English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๑๒

    The Middle-Length Suttas Collection 12

    มหาสีหนาทสุตฺต

    The Longer Discourse on the Lion’s Roar

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ พหินคเร อปรปุเร วนสณฺเฑฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Vesālī in a woodland grove behind the town.

    เตน โข ปน สมเยน สุนกฺขตฺโต ลิจฺฉวิปุตฺโต อจิรปกฺกนฺโต โหติ อิมสฺมา ธมฺมวินยาฯ โส เวสาลิยํ ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสติ:

    Now at that time Sunakkhatta the Licchavi had recently left this teaching and training. He was telling a crowd in Vesālī:

    “นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธมฺโม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา”ติฯ

    “The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. He teaches what he’s worked out by logic, following a line of inquiry, expressing his own perspective. And his teaching leads those who practice it to the complete ending of suffering, the goal for which it’s taught.”

    อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เวสาลึ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต สุนกฺขตฺตสฺส ลิจฺฉวิปุตฺตสฺส เวสาลิยํ ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสมานสฺส: “นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธมฺโม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา”ติฯ

    Then Venerable Sāriputta robed up in the morning and, taking his bowl and robe, entered Vesālī for alms. He heard what Sunakkhatta was saying.

    อถ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต เวสาลิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สุนกฺขตฺโต, ภนฺเต, ลิจฺฉวิปุตฺโต อจิรปกฺกนฺโต อิมสฺมา ธมฺมวินยาฯ โส เวสาลิยํ ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสติ: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธมฺโม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา'”ติฯ

    Then he wandered for alms in Vesālī. After the meal, on his return from almsround, he went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.

    “โกธโน เหโส, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺโต โมฆปุริโสฯ โกธา จ ปนสฺส เอสา วาจา ภาสิตาฯ ‘อวณฺณํ ภาสิสฺสามี'ติ โข, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺโต โมฆปุริโส วณฺณํเยว ตถาคตสฺส ภาสติฯ วณฺโณ เหโส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส โย เอวํ วเทยฺย: ‘ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธมฺโม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา'ติฯ

    “Sāriputta, Sunakkhatta, that silly man, is angry. His words are spoken out of anger. Thinking he criticizes the Realized One, in fact he just praises him. For it is praise of the Realized One to say: ‘His teaching leads those who practice it to the complete ending of suffering, the goal for which it’s taught.’

    อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ: ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุทฺโธ ภควา'ติฯ

    But there’s no way Sunakkhatta will infer about me from the teaching: ‘That Blessed One is perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed.’

    อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ: ‘อิติปิ โส ภควา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสติ ปริมชฺชติ; ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตตี'ติฯ

    And there’s no way Sunakkhatta will infer about me from the teaching: ‘That Blessed One wields the many kinds of psychic power: multiplying himself and becoming one again; appearing and disappearing; going unimpeded through a wall, a rampart, or a mountain as if through space; diving in and out of the earth as if it were water; walking on water as if it were earth; flying cross-legged through the sky like a bird; touching and stroking with the hand the sun and moon, so mighty and powerful; controlling the body as far as the Brahmā realm.’

    อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ: ‘อิติปิ โส ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณาติ—ทิพฺเพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จา'ติฯ

    And there’s no way Sunakkhatta will infer about me from the teaching: ‘That Blessed One, with clairaudience that is purified and superhuman, hears both kinds of sounds, human and divine, whether near or far.’

    อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ: ‘อิติปิ โส ภควา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ—สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; เสาตฺตรํ วา จิตฺตํ เสาตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาตี'ติฯ

    And there’s no way Sunakkhatta will infer about me from the teaching: ‘That Blessed One understands the minds of other beings and individuals, having comprehended them with his own mind. He understands mind with greed as “mind with greed,” and mind without greed as “mind without greed.” He understands mind with hate … mind without hate … mind with delusion … mind without delusion … constricted mind … scattered mind … expansive mind … unexpansive mind … mind that is supreme … mind that is not supreme … mind immersed in samādhi … mind not immersed in samādhi … freed mind as “freed mind,” and unfreed mind as “unfreed mind.”’

    ทส โข ปนิมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ กตมานิ ทส?

    The Realized One possesses ten powers of a Realized One. With these he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel. What ten?

    อิธ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต อฏฺฐานญฺจ อฏฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต อฏฺฐานญฺจ อฏฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Firstly, the Realized One truly understands the possible as possible, and the impossible as impossible. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. Relying on this he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel.

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ กมฺมสมาทานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ กมฺมสมาทานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands the result of deeds undertaken in the past, future, and present in terms of causes and reasons. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สพฺพตฺถคามินึ ปฏิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สพฺพตฺถคามินึ ปฏิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands where all paths of practice lead. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands the world with its many and diverse elements. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands the diverse convictions of sentient beings. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands the faculties of other sentient beings and other individuals after comprehending them with his mind. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สงฺกิเลสํ โวทานํ วุฏฺฐานํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สงฺกิเลสํ โวทานํ วุฏฺฐานํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One truly understands corruption, cleansing, and emergence regarding the jhāna, liberations, samādhi, and attainments. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One recollects many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. He remembers: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so he recollects his many kinds of past lives, with features and details. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฏฺฐิกา สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติฯ อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฏฺฐิกา สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติฯ อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, with clairvoyance that is purified and superhuman, the Realized One sees sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. He understands how sentient beings are reborn according to their deeds. ‘These dear beings did bad things by way of body, speech, and mind. They spoke ill of the noble ones; they had wrong view; and they chose to act out of that wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. These dear beings, however, did good things by way of body, speech, and mind. They never spoke ill of the noble ones; they had right view; and they chose to act out of that right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.’ And so, with clairvoyance that is purified and superhuman, he sees sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. He understands how sentient beings are reborn according to their deeds. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. …

    ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    Furthermore, the Realized One has realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and lives having realized it with his own insight due to the ending of defilements. Since he truly understands this, this is a power of the Realized One. Relying on this he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel.

    อิมานิ โข, สาริปุตฺต, ทส ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    A Realized One possesses these ten powers of a Realized One. With these he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel.

    โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส; ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานนฺ'ติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปนฺโน ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย, ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ

    When I know and see in this way, suppose someone were to say this: ‘The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. He teaches what he’s worked out by logic, following a line of inquiry, expressing his own perspective.’ Unless they give up that speech and that thought, and let go of that view, they will be cast down to hell. Just as a bhikkhu accomplished in ethics, immersion, and wisdom would reach enlightenment in this very life, such is the consequence, I say. Unless they give up that speech and thought, and let go of that view, they will be cast down to hell.

    จตฺตาริมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส เวสารชฺชานิ เยหิ เวสารชฺเชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ กตมานิ จตฺตาริ?

    Sāriputta, a Realized One has four kinds of self-assurance. With these he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel. What four?

    ‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฏิชานโต อิเม ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธา'ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมึ สหธมฺเมน ปฏิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    I see no reason for anyone—whether ascetic, brahmin, god, Māra, or Brahmā, or anyone else in the world—to legitimately scold me, saying: ‘You claim to be fully awakened, but you don’t understand these things.’ Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    ‘ขีณาสวสฺส เต ปฏิชานโต อิเม อาสวา อปริกฺขีณา'ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมึ สหธมฺเมน ปฏิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    I see no reason for anyone—whether ascetic, brahmin, god, Māra, or Brahmā, or anyone else in the world—to legitimately scold me, saying: ‘You claim to have ended all defilements, but these defilements have not ended.’ Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    ‘เย โข ปน เต อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา, เต ปฏิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา'ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมึ สหธมฺเมน ปฏิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    I see no reason for anyone—whether ascetic, brahmin, god, Māra, or Brahmā, or anyone else in the world—to legitimately scold me, saying: ‘The acts that you say are obstructions are not really obstructions for the one who performs them.’ Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    ‘ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ธมฺโม เทสิโต, โส น นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา'ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมึ สหธมฺเมน ปฏิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    I see no reason for anyone—whether ascetic, brahmin, god, Māra, or Brahmā, or anyone else in the world—to legitimately scold me, saying: ‘The teaching doesn’t lead those who practice it to the complete ending of suffering, the goal for which you taught it.’ Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    อิมานิ โข, สาริปุตฺต, จตฺตาริ ตถาคตสฺส เวสารชฺชานิ เยหิ เวสารชฺเชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฏิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติฯ

    A Realized One has these four kinds of self-assurance. With these he claims the bull’s place, roars his lion’s roar in the assemblies, and turns the holy wheel.

    โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานนฺ'ติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปนฺโน ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ

    When I know and see in this way, suppose someone were to say this: ‘The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones …’ Unless they give up that speech and that thought, and let go of that view, they will be cast down to hell.

    อฏฺฐ โข อิมา, สาริปุตฺต, ปริสาฯ กตมา อฏฺฐ? ขตฺติยปริสา, พฺราหฺมณปริสา, คหปติปริสา, สมณปริสา, จาตุมหาราชิกปริสา, ตาวตึสปริสา, มารปริสา, พฺรหฺมปริสา—อิมา โข, สาริปุตฺต, อฏฺฐ ปริสาฯ อิเมหิ โข, สาริปุตฺต, จตูหิ เวสารชฺเชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อิมา อฏฺฐ ปริสา อุปสงฺกมติ อชฺโฌคาหติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพญฺเจว, สลฺลปิตปุพฺพญฺจ, สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺร วต มํ ภยํ วา สารชฺชํ วา โอกฺกมิสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    Sāriputta, there are these eight assemblies. What eight? The assemblies of aristocrats, brahmins, householders, and ascetics. An assembly of the gods under the Four Great Kings. An assembly of the gods under the Thirty-Three. An assembly of Māras. An assembly of Brahmās. These are the eight assemblies. Possessing these four kinds of self-assurance, the Realized One approaches and enters right into these eight assemblies. I recall having approached an assembly of hundreds of aristocrats. There I used to sit with them, converse, and engage in discussion. But I don’t see any reason to feel afraid or insecure. Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อเนกสตํ พฺราหฺมณปริสํ …เป… คหปติปริสํ … สมณปริสํ … จาตุมหาราชิกปริสํ … ตาวตึสปริสํ … มารปริสํ … พฺรหฺมปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพญฺเจว, สลฺลปิตปุพฺพญฺจ, สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺร วต มํ ภยํ วา สารชฺชํ วา โอกฺกมิสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสนฺโต เขมปฺปตฺโต อภยปฺปตฺโต เวสารชฺชปฺปตฺโต วิหรามิฯ

    I recall having approached an assembly of hundreds of brahmins … householders … ascetics … the gods under the Four Great Kings … the gods under the Thirty-Three … Māras … Brahmās. There too I used to sit with them, converse, and engage in discussion. But I don’t see any reason to feel afraid or insecure. Since I see no such reason, I live secure, fearless, and assured.

    โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานนฺ'ติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปนฺโน ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ

    When I know and see in this way, suppose someone were to say this: ‘The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones …’ Unless they give up that speech and that thought, and let go of that view, they will be cast down to hell.

    จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโยฯ กตมา จตโสฺส? อณฺฑชา โยนิ, ชลาพุชา โยนิ, สํเสทชา โยนิ, โอปปาติกา โยนิฯ

    Sāriputta, there are these four kinds of reproduction. What four? Reproduction for creatures born from an egg, from a womb, from moisture, or spontaneously.

    กตมา จ, สาริปุตฺต, อณฺฑชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา อณฺฑโกสํ อภินิพฺภิชฺช ชายนฺติ—อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, อณฺฑชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, ชลาพุชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา วตฺถิโกสํ อภินิพฺภิชฺช ชายนฺติ—อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, ชลาพุชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, สํเสทชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา ปูติมจฺเฉ วา ชายนฺติ ปูติกุณเป วา ปูติกุมฺมาเส วา จนฺทนิกาเย วา โอฬิคเลฺล วา ชายนฺติ—อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, สํเสทชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, โอปปาติกา โยนิ? เทวา, เนรยิกา, เอกจฺเจ จ มนุสฺสา, เอกจฺเจ จ วินิปาติกา—อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, โอปปาติกา โยนิฯ อิมา โข, สาริปุตฺต, จตโสฺส โยนิโยฯ

    And what is reproduction from an egg? There are beings who are born by breaking out of an eggshell. This is called reproduction from an egg. And what is reproduction from a womb? There are beings who are born by breaking out of the amniotic sac. This is called reproduction from a womb. And what is reproduction from moisture? There are beings who are born in a rotten fish, in a rotten carcass, in rotten dough, in a cesspool or a sump. This is called reproduction from moisture. And what is spontaneous reproduction? Gods, hell-beings, certain humans, and certain beings in the lower realms. This is called spontaneous reproduction. These are the four kinds of reproduction.

    โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานนฺ'ติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปนฺโน ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ

    When I know and see in this way, suppose someone were to say this: ‘The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones …’ Unless they give up that speech and that thought, and let go of that view, they will be cast down to hell.

    ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโยฯ กตมา ปญฺจ? นิรโย, ติรจฺฉานโยนิ, เปตฺติวิสโย, มนุสฺสา, เทวาฯ

    There are these five destinations. What five? Hell, the animal realm, the ghost realm, humanity, and the gods.

    นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, นิรยคามิญฺจ มคฺคํ, นิรยคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ ติรจฺฉานโยนิญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, ติรจฺฉานโยนิคามิญฺจ มคฺคํ, ติรจฺฉานโยนิคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนึ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ เปตฺติวิสยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, เปตฺติวิสยคามิญฺจ มคฺคํ, เปตฺติวิสยคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ มนุเสฺส จาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, มนุสฺสโลกคามิญฺจ มคฺคํ, มนุสฺสโลกคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ เทเว จาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, เทวโลกคามิญฺจ มคฺคํ, เทวโลกคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ นิพฺพานญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, นิพฺพานคามิญฺจ มคฺคํ, นิพฺพานคามินิญฺจ ปฏิปทํ; ยถา ปฏิปนฺโน จ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ ตญฺจ ปชานามิฯ

    I understand hell, and the path and practice that leads to hell. And I understand how someone practicing that way, when their body breaks up, after death, is reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. I understand the animal realm … the ghost realm … humanity … gods, and the path and practice that leads to the world of the gods. And I understand how someone practicing that way, when their body breaks up, after death, is reborn in a good place, a heavenly realm. And I understand Nibbana, and the path and practice that leads to Nibbana. And I understand how someone practicing that way realizes the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and lives having realized it with their own insight due to the ending of defilements.

    อิธาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, องฺคารกาสุ สาธิกโปริสา ปูรา องฺคารานํ วีตจฺจิกานํ วีตธูมานํฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว องฺคารกาสุํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว องฺคารกาสุํ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺสา องฺคารกาสุยา ปติตํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person is practicing in such a way and has entered such a path that when their body breaks up, after death, they will be reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.’ Then some time later I see that they have indeed been reborn in hell, where they experience exclusively painful feelings, sharp and severe. Suppose there was a pit of glowing coals deeper than a man’s height, full of glowing coals that neither flamed nor smoked. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same pit of coals. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very pit of coals.’ Then some time later they see that they have indeed fallen into that pit of coals, where they experience exclusively painful feelings, sharp and severe. …

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนึ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนึ อุปปนฺนํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, คูถกูโป สาธิกโปริโส, ปูโร คูถสฺสฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว คูถกูปํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา อิมํเยว คูถกูปํ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺมึ คูถกูเป ปติตํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person … will be reborn in the animal realm.’ Then some time later I see that they have indeed been reborn in the animal realm, where they suffer painful feelings, sharp and severe. Suppose there was a sewer deeper than a man’s height, full to the brim with feces. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same sewer. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very sewer.’ Then some time later they see that they have indeed fallen into that sewer, where they suffer painful feelings, sharp and severe. …

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนึ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนึ อุปปนฺนํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฏุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, รุกฺโข วิสเม ภูมิภาเค ชาโต ตนุปตฺตปลาโส กพรจฺฉาโยฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว รุกฺขํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว รุกฺขํ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย, อปเรน สมเยน ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person … will be reborn in the ghost realm.’ Then some time later I see that they have indeed been reborn in the ghost realm, where they experience many painful feelings. Suppose there was a tree growing on rugged ground, with thin foliage casting dappled shade. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same tree. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very tree.’ Then some time later they see them sitting or lying under that tree, where they experience many painful feelings. …

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปนฺนํ, สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, รุกฺโข สเม ภูมิภาเค ชาโต พหลปตฺตปลาโส สนฺทจฺฉาโยฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว รุกฺขํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมเมว รุกฺขํ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person … will be reborn among human beings.’ Then some time later I see that they have indeed been reborn among human beings, where they experience many pleasant feelings. Suppose there was a tree growing on smooth ground, with abundant foliage casting dense shade. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same tree. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very tree.’ Then some time later they see them sitting or lying under that tree, where they experience many pleasant feelings. …

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปนฺนํ, สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ: ‘ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ปาสาโท, ตตฺราสฺส กูฏาคารํ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตํ นิวาตํ ผุสิตคฺคฬํ ปิหิตวาตปานํฯ ตตฺราสฺส ปลฺลงฺโก โคนกตฺถโต ปฏิกตฺถโต ปฏลิกตฺถโต กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรโณ เสาตฺตรจฺฉโท อุภโตโลหิตกูปธาโนฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว ปาสาทํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว ปาสาทํ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺมึ ปาสาเท ตสฺมึ กูฏาคาเร ตสฺมึ ปลฺลงฺเก นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person … will be reborn in a good place, a heavenly realm.’ Then some time later I see that they have indeed been reborn in a heavenly realm, where they experience exclusively pleasant feelings. Suppose there was a stilt longhouse with a peaked roof, plastered inside and out, draft-free, with latches fastened and windows shuttered. And it had a couch spread with woolen covers—shag-piled, pure white, or embroidered with flowers—and spread with a fine deer hide, with a canopy above and red pillows at both ends. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same stilt longhouse. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very stilt longhouse.’ Then some time later they see them sitting or lying in that stilt longhouse, where they experience exclusively pleasant feelings. …

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ

    อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ—ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, โปกฺขรณี อจฺโฉทกา สาโตทกา สีโตทกา เสตกา สุปติตฺถา รมณียาฯ อวิทูเร จสฺสา ติพฺโพ วนสณฺโฑฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มคฺเคน ตเมว โปกฺขรณึ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย: ‘ตถา ภวํ ปุริโส ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว โปกฺขรณึ อาคมิสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตํ โปกฺขรณึ โอคาเหตฺวา นฺหายิตฺวา จ ปิวิตฺวา จ สพฺพทรถกิลมถปริฬาหํ ปฏิปฺปสฺสมฺเภตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ตสฺมึ วนสณฺเฑ นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ

    When I’ve comprehended the mind of a certain person, I understand: ‘This person is practicing in such a way and has entered such a path that they will realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.’ Then some time later I see that they have indeed realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with their own insight due to the ending of defilements, experiencing exclusively pleasant feelings. Suppose there was a lotus pond with clear, sweet, cool water, clean, with smooth banks, delightful. And nearby was a dark forest grove. Then along comes a person struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. And they have set out on a path that meets with that same lotus pond. If a person with clear eyes saw them, they’d say: ‘This person is proceeding in such a way and has entered such a path that they will arrive at that very lotus pond.’ Then some time later they would see that person after they had plunged into that lotus pond, bathed and drunk. When all their stress, weariness, and heat exhaustion had faded away, they emerged and sat or lay down in that woodland thicket, where they experienced exclusively pleasant feelings.

    เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ: ‘ตถายํ ปุคฺคโล ปฏิปนฺโน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสตี'ติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ อิมา โข, สาริปุตฺต, ปญฺจ คติโยฯ

    In the same way, when I’ve comprehended the mind of a person, I understand: ‘This person is practicing in such a way and has entered such a path that they will realize the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with their own insight due to the ending of defilements.’ Then some time later I see that they have indeed realized the undefiled freedom of heart and freedom by wisdom in this very life, and live having realized it with their own insight due to the ending of defilements, experiencing exclusively pleasant feelings. These are the five destinations.

    โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย: ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส; ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยมฺปฏิภานนฺ'ติ ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน สมาธิสมฺปนฺโน ปญฺญาสมฺปนฺโน ทิฏฺเฐว ธมฺเม อญฺญํ อาราเธยฺย; เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฏฺฐึ อปฺปฏินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเยฯ

    When I know and see in this way, suppose someone were to say this: ‘The ascetic Gotama has no superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones. He teaches what he’s worked out by logic, following a line of inquiry, expressing his own perspective.’ Unless they give up that speech and that thought, and let go of that view, they will be cast down to hell. Just as a bhikkhu accomplished in ethics, immersion, and wisdom would reach enlightenment in this very life, such is the consequence, I say. Unless they give up that speech and thought, and let go of that view, they will be cast down to hell.

    อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา—ตปสฺสี สุทํ โหมิ ปรมตปสฺสี, ลูโข สุทํ โหมิ ปรมลูโข, เชคุจฺฉี สุทํ โหมิ ปรมเชคุจฺฉี, ปวิวิตฺโต สุทํ โหมิ ปรมปวิวิตฺโตฯ

    Sāriputta, I recall having practiced a spiritual path consisting of four factors. I used to be a fervent mortifier, the ultimate fervent mortifier. I used to live rough, the ultimate rough-liver. I used to live in disgust at sin, the ultimate one living in disgust at sin. I used to be secluded, in ultimate seclusion.

    ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ตปสฺสิตาย โหติ—อเจลโก โหมิ มุตฺตาจาโร หตฺถาปเลขโน, นเอหิภทฺทนฺติโก นติฏฺฐภทฺทนฺติโก; นาภิหฏํ น อุทฺทิสฺสกตํ น นิมนฺตนํ สาทิยามิฯ โส น กุมฺภิมุขา ปฏิคฺคณฺหามิ, น กโฬปิมุขา ปฏิคฺคณฺหามิ, น เอฬกมนฺตรํ, น ทณฺฑมนฺตรํ, น มุสลมนฺตรํ, น ทฺวินฺนํ ภุญฺชมานานํ, น คพฺภินิยา, น ปายมานาย, น ปุริสนฺตรคตาย, น สงฺกิตฺตีสุ, น ยตฺถ สา อุปฏฺฐิโต โหติ, น ยตฺถ มกฺขิกา สณฺฑสณฺฑจารินี; น มจฺฉํ น มํสํ น สุรํ น เมรยํ น ถุโสทกํ ปิวามิ; โส เอกาคาริโก วา โหมิ เอกาโลปิโก, ทฺวาคาริโก วา โหมิ ทฺวาโลปิโก …เป… สตฺตาคาริโก วา โหมิ สตฺตาโลปิโก; เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา ยาเปมิ, ทฺวีหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปมิ …เป… สตฺตหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปมิ; เอกาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ, ทฺวีหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ …เป… สตฺตาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ; อิติ เอวรูปํ อทฺธมาสิกมฺปิ ปริยายภตฺตโภชนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรามิฯ

    And this is what my fervent mortification was like. I went naked, ignoring conventions. I licked my hands, and didn’t come or stop when asked. I didn’t consent to food brought to me, or food prepared specially for me, or an invitation for a meal. I didn’t receive anything from a pot or bowl; or from someone who keeps sheep, or who has a weapon or a shovel in their home; or where a couple is eating; or where there is a woman who is pregnant, breastfeeding, or who has a man in her home; or where food for distribution is advertised; or where there’s a dog waiting or flies buzzing. I accepted no fish or meat or liquor or wine, and drank no beer. I went to just one house for alms, taking just one mouthful, or two houses and two mouthfuls, up to seven houses and seven mouthfuls. I fed on one saucer a day, two saucers a day, up to seven saucers a day. I ate once a day, once every second day, up to once a week, and so on, even up to once a fortnight. I lived committed to the practice of eating food at set intervals.

    โส สากภกฺโข วา โหมิ, สามากภกฺโข วา โหมิ, นีวารภกฺโข วา โหมิ, ททฺทุลภกฺโข วา โหมิ, หฏภกฺโข วา โหมิ, กณภกฺโข วา โหมิ, อาจามภกฺโข วา โหมิ, ปิญฺญากภกฺโข วา โหมิ, ติณภกฺโข วา โหมิ, โคมยภกฺโข วา โหมิ, วนมูลผลาหาโร ยาเปมิ ปวตฺตผลโภชีฯ

    I ate herbs, millet, wild rice, poor rice, water lettuce, rice bran, scum from boiling rice, sesame flour, grass, or cow dung. I survived on forest roots and fruits, or eating fallen fruit.

    โส สาณานิปิ ธาเรมิ, มสาณานิปิ ธาเรมิ, ฉวทุสฺสานิปิ ธาเรมิ, ปํสุกูลานิปิ ธาเรมิ, ติรีฏานิปิ ธาเรมิ, อชินมฺปิ ธาเรมิ, อชินกฺขิปมฺปิ ธาเรมิ, กุสจีรมฺปิ ธาเรมิ, วากจีรมฺปิ ธาเรมิ, ผลกจีรมฺปิ ธาเรมิ, เกสกมฺพลมฺปิ ธาเรมิ, วาฬกมฺพลมฺปิ ธาเรมิ, อุลูกปกฺขมฺปิ ธาเรมิ; เกสมสฺสุโลจโกปิ โหมิ เกสมสฺสุโลจนานุโยคมนุยุตฺโต; อุพฺภฏฺฐโกปิ โหมิ อาสนปฏิกฺขิตฺโต; อุกฺกุฏิโกปิ โหมิ อุกฺกุฏิกปฺปธานมนุยุตฺโต; กณฺฏกาปสฺสยิโกปิ โหมิ กณฺฏกาปสฺสเย เสยฺยํ กปฺเปมิ; สายตติยกมฺปิ อุทโกโรหนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรามิ—อิติ เอวรูปํ อเนกวิหิตํ กายสฺส อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรามิฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ตปสฺสิตาย โหติฯ

    I wore robes of sunn hemp, mixed hemp, corpse-wrapping cloth, rags, lodh tree bark, antelope hide (whole or in strips), kusa grass, bark, wood-chips, human hair, horse-tail hair, or owls’ wings. I tore out hair and beard, committed to this practice. I constantly stood, refusing seats. I squatted, committed to the endeavor of squatting. I lay on a mat of thorns, making a mat of thorns my bed. I was committed to the practice of immersion in water three times a day, including the evening. And so I lived committed to practicing these various ways of mortifying and tormenting the body. Such was my practice of fervent mortification.

    ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ลูขสฺมึ โหติ—เนกวสฺสคณิกํ รโชชลฺลํ กาเย สนฺนิจิตํ โหติ ปปฏิกชาตํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ตินฺทุกขาณุ เนกวสฺสคณิโก สนฺนิจิโต โหติ ปปฏิกชาโต, เอวเมวาสฺสุ เม, สาริปุตฺต, เนกวสฺสคณิกํ รโชชลฺลํ กาเย สนฺนิจิตํ โหติ ปปฏิกชาตํฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, น เอวํ โหติ: ‘อโห วตาหํ อิมํ รโชชลฺลํ ปาณินา ปริมชฺเชยฺยํ, อญฺเญ วา ปน เม อิมํ รโชชลฺลํ ปาณินา ปริมชฺเชยฺยุนฺ'ติฯ เอวมฺปิ เม, สาริปุตฺต, น โหติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ลูขสฺมึ โหติฯ

    And this is what my rough living was like. The dust and dirt built up on my body over many years until it started flaking off. It’s like the trunk of a pale-moon ebony tree, which builds up bark over many years until it starts flaking off. But it didn’t occur to me: ‘Oh, this dust and dirt must be rubbed off by my hand or another’s.’ That didn’t occur to me. Such was my rough living.

    ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, เชคุจฺฉิสฺมึ โหติ—โส โข อหํ, สาริปุตฺต, สโตว อภิกฺกมามิ, สโตว ปฏิกฺกมามิ, ยาว อุทกพินฺทุมฺหิปิ เม ทยา ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ: ‘มาหํ ขุทฺทเก ปาเณ วิสมคเต สงฺฆาตํ อาปาเทสินฺ'ติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, เชคุจฺฉิสฺมึ โหติฯ

    And this is what my living in disgust of sin was like. I’d step forward or back ever so mindfully. I was full of pity even regarding a drop of water, thinking: ‘May I not accidentally injure any little creatures that happen to be in the wrong place.’ Such was my living in disgust of sin.

    ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ปวิวิตฺตสฺมึ โหติ—โส โข อหํ, สาริปุตฺต, อญฺญตรํ อรญฺญายตนํ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรามิฯ ยทา ปสฺสามิ โคปาลกํ วา ปสุปาลกํ วา ติณหารกํ วา กฏฺฐหารกํ วา วนกมฺมิกํ วา, วเนน วนํ คหเนน คหนํ นินฺเนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สมฺปตามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา มํ เต อทฺทสํสุ อหญฺจ มา เต อทฺทสนฺติฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, อารญฺญโก มโค มนุเสฺส ทิสฺวา วเนน วนํ คหเนน คหนํ นินฺเนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สมฺปตติ; เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, ยทา ปสฺสามิ โคปาลกํ วา ปสุปาลกํ วา ติณหารกํ วา กฏฺฐหารกํ วา วนกมฺมิกํ วา วเนน วนํ คหเนน คหนํ นินฺเนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สมฺปตามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา มํ เต อทฺทสํสุ อหญฺจ มา เต อทฺทสนฺติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ปวิวิตฺตสฺมึ โหติฯ

    And this is what my seclusion was like. I would plunge deep into a wilderness region and stay there. When I saw a cowherd or a shepherd, or someone gathering grass or sticks, or a lumberjack, I’d flee from forest to forest, from thicket to thicket, from valley to valley, from uplands to uplands. Why is that? So that I wouldn’t see them, nor they me. I fled like a wild deer seeing a human being. Such was my practice of seclusion.

    โส โข อหํ, สาริปุตฺต, เย เต โคฏฺฐา ปฏฺฐิตคาโว อปคตโคปาลกา, ตตฺถ จตุกฺกุณฺฑิโก อุปสงฺกมิตฺวา ยานิ ตานิ วจฺฉกานํ ตรุณกานํ เธนุปกานํ โคมยานิ ตานิ สุทํ อาหาเรมิฯ ยาวกีวญฺจ เม, สาริปุตฺต, สกํ มุตฺตกรีสํ อปริยาทินฺนํ โหติ, สกํเยว สุทํ มุตฺตกรีสํ อาหาเรมิฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, มหาวิกฏโภชนสฺมึ โหติฯ

    I would go on all fours into the cow-pens after the cattle had left and eat the dung of the young suckling calves. As long as my own urine and excrement lasted, I would even eat that. Such was my eating of most unnatural things.

    โส โข อหํ, สาริปุตฺต, อญฺญตรํ ภึสนกํ วนสณฺฑํ อชฺโฌคาเหตฺวา วิหรามิฯ ตตฺราสฺสุทํ, สาริปุตฺต, ภึสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภึสนกตสฺมึ โหติ—โย โกจิ อวีตราโค ตํ วนสณฺฑํ ปวิสติ, เยภุเยฺยน โลมานิ หํสนฺติฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ยา ตา รตฺติโย สีตา เหมนฺติกา อนฺตรฏฺฐกา หิมปาตสมยา ตถารูปาสุ รตฺตีสุ รตฺตึ อพฺโภกาเส วิหรามิ, ทิวา วนสณฺเฑ; คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ทิวา อพฺโภกาเส วิหรามิ, รตฺตึ วนสณฺเฑฯ อปิสฺสุ มํ, สาริปุตฺต, อยํ อนจฺฉริยคาถา ปฏิภาสิ ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา:

    I would plunge deep into an awe-inspiring forest grove and stay there. It was so awe-inspiring that normally it would make your hair stand on end if you weren’t free of greed. And on days such as the cold spell when the snow falls in the dead of winter, I stayed in the open by night and in the forest by day. But in the last month of summer I’d stay in the open by day and in the forest by night. And then these verses, which were neither supernaturally inspired, nor learned before in the past, occurred to me:

    ‘โสตตฺโต โสสินฺโน เจว, เอโก ภึสนเก วเน; นคฺโค น จคฺคิมาสีโน, เอสนาปสุโต มุนี'ติฯ

    ‘Scorched and frozen, alone in the awe-inspiring forest. Naked, no fire to sit beside, the sage still pursues his quest.’

    โส โข อหํ, สาริปุตฺต, สุสาเน เสยฺยํ กปฺเปมิ ฉวฏฺฐิกานิ อุปธายฯ อปิสฺสุ มํ, สาริปุตฺต, คามณฺฑลา อุปสงฺกมิตฺวา โอฏฺฐุภนฺติปิ, โอมุตฺเตนฺติปิ, ปํสุเกนปิ โอกิรนฺติ, กณฺณโสเตสุปิ สลากํ ปเวเสนฺติฯ น โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อภิชานามิ เตสุ ปาปกํ จิตฺตํ อุปฺปาเทตาฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, อุเปกฺขาวิหารสฺมึ โหติฯ

    I would make my bed in a charnel ground, with the bones of the dead for a pillow. Then the cowboys would come up to me. They’d spit and piss on me, throw mud on me, even poke sticks in my ears. But I don’t recall ever having a bad thought about them. Such was my abiding in equanimity.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อาหาเรน สุทฺธี'ติฯ เต เอวมาหํสุ: ‘โกเลหิ ยาเปมา'ติฯ เต โกลมฺปิ ขาทนฺติ, โกลจุณฺณมฺปิ ขาทนฺติ, โกโลทกมฺปิ ปิวนฺติ—อเนกวิหิตมฺปิ โกลวิกตึ ปริภุญฺชนฺติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว โกลํ อาหารํ อาหาริตาฯ สิยา โข ปน เต, สาริปุตฺต, เอวมสฺส: ‘มหา นูน เตน สมเยน โกโล อโหสี'ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ ตทาปิ เอตปรโมเยว โกโล อโหสิ เสยฺยถาปิ เอตรหิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว โกลํ อาหารํ อาหารยโต อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา; เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฏฺฐปทํ; เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฏฺฏนาวฬี; เอวเมวสฺสุ เม ปิฏฺฐิกณฺฏโก อุนฺนตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุ อามกจฺฉินฺโน วาตาตเปน สมฺผุฏิโต โหติ สมฺมิลาโต; เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สมฺผุฏิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘อุทรจฺฉวึ ปริมสิสฺสามี'ติ ปิฏฺฐิกณฺฏกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฏฺฐิกณฺฏกํ ปริมสิสฺสามี'ติ อุทรจฺฉวึเยว ปริคฺคณฺหามิ, ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺต, อุทรจฺฉวิ ปิฏฺฐิกณฺฏกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี'ติ ตตฺเถว อวกุชฺโช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ตเมว กายํ อสฺสาเสนฺโต ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from food.’ They say: ‘Let’s live on jujubes.’ So they eat jujubes and jujube powder, and drink jujube juice. And they enjoy many jujube concoctions. I recall eating just a single jujube. You might think that at that time the jujubes must have been very big. But you should not see it like this. The jujubes then were at most the same size as today. Eating so very little, my body became extremely emaciated. Due to eating so little, my limbs became like the joints of an eighty-year-old or a corpse, my bottom became like a camel’s hoof, my vertebrae stuck out like beads on a string, and my ribs were as gaunt as the broken-down rafters on an old barn. Due to eating so little, the gleam of my eyes sank deep in their sockets, like the gleam of water sunk deep down a well. Due to eating so little, my scalp shriveled and withered like a green bitter-gourd in the wind and sun. Due to eating so little, the skin of my belly stuck to my backbone, so that when I tried to rub the skin of my belly I grabbed my backbone, and when I tried to rub my backbone I rubbed the skin of my belly. Due to eating so little, when I tried to urinate or defecate I fell face down right there. Due to eating so little, when I tried to relieve my body by rubbing my limbs with my hands, the hair, rotted at its roots, fell out.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อาหาเรน สุทฺธี'ติฯ เต เอวมาหํสุ: ‘มุคฺเคหิ ยาเปม …เป… ติเลหิ ยาเปม …เป… ตณฺฑุเลหิ ยาเปมา'ติฯ เต ตณฺฑุลมฺปิ ขาทนฺติ, ตณฺฑุลจุณฺณมฺปิ ขาทนฺติ, ตณฺฑุโลทกมฺปิ ปิวนฺติ—อเนกวิหิตมฺปิ ตณฺฑุลวิกตึ ปริภุญฺชนฺติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว ตณฺฑุลํ อาหารํ อาหาริตาฯ สิยา โข ปน เต, สาริปุตฺต, เอวมสฺส: ‘มหา นูน เตน สมเยน ตณฺฑุโล อโหสี'ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ ตทาปิ เอตปรโมเยว ตณฺฑุโล อโหสิ, เสยฺยถาปิ เอตรหิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว ตณฺฑุลํ อาหารํ อาหารยโต อธิมตฺตกสิมานํ ปตฺโต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา; เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฏฺฐปทํ; เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฏฺฏนาวฬี; เอวเมวสฺสุ เม ปิฏฺฐิกณฺฏโก อุนฺนตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ; เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุ อามกจฺฉินฺโน วาตาตเปน สมฺผุฏิโต โหติ สมฺมิลาโต; เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สมฺผุฏิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘อุทรจฺฉวึ ปริมสิสฺสามี'ติ ปิฏฺฐิกณฺฏกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฏฺฐิกณฺฏกํ ปริมสิสฺสามี'ติ อุทรจฺฉวึเยว ปริคฺคณฺหามิฯ ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺต, อุทรจฺฉวิ ปิฏฺฐิกณฺฏกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี'ติ ตตฺเถว อวกุชฺโช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ตเมว กายํ อสฺสาเสนฺโต ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from food.’ They say: ‘Let’s live on mung beans.’ … ‘Let’s live on sesame.’ … ‘Let’s live on ordinary rice.’ … Due to eating so little, when I tried to relieve my body by rubbing my limbs with my hands, the hair, rotted at its roots, fell out.

    ตายปิ โข อหํ, สาริปุตฺต, อิริยาย ตาย ปฏิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมํ อุตฺตรึ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อิมิสฺสาเยว อริยาย ปญฺญาย อนธิคมา, ยายํ อริยา ปญฺญา อธิคตา อริยา นิยฺยานิกา, นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายฯ

    But Sāriputta, I did not achieve any superhuman distinction in knowledge and vision worthy of the noble ones by that conduct, that practice, that grueling work. Why is that? Because I didn’t achieve that noble wisdom that’s noble and emancipating, and which leads someone who practices it to the complete ending of suffering.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘สํสาเรน สุทฺธี'ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, สํสาโร สุลภรูโป โย มยา อสํสริตปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว สํสเรยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคจฺเฉยฺยํฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from transmigration.’ But it’s not easy to find a realm that I haven’t previously transmigrated to in all this long time, except for the gods of the pure abodes. For if I had transmigrated to the gods of the pure abodes I would not have returned to this realm again.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อุปปตฺติยา สุทฺธี'ติฯ น โข ปน สา, สาริปุตฺต, อุปปตฺติ สุลภรูปา ยา มยา อนุปปนฺนปุพฺพา อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว อุปปชฺเชยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคจฺเฉยฺยํฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from rebirth.’ But it’s not easy to find any rebirth that I haven’t previously been reborn in …

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อาวาเสน สุทฺธี'ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, อาวาโส สุลภรูโป โย มยา อนาวุฏฺฐปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว อาวเสยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคจฺเฉยฺยํฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from abode of rebirth.’ But it’s not easy to find an abode where I haven’t previously abided …

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘ยญฺเญน สุทฺธี'ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, ยญฺโญ สุลภรูโป โย มยา อยิฏฺฐปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, ตญฺจ โข รญฺญา วา สตา ขตฺติเยน มุทฺธาวสิตฺเตน พฺราหฺมเณน วา มหาสาเลนฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from sacrifice.’ But it’s not easy to find a sacrifice that I haven’t previously offered in all this long time, when I was an anointed aristocratic king or a well-to-do brahmin.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อคฺคิปริจริยาย สุทฺธี'ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, อคฺคิ สุลภรูโป โย มยา อปริจิณฺณปุพฺโพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, ตญฺจ โข รญฺญา วา สตา ขตฺติเยน มุทฺธาวสิตฺเตน พฺราหฺมเณน วา มหาสาเลนฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘Purity comes from serving the sacred flame.’ But it’s not easy to find a fire that I haven’t previously served in all this long time, when I was an anointed aristocratic king or a well-to-do brahmin.

    สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘ยาวเทวายํ ภวํ ปุริโส ทหโร โหติ ยุวา สุสุกาฬเกโส ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา ตาวเทว ปรเมน ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต โหติฯ ยโต จ โข อยํ ภวํ ปุริโส ชิณฺโณ โหติ วุทฺโธ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปตฺโต, อาสีติโก วา นาวุติโก วา วสฺสสติโก วา ชาติยา, อถ ตมฺหา ปญฺญาเวยฺยตฺติยา, ปริหายตี'ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ อหํ โข ปน, สาริปุตฺต, เอตรหิ ชิณฺโณ วุทฺโธ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปตฺโต, อาสีติโก เม วโย วตฺตติฯ อิธ เม อสฺสุ, สาริปุตฺต, จตฺตาโร สาวกา วสฺสสตายุกา วสฺสสตชีวิโน, ปรมาย สติยา จ คติยา จ ธิติยา จ สมนฺนาคตา ปรเมน จ ปญฺญาเวยฺยตฺติเยนฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ทฬฺหธมฺมา ธนุคฺคโห สิกฺขิโต กตหตฺโถ กตูปาสโน ลหุเกน อสเนน อปฺปกสิเรเนว ติริยํ ตาลจฺฉายํ อติปาเตยฺย, เอวํ อธิมตฺตสติมนฺโต เอวํ อธิมตฺตคติมนฺโต เอวํ อธิมตฺตธิติมนฺโต เอวํ ปรเมน ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคตาฯ เต มํ จตุนฺนํ สติปฏฺฐานานํ อุปาทายุปาทาย ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยุํ, ปุฏฺโฐ ปุฏฺโฐ จาหํ เตสํ พฺยากเรยฺยํ, พฺยากตญฺจ เม พฺยากตโต ธาเรยฺยุํ, น จ มํ ทุติยกํ อุตฺตริ ปฏิปุจฺเฉยฺยุํฯ อญฺญตฺร อสิตปีตขายิตสายิตา อญฺญตฺร อุจฺจารปสฺสาวกมฺมา, อญฺญตฺร นิทฺทากิลมถปฏิวิโนทนา อปริยาทินฺนาเยวสฺส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา, อปริยาทินฺนํเยวสฺส ตถาคตสฺส ธมฺมปทพฺยญฺชนํ, อปริยาทินฺนํเยวสฺส ตถาคตสฺส ปญฺหปฏิภานํฯ อถ เม เต จตฺตาโร สาวกา วสฺสสตายุกา วสฺสสตชีวิโน วสฺสสตสฺส อจฺจเยน กาลํ กเรยฺยุํฯ มญฺจเกน เจปิ มํ, สาริปุตฺต, ปริหริสฺสถ, เนวตฺถิ ตถาคตสฺส ปญฺญาเวยฺยตฺติยสฺส อญฺญถตฺตํฯ

    There are some ascetics and brahmins who have this doctrine and view: ‘So long as this gentleman is youthful, young, black-haired, blessed with youth, in the prime of life he will be endowed with perfect lucidity of wisdom. But when he’s old, elderly, and senior, advanced in years, and has reached the final stage of life—eighty, ninety, or a hundred years old—he will lose his lucidity of wisdom.’ But you should not see it like this. For now I am old, elderly, and senior, I’m advanced in years, and have reached the final stage of life. I am eighty years old. Suppose I had four disciples with a lifespan of a hundred years. And they each were perfect in memory, range, retention, and perfect lucidity of wisdom. Imagine how easily a well-trained expert archer with a strong bow would shoot a light arrow across the shadow of a palm tree. That’s how extraordinary they were in memory, range, retention, and perfect lucidity of wisdom. They’d bring up questions about the four kinds of mindfulness meditation again and again, and I would answer each question. They’d remember the answers and not ask the same question twice. And they’d pause only to eat and drink, go to the toilet, and sleep to dispel weariness. But the Realized One would not run out of Dhamma teachings, words and phrases of the teachings, or spontaneous answers. And at the end of a hundred years my four disciples would pass away. Even if you have to carry me around on a stretcher, there will never be any deterioration in the Realized One’s lucidity of wisdom.

    ยํ โข ตํ, สาริปุตฺต, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘อสมฺโมหธมฺโม สตฺโต โลเก อุปฺปนฺโน พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'ติ, มเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย ‘อสมฺโมหธมฺโม สตฺโต โลเก อุปฺปนฺโน พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานนฺ'”ติฯ

    And if there’s anyone of whom it may be rightly said that a being not liable to delusion has arisen in the world for the welfare and happiness of the people, out of compassion for the world, for the benefit, welfare, and happiness of gods and humans, it’s of me that this should be said.”

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคสมาโล ภควโต ปิฏฺฐิโต ฐิโต โหติ ภควนฺตํ พีชยมาโนฯ อถ โข อายสฺมา นาคสมาโล ภควนฺตํ เอตทโวจ:

    Now at that time Venerable Nāgasamāla was standing behind the Buddha fanning him. Then he said to the Buddha:

    “อจฺฉริยํ, ภนฺเต, อพฺภุตํ, ภนฺเตฯ อปิ หิ เม, ภนฺเต, อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา โลมานิ หฏฺฐานิฯ โกนาโม อยํ, ภนฺเต, ธมฺมปริยาโย”ติ?

    “It’s incredible, sir, it’s amazing! While I was listening to this exposition of the teaching my hair stood up! What is the name of this exposition of the teaching?”

    “ตสฺมาติห ตฺวํ, นาคสมาล, อิมํ ธมฺมปริยายํ โลมหํสนปริยาโยเตฺวว นํ ธาเรหี”ติฯ

    “Well, Nāgasamāla, you may remember this exposition of the teaching as ‘The Hair-raising Discourse’.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา นาคสมาโล ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Nāgasamāla was happy with what the Buddha said.

    มหาสีหนาทสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทุติยํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact