พหุวจนํ? สติพหุตฺตาฯ อารมฺมณเภเทน หิ พหุกา เอตา สติโยฯ อถ มโคฺคติ กสฺมา เอกวจนํ? มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตาฯ จตโสฺสปิ หิ เอตา สติโย มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตํ คจฺฉนฺติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘มโคฺคติ เกนเฎฺฐน มโคฺค? นิพฺพานคมนเฎฺฐนฯ นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคนียเฎฺฐน จา’’ติฯ จตโสฺสปิ เจตา อปรภาเค กายาทีสุ อารมฺมเณสุ กิจฺจํ สาธยมานา นิพฺพานํ คจฺฉนฺติ, อาทิโต ปฎฺฐาย จ นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคิยนฺติ, ตสฺมา จตโสฺสปิ เอโก มโคฺคติ วุจฺจนฺติฯ เอวญฺจ สติ วจนานุสนฺธินา สานุสนฺธิกาว เทสนา โหติ, ‘‘มารเสนปฺปมทฺทนํ, โว ภิกฺขเว, มคฺคํ เทเสสฺสามิ, ตํ สุณาถ…เป.… กตโม จ, ภิกฺขเว, มารเสนปฺปมทฺทโน มโคฺค? ยทิทํ สตฺต โพชฺฌงฺคา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๒๒๔) วิยฯ ยถา มารเสนปฺปมทฺทโนติ จ, สตฺต โพชฺฌงฺคาติ จ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมเวตฺถ นานํ ฯ เอวํ ‘‘เอกายนมโคฺค’’ติ จ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานา’’ติ จ อตฺถโต เอกํ, พฺยญฺชนเมเวตฺถ นานํ, ตสฺมา มคฺคเฎฺฐน เอกตฺตา เอกวจนํฯ อารมฺมณเภเทน สติพหุตฺตา พหุวจนํ เวทิตพฺพํฯ

    Yadi evaṃ kasmā ‘‘satipaṭṭhānā’’ti bahuvacanaṃ? Satibahuttā. Ārammaṇabhedena hi bahukā etā satiyo. Atha maggoti kasmā ekavacanaṃ? Maggaṭṭhena ekattā. Catassopi hi etā satiyo maggaṭṭhena ekattaṃ gacchanti. Vuttañhetaṃ – ‘‘maggoti kenaṭṭhena maggo? Nibbānagamanaṭṭhena. Nibbānatthikehi magganīyaṭṭhena cā’’ti. Catassopi cetā aparabhāge kāyādīsu ārammaṇesu kiccaṃ sādhayamānā nibbānaṃ gacchanti, ādito paṭṭhāya ca nibbānatthikehi maggiyanti, tasmā catassopi eko maggoti vuccanti. Evañca sati vacanānusandhinā sānusandhikāva desanā hoti, ‘‘mārasenappamaddanaṃ, vo bhikkhave, maggaṃ desessāmi, taṃ suṇātha…pe… katamo ca, bhikkhave, mārasenappamaddano maggo? Yadidaṃ satta bojjhaṅgā’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.224) viya. Yathā mārasenappamaddanoti ca, satta bojjhaṅgāti ca atthato ekaṃ, byañjanamevettha nānaṃ . Evaṃ ‘‘ekāyanamaggo’’ti ca ‘‘cattāro satipaṭṭhānā’’ti ca atthato ekaṃ, byañjanamevettha nānaṃ, tasmā maggaṭṭhena ekattā ekavacanaṃ. Ārammaṇabhedena satibahuttā bahuvacanaṃ veditabbaṃ.

    กสฺมา ปน ภควตา จตฺตาโรว สติปฎฺฐานา วุตฺตา อนูนา อนธิกาติ? เวเนยฺยหิตตฺตาฯ ตณฺหาจริตทิฎฺฐิจริตสมถยานิกวิปสฺสนายานิเกสุ หิ มนฺทติกฺขวเสน เทฺวธา เทฺวธา ปวเตฺตสุ เวเนเยฺยสุ มนฺทสฺส ตณฺหาจริตสฺส โอฬาริกํ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส สุขุมํ เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํฯ ทิฎฺฐิจริตสฺสปิ มนฺทสฺส นาติปฺปเภทคตํ จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส อติปฺปเภทคตํ ธมฺมานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺคฯ สมถยานิกสฺส จ มนฺทสฺส อกิเจฺฉน อธิคนฺตพฺพนิมิตฺตํ ปฐมํ สติปฎฺฐานํ วิสุทฺธิมโคฺค, ติกฺขสฺส โอฬาริการมฺมเณ อสณฺฐหนโต ทุติยํฯ วิปสฺสนายานิกสฺสปิ มนฺทสฺส นาติปฺปเภทคตารมฺมณํ ตติยํ, ติกฺขสฺส อติปฺปเภทคตารมฺมณํ จตุตฺถํฯ อิติ จตฺตาโรว วุตฺตา อนูนา อนธิกาติฯ

    Kasmā pana bhagavatā cattārova satipaṭṭhānā vuttā anūnā anadhikāti? Veneyyahitattā. Taṇhācaritadiṭṭhicaritasamathayānikavipassanāyānikesu hi mandatikkhavasena dvedhā dvedhā pavattesu veneyyesu mandassa taṇhācaritassa oḷārikaṃ kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa sukhumaṃ vedanānupassanāsatipaṭṭhānaṃ. Diṭṭhicaritassapi mandassa nātippabhedagataṃ cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa atippabhedagataṃ dhammānupassanāsatipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo. Samathayānikassa ca mandassa akicchena adhigantabbanimittaṃ paṭhamaṃ satipaṭṭhānaṃ visuddhimaggo, tikkhassa oḷārikārammaṇe asaṇṭhahanato dutiyaṃ. Vipassanāyānikassapi mandassa nātippabhedagatārammaṇaṃ tatiyaṃ, tikkhassa atippabhedagatārammaṇaṃ catutthaṃ. Iti cattārova vuttā anūnā anadhikāti.

    สุภสุขนิจฺจอตฺตภาววิปลฺลาสปฺปหานตฺถํ วาฯ กาโย หิ อสุโภ, ตตฺถ จ สุภวิปลฺลาสวิปลฺลตฺถา สตฺตาฯ เตสํ ตตฺถ อสุภภาวทสฺสเนน ตสฺส วิปลฺลาสสฺส ปหานตฺถํ ปฐมํ สติปฎฺฐานํ วุตฺตํฯ สุขํ นิจฺจํ อตฺตาติ คหิเตสุปิ จ เวทนาทีสุ เวทนา ทุกฺขา, จิตฺตํ อนิจฺจํ, ธมฺมา อนตฺตา, เตสุ จ สุขนิจฺจอตฺตวิปลฺลาสวิปลฺลตฺถา สตฺตาฯ เตสํ ตตฺถ ทุกฺขาทิภาวทสฺสเนน เตสํ วิปลฺลาสานํ ปหานตฺถํ เสสานิ ตีณิ วุตฺตานีติ เอวํ สุภสุขนิจฺจอตฺตภาววิปลฺลาสปฺปหานตฺถํ วา จตฺตาโรว วุตฺตา อนูนา อนธิกาติ เวทิตพฺพาฯ น เกวลญฺจ วิปลฺลาสปฺปหานตฺถเมว, อถ โข จตุโรฆโยคาสวคนฺถอุปาทานอคติปหานตฺถมฺปิ จตุพฺพิธาหารปริญฺญตฺถญฺจ จตฺตาโรว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ตาว ปกรณนโยฯ

    Subhasukhaniccaattabhāvavipallāsappahānatthaṃ vā. Kāyo hi asubho, tattha ca subhavipallāsavipallatthā sattā. Tesaṃ tattha asubhabhāvadassanena tassa vipallāsassa pahānatthaṃ paṭhamaṃ satipaṭṭhānaṃ vuttaṃ. Sukhaṃ niccaṃ attāti gahitesupi ca vedanādīsu vedanā dukkhā, cittaṃ aniccaṃ, dhammā anattā, tesu ca sukhaniccaattavipallāsavipallatthā sattā. Tesaṃ tattha dukkhādibhāvadassanena tesaṃ vipallāsānaṃ pahānatthaṃ sesāni tīṇi vuttānīti evaṃ subhasukhaniccaattabhāvavipallāsappahānatthaṃ vā cattārova vuttā anūnā anadhikāti veditabbā. Na kevalañca vipallāsappahānatthameva, atha kho caturoghayogāsavaganthaupādānaagatipahānatthampi catubbidhāhārapariññatthañca cattārova vuttāti veditabbā. Ayaṃ tāva pakaraṇanayo.

    อฎฺฐกถายํ ปน สรณวเสน เจว เอกตฺตสโมสรณวเสน จ เอกเมว สติปฎฺฐานํ อารมฺมณวเสน จตฺตาโรติ เอตเทว วุตฺตํฯ ยถา หิ จตุทฺวาเร นคเร ปาจีนโต อาคจฺฉนฺตา ปาจีนทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, ทกฺขิณโตฯ ปจฺฉิมโตฯ อุตฺตรโต อาคจฺฉนฺตา อุตฺตรทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา อุตฺตรทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ; เอวํ – สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ นครํ วิย หิ นิพฺพานมหานครํ, ทฺวารํ วิย อฎฺฐงฺคิโก โลกุตฺตรมโคฺค, ปาจีนทิสาทโย วิย กายาทโยฯ

    Aṭṭhakathāyaṃ pana saraṇavasena ceva ekattasamosaraṇavasena ca ekameva satipaṭṭhānaṃ ārammaṇavasena cattāroti etadeva vuttaṃ. Yathā hi catudvāre nagare pācīnato āgacchantā pācīnadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pācīnadvārena nagarameva pavisanti, dakkhiṇato. Pacchimato. Uttarato āgacchantā uttaradisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā uttaradvārena nagarameva pavisanti; evaṃ – sampadamidaṃ veditabbaṃ. Nagaraṃ viya hi nibbānamahānagaraṃ, dvāraṃ viya aṭṭhaṅgiko lokuttaramaggo, pācīnadisādayo viya kāyādayo.

    ยถา ปาจีนโต อาคจฺฉนฺตา ปาจีนทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปาจีนทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ กายานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา กายานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ ยถา ทกฺขิณโต อาคจฺฉนฺตา ทกฺขิณาย ทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ทกฺขิณทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ เวทนานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา เวทนานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ ยถา ปจฺฉิมโต อาคจฺฉนฺตา ปจฺฉิมทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา ปจฺฉิมทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ จิตฺตานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา จิตฺตานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ ยถา อุตฺตรโต อาคจฺฉนฺตา อุตฺตรทิสาย อุฎฺฐานกํ ภณฺฑํ คเหตฺวา อุตฺตรทฺวาเรน นครเมว ปวิสนฺติ, เอวํ ธมฺมานุปสฺสนามุเขน อาคจฺฉนฺตา ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ ภาเวตฺวา ธมฺมานุปสฺสนาภาวนานุภาวนิพฺพเตฺตน อริยมเคฺคน เอกํ นิพฺพานเมว โอสรนฺติฯ เอวํ สรณวเสน เจว เอกตฺตสโมสรณวเสน จ เอกเมว สติปฎฺฐานํ อารมฺมณวเสน จตฺตาโรว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Yathā pācīnato āgacchantā pācīnadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pācīnadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ kāyānupassanāmukhena āgacchantā cuddasavidhena kāyānupassanaṃ bhāvetvā kāyānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti. Yathā dakkhiṇato āgacchantā dakkhiṇāya disāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā dakkhiṇadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ vedanānupassanāmukhena āgacchantā navavidhena vedanānupassanaṃ bhāvetvā vedanānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti. Yathā pacchimato āgacchantā pacchimadisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā pacchimadvārena nagarameva pavisanti, evaṃ cittānupassanāmukhena āgacchantā soḷasavidhena cittānupassanaṃ bhāvetvā cittānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti. Yathā uttarato āgacchantā uttaradisāya uṭṭhānakaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā uttaradvārena nagarameva pavisanti, evaṃ dhammānupassanāmukhena āgacchantā pañcavidhena dhammānupassanaṃ bhāvetvā dhammānupassanābhāvanānubhāvanibbattena ariyamaggena ekaṃ nibbānameva osaranti. Evaṃ saraṇavasena ceva ekattasamosaraṇavasena ca ekameva satipaṭṭhānaṃ ārammaṇavasena cattārova vuttāti veditabbā.

    กตเม จตฺตาโรติ กเถตุกมฺยตา ปุจฺฉาฯ อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ ภิกฺขเวติ ธมฺมปฎิคฺคาหกปุคฺคลาลปนเมตํฯ ภิกฺขูติ ปฎิปตฺติสมฺปาทกปุคฺคลนิทสฺสนเมตํฯ อเญฺญปิ จ เทวมนุสฺสา ปฎิปตฺติํ สมฺปาเทนฺติเยว, เสฎฺฐตฺตา ปน ปฎิปตฺติยา ภิกฺขุภาวทสฺสนโต จ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ภควโต หิ อนุสาสนิํ สมฺปฎิจฺฉเนฺตสุ ภิกฺขุ เสโฎฺฐ, สพฺพปฺปการาย อนุสาสนิยา ภาชนภาวโตฯ ตสฺมา เสฎฺฐตฺตา ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ตสฺมิํ คหิเต ปน เสสา คหิตาว โหนฺติ, ราชคมนาทีสุ ราชคฺคหเณน เสสปริสา วิยฯ โย จ อิมํ ปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชติ, โส ภิกฺขุ นาม โหตีติ ปฎิปตฺติยา ภิกฺขุภาวทสฺสนโตปิ ‘‘ภิกฺขู’’ติ อาหฯ ปฎิปนฺนโก หิ เทโว วา โหตุ มนุโสฺส วา, ภิกฺขูติ สงฺขฺยํ คจฺฉติเยว ยถาห –

    Katamecattāroti kathetukamyatā pucchā. Idhāti imasmiṃ sāsane. Bhikkhaveti dhammapaṭiggāhakapuggalālapanametaṃ. Bhikkhūti paṭipattisampādakapuggalanidassanametaṃ. Aññepi ca devamanussā paṭipattiṃ sampādentiyeva, seṭṭhattā pana paṭipattiyā bhikkhubhāvadassanato ca ‘‘bhikkhū’’ti āha. Bhagavato hi anusāsaniṃ sampaṭicchantesu bhikkhu seṭṭho, sabbappakārāya anusāsaniyā bhājanabhāvato. Tasmā seṭṭhattā ‘‘bhikkhū’’ti āha. Tasmiṃ gahite pana sesā gahitāva honti, rājagamanādīsu rājaggahaṇena sesaparisā viya. Yo ca imaṃ paṭipattiṃ paṭipajjati, so bhikkhu nāma hotīti paṭipattiyā bhikkhubhāvadassanatopi ‘‘bhikkhū’’ti āha. Paṭipannako hi devo vā hotu manusso vā, bhikkhūti saṅkhyaṃ gacchatiyeva yathāha –

    ‘‘อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย,

    ‘‘Alaṅkato cepi samaṃ careyya,

    สโนฺต ทโนฺต นิยโต พฺรหฺมจารี;

    Santo danto niyato brahmacārī;

    สเพฺพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ,

    Sabbesu bhūtesu nidhāya daṇḍaṃ,

    โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขู’’ติฯ (ธ. ป. ๑๔๒);

    So brāhmaṇo so samaṇo sa bhikkhū’’ti. (dha. pa. 142);

    กาเยติ รูปกาเยฯ รูปกาโย หิ อิธ องฺคปจฺจงฺคานํ เกสาทีนญฺจ ธมฺมานํ สมูหเฎฺฐน หตฺถิกายรถกายาทโย วิย กาโยติ อธิเปฺปโตฯ ยถา จ สมูหเฎฺฐน, เอวํ กุจฺฉิตานํ อายเฎฺฐนฯ กุจฺฉิตานญฺหิ ปรมเชคุจฺฉานํ โส อาโยติปิ กาโยฯ อาโยติ อุปฺปตฺติเทโสฯ ตตฺถายํ วจนโตฺถฯ อายนฺติ ตโตติ อาโยฯ เก อายนฺติ? กุจฺฉิตา เกสาทโยฯ อิติ กุจฺฉิตานํ อาโยติ กาโยฯ

    Kāyeti rūpakāye. Rūpakāyo hi idha aṅgapaccaṅgānaṃ kesādīnañca dhammānaṃ samūhaṭṭhena hatthikāyarathakāyādayo viya kāyoti adhippeto. Yathā ca samūhaṭṭhena, evaṃ kucchitānaṃ āyaṭṭhena. Kucchitānañhi paramajegucchānaṃ so āyotipi kāyo. Āyoti uppattideso. Tatthāyaṃ vacanattho. Āyanti tatoti āyo. Ke āyanti? Kucchitā kesādayo. Iti kucchitānaṃ āyoti kāyo.

    กายานุปสฺสีติ กาเย อนุปสฺสนสีโล กายํ วา อนุปสฺสมาโนฯ กาเยติ จ วตฺวาปิ ปุน กายานุปสฺสีติ ทุติยกายคฺคหณํ อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานฆนวินิโพฺภคาทิทสฺสนตฺถํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เตน น กาเย เวทนานุปสฺสี วา, จิตฺตธมฺมานุปสฺสี วา, อถ โข กายานุปสฺสีเยวาติ กายสงฺขาเต วตฺถุสฺมิํ กายานุปสฺสนาการเสฺสว ทสฺสเนน อสมฺมิสฺสโต ววตฺถานํ ทสฺสิตํ โหติฯ ตถา น กาเย องฺคปจฺจงฺควินิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, นาปิ เกสโลมาทิวินิมุตฺตอิตฺถิปุริสานุปสฺสี, โยปิ เจตฺถ เกสโลมาทิโก ภูตุปาทายสมูหสงฺขาโต กาโย, ตตฺถปิ น ภูตุปาทายวินิมุตฺตเอกธมฺมานุปสฺสี, อถ โข รถสมฺภารานุปสฺสโก วิย องฺคปจฺจงฺคสมูหานุปสฺสี, นคราวยวานุปสฺสโก วิย เกสโลมาทิสมูหานุปสฺสี, กทลิกฺขนฺธปตฺตวฎฺฎิวินิพฺภุชโก วิย ริตฺตมุฎฺฐิวินิเวฐโก วิย จ ภูตุปาทายสมูหานุปสฺสีเยวาติ นานปฺปการโต สมูหวเสเนว กายสงฺขาตสฺส วตฺถุโน ทสฺสเนน ฆนวินิโพฺภโค ทสฺสิโต โหติฯ น เหตฺถ ยถาวุตฺตสมูหวินิมุโตฺต กาโย วา อิตฺถี วา ปุริโส วา อโญฺญ วา โกจิ ธโมฺม ทิสฺสติ, ยถาวุตฺตธมฺมสมูหมเตฺตเยว ปน ตถา ตถา สตฺตา มิจฺฉาภินิเวสํ กโรนฺติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Kāyānupassīti kāye anupassanasīlo kāyaṃ vā anupassamāno. Kāyeti ca vatvāpi puna kāyānupassīti dutiyakāyaggahaṇaṃ asammissato vavatthānaghanavinibbhogādidassanatthaṃ katanti veditabbaṃ. Tena na kāye vedanānupassī vā, cittadhammānupassī vā, atha kho kāyānupassīyevāti kāyasaṅkhāte vatthusmiṃ kāyānupassanākārasseva dassanena asammissato vavatthānaṃ dassitaṃ hoti. Tathā na kāye aṅgapaccaṅgavinimuttaekadhammānupassī, nāpi kesalomādivinimuttaitthipurisānupassī, yopi cettha kesalomādiko bhūtupādāyasamūhasaṅkhāto kāyo, tatthapi na bhūtupādāyavinimuttaekadhammānupassī, atha kho rathasambhārānupassako viya aṅgapaccaṅgasamūhānupassī, nagarāvayavānupassako viya kesalomādisamūhānupassī, kadalikkhandhapattavaṭṭivinibbhujako viya rittamuṭṭhiviniveṭhako viya ca bhūtupādāyasamūhānupassīyevāti nānappakārato samūhavaseneva kāyasaṅkhātassa vatthuno dassanena ghanavinibbhogo dassito hoti. Na hettha yathāvuttasamūhavinimutto kāyo vā itthī vā puriso vā añño vā koci dhammo dissati, yathāvuttadhammasamūhamatteyeva pana tathā tathā sattā micchābhinivesaṃ karonti. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ยํ ปสฺสติ น ตํ ทิฎฺฐํ, ยํ ทิฎฺฐํ ตํ น ปสฺสติ;

    ‘‘Yaṃ passati na taṃ diṭṭhaṃ, yaṃ diṭṭhaṃ taṃ na passati;

    อปสฺสํ พชฺฌเต มูโฬฺห, พชฺฌมาโน น มุจฺจตี’’ติฯ

    Apassaṃ bajjhate mūḷho, bajjhamāno na muccatī’’ti.

    ฆนวินิโพฺภคาทิทสฺสนตฺถนฺติ วุตฺตํ, อาทิสเทฺทน เจตฺถ อยมฺปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อยญฺหิ เอตสฺมิํ กาเย กายานุปสฺสีเยว, น อญฺญ ธมฺมานุปสฺสีติ วุตฺตํ โหติฯ ยถา อนุทกภูตายปิ มรีจิยา อุทกานุปสฺสิโน โหนฺติ, น เอวํ อนิจฺจทุกฺขานตฺตอสุภภูเตเยว อิมสฺมิํ กาเย นิจฺจสุขอตฺตสุภภาวานุปสฺสี, อถ โข กายานุปสฺสี อนิจฺจทุกฺขานตฺตอสุภาการสมูหานุปสฺสีเยวาติ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ยฺวายํ ปรโต ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา…เป.… โส สโตว อสฺสสตี’’ติอาทินา นเยน อสฺสาสปสฺสาสาทิจุณฺณิกชาตอฎฺฐิกปริโยสาโน กาโย วุโตฺต, โย จ ‘‘อิเธกโจฺจ ปถวีกายํ อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, อาโปกายํ เตโชกายํ วาโยกายํ เกสกายํ โลมกายํ ฉวิกายํ จมฺมกายํ มํสกายํ รุธิรกายํ นฺหารุกายํ อฎฺฐิกายํ อฎฺฐิมิญฺชกาย’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๓๕) ปฎิสมฺภิทายํ กาโย วุโตฺต, ตสฺส สพฺพสฺส อิมสฺมิเญฺญว กาเย อนุปสฺสนโต กาเย กายานุปสฺสีติ เอวมฺปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Ghanavinibbhogādidassanatthanti vuttaṃ, ādisaddena cettha ayampi attho veditabbo. Ayañhi etasmiṃ kāye kāyānupassīyeva, na añña dhammānupassīti vuttaṃ hoti. Yathā anudakabhūtāyapi marīciyā udakānupassino honti, na evaṃ aniccadukkhānattaasubhabhūteyeva imasmiṃ kāye niccasukhaattasubhabhāvānupassī, atha kho kāyānupassī aniccadukkhānattaasubhākārasamūhānupassīyevāti vuttaṃ hoti. Atha vā yvāyaṃ parato ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhu araññagato vā…pe… so satova assasatī’’tiādinā nayena assāsapassāsādicuṇṇikajātaaṭṭhikapariyosāno kāyo vutto, yo ca ‘‘idhekacco pathavīkāyaṃ aniccato anupassati, āpokāyaṃ tejokāyaṃ vāyokāyaṃ kesakāyaṃ lomakāyaṃ chavikāyaṃ cammakāyaṃ maṃsakāyaṃ rudhirakāyaṃ nhārukāyaṃ aṭṭhikāyaṃ aṭṭhimiñjakāya’’nti (paṭi. ma. 3.35) paṭisambhidāyaṃ kāyo vutto, tassa sabbassa imasmiññeva kāye anupassanato kāye kāyānupassīti evampi attho veditabbo.

    อถ วา กาเย อหนฺติ วา มมนฺติ วา เอวํ คเหตพฺพสฺส ยสฺส กสฺสจิ อนนุปสฺสนโต, ตสฺส ตเสฺสว ปน เกสโลมาทิกสฺส นานาธมฺมสมูหสฺส อนุปสฺสนโต กาเย เกสาทิธมฺมสมูหสงฺขาตกายานุปสฺสีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    Atha vā kāye ahanti vā mamanti vā evaṃ gahetabbassa yassa kassaci ananupassanato, tassa tasseva pana kesalomādikassa nānādhammasamūhassa anupassanato kāye kesādidhammasamūhasaṅkhātakāyānupassīti evamattho daṭṭhabbo.

    อปิจ ‘‘อิมสฺมิํ กาเย อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, โน นิจฺจโต’’ติอาทินา อนุกฺกเมน ปฎิสมฺภิทายํ อาคตนยสฺส สพฺพเสฺสว อนิจฺจลกฺขณาทิโน อาการสมูหสงฺขาตสฺส กายสฺส อนุปสฺสนโตปิ กาเย กายานุปสฺสีติ เอวมฺปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ อยํ กาเย กายานุปสฺสนาปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ภิกฺขุ อิมํ กายํ อนิจฺจานุปสฺสนาทีนํ สตฺตนฺนํ อนุปสฺสนานํ วเสน อนิจฺจโต อนุปสฺสติ, โน นิจฺจโตฯ ทุกฺขโต อนุปสฺสติ, โน สุขโตฯ อนตฺตโต อนุปสฺสติ, โน อตฺตโตฯ นิพฺพินฺทติ, โน นนฺทติ, วิรชฺชติ, โน รชฺชติ, นิโรเธติฯ โน สมุเทติ, ปฎินิสฺสชฺชติ, โน อาทิยติฯ โส ตํ อนิจฺจโต อนุปสฺสโนฺต นิจฺจสญฺญํ ปชหติ , ทุกฺขโต อนุปสฺสโนฺต สุขสญฺญํ ปชหติ, อนตฺตโต อนุปสฺสโนฺต อตฺตสญฺญํ ปชหติ, นิพฺพินฺทโนฺต นนฺทิํ ปชหติ , วิรชฺชโนฺต ราคํ ปชหติ, นิโรเธโนฺต สมุทยํ ปชหติ, ปฎินิสฺสชฺชโนฺต อาทานํ ปชหตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Apica ‘‘imasmiṃ kāye aniccato anupassati, no niccato’’tiādinā anukkamena paṭisambhidāyaṃ āgatanayassa sabbasseva aniccalakkhaṇādino ākārasamūhasaṅkhātassa kāyassa anupassanatopi kāye kāyānupassīti evampi attho daṭṭhabbo. Tathā hi ayaṃ kāye kāyānupassanāpaṭipadaṃ paṭipanno bhikkhu imaṃ kāyaṃ aniccānupassanādīnaṃ sattannaṃ anupassanānaṃ vasena aniccato anupassati, no niccato. Dukkhato anupassati, no sukhato. Anattato anupassati, no attato. Nibbindati, no nandati, virajjati, no rajjati, nirodheti. No samudeti, paṭinissajjati, no ādiyati. So taṃ aniccato anupassanto niccasaññaṃ pajahati , dukkhato anupassanto sukhasaññaṃ pajahati, anattato anupassanto attasaññaṃ pajahati, nibbindanto nandiṃ pajahati , virajjanto rāgaṃ pajahati, nirodhento samudayaṃ pajahati, paṭinissajjanto ādānaṃ pajahatīti veditabbo.

    วิหรตีติ อิริยติฯ อาตาปีติ ตีสุ ภเวสุ กิเลเส อาตาเปตีติ อาตาโป, วีริยเสฺสตํ นามํฯ อาตาโป อสฺส อตฺถีติ อาตาปีฯ สมฺปชาโนติ สมฺปชญฺญสงฺขาเตน ญาเณน สมนฺนาคโตฯ สติมาติ กายปริคฺคาหิกาย สติยา สมนฺนาคโตฯ อยํ ปน ยสฺมา สติยา อารมฺมณํ ปริคฺคเหตฺวา ปญฺญาย อนุปสฺสติ, น หิ สติวิรหิตสฺส อนุปสฺสนา นาม อตฺถิ, เตเนวาห – ‘‘สติญฺจ ขฺวาหํ, ภิกฺขเว, สพฺพตฺถิกํ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๔)ฯ ตสฺมา เอตฺถ ‘‘กาเย กายานุปสฺสี วิหรตี’’ติ เอตฺตาวตา กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ วุตฺตํ โหติฯ อถ วา ยสฺมา อนาตาปิโน อโนฺตสเงฺขโป อนฺตรายกโร โหติ, อสมฺปชาโน อุปายปริคฺคเห อนุปายปริวชฺชเน จ สมฺมุยฺหติ, มุฎฺฐสฺสติ อุปายาปริจฺจาเค อนุปายาปริคฺคเห จ อสมโตฺถ โหติ, เตนสฺส ตํ กมฺมฎฺฐานํ น สมฺปชฺชติฯ ตสฺมา เยสํ ธมฺมานํ อานุภาเวน ตํ สมฺปชฺชติ, เตสํ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อาตาปี สมฺปชาโน สติมา’’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Viharatīti iriyati. Ātāpīti tīsu bhavesu kilese ātāpetīti ātāpo, vīriyassetaṃ nāmaṃ. Ātāpo assa atthīti ātāpī. Sampajānoti sampajaññasaṅkhātena ñāṇena samannāgato. Satimāti kāyapariggāhikāya satiyā samannāgato. Ayaṃ pana yasmā satiyā ārammaṇaṃ pariggahetvā paññāya anupassati, na hi sativirahitassa anupassanā nāma atthi, tenevāha – ‘‘satiñca khvāhaṃ, bhikkhave, sabbatthikaṃ vadāmī’’ti (saṃ. ni. 5.234). Tasmā ettha ‘‘kāye kāyānupassī viharatī’’ti ettāvatā kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ vuttaṃ hoti. Atha vā yasmā anātāpino antosaṅkhepo antarāyakaro hoti, asampajāno upāyapariggahe anupāyaparivajjane ca sammuyhati, muṭṭhassati upāyāpariccāge anupāyāpariggahe ca asamattho hoti, tenassa taṃ kammaṭṭhānaṃ na sampajjati. Tasmā yesaṃ dhammānaṃ ānubhāvena taṃ sampajjati, tesaṃ dassanatthaṃ ‘‘ātāpī sampajāno satimā’’ti idaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    อิติ กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ สมฺปโยคงฺคญฺจสฺส ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปหานงฺคํ ทเสฺสตุํ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ วิเนยฺยาติ ตทงฺควินเยน วา วิกฺขมฺภนวินเยน วา วินยิตฺวาฯ โลเกติ ตสฺมิเญฺญว กาเยฯ กาโย หิ อิธ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน โลโกติ อธิเปฺปโตฯ ยสฺมา ปนสฺส น กายมเตฺตเยว อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ปหียติ, เวทนาทีสุปิ ปหียติเยวฯ ตสฺมา ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา โลโกติ วิภเงฺค วุตฺตํฯ โลกสงฺขาตตฺตา วา เตสํ ธมฺมานํ อตฺถุทฺธารนเยเนตํ วุตฺตํฯ ยํ ปนาห – ‘‘ตตฺถ กตโม โลโก? เสฺวว กาโย โลโก’’ติ, อยเมเวตฺถ อโตฺถฯ ตสฺมิํ โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ วิเนยฺยาติ เอวํ สมฺพโนฺธ ทฎฺฐโพฺพฯ ยสฺมา ปเนตฺถ อภิชฺฌาคฺคหเณน กามจฺฉโนฺท, โทมนสฺสคฺคหเณน พฺยาปาโท สงฺคหํ คจฺฉติ, ตสฺมา นีวรณปริยาปนฺนพลวธมฺมทฺวยทสฺสเนน นีวรณปฺปหานํ วุตฺตํ โหตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Iti kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ sampayogaṅgañcassa dassetvā idāni pahānaṅgaṃ dassetuṃ vineyya loke abhijjhādomanassanti vuttaṃ. Tattha vineyyāti tadaṅgavinayena vā vikkhambhanavinayena vā vinayitvā. Loketi tasmiññeva kāye. Kāyo hi idha lujjanapalujjanaṭṭhena lokoti adhippeto. Yasmā panassa na kāyamatteyeva abhijjhādomanassaṃ pahīyati, vedanādīsupi pahīyatiyeva. Tasmā pañcapi upādānakkhandhā lokoti vibhaṅge vuttaṃ. Lokasaṅkhātattā vā tesaṃ dhammānaṃ atthuddhāranayenetaṃ vuttaṃ. Yaṃ panāha – ‘‘tattha katamo loko? Sveva kāyo loko’’ti, ayamevettha attho. Tasmiṃ loke abhijjhādomanassaṃ vineyyāti evaṃ sambandho daṭṭhabbo. Yasmā panettha abhijjhāggahaṇena kāmacchando, domanassaggahaṇena byāpādo saṅgahaṃ gacchati, tasmā nīvaraṇapariyāpannabalavadhammadvayadassanena nīvaraṇappahānaṃ vuttaṃ hotīti veditabbaṃ.

    วิเสเสน เจตฺถ อภิชฺฌาวินเยน กายสมฺปตฺติมูลกสฺส อนุโรธสฺส, โทมนสฺสวินเยน กายวิปตฺติมูลกสฺส วิโรธสฺส, อภิชฺฌาวินเยน จ กาเย อภิรติยา, โทมนสฺสวินเยน กายภาวนาย อนภิรติยา, อภิชฺฌาวินเยน กาเย อภูตานํ สุภสุขภาวาทีนํ ปเกฺขปสฺส, โทมนสฺสวินเยน กาเย ภูตานํ อสุภาสุขภาวาทีนํ อปนยนสฺส จ ปหานํ วุตฺตํฯ เตน โยคาวจรสฺส โยคานุภาโว โยคสมตฺถตา จ ทีปิตา โหติฯ โยคานุภาโว หิ เอส, ยทิทํ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต อรติรติสโห อภูตปเกฺขปภูตาปนยนวิรหิโต จ โหติฯ อนุโรธวิโรธวิปฺปมุโตฺต เจส อรติรติสโห อภูตํ อปกฺขิปโนฺต ภูตญฺจ อนปนยโนฺต โยคสมโตฺถ โหตีติฯ

    Visesena cettha abhijjhāvinayena kāyasampattimūlakassa anurodhassa, domanassavinayena kāyavipattimūlakassa virodhassa, abhijjhāvinayena ca kāye abhiratiyā, domanassavinayena kāyabhāvanāya anabhiratiyā, abhijjhāvinayena kāye abhūtānaṃ subhasukhabhāvādīnaṃ pakkhepassa, domanassavinayena kāye bhūtānaṃ asubhāsukhabhāvādīnaṃ apanayanassa ca pahānaṃ vuttaṃ. Tena yogāvacarassa yogānubhāvo yogasamatthatā ca dīpitā hoti. Yogānubhāvo hi esa, yadidaṃ anurodhavirodhavippamutto aratiratisaho abhūtapakkhepabhūtāpanayanavirahito ca hoti. Anurodhavirodhavippamutto cesa aratiratisaho abhūtaṃ apakkhipanto bhūtañca anapanayanto yogasamattho hotīti.

    อปโร นโย ‘‘กาเย กายานุปสฺสี’’ติ เอตฺถ อนุปสฺสนาย กมฺมฎฺฐานํ วุตฺตํฯ ‘‘วิหรตี’’ติ เอตฺถ วุตฺตวิหาเรน กมฺมฎฺฐานิกสฺส กายปริหรณํ, ‘‘อาตาปี’’ติอาทีสุ ปน อาตาเปน สมฺมปฺปธานํ, สติสมฺปชเญฺญน สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานํ, กมฺมฎฺฐานปริหรณูปาโย วาฯ สติยา วา กายานุปสฺสนาวเสน ปฎิลทฺธสมโถ, สมฺปชเญฺญน วิปสฺสนา อภิชฺฌาโทมนสฺสวินเยน ภาวนาพลํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Aparo nayo ‘‘kāye kāyānupassī’’ti ettha anupassanāya kammaṭṭhānaṃ vuttaṃ. ‘‘Viharatī’’ti ettha vuttavihārena kammaṭṭhānikassa kāyapariharaṇaṃ, ‘‘ātāpī’’tiādīsu pana ātāpena sammappadhānaṃ, satisampajaññena sabbatthakakammaṭṭhānaṃ, kammaṭṭhānapariharaṇūpāyo vā. Satiyā vā kāyānupassanāvasena paṭiladdhasamatho, sampajaññena vipassanā abhijjhādomanassavinayena bhāvanābalaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    วิภเงฺค ปน อนุปสฺสีติ ตตฺถ ‘‘กตมา อนุปสฺสนา? ยา ปญฺญา ปชานนา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย สลฺลกฺขณา อุปลกฺขณา ปจฺจุปลกฺขณา ปณฺฑิจฺจํ โกสลฺลํ เนปุญฺญํ เวภพฺยา จินฺตา อุปปริกฺขา ภูรีเมธา ปริณายิกา วิปสฺสนา สมฺปชญฺญํ ปโตโท ปญฺญา ปญฺญินฺทฺริยํ ปญฺญาพลํ ปญฺญาสตฺถํ ปญฺญาปาสาโท ปญฺญาอาโลโก ปญฺญาโอภาโส ปญฺญาปโชฺชโต ปญฺญารตนํ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฎฺฐิ, อยํ วุจฺจติ อนุปสฺสนาฯ อิมาย อนุปสฺสนาย อุเปโต โหติ สมุเปโต อุปคโต สมุปคโต อุปปโนฺน สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ อนุปสฺสีติฯ วิหรตีติ อิริยติ ปวตฺตติ ปาเลติ ยเปติ ยาเปติ จรติ วิหรติ, เตน วุจฺจติ วิหรตีติฯ อาตาปีติ ตตฺถ กตมํ อาตาปํ? โย เจตสิโก วีริยารโมฺภ นิกโมฺม ปรกฺกโม อุยฺยาโม วายาโม อุสฺสาโห อุโสฺสฬฺหี ถาโม ธิติ อสิถิลปรกฺกมตา อนิกฺขิตฺตทฺทนฺทตา อนิกฺขิตฺตธุรตา ธุรสมฺปคฺคาหี วีริยํ วีริยินฺทฺริยํ วีริยพลํ สมฺมาวายาโม, อิทํ วุจฺจติ อาตาปํฯ อิมินา อาตาเปน อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโต , เตน วุจฺจติ อาตาปีติฯ สมฺปชาโนติ ตตฺถ กตมํ สมฺปชญฺญํ? ยา ปญฺญา ปชานนา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย สลฺลกฺขณา อุปลกฺขณา ปจฺจุปลกฺขณา ปณฺฑิจฺจํ โกสลฺลํ เนปุญฺญํ เวภพฺยา จินฺตา อุปปริกฺขา ภูรีเมธา ปริณายิกา วิปสฺสนา สมฺปชญฺญํ ปโตโท ปญฺญา ปญฺญินฺทฺริยํ ปญฺญาพลํ ปญฺญาสตฺถํ ปญฺญาปาสาโท ปญฺญาอาโลโก ปญฺญาโอภาโส ปญฺญาปโชฺชโต ปญฺญารตนํ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฎฺฐิ, อิทํ วุจฺจติ สมฺปชญฺญํฯ อิมินา สมฺปชเญฺญน อุเปโต โหติ …เป.… สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ สมฺปชาโนติฯ สติมาติ ตตฺถ กตมา สติ? ยา สติ อนุสฺสติ ปฎิสฺสติ สติ สรณตา ธารณตา อปิลาปนตา อสมฺมุสนตา สติ สตินฺทฺริยํ สติพลํ สมฺมาสติ , อยํ วุจฺจติ สติฯ อิมาย สติยา อุเปโต โหติ…เป.… สมนฺนาคโต, เตน วุจฺจติ สติมาติฯ

    Vibhaṅge pana anupassīti tattha ‘‘katamā anupassanā? Yā paññā pajānanā vicayo pavicayo dhammavicayo sallakkhaṇā upalakkhaṇā paccupalakkhaṇā paṇḍiccaṃ kosallaṃ nepuññaṃ vebhabyā cintā upaparikkhā bhūrīmedhā pariṇāyikā vipassanā sampajaññaṃ patodo paññā paññindriyaṃ paññābalaṃ paññāsatthaṃ paññāpāsādo paññāāloko paññāobhāso paññāpajjoto paññāratanaṃ amoho dhammavicayo sammādiṭṭhi, ayaṃ vuccati anupassanā. Imāya anupassanāya upeto hoti samupeto upagato samupagato upapanno samannāgato, tena vuccati anupassīti. Viharatīti iriyati pavattati pāleti yapeti yāpeti carati viharati, tena vuccati viharatīti. Ātāpīti tattha katamaṃ ātāpaṃ? Yo cetasiko vīriyārambho nikammo parakkamo uyyāmo vāyāmo ussāho ussoḷhī thāmo dhiti asithilaparakkamatā anikkhittaddandatā anikkhittadhuratā dhurasampaggāhī vīriyaṃ vīriyindriyaṃ vīriyabalaṃ sammāvāyāmo, idaṃ vuccati ātāpaṃ. Iminā ātāpena upeto hoti…pe… samannāgato , tena vuccati ātāpīti. Sampajānoti tattha katamaṃ sampajaññaṃ? Yā paññā pajānanā vicayo pavicayo dhammavicayo sallakkhaṇā upalakkhaṇā paccupalakkhaṇā paṇḍiccaṃ kosallaṃ nepuññaṃ vebhabyā cintā upaparikkhā bhūrīmedhā pariṇāyikā vipassanā sampajaññaṃ patodo paññā paññindriyaṃ paññābalaṃ paññāsatthaṃ paññāpāsādo paññāāloko paññāobhāso paññāpajjoto paññāratanaṃ amoho dhammavicayo sammādiṭṭhi, idaṃ vuccati sampajaññaṃ. Iminā sampajaññena upeto hoti …pe… samannāgato, tena vuccati sampajānoti. Satimāti tattha katamā sati? Yā sati anussati paṭissati sati saraṇatā dhāraṇatā apilāpanatā asammusanatā sati satindriyaṃ satibalaṃ sammāsati , ayaṃ vuccati sati. Imāya satiyā upeto hoti…pe… samannāgato, tena vuccati satimāti.

    วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ ตตฺถ กตโม โลโก? เสฺวว กาโย โลโกฯ ปญฺจปิ อุปาทานกฺขนฺธา โลโก, อยํ วุจฺจติ โลโกฯ ตตฺถ กตมา อภิชฺฌา? โย ราโค สาราโค อนุนโย อนุโรโธ นนฺที นนฺทิราโค จิตฺตสฺส สาราโค, อยํ วุจฺจติ อภิชฺฌาฯ ตตฺถ กตมํ โทมนสฺสํ? ยํ เจตสิกํ อสาตํ เจตสิกํ ทุกฺขํ เจโตสมฺผสฺสชา อสาตา ทุกฺขา เวทนา, อิทํ วุจฺจติ โทมนสฺสํฯ อิติ อยญฺจ อภิชฺฌา, อิทญฺจ โทมนสฺสํ อิมมฺหิ โลเก วินีตา โหนฺติ ปฎิวินีตา สนฺตา สมิตา วูปสมิตา อตฺถงฺคตา อพฺภตฺถงฺคตา อปฺปิตา พฺยปฺปิตา โสสิตา วิโสสิตา พฺยนฺตีกตา, เตน วุจฺจติ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺส’’นฺติ (วิภ. ๓๕๗-๓๖๒)ฯ

    Vineyya loke abhijjhādomanassanti tattha katamo loko? Sveva kāyo loko. Pañcapi upādānakkhandhā loko, ayaṃ vuccati loko. Tattha katamā abhijjhā? Yo rāgo sārāgo anunayo anurodho nandī nandirāgo cittassa sārāgo, ayaṃ vuccati abhijjhā. Tattha katamaṃ domanassaṃ? Yaṃ cetasikaṃ asātaṃ cetasikaṃ dukkhaṃ cetosamphassajā asātā dukkhā vedanā, idaṃ vuccati domanassaṃ. Iti ayañca abhijjhā, idañca domanassaṃ imamhi loke vinītā honti paṭivinītā santā samitā vūpasamitā atthaṅgatā abbhatthaṅgatā appitā byappitā sositā visositā byantīkatā, tena vuccati vineyya loke abhijjhādomanassa’’nti (vibha. 357-362).

    เอวเมเตสํ ปทานํ อโตฺถ วุโตฺตฯ เตน สห อยํ อฎฺฐกถานโย ยถา สํสนฺทติ, เอวํ เวทิตโพฺพฯ อยํ ตาว กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานุเทฺทสสฺส อตฺถวณฺณนาฯ

    Evametesaṃ padānaṃ attho vutto. Tena saha ayaṃ aṭṭhakathānayo yathā saṃsandati, evaṃ veditabbo. Ayaṃ tāva kāyānupassanāsatipaṭṭhānuddesassa atthavaṇṇanā.

    อิทานิ เวทนาสุฯ จิเตฺตฯ ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ…เป.… วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสนฺติ เอตฺถ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสีติ เอวมาทีสุ เวทนาทีนํ ปุน วจเน ปโยชนํ กายานุปสฺสนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เวทนาสุ เวทนานุปสฺสีฯ จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสีฯ ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน เวทนาติ ติโสฺส เวทนา, ตา จ โลกิยา เอวฯ จิตฺตมฺปิ โลกิยํ, ตถา ธมฺมาฯ เตสํ วิภาโค นิเทฺทสวาเร ปากโฎ ภวิสฺสติฯ เกวลํ ปนิธ ยถา เวทนา อนุปสฺสิตพฺพา, ตถา ตา อนุปสฺสโนฺต ‘‘เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี’’ติ เวทิตโพฺพฯ เอส นโย จิตฺตธเมฺมสุปิฯ กถญฺจ เวทนา อนุปสฺสิตพฺพาติ? สุขา ตาว เวทนา ทุกฺขโต, ทุกฺขา สลฺลโต, อทุกฺขมสุขา อนิจฺจโตฯ ยถาห –

    Idāni vedanāsu. Citte. Dhammesu dhammānupassī viharati…pe… vineyya loke abhijjhādomanassanti ettha vedanāsu vedanānupassīti evamādīsu vedanādīnaṃ puna vacane payojanaṃ kāyānupassanāyaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Vedanāsu vedanānupassī. Citte cittānupassī. Dhammesu dhammānupassīti ettha pana vedanāti tisso vedanā, tā ca lokiyā eva. Cittampi lokiyaṃ, tathā dhammā. Tesaṃ vibhāgo niddesavāre pākaṭo bhavissati. Kevalaṃ panidha yathā vedanā anupassitabbā, tathā tā anupassanto ‘‘vedanāsu vedanānupassī’’ti veditabbo. Esa nayo cittadhammesupi. Kathañca vedanā anupassitabbāti? Sukhā tāva vedanā dukkhato, dukkhā sallato, adukkhamasukhā aniccato. Yathāha –

    ‘‘โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท, ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต;

    ‘‘Yo sukhaṃ dukkhato adda, dukkhamaddakkhi sallato;

    อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ, อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต;

    Adukkhamasukhaṃ santaṃ, addakkhi naṃ aniccato;

    ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ, อุปสโนฺต จริสฺสตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๔.๒๕๓);

    Sa ve sammaddaso bhikkhu, upasanto carissatī’’ti. (saṃ. ni. 4.253);

    สพฺพา เอว เจตา ‘‘ทุกฺขา’’ติปิ อนุปสฺสิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘ยํ กิญฺจิ เวทยิตํ, ตํ ทุกฺขสฺมินฺติ วทามี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๙)ฯ สุขทุกฺขโตปิ จ อนุปสฺสิตพฺพาฯ ยถาห ‘‘สุขา เวทนา ฐิติสุขา วิปริณามทุกฺขา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๕) สพฺพํ วิตฺถาเรตพฺพํฯ อปิจ อนิจฺจาทิสตฺตอนุปสฺสนาวเสนปิ อนุปสฺสิตพฺพาฯ เสสํ นิเทฺทสวาเรเยว ปากฎํ ภวิสฺสติฯ

    Sabbā eva cetā ‘‘dukkhā’’tipi anupassitabbā. Vuttañhetaṃ – ‘‘yaṃ kiñci vedayitaṃ, taṃ dukkhasminti vadāmī’’ti (saṃ. ni. 4.259). Sukhadukkhatopi ca anupassitabbā. Yathāha ‘‘sukhā vedanā ṭhitisukhā vipariṇāmadukkhā’’ti (ma. ni. 1.465) sabbaṃ vitthāretabbaṃ. Apica aniccādisattaanupassanāvasenapi anupassitabbā. Sesaṃ niddesavāreyeva pākaṭaṃ bhavissati.

    จิตฺตธเมฺมสุปิ จิตฺตํ ตาว อารมฺมณาธิปติสหชาตภูมิกมฺมวิปากกิริยาทินานตฺตเภทานํ อนิจฺจาทิอนุปสฺสนานํ นิเทฺทสวาเร อาคตสราคาทิเภทานญฺจ วเสน อนุปสฺสิตพฺพํฯ ธมฺมา สลกฺขณสามญฺญลกฺขณานํ สุญฺญตธมฺมสฺส อนิจฺจาทิสตฺตานุปสฺสนานํ นิเทฺทสวาเร อาคตสนฺตาทิเภทานญฺจ วเสน อนุปสฺสิตพฺพาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ กามเญฺจตฺถ ยสฺส กายสงฺขาเต โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ปหีนํ, ตสฺส เวทนาทีสุปิ ตํ ปหีนเมวฯ นานาปุคฺคลวเสน ปน นานาจิตฺตกฺขณิกสติปฎฺฐานภาวนาวเสน จ สพฺพตฺถ วุตฺตํฯ ยโต วา เอกตฺถ ปหีนํ เสเสสุปิ ปหีนํ โหติ, เตเนวสฺส ตตฺถ ปหานทสฺสนตฺถมฺปิ เอตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพนฺติฯ

    Cittadhammesupi cittaṃ tāva ārammaṇādhipatisahajātabhūmikammavipākakiriyādinānattabhedānaṃ aniccādianupassanānaṃ niddesavāre āgatasarāgādibhedānañca vasena anupassitabbaṃ. Dhammā salakkhaṇasāmaññalakkhaṇānaṃ suññatadhammassa aniccādisattānupassanānaṃ niddesavāre āgatasantādibhedānañca vasena anupassitabbā. Sesaṃ vuttanayameva. Kāmañcettha yassa kāyasaṅkhāte loke abhijjhādomanassaṃ pahīnaṃ, tassa vedanādīsupi taṃ pahīnameva. Nānāpuggalavasena pana nānācittakkhaṇikasatipaṭṭhānabhāvanāvasena ca sabbattha vuttaṃ. Yato vā ekattha pahīnaṃ sesesupi pahīnaṃ hoti, tenevassa tattha pahānadassanatthampi etaṃ vuttanti veditabbanti.

    อุเทฺทสวารกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Uddesavārakathā niṭṭhitā.

    กายานุปสฺสนา อานาปานปพฺพวณฺณนา

    Kāyānupassanā ānāpānapabbavaṇṇanā

    ๓๗๔. อิทานิ เสยฺยถาปิ นาม เฉโก วิลีวการโก ถูลกิลญฺชสณฺหกิลญฺชจโงฺกฎกเปฬาปุฎาทีนิ อุปกรณานิ กตฺตุกาโม เอกํ มหาเวณุํ ลภิตฺวา จตุธา ภินฺทิตฺวา ตโต เอเกกํ เวณุขณฺฑํ คเหตฺวา ผาเลตฺวา ตํ ตํ อุปกรณํ กเรยฺย, เอวเมว ภควา สติปฎฺฐานเทสนาย สตฺตานํ อเนกปฺปการํ วิเสสาธิคมํ กตฺตุกาโม เอกเมว สมฺมาสติํ ‘‘จตฺตาโร สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทินา นเยน อารมฺมณวเสน จตุธา ภินฺทิตฺวา ตโต เอเกกํ สติปฎฺฐานํ คเหตฺวา กายํ วิภชโนฺต ‘‘กถญฺจ ภิกฺขเว’’ติอาทินา นเยน นิเทฺทสวารํ วตฺตุมารโทฺธฯ

    374. Idāni seyyathāpi nāma cheko vilīvakārako thūlakilañjasaṇhakilañjacaṅkoṭakapeḷāpuṭādīni upakaraṇāni kattukāmo ekaṃ mahāveṇuṃ labhitvā catudhā bhinditvā tato ekekaṃ veṇukhaṇḍaṃ gahetvā phāletvā taṃ taṃ upakaraṇaṃ kareyya, evameva bhagavā satipaṭṭhānadesanāya sattānaṃ anekappakāraṃ visesādhigamaṃ kattukāmo ekameva sammāsatiṃ ‘‘cattāro satipaṭṭhānā. Katame cattāro? Idha, bhikkhave, bhikkhu kāye kāyānupassī viharatī’’tiādinā nayena ārammaṇavasena catudhā bhinditvā tato ekekaṃ satipaṭṭhānaṃ gahetvā kāyaṃ vibhajanto ‘‘kathañca bhikkhave’’tiādinā nayena niddesavāraṃ vattumāraddho.

    ตตฺถ กถญฺจาติอาทิ วิตฺถาเรตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว, เกน จ ปกาเรน ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรตีติ? เอส นโย สพฺพปุจฺฉาวาเรสุฯ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขูติ ภิกฺขเว อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ อยเญฺหตฺถ อิธสโทฺท สพฺพปฺปการกายานุปสฺสนานิพฺพตฺตกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปโน อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฎิเสธโน จฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘อิเธว ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙)ฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขู’’ติฯ

    Tattha kathañcātiādi vitthāretukamyatāpucchā. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – bhikkhave, kena ca pakārena bhikkhu kāye kāyānupassī viharatīti? Esa nayo sabbapucchāvāresu. Idha bhikkhave bhikkhūti bhikkhave imasmiṃ sāsane bhikkhu. Ayañhettha idhasaddo sabbappakārakāyānupassanānibbattakassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpano aññasāsanassa tathābhāvapaṭisedhano ca. Vuttañhetaṃ ‘‘idheva bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (ma. ni. 1.139). Tena vuttaṃ ‘‘imasmiṃ sāsane bhikkhū’’ti.

    อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วาติ อิทมสฺส สติปฎฺฐานภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปนํฯ อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ทีฆรตฺตํ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ อนุวิสฎํ จิตฺตํ กมฺมฎฺฐานวีถิํ โอตริตุํ น อิจฺฉติ, กูฎโคณยุตฺตรโถ วิย อุปฺปถเมว ธาวติฯ ตสฺมา เสยฺยถาปิ นาม โคโป กูฎเธนุยา สพฺพํ ขีรํ ปิวิตฺวา วฑฺฒิตํ กูฎวจฺฉํ ทเมตุกาโม เธนุโต อปเนตฺวา เอกมเนฺต มหนฺตํ ถมฺภํ นิขณิตฺวา ตตฺถ โยเตฺตน พเนฺธยฺยฯ อถสฺส โส วโจฺฉ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกโนฺต ตเมว ถมฺภํ อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา, เอวเมว อิมินาปิ ภิกฺขุนา ทีฆรตฺตํ รูปารมฺมณาทิรสปานวฑฺฒิตํ ทุฎฺฐจิตฺตํ ทเมตุกาเมน รูปาทิอารมฺมณโต อปเนตฺวา อรญฺญํ วา รุกฺขมูลํ วา สุญฺญาคารํ วา ปวิสิตฺวา ตตฺถ สติปฎฺฐานารมฺมณตฺถเมฺภ สติโยเตฺตน พนฺธิตพฺพํฯ เอวมสฺส ตํ จิตฺตํ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวาปิ ปุเพฺพ อาจิณฺณารมฺมณํ อลภมานํ สติโยตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตํ ตเมวารมฺมณํ อุปจารปฺปนาวเสน อุปนิสีทติ เจว อุปนิปชฺชติ จฯ เตนาหุ โปราณา –

    Araññagato vā rukkhamūlagato vā suññāgāragato vāti idamassa satipaṭṭhānabhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpanaṃ. Imassa hi bhikkhuno dīgharattaṃ rūpādīsu ārammaṇesu anuvisaṭaṃ cittaṃ kammaṭṭhānavīthiṃ otarituṃ na icchati, kūṭagoṇayuttaratho viya uppathameva dhāvati. Tasmā seyyathāpi nāma gopo kūṭadhenuyā sabbaṃ khīraṃ pivitvā vaḍḍhitaṃ kūṭavacchaṃ dametukāmo dhenuto apanetvā ekamante mahantaṃ thambhaṃ nikhaṇitvā tattha yottena bandheyya. Athassa so vaccho ito cito ca vipphanditvā palāyituṃ asakkonto tameva thambhaṃ upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā, evameva imināpi bhikkhunā dīgharattaṃ rūpārammaṇādirasapānavaḍḍhitaṃ duṭṭhacittaṃ dametukāmena rūpādiārammaṇato apanetvā araññaṃ vā rukkhamūlaṃ vā suññāgāraṃ vā pavisitvā tattha satipaṭṭhānārammaṇatthambhe satiyottena bandhitabbaṃ. Evamassa taṃ cittaṃ ito cito ca vipphanditvāpi pubbe āciṇṇārammaṇaṃ alabhamānaṃ satiyottaṃ chinditvā palāyituṃ asakkontaṃ tamevārammaṇaṃ upacārappanāvasena upanisīdati ceva upanipajjati ca. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ยถา ถเมฺภ นิพเนฺธยฺย, วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ;

    ‘‘Yathā thambhe nibandheyya, vacchaṃ damaṃ naro idha;

    พเนฺธเยฺยวํ สกํ จิตฺตํ, สติยารมฺมเณ ทฬฺห’’นฺติฯ

    Bandheyyevaṃ sakaṃ cittaṃ, satiyārammaṇe daḷha’’nti.

    เอวมเสฺสตํ เสนาสนํ ภาวนานุรูปํ โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อิทมสฺส สติปฎฺฐานภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปน’’นฺติฯ

    Evamassetaṃ senāsanaṃ bhāvanānurūpaṃ hoti. Tena vuttaṃ ‘‘idamassa satipaṭṭhānabhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpana’’nti.

    อปิจ ยสฺมา อิทํ กายานุปสฺสนาย มุทฺธภูตํ สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธสาวกานํ วิเสสาธิคมทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารปทฎฺฐานํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ อิตฺถิปุริสหตฺถิอสฺสาทิสทฺทสมากุลํ คามนฺตํ อปริจฺจชิตฺวา น สุกรํ สมฺปาเทตุํ, สทฺทกณฺฑกตฺตา ฌานสฺสฯ อคามเก ปน อรเญฺญ สุกรํ โยคาวจเรน อิทํ กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ฌานํ ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณิตุํ, ตสฺมาสฺส อนุรูปเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา, ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ

    Apica yasmā idaṃ kāyānupassanāya muddhabhūtaṃ sabbabuddhapaccekabuddhasāvakānaṃ visesādhigamadiṭṭhadhammasukhavihārapadaṭṭhānaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ itthipurisahatthiassādisaddasamākulaṃ gāmantaṃ apariccajitvā na sukaraṃ sampādetuṃ, saddakaṇḍakattā jhānassa. Agāmake pana araññe sukaraṃ yogāvacarena idaṃ kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattetvā tadeva jhānaṃ pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇituṃ, tasmāssa anurūpasenāsanaṃ dassento bhagavā, ‘‘araññagato vā’’tiādimāha.

    วตฺถุวิชฺชาจริโย วิย หิ ภควาฯ โส ยถา วตฺถุวิชฺชาจริโย นครภูมิํ ปสฺสิตฺวา สุฎฺฐุ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ นครํ มาเปถา’’ติ อุปทิสติ, โสตฺถินา จ นคเร นิฎฺฐิเต ราชกุลโต มหาสกฺการํ ลภติ, เอวเมว โยคาวจรสฺส อนุรูปเสนาสนํ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชิตพฺพ’’นฺติ อุปทิสติ, ตโต ตตฺถ กมฺมฎฺฐานมนุยุญฺชเนฺตน โยคินา อนุกฺกเมน อรหเตฺต ปเตฺต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ มหนฺตํ สกฺการํ ลภติฯ

    Vatthuvijjācariyo viya hi bhagavā. So yathā vatthuvijjācariyo nagarabhūmiṃ passitvā suṭṭhu upaparikkhitvā ‘‘ettha nagaraṃ māpethā’’ti upadisati, sotthinā ca nagare niṭṭhite rājakulato mahāsakkāraṃ labhati, evameva yogāvacarassa anurūpasenāsanaṃ upaparikkhitvā ‘‘ettha kammaṭṭhānamanuyuñjitabba’’nti upadisati, tato tattha kammaṭṭhānamanuyuñjantena yoginā anukkamena arahatte patte ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti mahantaṃ sakkāraṃ labhati.

    อยํ ปน ภิกฺขุ ทีปิสทิโสติ วุจฺจติฯ ยถา หิ มหาทีปิราชา อรเญฺญ ติณคหนํ วา วนคหนํ วา ปพฺพตคหนํ วา นิสฺสาย นิลียิตฺวา วนมหิํสโคกณฺณสูกราทโย มิเค คณฺหาติ, เอวเมว อยํ อรญฺญาทีสุ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชโนฺต ภิกฺขุ ยถากฺกเมน จตฺตาโร มเคฺค เจว จตฺตาริ อริยผลานิ จ คณฺหาติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Ayaṃ pana bhikkhu dīpisadisoti vuccati. Yathā hi mahādīpirājā araññe tiṇagahanaṃ vā vanagahanaṃ vā pabbatagahanaṃ vā nissāya nilīyitvā vanamahiṃsagokaṇṇasūkarādayo mige gaṇhāti, evameva ayaṃ araññādīsu kammaṭṭhānaṃ anuyuñjanto bhikkhu yathākkamena cattāro magge ceva cattāri ariyaphalāni ca gaṇhāti. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ยถาปิ ทีปิโก นาม, นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค;

    ‘‘Yathāpi dīpiko nāma, nilīyitvā gaṇhatī mige;

    ตเถวายํ พุทฺธปุโตฺต, ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก;

    Tathevāyaṃ buddhaputto, yuttayogo vipassako;

    อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน, คณฺหาติ ผลมุตฺตม’’นฺติฯ

    Araññaṃ pavisitvāna, gaṇhāti phalamuttama’’nti.

    เตนสฺส ปรกฺกมชวโยคฺคภูมิํ อรญฺญเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ อิโต ปรํ อิมสฺมิํ อานาปานปเพฺพ ยํ วตฺตวฺพํ สิยา, ตํ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทโกฺข ภมกาโร วาติ อิทญฺหิ อุปมามตฺตเมว อิติ อชฺฌตฺตํ วา กาเยติ อิทํ อปฺปนามตฺตเมว จ ตตฺถ อนาคตํ, เสสํ อาคตเมวฯ

    Tenassa parakkamajavayoggabhūmiṃ araññasenāsanaṃ dassento bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha. Ito paraṃ imasmiṃ ānāpānapabbe yaṃ vattavbaṃ siyā, taṃ visuddhimagge vuttameva. Seyyathāpi, bhikkhave, dakkho bhamakāro vāti idañhi upamāmattameva iti ajjhattaṃ vā kāyeti idaṃ appanāmattameva ca tattha anāgataṃ, sesaṃ āgatameva.

    ยํ ปน อนาคตํ, ตตฺถ ทโกฺขติ เฉโกฯ ทีฆํ วา อญฺฉโนฺตติ มหนฺตานํ เภรีโปกฺขราทีนํ ลิขนกาเล หเตฺถ จ ปาเท จ ปสาเรตฺวา ทีฆํ กฑฺฒโนฺตฯ รสฺสํ วา อญฺฉโนฺตติ ขุทฺทกานํ ทนฺตสูจิเวธกาทีนํ ลิขนกาเล มนฺทมนฺทํ รสฺสํ กฑฺฒโนฺตฯ เอวเมว โขติ เอวํ อยมฺปิ ภิกฺขุ อทฺธานวเสน อิตฺตรวเสน จ ปวตฺตานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ วเสน ทีฆํ วา อสฺสสโนฺต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ…เป.… ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติฯ ตเสฺสวํ สิกฺขโต อสฺสาสปสฺสาสนิมิเตฺต จตฺตาริ ฌานานิ อุปฺปชฺชนฺติ, โส ฌานา วุฎฺฐหิตฺวา อสฺสาสปสฺสาเส วา ปริคฺคณฺหาติ ฌานงฺคานิ วาฯ

    Yaṃ pana anāgataṃ, tattha dakkhoti cheko. Dīghaṃ vā añchantoti mahantānaṃ bherīpokkharādīnaṃ likhanakāle hatthe ca pāde ca pasāretvā dīghaṃ kaḍḍhanto. Rassaṃ vā añchantoti khuddakānaṃ dantasūcivedhakādīnaṃ likhanakāle mandamandaṃ rassaṃ kaḍḍhanto. Evameva khoti evaṃ ayampi bhikkhu addhānavasena ittaravasena ca pavattānaṃ assāsapassāsānaṃ vasena dīghaṃ vā assasanto dīghaṃ assasāmīti pajānāti…pe… passasissāmīti sikkhatīti. Tassevaṃ sikkhato assāsapassāsanimitte cattāri jhānāni uppajjanti, so jhānā vuṭṭhahitvā assāsapassāse vā pariggaṇhāti jhānaṅgāni vā.

    ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสกมฺมิโก ‘‘อิเม อสฺสาสปสฺสาสา กิํ นิสฺสิตา? วตฺถุนิสฺสิตาฯ วตฺถุ นาม กรชกาโย, กรชกาโย นาม จตฺตาริ มหาภูตานิ อุปาทารูปเญฺจ’’ติ เอวํ รูปํ ปริคฺคณฺหาติฯ ตโต ตทารมฺมเณ ผสฺสปญฺจมเก นามนฺติฯ เอวํ นามรูปํ ปริคฺคเหตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อวิชฺชาทิปฎิจฺจสมุปฺปาทํ ทิสฺวา ‘‘ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมมตฺตเมเวตํ, อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถี’’ติ วิติณฺณกโงฺข สปฺปจฺจยนามรูเป ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อนุกฺกเมน อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อิทํ เอกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขํฯ

    Tattha assāsapassāsakammiko ‘‘ime assāsapassāsā kiṃ nissitā? Vatthunissitā. Vatthu nāma karajakāyo, karajakāyo nāma cattāri mahābhūtāni upādārūpañce’’ti evaṃ rūpaṃ pariggaṇhāti. Tato tadārammaṇe phassapañcamake nāmanti. Evaṃ nāmarūpaṃ pariggahetvā tassa paccayaṃ pariyesanto avijjādipaṭiccasamuppādaṃ disvā ‘‘paccayapaccayuppannadhammamattamevetaṃ, añño satto vā puggalo vā natthī’’ti vitiṇṇakaṅkho sappaccayanāmarūpe tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanaṃ vaḍḍhento anukkamena arahattaṃ pāpuṇāti. Idaṃ ekassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhaṃ.

    ฌานกมฺมิโกปิ ‘‘อิมานิ ฌานงฺคานิ กิํ นิสฺสิตานิ, วตฺถุนิสฺสิตานิ, วตฺถุ นาม กรชกาโย ฌานงฺคานิ นามํ, กรชกาโย รูป’’นฺติ นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อวิชฺชาทิปจฺจยาการํ ทิสฺวา ‘‘ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนธมฺมมตฺตเมเวตํ, อโญฺญ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา นตฺถี’’ติ วิติณฺณกโงฺข สปฺปจฺจยนามรูเป ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อนุกฺกเมน อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อิทเมกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขํฯ

    Jhānakammikopi ‘‘imāni jhānaṅgāni kiṃ nissitāni, vatthunissitāni, vatthu nāma karajakāyo jhānaṅgāni nāmaṃ, karajakāyo rūpa’’nti nāmarūpaṃ vavatthapetvā tassa paccayaṃ pariyesanto avijjādipaccayākāraṃ disvā ‘‘paccayapaccayuppannadhammamattamevetaṃ, añño satto vā puggalo vā natthī’’ti vitiṇṇakaṅkho sappaccayanāmarūpe tilakkhaṇaṃ āropetvā vipassanaṃ vaḍḍhento anukkamena arahattaṃ pāpuṇāti. Idamekassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhaṃ.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา อสฺสาสปสฺสาสกาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ พหิทฺธา วาติ ปรสฺส วา อสฺสาสปสฺสาสกาเยฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วาติ กาเลน อตฺตโน, กาเลน ปรสฺส อสฺสาสปสฺสาสกาเยฯ เอเตนสฺส ปคุณกมฺมฎฺฐานํ อฎฺฐเปตฺวา อปราปรํ สญฺจรณกาโล กถิโตฯ เอกสฺมิํ กาเล ปนิทํ อุภยํ น ลพฺภติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā assāsapassāsakāye kāyānupassī viharati. Bahiddhā vāti parassa vā assāsapassāsakāye. Ajjhattabahiddhā vāti kālena attano, kālena parassa assāsapassāsakāye. Etenassa paguṇakammaṭṭhānaṃ aṭṭhapetvā aparāparaṃ sañcaraṇakālo kathito. Ekasmiṃ kāle panidaṃ ubhayaṃ na labbhati.

    สมุทยธมฺมานุปสฺสี วาติ ยถา นาม กมฺมารสฺส ภสฺตญฺจ คคฺครนาฬิญฺจ ตชฺชญฺจ วายามํ ปฎิจฺจ วาโต อปราปรํ สญฺจรติ, เอวํ ภิกฺขุโน กรชกายญฺจ นาสปุฎญฺจ จิตฺตญฺจ ปฎิจฺจ อสฺสาสปสฺสาสกาโย อปราปรํ สญฺจรติฯ กายาทโย ธมฺมา สมุทยธมฺมา, เต ปสฺสโนฺต ‘‘สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมิํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ วยธมฺมานุปสฺสี วาติ ยถา ภสฺตาย อปนีตาย คคฺครนาฬิยา ภินฺนาย ตเชฺช จ วายาเม อสติ โส วาโต นปฺปวตฺตติ, เอวเมว กาเย ภิเนฺน นาสปุเฎ วิทฺธเสฺต จิเตฺต จ นิรุเทฺธ อสฺสาสปสฺสาสกาโย นาม นปฺปวตฺตตีติ กายาทินิโรธา อสฺสาสปสฺสาสนิโรโธติ เอวํ ปสฺสโนฺต ‘‘วยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมิํ วิหรตี’’ติ วุจฺจติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาติ กาเลน สมุทยํ กาเลน วยํ อนุปสฺสโนฺตฯ อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺสาติ กาโยว อตฺถิ, น สโตฺต, น ปุคฺคโล, น อิตฺถี, น ปุริโส, น อตฺตา, น อตฺตนิยํ, นาหํ, น มม, น โกจิ, น กสฺสจีติ เอวมสฺส สติ ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติฯ

    Samudayadhammānupassīti yathā nāma kammārassa bhastañca gaggaranāḷiñca tajjañca vāyāmaṃ paṭicca vāto aparāparaṃ sañcarati, evaṃ bhikkhuno karajakāyañca nāsapuṭañca cittañca paṭicca assāsapassāsakāyo aparāparaṃ sañcarati. Kāyādayo dhammā samudayadhammā, te passanto ‘‘samudayadhammānupassī vā kāyasmiṃ viharatī’’ti vuccati. Vayadhammānupassī vāti yathā bhastāya apanītāya gaggaranāḷiyā bhinnāya tajje ca vāyāme asati so vāto nappavattati, evameva kāye bhinne nāsapuṭe viddhaste citte ca niruddhe assāsapassāsakāyo nāma nappavattatīti kāyādinirodhā assāsapassāsanirodhoti evaṃ passanto ‘‘vayadhammānupassī vā kāyasmiṃ viharatī’’ti vuccati. Samudayavayadhammānupassī vāti kālena samudayaṃ kālena vayaṃ anupassanto. Atthi kāyoti vā panassāti kāyova atthi, na satto, na puggalo, na itthī, na puriso, na attā, na attaniyaṃ, nāhaṃ, na mama, na koci, na kassacīti evamassa sati paccupaṭṭhitā hoti.

    ยาวเทวาติ ปโยชนปริเจฺฉทววตฺถาปนเมตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยา สา สติ ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ, สา น อญฺญทตฺถายฯ อถ โข ยาวเทว ญาณมตฺตาย อปราปรํ อุตฺตรุตฺตริ ญาณปมาณตฺถาย เจว สติปมาณตฺถาย จ, สติสมฺปชญฺญานํ วุฑฺฒตฺถายาติ อโตฺถฯ อนิสฺสิโต จ วิหรตีติ ตณฺหานิสฺสยทิฎฺฐินิสฺสยานํ วเสน อนิสฺสิโตว วิหรติฯ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยตีติ โลกสฺมิํ กิญฺจิ รูปํ วา…เป.… วิญฺญาณํ วา ‘‘อยํ เม อตฺตา วา อตฺตนิยํ วา’’ติ น คณฺหาติฯ เอวมฺปีติ อุปริ อตฺถํ อุปาทาย สมฺปิณฺฑนโตฺถ ปิ-กาโรฯ อิมินา ปน ปเทน ภควา อานาปานปพฺพเทสนํ นิยฺยาเตตฺวา ทเสฺสติฯ

    Yāvadevāti payojanaparicchedavavatthāpanametaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yā sā sati paccupaṭṭhitā hoti, sā na aññadatthāya. Atha kho yāvadeva ñāṇamattāya aparāparaṃ uttaruttari ñāṇapamāṇatthāya ceva satipamāṇatthāya ca, satisampajaññānaṃ vuḍḍhatthāyāti attho. Anissito ca viharatīti taṇhānissayadiṭṭhinissayānaṃ vasena anissitova viharati. Na ca kiñci loke upādiyatīti lokasmiṃ kiñci rūpaṃ vā…pe… viññāṇaṃ vā ‘‘ayaṃ me attā vā attaniyaṃ vā’’ti na gaṇhāti. Evampīti upari atthaṃ upādāya sampiṇḍanattho pi-kāro. Iminā pana padena bhagavā ānāpānapabbadesanaṃ niyyātetvā dasseti.

    ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส อสฺสาสปสฺสาสวเสน อภินิวิฎฺฐสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ

    Tattha assāsapassāsapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa assāsapassāsavasena abhiniviṭṭhassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhanti.

    อานาปานปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Ānāpānapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    อิริยาปถปพฺพวณฺณนา

    Iriyāpathapabbavaṇṇanā

    ๓๗๕. เอวํ อสฺสาสปสฺสาสวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ อิริยาปถวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ กามํ โสณสิงฺคาลาทโยปิ คจฺฉนฺตา ‘‘คจฺฉามา’’ติ ชานนฺติ, น ปเนตํ เอวรูปํ ชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวรูปญฺหิ ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ น ปชหติ, อตฺตสญฺญํ น อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานํ วา สติปฎฺฐานภาวนา วา น โหติฯ อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ ปชหติ, อตฺตสญฺญํ อุคฺฆาเฎติ กมฺมฎฺฐานเญฺจว สติปฎฺฐานภาวนา จ โหติฯ อิทญฺหิ ‘‘โก คจฺฉติ, กสฺส คมนํ, กิํ การณา คจฺฉตี’’ติ เอวํ สมฺปชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ฐานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    375. Evaṃ assāsapassāsavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni iriyāpathavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha kāmaṃ soṇasiṅgālādayopi gacchantā ‘‘gacchāmā’’ti jānanti, na panetaṃ evarūpaṃ jānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Evarūpañhi jānanaṃ sattūpaladdhiṃ na pajahati, attasaññaṃ na ugghāṭeti, kammaṭṭhānaṃ vā satipaṭṭhānabhāvanā vā na hoti. Imassa pana bhikkhuno jānanaṃ sattūpaladdhiṃ pajahati, attasaññaṃ ugghāṭeti kammaṭṭhānañceva satipaṭṭhānabhāvanā ca hoti. Idañhi ‘‘ko gacchati, kassa gamanaṃ, kiṃ kāraṇā gacchatī’’ti evaṃ sampajānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Ṭhānādīsupi eseva nayo.

    ตตฺถ โก คจฺฉตีติ? น โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา คจฺฉติฯ กสฺส คมนนฺติ? น กสฺสจิ สตฺตสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา คมนํฯ กิํ การณา คจฺฉตีติ ? จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน คจฺฉติฯ ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ – ‘‘คจฺฉามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ , ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลกายสฺส ปุรโต อภินีหาโร คมนนฺติ วุจฺจติฯ ฐานาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Tattha ko gacchatīti? Na koci satto vā puggalo vā gacchati. Kassa gamananti? Na kassaci sattassa vā puggalassa vā gamanaṃ. Kiṃ kāraṇā gacchatīti ? Cittakiriyavāyodhātuvipphārena gacchati. Tasmā esa evaṃ pajānāti – ‘‘gacchāmī’’ti cittaṃ uppajjati , taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalakāyassa purato abhinīhāro gamananti vuccati. Ṭhānādīsupi eseva nayo.

    ตตฺราปิ หิ ‘‘ติฎฺฐามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลกายสฺส โกฎิโต ปฎฺฐาย อุสฺสิตภาโว ฐานนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘นิสีทามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน เหฎฺฐิมกายสฺส สมิญฺชนํ อุปริมกายสฺส อุสฺสิตภาโว นิสชฺชาติ วุจฺจติฯ ‘‘สยามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, ตํ วายํ ชเนติ, วาโย วิญฺญตฺติํ ชเนติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน สกลสรีรสฺส ติริยโต ปสารณํ สยนนฺติ วุจฺจตีติฯ

    Tatrāpi hi ‘‘tiṭṭhāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalakāyassa koṭito paṭṭhāya ussitabhāvo ṭhānanti vuccati. ‘‘Nisīdāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena heṭṭhimakāyassa samiñjanaṃ uparimakāyassa ussitabhāvo nisajjāti vuccati. ‘‘Sayāmī’’ti cittaṃ uppajjati, taṃ vāyaṃ janeti, vāyo viññattiṃ janeti, cittakiriyavāyodhātuvipphārena sakalasarīrassa tiriyato pasāraṇaṃ sayananti vuccatīti.

    ตสฺส เอวํ ปชานโต เอวํ โหติ ‘‘สโตฺต คจฺฉติ, สโตฺต ติฎฺฐตี’’ติ วุจฺจติ, อตฺถโต ปน โกจิ สโตฺต คจฺฉโนฺต วา ฐิโต วา นตฺถิฯ ยถา ปน ‘‘สกฎํ คจฺฉติ, สกฎํ ติฎฺฐตี’’ติ วุจฺจติ, น จ กิญฺจิ สกฎํ นาม คจฺฉนฺตํ วา ฐิตํ วา อตฺถิ, จตฺตาโร ปน โคเณ โยเชตฺวา เฉกมฺหิ สารถิมฺหิ ปาเชเนฺต ‘‘สกฎํ คจฺฉติ, สกฎํ ติฎฺฐตี’’ติ โวหารมตฺตเมว โหติ, เอวเมว อชานนเฎฺฐน สกฎํ วิย กาโย, โคณา วิย จิตฺตชวาตา, สารถิ วิย จิตฺตํฯ ‘‘คจฺฉามิ ติฎฺฐามี’’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตกิริยวาโยธาตุวิปฺผาเรน คมนาทีนิ ปวตฺตนฺติ, ตโต ‘‘สโตฺต คจฺฉติ, สโตฺต ติฎฺฐติ, อหํ คจฺฉามิ, อหํ ติฎฺฐามี’’ติ โวหารมตฺตํ โหติฯ เตนาห –

    Tassa evaṃ pajānato evaṃ hoti ‘‘satto gacchati, satto tiṭṭhatī’’ti vuccati, atthato pana koci satto gacchanto vā ṭhito vā natthi. Yathā pana ‘‘sakaṭaṃ gacchati, sakaṭaṃ tiṭṭhatī’’ti vuccati, na ca kiñci sakaṭaṃ nāma gacchantaṃ vā ṭhitaṃ vā atthi, cattāro pana goṇe yojetvā chekamhi sārathimhi pājente ‘‘sakaṭaṃ gacchati, sakaṭaṃ tiṭṭhatī’’ti vohāramattameva hoti, evameva ajānanaṭṭhena sakaṭaṃ viya kāyo, goṇā viya cittajavātā, sārathi viya cittaṃ. ‘‘Gacchāmi tiṭṭhāmī’’ti citte uppanne vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati, cittakiriyavāyodhātuvipphārena gamanādīni pavattanti, tato ‘‘satto gacchati, satto tiṭṭhati, ahaṃ gacchāmi, ahaṃ tiṭṭhāmī’’ti vohāramattaṃ hoti. Tenāha –

    ‘‘นาวา มาลุตเวเคน, ชิยาเวเคน เตชนํ;

    ‘‘Nāvā mālutavegena, jiyāvegena tejanaṃ;

    ยถา ยาติ ตถา กาโย, ยาติ วาตาหโต อยํฯ

    Yathā yāti tathā kāyo, yāti vātāhato ayaṃ.

    ยนฺตํ สุตฺตวเสเนว, จิตฺตสุตฺตวเสนิทํ;

    Yantaṃ suttavaseneva, cittasuttavasenidaṃ;

    ปยุตฺตํ กายยนฺตมฺปิ, ยาติ ฐาติ นิสีทติฯ

    Payuttaṃ kāyayantampi, yāti ṭhāti nisīdati.

    โก นาม เอตฺถ โส สโตฺต, โย วินา เหตุปจฺจเย;

    Ko nāma ettha so satto, yo vinā hetupaccaye;

    อตฺตโน อานุภาเวน, ติเฎฺฐ วา ยทิ วา วเช’’ติฯ

    Attano ānubhāvena, tiṭṭhe vā yadi vā vaje’’ti.

    ตสฺมา เอวํ เหตุปจฺจยวเสเนว ปวตฺตานิ คมนาทีนิ สลฺลเกฺขโนฺต เอส ‘‘คจฺฉโนฺต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, ฐิโต วา, นิสิโนฺน วา, สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Tasmā evaṃ hetupaccayavaseneva pavattāni gamanādīni sallakkhento esa ‘‘gacchanto vā gacchāmīti pajānāti, ṭhito vā, nisinno vā, sayāno vā sayānomhīti pajānātī’’ti veditabbo.

    ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา นํ ปชานาตีติ สพฺพสงฺคาหิกวจนเมตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เยน เยน วา อากาเรนสฺส กาโย ฐิโต โหติ, เตน เตน นํ ปชานาติฯ คมนากาเรน ฐิตํ คจฺฉตีติ ปชานาติฯ ฐานนิสชฺชสยนากาเรน ฐิตํ สยาโนติ ปชานาตีติฯ

    Yathā yathā vā panassa kāyo paṇihito hoti, tathā tathā naṃ pajānātīti sabbasaṅgāhikavacanametaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yena yena vā ākārenassa kāyo ṭhito hoti, tena tena naṃ pajānāti. Gamanākārena ṭhitaṃ gacchatīti pajānāti. Ṭhānanisajjasayanākārena ṭhitaṃ sayānoti pajānātīti.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนน กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ พหิทฺธา วาติ ปรสฺส วา จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนนฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วาติ กาเลน อตฺตโน, กาเลน ปรสฺส จตุอิริยาปถปริคฺคณฺหเนน กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยธมฺมานุปสฺสี วาติอาทีสุ ปน อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโยติอาทินา นเยน ปญฺจหากาเรหิ รูปกฺขนฺธสฺส สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ ตญฺหิ สนฺธาย อิธ ‘‘สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺสาติอาทิ วุตฺตสทิสเมวฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā catuiriyāpathapariggaṇhanena kāye kāyānupassī viharati. Bahiddhā vāti parassa vā catuiriyāpathapariggaṇhanena. Ajjhattabahiddhā vāti kālena attano, kālena parassa catuiriyāpathapariggaṇhanena kāye kāyānupassī viharati. Samudayadhammānupassī vātiādīsu pana avijjāsamudayā rūpasamudayotiādinā nayena pañcahākārehi rūpakkhandhassa samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Tañhi sandhāya idha ‘‘samudayadhammānupassī vā’’tiādi vuttaṃ. Atthi kāyoti vā panassātiādi vuttasadisameva.

    อิธาปิ จตุอิริยาปถปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส จตุอิริยาปถปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ

    Idhāpi catuiriyāpathapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa catuiriyāpathapariggāhakassa bhikkhuno yāva arahattā niyyānamukhanti.

    อิริยาปถปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Iriyāpathapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    จตุสมฺปชญฺญปพฺพวณฺณนา

    Catusampajaññapabbavaṇṇanā

    ๓๗๖. เอวํ อิริยาปถวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ จตุสมฺปชญฺญวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาห ฯ ตตฺถ อภิกฺกเนฺตติอาทีนิ สามญฺญผเล วณฺณิตานิฯ อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ จตุสมฺปชญฺญปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ อิธาปิ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสีติอาทีสุ รูปกฺขนฺธเสฺสว สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ เสสํ วุตฺตสทิสเมวฯ

    376. Evaṃ iriyāpathavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni catusampajaññavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha . Tattha abhikkantetiādīni sāmaññaphale vaṇṇitāni. Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ catusampajaññapariggaṇhanena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati. Idhāpi samudayavayadhammānupassītiādīsu rūpakkhandhasseva samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Sesaṃ vuttasadisameva.

    อิธ จตุสมฺปชญฺญปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, วุตฺตปฺปกาโร อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทเมกสฺส จตุสมฺปชญฺญปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน วเสน ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ

    Idha catusampajaññapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, vuttappakāro ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idamekassa catusampajaññapariggāhakassa bhikkhuno vasena yāva arahattā niyyānamukhanti.

    จตุสมฺปชญฺญปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Catusampajaññapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    ปฎิกูลมนสิการปพฺพวณฺณนา

    Paṭikūlamanasikārapabbavaṇṇanā

    ๓๗๗. เอวํ จตุสมฺปชญฺญวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ปฎิกูลมนสิการวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิมเมว กายนฺติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ สพฺพํ สพฺพากาเรน วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค กายคตาสติกมฺมฎฺฐาเน วุตฺตํฯ อุภโตมุขาติ เหฎฺฐา จ อุปริ จาติ ทฺวีหิ มุเขหิ ยุตฺตาฯ นานาวิหิตสฺสาติ นานาวิธสฺสฯ

    377. Evaṃ catusampajaññavasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni paṭikūlamanasikāravasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha imameva kāyantiādīsu yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ sabbaṃ sabbākārena vitthārato visuddhimagge kāyagatāsatikammaṭṭhāne vuttaṃ. Ubhatomukhāti heṭṭhā ca upari cāti dvīhi mukhehi yuttā. Nānāvihitassāti nānāvidhassa.

    อิทํ ปเนตฺถ โอปมฺมสํสนฺทนํ – อุภโตมุขา ปุโตฬิ วิย หิ จาตุมหาภูติโก กาโย, ตตฺถ มิเสฺสตฺวา ปกฺขิตฺตนานาวิธธญฺญํ วิย เกสาทโย ทฺวตฺติํสาการา, จกฺขุมา ปุริโส วิย โยคาวจโร, ตสฺส ตํ ปุโตฬิํ มุญฺจิตฺวา ปจฺจเวกฺขโต นานาวิธธญฺญสฺส ปากฎกาโล วิย โยคิโน ทฺวตฺติํสาการสฺส วิภูตกาโล เวทิตโพฺพฯ อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ เกสาทิปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ ทฺวตฺติํสาการปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวาติฯ

    Idaṃ panettha opammasaṃsandanaṃ – ubhatomukhā putoḷi viya hi cātumahābhūtiko kāyo, tattha missetvā pakkhittanānāvidhadhaññaṃ viya kesādayo dvattiṃsākārā, cakkhumā puriso viya yogāvacaro, tassa taṃ putoḷiṃ muñcitvā paccavekkhato nānāvidhadhaññassa pākaṭakālo viya yogino dvattiṃsākārassa vibhūtakālo veditabbo. Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ kesādipariggaṇhanena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha dvattiṃsākārapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ purimasadisamevāti.

    ปฎิกูลมนสิการปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Paṭikūlamanasikārapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    ธาตุมนสิการปพฺพวณฺณนา

    Dhātumanasikārapabbavaṇṇanā

    ๓๗๘. เอวํ ปฎิกูลมนสิการวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ธาตุมนสิการวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถายํ โอปมฺมสํสนฺทเนน สทฺธิํ อตฺถวณฺณนา – ยถา โกจิ โคฆาตโก วา ตเสฺสว วา ภตฺตเวตนภโต อเนฺตวาสิโก คาวิํ วธิตฺวา วินิวิชฺฌิตฺวา จตโสฺส ทิสา คตานํ มหาปถานํ เวมชฺฌฎฺฐานสงฺขาเต จตุมหาปเถ โกฎฺฐาสํ โกฎฺฐาสํ กตฺวา นิสิโนฺน อสฺส, เอวเมว ภิกฺขุ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ เยน เกนจิ อากาเรน ฐิตตฺตา ยถาฐิตํ, ยถาฐิตตฺตา จ ยถาปณิหิตํ กายํ ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ…เป.… วาโยธาตู’’ติ เอวํ ปจฺจเวกฺขติฯ

    378. Evaṃ paṭikūlamanasikāravasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni dhātumanasikāravasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tatthāyaṃ opammasaṃsandanena saddhiṃ atthavaṇṇanā – yathā koci goghātako vā tasseva vā bhattavetanabhato antevāsiko gāviṃ vadhitvā vinivijjhitvā catasso disā gatānaṃ mahāpathānaṃ vemajjhaṭṭhānasaṅkhāte catumahāpathe koṭṭhāsaṃ koṭṭhāsaṃ katvā nisinno assa, evameva bhikkhu catunnaṃ iriyāpathānaṃ yena kenaci ākārena ṭhitattā yathāṭhitaṃ, yathāṭhitattā ca yathāpaṇihitaṃ kāyaṃ ‘‘atthi imasmiṃ kāye pathavīdhātu…pe… vāyodhātū’’ti evaṃ paccavekkhati.

    กิํ วุตฺตํ โหติ – ยถา โคฆาตกสฺส คาวิํ โปเสนฺตสฺสาปิ อาฆาตนํ อาหรนฺตสฺสาปิ อาหริตฺวา ตตฺถ พนฺธิตฺวา ฐเปนฺตสฺสปิ วเธนฺตสฺสาปิ วธิตํ มตํ ปสฺสนฺตสฺสาปิ ตาวเทว คาวีติ สญฺญา น อนฺตรธายติ, ยาว นํ ปทาเลตฺวา พิลโส น วิภชติฯ วิภชิตฺวา นิสินฺนสฺส ปนสฺส คาวีติ สญฺญา อนฺตรธายติ, มํสสญฺญา ปวตฺตติฯ นาสฺส เอวํ โหติ – ‘‘อหํ คาวิํ วิกฺกิณามิ, อิเม คาวิํ หรนฺตี’’ติฯ อถ ขฺวสฺส ‘‘อหํ มํสํ วิกฺกิณามิ, อิเม มํสํ หรนฺติ’’ เจฺจว โหติ; เอวเมว อิมสฺสาปิ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ พาลปุถุชฺชนกาเล คิหิภูตสฺสาปิ ปพฺพชิตสฺสาปิ ตาวเทว สโตฺตติ วา ปุคฺคโลติ วา สญฺญา น อนฺตรธายติ, ยาว อิมเมว กายํ ยถาฐิตํ ยถาปณิหิตํ ฆนวินิโพฺภคํ กตฺวา ธาตุโส น ปจฺจเวกฺขติฯ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขโต ปนสฺส สตฺตสญฺญา อนฺตรธายติ, ธาตุวเสเนว จิตฺตํ สนฺติฎฺฐติฯ เตนาห ภควา – ‘‘‘อิมเมว กายํ ยถาฐิตํ ยถาปณิหิตํ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขติ ‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตู’ติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ทโกฺข โคฆาตโก วา…เป.… วาโยธาตู’’ติฯ โคฆาตโก วิย หิ โยคี, คาวีติ สญฺญา วิย สตฺตสญฺญา, จตุมหาปโถ วิย จตุอิริยาปโถ, พิลโส วิภชิตฺวา นิสินฺนภาโว วิย ธาตุโส ปจฺจเวกฺขณนฺติ อยเมตฺถ ปาฬิวณฺณนาฯ กมฺมฎฺฐานกถา ปน วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาฯ

    Kiṃ vuttaṃ hoti – yathā goghātakassa gāviṃ posentassāpi āghātanaṃ āharantassāpi āharitvā tattha bandhitvā ṭhapentassapi vadhentassāpi vadhitaṃ mataṃ passantassāpi tāvadeva gāvīti saññā na antaradhāyati, yāva naṃ padāletvā bilaso na vibhajati. Vibhajitvā nisinnassa panassa gāvīti saññā antaradhāyati, maṃsasaññā pavattati. Nāssa evaṃ hoti – ‘‘ahaṃ gāviṃ vikkiṇāmi, ime gāviṃ harantī’’ti. Atha khvassa ‘‘ahaṃ maṃsaṃ vikkiṇāmi, ime maṃsaṃ haranti’’ cceva hoti; evameva imassāpi bhikkhuno pubbe bālaputhujjanakāle gihibhūtassāpi pabbajitassāpi tāvadeva sattoti vā puggaloti vā saññā na antaradhāyati, yāva imameva kāyaṃ yathāṭhitaṃ yathāpaṇihitaṃ ghanavinibbhogaṃ katvā dhātuso na paccavekkhati. Dhātuso paccavekkhato panassa sattasaññā antaradhāyati, dhātuvaseneva cittaṃ santiṭṭhati. Tenāha bhagavā – ‘‘‘imameva kāyaṃ yathāṭhitaṃ yathāpaṇihitaṃ dhātuso paccavekkhati ‘atthi imasmiṃ kāye pathavīdhātu āpodhātu tejodhātu vāyodhātū’ti. Seyyathāpi, bhikkhave, dakkho goghātako vā…pe… vāyodhātū’’ti. Goghātako viya hi yogī, gāvīti saññā viya sattasaññā, catumahāpatho viya catuiriyāpatho, bilaso vibhajitvā nisinnabhāvo viya dhātuso paccavekkhaṇanti ayamettha pāḷivaṇṇanā. Kammaṭṭhānakathā pana visuddhimagge vitthāritā.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ จตุธาตุปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ จตุธาตุปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํ, เสสํ ปุริมสทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ catudhātupariggaṇhanena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha catudhātupariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā niyyānamukhaṃ veditabbaṃ, sesaṃ purimasadisamevāti.

    ธาตุมนสิการปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Dhātumanasikārapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    นวสิวถิกปพฺพวณฺณนา

    Navasivathikapabbavaṇṇanā

    ๓๗๙. เอวํ ธาตุมนสิการวเสน กายานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ นวหิ สิวถิกปเพฺพหิ วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เสยฺยถาปิ ปเสฺสยฺยาติ ยถา ปเสฺสยฺยฯ สรีรนฺติ มตสรีรํฯ สิวถิกาย ฉฑฺฑิตนฺติ สุสาเน อปวิทฺธํฯ เอกาหํ มตสฺส อสฺสาติ เอกาหมตํฯ ทฺวีหํ มตสฺส อสฺสาติ ทฺวีหมตํฯ ตีหํ มตสฺส อสฺสาติ ตีหมตํฯ กมฺมารภสฺตา วิย วายุนา อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา ยถานุกฺกมํ สมุคฺคเตน สูนภาเวน อุทฺธุมาตตฺตา อุทฺธุมาตํ, อุทฺธุมาตเมว อุทฺธุมาตกํฯ ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ อุทฺธุมาตนฺติ อุทฺธุมาตกํฯ วินีลํ วุจฺจติ วิปริภินฺนวณฺณํ, วินีลเมว วินีลกํฯ ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วินีลนฺติ วินีลกํฯ มํสุสฺสทฎฺฐาเนสุ รตฺตวณฺณสฺส ปุพฺพสนฺนิจยฎฺฐาเนสุ เสตวณฺณสฺส เยภุเยฺยน จ นีลวณฺณสฺส นีลฎฺฐาเนสุ นีลสาฎกปารุตเสฺสว ฉวสรีรเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปริภินฺนฎฺฐาเนหิ นวหิ วา วณมุเขหิ วิสฺสนฺทมานปุพฺพํ วิปุพฺพํ, วิปุพฺพเมว วิปุพฺพกํฯ ปฎิกูลตฺตา วา กุจฺฉิตํ วิปุพฺพนฺติ วิปุพฺพกํฯ วิปุพฺพกํ ชาตํ ตถาภาวํ คตนฺติ วิปุพฺพกชาตํฯ

    379. Evaṃ dhātumanasikāravasena kāyānupassanaṃ vibhajitvā idāni navahi sivathikapabbehi vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha seyyathāpi passeyyāti yathā passeyya. Sarīranti matasarīraṃ. Sivathikāya chaḍḍitanti susāne apaviddhaṃ. Ekāhaṃ matassa assāti ekāhamataṃ. Dvīhaṃ matassa assāti dvīhamataṃ. Tīhaṃ matassa assāti tīhamataṃ. Kammārabhastā viya vāyunā uddhaṃ jīvitapariyādānā yathānukkamaṃ samuggatena sūnabhāvena uddhumātattā uddhumātaṃ, uddhumātameva uddhumātakaṃ. Paṭikūlattā vā kucchitaṃ uddhumātanti uddhumātakaṃ. Vinīlaṃ vuccati viparibhinnavaṇṇaṃ, vinīlameva vinīlakaṃ. Paṭikūlattā vā kucchitaṃ vinīlanti vinīlakaṃ. Maṃsussadaṭṭhānesu rattavaṇṇassa pubbasannicayaṭṭhānesu setavaṇṇassa yebhuyyena ca nīlavaṇṇassa nīlaṭṭhānesu nīlasāṭakapārutasseva chavasarīrassetaṃ adhivacanaṃ. Paribhinnaṭṭhānehi navahi vā vaṇamukhehi vissandamānapubbaṃ vipubbaṃ, vipubbameva vipubbakaṃ. Paṭikūlattā vā kucchitaṃ vipubbanti vipubbakaṃ. Vipubbakaṃ jātaṃ tathābhāvaṃ gatanti vipubbakajātaṃ.

    โส อิมเมว กายนฺติ โส ภิกฺขุ อิมํ อตฺตโน กายํ เตน กาเยน สทฺธิํ ญาเณน อุปสํหรติ อุปเนติฯ กถํ? อยมฺปิ โข กาโย เอวํธโมฺม เอวํภาวี เอวํอนตีโตติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อายุ, อุสฺมา, วิญฺญาณนฺติ อิเมสํ ติณฺณํ ธมฺมานํ อตฺถิตาย อยํ กาโย ฐานคมนาทิขโม โหติ, อิเมสํ ปน วิคมา อยมฺปิ โข กาโย เอวํธโมฺม เอวํ ปูติกสภาโวเยว, เอวํภาวี เอวํ อุทฺธุมาตาทิเภโท ภวิสฺสติ, เอวํอนตีโต เอวํ อุทฺธุมาตาทิภาวํ อนติกฺกโนฺตติฯ อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อุทฺธุมาตาทิปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ

    So imameva kāyanti so bhikkhu imaṃ attano kāyaṃ tena kāyena saddhiṃ ñāṇena upasaṃharati upaneti. Kathaṃ? Ayampi kho kāyo evaṃdhammo evaṃbhāvī evaṃanatītoti. Idaṃ vuttaṃ hoti – āyu, usmā, viññāṇanti imesaṃ tiṇṇaṃ dhammānaṃ atthitāya ayaṃ kāyo ṭhānagamanādikhamo hoti, imesaṃ pana vigamā ayampi kho kāyo evaṃdhammo evaṃ pūtikasabhāvoyeva, evaṃbhāvī evaṃ uddhumātādibhedo bhavissati, evaṃanatīto evaṃ uddhumātādibhāvaṃ anatikkantoti. Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ uddhumātādipariggaṇhanena attano vā kāye, parassa vā kāye, kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati.

    ขชฺชมานนฺติ อุทราทีสุ นิสีทิตฺวา อุทรมํสโอฎฺฐมํสอกฺขิกูฎาทีนิ ลุญฺจิตฺวา ลุญฺจิตฺวา ขาทิยมานํฯ สมํสโลหิตนฺติ สาวเสสมํสโลหิตยุตฺตํฯ นิมํสโลหิตมกฺขิตนฺติ มํเส ขีเณปิ โลหิตํ น สุสฺสติ, ตํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘นิมํสโลหิตมกฺขิต’’นฺติฯ อเญฺญนาติ อเญฺญน ทิสาภาเคนฯ หตฺถฎฺฐิกนฺติ จตุสฎฺฐิเภทมฺปิ หตฺถฎฺฐิกํ ปาฎิเยกฺกํ ปาฎิเยกฺกํ วิปฺปกิณฺณํฯ ปาทฎฺฐิกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Khajjamānanti udarādīsu nisīditvā udaramaṃsaoṭṭhamaṃsaakkhikūṭādīni luñcitvā luñcitvā khādiyamānaṃ. Samaṃsalohitanti sāvasesamaṃsalohitayuttaṃ. Nimaṃsalohitamakkhitanti maṃse khīṇepi lohitaṃ na sussati, taṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘nimaṃsalohitamakkhita’’nti. Aññenāti aññena disābhāgena. Hatthaṭṭhikanti catusaṭṭhibhedampi hatthaṭṭhikaṃ pāṭiyekkaṃ pāṭiyekkaṃ vippakiṇṇaṃ. Pādaṭṭhikādīsupi eseva nayo.

    เตโรวสฺสิกานีติ อติกฺกนฺตสํวจฺฉรานิฯ ปูตีนีติ อโพฺภกาเส ฐิตานิ วาตาตปวุฎฺฐิสมฺผเสฺสน เตโรวสฺสิกาเนว ปูตีนิ โหนฺติ, อโนฺตภูมิคตานิ ปน จิรตรํ ติฎฺฐนฺติฯ จุณฺณกชาตานีติ จุณฺณํ จุณฺณํ หุตฺวา วิปฺปกิณฺณานิฯ สพฺพตฺถ โส อิมเมวาติ วุตฺตนเยน ขชฺชมานาทีนํ วเสน โยชนา กาตพฺพาฯ อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ขชฺชมานาทิปริคฺคณฺหเนน ยาว จุณฺณกภาวา อตฺตโน วา กาเย, ปรสฺส วา กาเย กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส กาเย กายานุปสฺสี วิหรติฯ

    Terovassikānīti atikkantasaṃvaccharāni. Pūtīnīti abbhokāse ṭhitāni vātātapavuṭṭhisamphassena terovassikāneva pūtīni honti, antobhūmigatāni pana cirataraṃ tiṭṭhanti. Cuṇṇakajātānīti cuṇṇaṃ cuṇṇaṃ hutvā vippakiṇṇāni. Sabbattha so imamevāti vuttanayena khajjamānādīnaṃ vasena yojanā kātabbā. Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ khajjamānādipariggaṇhanena yāva cuṇṇakabhāvā attano vā kāye, parassa vā kāye kālena vā attano, kālena vā parassa kāye kāyānupassī viharati.

    อิธ ปน ฐตฺวา นวสิวถิกา สโมธาเนตพฺพาฯ เอกาหมตํ วาติ หิ อาทินา นเยน วุตฺตา สพฺพาปิ เอกา, กาเกหิ วา ขชฺชมานนฺติอาทิกา เอกา, อฎฺฐิกสงฺขลิกํ สมํสโลหิตํ นฺหารุสมฺพนฺธนฺติ เอกา, นิมํสโลหิตมกฺขิตํ นฺหารุสมฺพนฺธนฺติ เอกา, อปคตมํสโลหิตํ นฺหารุสมฺพนฺธนฺติ เอกา, อฎฺฐิกานิ อปคตสมฺพนฺธานีติอาทิกา เอกา อฎฺฐิกานิ เสตานิ สงฺขวณฺณปฎิภาคานีติ เอกา, ปุญฺชกิตานิ เตโรวสฺสิกานีติ เอกา, ปูตีนิ จุณฺณกชาตานีติ เอกาติฯ

    Idha pana ṭhatvā navasivathikā samodhānetabbā. Ekāhamataṃ vāti hi ādinā nayena vuttā sabbāpi ekā, kākehi vā khajjamānantiādikā ekā, aṭṭhikasaṅkhalikaṃ samaṃsalohitaṃ nhārusambandhanti ekā, nimaṃsalohitamakkhitaṃ nhārusambandhanti ekā, apagatamaṃsalohitaṃ nhārusambandhanti ekā, aṭṭhikāni apagatasambandhānītiādikā ekā aṭṭhikāni setāni saṅkhavaṇṇapaṭibhāgānīti ekā, puñjakitāni terovassikānīti ekā, pūtīni cuṇṇakajātānīti ekāti.

    เอวํ โข, ภิกฺขเวติ อิทํ นวสิวถิกา ทเสฺสตฺวา กายานุปสฺสนํ นิฎฺฐเปโนฺต อาหฯ ตตฺถ นวสิวถิกปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจํ, ตสฺสา สมุฎฺฐาปิกา ปุริมตณฺหา สมุทยสจฺจํ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺติ นิโรธสจฺจํ, ทุกฺขปริชานโน สมุทยปชหโน นิโรธารมฺมโณ อริยมโคฺค มคฺคสจฺจํฯ เอวํ จตุสจฺจวเสน อุสฺสกฺกิตฺวา นิพฺพุติํ ปาปุณาตีติ อิทํ นวสิวถิกปริคฺคาหกานํ ภิกฺขูนํ ยาว อรหตฺตา นิยฺยานมุขนฺติฯ

    Evaṃ kho, bhikkhaveti idaṃ navasivathikā dassetvā kāyānupassanaṃ niṭṭhapento āha. Tattha navasivathikapariggāhikā sati dukkhasaccaṃ, tassā samuṭṭhāpikā purimataṇhā samudayasaccaṃ, ubhinnaṃ appavatti nirodhasaccaṃ, dukkhaparijānano samudayapajahano nirodhārammaṇo ariyamaggo maggasaccaṃ. Evaṃ catusaccavasena ussakkitvā nibbutiṃ pāpuṇātīti idaṃ navasivathikapariggāhakānaṃ bhikkhūnaṃ yāva arahattā niyyānamukhanti.

    นวสิวถิกปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Navasivathikapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    เอตฺตาวตา จ อานาปานปพฺพํ, อิริยาปถปพฺพํ, จตุสมฺปชญฺญปพฺพํ, ปฎิกูลมนสิการปพฺพํ, ธาตุมนสิการปพฺพํ, นวสิวถิกปพฺพานีติ จุทฺทสปพฺพา กายานุปสฺสนา นิฎฺฐิตา โหติฯ ตตฺถ อานาปานปพฺพํ, ปฎิกูลมนสิการปพฺพนฺติ อิมาเนว เทฺว อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิ, สิวถิกานํ ปน อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตตฺตา เสสานิ ทฺวาทสาปิ อุปจารกมฺมฎฺฐานาเนวาติฯ

    Ettāvatā ca ānāpānapabbaṃ, iriyāpathapabbaṃ, catusampajaññapabbaṃ, paṭikūlamanasikārapabbaṃ, dhātumanasikārapabbaṃ, navasivathikapabbānīti cuddasapabbā kāyānupassanā niṭṭhitā hoti. Tattha ānāpānapabbaṃ, paṭikūlamanasikārapabbanti imāneva dve appanākammaṭṭhānāni, sivathikānaṃ pana ādīnavānupassanāvasena vuttattā sesāni dvādasāpi upacārakammaṭṭhānānevāti.

    กายานุปสฺสนา นิฎฺฐิตาฯ

    Kāyānupassanā niṭṭhitā.

    เวทนานุปสฺสนาวณฺณนา

    Vedanānupassanāvaṇṇanā

    ๓๘๐. เอวํ ภควา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สุขํ เวทนนฺติ กายิกํ วา เจตสิกํ วา สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘อหํ สุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาตีติ อโตฺถฯ ตตฺถ กามํ อุตฺตานเสยฺยกาปิ ทารกา ถญฺญปิวนาทิกาเล สุขํ เวทยมานา ‘‘สุขํ เวทนํ เวทยามา’’ติ ปชานนฺติ, น ปเนตํ เอวรูปํ ชานนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เอวรูปญฺหิ ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ น ชหติ, อตฺตสญฺญํ น อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานํ วา สติปฎฺฐานภาวนา วา น โหติฯ อิมสฺส ปน ภิกฺขุโน ชานนํ สตฺตูปลทฺธิํ ชหติ, อตฺตสญฺญํ อุคฺฆาเฎติ, กมฺมฎฺฐานเญฺจว สติปฎฺฐานภาวนา จ โหติฯ อิทญฺหิ ‘‘โก เวทยติ, กสฺส เวทนา, กิํ การณา เวทนา’’ติ เอวํ สมฺปชานเวทิยนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ

    380. Evaṃ bhagavā cuddasavidhena kāyānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni navavidhena vedanānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Tattha sukhaṃ vedananti kāyikaṃ vā cetasikaṃ vā sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘ahaṃ sukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānātīti attho. Tattha kāmaṃ uttānaseyyakāpi dārakā thaññapivanādikāle sukhaṃ vedayamānā ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmā’’ti pajānanti, na panetaṃ evarūpaṃ jānanaṃ sandhāya vuttaṃ. Evarūpañhi jānanaṃ sattūpaladdhiṃ na jahati, attasaññaṃ na ugghāṭeti, kammaṭṭhānaṃ vā satipaṭṭhānabhāvanā vā na hoti. Imassa pana bhikkhuno jānanaṃ sattūpaladdhiṃ jahati, attasaññaṃ ugghāṭeti, kammaṭṭhānañceva satipaṭṭhānabhāvanā ca hoti. Idañhi ‘‘ko vedayati, kassa vedanā, kiṃ kāraṇā vedanā’’ti evaṃ sampajānavediyanaṃ sandhāya vuttaṃ.

    ตตฺถ โก เวทยตีติ น โกจิ สโตฺต วา ปุคฺคโล วา เวทยติฯ กสฺส เวทนาติ น กสฺสจิ สตฺตสฺส วา ปุคฺคลสฺส วา เวทนาฯ กิํ การณา เวทนาติ วตฺถุอารมฺมณาว ปนสฺส เวทนา, ตสฺมา เอส เอวํ ปชานาติ ‘‘ตํ ตํ สุขาทีนํ วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยติ ตํ ปน เวทนาย ปวตฺติํ อุปาทาย’อหํ เวทยามี’ติ โวหารมตฺตํ โหตี’’ติฯ เอวํ วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยตีติ สลฺลเกฺขโนฺต เอส ‘‘สุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาตี’’ติ เวทิตโพฺพ จิตฺตลปพฺพเต อญฺญตรเตฺถโร วิยฯ

    Tattha ko vedayatīti na koci satto vā puggalo vā vedayati. Kassa vedanāti na kassaci sattassa vā puggalassa vā vedanā. Kiṃ kāraṇā vedanāti vatthuārammaṇāva panassa vedanā, tasmā esa evaṃ pajānāti ‘‘taṃ taṃ sukhādīnaṃ vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayati taṃ pana vedanāya pavattiṃ upādāya’ahaṃ vedayāmī’ti vohāramattaṃ hotī’’ti. Evaṃ vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayatīti sallakkhento esa ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānātī’’ti veditabbo cittalapabbate aññataratthero viya.

    เถโร กิร อผาสุกกาเล พลวเวทนาย นิตฺถุนโนฺต อปราปรํ ปริวตฺตติ, ตเมโก ทหโร อาห – ‘‘กตรํ โว, ภเนฺต, ฐานํ รุชฺชตี’’ติฯ อาวุโส, ปาฎิเยกฺกํ รุชฺชนฎฺฐานํ นาม นตฺถิ, วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา เวทนาว เวทยตีติฯ เอวํ ชานนกาลโต ปฎฺฐาย อธิวาเสตุํ วฎฺฎติ โน, ภเนฺต,ติฯ อธิวาเสมิ, อาวุโสติฯ อธิวาสนา, ภเนฺต, เสโยฺยติฯ เถโร อธิวาเสสิฯ วาโต ยาว หทยา ผาเลสิ, มญฺจเก อนฺตานิ ราสิกตานิ อเหสุํฯ เถโร ทหรสฺส ทเสฺสสิ ‘‘วฎฺฎตาวุโส, เอตฺตกา อธิวาสนา’’ติฯ ทหโร ตุณฺหี อโหสิฯ เถโร วีริยสมตํ โยเชตฺวา สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิตฺวา สมสีสี หุตฺวา ปรินิพฺพายิฯ

    Thero kira aphāsukakāle balavavedanāya nitthunanto aparāparaṃ parivattati, tameko daharo āha – ‘‘kataraṃ vo, bhante, ṭhānaṃ rujjatī’’ti. Āvuso, pāṭiyekkaṃ rujjanaṭṭhānaṃ nāma natthi, vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā vedanāva vedayatīti. Evaṃ jānanakālato paṭṭhāya adhivāsetuṃ vaṭṭati no, bhante,ti. Adhivāsemi, āvusoti. Adhivāsanā, bhante, seyyoti. Thero adhivāsesi. Vāto yāva hadayā phālesi, mañcake antāni rāsikatāni ahesuṃ. Thero daharassa dassesi ‘‘vaṭṭatāvuso, ettakā adhivāsanā’’ti. Daharo tuṇhī ahosi. Thero vīriyasamataṃ yojetvā saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇitvā samasīsī hutvā parinibbāyi.

    ยถา จ สุขํ, เอวํ ทุกฺขํ…เป.… นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามี’’ติ ปชานาติฯ อิติ ภควา รูปกมฺมฎฺฐานํ กเถตฺวา อรูปกมฺมฎฺฐานํ กเถโนฺต ยสฺมา ผสฺสวเสน จิตฺตวเสน วา กถิยมานํ ปากฎํ น โหติ , อนฺธการํ วิย ขายติ, เวทนานํ ปน อุปฺปตฺติปากฎตาย เวทนาวเสน ปากฎํ โหติ, ตสฺมา สกฺกปเญฺห วิย อิธาปิ เวทนาวเสน อรูปกมฺมฎฺฐานํ กเถสิฯ ตตฺถ ‘‘ทุวิธญฺหิ กมฺมฎฺฐานํ รูปกมฺมฎฺฐานํ อรูปกมฺมฎฺฐานญฺจา’’ติอาทิ กถามโคฺค สกฺกปเญฺห วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    Yathā ca sukhaṃ, evaṃ dukkhaṃ…pe… nirāmisaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘nirāmisaṃ adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedayāmī’’ti pajānāti. Iti bhagavā rūpakammaṭṭhānaṃ kathetvā arūpakammaṭṭhānaṃ kathento yasmā phassavasena cittavasena vā kathiyamānaṃ pākaṭaṃ na hoti , andhakāraṃ viya khāyati, vedanānaṃ pana uppattipākaṭatāya vedanāvasena pākaṭaṃ hoti, tasmā sakkapañhe viya idhāpi vedanāvasena arūpakammaṭṭhānaṃ kathesi. Tattha ‘‘duvidhañhi kammaṭṭhānaṃ rūpakammaṭṭhānaṃ arūpakammaṭṭhānañcā’’tiādi kathāmaggo sakkapañhe vuttanayeneva veditabbo.

    ตตฺถ สุขํ เวทนนฺติอาทีสุ อยํ อปโรปิ ปชานนปริยาโย, สุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาตีติ สุขเวทนากฺขเณ ทุกฺขเวทนาย อภาวโต สุขํ เวทนํ เวทยมาโน ‘‘สุขํ เวทนํเยว เวทยามี’’ติ ปชานาติฯ เตน ยา ปุเพฺพ ภูตปุพฺพา ทุกฺขเวทนา, ตสฺส อิทานิ อภาวโต อิมิสฺสา จ สุขาย เวทนาย อิโต ปฐมํ อภาวโต เวทนา นาม อนิจฺจา อธุวา วิปริณามธมฺมา, อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา –

    Tattha sukhaṃ vedanantiādīsu ayaṃ aparopi pajānanapariyāyo, sukhaṃ vedanaṃ vedayāmīti pajānātīti sukhavedanākkhaṇe dukkhavedanāya abhāvato sukhaṃ vedanaṃ vedayamāno ‘‘sukhaṃ vedanaṃyeva vedayāmī’’ti pajānāti. Tena yā pubbe bhūtapubbā dukkhavedanā, tassa idāni abhāvato imissā ca sukhāya vedanāya ito paṭhamaṃ abhāvato vedanā nāma aniccā adhuvā vipariṇāmadhammā, itiha tattha sampajāno hoti. Vuttampi cetaṃ bhagavatā –

    ‘‘ยสฺมิํ, อคฺคิเวสฺสน, สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมิํ สมเย ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, น อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ, สุขํเยว ตสฺมิํ สมเย เวทนํ เวเทติฯ ยสฺมิํ, อคฺคิเวสฺสน, สมเย ทุกฺขํ…เป.… อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวเทติ, เนว ตสฺมิํ สมเย สุขํ เวทนํ เวเทติ, น ทุกฺขํ เวทนํ เวเทติ, อทุกฺขมสุขํเยว ตสฺมิํ สมเย เวทนํ เวเทติฯ สุขาปิ, โข, อคฺคิเวสฺสน, เวทนา อนิจฺจา สงฺขตา ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา ขยธมฺมา วยธมฺมา วิราคธมฺมา นิโรธธมฺมาฯ ทุกฺขาปิ, โข…เป.… อทุกฺขมสุขาปิ โข, อคฺคิเวสฺสน, เวทนา อนิจฺจา…เป.… นิโรธธมฺมาฯ เอวํ ปสฺสํ, อคฺคิเวสฺสน, สุตวา อริยสาวโก สุขายปิ เวทนาย นิพฺพินฺทติ, ทุกฺขายปิ เวทนาย นิพฺพินฺทติ, อทุกฺขมสุขายปิ เวทนาย นิพฺพินฺทติ, นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมิํ ‘วิมุตฺตมี’ติ ญาณํ โหติ, ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา’ติ ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๐๕)ฯ

    ‘‘Yasmiṃ, aggivessana, samaye sukhaṃ vedanaṃ vedeti, neva tasmiṃ samaye dukkhaṃ vedanaṃ vedeti, na adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedeti, sukhaṃyeva tasmiṃ samaye vedanaṃ vedeti. Yasmiṃ, aggivessana, samaye dukkhaṃ…pe… adukkhamasukhaṃ vedanaṃ vedeti, neva tasmiṃ samaye sukhaṃ vedanaṃ vedeti, na dukkhaṃ vedanaṃ vedeti, adukkhamasukhaṃyeva tasmiṃ samaye vedanaṃ vedeti. Sukhāpi, kho, aggivessana, vedanā aniccā saṅkhatā paṭiccasamuppannā khayadhammā vayadhammā virāgadhammā nirodhadhammā. Dukkhāpi, kho…pe… adukkhamasukhāpi kho, aggivessana, vedanā aniccā…pe… nirodhadhammā. Evaṃ passaṃ, aggivessana, sutavā ariyasāvako sukhāyapi vedanāya nibbindati, dukkhāyapi vedanāya nibbindati, adukkhamasukhāyapi vedanāya nibbindati, nibbindaṃ virajjati, virāgā vimuccati, vimuttasmiṃ ‘vimuttamī’ti ñāṇaṃ hoti, ‘khīṇā jāti, vusitaṃ brahmacariyaṃ, kataṃ karaṇīyaṃ, nāparaṃ itthattāyā’ti pajānātī’’ti (ma. ni. 2.205).

    สามิสํ วา สุขนฺติอาทีสุ สามิสา สุขา นาม ปญฺจกามคุณามิสสนฺนิสฺสิตา ฉ เคหสิตโสมนสฺสเวทนาฯ นิรามิสา สุขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตโสมนสฺสเวทนาฯ สามิสา ทุกฺขา นาม ฉ เคหสิตโทมนสฺสเวทนาฯ นิรามิสา ทุกฺขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตโทมนสฺสเวทนาฯ สามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉ เคหสิตอุเปกฺขาเวทนาฯ นิรามิสา อทุกฺขมสุขา นาม ฉ เนกฺขมฺมสิตอุเปกฺขาเวทนาฯ ตาสํ วิภาโค สกฺกปเญฺห วุโตฺตเยวฯ

    Sāmisaṃ vā sukhantiādīsu sāmisā sukhā nāma pañcakāmaguṇāmisasannissitā cha gehasitasomanassavedanā. Nirāmisā sukhā nāma cha nekkhammasitasomanassavedanā. Sāmisā dukkhā nāma cha gehasitadomanassavedanā. Nirāmisā dukkhā nāma cha nekkhammasitadomanassavedanā. Sāmisā adukkhamasukhā nāma cha gehasitaupekkhāvedanā. Nirāmisā adukkhamasukhā nāma cha nekkhammasitaupekkhāvedanā. Tāsaṃ vibhāgo sakkapañhe vuttoyeva.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ สุขเวทนาทิปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา เวทนาสุ, ปรสฺส วา เวทนาสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาติ เอตฺถ ปน อวิชฺชาสมุทยา เวทนาสมุทโยติอาทีหิ ปญฺจหิ ปญฺจหิ อากาเรหิ เวทนานํ สมุทยญฺจ วยญฺจ ปสฺสโนฺต ‘‘สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ, วยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรติ, กาเลน สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ, กาเลน วยธมฺมานุปสฺสี วา เวทนาสุ วิหรตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ อิโต ปรํ กายานุปสฺสนายํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ เวทนาปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา เวทนาปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํ, เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Itiajjhattaṃ vāti evaṃ sukhavedanādipariggaṇhanena attano vā vedanāsu, parassa vā vedanāsu, kālena vā attano, kālena vā parassa vedanāsu vedanānupassī viharati. Samudayavayadhammānupassī vāti ettha pana avijjāsamudayā vedanāsamudayotiādīhi pañcahi pañcahi ākārehi vedanānaṃ samudayañca vayañca passanto ‘‘samudayadhammānupassī vā vedanāsu viharati, vayadhammānupassī vā vedanāsu viharati, kālena samudayadhammānupassī vā vedanāsu, kālena vayadhammānupassī vā vedanāsu viharatī’’ti veditabbo. Ito paraṃ kāyānupassanāyaṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha vedanāpariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā vedanāpariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ, sesaṃ tādisamevāti.

    เวทนานุปสฺสนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vedanānupassanā niṭṭhitā.

    จิตฺตานุปสฺสนาวณฺณนา

    Cittānupassanāvaṇṇanā

    ๓๘๑. เอวํ นววิเธน เวทนานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สราคนฺติ อฎฺฐวิธโลภสหคตํฯ วีตราคนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ อิทํ ปน ยสฺมา สมฺมสนํ น ธมฺมสโมธานํ ตสฺมา อิธ เอกปเทปิ โลกุตฺตรํ น ลพฺภติฯ เสสานิ จตฺตาริ อกุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมปทํ น ปจฺฉิมปทํ ภชนฺติฯ สโทสนฺติ ทุวิธโทมนสฺสสหคตํฯ วีตโทสนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ เสสานิ ทส อกุสลจิตฺตานิ เนว ปุริมปทํ, น ปจฺฉิมปทํ ภชนฺติฯ สโมหนฺติ วิจิกิจฺฉาสหคตเญฺจว, อุทฺธจฺจสหคตญฺจาติ ทุวิธํฯ ยสฺมา ปน โมโห สพฺพากุสเลสุ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา เสสานิปิ อิธ วฎฺฎนฺติเยวฯ อิมสฺมิเญฺญว หิ ทุเก ทฺวาทสากุสลจิตฺตานิ ปริยาทินฺนานีติฯ วีตโมหนฺติ โลกิยกุสลาพฺยากตํฯ สงฺขิตฺตนฺติ ถินมิทฺธานุปติตํฯ เอตญฺหิ สงฺกุฎิตจิตฺตํ นามฯ วิกฺขิตฺตนฺติ อุทฺธจฺจสหคตํ, เอตญฺหิ ปสฎจิตฺตํ นามฯ

    381. Evaṃ navavidhena vedanānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni soḷasavidhena cittānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Tattha sarāganti aṭṭhavidhalobhasahagataṃ. Vītarāganti lokiyakusalābyākataṃ. Idaṃ pana yasmā sammasanaṃ na dhammasamodhānaṃ tasmā idha ekapadepi lokuttaraṃ na labbhati. Sesāni cattāri akusalacittāni neva purimapadaṃ na pacchimapadaṃ bhajanti. Sadosanti duvidhadomanassasahagataṃ. Vītadosanti lokiyakusalābyākataṃ. Sesāni dasa akusalacittāni neva purimapadaṃ, na pacchimapadaṃ bhajanti. Samohanti vicikicchāsahagatañceva, uddhaccasahagatañcāti duvidhaṃ. Yasmā pana moho sabbākusalesu uppajjati, tasmā sesānipi idha vaṭṭantiyeva. Imasmiññeva hi duke dvādasākusalacittāni pariyādinnānīti. Vītamohanti lokiyakusalābyākataṃ. Saṅkhittanti thinamiddhānupatitaṃ. Etañhi saṅkuṭitacittaṃ nāma. Vikkhittanti uddhaccasahagataṃ, etañhi pasaṭacittaṃ nāma.

    มหคฺคตนฺติ รูปารูปาวจรํฯ อมหคฺคตนฺติ กามาวจรํฯ สอุตฺตรนฺติ กามาวจรํฯ อนุตฺตรนฺติ รูปาวจรํ อรูปาวจรญฺจฯ ตตฺราปิ สอุตฺตรํ รูปาวจรํ, อนุตฺตรํ อรูปาวจรเมวฯ สมาหิตนฺติ ยสฺส อปฺปนาสมาธิ อุปจารสมาธิ วา อตฺถิฯ อสมาหิตนฺติ อุภยสมาธิวิรหิตํ ฯ วิมุตฺตนฺติ ตทงฺควิกฺขมฺภนวิมุตฺตีหิ วิมุตฺตํฯ อวิมุตฺตนฺติ อุภยวิมุตฺติวิรหิตํฯ สมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณวิมุตฺตีนํ ปน อิธ โอกาโสว นตฺถิฯ

    Mahaggatanti rūpārūpāvacaraṃ. Amahaggatanti kāmāvacaraṃ. Sauttaranti kāmāvacaraṃ. Anuttaranti rūpāvacaraṃ arūpāvacarañca. Tatrāpi sauttaraṃ rūpāvacaraṃ, anuttaraṃ arūpāvacarameva. Samāhitanti yassa appanāsamādhi upacārasamādhi vā atthi. Asamāhitanti ubhayasamādhivirahitaṃ . Vimuttanti tadaṅgavikkhambhanavimuttīhi vimuttaṃ. Avimuttanti ubhayavimuttivirahitaṃ. Samucchedapaṭippassaddhinissaraṇavimuttīnaṃ pana idha okāsova natthi.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ สราคาทิปริคฺคณฺหเนน ยสฺมิํ ยสฺมิํ ขเณ ยํ ยํ จิตฺตํ ปวตฺตติ, ตํ ตํ สลฺลเกฺขโนฺต อตฺตโน วา จิเตฺต, ปรสฺส วา จิเตฺต, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส จิเตฺต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยธมฺมานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน อวิชฺชาสมุทยา วิญฺญาณสมุทโยติ เอวํ ปญฺจหิ ปญฺจหิ อากาเรหิ วิญฺญาณสฺส สมุทโย จ วโย จ นีหริตโพฺพฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ จิตฺตปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ ปทโยชนํ กตฺวา จิตฺตปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Itiajjhattaṃ vāti evaṃ sarāgādipariggaṇhanena yasmiṃ yasmiṃ khaṇe yaṃ yaṃ cittaṃ pavattati, taṃ taṃ sallakkhento attano vā citte, parassa vā citte, kālena vā attano, kālena vā parassa citte cittānupassī viharati. Samudayavayadhammānupassīti ettha pana avijjāsamudayā viññāṇasamudayoti evaṃ pañcahi pañcahi ākārehi viññāṇassa samudayo ca vayo ca nīharitabbo. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha cittapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ padayojanaṃ katvā cittapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.

    จิตฺตานุปสฺสนา นิฎฺฐิตาฯ

    Cittānupassanā niṭṭhitā.

    ธมฺมานุปสฺสนา นีวรณปพฺพวณฺณนา

    Dhammānupassanā nīvaraṇapabbavaṇṇanā

    ๓๘๒. เอวํ โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนาสติปฎฺฐานํ กเถตฺวา อิทานิ ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ กเถตุํ กถญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ อปิจ ภควตา กายานุปสฺสนาย สุทฺธรูปปริคฺคโห กถิโต, เวทนาจิตฺตานุปสฺสนาหิ สุทฺธอรูปปริคฺคโหฯ อิทานิ รูปารูปมิสฺสกปริคฺคหํ กเถตุํ ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ กายานุปสฺสนาย วา รูปกฺขนฺธปริคฺคโหว กถิโต, เวทนานุปสฺสนาย เวทนากฺขนฺธปริคฺคโหว, จิตฺตานุปสฺสนาย วิญฺญาณกฺขนฺธปริคฺคโหว อิทานิ สญฺญาสงฺขารกฺขนฺธปริคฺคหมฺปิ กเถตุํ ‘‘กถญฺจ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ

    382. Evaṃ soḷasavidhena cittānupassanāsatipaṭṭhānaṃ kathetvā idāni pañcavidhena dhammānupassanaṃ kathetuṃ kathañca, bhikkhavetiādimāha. Apica bhagavatā kāyānupassanāya suddharūpapariggaho kathito, vedanācittānupassanāhi suddhaarūpapariggaho. Idāni rūpārūpamissakapariggahaṃ kathetuṃ ‘‘kathañca, bhikkhave’’tiādimāha. Kāyānupassanāya vā rūpakkhandhapariggahova kathito, vedanānupassanāya vedanākkhandhapariggahova, cittānupassanāya viññāṇakkhandhapariggahova idāni saññāsaṅkhārakkhandhapariggahampi kathetuṃ ‘‘kathañca, bhikkhave’’tiādimāha.

    ตตฺถ สนฺตนฺติ อภิณฺหสมุทาจารวเสน สํวิชฺชมานํฯ อสนฺตนฺติ อสมุทาจารวเสน วา ปหีนตฺตา วา อสํวิชฺชมานํฯ ยถา จาติ เยน การเณน กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ ตญฺจ ปชานาตีติ ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ อิติ อิมินา นเยน สพฺพปเทสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    Tattha santanti abhiṇhasamudācāravasena saṃvijjamānaṃ. Asantanti asamudācāravasena vā pahīnattā vā asaṃvijjamānaṃ. Yathā cāti yena kāraṇena kāmacchandassa uppādo hoti. Tañca pajānātīti tañca kāraṇaṃ pajānāti. Iti iminā nayena sabbapadesu attho veditabbo.

    ตตฺถ สุภนิมิเตฺต อโยนิโสมนสิกาเรน กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ สุภนิมิตฺตํ นาม สุภมฺปิ สุภนิมิตฺตํ, สุภารมฺมณมฺปิ สุภนิมิตฺตํฯ อโยนิโสมนสิกาโร นาม อนุปายมนสิกาโร อุปฺปถมนสิกาโร อนิเจฺจ นิจฺจนฺติ วา, ทุเกฺข สุขนฺติ วา, อนตฺตนิ อตฺตาติ วา, อสุเภ สุภนฺติ วา มนสิกาโรฯ ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต กามจฺฉโนฺท อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สุภนิมิตฺตํ, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Tattha subhanimitte ayonisomanasikārena kāmacchandassa uppādo hoti. Subhanimittaṃ nāma subhampi subhanimittaṃ, subhārammaṇampi subhanimittaṃ. Ayonisomanasikāro nāma anupāyamanasikāro uppathamanasikāro anicce niccanti vā, dukkhe sukhanti vā, anattani attāti vā, asubhe subhanti vā manasikāro. Taṃ tattha bahulaṃ pavattayato kāmacchando uppajjati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, subhanimittaṃ, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa uppādāya uppannassa vā kāmacchandassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    อสุภนิมิเตฺต ปน โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ อสุภนิมิตฺตํ นาม อสุภมฺปิ อสุภารมฺมณมฺปิฯ โยนิโสมนสิกาโร นาม อุปายมนสิกาโร ปถมนสิกาโร อนิเจฺจ อนิจฺจนฺติ วา, ทุเกฺข ทุกฺขนฺติ วา, อนตฺตนิ อนตฺตาติ วา, อสุเภ อสุภนฺติ วา มนสิกาโรฯ ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต กามจฺฉโนฺท ปหียติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อสุภนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Asubhanimitte pana yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Asubhanimittaṃ nāma asubhampi asubhārammaṇampi. Yonisomanasikāro nāma upāyamanasikāro pathamanasikāro anicce aniccanti vā, dukkhe dukkhanti vā, anattani anattāti vā, asubhe asubhanti vā manasikāro. Taṃ tattha bahulaṃ pavattayato kāmacchando pahīyati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, asubhanimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā kāmacchandassa anuppādāya uppannassa vā kāmacchandassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    อปิจ ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ อสุภนิมิตฺตสฺส อุคฺคโห, อสุภภาวนานุโยโค, อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตา, โภชเน มตฺตญฺญุตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ ทสวิธญฺหิ อสุภนิมิตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ภาเวนฺตสฺสาปิ อินฺทฺริเยสุ ปิหิตทฺวารสฺสาปิ จตุนฺนํ ปญฺจนฺนํ อาโลปานํ โอกาเส สติ อุทกํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลตาย โภชนมตฺตญฺญุโนปิฯ เตเนว วุตฺตํ –

    Apica cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattanti asubhanimittassa uggaho, asubhabhāvanānuyogo, indriyesu guttadvāratā, bhojane mattaññutā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Dasavidhañhi asubhanimittaṃ uggaṇhantassāpi kāmacchando pahīyati, bhāventassāpi indriyesu pihitadvārassāpi catunnaṃ pañcannaṃ ālopānaṃ okāse sati udakaṃ pivitvā yāpanasīlatāya bhojanamattaññunopi. Teneva vuttaṃ –

    ‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;

    ‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;

    อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);

    Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);

    อสุภกมฺมิกติสฺสเตฺถรสทิเส อสุภภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสปิ กามจฺฉโนฺท ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ทสอสุภนิสฺสิตสปฺปายกถาย ปหียติ, เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนกามจฺฉนฺทสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ

    Asubhakammikatissattherasadise asubhabhāvanārate kalyāṇamitte sevantassapi kāmacchando pahīyati, ṭhānanisajjādīsu dasaasubhanissitasappāyakathāya pahīyati, tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā kāmacchandassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnakāmacchandassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.

    ปฎิฆนิมิเตฺต อโยนิโสมนสิกาเรน ปน พฺยาปาทสฺส อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ ปฎิฆมฺปิ ปฎิฆนิมิตฺตํ , ปฎิฆารมฺมณมฺปิ ปฎิฆนิมิตฺตํฯ อโยนิโสมนสิกาโร สพฺพตฺถ เอกลกฺขโณวฯ ตํ ตสฺมิํ นิมิเตฺต พหุลํ ปวตฺตยโต พฺยาปาโท อุปฺปชฺชติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปฎิฆนิมิตฺตํ , ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Paṭighanimitte ayonisomanasikārena pana byāpādassa uppādo hoti. Tattha paṭighampi paṭighanimittaṃ , paṭighārammaṇampi paṭighanimittaṃ. Ayonisomanasikāro sabbattha ekalakkhaṇova. Taṃ tasmiṃ nimitte bahulaṃ pavattayato byāpādo uppajjati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, paṭighanimittaṃ , tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā byāpādassa uppādāya uppannassa vā byāpādassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    เมตฺตาย ปน เจโตวิมุตฺติยา โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ ตตฺถ เมตฺตาติ วุเตฺต อปฺปนาปิ อุปจาโรปิ วฎฺฎติฯ เจโตวิมุตฺตีติ อปฺปนาวฯ โยนิโสมนสิกาโร วุตฺตลกฺขโณวฯ ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต พฺยาปาโท ปหียติฯ เตนาห ภควา – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เมตฺตา เจโตวิมุตฺติ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส อนุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส วา พฺยาปาทสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Mettāya pana cetovimuttiyā yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Tattha mettāti vutte appanāpi upacāropi vaṭṭati. Cetovimuttīti appanāva. Yonisomanasikāro vuttalakkhaṇova. Taṃ tattha bahulaṃ pavattayato byāpādo pahīyati. Tenāha bhagavā – ‘‘atthi, bhikkhave, mettā cetovimutti, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā byāpādassa anuppādāya uppannassa vā byāpādassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    อปิจ ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ เมตฺตานิมิตฺตสฺส อุคฺคโห เมตฺตาภาวนานุโยโค กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณา ปฎิสงฺขานพหุลตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ โอทิสฺสกอโนทิสฺสกทิสาผรณานญฺหิ อญฺญตรวเสน เมตฺตํ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติ, โอธิโสอโนธิโสผรณวเสน เมตฺตํ ภาเวนฺตสฺสาปิฯ ‘‘ตฺวํ เอตสฺส กุโทฺธ กิํ กริสฺสสิ, กิมสฺส สีลาทีนิ วินาเสตุํ สกฺขิสฺสสิ, นนุ ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมเนว คมิสฺสสิ, ปรสฺส กุชฺฌนํ นาม วีตจฺจิตงฺคาร ตตฺตอย สลากคูถาทีนิ คเหตฺวา ปรํ ปหริตุกามตาสทิสํ โหติฯ เอโสปิ ตว กุโทฺธ กิํ กริสฺสติ, กิํ เต สีลาทีนิ วินาเสตุํ สกฺขิสฺสติ, เอส อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโน กเมฺมเนว คมิสฺสติ, อปฺปฎิจฺฉิตปเหณกํ วิย ปฎิวาตํ ขิตฺตรโชมุฎฺฐิ วิย จ เอตเสฺสเวส โกโธ มตฺถเก ปติสฺสตี’’ติ เอวํ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ, อุภยกมฺมสฺสกตํ ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปฎิสงฺขาเน ฐิตสฺสาปิ, อสฺสคุตฺตเตฺถรสทิเส เมตฺตาภาวนารเต กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ พฺยาปาโท ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ เมตฺตานิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนสฺส พฺยาปาทสฺส อนาคามิมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattanti mettānimittassa uggaho mettābhāvanānuyogo kammassakatāpaccavekkhaṇā paṭisaṅkhānabahulatā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Odissakaanodissakadisāpharaṇānañhi aññataravasena mettaṃ uggaṇhantassāpi byāpādo pahīyati, odhisoanodhisopharaṇavasena mettaṃ bhāventassāpi. ‘‘Tvaṃ etassa kuddho kiṃ karissasi, kimassa sīlādīni vināsetuṃ sakkhissasi, nanu tvaṃ attano kammena āgantvā attano kammeneva gamissasi, parassa kujjhanaṃ nāma vītaccitaṅgāra tattaaya salākagūthādīni gahetvā paraṃ paharitukāmatāsadisaṃ hoti. Esopi tava kuddho kiṃ karissati, kiṃ te sīlādīni vināsetuṃ sakkhissati, esa attano kammena āgantvā attano kammeneva gamissati, appaṭicchitapaheṇakaṃ viya paṭivātaṃ khittarajomuṭṭhi viya ca etassevesa kodho matthake patissatī’’ti evaṃ attano ca parassa ca kammassakataṃ paccavekkhatopi, ubhayakammassakataṃ paccavekkhitvā paṭisaṅkhāne ṭhitassāpi, assaguttattherasadise mettābhāvanārate kalyāṇamitte sevantassāpi byāpādo pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu mettānissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā byāpādassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnassa byāpādassa anāgāmimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.

    อรติอาทีสุ อโยนิโสมนสิกาเรน ถินมิทฺธสฺส อุปฺปาโท โหติฯ ตนฺที นาม กายาลสิยตาฯ วิชมฺภิตา นาม กายวินมนาฯ ภตฺตสมฺมโท นาม ภตฺตมุจฺฉา ภตฺตปริฬาโหฯ เจตโส ลีนตฺตํ นาม จิตฺตสฺส ลีนากาโรฯ อิเมสุ อรติอาทีสุ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต ถินมิทฺธํ อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อรติ ตนฺที วิชมฺภิตา ภตฺตสมฺมโท เจตโส ลีนตฺตํ, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Aratiādīsu ayonisomanasikārena thinamiddhassa uppādo hoti. Tandī nāma kāyālasiyatā. Vijambhitā nāma kāyavinamanā. Bhattasammado nāma bhattamucchā bhattapariḷāho. Cetaso līnattaṃ nāma cittassa līnākāro. Imesu aratiādīsu ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato thinamiddhaṃ uppajjati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, arati tandī vijambhitā bhattasammado cetaso līnattaṃ, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā thinamiddhassa uppādāya, uppannassa vā thinamiddhassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    อารมฺภธาตุอาทีสุ ปน โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ อารมฺภธาตุ นาม ปฐมารมฺภวีริยํฯ นิกฺกมธาตุ นาม โกสชฺชโต นิกฺขนฺตตาย ตโต พลวตรํฯ ปรกฺกมธาตุ นาม ปรํ ปรํ ฐานํ อกฺกมนโต ตโตปิ พลวตรํฯ อิมสฺมิํ ติปฺปเภเท วีริเย โยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต ถินมิทฺธํ ปหียติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อารมฺภธาตุ นิกฺกมธาตุ ปรกฺกมธาตุ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส อนุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ถินมิทฺธสฺส ปหานายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Ārambhadhātuādīsu pana yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Ārambhadhātu nāma paṭhamārambhavīriyaṃ. Nikkamadhātu nāma kosajjato nikkhantatāya tato balavataraṃ. Parakkamadhātu nāma paraṃ paraṃ ṭhānaṃ akkamanato tatopi balavataraṃ. Imasmiṃ tippabhede vīriye yonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato thinamiddhaṃ pahīyati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, ārambhadhātu nikkamadhātu parakkamadhātu, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā thinamiddhassa anuppādāya, uppannassa vā thinamiddhassa pahānāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    อปิจ ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ – อติโภชเน นิมิตฺตคฺคาโห, อิริยาปถสมฺปริวตฺตนตา, อาโลกสญฺญามนสิกาโร, อโพฺภกาสวาโส, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ อาหรหตฺถก ตตฺรวฎฺฎก อลํสาฎก กากมาสก ภุตฺตวมิตกโภชนํ ภุญฺชิตฺวา รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเน นิสินฺนสฺส หิ สมณธมฺมํ กโรโต ถินมิทฺธํ มหาหตฺถี วิย โอตฺถรนฺตํ อาคจฺฉติ, จตุปญฺจอาโลปโอกาสํ ปน ฐเปตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา ยาปนสีลสฺส ภิกฺขุโน ตํ น โหตีติ เอวํ อติโภชเน นิมิตฺตํ คณฺหนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติฯ ยสฺมิํ อิริยาปเถ ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, ตโต อญฺญํ ปริวเตฺตนฺตสฺสาปิ, รตฺติํ จนฺทาโลกทีปาโลกอุกฺกาโลเก ทิวา สูริยาโลกํ มนสิกโรนฺตสฺสาปิ, อโพฺภกาเส วสนฺตสฺสาปิ, มหากสฺสปเตฺถรสทิเส ปหีนถินมิเทฺธ กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ ถินมิทฺธํ ปหียติฯ ฐานนิสชฺชาทีสุ ธุตงฺคนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา ถินมิทฺธสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนสฺส ถินมิทฺธสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattanti – atibhojane nimittaggāho, iriyāpathasamparivattanatā, ālokasaññāmanasikāro, abbhokāsavāso, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Āharahatthaka tatravaṭṭaka alaṃsāṭaka kākamāsaka bhuttavamitakabhojanaṃ bhuñjitvā rattiṭṭhānadivāṭṭhāne nisinnassa hi samaṇadhammaṃ karoto thinamiddhaṃ mahāhatthī viya ottharantaṃ āgacchati, catupañcaālopaokāsaṃ pana ṭhapetvā pānīyaṃ pivitvā yāpanasīlassa bhikkhuno taṃ na hotīti evaṃ atibhojane nimittaṃ gaṇhantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati. Yasmiṃ iriyāpathe thinamiddhaṃ okkamati, tato aññaṃ parivattentassāpi, rattiṃ candālokadīpālokaukkāloke divā sūriyālokaṃ manasikarontassāpi, abbhokāse vasantassāpi, mahākassapattherasadise pahīnathinamiddhe kalyāṇamitte sevantassāpi thinamiddhaṃ pahīyati. Ṭhānanisajjādīsu dhutaṅganissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā thinamiddhassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnassa thinamiddhassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.

    เจตโส อวูปสเม อโยนิโสมนสิกาเรน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อุปฺปาโท โหติฯ อวูปสโม นาม อวูปสนฺตากาโร, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจเมเวตํ อตฺถโตฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เจตโส อวูปสโม, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติฯ

    Cetaso avūpasame ayonisomanasikārena uddhaccakukkuccassa uppādo hoti. Avūpasamo nāma avūpasantākāro, uddhaccakukkuccamevetaṃ atthato. Tattha ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato uddhaccakukkuccaṃ uppajjati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, cetaso avūpasamo, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā uddhaccakukkuccassa uppādāya, uppannassa vā uddhaccakukkuccassa bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti.

    สมาธิสงฺขาเต ปน เจตโส วูปสเม โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหานํ โหติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, เจตโส วูปสโม, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส อนุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานายา’’ติฯ

    Samādhisaṅkhāte pana cetaso vūpasame yonisomanasikārenassa pahānaṃ hoti. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, cetaso vūpasamo, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā uddhaccakukkuccassa anuppādāya, uppannassa vā uddhaccakukkuccassa pahānāyā’’ti.

    อปิจ ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺติ พหุสฺสุตตา ปริปุจฺฉกตา วินเย ปกตญฺญุตา วุทฺธเสวิตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติฯ พาหุสฺสเจฺจนปิ หิ เอกํ วา เทฺว วา ตโย วา จตฺตาโร วา ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติฯ กปฺปิยากปฺปิยปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินยปญฺญตฺติยํ จิณฺณวสิภาวตาย ปกตญฺญุโนปิ, วุเฑฺฒ มหลฺลกเตฺถเร อุปสงฺกมนฺตสฺสาปิ, อุปาลิเตฺถรสทิเส วินยธเร กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ กปฺปิยากปฺปิยนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีเน อุทฺธจฺจกุกฺกุเจฺจ อุทฺธจฺจสฺส อรหตฺตมเคฺคน , กุกฺกุจฺจสฺส อนาคามิมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattanti bahussutatā paripucchakatā vinaye pakataññutā vuddhasevitā kalyāṇamittatā sappāyakathāti. Bāhussaccenapi hi ekaṃ vā dve vā tayo vā cattāro vā pañca vā nikāye pāḷivasena atthavasena ca uggaṇhantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati. Kappiyākappiyaparipucchābahulassāpi, vinayapaññattiyaṃ ciṇṇavasibhāvatāya pakataññunopi, vuḍḍhe mahallakatthere upasaṅkamantassāpi, upālittherasadise vinayadhare kalyāṇamitte sevantassāpi uddhaccakukkuccaṃ pahīyati, ṭhānanisajjādīsu kappiyākappiyanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā uddhaccakukkuccassa pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīne uddhaccakukkucce uddhaccassa arahattamaggena , kukkuccassa anāgāmimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.

    วิจิกิจฺฉาฐานีเยสุ ธเมฺมสุ อโยนิโสมนสิกาเรน วิจิกิจฺฉาย อุปฺปาโท โหติฯ วิจิกิจฺฉาฐานียา ธมฺมา นาม ปุนปฺปุนํ วิจิกิจฺฉาย การณตฺตา วิจิกิจฺฉาวฯ ตตฺถ อโยนิโสมนสิการํ พหุลํ ปวตฺตยโต วิจิกิจฺฉา อุปฺปชฺชติฯ เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, วิจิกิจฺฉาฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ อโยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลายา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒)ฯ

    Vicikicchāṭhānīyesu dhammesu ayonisomanasikārena vicikicchāya uppādo hoti. Vicikicchāṭhānīyā dhammā nāma punappunaṃ vicikicchāya kāraṇattā vicikicchāva. Tattha ayonisomanasikāraṃ bahulaṃ pavattayato vicikicchā uppajjati. Tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, vicikicchāṭhānīyā dhammā, tattha ayonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannāya vā vicikicchāya uppādāya, uppannāya vā vicikicchāya bhiyyobhāvāya vepullāyā’’ti (saṃ. ni. 5.232).

    กุสลาทิธเมฺมสุ โยนิโสมนสิกาเรน ปนสฺสา ปหานํ โหติ, เตนาห – ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา สาวชฺชานวชฺชา ธมฺมา เสวิตพฺพาเสวิตพฺพา ธมฺมา หีนปณีตา ธมฺมา กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคา ธมฺมาฯ ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร, อนุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย อนุปฺปาทาย; อุปฺปนฺนาย วา วิจิกิจฺฉาย ปหานายา’’ติฯ

    Kusalādidhammesu yonisomanasikārena panassā pahānaṃ hoti, tenāha – ‘‘atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā sāvajjānavajjā dhammā sevitabbāsevitabbā dhammā hīnapaṇītā dhammā kaṇhasukkasappaṭibhāgā dhammā. Tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro, anuppannāya vā vicikicchāya anuppādāya; uppannāya vā vicikicchāya pahānāyā’’ti.

    อปิจ ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺติ พหุสฺสุตตา, ปริปุจฺฉกตา, วินเย ปกตญฺญุตา, อธิโมกฺขพหุลตา, กลฺยาณมิตฺตตา, สปฺปายกถาติฯ พาหุสฺสเจฺจนปิ หิ เอกํ วา…เป.… ปญฺจ วา นิกาเย ปาฬิวเสน จ อตฺถวเสน จ อุคฺคณฺหนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติ, ตีณิ รตนานิ อารพฺภ ปริปุจฺฉาพหุลสฺสาปิ, วินเย จิณฺณวสีภาวสฺสาปิ, ตีสุ รตเนสุ โอกปฺปนิยสทฺธาสงฺขาตอธิโมกฺขพหุลสฺสาปิ, สทฺธาธิมุเตฺต วกฺกลิเตฺถรสทิเส กลฺยาณมิเตฺต เสวนฺตสฺสาปิ วิจิกิจฺฉา ปหียติ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ติณฺณํ รตนานํ คุณนิสฺสิตสปฺปายกถายปิ ปหียติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สํวตฺตนฺตี’’ติฯ อิเมหิ ปน ฉหิ ธเมฺมหิ ปหีนาย วิจิกิจฺฉาย โสตาปตฺติมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattanti bahussutatā, paripucchakatā, vinaye pakataññutā, adhimokkhabahulatā, kalyāṇamittatā, sappāyakathāti. Bāhussaccenapi hi ekaṃ vā…pe… pañca vā nikāye pāḷivasena ca atthavasena ca uggaṇhantassāpi vicikicchā pahīyati, tīṇi ratanāni ārabbha paripucchābahulassāpi, vinaye ciṇṇavasībhāvassāpi, tīsu ratanesu okappaniyasaddhāsaṅkhātaadhimokkhabahulassāpi, saddhādhimutte vakkalittherasadise kalyāṇamitte sevantassāpi vicikicchā pahīyati, ṭhānanisajjādīsu tiṇṇaṃ ratanānaṃ guṇanissitasappāyakathāyapi pahīyati. Tena vuttaṃ – ‘‘cha dhammā vicikicchāya pahānāya saṃvattantī’’ti. Imehi pana chahi dhammehi pahīnāya vicikicchāya sotāpattimaggena āyatiṃ anuppādo hotīti pajānāti.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ปญฺจนีวรณปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ, ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ สุภนิมิตฺตอสุภนิมิตฺตาทีสุ อโยนิโสมนสิการโยนิโสมนสิการวเสน ปญฺจสุ นีวรเณสุ วุตฺตาเยว นีหริตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ นีวรณปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา นีวรณปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ pañcanīvaraṇapariggaṇhanena attano vā dhammesu, parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha subhanimittaasubhanimittādīsu ayonisomanasikārayonisomanasikāravasena pañcasu nīvaraṇesu vuttāyeva nīharitabbā. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha nīvaraṇapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā nīvaraṇapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.

    นีวรณปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Nīvaraṇapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    ขนฺธปพฺพวณฺณนา

    Khandhapabbavaṇṇanā

    ๓๘๓. เอวํ ปญฺจนีวรณวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ ปญฺจกฺขนฺธวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสูติ อุปาทานสฺส ขนฺธา อุปาทานกฺขนฺธา, อุปาทานสฺส ปจฺจยภูตา ธมฺมปุญฺชา ธมฺมราสโยติ อโตฺถฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถารโต ปน ขนฺธกถา วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตาฯ

    383. Evaṃ pañcanīvaraṇavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni pañcakkhandhavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha pañcasu upādānakkhandhesūti upādānassa khandhā upādānakkhandhā, upādānassa paccayabhūtā dhammapuñjā dhammarāsayoti attho. Ayamettha saṅkhepo. Vitthārato pana khandhakathā visuddhimagge vuttā.

    อิติ รูปนฺติ อิทํ รูปํ, เอตฺตกํ รูปํ, น อิโต ปรํ รูปํ อตฺถีติ สภาวโต รูปํ ปชานาติฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาเรน ปน รูปาทีนิ วิสุทฺธิมเคฺค ขนฺธกถายเมว วุตฺตานิฯ อิติ รูปสฺส สมุทโยติ เอวํ อวิชฺชาสมุทยาทิวเสน ปญฺจหากาเรหิ รูปสฺส สมุทโยฯ อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโมติ เอวํ อวิชฺชานิโรธาทิวเสน ปญฺจหากาเรหิ รูปสฺส อตฺถงฺคโมฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค อุทยพฺพยญาณกถาย วุโตฺตฯ

    Iti rūpanti idaṃ rūpaṃ, ettakaṃ rūpaṃ, na ito paraṃ rūpaṃ atthīti sabhāvato rūpaṃ pajānāti. Vedanādīsupi eseva nayo. Ayamettha saṅkhepo, vitthārena pana rūpādīni visuddhimagge khandhakathāyameva vuttāni. Iti rūpassa samudayoti evaṃ avijjāsamudayādivasena pañcahākārehi rūpassa samudayo. Iti rūpassa atthaṅgamoti evaṃ avijjānirodhādivasena pañcahākārehi rūpassa atthaṅgamo. Vedanādīsupi eseva nayo. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge udayabbayañāṇakathāya vutto.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ ปญฺจกฺขนฺธปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ, ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโย’’ติอาทีนํ ปญฺจสุ ขเนฺธสุ วุตฺตานํ ปญฺญาสาย ลกฺขณานํ วเสน นีหริตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ ขนฺธปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา ขนฺธปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ pañcakkhandhapariggaṇhanena attano vā dhammesu, parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha ‘‘avijjāsamudayā rūpasamudayo’’tiādīnaṃ pañcasu khandhesu vuttānaṃ paññāsāya lakkhaṇānaṃ vasena nīharitabbā. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha khandhapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā khandhapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.

    ขนฺธปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Khandhapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    อายตนปพฺพวณฺณนา

    Āyatanapabbavaṇṇanā

    ๓๘๔. เอวํ ปญฺจกฺขนฺธวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ อายตนวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสูติ จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย มโนติ อิเมสุ ฉสุ อชฺฌตฺติเกสุ, รูปํ สโทฺท คโนฺธ รโส โผฎฺฐโพฺพ ธโมฺมติ อิเมสุ ฉสุ พาหิเรสุฯ จกฺขุญฺจ ปชานาตีติ จกฺขุปสาทํ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ รูเป จ ปชานาตีติ พหิทฺธา จตุสมุฎฺฐานิกรูปญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ ยญฺจ ตทุภยํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ สํโยชนนฺติ ยญฺจ ตํ จกฺขุํ เจว รูเป จาติ อุภยํ ปฎิจฺจฯ กามราคสํโยชนํ ปฎิฆ, มาน, ทิฎฺฐิ, วิจิกิจฺฉา, สีลพฺพตปรามาส, ภวราค, อิสฺสา, มจฺฉริย, อวิชฺชาสํโยชนนฺติ ทสวิธํ สํโยชนํ อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณวเสน ปชานาติฯ

    384. Evaṃ pañcakkhandhavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni āyatanavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha chasu ajjhattikabāhiresu āyatanesūti cakkhu sotaṃ ghānaṃ jivhā kāyo manoti imesu chasu ajjhattikesu, rūpaṃ saddo gandho raso phoṭṭhabbo dhammoti imesu chasu bāhiresu. Cakkhuñca pajānātīti cakkhupasādaṃ yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti. Rūpe ca pajānātīti bahiddhā catusamuṭṭhānikarūpañca yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti. Yañca tadubhayaṃ paṭicca uppajjati saṃyojananti yañca taṃ cakkhuṃ ceva rūpe cāti ubhayaṃ paṭicca. Kāmarāgasaṃyojanaṃ paṭigha, māna, diṭṭhi, vicikicchā, sīlabbataparāmāsa, bhavarāga, issā, macchariya, avijjāsaṃyojananti dasavidhaṃ saṃyojanaṃ uppajjati, tañca yāthāvasarasalakkhaṇavasena pajānāti.

    กถํ ปเนตํ อุปฺปชฺชตีติ? จกฺขุทฺวาเร ตาว อาปาถคตํ อิฎฺฐารมฺมณํ กามสฺสาทวเสน อสฺสาทยโต อภินนฺทโต กามราคสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ อนิฎฺฐารมฺมเณ กุชฺฌโต ปฎิฆสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘ฐเปตฺวา มํ โก อโญฺญ เอตํ อารมฺมณํ วิภาเวตุํ สมโตฺถ อตฺถี’’ติ มญฺญโต มานสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ เอตํ รูปารมฺมณํ นิจฺจํ ธุวนฺติ คณฺหโต ทิฎฺฐิสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘เอตํ รูปารมฺมณํ สโตฺต นุ โข, สตฺตสฺส นุ โข’’ติ วิจิกิจฺฉโต วิจิกิจฺฉาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘สมฺปตฺติภเว วต โน อิทํ สุลภํ ชาต’’นฺติ ภวํ ปเตฺถนฺตสฺส ภวราคสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘อายติมฺปิ เอวรูปํ สีลพฺพตํ สมาทิยิตฺวา สกฺกา ลทฺธุ’’นฺติ สีลพฺพตํ สมาทิยนฺตสฺส สีลพฺพตปรามาสสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘อโห วต ตํ รูปารมฺมณํ อเญฺญ น ลเภยฺยุ’’นฺติ อุสูยโต อิสฺสาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ อตฺตนา ลทฺธํ รูปารมฺมณํ อญฺญสฺส มจฺฉรายโต มจฺฉริยสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ สเพฺพเหว สหชาตอญฺญาณวเสน อวิชฺชาสํโยชนํ อุปฺปชฺชติฯ

    Kathaṃ panetaṃ uppajjatīti? Cakkhudvāre tāva āpāthagataṃ iṭṭhārammaṇaṃ kāmassādavasena assādayato abhinandato kāmarāgasaṃyojanaṃ uppajjati. Aniṭṭhārammaṇe kujjhato paṭighasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Ṭhapetvā maṃ ko añño etaṃ ārammaṇaṃ vibhāvetuṃ samattho atthī’’ti maññato mānasaṃyojanaṃ uppajjati. Etaṃ rūpārammaṇaṃ niccaṃ dhuvanti gaṇhato diṭṭhisaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Etaṃ rūpārammaṇaṃ satto nu kho, sattassa nu kho’’ti vicikicchato vicikicchāsaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Sampattibhave vata no idaṃ sulabhaṃ jāta’’nti bhavaṃ patthentassa bhavarāgasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Āyatimpi evarūpaṃ sīlabbataṃ samādiyitvā sakkā laddhu’’nti sīlabbataṃ samādiyantassa sīlabbataparāmāsasaṃyojanaṃ uppajjati. ‘‘Aho vata taṃ rūpārammaṇaṃ aññe na labheyyu’’nti usūyato issāsaṃyojanaṃ uppajjati. Attanā laddhaṃ rūpārammaṇaṃ aññassa maccharāyato macchariyasaṃyojanaṃ uppajjati. Sabbeheva sahajātaaññāṇavasena avijjāsaṃyojanaṃ uppajjati.

    ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺสาติ เยน การเณน อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนสฺส ตสฺส ทสวิธสฺสาปิ สํโยชนสฺส อุปฺปาโท โหติ, ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ ยถา จ อุปฺปนฺนสฺสาติ อปฺปหีนเฎฺฐน ปน สมุทาจารวเสน วา อุปฺปนฺนสฺส ตสฺส ทสวิธสฺสาปิ สํโยชนสฺส เยน การเณน ปหานํ โหติ, ตญฺจ การณํ ปชานาติฯ ยถา จ ปหีนสฺสาติ ตทงฺควิกฺขมฺภนปฺปหานวเสน ปหีนสฺสาปิ ตสฺส ทสวิธสฺส สํโยชนสฺส เยน การเณน อายติํ อนุปฺปาโท โหติ, ตญฺจ ปชานาติฯ เกน การเณน ปนสฺส อายติํ อนุปฺปาโท โหติ? ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสอิสฺสามจฺฉริยเภทสฺส ตาว ปญฺจวิธสฺส สํโยชนสฺส โสตาปตฺติมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหติฯ กามราคปฎิฆสํโยชนทฺวยสฺส โอฬาริกสฺส สกทาคามิมเคฺคน, อณุสหคตสฺส อนาคามิมเคฺคน, มานภวราคาวิชฺชาสํโยชนตฺตยสฺส อรหตฺตมเคฺคน อายติํ อนุปฺปาโท โหติฯ โสตญฺจ ปชานาติ สเทฺท จาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อปิเจตฺถ อายตนกถา วิตฺถารโต วิสุทฺธิมเคฺค อายตนนิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Yathā ca anuppannassāti yena kāraṇena asamudācāravasena anuppannassa tassa dasavidhassāpi saṃyojanassa uppādo hoti, tañca kāraṇaṃ pajānāti. Yathā ca uppannassāti appahīnaṭṭhena pana samudācāravasena vā uppannassa tassa dasavidhassāpi saṃyojanassa yena kāraṇena pahānaṃ hoti, tañca kāraṇaṃ pajānāti. Yathā ca pahīnassāti tadaṅgavikkhambhanappahānavasena pahīnassāpi tassa dasavidhassa saṃyojanassa yena kāraṇena āyatiṃ anuppādo hoti, tañca pajānāti. Kena kāraṇena panassa āyatiṃ anuppādo hoti? Diṭṭhivicikicchāsīlabbataparāmāsaissāmacchariyabhedassa tāva pañcavidhassa saṃyojanassa sotāpattimaggena āyatiṃ anuppādo hoti. Kāmarāgapaṭighasaṃyojanadvayassa oḷārikassa sakadāgāmimaggena, aṇusahagatassa anāgāmimaggena, mānabhavarāgāvijjāsaṃyojanattayassa arahattamaggena āyatiṃ anuppādo hoti. Sotañca pajānāti sadde cātiādīsupi eseva nayo. Apicettha āyatanakathā vitthārato visuddhimagge āyatananiddese vuttanayeneva veditabbā.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อชฺฌตฺติกายตนปริคฺคณฺหเนน อตฺตโน วา ธเมฺมสุ พาหิรายตนปริคฺคณฺหเนน ปรสฺส วา ธเมฺมสุ, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา จกฺขุสมุทโย’’ติ รูปายตนสฺส รูปกฺขเนฺธ, อรูปายตเนสุ มนายตนสฺส วิญฺญาณกฺขเนฺธ, ธมฺมายตนสฺส เสสกฺขเนฺธสุ วุตฺตนเยน นีหริตพฺพาฯ โลกุตฺตรธมฺมา น คเหตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ อายตนปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา อายตนปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ ajjhattikāyatanapariggaṇhanena attano vā dhammesu bāhirāyatanapariggaṇhanena parassa vā dhammesu, kālena vā attano, kālena vā parassa dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha ‘‘avijjāsamudayā cakkhusamudayo’’ti rūpāyatanassa rūpakkhandhe, arūpāyatanesu manāyatanassa viññāṇakkhandhe, dhammāyatanassa sesakkhandhesu vuttanayena nīharitabbā. Lokuttaradhammā na gahetabbā. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha āyatanapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā āyatanapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.

    อายตนปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Āyatanapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา

    Bojjhaṅgapabbavaṇṇanā

    ๓๘๕. เอวํ ฉ อชฺฌตฺติกพาหิรายตนวเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ โพชฺฌงฺควเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ โพชฺฌเงฺคสูติ พุชฺฌนกสตฺตสฺส อเงฺคสุฯ สนฺตนฺติ ปฎิลาภวเสน สํวิชฺชมานํฯ สติสโมฺพชฺฌงฺคนฺติ สติสงฺขาตํ สโมฺพชฺฌงฺคํฯ เอตฺถ หิ สมฺพุชฺฌติ อารทฺธวิปสฺสกโต ปฎฺฐาย โยคาวจโรติ สโมฺพธิฯ ยาย วา โส สติอาทิกาย สตฺตธมฺมสามคฺคิยา สมฺพุชฺฌติ กิเลสนิทฺทาโต อุฎฺฐาติ, สจฺจานิ วา ปฎิวิชฺฌติ, สา ธมฺมสามคฺคี สโมฺพธิฯ ตสฺส สโมฺพธิสฺส, ตสฺสา วา สโมฺพธิยา องฺคนฺติ สโมฺพชฺฌงฺคํฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สติสงฺขาตํ สโมฺพชฺฌงฺค’’นฺติฯ เสสสโมฺพชฺฌเงฺคสุปิ อิมินาว นเยน วจนโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    385. Evaṃ cha ajjhattikabāhirāyatanavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni bojjhaṅgavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha bojjhaṅgesūti bujjhanakasattassa aṅgesu. Santanti paṭilābhavasena saṃvijjamānaṃ. Satisambojjhaṅganti satisaṅkhātaṃ sambojjhaṅgaṃ. Ettha hi sambujjhati āraddhavipassakato paṭṭhāya yogāvacaroti sambodhi. Yāya vā so satiādikāya sattadhammasāmaggiyā sambujjhati kilesaniddāto uṭṭhāti, saccāni vā paṭivijjhati, sā dhammasāmaggī sambodhi. Tassa sambodhissa, tassā vā sambodhiyā aṅganti sambojjhaṅgaṃ. Tena vuttaṃ – ‘‘satisaṅkhātaṃ sambojjhaṅga’’nti. Sesasambojjhaṅgesupi imināva nayena vacanattho veditabbo.

    อสนฺตนฺติ อปฺปฎิลาภวเสน อวิชฺชมานํฯ ยถา จ อนุปนฺนสฺสาติอาทีสุ ปน สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ตาว ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๒๓๒) เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ สติเยว สติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมาฯ โยนิโสมนสิกาโร วุตฺตลกฺขโณเยวฯ ตํ ตตฺถ พหุลํ ปวตฺตยโต สติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ

    Asantanti appaṭilābhavasena avijjamānaṃ. Yathā ca anupannassātiādīsu pana satisambojjhaṅgassa tāva ‘‘atthi, bhikkhave, satisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā satisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā satisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti (saṃ. ni. 5.232) evaṃ uppādo hoti. Tattha satiyeva satisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā. Yonisomanasikāro vuttalakkhaṇoyeva. Taṃ tattha bahulaṃ pavattayato satisambojjhaṅgo uppajjati.

    อปิจ จตฺตาโร ธมฺมา สติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ สติสมฺปชญฺญํ มุฎฺฐสฺสติปุคฺคลปริวชฺชนตา อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ อภิกฺกนฺตาทีสุ หิ สตฺตสุ ฐาเนสุ สติสมฺปชเญฺญน, ภตฺตนิกฺขิตฺตกากสทิเส มุฎฺฐสฺสติปุคฺคเล ปริวชฺชเนน, ติสฺสทตฺตเตฺถรอภยเตฺถรสทิเส อุปฎฺฐิตสฺสติปุคฺคเล เสวเนน, ฐานนิสชฺชาทีสุ สติสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาย จ สติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ เอวํ จตูหิ การเณหิ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica cattāro dhammā satisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti satisampajaññaṃ muṭṭhassatipuggalaparivajjanatā upaṭṭhitassatipuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Abhikkantādīsu hi sattasu ṭhānesu satisampajaññena, bhattanikkhittakākasadise muṭṭhassatipuggale parivajjanena, tissadattattheraabhayattherasadise upaṭṭhitassatipuggale sevanena, ṭhānanisajjādīsu satisamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatāya ca satisambojjhaṅgo uppajjati. Evaṃ catūhi kāraṇehi uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ปน ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กุสลากุสลา ธมฺมา…เป.… กณฺหสุกฺกสปฺปฎิภาคา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ

    Dhammavicayasambojjhaṅgassa pana ‘‘atthi, bhikkhave, kusalākusalā dhammā…pe… kaṇhasukkasappaṭibhāgā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā dhammavicayasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti.

    อปิจ สตฺต ธมฺมา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ ปริปุจฺฉกตา วตฺถุวิสทกิริยา อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ ปริปุจฺฉกตาติ ขนฺธธาตุอายตนอินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคงฺคฌานงฺคสมถวิปสฺสนานํ อตฺถสนฺนิสฺสิตปริปุจฺฉาพหุลตาฯ วตฺถุวิสทกิริยาติ อชฺฌตฺติกพาหิรานํ วตฺถูนํ วิสทภาวกรณํฯ ยทา หิสฺส เกสนขโลมานิ ทีฆานิ โหนฺติ, สรีรํ วา อุสฺสนฺนโทสเญฺจว เสทมลมกฺขิตญฺจ, ตทา อชฺฌตฺติกํ วตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ยทา ปน จีวรํ ชิณฺณํ กิลิฎฺฐํ ทุคฺคนฺธํ โหติ, เสนาสนํ วา อุกฺลาปํ, ตทา พาหิรวตฺถุ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํฯ ตสฺมา เกสาทิเฉทาปเนน อุทฺธํวิเรจนอโธวิเรจนาทีหิ สรีรสลฺลหุกภาวกรเณน อุจฺฉาทนนหาปเนน จ อชฺฌตฺติกวตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ สูจิกมฺมโธวนรชนปริภณฺฑกรณาทีหิ พาหิรวตฺถุ วิสทํ กาตพฺพํฯ เอตสฺมิญฺหิ อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อวิสเท อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ อวิสทํ โหติ อปริสุทฺธํ อปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ วิสเท ปน อชฺฌตฺติกพาหิเร วตฺถุมฺหิ อุปฺปเนฺนสุ จิตฺตเจตสิเกสุ ญาณมฺปิ วิสทํ โหติ ปริสุทฺธานิ ทีปกปลฺลวฎฺฎิเตลานิ นิสฺสาย อุปฺปนฺนทีปสิขาย โอภาโส วิยฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วตฺถุวิสทกิริยา ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตตี’’ติฯ

    Apica satta dhammā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti paripucchakatā vatthuvisadakiriyā indriyasamattapaṭipādanā duppaññapuggalaparivajjanā paññavantapuggalasevanā gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā tadadhimuttatāti. Tattha paripucchakatāti khandhadhātuāyatanaindriyabalabojjhaṅgamaggaṅgajhānaṅgasamathavipassanānaṃ atthasannissitaparipucchābahulatā. Vatthuvisadakiriyāti ajjhattikabāhirānaṃ vatthūnaṃ visadabhāvakaraṇaṃ. Yadā hissa kesanakhalomāni dīghāni honti, sarīraṃ vā ussannadosañceva sedamalamakkhitañca, tadā ajjhattikaṃ vatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Yadā pana cīvaraṃ jiṇṇaṃ kiliṭṭhaṃ duggandhaṃ hoti, senāsanaṃ vā uklāpaṃ, tadā bāhiravatthu avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ. Tasmā kesādichedāpanena uddhaṃvirecanaadhovirecanādīhi sarīrasallahukabhāvakaraṇena ucchādananahāpanena ca ajjhattikavatthu visadaṃ kātabbaṃ. Sūcikammadhovanarajanaparibhaṇḍakaraṇādīhi bāhiravatthu visadaṃ kātabbaṃ. Etasmiñhi ajjhattikabāhire vatthumhi avisade uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi avisadaṃ hoti aparisuddhaṃ aparisuddhāni dīpakapallavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Visade pana ajjhattikabāhire vatthumhi uppannesu cittacetasikesu ñāṇampi visadaṃ hoti parisuddhāni dīpakapallavaṭṭitelāni nissāya uppannadīpasikhāya obhāso viya. Tena vuttaṃ ‘‘vatthuvisadakiriyā dhammavicayasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattatī’’ti.

    อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนา นาม สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ สมภาวกรณํฯ สเจ หิสฺส สทฺธินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อิตรานิ มนฺทานิ, ตโต วีริยินฺทฺริยํ ปคฺคหกิจฺจํ, สตินฺทฺริยํ อุปฎฺฐานกิจฺจํ, สมาธินฺทฺริยํ อวิเกฺขปกิจฺจํ, ปญฺญินฺทฺริยํ ทสฺสนกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ตํ ธมฺมสภาวปจฺจเวกฺขเณน วา, ยถา วา มนสิกโรโต พลวํ ชาตํ, ตถา อมนสิกาเรน หาเปตพฺพํฯ วกฺกลิเตฺถรวตฺถุ เจตฺถ นิทสฺสนํฯ สเจ ปน วีริยินฺทฺริยํ พลวํ โหติ, อถ สทฺธินฺทฺริยํ อธิโมกฺขกิจฺจํ กาตุํ น สโกฺกติ, น อิตรานิ อิตรกิจฺจเภทํฯ ตสฺมา ตํ ปสฺสทฺธาทิภาวนาย หาเปตพฺพํฯ ตตฺราปิ โสณเตฺถรสฺส วตฺถุ ทเสฺสตพฺพํฯ เอวํ เสเสสุปิ เอกสฺส พลวภาเว สติ อิตเรสํ อตฺตโน กิเจฺจสุ อสมตฺถตา เวทิตพฺพาฯ

    Indriyasamattapaṭipādanā nāma saddhādīnaṃ indriyānaṃ samabhāvakaraṇaṃ. Sace hissa saddhindriyaṃ balavaṃ hoti, itarāni mandāni, tato vīriyindriyaṃ paggahakiccaṃ, satindriyaṃ upaṭṭhānakiccaṃ, samādhindriyaṃ avikkhepakiccaṃ, paññindriyaṃ dassanakiccaṃ kātuṃ na sakkoti. Tasmā taṃ dhammasabhāvapaccavekkhaṇena vā, yathā vā manasikaroto balavaṃ jātaṃ, tathā amanasikārena hāpetabbaṃ. Vakkalittheravatthu cettha nidassanaṃ. Sace pana vīriyindriyaṃ balavaṃ hoti, atha saddhindriyaṃ adhimokkhakiccaṃ kātuṃ na sakkoti, na itarāni itarakiccabhedaṃ. Tasmā taṃ passaddhādibhāvanāya hāpetabbaṃ. Tatrāpi soṇattherassa vatthu dassetabbaṃ. Evaṃ sesesupi ekassa balavabhāve sati itaresaṃ attano kiccesu asamatthatā veditabbā.

    วิเสสโต ปเนตฺถ สทฺธาปญฺญานํ สมาธิวีริยานญฺจ สมตํ ปสํสนฺติฯ พลวสโทฺธ หิ มนฺทปโญฺญ มุธปฺปสโนฺน โหติ, อวตฺถุสฺมิํ ปสีทติฯ พลวปโญฺญ มนฺทสโทฺธ เกราฎิกปกฺขํ ภชติ, เภสชฺชสมุฎฺฐิโต วิย โรโค อเตกิโจฺฉ โหติฯ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตเนว กุสลํ โหตีติ อติธาวิตฺวา ทานาทีนิ อกโรโนฺต นิรเย อุปฺปชฺชติฯ อุภินฺนํ สมตาย วตฺถุสฺมิํเยว ปสีทติฯ พลวสมาธิํ ปน มนฺทวีริยํ สมาธิสฺส โกสชฺชปกฺขตฺตา โกสชฺชํ อภิภวติฯ พลววีริยํ มนฺทสมาธิํ วีริยสฺส อุทฺธจฺจปกฺขตฺตา อุทฺธจฺจํ อภิภวติฯ สมาธิ ปน วีริเยน สํโยชิโต โกสเชฺช ปติตุํ น ลภติ, วีริยํ สมาธินา สํโยชิตํ อุทฺธเจฺจ ปติตุํ น ลภติฯ ตสฺมา ตทุภยํ สมํ กาตพฺพํฯ อุภยสมตาย หิ อปฺปนา โหติฯ

    Visesato panettha saddhāpaññānaṃ samādhivīriyānañca samataṃ pasaṃsanti. Balavasaddho hi mandapañño mudhappasanno hoti, avatthusmiṃ pasīdati. Balavapañño mandasaddho kerāṭikapakkhaṃ bhajati, bhesajjasamuṭṭhito viya rogo atekiccho hoti. Cittuppādamatteneva kusalaṃ hotīti atidhāvitvā dānādīni akaronto niraye uppajjati. Ubhinnaṃ samatāya vatthusmiṃyeva pasīdati. Balavasamādhiṃ pana mandavīriyaṃ samādhissa kosajjapakkhattā kosajjaṃ abhibhavati. Balavavīriyaṃ mandasamādhiṃ vīriyassa uddhaccapakkhattā uddhaccaṃ abhibhavati. Samādhi pana vīriyena saṃyojito kosajje patituṃ na labhati, vīriyaṃ samādhinā saṃyojitaṃ uddhacce patituṃ na labhati. Tasmā tadubhayaṃ samaṃ kātabbaṃ. Ubhayasamatāya hi appanā hoti.

    อปิจ สมาธิกมฺมิกสฺส พลวตีปิ สทฺธา วฎฺฎติฯ เอวํ สทฺทหโนฺต โอกเปฺปโนฺต อปฺปนํ ปาปุณิสฺสติฯ สมาธิปญฺญาสุ ปน สมาธิกมฺมิกสฺส เอกคฺคตา พลวตี วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ โส อปฺปนํ ปาปุณาติฯ วิปสฺสนากมฺมิกสฺส ปญฺญา พลวตี วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ โส ลกฺขณปฎิเวธํ ปาปุณาติฯ อุภินฺนํ ปน สมตายปิ อปฺปนา โหติเยวฯ สติ ปน สพฺพตฺถ พลวตี วฎฺฎติฯ สติ หิ จิตฺตํ อุทฺธจฺจปกฺขิกานํ สทฺธาวีริยปญฺญานํ วเสน อุทฺธจฺจปาตโต, โกสชฺชปกฺขิเกน จ สมาธินา โกสชฺชปาตโต รกฺขติฯ ตสฺมา สา โลณธูปนํ วิย สพฺพพฺยญฺชเนสุ, สพฺพกมฺมิกอมโจฺจ วิย จ, สพฺพราชกิเจฺจสุ สพฺพตฺถ อิจฺฉิตพฺพาฯ เตนาห – ‘‘สติ จ ปน สพฺพตฺถิกา วุตฺตา ภควตา, กิํ การณา? จิตฺตญฺหิ สติปฎิสรณํ, อารกฺขปจฺจุปฎฺฐานา จ สติ, น วินา สติยา จิตฺตสฺส ปคฺคหนิคฺคโห โหตี’’ ติฯ ทุปฺปญฺญปุคฺคลปริวชฺชนา นาม ขนฺธาทิเภเท อโนคาฬฺหปญฺญานํ ทุเมฺมธปุคฺคลานํ อารกา ปริวชฺชนํฯ ปญฺญวนฺตปุคฺคลเสวนา นาม สมปญฺญาสลกฺขณปริคฺคาหิกาย อุทยพฺพยปญฺญาย สมนฺนาคตปุคฺคลเสวนาฯ คมฺภีรญาณจริยปจฺจเวกฺขณา นาม คมฺภีเรสุ ขนฺธาทีสุ ปวตฺตาย คมฺภีรปญฺญาย ปเภทปจฺจเวกฺขณาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนฺนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica samādhikammikassa balavatīpi saddhā vaṭṭati. Evaṃ saddahanto okappento appanaṃ pāpuṇissati. Samādhipaññāsu pana samādhikammikassa ekaggatā balavatī vaṭṭati. Evañhi so appanaṃ pāpuṇāti. Vipassanākammikassa paññā balavatī vaṭṭati. Evañhi so lakkhaṇapaṭivedhaṃ pāpuṇāti. Ubhinnaṃ pana samatāyapi appanā hotiyeva. Sati pana sabbattha balavatī vaṭṭati. Sati hi cittaṃ uddhaccapakkhikānaṃ saddhāvīriyapaññānaṃ vasena uddhaccapātato, kosajjapakkhikena ca samādhinā kosajjapātato rakkhati. Tasmā sā loṇadhūpanaṃ viya sabbabyañjanesu, sabbakammikaamacco viya ca, sabbarājakiccesu sabbattha icchitabbā. Tenāha – ‘‘sati ca pana sabbatthikā vuttā bhagavatā, kiṃ kāraṇā? Cittañhi satipaṭisaraṇaṃ, ārakkhapaccupaṭṭhānā ca sati, na vinā satiyā cittassa paggahaniggaho hotī’’ ti. Duppaññapuggalaparivajjanā nāma khandhādibhede anogāḷhapaññānaṃ dummedhapuggalānaṃ ārakā parivajjanaṃ. Paññavantapuggalasevanā nāma samapaññāsalakkhaṇapariggāhikāya udayabbayapaññāya samannāgatapuggalasevanā. Gambhīrañāṇacariyapaccavekkhaṇā nāma gambhīresu khandhādīsu pavattāya gambhīrapaññāya pabhedapaccavekkhaṇā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu dhammavicayasambojjhaṅgasamuṭṭhāpanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittatā. Evaṃ uppannassa pannassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อารมฺภธาตุ นิกฺกมธาตุ ปรกฺกมธาตุ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ

    Vīriyasambojjhaṅgassa ‘‘atthi, bhikkhave, ārambhadhātu nikkamadhātu parakkamadhātu, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā vīriyasambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti.

    อปิจ เอกาทส ธมฺมา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ อปายภยปจฺจเวกฺขณตา อานิสํสทสฺสาวิตา คมนวีถิปจฺจเวกฺขณตา ปิณฺฑปาตาปจายนตา ทายชฺชมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา สตฺถุมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา ชาติมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา สพฺรหฺมจาริมหตฺตปจฺจเวกฺขณตา กุสีตปุคฺคลปริวชฺชนตา อารทฺธวีริยปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ

    Apica ekādasa dhammā vīriyasambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti apāyabhayapaccavekkhaṇatā ānisaṃsadassāvitā gamanavīthipaccavekkhaṇatā piṇḍapātāpacāyanatā dāyajjamahattapaccavekkhaṇatā satthumahattapaccavekkhaṇatā jātimahattapaccavekkhaṇatā sabrahmacārimahattapaccavekkhaṇatā kusītapuggalaparivajjanatā āraddhavīriyapuggalasevanatā tadadhimuttatāti.

    ตตฺถ นิรเยสุ ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณโต ปฎฺฐาย มหาทุกฺขานุภวนกาเลปิ, ติรจฺฉานโยนิยํ ชาลขิปนกุมีนาทีหิ คหิตกาเลปิ, ปาชนกณฺฎกาทิปฺปหารตุนฺนสฺส สกฎวหนาทิกาเลปิ, เปตฺติวิสเย อเนกานิปิ วสฺสสหสฺสานิ เอกํ พุทฺธนฺตรมฺปิ ขุปฺปิปาสาหิ อาตุรีภูตกาเลปิ, กาลกญฺจิกอสุเรสุ สฎฺฐิหตฺถอสีติหตฺถปฺปมาเณน อฎฺฐิจมฺมมเตฺตเนว อตฺตภาเวน วาตาตปาทิทุกฺขานุภวนกาเลปิ น สกฺกา วีริยสโมฺพชฺฌงฺคํ อุปฺปาเทตุํ, อยเมว เต ภิกฺขุ กาโล วีริยกรณายาติ เอวํ อปายภยํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติฯ

    Tattha nirayesu pañcavidhabandhanakammakāraṇato paṭṭhāya mahādukkhānubhavanakālepi, tiracchānayoniyaṃ jālakhipanakumīnādīhi gahitakālepi, pājanakaṇṭakādippahāratunnassa sakaṭavahanādikālepi, pettivisaye anekānipi vassasahassāni ekaṃ buddhantarampi khuppipāsāhi āturībhūtakālepi, kālakañcikaasuresu saṭṭhihatthaasītihatthappamāṇena aṭṭhicammamatteneva attabhāvena vātātapādidukkhānubhavanakālepi na sakkā vīriyasambojjhaṅgaṃ uppādetuṃ, ayameva te bhikkhu kālo vīriyakaraṇāyāti evaṃ apāyabhayaṃ paccavekkhantassāpi vīriyasambojjhaṅgo uppajjati.

    น สกฺกา กุสีเตน นวโลกุตฺตรธมฺมํ ลทฺธุํ, อารทฺธวีริเยเนว สกฺกา อยมานิสํโส วีริยสฺสาติ เอวํ อานิสํสทสฺสาวิโนปิ อุปฺปชฺชติฯ สพฺพพุทฺธปเจฺจกพุทฺธมหาสาวเกหิ เต คตมโคฺค คนฺตโพฺพ, โส จ น สกฺกา กุสีเตน คนฺตุนฺติ เอวํ คมนวีถิํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เย ตํ ปิณฺฑปาตาทีหิ อุปฎฺฐหนฺติ, อิเม เต มนุสฺสา เนว ญาตกา, น ทาสกมฺมกรา, นาปิ ตํ นิสฺสาย ชีวิสฺสามาติ เต ปณีตานิ จีวราทีนิ เทนฺติฯ อถ โข อตฺตโน การานํ มหปฺผลตํ ปจฺจาสีสมานา เทนฺติฯ สตฺถาราปิ ‘‘อยํ อิเม ปจฺจเย ปริภุญฺชิตฺวา กายทฬฺหีพหุโล สุขํ วิหริสฺสตี’’ติ น เอวํ สมฺปสฺสตา ตุยฺหํ ปจฺจยา อนุญฺญาตาฯ อถ โข ‘‘อยํ อิเม ปริภุญฺชมาโน สมณธมฺมํ กตฺวา วฎฺฎทุกฺขโต มุจฺจิสฺสตี’’ติ เต ปจฺจยา อนุญฺญาตา, โส ทานิ ตฺวํ กุสีโต วิหรโนฺต น ตํ ปิณฺฑํ อปจายิสฺสติฯ อารทฺธวีริยเสฺสว หิ ปิณฺฑปาตาปจายนํ นาม โหตีติ เอวํ ปิณฺฑปาตาปจายนํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติ อยฺยมิตฺตเตฺถรสฺส วิยฯ

    Na sakkā kusītena navalokuttaradhammaṃ laddhuṃ, āraddhavīriyeneva sakkā ayamānisaṃso vīriyassāti evaṃ ānisaṃsadassāvinopi uppajjati. Sabbabuddhapaccekabuddhamahāsāvakehi te gatamaggo gantabbo, so ca na sakkā kusītena gantunti evaṃ gamanavīthiṃ paccavekkhantassāpi uppajjati. Ye taṃ piṇḍapātādīhi upaṭṭhahanti, ime te manussā neva ñātakā, na dāsakammakarā, nāpi taṃ nissāya jīvissāmāti te paṇītāni cīvarādīni denti. Atha kho attano kārānaṃ mahapphalataṃ paccāsīsamānā denti. Satthārāpi ‘‘ayaṃ ime paccaye paribhuñjitvā kāyadaḷhībahulo sukhaṃ viharissatī’’ti na evaṃ sampassatā tuyhaṃ paccayā anuññātā. Atha kho ‘‘ayaṃ ime paribhuñjamāno samaṇadhammaṃ katvā vaṭṭadukkhato muccissatī’’ti te paccayā anuññātā, so dāni tvaṃ kusīto viharanto na taṃ piṇḍaṃ apacāyissati. Āraddhavīriyasseva hi piṇḍapātāpacāyanaṃ nāma hotīti evaṃ piṇḍapātāpacāyanaṃ paccavekkhantassāpi uppajjati ayyamittattherassa viya.

    เถโร กิร กสฺสกเลเณ นาม ปฎิวสติฯ ตสฺส จ โคจรคาเม เอกา มหาอุปาสิกา เถรํ ปุตฺตํ กตฺวา ปฎิชคฺคติฯ สา เอกทิวสํ อรญฺญํ คจฺฉนฺตี ธีตรํ อาห – ‘‘อมฺม, อสุกสฺมิํ ฐาเน ปุราณตณฺฑุลา, อสุกสฺมิํ สปฺปิ, อสุกสฺมิํ ขีรํ, อสุกสฺมิํ ผาณิตํ, ตว ภาติกสฺส อยฺยมิตฺตสฺส อาคตกาเล ภตฺตํ ปจิตฺวา ขีรสปฺปิผาณิเตหิ สทฺธิํ เทหิ, ตฺวญฺจ ภุเญฺชยฺยาสิฯ อหํ ปน หิโยฺย ปกฺกปาริวาสิกภตฺตํ กญฺชิเยน ภุตฺตามฺหี’’ติฯ ทิวา กิํ ภุญฺชิสฺสสิ อมฺมา,ติ? สากปณฺณํ ปกฺขิปิตฺวา กณตณฺฑุเลหิ อมฺพิลยาคุํ ปจิตฺวา ฐเปหิ อมฺมา,ติฯ

    Thero kira kassakaleṇe nāma paṭivasati. Tassa ca gocaragāme ekā mahāupāsikā theraṃ puttaṃ katvā paṭijaggati. Sā ekadivasaṃ araññaṃ gacchantī dhītaraṃ āha – ‘‘amma, asukasmiṃ ṭhāne purāṇataṇḍulā, asukasmiṃ sappi, asukasmiṃ khīraṃ, asukasmiṃ phāṇitaṃ, tava bhātikassa ayyamittassa āgatakāle bhattaṃ pacitvā khīrasappiphāṇitehi saddhiṃ dehi, tvañca bhuñjeyyāsi. Ahaṃ pana hiyyo pakkapārivāsikabhattaṃ kañjiyena bhuttāmhī’’ti. Divā kiṃ bhuñjissasi ammā,ti? Sākapaṇṇaṃ pakkhipitvā kaṇataṇḍulehi ambilayāguṃ pacitvā ṭhapehi ammā,ti.

    เถโร จีวรํ ปารุปิตฺวา ปตฺตํ นีหรโนฺตว ตํ สทฺทํ สุตฺวา อตฺตานํ โอวทิ ‘‘มหาอุปาสิกา กิร กญฺชิเยน ปาริวาสิกภตฺตํ ภุญฺชิ, ทิวาปิ กณปณฺณมฺพิลยาคุํ ภุญฺชิสฺสติ , ตุยฺหํ อตฺถาย ปน ปุราณตณฺฑุลาทีนิ อาจิกฺขติ, ตํ นิสฺสาย โข ปเนสา เนว เขตฺตํ น วตฺถุํ น ภตฺตํ น วตฺถํ ปจฺจาสีสติ, ติโสฺส ปน สมฺปตฺติโย ปตฺถยมานา เทติ, ตฺวํ เอติสฺสา ตา สมฺปตฺติโย ทาตุํ สกฺขิสฺสสิ, น สกฺขิสฺสสีติ, อยํ โข ปน ปิณฺฑปาโต ตยา สราเคน สโทเสน สโมเหน น สกฺกา คณฺหิตุ’’นฺติ ปตฺตํ ถวิกาย ปกฺขิปิตฺวา คณฺฐิกํ มุญฺจิตฺวา นิวตฺติตฺวา กสฺสกเลณเมว คนฺตฺวา ปตฺตํ เหฎฺฐามเญฺจ จีวรํ จีวรวํเส ฐเปตฺวา ‘‘อรหตฺตํ อปาปุณิตฺวา น นิกฺขมิสฺสามี’’ติ วีริยํ อธิฎฺฐหิตฺวา นิสีทิฯ ทีฆรตฺตํ อปฺปมโตฺต หุตฺวา นิวุตฺถภิกฺขุ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ปุเรภตฺตเมว อรหตฺตํ ปตฺวา วิกสมานมิว ปทุมํ มหาขีณาสโว สิตํ กโรโนฺตว นิสีทิฯ เลณทฺวาเร รุกฺขมฺหิ อธิวตฺถา เทวตา –

    Thero cīvaraṃ pārupitvā pattaṃ nīharantova taṃ saddaṃ sutvā attānaṃ ovadi ‘‘mahāupāsikā kira kañjiyena pārivāsikabhattaṃ bhuñji, divāpi kaṇapaṇṇambilayāguṃ bhuñjissati , tuyhaṃ atthāya pana purāṇataṇḍulādīni ācikkhati, taṃ nissāya kho panesā neva khettaṃ na vatthuṃ na bhattaṃ na vatthaṃ paccāsīsati, tisso pana sampattiyo patthayamānā deti, tvaṃ etissā tā sampattiyo dātuṃ sakkhissasi, na sakkhissasīti, ayaṃ kho pana piṇḍapāto tayā sarāgena sadosena samohena na sakkā gaṇhitu’’nti pattaṃ thavikāya pakkhipitvā gaṇṭhikaṃ muñcitvā nivattitvā kassakaleṇameva gantvā pattaṃ heṭṭhāmañce cīvaraṃ cīvaravaṃse ṭhapetvā ‘‘arahattaṃ apāpuṇitvā na nikkhamissāmī’’ti vīriyaṃ adhiṭṭhahitvā nisīdi. Dīgharattaṃ appamatto hutvā nivutthabhikkhu vipassanaṃ vaḍḍhetvā purebhattameva arahattaṃ patvā vikasamānamiva padumaṃ mahākhīṇāsavo sitaṃ karontova nisīdi. Leṇadvāre rukkhamhi adhivatthā devatā –

    ‘‘นโม เต ปุริสาชญฺญ, นโม เต ปุริสุตฺตม;

    ‘‘Namo te purisājañña, namo te purisuttama;

    ยสฺส เต อาสวา ขีณา, ทกฺขิเณโยฺยสิ มาริสา’’ติฯ –

    Yassa te āsavā khīṇā, dakkhiṇeyyosi mārisā’’ti. –

    อุทานํ อุทาเนตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปิณฺฑาย ปวิฎฺฐานํ ตุมฺหาทิสานํ อรหนฺตานํ ภิกฺขํ ทตฺวา มหลฺลกิตฺถิโย ทุกฺขา มุจฺจิสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ เถโร อุฎฺฐหิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา กาลํ โอโลเกโนฺต ‘‘ปาโตเยวา’’ติ ญตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย คามํ ปาวิสิฯ

    Udānaṃ udānetvā ‘‘bhante, piṇḍāya paviṭṭhānaṃ tumhādisānaṃ arahantānaṃ bhikkhaṃ datvā mahallakitthiyo dukkhā muccissantī’’ti āha. Thero uṭṭhahitvā dvāraṃ vivaritvā kālaṃ olokento ‘‘pātoyevā’’ti ñatvā pattacīvaramādāya gāmaṃ pāvisi.

    ทาริกาปิ ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา ‘‘อิทานิ เม ภาตา อาคมิสฺสติ, อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ ทฺวารํ โอโลกยมานา นิสีทิฯ สา เถเร ฆรทฺวารํ สมฺปเตฺต ปตฺตํ คเหตฺวา สปฺปิผาณิตโยชิตสฺส ขีรปิณฺฑปาตสฺส ปูเรตฺวา หเตฺถ ฐเปสิฯ เถโร ‘‘สุขํ โหตู’’ติ อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ สาปิ ตํ โอโลกยมานา อฎฺฐาสิฯ เถรสฺส หิ ตทา อติวิย ปริสุโทฺธ ฉวิวโณฺณ อโหสิ, วิปฺปสนฺนานิ อินฺทฺริยานิ, มุขํ พนฺธนา ปวุตฺตตาลปกฺกํ วิย อติวิย วิโรจิตฺถฯ

    Dārikāpi bhattaṃ sampādetvā ‘‘idāni me bhātā āgamissati, idāni āgamissatī’’ti dvāraṃ olokayamānā nisīdi. Sā there gharadvāraṃ sampatte pattaṃ gahetvā sappiphāṇitayojitassa khīrapiṇḍapātassa pūretvā hatthe ṭhapesi. Thero ‘‘sukhaṃ hotū’’ti anumodanaṃ katvā pakkāmi. Sāpi taṃ olokayamānā aṭṭhāsi. Therassa hi tadā ativiya parisuddho chavivaṇṇo ahosi, vippasannāni indriyāni, mukhaṃ bandhanā pavuttatālapakkaṃ viya ativiya virocittha.

    มหาอุปาสิกา อรญฺญา อาคนฺตฺวา ‘‘กิํ, อมฺม, ภาติโก เต อาคโต’’ติ ปุจฺฉิฯ สา สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ อุปาสิกา ‘‘อชฺช มม ปุตฺตสฺส ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปตฺต’’นฺติ ญตฺวา ‘‘อภิรมติ เต, อมฺม, ภาตา พุทฺธสาสเน, น อุกฺกณฺฐตี’’ติ อาหฯ

    Mahāupāsikā araññā āgantvā ‘‘kiṃ, amma, bhātiko te āgato’’ti pucchi. Sā sabbaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Upāsikā ‘‘ajja mama puttassa pabbajitakiccaṃ matthakaṃ patta’’nti ñatvā ‘‘abhiramati te, amma, bhātā buddhasāsane, na ukkaṇṭhatī’’ti āha.

    มหนฺตํ โข ปเนตํ สตฺถุทายชฺชํ ยทิทํ สตฺต อริยธนานิ นาม, ตํ น สกฺกา กุสีเตน คเหตุํฯ ยถา หิ วิปฺปฎิปนฺนํ ปุตฺตํ มาตาปิตโร ‘‘อยํ อมฺหากํ อปุโตฺต’’ติ ปริพาหิรํ กโรนฺติ, โส เตสํ อจฺจเยน ทายชฺชํ น ลภติ, เอวํ กุสีโตปิ อิทํ อริยธนทายชฺชํ น ลภติ, อารทฺธวีริโยว ลภตีติ ทายชฺชมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    Mahantaṃ kho panetaṃ satthudāyajjaṃ yadidaṃ satta ariyadhanāni nāma, taṃ na sakkā kusītena gahetuṃ. Yathā hi vippaṭipannaṃ puttaṃ mātāpitaro ‘‘ayaṃ amhākaṃ aputto’’ti paribāhiraṃ karonti, so tesaṃ accayena dāyajjaṃ na labhati, evaṃ kusītopi idaṃ ariyadhanadāyajjaṃ na labhati, āraddhavīriyova labhatīti dāyajjamahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    มหา โข ปน เต สตฺถา, สตฺถุโน หิ เต มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิคณฺหนกาเลปิ อภินิกฺขมเนปิ อภิสโมฺพธิยมฺปิ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนยมกปาฎิหาริยเทโวโรหนอายุสงฺขารโวสฺสชฺชเนสุปิ ปรินิพฺพานกาเลปิ ทสสหสฺสิโลกธาตุ อกมฺปิตฺถ, ยุตฺตํ นุ เต เอวรูปสฺส สตฺถุ สาสเน ปพฺพชิตฺวา กุสีเตน ภวิตุนฺติ เอวํ สตฺถุมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    Mahā kho pana te satthā, satthuno hi te mātukucchismiṃ paṭisandhigaṇhanakālepi abhinikkhamanepi abhisambodhiyampi dhammacakkappavattanayamakapāṭihāriyadevorohanaāyusaṅkhāravossajjanesupi parinibbānakālepi dasasahassilokadhātu akampittha, yuttaṃ nu te evarūpassa satthu sāsane pabbajitvā kusītena bhavitunti evaṃ satthumahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    ชาติยาปิ ตฺวํ อิทานิ น ลามกชาติโก, อสมฺภินฺนาย มหาสมฺมตปเวณิยา อาคตอุกฺกากราชวํเส ชาโตสิ, สุโทฺธทนมหาราชสฺส จ มหามายาเทวิยา จ นตฺตา, ราหุลภทฺทสฺส กนิโฎฺฐ, ตยา นาม เอวรูเปน ชินปุเตฺตน หุตฺวา น ยุตฺตํ กุสีเตน วิหริตุนฺติ เอวํ ชาติมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    Jātiyāpi tvaṃ idāni na lāmakajātiko, asambhinnāya mahāsammatapaveṇiyā āgataukkākarājavaṃse jātosi, suddhodanamahārājassa ca mahāmāyādeviyā ca nattā, rāhulabhaddassa kaniṭṭho, tayā nāma evarūpena jinaputtena hutvā na yuttaṃ kusītena viharitunti evaṃ jātimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    สาริปุตฺตมหาโมคฺคลฺลานา เจว อสีติ จ มหาสาวกา วีริเยเนว โลกุตฺตรธมฺมํ ปฎิวิชฺฌิํสุ, ตฺวํ เอเตสํ สพฺรหฺมจารีนํ มคฺคํ ปฎิปชฺชสิ, น ปฎิปชฺชสีติ เอวํ สพฺรหฺมจาริมหตฺตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ อุปฺปชฺชติฯ

    Sāriputtamahāmoggallānā ceva asīti ca mahāsāvakā vīriyeneva lokuttaradhammaṃ paṭivijjhiṃsu, tvaṃ etesaṃ sabrahmacārīnaṃ maggaṃ paṭipajjasi, na paṭipajjasīti evaṃ sabrahmacārimahattaṃ paccavekkhatopi uppajjati.

    กุจฺฉิํ ปูเรตฺวา ฐิตอชครสทิเส วิสฺสฎฺฐกายิกเจตสิกวีริเย กุสีตปุคฺคเล ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ อารทฺธวีริเย ปหิตเตฺต ปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ ฐานนิสชฺชาทีสุ วีริยุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Kucchiṃ pūretvā ṭhitaajagarasadise vissaṭṭhakāyikacetasikavīriye kusītapuggale parivajjantassāpi āraddhavīriye pahitatte puggale sevantassāpi ṭhānanisajjādīsu vīriyuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติ ฯ ตตฺถ ปีติเยว ปีติสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา นามฯ ตสฺสา อุปฺปาทกมนสิกาโร โยนิโสมนสิกาโร นามฯ

    Pītisambojjhaṅgassa ‘‘atthi, bhikkhave, pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā pītisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā pītisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti . Tattha pītiyeva pītisambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā nāma. Tassā uppādakamanasikāro yonisomanasikāro nāma.

    อปิจ เอกาทส ธมฺมา ปีติสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ พุทฺธานุสฺสติ, ธมฺม, สงฺฆ , สีล, จาค, เทวตานุสฺสติ อุปสมานุสฺสติ ลูขปุคฺคลปริวชฺชนตา สินิทฺธปุคฺคลเสวนตา ปสาทนียสุตฺตนฺตปจฺจเวกฺขณตา ตทธิมุตฺตตาติฯ พุทฺธคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ หิ ยาว อุปจารา สกลสรีรํ ผรมาโน ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค อุปฺปชฺชติ, ธมฺมสงฺฆคุเณ อนุสฺสรนฺตสฺสาปิ, ทีฆรตฺตํ อขณฺฑํ กตฺวา รกฺขิตํ จตุปาริสุทฺธิสีลํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโนปิ ทสสีลํ ปญฺจสีลํ ปญฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ทุพฺภิกฺขภยาทีสุ ปณีตโภชนํ สพฺรหฺมจารีนํ ทตฺวา ‘‘เอวํ นาม อทมฺหา’’ติ จาคํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, คิหิโนปิ เอวรูเป กาเล สีลวนฺตานํ ทินฺนทานํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เยหิ คุเณหิ สมนฺนาคตา เทวตา เทวตฺตํ ปตฺตา, ตถารูปานํ คุณานํ อตฺตนิ อตฺถิตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, สมาปตฺติยา วิกฺขมฺภิตา กิเลสา สฎฺฐิปิ สตฺตติปิ วสฺสานิ น สมุทาจรนฺตีติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนเถรทสฺสเนสุ อสกฺกจฺจกิริยาย สํสูจิตลูขภาเว พุทฺธาทีสุ ปสาทสิเนหาภาเวน คทฺรภปิเฎฺฐ รชสทิเส ลูขปุคฺคเล ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, พุทฺธาทีสุ ปสาทพหุเล มุทุจิเตฺต สินิทฺธปุคฺคเล เสวนฺตสฺสาปิ, รตนตฺตยคุณปริทีปเก ปสาทนียสุตฺตเนฺต ปจฺจเวกฺขนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปีติอุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica ekādasa dhammā pītisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti buddhānussati, dhamma, saṅgha , sīla, cāga, devatānussati upasamānussati lūkhapuggalaparivajjanatā siniddhapuggalasevanatā pasādanīyasuttantapaccavekkhaṇatā tadadhimuttatāti. Buddhaguṇe anussarantassāpi hi yāva upacārā sakalasarīraṃ pharamāno pītisambojjhaṅgo uppajjati, dhammasaṅghaguṇe anussarantassāpi, dīgharattaṃ akhaṇḍaṃ katvā rakkhitaṃ catupārisuddhisīlaṃ paccavekkhantassāpi, gihinopi dasasīlaṃ pañcasīlaṃ pañcavekkhantassāpi, dubbhikkhabhayādīsu paṇītabhojanaṃ sabrahmacārīnaṃ datvā ‘‘evaṃ nāma adamhā’’ti cāgaṃ paccavekkhantassāpi, gihinopi evarūpe kāle sīlavantānaṃ dinnadānaṃ paccavekkhantassāpi, yehi guṇehi samannāgatā devatā devattaṃ pattā, tathārūpānaṃ guṇānaṃ attani atthitaṃ paccavekkhantassāpi, samāpattiyā vikkhambhitā kilesā saṭṭhipi sattatipi vassāni na samudācarantīti paccavekkhantassāpi, cetiyadassanabodhidassanatheradassanesu asakkaccakiriyāya saṃsūcitalūkhabhāve buddhādīsu pasādasinehābhāvena gadrabhapiṭṭhe rajasadise lūkhapuggale parivajjantassāpi, buddhādīsu pasādabahule muducitte siniddhapuggale sevantassāpi, ratanattayaguṇaparidīpake pasādanīyasuttante paccavekkhantassāpi, ṭhānanisajjādīsu pītiuppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ

    Passaddhisambojjhaṅgassa ‘‘atthi, bhikkhave, kāyapassaddhi cittapassaddhi, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā passaddhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti.

    อปิจ สตฺต ธมฺมา ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ ปณีตโภชนเสวนตา อุตุสุขเสวนตา อิริยาปถสุขเสวนตา มชฺฌตฺตปโยคตา สารทฺธกายปุคฺคลปริวชฺชนตา ปสฺสทฺธกายปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ ปณีตญฺหิ สินิทฺธํ สปฺปายโภชนํ ภุญฺชนฺตสฺสาปิ, สีตุเณฺหสุ จ อุตูสุ ฐานาทีสุ จ อิริยาปเถสุ สปฺปายอุตุญฺจ อิริยาปถญฺจ เสวนฺตสฺสาปิ ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติฯ โย ปน มหาปุริสชาติโก สพฺพอุตุอิริยาปถกฺขโม โหติ, น ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ยสฺส สภาควิสภาคตา อตฺถิ, ตเสฺสว วิสภาเค อุตุอิริยาปเถ วเชฺชตฺวา สภาเค เสวนฺตสฺส อุปฺปชฺชติฯ มชฺฌตฺตปโยโค วุจฺจติ อตฺตโน จ ปรสฺส จ กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณาฯ อิมินา มชฺฌตฺตปโยเคน อุปฺปชฺชติฯ โย เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ ปรํ วิเหฐยมาโน วิจรติ, เอวรูปํ สารทฺธกายํ ปุคฺคลํ ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, สํยตปาทปาณิํ ปสฺสทฺธกายํ ปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ปสฺสทฺธิอุปฺปาทนตฺถาย นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Apica satta dhammā passaddhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti paṇītabhojanasevanatā utusukhasevanatā iriyāpathasukhasevanatā majjhattapayogatā sāraddhakāyapuggalaparivajjanatā passaddhakāyapuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Paṇītañhi siniddhaṃ sappāyabhojanaṃ bhuñjantassāpi, sītuṇhesu ca utūsu ṭhānādīsu ca iriyāpathesu sappāyautuñca iriyāpathañca sevantassāpi passaddhi uppajjati. Yo pana mahāpurisajātiko sabbautuiriyāpathakkhamo hoti, na taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Yassa sabhāgavisabhāgatā atthi, tasseva visabhāge utuiriyāpathe vajjetvā sabhāge sevantassa uppajjati. Majjhattapayogo vuccati attano ca parassa ca kammassakatāpaccavekkhaṇā. Iminā majjhattapayogena uppajjati. Yo leḍḍudaṇḍādīhi paraṃ viheṭhayamāno vicarati, evarūpaṃ sāraddhakāyaṃ puggalaṃ parivajjantassāpi, saṃyatapādapāṇiṃ passaddhakāyaṃ puggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu passaddhiuppādanatthāya ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, สมถนิมิตฺตํ อพฺยคฺคนิมิตฺตํ, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร, อนุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ สมโถว สมถนิมิตฺตํ อวิเกฺขปเฎฺฐน จ อพฺยคฺคนิมิตฺตนฺติฯ

    Samādhisambojjhaṅgassa ‘‘atthi, bhikkhave, samathanimittaṃ abyagganimittaṃ, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro, anuppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā samādhisambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti. Tattha samathova samathanimittaṃ avikkhepaṭṭhena ca abyagganimittanti.

    อปิจ เอกาทส ธมฺมา สมาธิสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ วตฺถุวิสทกิริยตา อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา นิมิตฺตกุสลตา สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตา สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคณฺหนตา สมเย สมฺปหํสนตา สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา สมาหิตปุคฺคลเสวนตา ฌานวิโมกฺขปจฺจเวกฺขณตา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ วตฺถุวิสทกิริยตาอินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา จ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    Apica ekādasa dhammā samādhisambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti vatthuvisadakiriyatā indriyasamattapaṭipādanatā nimittakusalatā samaye cittassa paggaṇhanatā samaye cittassa niggaṇhanatā samaye sampahaṃsanatā samaye ajjhupekkhanatā asamāhitapuggalaparivajjanatā samāhitapuggalasevanatā jhānavimokkhapaccavekkhaṇatā tadadhimuttatāti. Tattha vatthuvisadakiriyatā ca indriyasamattapaṭipādanatā ca vuttanayeneva veditabbā.

    นิมิตฺตกุสลตา นาม กสิณนิมิตฺตสฺส อุคฺคหณกุสลตาฯ สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตาติ ยสฺมิํ สมเย อติสิถิลวีริยตาทีหิ ลีนํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ธมฺมวิจยวีริยปีติสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส ปคฺคณฺหนํฯ สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตาติ ยสฺมิํ สมเย อารทฺธวีริยตาทีหิ อุทฺธตํ จิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย ปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสมุฎฺฐาปเนน ตสฺส นิคฺคณฺหนํฯ สมเย สมฺปหํสนตาติ ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ ปญฺญาปโยคมนฺทตาย วา อุปสมสุขานธิคเมน วา นิรสฺสาทํ โหติ, ตสฺมิํ สมเย อฎฺฐสํเวควตฺถุปจฺจเวกฺขเณน สํเวเชติ ฯ อฎฺฐ สํเวควตฺถูนิ นาม ชาติ ชรา พฺยาธิ มรณานิ จตฺตาริ, อปายทุกฺขํ ปญฺจมํ, อตีเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, อนาคเต วฎฺฎมูลกํ ทุกฺขํ, ปจฺจุปฺปเนฺน อาหารปริเยฎฺฐิมูลกํ ทุกฺขนฺติฯ รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จ ปสาทํ ชเนติ, อยํ วุจฺจติ ‘‘สมเย สมฺปหํสนตา’’ติฯ

    Nimittakusalatā nāma kasiṇanimittassa uggahaṇakusalatā. Samaye cittassa paggaṇhanatāti yasmiṃ samaye atisithilavīriyatādīhi līnaṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye dhammavicayavīriyapītisambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa paggaṇhanaṃ. Samaye cittassa paggaṇhanatāti yasmiṃ samaye āraddhavīriyatādīhi uddhataṃ cittaṃ hoti, tasmiṃ samaye passaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgasamuṭṭhāpanena tassa niggaṇhanaṃ. Samaye sampahaṃsanatāti yasmiṃ samaye cittaṃ paññāpayogamandatāya vā upasamasukhānadhigamena vā nirassādaṃ hoti, tasmiṃ samaye aṭṭhasaṃvegavatthupaccavekkhaṇena saṃvejeti . Aṭṭha saṃvegavatthūni nāma jāti jarā byādhi maraṇāni cattāri, apāyadukkhaṃ pañcamaṃ, atīte vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, anāgate vaṭṭamūlakaṃ dukkhaṃ, paccuppanne āhārapariyeṭṭhimūlakaṃ dukkhanti. Ratanattayaguṇānussaraṇena ca pasādaṃ janeti, ayaṃ vuccati ‘‘samaye sampahaṃsanatā’’ti.

    สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา นาม ยสฺมิํ สมเย สมฺมาปฎิปตฺติํ อาคมฺม อลีนํ อนุทฺธตํ อนิรสฺสาทํ อารมฺมเณ สมปฺปวตฺตํ สมถวีถิปฎิปนฺนํ จิตฺตํ โหติ, ตทาสฺส ปคฺคหนิคฺคหสมฺปหํสเนสุ น พฺยาปารํ อาปชฺชติ, สารถิ วิย สมปฺปวเตฺตสุ อเสฺสสุฯ อยํ วุจฺจติ – ‘‘สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา’’ติฯ อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา นาม อุปจารํ วา อปฺปนํ วา อปฺปตฺตานํ วิกฺขิตฺตจิตฺตานํ ปุคฺคลานํ อารกา ปริวชฺชนํฯ สมาหิตปุคฺคลเสวนา นาม อุปจาเรน วา อปฺปนาย วา สมาหิตจิตฺตานํ เสวนา ภชนา ปยิรุปาสนาฯ ตทธิมุตฺตตา นาม ฐานนิสชฺชาทีสุ สมาธิอุปฺปาทนตฺถํเยว นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตตาฯ เอวญฺหิ ปฎิปชฺชโต เอส อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Samaye ajjhupekkhanatā nāma yasmiṃ samaye sammāpaṭipattiṃ āgamma alīnaṃ anuddhataṃ anirassādaṃ ārammaṇe samappavattaṃ samathavīthipaṭipannaṃ cittaṃ hoti, tadāssa paggahaniggahasampahaṃsanesu na byāpāraṃ āpajjati, sārathi viya samappavattesu assesu. Ayaṃ vuccati – ‘‘samaye ajjhupekkhanatā’’ti. Asamāhitapuggalaparivajjanatā nāma upacāraṃ vā appanaṃ vā appattānaṃ vikkhittacittānaṃ puggalānaṃ ārakā parivajjanaṃ. Samāhitapuggalasevanā nāma upacārena vā appanāya vā samāhitacittānaṃ sevanā bhajanā payirupāsanā. Tadadhimuttatā nāma ṭhānanisajjādīsu samādhiuppādanatthaṃyeva ninnapoṇapabbhāracittatā. Evañhi paṭipajjato esa uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา, ตตฺถ โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร, อยมาหาโร อนุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย, อุปฺปนฺนสฺส วา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปาริปูริยา สํวตฺตตี’’ติ เอวํ อุปฺปาโท โหติฯ ตตฺถ อุเปกฺขาว อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคฎฺฐานียา ธมฺมา นามฯ

    Upekkhāsambojjhaṅgassa ‘‘atthi, bhikkhave, upekkhāsambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā, tattha yonisomanasikārabahulīkāro, ayamāhāro anuppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya, uppannassa vā upekkhāsambojjhaṅgassa bhiyyobhāvāya vepullāya bhāvanāya pāripūriyā saṃvattatī’’ti evaṃ uppādo hoti. Tattha upekkhāva upekkhāsambojjhaṅgaṭṭhānīyā dhammā nāma.

    อปิจ ปญฺจ ธมฺมา อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคสฺส อุปฺปาทาย สํวตฺตนฺติ สตฺตมชฺฌตฺตตา สงฺขารมชฺฌตฺตตา สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตา สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลเสวนตา ตทธิมุตฺตตาติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ สตฺตมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ ‘‘ตฺวํ อตฺตโน กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโนว กเมฺมน คมิสฺสสิ, เอโสปิ อตฺตโนว กเมฺมน อาคนฺตฺวา อตฺตโนว กเมฺมน คมิสฺสติ, ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขเณน, ‘‘ปรมตฺถโต สโตฺตเยว นตฺถิ, โส ตฺวํ กํ เกลายสี’’ติ เอวํ นิสฺสตฺตปจฺจเวกฺขเณน จาติฯ ทฺวีเหวากาเรหิ สงฺขารมชฺฌตฺตตํ สมุฎฺฐาเปติ – ‘‘อิทํ จีวรํ อนุปุเพฺพน วณฺณวิการตเญฺจว ชิณฺณภาวญฺจ อุปคนฺตฺวา ปาทปุญฺฉนโจฬกํ หุตฺวา ยฎฺฐิโกฎิยา ฉฑฺฑนียํ ภวิสฺสติ, สเจ ปนสฺส สามิโก ภเวยฺย, นาสฺส เอวํ วินสฺสิตุํ ทเทยฺยา’’ติ เอวํ อสฺสามิกภาวปจฺจเวกฺขเณน จ, ‘‘อนทฺธนิยํ อิทํ ตาวกาลิก’’นฺติ เอวํ ตาวกาลิกภาวปจฺจเวกฺขเณน จาติฯ ยถา จ จีวเร, เอวํ ปตฺตาทีสุปิ โยชนา กาตพฺพาฯ

    Apica pañca dhammā upekkhāsambojjhaṅgassa uppādāya saṃvattanti sattamajjhattatā saṅkhāramajjhattatā sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatā sattasaṅkhāramajjhattapuggalasevanatā tadadhimuttatāti. Tattha dvīhākārehi sattamajjhattataṃ samuṭṭhāpeti ‘‘tvaṃ attano kammena āgantvā attanova kammena gamissasi, esopi attanova kammena āgantvā attanova kammena gamissati, tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ kammassakatāpaccavekkhaṇena, ‘‘paramatthato sattoyeva natthi, so tvaṃ kaṃ kelāyasī’’ti evaṃ nissattapaccavekkhaṇena cāti. Dvīhevākārehi saṅkhāramajjhattataṃ samuṭṭhāpeti – ‘‘idaṃ cīvaraṃ anupubbena vaṇṇavikāratañceva jiṇṇabhāvañca upagantvā pādapuñchanacoḷakaṃ hutvā yaṭṭhikoṭiyā chaḍḍanīyaṃ bhavissati, sace panassa sāmiko bhaveyya, nāssa evaṃ vinassituṃ dadeyyā’’ti evaṃ assāmikabhāvapaccavekkhaṇena ca, ‘‘anaddhaniyaṃ idaṃ tāvakālika’’nti evaṃ tāvakālikabhāvapaccavekkhaṇena cāti. Yathā ca cīvare, evaṃ pattādīsupi yojanā kātabbā.

    สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลปริวชฺชนตาติ เอตฺถ โย ปุคฺคโล คิหิ วา อตฺตโน ปุตฺตธีตาทิเก, ปพฺพชิโต วา อตฺตโน อเนฺตวาสิกสมานุปชฺฌายกาทิเก มมายติ, สหเตฺถเนว เนสํ เกสเจฺฉทนสูจิกมฺมจีวรโธวนรชนปตฺตปจนาทีนิ กโรติ, มุหุตฺตมฺปิ อปสฺสโนฺต ‘‘อสุโก สามเณโร กุหิํ อสุโก ทหโร กุหิ’’นฺติ ภนฺตมิโค วิย อิโต จิโต จ โอโลเกติ, อเญฺญน เกสเจฺฉทนาทีนํ อตฺถาย ‘‘มุหุตฺตํ อสุกํ เปเสถา’’ติ ยาจิยมาโนปิ ‘‘อเมฺหปิ ตํ อตฺตโน กมฺมํ น กาเรม, ตุเมฺห นํ คเหตฺวา กิลเมสฺสถา’’ติ น เทติ, อยํ สตฺตเกลายโน นามฯ

    Sattasaṅkhārakelāyanapuggalaparivajjanatāti ettha yo puggalo gihi vā attano puttadhītādike, pabbajito vā attano antevāsikasamānupajjhāyakādike mamāyati, sahattheneva nesaṃ kesacchedanasūcikammacīvaradhovanarajanapattapacanādīni karoti, muhuttampi apassanto ‘‘asuko sāmaṇero kuhiṃ asuko daharo kuhi’’nti bhantamigo viya ito cito ca oloketi, aññena kesacchedanādīnaṃ atthāya ‘‘muhuttaṃ asukaṃ pesethā’’ti yāciyamānopi ‘‘amhepi taṃ attano kammaṃ na kārema, tumhe naṃ gahetvā kilamessathā’’ti na deti, ayaṃ sattakelāyano nāma.

    โย ปน จีวรปตฺตถาลกกตฺตรยฎฺฐิอาทีนิ มมายติ, อญฺญสฺส หเตฺถน ปรามสิตุมฺปิ น เทติ, ตาวกาลิกํ ยาจิโต ‘‘มยมฺปิ อิทํ มมายนฺตา น ปริภุญฺชาม, ตุมฺหากํ กิํ ทสฺสามา’’ติ วทติ, อยํ สงฺขารเกลายโน นามฯ โย ปน เตสุ ทฺวีสุปิ วตฺถูสุ มชฺฌโตฺต อุทาสิโน, อยํ สตฺตสงฺขารมชฺฌโตฺต นามฯ อิติ อยํ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺค เอวรูปํ สตฺตสงฺขารเกลายนปุคฺคลํ อารกา ปริวชฺชนฺตสฺสาปิ, สตฺตสงฺขารมชฺฌตฺตปุคฺคลํ เสวนฺตสฺสาปิ, ฐานนิสชฺชาทีสุ ตทุปฺปาทนตฺถํ นินฺนโปณปพฺภารจิตฺตสฺสาปิ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปนฺนสฺส ปนสฺส อรหตฺตมเคฺคน ภาวนาปาริปูริ โหตีติ ปชานาติฯ

    Yo pana cīvarapattathālakakattarayaṭṭhiādīni mamāyati, aññassa hatthena parāmasitumpi na deti, tāvakālikaṃ yācito ‘‘mayampi idaṃ mamāyantā na paribhuñjāma, tumhākaṃ kiṃ dassāmā’’ti vadati, ayaṃ saṅkhārakelāyano nāma. Yo pana tesu dvīsupi vatthūsu majjhatto udāsino, ayaṃ sattasaṅkhāramajjhatto nāma. Iti ayaṃ upekkhāsambojjhaṅgo evarūpaṃ sattasaṅkhārakelāyanapuggalaṃ ārakā parivajjantassāpi, sattasaṅkhāramajjhattapuggalaṃ sevantassāpi, ṭhānanisajjādīsu taduppādanatthaṃ ninnapoṇapabbhāracittassāpi uppajjati. Evaṃ uppannassa panassa arahattamaggena bhāvanāpāripūri hotīti pajānāti.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา สตฺต สโมฺพชฺฌเงฺค ปริคฺคณฺหิตฺวา, ปรสฺส วา, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส สโมฺพชฺฌเงฺค ปริคฺคณฺหิตฺวา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ สโมฺพชฺฌงฺคานํ นิพฺพตฺตินิโรธวเสน เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ โพชฺฌงฺคปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา โพชฺฌงฺคปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํฯ เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā satta sambojjhaṅge pariggaṇhitvā, parassa vā, kālena vā attano, kālena vā parassa sambojjhaṅge pariggaṇhitvā dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha sambojjhaṅgānaṃ nibbattinirodhavasena veditabbā. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha bojjhaṅgapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā bojjhaṅgapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ. Sesaṃ tādisamevāti.

    โพชฺฌงฺคปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Bojjhaṅgapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    จตุสจฺจปพฺพวณฺณนา

    Catusaccapabbavaṇṇanā

    ๓๘๖. เอวํ สตฺตโพชฺฌงฺควเสน ธมฺมานุปสฺสนํ วิภชิตฺวา อิทานิ จตุสจฺจวเสน วิภชิตุํ ปุน จปรนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาตีติ ฐเปตฺวา ตณฺหํ เตภูมกธเมฺม ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติ ยถาสภาวโต ปชานาติ, ตเสฺสว โข ปน ทุกฺขสฺส ชนิกํ สมุฎฺฐาปิกํ ปุริมตณฺหํ ‘‘อยํ ทุกฺขสมุทโย’’ติ, อุภินฺนํ อปฺปวตฺตินิพฺพานํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรโธ’’ติ, ทุกฺขปริชานนํ สมุทยปชหนํ นิโรธสจฺฉิกรณํ อริยมคฺคํ ‘‘อยํ ทุกฺขนิโรธคามินิปฎิปทา’’ติ ยถาสภาวโต ปชานาตีติ อโตฺถฯ อวเสสา อริยสจฺจกถา ฐเปตฺวา ชาติอาทีนํ ปทภาชนกถํ วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาเยวฯ

    386. Evaṃ sattabojjhaṅgavasena dhammānupassanaṃ vibhajitvā idāni catusaccavasena vibhajituṃ puna caparantiādimāha. Tattha idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ pajānātīti ṭhapetvā taṇhaṃ tebhūmakadhamme ‘‘idaṃ dukkha’’nti yathāsabhāvato pajānāti, tasseva kho pana dukkhassa janikaṃ samuṭṭhāpikaṃ purimataṇhaṃ ‘‘ayaṃ dukkhasamudayo’’ti, ubhinnaṃ appavattinibbānaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodho’’ti, dukkhaparijānanaṃ samudayapajahanaṃ nirodhasacchikaraṇaṃ ariyamaggaṃ ‘‘ayaṃ dukkhanirodhagāminipaṭipadā’’ti yathāsabhāvato pajānātīti attho. Avasesā ariyasaccakathā ṭhapetvā jātiādīnaṃ padabhājanakathaṃ visuddhimagge vitthāritāyeva.

    ทุกฺขสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา

    Dukkhasaccaniddesavaṇṇanā

    ๓๘๘. ปทภาชเน ปน กตมา จ, ภิกฺขเว, ชาตีติ ภิกฺขเว, ยา ชาติปิ ทุกฺขาติ เอวํ วุตฺตา ชาติ, สา กตมาติ เอวํ สพฺพปุจฺฉาสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ยา เตสํ เตสํ สตฺตานนฺติ อิทํ ‘‘อิเมสํ นามา’’ติ นิยมาภาวโต สพฺพสตฺตานํ ปริยาทานวจนํฯ ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเยติ อิทมฺปิ สพฺพสตฺตนิกายปริยาทานวจนํ ชนนํ ชาติ สวิการานํ ปฐมาภินิพฺพตฺตกฺขนฺธานเมตํ อธิวจนํฯ สญฺชาตีติ อิทํ ตสฺสา เอว อุปสคฺคมณฺฑิตเววจนํฯ สา เอว อนุปวิฎฺฐากาเรน โอกฺกมนเฎฺฐน โอกฺกนฺติฯ นิพฺพตฺติสงฺขาเตน อภินิพฺพตฺตนเฎฺฐน อภินิพฺพตฺติฯ อิติ อยํ จตุพฺพิธาปิ สมฺมุติกถา นาม ฯ ขนฺธานํ ปาตุภาโวติ อยํ ปน ปรมตฺถกถาฯ เอกโวการภวาทีสุ เอกจตุปญฺจเภทานํ ขนฺธานํเยว ปาตุภาโว, น ปุคฺคลสฺส, ตสฺมิํ ปน สติ ปุคฺคโล ปาตุภูโตติ โวหารมตฺตํ โหติฯ อายตนานํ ปฎิลาโภติ อายตนานิ ปาตุภวนฺตาเนว ปฎิลทฺธานิ นาม โหนฺติ, โส เตสํ ปาตุภาวสงฺขาโต ปฎิลาโภติ อโตฺถฯ

    388. Padabhājane pana katamā ca, bhikkhave, jātīti bhikkhave, yā jātipi dukkhāti evaṃ vuttā jāti, sā katamāti evaṃ sabbapucchāsu attho veditabbo. Yā tesaṃ tesaṃ sattānanti idaṃ ‘‘imesaṃ nāmā’’ti niyamābhāvato sabbasattānaṃ pariyādānavacanaṃ. Tamhi tamhi sattanikāyeti idampi sabbasattanikāyapariyādānavacanaṃ jananaṃ jāti savikārānaṃ paṭhamābhinibbattakkhandhānametaṃ adhivacanaṃ. Sañjātīti idaṃ tassā eva upasaggamaṇḍitavevacanaṃ. Sā eva anupaviṭṭhākārena okkamanaṭṭhena okkanti. Nibbattisaṅkhātena abhinibbattanaṭṭhena abhinibbatti. Iti ayaṃ catubbidhāpi sammutikathā nāma . Khandhānaṃ pātubhāvoti ayaṃ pana paramatthakathā. Ekavokārabhavādīsu ekacatupañcabhedānaṃ khandhānaṃyeva pātubhāvo, na puggalassa, tasmiṃ pana sati puggalo pātubhūtoti vohāramattaṃ hoti. Āyatanānaṃ paṭilābhoti āyatanāni pātubhavantāneva paṭiladdhāni nāma honti, so tesaṃ pātubhāvasaṅkhāto paṭilābhoti attho.

    ๓๘๙. ชราติ สภาวนิเทฺทโสฯ ชีรณตาติ อาการภาวนิเทฺทโสฯ ขณฺฑิจฺจนฺติอาทิ วิการนิเทฺทโสฯ ทหรกาลสฺมิญฺหิ ทนฺตา สมเสตา โหนฺติฯ เตเยว ปริปจฺจเนฺต อนุกฺกเมน วณฺณวิการํ อาปชฺชิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปตฺตนฺติฯ อถ ปติตญฺจ ฐิตญฺจ อุปาทาย ขณฺฑิตทนฺตา ขณฺฑิตา นามฯ ขณฺฑิตานํ ภาโว ขณฺฑิจฺจนฺติ วุจฺจติฯ อนุกฺกเมน ปณฺฑรภูตานิ เกสโลมานิ ปลิตานิ นามฯ ปลิตานิ สญฺชาตานิ อสฺสาติ ปลิโต, ปลิตสฺส ภาโว ปาลิจฺจํฯ ชราวาตปฺปหาเรน โสสิตมํสโลหิตตาย วลิโย ตจสฺมิํ อสฺสาติ วลิตฺตโจ, ตสฺส ภาโว วลิตฺตจตาฯ เอตฺตาวตา ทนฺตเกสโลมตเจสุ วิการทสฺสนวเสน ปากฎีภูตา ปากฎชรา ทสฺสิตาฯ

    389.Jarāti sabhāvaniddeso. Jīraṇatāti ākārabhāvaniddeso. Khaṇḍiccantiādi vikāraniddeso. Daharakālasmiñhi dantā samasetā honti. Teyeva paripaccante anukkamena vaṇṇavikāraṃ āpajjitvā tattha tattha pattanti. Atha patitañca ṭhitañca upādāya khaṇḍitadantā khaṇḍitā nāma. Khaṇḍitānaṃ bhāvo khaṇḍiccanti vuccati. Anukkamena paṇḍarabhūtāni kesalomāni palitāni nāma. Palitāni sañjātāni assāti palito, palitassa bhāvo pāliccaṃ. Jarāvātappahārena sositamaṃsalohitatāya valiyo tacasmiṃ assāti valittaco, tassa bhāvo valittacatā. Ettāvatā dantakesalomatacesu vikāradassanavasena pākaṭībhūtā pākaṭajarā dassitā.

    ยเถว หิ อุทกสฺส วา วาตสฺส วา อคฺคิโน วา ติณรุกฺขาทีนํ สํภคฺคปลิภคฺคตาย วา ฌามตาย วา คตมโคฺค ปากโฎ โหติ, น จ โส คตมโคฺค ตาเนว อุทกาทีนิ, เอวเมว ชราย ทนฺตาทีนํ ขณฺฑิจฺจาทิวเสน คตมโคฺค ปากโฎ, จกฺขุํ อุมฺมิเลตฺวาปิ คยฺหติ, น จ ขณฺฑิจฺจาทีเนว ชราฯ น หิ ชรา จกฺขุวิเญฺญยฺยา โหติฯ ยสฺมา ปน ชรํ ปตฺตสฺส อายุ หายติ, ตสฺมา ชรา ‘‘อายุโน สํหานี’’ติ ผลูปจาเรน วุตฺตาฯ ยสฺมา ทหรกาเล สุปฺปสนฺนานิ สุขุมมฺปิ อตฺตโน วิสยํ สุเขเนว จ คณฺหนสมตฺถานิ จกฺขาทีนิ อินฺทฺริยานิ ชรํ ปตฺตสฺส ปริปกฺกานิ อาลุลิตานิ อวิสทานิ โอฬาริกมฺปิ อตฺตโน วิสยํ คเหตุํ อสมตฺถานิ โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘อินฺทฺริยานํ ปริปาโก’’ติปิ ผลูปจาเรเนว วุตฺตาฯ

    Yatheva hi udakassa vā vātassa vā aggino vā tiṇarukkhādīnaṃ saṃbhaggapalibhaggatāya vā jhāmatāya vā gatamaggo pākaṭo hoti, na ca so gatamaggo tāneva udakādīni, evameva jarāya dantādīnaṃ khaṇḍiccādivasena gatamaggo pākaṭo, cakkhuṃ ummiletvāpi gayhati, na ca khaṇḍiccādīneva jarā. Na hi jarā cakkhuviññeyyā hoti. Yasmā pana jaraṃ pattassa āyu hāyati, tasmā jarā ‘‘āyuno saṃhānī’’ti phalūpacārena vuttā. Yasmā daharakāle suppasannāni sukhumampi attano visayaṃ sukheneva ca gaṇhanasamatthāni cakkhādīni indriyāni jaraṃ pattassa paripakkāni ālulitāni avisadāni oḷārikampi attano visayaṃ gahetuṃ asamatthāni honti, tasmā ‘‘indriyānaṃ paripāko’’tipi phalūpacāreneva vuttā.

    ๓๙๐. มรณนิเทฺทเส นฺติ มรณํ สนฺธาย นปุํสกนิเทฺทโส, ยํ มรณํ จุตีติ วุจฺจติ, จวนตาติ วุจฺจตีติ อยเมตฺถ โยชนาฯ ตตฺถ จุตีติ สภาวนิเทฺทโสฯ จวนตาติ อาการภาวนิเทฺทโสฯ มรณํ ปตฺตสฺส ขนฺธา ภิชฺชนฺติ เจว อนฺตรธายนฺติ จ อทสฺสนํ คจฺฉนฺติ, ตสฺมา ตํ เภโท อนฺตรธานนฺติ วุจฺจติฯ มจฺจุมรณนฺติ มจฺจุมรณํ, น ขณิกมรณํฯ กาลกิริยาติ มรณกาลกิริยาฯ อยํ สพฺพาปิ สมฺมุติกถาวฯ ขนฺธานํ เภโทติ อยํ ปน ปรมตฺถกถาฯ เอกโวการภวาทีสุ เอกจตุปญฺจเภทานํ ขนฺธานํเยว เภโท, น ปุคฺคลสฺส, ตสฺมิํ ปน สติ ปุคฺคโล มโตติ โวหารมตฺตํ โหติฯ

    390. Maraṇaniddese yanti maraṇaṃ sandhāya napuṃsakaniddeso, yaṃ maraṇaṃ cutīti vuccati, cavanatāti vuccatīti ayamettha yojanā. Tattha cutīti sabhāvaniddeso. Cavanatāti ākārabhāvaniddeso. Maraṇaṃ pattassa khandhā bhijjanti ceva antaradhāyanti ca adassanaṃ gacchanti, tasmā taṃ bhedo antaradhānanti vuccati. Maccumaraṇanti maccumaraṇaṃ, na khaṇikamaraṇaṃ. Kālakiriyāti maraṇakālakiriyā. Ayaṃ sabbāpi sammutikathāva. Khandhānaṃ bhedoti ayaṃ pana paramatthakathā. Ekavokārabhavādīsu ekacatupañcabhedānaṃ khandhānaṃyeva bhedo, na puggalassa, tasmiṃ pana sati puggalo matoti vohāramattaṃ hoti.

    กเฬวรสฺส นิเกฺขโปติ อตฺตภาวสฺส นิเกฺขโปฯ มรณํ ปตฺตสฺส หิ นิรตฺถํว กลิงฺครํ อตฺตภาโว ปตติ, ตสฺมา ตํ กเฬวรสฺส นิเกฺขโปติ วุตฺตํฯ ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉโท ปน สพฺพาการโต ปรมตฺถโต มรณํฯ เอตเทว สมฺมุติมรณนฺติ ปิ วุจฺจติฯ ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทเมว หิ คเหตฺวา โลกิยา ‘‘ติโสฺส มโต, ผุโสฺส มโต’’ติ วทนฺติฯ

    Kaḷevarassa nikkhepoti attabhāvassa nikkhepo. Maraṇaṃ pattassa hi niratthaṃva kaliṅgaraṃ attabhāvo patati, tasmā taṃ kaḷevarassa nikkhepoti vuttaṃ. Jīvitindriyassa upacchedo pana sabbākārato paramatthato maraṇaṃ. Etadeva sammutimaraṇanti pi vuccati. Jīvitindriyupacchedameva hi gahetvā lokiyā ‘‘tisso mato, phusso mato’’ti vadanti.

    ๓๙๑. พฺยสเนนาติ ญาติพฺยสนาทีสุ เยน เกนจิ พฺยสเนนฯ ทุกฺขธเมฺมนาติ วธพนฺธาทินา ทุกฺขการเณนฯ ผุฎฺฐสฺสาติ อโชฺฌตฺถฎสฺส อภิภูตสฺสฯ โสโกติ โย ญาติพฺยสนาทีสุ วา วธพนฺธนาทีสุ วา อญฺญตรสฺมิํ สติ เตน อภิภูตสฺส อุปฺปชฺชติ โสจนลกฺขโณ โสโกฯ โสจิตตฺตนฺติ โสจิตภาโวฯ ยสฺมา ปเนส อพฺภนฺตเร โสเสโนฺต ปริโสเสโนฺต อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา อโนฺตโสโก อโนฺตปริโสโกติ วุจฺจติฯ

    391.Byasanenāti ñātibyasanādīsu yena kenaci byasanena. Dukkhadhammenāti vadhabandhādinā dukkhakāraṇena. Phuṭṭhassāti ajjhotthaṭassa abhibhūtassa. Sokoti yo ñātibyasanādīsu vā vadhabandhanādīsu vā aññatarasmiṃ sati tena abhibhūtassa uppajjati socanalakkhaṇo soko. Socitattanti socitabhāvo. Yasmā panesa abbhantare sosento parisosento uppajjati, tasmā antosoko antoparisokoti vuccati.

    ๓๙๒. ‘‘มยฺหํ ธีตา, มยฺหํ ปุโตฺต’’ติ เอวํ อาทิสฺส อาทิสฺส เทวนฺติ ปริเทวนฺติ เอเตนาติ อาเทโวฯ ตํ ตํ วณฺณํ ปริกิเตฺตตฺวา เทวนฺติ เอเตนาติ ปริเทโวฯ ตโต ปรา เทฺว ตเสฺสว ภาวนิเทฺทสาฯ

    392. ‘‘Mayhaṃ dhītā, mayhaṃ putto’’ti evaṃ ādissa ādissa devanti paridevanti etenāti ādevo. Taṃ taṃ vaṇṇaṃ parikittetvā devanti etenāti paridevo. Tato parā dve tasseva bhāvaniddesā.

    ๓๙๓. กายิกนฺติ กายปสาทวตฺถุกํฯ ทุกฺขมนเฎฺฐน ทุกฺขํฯ อสาตนฺติ อมธุรํฯ กายสมฺผสฺสชํ ทุกฺขนฺติ กายสมฺผสฺสโต ชาตํ ทุกฺขํฯ อสาตํ เวทยิตนฺติ อมธุรํ เวทยิตํฯ

    393.Kāyikanti kāyapasādavatthukaṃ. Dukkhamanaṭṭhena dukkhaṃ. Asātanti amadhuraṃ. Kāyasamphassajaṃ dukkhanti kāyasamphassato jātaṃ dukkhaṃ. Asātaṃ vedayitanti amadhuraṃ vedayitaṃ.

    ๓๙๔. เจตสิกนฺติ จิตฺตสมฺปยุตฺตํฯ เสสํ ทุเกฺข วุตฺตนยเมวฯ

    394.Cetasikanti cittasampayuttaṃ. Sesaṃ dukkhe vuttanayameva.

    ๓๙๕. อายาโสติ สํสีทนวิสีทนาการปฺปโตฺต จิตฺตกิลมโถฯ พลวตรํ อายาโส อุปายาโสฯ ตโต ปรา เทฺว อตฺตตฺตนิยาภาวทีปกา ภาวนิเทฺทสาฯ

    395.Āyāsoti saṃsīdanavisīdanākārappatto cittakilamatho. Balavataraṃ āyāso upāyāso. Tato parā dve attattaniyābhāvadīpakā bhāvaniddesā.

    ๓๙๘. ชาติธมฺมานนฺติ ชาติสภาวานํฯ อิจฺฉา อุปฺปชฺชตีติ ตณฺหา อุปฺปชฺชติฯ อโห วตาติ ปตฺถนาฯ น โข ปเนตํ อิจฺฉายาติ เอวํ ชาติยา อนาคมนํ วินา มคฺคภาวนํ น อิจฺฉาย ปตฺตพฺพํฯ อิทมฺปีติ เอตมฺปิ อุปริ เสสานิ อุปาทาย ปิกาโรฯ ยมฺปิจฺฉนฺติ เยนปิ ธเมฺมน อลพฺภเนยฺยวตฺถุํ อิจฺฉโนฺต น ลภติ, ตํ อลพฺภเนยฺย วตฺถุมฺหิ อิจฺฉนํ ทุกฺขํฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    398.Jātidhammānanti jātisabhāvānaṃ. Icchā uppajjatīti taṇhā uppajjati. Aho vatāti patthanā. Na kho panetaṃ icchāyāti evaṃ jātiyā anāgamanaṃ vinā maggabhāvanaṃ na icchāya pattabbaṃ. Idampīti etampi upari sesāni upādāya pikāro. Yampicchanti yenapi dhammena alabbhaneyyavatthuṃ icchanto na labhati, taṃ alabbhaneyya vatthumhi icchanaṃ dukkhaṃ. Esa nayo sabbattha.

    ๓๙๙. ขนฺธนิเทฺทเส รูปญฺจ ตํ อุปาทานกฺขโนฺธ จาติ รูปุปาทานกฺขโนฺธ เอวํ สพฺพตฺถฯ

    399. Khandhaniddese rūpañca taṃ upādānakkhandho cāti rūpupādānakkhandho evaṃ sabbattha.

    สมุทยสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา

    Samudayasaccaniddesavaṇṇanā

    ๔๐๐. ยายํ ตณฺหาติ ยา อยํ ตณฺหาฯ โปโนพฺภวิกาติ ปุนพฺภวกรณํ ปุโนพฺภโว, ปุโนพฺภโว สีลํ อสฺสาติ โปโนพฺภวิกาฯ นนฺทีราเคน สห คตาติ นนฺทีราคสหคตาฯ นนฺทีราเคน สทฺธิํ อตฺถโต เอกตฺตเมว คตาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺรตตฺราภินนฺทินีติ ยตฺร ยตฺร อตฺตภาโว, ตตฺร ตตฺร อภินนฺทินีฯ รูปาทีสุ วา อารมฺมเณสุ ตตฺร ตตฺร อภินนฺทินี, รูปาภินนฺทินี สทฺท, คนฺธ, รส, โผฎฺฐพฺพ, ธมฺมาภินนฺทินีติ อโตฺถฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโตฯ ตสฺส สา กตมา เจติ อโตฺถฯ กาเม ตณฺหา กามตณฺหา, ปญฺจกามคุณิกราคเสฺสตํ นามํฯ ภเว ตณฺหา ภวตณฺหา, ภวปตฺถนาวเสน อุปฺปนฺนสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสหคตสฺส รูปารูปภวราคสฺส จ ฌานนิกนฺติยา เจตํ อธิวจนํฯ วิภเว ตณฺหา วิภวตณฺหา, อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคตราคเสฺสตํ อธิวจนํฯ

    400.Yāyaṃ taṇhāti yā ayaṃ taṇhā. Ponobbhavikāti punabbhavakaraṇaṃ punobbhavo, punobbhavo sīlaṃ assāti ponobbhavikā. Nandīrāgena saha gatāti nandīrāgasahagatā. Nandīrāgena saddhiṃ atthato ekattameva gatāti vuttaṃ hoti. Tatratatrābhinandinīti yatra yatra attabhāvo, tatra tatra abhinandinī. Rūpādīsu vā ārammaṇesu tatra tatra abhinandinī, rūpābhinandinī sadda, gandha, rasa, phoṭṭhabba, dhammābhinandinīti attho. Seyyathidanti nipāto. Tassa sā katamā ceti attho. Kāme taṇhā kāmataṇhā, pañcakāmaguṇikarāgassetaṃ nāmaṃ. Bhave taṇhā bhavataṇhā, bhavapatthanāvasena uppannassa sassatadiṭṭhisahagatassa rūpārūpabhavarāgassa ca jhānanikantiyā cetaṃ adhivacanaṃ. Vibhave taṇhā vibhavataṇhā, ucchedadiṭṭhisahagatarāgassetaṃ adhivacanaṃ.

    อิทานิ ตสฺสา ตณฺหาย วตฺถุํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ สา โข ปเนสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชตีติ ชายติฯ นิวิสตีติ ปุนปฺปุนํ ปวตฺติวเสน ปติฎฺฐหติฯ ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปนฺติ ยํ โลกสฺมิํ ปิยสภาวเญฺจว มธุรสภาวญฺจฯ จกฺขุ โลเกติอาทีสุ โลกสฺมิญฺหิ จกฺขาทีสุ มมเตฺตน อภินิวิฎฺฐา สตฺตา สมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐิตา อตฺตโน จกฺขุํ อาทาสตลาทีสุ นิมิตฺตคฺคหณานุสาเรน วิปฺปสนฺนํ ปญฺจปสาทํ สุวณฺณวิมาเน อุคฺฆาฎิตมณิสีหปญฺชรํ วิย มญฺญนฺติ, โสตํ รชตปนาฬิกํ วิย, ปามงฺคสุตฺตํ วิย จ มญฺญนฺติ, ‘‘ตุงฺคนาสา’’ติ ลทฺธโวหารํ ฆานํ วฎฺฎิตฺวา ฐปิตหริตาลวฎฺฎํ วิย มญฺญนฺติ, ชิวฺหํ รตฺตกมฺพลปฎลํ วิย มุทุสินิทฺธมธุรสทํ มญฺญนฺติ, กายํ สาลลฎฺฐิํ วิย, สุวณฺณโตรณํ วิย จ มญฺญนฺติ, มนํ อเญฺญสํ มเนน อสทิสํ อุฬารํ มญฺญนฺติฯ รูปํ สุวณฺณกณิการปุปฺผาทิวณฺณํ วิย, สทฺทํ มตฺตกรวีก โกกิลมนฺทธมิตมณิวํสนิโคฺฆสํ วิย, อตฺตนา ปฎิลทฺธานิ จตุสมุฎฺฐานิกคนฺธารมฺมณาทีนิ ‘‘กสฺสญฺญสฺส เอวรูปานิ อตฺถี’’ติ มญฺญนฺติฯ เตสํ เอวํ มญฺญมานานํ ตานิ จกฺขาทีนิ ปิยรูปานิ เจว สาตรูปานิ จ โหนฺติฯ อถ เนสํ ตตฺถ อนุปฺปนฺนา เจว ตณฺหา อุปฺปชฺชติ , อุปฺปนฺนา จ ตณฺหา ปุนปฺปุนํ ปวตฺติวเสน นิวิสติฯ ตสฺมา ภควา ‘‘จกฺขุ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชมานาติ ยทา อุปฺปชฺชมานา โหติ, ตทา เอตฺถ อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ

    Idāni tassā taṇhāya vatthuṃ vitthārato dassetuṃ sā kho panesātiādimāha. Tattha uppajjatīti jāyati. Nivisatīti punappunaṃ pavattivasena patiṭṭhahati. Yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpanti yaṃ lokasmiṃ piyasabhāvañceva madhurasabhāvañca. Cakkhu loketiādīsu lokasmiñhi cakkhādīsu mamattena abhiniviṭṭhā sattā sampattiyaṃ patiṭṭhitā attano cakkhuṃ ādāsatalādīsu nimittaggahaṇānusārena vippasannaṃ pañcapasādaṃ suvaṇṇavimāne ugghāṭitamaṇisīhapañjaraṃ viya maññanti, sotaṃ rajatapanāḷikaṃ viya, pāmaṅgasuttaṃ viya ca maññanti, ‘‘tuṅganāsā’’ti laddhavohāraṃ ghānaṃ vaṭṭitvā ṭhapitaharitālavaṭṭaṃ viya maññanti, jivhaṃ rattakambalapaṭalaṃ viya mudusiniddhamadhurasadaṃ maññanti, kāyaṃ sālalaṭṭhiṃ viya, suvaṇṇatoraṇaṃ viya ca maññanti, manaṃ aññesaṃ manena asadisaṃ uḷāraṃ maññanti. Rūpaṃ suvaṇṇakaṇikārapupphādivaṇṇaṃ viya, saddaṃ mattakaravīka kokilamandadhamitamaṇivaṃsanigghosaṃ viya, attanā paṭiladdhāni catusamuṭṭhānikagandhārammaṇādīni ‘‘kassaññassa evarūpāni atthī’’ti maññanti. Tesaṃ evaṃ maññamānānaṃ tāni cakkhādīni piyarūpāni ceva sātarūpāni ca honti. Atha nesaṃ tattha anuppannā ceva taṇhā uppajjati , uppannā ca taṇhā punappunaṃ pavattivasena nivisati. Tasmā bhagavā ‘‘cakkhu loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjatī’’tiādimāha. Tattha uppajjamānāti yadā uppajjamānā hoti, tadā ettha uppajjatīti attho. Esa nayo sabbattha.

    นิโรธสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา

    Nirodhasaccaniddesavaṇṇanā

    ๔๐๑. อเสสวิราคนิโรโธติอาทีนิ สพฺพานิ นิพฺพานเววจนาเนวฯ นิพฺพานญฺหิ อาคมฺม ตณฺหา อเสสา วิรชฺชติ นิรุชฺฌติ, ตสฺมา ตํ ‘‘ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ’’ติ วุจฺจติฯ นิพฺพานญฺจ อาคมฺม ตณฺหา จชิยติ ปฎินิสฺสชฺชิยติ วิมุจฺจติ น อลฺลียติ, ตสฺมา นิพฺพานํ ‘‘จาโค ปฎินิสฺสโคฺค มุตฺติ อนาลโย’’ติ วุจฺจติฯ เอกเมว หิ นิพฺพานํ, นามานิ ปนสฺส สพฺพสงฺขตานํ นามปฎิปกฺขวเสน อเนกานิ โหนฺติฯ เสยฺยถิทํ, อเสสวิราโค อเสสนิโรโธ จาโค ปฎินิสฺสโคฺค มุตฺติ อนาลโย ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย ตณฺหกฺขโย อนุปฺปาโท อปฺปวตฺตํ อนิมิตฺตํ อปฺปณิหิตํ อนายูหนํ อปฺปฎิสนฺธิ อนุปปตฺติ อคติ อชาตํ อชรํ อพฺยาธิ อมตํ อโสกํ อปริเทวํ อนุปายาสํ อสํกิลิฎฺฐนฺติฯ

    401.Asesavirāganirodhotiādīni sabbāni nibbānavevacanāneva. Nibbānañhi āgamma taṇhā asesā virajjati nirujjhati, tasmā taṃ ‘‘tassāyeva taṇhāya asesavirāganirodho’’ti vuccati. Nibbānañca āgamma taṇhā cajiyati paṭinissajjiyati vimuccati na allīyati, tasmā nibbānaṃ ‘‘cāgo paṭinissaggo mutti anālayo’’ti vuccati. Ekameva hi nibbānaṃ, nāmāni panassa sabbasaṅkhatānaṃ nāmapaṭipakkhavasena anekāni honti. Seyyathidaṃ, asesavirāgo asesanirodho cāgo paṭinissaggo mutti anālayo rāgakkhayo dosakkhayo mohakkhayo taṇhakkhayo anuppādo appavattaṃ animittaṃ appaṇihitaṃ anāyūhanaṃ appaṭisandhi anupapatti agati ajātaṃ ajaraṃ abyādhi amataṃ asokaṃ aparidevaṃ anupāyāsaṃ asaṃkiliṭṭhanti.

    อิทานิ มเคฺคน ฉินฺนาย นิพฺพานํ อาคมฺม อปฺปวตฺติปตฺตายปิ จ ตณฺหาย เยสุ วตฺถูสุ ตสฺสา อุปฺปตฺติ ทสฺสิตา, ตเตฺถว อภาวํ ทเสฺสตุํ สา โข ปเนสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถา ปุริโส เขเตฺต ชาตํ ติตฺตอลาพุวลฺลิํ ทิสฺวา อคฺคโต ปฎฺฐาย มูลํ ปริเยสิตฺวา ฉิเนฺทยฺย, สา อนุปุเพฺพน มิลายิตฺวา อปญฺญตฺติํ คเจฺฉยฺยฯ ตโต ตสฺมิํ เขเตฺต ติตฺตอลาพุ นิรุทฺธา ปหีนาติ วุเจฺจยฺย, เอวเมว เขเตฺต ติตฺตอลาพุ วิย จกฺขาทีสุ ตณฺหาฯ สา อริยมเคฺคน มูลจฺฉินฺนา นิพฺพานํ อาคมฺม อปฺปวตฺติํ คจฺฉติฯ เอวํ คตา ปน เตสุ วตฺถูสุ เขเตฺต ติตฺตอลาพุ วิย น ปญฺญายติฯ

    Idāni maggena chinnāya nibbānaṃ āgamma appavattipattāyapi ca taṇhāya yesu vatthūsu tassā uppatti dassitā, tattheva abhāvaṃ dassetuṃ sā kho panesātiādimāha. Tattha yathā puriso khette jātaṃ tittaalābuvalliṃ disvā aggato paṭṭhāya mūlaṃ pariyesitvā chindeyya, sā anupubbena milāyitvā apaññattiṃ gaccheyya. Tato tasmiṃ khette tittaalābu niruddhā pahīnāti vucceyya, evameva khette tittaalābu viya cakkhādīsu taṇhā. Sā ariyamaggena mūlacchinnā nibbānaṃ āgamma appavattiṃ gacchati. Evaṃ gatā pana tesu vatthūsu khette tittaalābu viya na paññāyati.

    ยถา จ อฎวิโต โจเร อาเนตฺวา นครสฺส ทกฺขิณทฺวาเร ฆาเตยฺยุํ, ตโต อฎวิยํ โจรา มตาติ วา มาริตาติ วา วุเจฺจยฺยุํ, เอวํ อฎวิยํ โจรา วิย จกฺขาทีสุ ตณฺหาฯ สา ทกฺขิณทฺวาเร โจรา วิย นิพฺพานํ อาคมฺม นิรุทฺธตฺตา นิพฺพาเน นิรุทฺธาฯ เอวํ นิรุทฺธา ปเนเตสุ วตฺถูสุ อฎวิยํ โจรา วิย น ปญฺญายติ, เตนสฺสา ตเตฺถว นิโรธํ ทเสฺสโนฺต ‘‘จกฺขุ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา ปหียมานา ปหียติ, เอตฺถ นิรุชฺฌมานา นิรุชฺฌตี’’ติอาทิมาหฯ

    Yathā ca aṭavito core ānetvā nagarassa dakkhiṇadvāre ghāteyyuṃ, tato aṭaviyaṃ corā matāti vā māritāti vā vucceyyuṃ, evaṃ aṭaviyaṃ corā viya cakkhādīsu taṇhā. Sā dakkhiṇadvāre corā viya nibbānaṃ āgamma niruddhattā nibbāne niruddhā. Evaṃ niruddhā panetesu vatthūsu aṭaviyaṃ corā viya na paññāyati, tenassā tattheva nirodhaṃ dassento ‘‘cakkhu loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā pahīyamānā pahīyati, ettha nirujjhamānā nirujjhatī’’tiādimāha.

    มคฺคสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา

    Maggasaccaniddesavaṇṇanā

    ๔๐๒. อยเมวาติ อญฺญมคฺคปฎิเกฺขปนตฺถํ นิยมนํฯ อริโยติ ตํ ตํ มคฺควเชฺฌหิ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริยภาวกรตฺตา จ อริโยฯ ทุเกฺข ญาณนฺติอาทินา จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ ทสฺสิตํฯ ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว สจฺจานิ วฎฺฎํ, ปจฺฉิมานิ วิวฎฺฎํฯ เตสุ ภิกฺขุโน วเฎฺฎ กมฺมฎฺฐานาภินิเวโส โหติ, วิวเฎฺฎ นตฺถิ อภินิเวโสฯ ปุริมานิ หิ เทฺว สจฺจานิ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ, ตณฺหา สมุทโย’’ติ เอวํ สเงฺขเปน จ ‘‘กตเม ปญฺจกฺขนฺธา, รูปกฺขโนฺธ’’ติอาทินา นเยน วิตฺถาเรน จ อาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิตฺวา วาจาย ปุนปฺปุนํ ปริวเตฺตโนฺต โยคาวจโร กมฺมํ กโรติฯ อิตเรสุ ปน ทฺวีสุ สเจฺจสุ นิโรธสจฺจํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปํ, มคฺคสจฺจํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปนฺติ เอวํ สวเนน กมฺมํ กโรติฯ โส เอวํ กโรโนฺต จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฎิเวเธเนว ปฎิวิชฺฌติ เอกาภิสมเยน อภิสเมติฯ ทุกฺขํ ปริญฺญาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ, สมุทยํ ปหานปฎิเวเธน, นิโรธํ สจฺฉิกิริยาปฎิเวเธน, มคฺคํ ภาวนาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติฯ ทุกฺขํ ปริญฺญาภิสมเยน…เป.… มคฺคํ ภาวนาภิสมเยน อภิสเมติฯ เอวมสฺส ปุพฺพภาเค ทฺวีสุ สเจฺจสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาสวนธารณสมฺมสนปฎิเวโธ โหติ, ทฺวีสุ ปน สวนปฎิเวโธเยวฯ อปรภาเค ตีสุ กิจฺจโต ปฎิเวโธ โหติ, นิโรเธ อารมฺมณปฎิเวโธฯ ปจฺจเวกฺขณา ปน ปตฺตสจฺจสฺส โหติฯ อยญฺจ อาทิกมฺมิโก, ตสฺมา สา อิธ น วุตฺตาฯ

    402.Ayamevāti aññamaggapaṭikkhepanatthaṃ niyamanaṃ. Ariyoti taṃ taṃ maggavajjhehi kilesehi ārakattā ariyabhāvakarattā ca ariyo. Dukkhe ñāṇantiādinā catusaccakammaṭṭhānaṃ dassitaṃ. Tattha purimāni dve saccāni vaṭṭaṃ, pacchimāni vivaṭṭaṃ. Tesu bhikkhuno vaṭṭe kammaṭṭhānābhiniveso hoti, vivaṭṭe natthi abhiniveso. Purimāni hi dve saccāni ‘‘pañcakkhandhā dukkhaṃ, taṇhā samudayo’’ti evaṃ saṅkhepena ca ‘‘katame pañcakkhandhā, rūpakkhandho’’tiādinā nayena vitthārena ca ācariyassa santike uggaṇhitvā vācāya punappunaṃ parivattento yogāvacaro kammaṃ karoti. Itaresu pana dvīsu saccesu nirodhasaccaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpaṃ, maggasaccaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpanti evaṃ savanena kammaṃ karoti. So evaṃ karonto cattāri saccāni ekapaṭivedheneva paṭivijjhati ekābhisamayena abhisameti. Dukkhaṃ pariññāpaṭivedhena paṭivijjhati, samudayaṃ pahānapaṭivedhena, nirodhaṃ sacchikiriyāpaṭivedhena, maggaṃ bhāvanāpaṭivedhena paṭivijjhati. Dukkhaṃ pariññābhisamayena…pe… maggaṃ bhāvanābhisamayena abhisameti. Evamassa pubbabhāge dvīsu saccesu uggahaparipucchāsavanadhāraṇasammasanapaṭivedho hoti, dvīsu pana savanapaṭivedhoyeva. Aparabhāge tīsu kiccato paṭivedho hoti, nirodhe ārammaṇapaṭivedho. Paccavekkhaṇā pana pattasaccassa hoti. Ayañca ādikammiko, tasmā sā idha na vuttā.

    อิมสฺส จ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ ปริคฺคหโต ‘‘ทุกฺขํ ปริชานามิ, สมุทยํ ปชหามิ, นิโรธํ สจฺฉิกโรมิ, มคฺคํ ภาเวมี’’ติ อาโภคสมนฺนาหารมนสิการปจฺจเวกฺขณา นตฺถิ, ปริคฺคหโต ปฎฺฐาย โหติฯ อปรภาเค ปน ทุกฺขํ ปริญฺญาตเมว…เป.… มโคฺค ภาวิโตว โหติฯ ตตฺถ เทฺว สจฺจานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิ, เทฺว คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสานิฯ ทุกฺขสจฺจญฺหิ อุปฺปตฺติโต ปากฎํ, ขาณุกณฺฎกปหาราทีสุ ‘‘อโห ทุกฺข’’นฺติ วตฺตพฺพตมฺปิ อาปชฺชติฯ สมุทยมฺปิ ขาทิตุกามตาภุญฺชิตุกามตาทิวเสน อุปฺปตฺติโต ปากฎํฯ ลกฺขณปฎิเวธโต ปน อุภยมฺปิ คมฺภีรํฯ อิติ ตานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิฯ อิตเรสํ ปน ทฺวินฺนํ ทสฺสนตฺถาย ปโยโค ภวคฺคคหณตฺถํ หตฺถปฺปสารณํ วิย อวีจิผุสนตฺถํ ปาทปฺปสารณํ วิย สตธา ภินฺนสฺส วาลสฺส โกฎิยา โกฎิปาทนํ วิย จ โหติฯ อิติ ตานิ คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสานิฯ เอวํ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีเรสุ คมฺภีรตฺตา จ ทุทฺทเสสุ จตูสุ สเจฺจสุ อุคฺคหาทิวเสน ปุพฺพภาคญาณุปฺปตฺติํ สนฺธาย อิทํ ทุเกฺข ญาณนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปฎิเวธกฺขเณ ปน เอกเมว ตํ ญาณํ โหติฯ

    Imassa ca bhikkhuno pubbe pariggahato ‘‘dukkhaṃ parijānāmi, samudayaṃ pajahāmi, nirodhaṃ sacchikaromi, maggaṃ bhāvemī’’ti ābhogasamannāhāramanasikārapaccavekkhaṇā natthi, pariggahato paṭṭhāya hoti. Aparabhāge pana dukkhaṃ pariññātameva…pe… maggo bhāvitova hoti. Tattha dve saccāni duddasattā gambhīrāni, dve gambhīrattā duddasāni. Dukkhasaccañhi uppattito pākaṭaṃ, khāṇukaṇṭakapahārādīsu ‘‘aho dukkha’’nti vattabbatampi āpajjati. Samudayampi khāditukāmatābhuñjitukāmatādivasena uppattito pākaṭaṃ. Lakkhaṇapaṭivedhato pana ubhayampi gambhīraṃ. Iti tāni duddasattā gambhīrāni. Itaresaṃ pana dvinnaṃ dassanatthāya payogo bhavaggagahaṇatthaṃ hatthappasāraṇaṃ viya avīciphusanatthaṃ pādappasāraṇaṃ viya satadhā bhinnassa vālassa koṭiyā koṭipādanaṃ viya ca hoti. Iti tāni gambhīrattā duddasāni. Evaṃ duddasattā gambhīresu gambhīrattā ca duddasesu catūsu saccesu uggahādivasena pubbabhāgañāṇuppattiṃ sandhāya idaṃ dukkhe ñāṇantiādi vuttaṃ. Paṭivedhakkhaṇe pana ekameva taṃ ñāṇaṃ hoti.

    เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทโย กามพฺยาปาทวิหิํสาวิรมณสญฺญานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ อุปฺปนฺนสฺส อกุสลสงฺกปฺปสฺส ปทปเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมาโน เอโกว กุสลสงฺกโปฺป อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาสงฺกโปฺป นามฯ

    Nekkhammasaṅkappādayo kāmabyāpādavihiṃsāviramaṇasaññānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana imesu tīsu ṭhānesu uppannassa akusalasaṅkappassa padapacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamāno ekova kusalasaṅkappo uppajjati. Ayaṃ sammāsaṅkappo nāma.

    มุสาวาทาเวรมณิอาทโยปิ มุสาวาทาทีหิ วิรมณสญฺญานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ อุปฺปนฺนาย อกุสลทุสฺสีลฺยเจตนาย ปทปเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว กุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาวาจา นาม ฯ

    Musāvādāveramaṇiādayopi musāvādādīhi viramaṇasaññānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana imesu catūsu ṭhānesu uppannāya akusaladussīlyacetanāya padapacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva kusalaveramaṇī uppajjati. Ayaṃ sammāvācā nāma .

    ปาณาติปาตาเวรมณิอาทโยปิ ปาณาติปาตาทีหิ วิรมณสญฺญานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ อุปฺปนฺนาย อกุสลทุสฺสีลฺยเจตนาย อกิริยโต ปทปเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว กุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติ, อยํ สมฺมากมฺมโนฺต นามฯ

    Pāṇātipātāveramaṇiādayopi pāṇātipātādīhi viramaṇasaññānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana imesu tīsu ṭhānesu uppannāya akusaladussīlyacetanāya akiriyato padapacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva kusalaveramaṇī uppajjati, ayaṃ sammākammanto nāma.

    มิจฺฉาอาชีวนฺติ ขาทนียโภชนียาทีนํ อตฺถาย ปวตฺติตํ กายวจีทุจฺจริตํฯ ปหายาติ วเชฺชตฺวาฯ สมฺมาอาชีเวนาติ พุทฺธปสเตฺถน อาชีเวนฯ ชีวิตํ กเปฺปตีติ ชีวิตปฺปวตฺติํ ปวเตฺตติฯ สมฺมาอาชีโวปิ กุหนาทีหิ วิรมณสญฺญานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุเยว สตฺตสุ ฐาเนสุ อุปฺปนฺนาย มิจฺฉาชีวทุสฺสีลฺยเจตนาย ปทปเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว กุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติ, อยํ สมฺมาอาชีโว นามฯ

    Micchāājīvanti khādanīyabhojanīyādīnaṃ atthāya pavattitaṃ kāyavacīduccaritaṃ. Pahāyāti vajjetvā. Sammāājīvenāti buddhapasatthena ājīvena. Jīvitaṃ kappetīti jīvitappavattiṃ pavatteti. Sammāājīvopi kuhanādīhi viramaṇasaññānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana imesuyeva sattasu ṭhānesu uppannāya micchājīvadussīlyacetanāya padapacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva kusalaveramaṇī uppajjati, ayaṃ sammāājīvo nāma.

    อนุปฺปนฺนานนฺติ เอกสฺมิํ วา ภเว ตถารูเป วา อารมฺมเณ อตฺตโน น อุปฺปนฺนานํฯ ปรสฺส ปน อุปฺปชฺชมาเน ทิสฺวา ‘‘อโห วต เม เอวรูปา ปาปกา อกุสลธมฺมา น อุปฺปเชฺชยฺยุ’’นฺติ เอวํ อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทายฯ ฉนฺทํ ชเนตีติ เตสํ อนุปฺปาทกปฎิปตฺติสาธกํ วีริยฉนฺทํ ชเนติฯ วายมตีติ วายามํ กโรติฯ วีริยํ อารภตีติ วีริยํ ปวเตฺตติฯ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาตีติ วีริเยน จิตฺตํ ปคฺคหิตํ กโรติฯ ปทหตีติ กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฎฺฐิ จ อวสิสฺสตูติ ปทหนํ ปวเตฺตติฯ

    Anuppannānanti ekasmiṃ vā bhave tathārūpe vā ārammaṇe attano na uppannānaṃ. Parassa pana uppajjamāne disvā ‘‘aho vata me evarūpā pāpakā akusaladhammā na uppajjeyyu’’nti evaṃ anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya. Chandaṃ janetīti tesaṃ anuppādakapaṭipattisādhakaṃ vīriyachandaṃ janeti. Vāyamatīti vāyāmaṃ karoti. Vīriyaṃ ārabhatīti vīriyaṃ pavatteti. Cittaṃ paggaṇhātīti vīriyena cittaṃ paggahitaṃ karoti. Padahatīti kāmaṃ taco ca nhāru ca aṭṭhi ca avasissatūti padahanaṃ pavatteti.

    อุปฺปนฺนานนฺติ สมุทาจารวเสน อตฺตโน อุปฺปนฺนปุพฺพานํฯ อิทานิ ตาทิเส น อุปฺปาเทสฺสามีติ เตสํ ปหานาย ฉนฺทํ ชเนติฯ อนุปฺปนฺนานํ กุสลานนฺติ อปฺปฎิลทฺธานํ ปฐมชฺฌานาทีนํฯ อุปฺปนฺนานนฺติ เตสํเยว ปฎิลทฺธานํฯ ฐิติยาติ ปุนปฺปุนํ อุปฺปตฺติปพนฺธวเสน ฐิตตฺถํฯ อสโมฺมสายาติ อวินาสนตฺถํฯ ภิโยฺยภาวายาติ อุปริภาวายฯ เวปุลฺลายาติ วิปุลภาวายฯ ภาวนาย ปาริปูริยาติ ภาวนาย ปริปูรณตฺถํฯ อยมฺปิ สมฺมาวายาโม อนุปฺปนฺนานํ อกุสลานํ อนุปฺปาทนาทิจิตฺตานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุเยว จตูสุ ฐาเนสุ กิจฺจสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานํ เอกเมว กุสลวีริยํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาวายาโม นามฯ

    Uppannānanti samudācāravasena attano uppannapubbānaṃ. Idāni tādise na uppādessāmīti tesaṃ pahānāya chandaṃ janeti. Anuppannānaṃ kusalānanti appaṭiladdhānaṃ paṭhamajjhānādīnaṃ. Uppannānanti tesaṃyeva paṭiladdhānaṃ. Ṭhitiyāti punappunaṃ uppattipabandhavasena ṭhitatthaṃ. Asammosāyāti avināsanatthaṃ. Bhiyyobhāvāyāti uparibhāvāya. Vepullāyāti vipulabhāvāya. Bhāvanāya pāripūriyāti bhāvanāya paripūraṇatthaṃ. Ayampi sammāvāyāmo anuppannānaṃ akusalānaṃ anuppādanādicittānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana imesuyeva catūsu ṭhānesu kiccasādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānaṃ ekameva kusalavīriyaṃ uppajjati. Ayaṃ sammāvāyāmo nāma.

    สมฺมาสติปิ กายาทิปริคฺคาหกจิตฺตานํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา, มคฺคกฺขเณ ปน จตูสุ ฐาเนสุ กิจฺจสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว สติ อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาสติ นามฯ

    Sammāsatipi kāyādipariggāhakacittānaṃ nānattā pubbabhāge nānā, maggakkhaṇe pana catūsu ṭhānesu kiccasādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva sati uppajjati. Ayaṃ sammāsati nāma.

    ฌานานิ ปุพฺพภาเคปิ มคฺคกฺขเณปิ นานา, ปุพฺพภาเค สมาปตฺติวเสน นานา, มคฺคกฺขเณ นานามคฺควเสนฯ เอกสฺส หิ ปฐมมโคฺค ปฐมชฺฌานิโก โหติ, ทุติยมคฺคาทโยปิ ปฐมชฺฌานิกา วา ทุติยชฺฌานาทีสุ อญฺญตรฌานิกา วาฯ เอกสฺสปิ ปฐมมโคฺค ทุติยาทีนํ อญฺญตรฌานิโก โหติ, ทุติยาทโยปิ ทุติยาทีนํ อญฺญตรชฺฌานิกา วา ปฐมชฺฌานิกา วาฯ เอวํ จตฺตาโรปิ มคฺคา ฌานวเสน สทิสา วา อสทิสา วา เอกจฺจสทิสา วา โหนฺติฯ อยํ ปนสฺส วิเสโส ปาทกชฺฌานนิยเมน โหติฯ

    Jhānāni pubbabhāgepi maggakkhaṇepi nānā, pubbabhāge samāpattivasena nānā, maggakkhaṇe nānāmaggavasena. Ekassa hi paṭhamamaggo paṭhamajjhāniko hoti, dutiyamaggādayopi paṭhamajjhānikā vā dutiyajjhānādīsu aññatarajhānikā vā. Ekassapi paṭhamamaggo dutiyādīnaṃ aññatarajhāniko hoti, dutiyādayopi dutiyādīnaṃ aññatarajjhānikā vā paṭhamajjhānikā vā. Evaṃ cattāropi maggā jhānavasena sadisā vā asadisā vā ekaccasadisā vā honti. Ayaṃ panassa viseso pādakajjhānaniyamena hoti.

    ปาทกชฺฌานนิยเมน ตาว ปฐมชฺฌานลาภิโน ปฐมชฺฌานา วุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน มโคฺค ปฐมชฺฌานิโก โหติฯ มคฺคงฺคโพชฺฌงฺคานิ ปเนตฺถ ปริปุณฺณาเนว โหนฺติฯ ทุติยชฺฌานโต วุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน ทุติยชฺฌานิโก โหติฯ มคฺคงฺคานิ ปเนตฺถ สตฺต โหนฺติฯ ตติยชฺฌานโต วุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน ตติยชฺฌานิโกฯ มคฺคงฺคานิ ปเนตฺถ สตฺต , โพชฺฌงฺคานิ ฉ โหนฺติฯ เอส นโย จตุตฺถชฺฌานโต วุฎฺฐาย ยาว เนวสญฺญานาสญฺญายตนํฯ

    Pādakajjhānaniyamena tāva paṭhamajjhānalābhino paṭhamajjhānā vuṭṭhāya vipassantassa uppanno maggo paṭhamajjhāniko hoti. Maggaṅgabojjhaṅgāni panettha paripuṇṇāneva honti. Dutiyajjhānato vuṭṭhāya vipassantassa uppanno dutiyajjhāniko hoti. Maggaṅgāni panettha satta honti. Tatiyajjhānato vuṭṭhāya vipassantassa uppanno tatiyajjhāniko. Maggaṅgāni panettha satta , bojjhaṅgāni cha honti. Esa nayo catutthajjhānato vuṭṭhāya yāva nevasaññānāsaññāyatanaṃ.

    อารุเปฺป จตุกฺกปญฺจกชฺฌานํ อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ โลกุตฺตรํ, โน โลกิยนฺติ วุตฺตํ, เอตฺถ กถนฺติ? เอตฺถาปิ ปฐมชฺฌานาทีสุ ยโต วุฎฺฐาย โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิลภิตฺวา อรูปสมาปตฺติํ ภาเวตฺวา โส อารุเปฺป อุปฺปโนฺน, ตํ ฌานิกาวสฺส ตตฺถ ตโย มคฺคา อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ ปาทกชฺฌานเมว นิยเมติฯ

    Āruppe catukkapañcakajjhānaṃ uppajjati, tañca lokuttaraṃ, no lokiyanti vuttaṃ, ettha kathanti? Etthāpi paṭhamajjhānādīsu yato vuṭṭhāya sotāpattimaggaṃ paṭilabhitvā arūpasamāpattiṃ bhāvetvā so āruppe uppanno, taṃ jhānikāvassa tattha tayo maggā uppajjanti. Evaṃ pādakajjhānameva niyameti.

    เกจิ ปน เถรา ‘‘วิปสฺสนาย อารมฺมณภูตา ขนฺธา นิยเมนฺตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘ปุคฺคลชฺฌาสโย นิยเมตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนา นิยเมตี’’ติ วทนฺติฯ เตสํ วาทวินิจฺฉโย วิสุทฺธิมเคฺค วุฎฺฐานคามินิวิปสฺสนาธิกาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ

    Keci pana therā ‘‘vipassanāya ārammaṇabhūtā khandhā niyamentī’’ti vadanti. Keci ‘‘puggalajjhāsayo niyametī’’ti vadanti. Keci ‘‘vuṭṭhānagāminivipassanā niyametī’’ti vadanti. Tesaṃ vādavinicchayo visuddhimagge vuṭṭhānagāminivipassanādhikāre vuttanayeneva veditabbo.

    อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, สมฺมาสมาธีติ อยํ ปุพฺพภาเค โลกิโย อปรภาเค โลกุตฺตโร สมฺมาสมาธีติ วุจฺจติฯ

    Ayaṃ vuccati, bhikkhave, sammāsamādhīti ayaṃ pubbabhāge lokiyo aparabhāge lokuttaro sammāsamādhīti vuccati.

    อิติ อชฺฌตฺตํ วาติ เอวํ อตฺตโน วา จตฺตาริ สจฺจานิ ปริคฺคณฺหิตฺวา, ปรสฺส วา, กาเลน วา อตฺตโน, กาเลน วา ปรสฺส จตฺตาริ สจฺจานิ ปริคฺคณฺหิตฺวา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติฯ สมุทยวยา ปเนตฺถ จตุนฺนํ สจฺจานํ ยถาสมฺภาวโต อุปฺปตฺตินิวตฺติวเสน เวทิตพฺพาฯ อิโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ เกวลญฺหิ อิธ จตุสจฺจปริคฺคาหิกา สติ ทุกฺขสจฺจนฺติ เอวํ โยชนํ กตฺวา สจฺจปริคฺคาหกสฺส ภิกฺขุโน นิยฺยานมุขํ เวทิตพฺพํ, เสสํ ตาทิสเมวาติฯ

    Iti ajjhattaṃ vāti evaṃ attano vā cattāri saccāni pariggaṇhitvā, parassa vā, kālena vā attano, kālena vā parassa cattāri saccāni pariggaṇhitvā dhammesu dhammānupassī viharati. Samudayavayā panettha catunnaṃ saccānaṃ yathāsambhāvato uppattinivattivasena veditabbā. Ito paraṃ vuttanayameva. Kevalañhi idha catusaccapariggāhikā sati dukkhasaccanti evaṃ yojanaṃ katvā saccapariggāhakassa bhikkhuno niyyānamukhaṃ veditabbaṃ, sesaṃ tādisamevāti.

    จตุสจฺจปพฺพํ นิฎฺฐิตํฯ

    Catusaccapabbaṃ niṭṭhitaṃ.

    ๔๐๔. เอตฺตาวตา อานาปานปพฺพํ จตุอิริยาปถปพฺพํ จตุสมฺปชญฺญปพฺพํ ทฺวตฺติํสาการํ จตุธาตุววตฺถานํ นวสิวถิกา เวทนานุปสฺสนา จิตฺตานุปสฺสนา นีวรณปริคฺคโห ขนฺธปริคฺคโห อายตนปริคฺคโห โพชฺฌงฺคปริคฺคโห สจฺจปริคฺคโหติ เอกวีสติ กมฺมฎฺฐานานิฯ เตสุ อานาปานํ ทฺวตฺติํสาการํ นวสิวถิกาติ เอกาทส อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิ โหนฺติฯ ทีฆภาณกมหาสีวเตฺถโร ปน ‘‘นวสิวถิกา อาทีนวานุปสฺสนาวเสน วุตฺตา’’ติ อาหฯ ตสฺมา ตสฺส มเตน เทฺวเยว อปฺปนากมฺมฎฺฐานานิ, เสสานิ อุปจารกมฺมฎฺฐานานิฯ กิํ ปเนเตสุ สเพฺพสุ อภินิเวโส ชายตีติ? น ชายติฯ อิริยาปถสมฺปชญฺญนีวรณโพชฺฌเงฺคสุ หิ อภินิเวโส น ชายติ, เสเสสุ ชายตีติฯ มหาสีวเตฺถโร ปนาห ‘‘เอเตสุปิ อภินิเวโส ชายติฯ อยญฺหิ ‘อตฺถิ นุ โข เม จตฺตาโร อิริยาปถา อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม จตุสมฺปชญฺญํ อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม ปญฺจนีวรณา อุทาหุ นตฺถิ, อตฺถิ นุ โข เม สตฺตโพชฺฌงฺคา อุทาหุ นตฺถี’ติ เอวํ ปริคฺคณฺหาติฯ ตสฺมา สพฺพตฺถ อภินิเวโส ชายตี’’ติฯ

    404. Ettāvatā ānāpānapabbaṃ catuiriyāpathapabbaṃ catusampajaññapabbaṃ dvattiṃsākāraṃ catudhātuvavatthānaṃ navasivathikā vedanānupassanā cittānupassanā nīvaraṇapariggaho khandhapariggaho āyatanapariggaho bojjhaṅgapariggaho saccapariggahoti ekavīsati kammaṭṭhānāni. Tesu ānāpānaṃ dvattiṃsākāraṃ navasivathikāti ekādasa appanākammaṭṭhānāni honti. Dīghabhāṇakamahāsīvatthero pana ‘‘navasivathikā ādīnavānupassanāvasena vuttā’’ti āha. Tasmā tassa matena dveyeva appanākammaṭṭhānāni, sesāni upacārakammaṭṭhānāni. Kiṃ panetesu sabbesu abhiniveso jāyatīti? Na jāyati. Iriyāpathasampajaññanīvaraṇabojjhaṅgesu hi abhiniveso na jāyati, sesesu jāyatīti. Mahāsīvatthero panāha ‘‘etesupi abhiniveso jāyati. Ayañhi ‘atthi nu kho me cattāro iriyāpathā udāhu natthi, atthi nu kho me catusampajaññaṃ udāhu natthi, atthi nu kho me pañcanīvaraṇā udāhu natthi, atthi nu kho me sattabojjhaṅgā udāhu natthī’ti evaṃ pariggaṇhāti. Tasmā sabbattha abhiniveso jāyatī’’ti.

    โย หิ โกจิ, ภิกฺขเวติ โย หิ โกจิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วา ภิกฺขุนี วา อุปาสโก วา อุปาสิกา วาฯ เอวํ ภาเวยฺยาติอาทิโต ปฎฺฐาย วุเตฺตน ภาวนานุกฺกเมน ภาเวยฺยฯ ปาฎิกงฺขนฺติ ปฎิกงฺขิตพฺพํ อิจฺฉิตพฺพํ อวสฺสํภาวีติ อโตฺถฯ อญฺญาติ อรหตฺตํฯ สติ วา อุปาทิเสเสติ อุปาทานเสเส วา สติ อปริกฺขีเณฯ อนาคามิตาติ อนาคามิภาโวฯ

    Yo hi koci, bhikkhaveti yo hi koci, bhikkhave, bhikkhu vā bhikkhunī vā upāsako vā upāsikā vā. Evaṃ bhāveyyātiādito paṭṭhāya vuttena bhāvanānukkamena bhāveyya. Pāṭikaṅkhanti paṭikaṅkhitabbaṃ icchitabbaṃ avassaṃbhāvīti attho. Aññāti arahattaṃ. Sati vā upādiseseti upādānasese vā sati aparikkhīṇe. Anāgāmitāti anāgāmibhāvo.

    เอวํ สตฺตนฺนํ วสฺสานํ วเสน สาสนสฺส นิยฺยานิกภาวํ ทเสฺสตฺวา ปุน ตโต อปฺปตเรปิ กาเล ทเสฺสโนฺต ติฎฺฐนฺตุ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ สพฺพมฺปิ เจตํ มชฺฌิมสฺส เวเนยฺยปุคฺคลสฺส วเสน วุตฺตํ, ติกฺขปญฺญํ ปน สนฺธาย ‘‘ปาโตว อนุสิโฎฺฐ สายํ วิเสสํ อธิคมิสฺสติ, สายํ อนุสิโฎฺฐ ปาโต วิเสสํ อธิคมิสฺสตี’’ติ วุตฺตํฯ อิติ ภควา ‘‘เอวํ นิยฺยานิกํ, ภิกฺขเว, มม สาสน’’นฺติ ทเสฺสตฺวา เอกวีสติยาปิ ฐาเนสุ อรหตฺตนิกูเฎน เทสิตํ เทสนํ นิยฺยาเตโนฺต ‘‘เอกายโน อยํ, ภิกฺขเว, มโคฺค…เป.… อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺต’’นฺติ อาหฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ เทสนาปริโยสาเน ปน ติํส ภิกฺขุสหสฺสานิ อรหเตฺต ปติฎฺฐหิํสูติฯ

    Evaṃ sattannaṃ vassānaṃ vasena sāsanassa niyyānikabhāvaṃ dassetvā puna tato appatarepi kāle dassento tiṭṭhantu, bhikkhavetiādimāha. Sabbampi cetaṃ majjhimassa veneyyapuggalassa vasena vuttaṃ, tikkhapaññaṃ pana sandhāya ‘‘pātova anusiṭṭho sāyaṃ visesaṃ adhigamissati, sāyaṃ anusiṭṭho pāto visesaṃ adhigamissatī’’ti vuttaṃ. Iti bhagavā ‘‘evaṃ niyyānikaṃ, bhikkhave, mama sāsana’’nti dassetvā ekavīsatiyāpi ṭhānesu arahattanikūṭena desitaṃ desanaṃ niyyātento ‘‘ekāyano ayaṃ, bhikkhave, maggo…pe… iti yaṃ taṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vutta’’nti āha. Sesaṃ uttānatthamevāti. Desanāpariyosāne pana tiṃsa bhikkhusahassāni arahatte patiṭṭhahiṃsūti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    มหาสติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāsatipaṭṭhānasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๙. มหาสติปฎฺฐานสุตฺตํ • 9. Mahāsatipaṭṭhānasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๙. มหาสติปฎฺฐานสุตฺตวณฺณนา • 9. Mahāsatipaṭṭhānasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact