Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya

    ๒. มหาสีหนาทสุตฺตํ

    2. Mahāsīhanādasuttaṃ

    ๑๔๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ พหินคเร อปรปุเร วนสเณฺฑฯ เตน โข ปน สมเยน สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต อจิรปกฺกโนฺต โหติ อิมสฺมา ธมฺมวินยาฯ โส เวสาลิยํ ปริสติ 1 เอวํ 2 วาจํ ภาสติ – ‘‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริ 3 มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธโมฺม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’’ติฯ

    146. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā vesāliyaṃ viharati bahinagare aparapure vanasaṇḍe. Tena kho pana samayena sunakkhatto licchaviputto acirapakkanto hoti imasmā dhammavinayā. So vesāliyaṃ parisati 4 evaṃ 5 vācaṃ bhāsati – ‘‘natthi samaṇassa gotamassa uttari 6 manussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso. Takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ. Yassa ca khvāssa atthāya dhammo desito so niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyā’’ti.

    อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย เวสาลิํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อโสฺสสิ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต สุนกฺขตฺตสฺส ลิจฺฉวิปุตฺตสฺส เวสาลิยํ ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสมานสฺส – ‘‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธโมฺม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’’ติฯ

    Atha kho āyasmā sāriputto pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya vesāliṃ piṇḍāya pāvisi. Assosi kho āyasmā sāriputto sunakkhattassa licchaviputtassa vesāliyaṃ parisati evaṃ vācaṃ bhāsamānassa – ‘‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso. Takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ. Yassa ca khvāssa atthāya dhammo desito so niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyā’’ti.

    อถ โข อายสฺมา สาริปุโตฺต เวสาลิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา สาริปุโตฺต ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สุนกฺขโตฺต, ภเนฺต, ลิจฺฉวิปุโตฺต อจิรปกฺกโนฺต อิมสฺมา ธมฺมวินยาฯ โส เวสาลิยํ ปริสติ เอวํ วาจํ ภาสติ – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภานํฯ ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธโมฺม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’’’ติฯ

    Atha kho āyasmā sāriputto vesāliyaṃ piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā sāriputto bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘sunakkhatto, bhante, licchaviputto acirapakkanto imasmā dhammavinayā. So vesāliyaṃ parisati evaṃ vācaṃ bhāsati – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso. Takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhānaṃ. Yassa ca khvāssa atthāya dhammo desito so niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyā’’’ti.

    ๑๔๗. ‘‘โกธโน เหโส, สาริปุตฺต, สุนกฺขโตฺต โมฆปุริโสฯ โกธา จ ปนสฺส เอสา วาจา ภาสิตาฯ ‘อวณฺณํ ภาสิสฺสามี’ติ โข, สาริปุตฺต, สุนกฺขโตฺต โมฆปุริโส วณฺณํเยว ตถาคตสฺส ภาสติ ฯ วโณฺณ เหโส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส โย เอวํ วเทยฺย – ‘ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธโมฺม เทสิโต โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’ติฯ

    147. ‘‘Kodhano heso, sāriputta, sunakkhatto moghapuriso. Kodhā ca panassa esā vācā bhāsitā. ‘Avaṇṇaṃ bhāsissāmī’ti kho, sāriputta, sunakkhatto moghapuriso vaṇṇaṃyeva tathāgatassa bhāsati . Vaṇṇo heso, sāriputta, tathāgatassa yo evaṃ vadeyya – ‘yassa ca khvāssa atthāya dhammo desito so niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyā’ti.

    ‘‘อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ – ‘อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ, สตฺถา เทวมนุสฺสานํ, พุโทฺธ ภควา’ติฯ

    ‘‘Ayampi hi nāma, sāriputta, sunakkhattassa moghapurisassa mayi dhammanvayo na bhavissati – ‘itipi so bhagavā arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi, satthā devamanussānaṃ, buddho bhagavā’ti.

    ‘‘อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ – ‘อิติปิ โส ภควา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภติ – เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ; ติโรกุฎฺฎํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรติ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาโน คจฺฉติ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลเงฺกน กมติ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสติ ปริมชฺชติ; ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วเตฺตตี’ติฯ

    ‘‘Ayampi hi nāma, sāriputta, sunakkhattassa moghapurisassa mayi dhammanvayo na bhavissati – ‘itipi so bhagavā anekavihitaṃ iddhividhaṃ paccanubhoti – ekopi hutvā bahudhā hoti, bahudhāpi hutvā eko hoti; āvibhāvaṃ, tirobhāvaṃ; tirokuṭṭaṃ tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchati, seyyathāpi ākāse; pathaviyāpi ummujjanimujjaṃ karoti, seyyathāpi udake; udakepi abhijjamāno gacchati, seyyathāpi pathaviyaṃ; ākāsepi pallaṅkena kamati, seyyathāpi pakkhī sakuṇo; imepi candimasūriye evaṃmahiddhike evaṃmahānubhāve pāṇinā parimasati parimajjati; yāva brahmalokāpi kāyena vasaṃ vattetī’ti.

    ‘‘อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ – ‘อิติปิ โส ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สเทฺท สุณาติ – ทิเพฺพ จ มานุเส จ, เย ทูเร สนฺติเก จา’ติฯ

    ‘‘Ayampi hi nāma, sāriputta, sunakkhattassa moghapurisassa mayi dhammanvayo na bhavissati – ‘itipi so bhagavā dibbāya sotadhātuyā visuddhāya atikkantamānusikāya ubho sadde suṇāti – dibbe ca mānuse ca, ye dūre santike cā’ti.

    ‘‘อยมฺปิ หิ นาม, สาริปุตฺต, สุนกฺขตฺตสฺส โมฆปุริสสฺส มยิ ธมฺมนฺวโย น ภวิสฺสติ – ‘อิติปิ โส ภควา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาติ – สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สํขิตฺตํ วา จิตฺตํ สํขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ , วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สอุตฺตรํ วา จิตฺตํ สอุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ, อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาตี’ติฯ

    ‘‘Ayampi hi nāma, sāriputta, sunakkhattassa moghapurisassa mayi dhammanvayo na bhavissati – ‘itipi so bhagavā parasattānaṃ parapuggalānaṃ cetasā ceto paricca pajānāti – sarāgaṃ vā cittaṃ sarāgaṃ cittanti pajānāti, vītarāgaṃ vā cittaṃ vītarāgaṃ cittanti pajānāti; sadosaṃ vā cittaṃ sadosaṃ cittanti pajānāti, vītadosaṃ vā cittaṃ vītadosaṃ cittanti pajānāti; samohaṃ vā cittaṃ samohaṃ cittanti pajānāti, vītamohaṃ vā cittaṃ vītamohaṃ cittanti pajānāti; saṃkhittaṃ vā cittaṃ saṃkhittaṃ cittanti pajānāti , vikkhittaṃ vā cittaṃ vikkhittaṃ cittanti pajānāti; mahaggataṃ vā cittaṃ mahaggataṃ cittanti pajānāti, amahaggataṃ vā cittaṃ amahaggataṃ cittanti pajānāti; sauttaraṃ vā cittaṃ sauttaraṃ cittanti pajānāti, anuttaraṃ vā cittaṃ anuttaraṃ cittanti pajānāti; samāhitaṃ vā cittaṃ samāhitaṃ cittanti pajānāti, asamāhitaṃ vā cittaṃ asamāhitaṃ cittanti pajānāti; vimuttaṃ vā cittaṃ vimuttaṃ cittanti pajānāti, avimuttaṃ vā cittaṃ avimuttaṃ cittanti pajānātī’ti.

    ๑๔๘. ‘‘ทส โข ปนิมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ กตมานิ ทส?

    148. ‘‘Dasa kho panimāni, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalāni yehi balehi samannāgato tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti. Katamāni dasa?

    ‘‘อิธ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Idha, sāriputta, tathāgato ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ กมฺมสมาทานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนานํ กมฺมสมาทานานํ ฐานโส เหตุโส วิปากํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato atītānāgatapaccuppannānaṃ kammasamādānānaṃ ṭhānaso hetuso vipākaṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato atītānāgatapaccuppannānaṃ kammasamādānānaṃ ṭhānaso hetuso vipākaṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สพฺพตฺถคามินิํ ปฎิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ , สาริปุตฺต, ตถาคโต สพฺพตฺถคามินิํ ปฎิปทํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato sabbatthagāminiṃ paṭipadaṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi , sāriputta, tathāgato sabbatthagāminiṃ paṭipadaṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato anekadhātunānādhātulokaṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato anekadhātunānādhātulokaṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato sattānaṃ nānādhimuttikataṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato sattānaṃ nānādhimuttikataṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato parasattānaṃ parapuggalānaṃ indriyaparopariyattaṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato parasattānaṃ parapuggalānaṃ indriyaparopariyattaṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สํกิเลสํ โวทานํ วุฎฺฐานํ ยถาภูตํ ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สํกิเลสํ โวทานํ วุฎฺฐานํ ยถาภูตํ ปชานาติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato jhānavimokkhasamādhisamāpattīnaṃ saṃkilesaṃ vodānaṃ vuṭṭhānaṃ yathābhūtaṃ pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato jhānavimokkhasamādhisamāpattīnaṃ saṃkilesaṃ vodānaṃ vuṭṭhānaṃ yathābhūtaṃ pajānāti, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ติํสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป – ‘อมุตฺราสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทิํ; ตตฺราปาสิํ เอวํนาโม เอวํโคโตฺต เอวํวโณฺณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที เอวมายุปริยโนฺต, โส ตโต จุโต อิธูปปโนฺน’ติฯ อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, เสยฺยถิทํ – เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย…เป.… อิติ สาการํ สอุเทฺทสํ อเนกวิหิตํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo tissopi jātiyo catassopi jātiyo pañcapi jātiyo dasapi jātiyo vīsampi jātiyo tiṃsampi jātiyo cattālīsampi jātiyo paññāsampi jātiyo jātisatampi jātisahassampi jātisatasahassampi anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe – ‘amutrāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto amutra udapādiṃ; tatrāpāsiṃ evaṃnāmo evaṃgotto evaṃvaṇṇo evamāhāro evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedī evamāyupariyanto, so tato cuto idhūpapanno’ti. Iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati. Yampi, sāriputta, tathāgato anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, seyyathidaṃ – ekampi jātiṃ dvepi jātiyo…pe… iti sākāraṃ sauddesaṃ anekavihitaṃ pubbenivāsaṃ anussarati, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติ – ‘อิเม วต โภโนฺต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มิจฺฉาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภโนฺต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฎฺฐิกา สมฺมาทิฎฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา’ติฯ อิติ ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สเตฺต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวเณฺณ ทุพฺพเณฺณ สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สเตฺต ปชานาติฯ อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti. Yampi, sāriputta, tathāgato dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti – ‘ime vata bhonto sattā kāyaduccaritena samannāgatā vacīduccaritena samannāgatā manoduccaritena samannāgatā ariyānaṃ upavādakā micchādiṭṭhikā micchādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannā. Ime vā pana bhonto sattā kāyasucaritena samannāgatā vacīsucaritena samannāgatā manosucaritena samannāgatā ariyānaṃ anupavādakā sammādiṭṭhikā sammādiṭṭhikammasamādānā, te kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannā’ti. Iti dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena satte passati cavamāne upapajjamāne hīne paṇīte suvaṇṇe dubbaṇṇe sugate duggate yathākammūpage satte pajānāti. Idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘ปุน จปรํ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ยมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคโต อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ, อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ โหติ ยํ พลํ อาคมฺม ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Puna caparaṃ, sāriputta, tathāgato āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati. Yampi, sāriputta, tathāgato āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati, idampi, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalaṃ hoti yaṃ balaṃ āgamma tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘อิมานิ โข, สาริปุตฺต, ทส ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Imāni kho, sāriputta, dasa tathāgatassa tathāgatabalāni yehi balehi samannāgato tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ๑๔๙. ‘‘โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส; ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภาน’นฺติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย, ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ

    149. ‘‘Yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jānantaṃ evaṃ passantaṃ evaṃ vadeyya – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso; takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhāna’nti, taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi. Taṃ vācaṃ appahāya, taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye.

    ๑๕๐. ‘‘จตฺตาริมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส เวสารชฺชานิ เยหิ เวสารเชฺชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ กตมานิ จตฺตาริ?

    150. ‘‘Cattārimāni, sāriputta, tathāgatassa vesārajjāni yehi vesārajjehi samannāgato tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti. Katamāni cattāri?

    ‘‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฎิชานโต อิเม ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธา’ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมิํ สหธเมฺมน ปฎิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ 7, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    ‘‘‘Sammāsambuddhassa te paṭijānato ime dhammā anabhisambuddhā’ti. Tatra vata maṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā koci vā lokasmiṃ sahadhammena paṭicodessatīti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmi. Etamahaṃ 8, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘‘ขีณาสวสฺส เต ปฎิชานโต อิเม อาสวา อปริกฺขีณา’ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมิํ สหธเมฺมน ปฎิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    ‘‘‘Khīṇāsavassa te paṭijānato ime āsavā aparikkhīṇā’ti. Tatra vata maṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā koci vā lokasmiṃ sahadhammena paṭicodessatīti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmi. Etamahaṃ, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘‘เย โข ปน เต อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา, เต ปฎิเสวโต นาลํ อนฺตรายายา’ติฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมิํ สหธเมฺมน ปฎิโจเทสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    ‘‘‘Ye kho pana te antarāyikā dhammā vuttā, te paṭisevato nālaṃ antarāyāyā’ti. Tatra vata maṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā koci vā lokasmiṃ sahadhammena paṭicodessatīti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmi. Etamahaṃ, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘‘ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ธโมฺม เทสิโต, โส น นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายา’ติ ฯ ตตฺร วต มํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา โกจิ วา โลกสฺมิํ สหธเมฺมน ปฎิโจเทสฺสตี’ติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    ‘‘‘Yassa kho pana te atthāya dhammo desito, so na niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyā’ti . Tatra vata maṃ samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā koci vā lokasmiṃ sahadhammena paṭicodessatī’ti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmi. Etamahaṃ, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘อิมานิ โข, สาริปุตฺต, จตฺตาริ ตถาคตสฺส เวสารชฺชานิ เยหิ เวสารเชฺชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ, พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตติฯ

    ‘‘Imāni kho, sāriputta, cattāri tathāgatassa vesārajjāni yehi vesārajjehi samannāgato tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, parisāsu sīhanādaṃ nadati, brahmacakkaṃ pavatteti.

    ‘‘โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภาน’นฺติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ

    ‘‘Yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jānantaṃ evaṃ passantaṃ evaṃ vadeyya – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso, takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhāna’nti, taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi. Taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye.

    ๑๕๑. ‘‘อฎฺฐ โข อิมา, สาริปุตฺต, ปริสาฯ กตมา อฎฺฐ? ขตฺติยปริสา, พฺราหฺมณปริสา, คหปติปริสา, สมณปริสา, จาตุมหาราชิกปริสา 9, ตาวติํสปริสา, มารปริสา, พฺรหฺมปริสา – อิมา โข, สาริปุตฺต, อฎฺฐ ปริสาฯ อิเมหิ โข, สาริปุตฺต, จตูหิ เวสารเชฺชหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อิมา อฎฺฐ ปริสา อุปสงฺกมติ อโชฺฌคาหติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพเญฺจว, สลฺลปิตปุพฺพญฺจ, สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺร วต มํ ภยํ วา สารชฺชํ วา โอกฺกมิสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต, น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    151. ‘‘Aṭṭha kho imā, sāriputta, parisā. Katamā aṭṭha? Khattiyaparisā, brāhmaṇaparisā, gahapatiparisā, samaṇaparisā, cātumahārājikaparisā 10, tāvatiṃsaparisā, māraparisā, brahmaparisā – imā kho, sāriputta, aṭṭha parisā. Imehi kho, sāriputta, catūhi vesārajjehi samannāgato tathāgato imā aṭṭha parisā upasaṅkamati ajjhogāhati. Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, anekasataṃ khattiyaparisaṃ upasaṅkamitā. Tatrapi mayā sannisinnapubbañceva, sallapitapubbañca, sākacchā ca samāpajjitapubbā. Tatra vata maṃ bhayaṃ vā sārajjaṃ vā okkamissatīti nimittametaṃ, sāriputta, na samanupassāmi. Etamahaṃ, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อเนกสตํ พฺราหฺมณปริสํ…เป.… คหปติปริสํ… สมณปริสํ… จาตุมหาราชิกปริสํ… ตาวติํสปริสํ… มารปริสํ… พฺรหฺมปริสํ อุปสงฺกมิตาฯ ตตฺรปิ มยา สนฺนิสินฺนปุพฺพเญฺจว, สลฺลปิตปุพฺพญฺจ, สากจฺฉา จ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ ตตฺร วต มํ ภยํ วา สารชฺชํ วา โอกฺกมิสฺสตีติ นิมิตฺตเมตํ, สาริปุตฺต , น สมนุปสฺสามิฯ เอตมหํ, สาริปุตฺต, นิมิตฺตํ อสมนุปสฺสโนฺต เขมปฺปโตฺต อภยปฺปโตฺต เวสารชฺชปฺปโตฺต วิหรามิฯ

    ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, anekasataṃ brāhmaṇaparisaṃ…pe… gahapatiparisaṃ… samaṇaparisaṃ… cātumahārājikaparisaṃ… tāvatiṃsaparisaṃ… māraparisaṃ… brahmaparisaṃ upasaṅkamitā. Tatrapi mayā sannisinnapubbañceva, sallapitapubbañca, sākacchā ca samāpajjitapubbā. Tatra vata maṃ bhayaṃ vā sārajjaṃ vā okkamissatīti nimittametaṃ, sāriputta , na samanupassāmi. Etamahaṃ, sāriputta, nimittaṃ asamanupassanto khemappatto abhayappatto vesārajjappatto viharāmi.

    ‘‘โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภาน’นฺติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ

    ‘‘Yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jānantaṃ evaṃ passantaṃ evaṃ vadeyya – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso, takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhāna’nti, taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi. Taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye.

    ๑๕๒. ‘‘จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโยฯ กตมา จตโสฺส? อณฺฑชา โยนิ, ชลาพุชา โยนิ, สํเสทชา โยนิ, โอปปาติกา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, อณฺฑชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา อณฺฑโกสํ อภินิพฺภิชฺช ชายนฺติ – อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, อณฺฑชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, ชลาพุชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา วตฺถิโกสํ อภินิพฺภิชฺช ชายนฺติ – อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, ชลาพุชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, สํเสทชา โยนิ? เย โข เต, สาริปุตฺต, สตฺตา ปูติมเจฺฉ วา ชายนฺติ ปูติกุณเป วา ปูติกุมฺมาเส วา จนฺทนิกาเย วา โอฬิคเลฺล วา ชายนฺติ – อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, สํเสทชา โยนิฯ กตมา จ, สาริปุตฺต, โอปปาติกา โยนิ? เทวา, เนรยิกา, เอกเจฺจ จ มนุสฺสา, เอกเจฺจ จ วินิปาติกา – อยํ วุจฺจติ, สาริปุตฺต, โอปปาติกา โยนิฯ อิมา โข, สาริปุตฺต, จตโสฺส โยนิโยฯ

    152. ‘‘Catasso kho imā, sāriputta, yoniyo. Katamā catasso? Aṇḍajā yoni, jalābujā yoni, saṃsedajā yoni, opapātikā yoni. Katamā ca, sāriputta, aṇḍajā yoni? Ye kho te, sāriputta, sattā aṇḍakosaṃ abhinibbhijja jāyanti – ayaṃ vuccati, sāriputta, aṇḍajā yoni. Katamā ca, sāriputta, jalābujā yoni? Ye kho te, sāriputta, sattā vatthikosaṃ abhinibbhijja jāyanti – ayaṃ vuccati, sāriputta, jalābujā yoni. Katamā ca, sāriputta, saṃsedajā yoni? Ye kho te, sāriputta, sattā pūtimacche vā jāyanti pūtikuṇape vā pūtikummāse vā candanikāye vā oḷigalle vā jāyanti – ayaṃ vuccati, sāriputta, saṃsedajā yoni. Katamā ca, sāriputta, opapātikā yoni? Devā, nerayikā, ekacce ca manussā, ekacce ca vinipātikā – ayaṃ vuccati, sāriputta, opapātikā yoni. Imā kho, sāriputta, catasso yoniyo.

    ‘‘โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส, ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภาน’นฺติ, ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิฯ ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ

    ‘‘Yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jānantaṃ evaṃ passantaṃ evaṃ vadeyya – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso, takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhāna’nti, taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi. Taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye.

    ๑๕๓. ‘‘ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโยฯ กตมา ปญฺจ? นิรโย, ติรจฺฉานโยนิ, เปตฺติวิสโย, มนุสฺสา, เทวาฯ นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, นิรยคามิญฺจ มคฺคํ, นิรยคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ ติรจฺฉานโยนิญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, ติรจฺฉานโยนิคามิญฺจ มคฺคํ, ติรจฺฉานโยนิคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ เปตฺติวิสยํ จาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, เปตฺติวิสยคามิญฺจ มคฺคํ, เปตฺติวิสยคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ มนุเสฺส จาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, มนุสฺสโลกคามิญฺจ มคฺคํ , มนุสฺสโลกคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ เทเว จาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, เทวโลกคามิญฺจ มคฺคํ, เทวโลกคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิฯ นิพฺพานญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, นิพฺพานคามิญฺจ มคฺคํ, นิพฺพานคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ ตญฺจ ปชานามิฯ

    153. ‘‘Pañca kho imā, sāriputta, gatiyo. Katamā pañca? Nirayo, tiracchānayoni, pettivisayo, manussā, devā. Nirayañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, nirayagāmiñca maggaṃ, nirayagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Tiracchānayoniñcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, tiracchānayonigāmiñca maggaṃ, tiracchānayonigāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapajjati tañca pajānāmi. Pettivisayaṃ cāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, pettivisayagāmiñca maggaṃ, pettivisayagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Manusse cāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, manussalokagāmiñca maggaṃ , manussalokagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapajjati tañca pajānāmi. Deve cāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, devalokagāmiñca maggaṃ, devalokagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjati tañca pajānāmi. Nibbānañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, nibbānagāmiñca maggaṃ, nibbānagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharati tañca pajānāmi.

    ๑๕๔. ‘‘อิธาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, องฺคารกาสุ สาธิกโปริสา ปูรา องฺคารานํ วีตจฺจิกานํ วีตธูมานํฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว องฺคารกาสุํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว องฺคารกาสุํ อาคมิสฺสตี’ติ ฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺสา องฺคารกาสุยา ปติตํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    154. ‘‘Idhāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannaṃ, ekantadukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, aṅgārakāsu sādhikaporisā pūrā aṅgārānaṃ vītaccikānaṃ vītadhūmānaṃ. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva aṅgārakāsuṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathāyaṃ bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā imaṃyeva aṅgārakāsuṃ āgamissatī’ti . Tamenaṃ passeyya aparena samayena tassā aṅgārakāsuyā patitaṃ, ekantadukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapannaṃ, ekantadukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ.

    ‘‘อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, คูถกูโป สาธิกโปริโส, ปูโร คูถสฺสฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว คูถกูปํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา อิมํเยว คูถกูปํ อาคมิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺมิํ คูถกูเป ปติตํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา เวทยมานํฯ

    ‘‘Idha panāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapannaṃ, dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, gūthakūpo sādhikaporiso, pūro gūthassa. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva gūthakūpaṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathāyaṃ bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho yathā imaṃyeva gūthakūpaṃ āgamissatī’ti. Tamenaṃ passeyya aparena samayena tasmiṃ gūthakūpe patitaṃ, dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapannaṃ, dukkhā tibbā kaṭukā vedanā vedayamānaṃ.

    ‘‘อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, รุโกฺข วิสเม ภูมิภาเค ชาโต ตนุปตฺตปลาโส กพรจฺฉาโย ฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว รุกฺขํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว รุกฺขํ อาคมิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย, อปเรน สมเยน ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปนฺนํ, ทุกฺขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    ‘‘Idha panāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapannaṃ, dukkhabahulā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, rukkho visame bhūmibhāge jāto tanupattapalāso kabaracchāyo . Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva rukkhaṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathāyaṃ bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā imaṃyeva rukkhaṃ āgamissatī’ti. Tamenaṃ passeyya, aparena samayena tassa rukkhassa chāyāya nisinnaṃ vā nipannaṃ vā dukkhabahulā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapannaṃ, dukkhabahulā vedanā vedayamānaṃ.

    ‘‘อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปนฺนํ, สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, รุโกฺข สเม ภูมิภาเค ชาโต พหลปตฺตปลาโส สนฺทจฺฉาโย 11ฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว รุกฺขํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมเมว รุกฺขํ อาคมิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุเสฺสสุ อุปปนฺนํ, สุขพหุลา เวทนา เวทยมานํฯ

    ‘‘Idha panāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapannaṃ, sukhabahulā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, rukkho same bhūmibhāge jāto bahalapattapalāso sandacchāyo 12. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva rukkhaṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathāyaṃ bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā imameva rukkhaṃ āgamissatī’ti. Tamenaṃ passeyya aparena samayena tassa rukkhassa chāyāya nisinnaṃ vā nipannaṃ vā sukhabahulā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussesu upapannaṃ, sukhabahulā vedanā vedayamānaṃ.

    ‘‘อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ปาสาโท, ตตฺราสฺส กูฎาคารํ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตํ นิวาตํ ผุสิตคฺคฬํ ปิหิตวาตปานํฯ ตตฺราสฺส ปลฺลโงฺก โคนกตฺถโต ปฎิกตฺถโต ปฎลิกตฺถโต กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรโณ สอุตฺตรจฺฉโท อุภโตโลหิตกูปธาโนฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว ปาสาทํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถายํ ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว ปาสาทํ อาคมิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตสฺมิํ ปาสาเท ตสฺมิํ กูฎาคาเร ตสฺมิํ ปลฺลเงฺก นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห ยถา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชิสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกน กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคติํ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ

    ‘‘Idha panāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissatī’ti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannaṃ, ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, pāsādo, tatrāssa kūṭāgāraṃ ullittāvalittaṃ nivātaṃ phusitaggaḷaṃ pihitavātapānaṃ. Tatrāssa pallaṅko gonakatthato paṭikatthato paṭalikatthato kadalimigapavarapaccattharaṇo sauttaracchado ubhatolohitakūpadhāno. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva pāsādaṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathāyaṃ bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā imaṃyeva pāsādaṃ āgamissatī’ti. Tamenaṃ passeyya aparena samayena tasmiṃ pāsāde tasmiṃ kūṭāgāre tasmiṃ pallaṅke nisinnaṃ vā nipannaṃ vā ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho yathā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapajjissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena kāyassa bhedā paraṃ maraṇā sugatiṃ saggaṃ lokaṃ upapannaṃ, ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ.

    ‘‘อิธ ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกจฺจํ ปุคฺคลํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อาสวานํ ขยา อนาสํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสตีติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, โปกฺขรณี อโจฺฉทกา สาโตทกา สีโตทกา เสตกา สุปติตฺถา รมณียาฯ อวิทูเร จสฺสา ติโพฺพ วนสโณฺฑฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ฆมฺมาภิตโตฺต ฆมฺมปเรโต กิลโนฺต ตสิโต ปิปาสิโต เอกายเนน มเคฺคน ตเมว โปกฺขรณิํ ปณิธายฯ ตเมนํ จกฺขุมา ปุริโส ทิสฺวา เอวํ วเทยฺย – ‘ตถา ภวํ ปุริโส ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อิมํเยว โปกฺขรณิํ อาคมิสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปเสฺสยฺย อปเรน สมเยน ตํ โปกฺขรณิํ โอคาเหตฺวา นฺหายิตฺวา จ ปิวิตฺวา จ สพฺพทรถกิลมถปริฬาหํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ตสฺมิํ วนสเณฺฑ นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, อิเธกจฺจํ ปุคฺคลํ เอวํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานามิ – ตถายํ ปุคฺคโล ปฎิปโนฺน ตถา จ อิริยติ ตญฺจ มคฺคํ สมารูโฬฺห, ยถา อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสตี’ติฯ ตเมนํ ปสฺสามิ อปเรน สมเยน อาสวานํ ขยา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหรนฺตํ, เอกนฺตสุขา เวทนา เวทยมานํฯ อิมา โข, สาริปุตฺต, ปญฺจ คติโยฯ

    ‘‘Idha panāhaṃ, sāriputta, ekaccaṃ puggalaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā āsavānaṃ khayā anāsaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissatīti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharantaṃ, ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, pokkharaṇī acchodakā sātodakā sītodakā setakā supatitthā ramaṇīyā. Avidūre cassā tibbo vanasaṇḍo. Atha puriso āgaccheyya ghammābhitatto ghammapareto kilanto tasito pipāsito ekāyanena maggena tameva pokkharaṇiṃ paṇidhāya. Tamenaṃ cakkhumā puriso disvā evaṃ vadeyya – ‘tathā bhavaṃ puriso paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā imaṃyeva pokkharaṇiṃ āgamissatī’ti. Tamenaṃ passeyya aparena samayena taṃ pokkharaṇiṃ ogāhetvā nhāyitvā ca pivitvā ca sabbadarathakilamathapariḷāhaṃ paṭippassambhetvā paccuttaritvā tasmiṃ vanasaṇḍe nisinnaṃ vā nipannaṃ vā, ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ. Evameva kho ahaṃ, sāriputta, idhekaccaṃ puggalaṃ evaṃ cetasā ceto paricca pajānāmi – tathāyaṃ puggalo paṭipanno tathā ca iriyati tañca maggaṃ samārūḷho, yathā āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissatī’ti. Tamenaṃ passāmi aparena samayena āsavānaṃ khayā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharantaṃ, ekantasukhā vedanā vedayamānaṃ. Imā kho, sāriputta, pañca gatiyo.

    ‘‘โย โข มํ, สาริปุตฺต, เอวํ ชานนฺตํ เอวํ ปสฺสนฺตํ เอวํ วเทยฺย – ‘นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส; ตกฺกปริยาหตํ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสติ วีมํสานุจริตํ สยํปฎิภาน’นฺติ ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สีลสมฺปโนฺน สมาธิสมฺปโนฺน ปญฺญาสมฺปโนฺน ทิเฎฺฐว ธเมฺม อญฺญํ อาราเธยฺย, เอวํ สมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิ ‘ตํ วาจํ อปฺปหาย ตํ จิตฺตํ อปฺปหาย ตํ ทิฎฺฐิํ อปฺปฎินิสฺสชฺชิตฺวา ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเย’ฯ

    ‘‘Yo kho maṃ, sāriputta, evaṃ jānantaṃ evaṃ passantaṃ evaṃ vadeyya – ‘natthi samaṇassa gotamassa uttarimanussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso; takkapariyāhataṃ samaṇo gotamo dhammaṃ deseti vīmaṃsānucaritaṃ sayaṃpaṭibhāna’nti taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye. Seyyathāpi, sāriputta, bhikkhu sīlasampanno samādhisampanno paññāsampanno diṭṭheva dhamme aññaṃ ārādheyya, evaṃ sampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi ‘taṃ vācaṃ appahāya taṃ cittaṃ appahāya taṃ diṭṭhiṃ appaṭinissajjitvā yathābhataṃ nikkhitto evaṃ niraye’.

    ๑๕๕. ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคตํ พฺรหฺมจริยํ จริตา 13 – ตปสฺสี สุทํ โหมิ ปรมตปสฺสี, ลูโข สุทํ 14 โหมิ ปรมลูโข, เชคุจฺฉี สุทํ โหมิ ปรมเชคุจฺฉี, ปวิวิโตฺต สุทํ 15 โหมิ ปรมปวิวิโตฺต ฯ ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ตปสฺสิตาย โหติ – อเจลโก โหมิ มุตฺตาจาโร หตฺถาปเลขโน 16, น เอหิภทฺทนฺติโก น ติฎฺฐภทฺทนฺติโก; นาภิหฎํ น อุทฺทิสฺสกตํ น นิมนฺตนํ สาทิยามิฯ โส น กุมฺภิมุขา ปฎิคฺคณฺหามิ, น กโฬปิมุขา ปฎิคฺคณฺหามิ, น เอฬกมนฺตรํ, น ทณฺฑมนฺตรํ, น มุสลมนฺตรํ, น ทฺวินฺนํ ภุญฺชมานานํ, น คพฺภินิยา, น ปายมานาย 17, น ปุริสนฺตรคตาย, น สงฺกิตฺตีสุ, น ยตฺถ สา อุปฎฺฐิโต โหติ, น ยตฺถ มกฺขิกา สณฺฑสณฺฑจารินี; น มจฺฉํ น มํสํ น สุรํ น เมรยํ น ถุโสทกํ ปิวามิ; โส เอกาคาริโก วา โหมิ เอกาโลปิโก, ทฺวาคาริโก วา โหมิ ทฺวาโลปิโก…เป.… สตฺตาคาริโก วา โหมิ สตฺตาโลปิโก; เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา ยาเปมิ, ทฺวีหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปมิ…เป.… สตฺตหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปมิ; เอกาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ, ทฺวีหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ…เป.… สตฺตาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรมิ; อิติ เอวรูปํ อทฺธมาสิกมฺปิ ปริยายภตฺตโภชนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรามิฯ

    155. ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgataṃ brahmacariyaṃ caritā 18 – tapassī sudaṃ homi paramatapassī, lūkho sudaṃ 19 homi paramalūkho, jegucchī sudaṃ homi paramajegucchī, pavivitto sudaṃ 20 homi paramapavivitto . Tatrāssu me idaṃ, sāriputta, tapassitāya hoti – acelako homi muttācāro hatthāpalekhano 21, na ehibhaddantiko na tiṭṭhabhaddantiko; nābhihaṭaṃ na uddissakataṃ na nimantanaṃ sādiyāmi. So na kumbhimukhā paṭiggaṇhāmi, na kaḷopimukhā paṭiggaṇhāmi, na eḷakamantaraṃ, na daṇḍamantaraṃ, na musalamantaraṃ, na dvinnaṃ bhuñjamānānaṃ, na gabbhiniyā, na pāyamānāya 22, na purisantaragatāya, na saṅkittīsu, na yattha sā upaṭṭhito hoti, na yattha makkhikā saṇḍasaṇḍacārinī; na macchaṃ na maṃsaṃ na suraṃ na merayaṃ na thusodakaṃ pivāmi; so ekāgāriko vā homi ekālopiko, dvāgāriko vā homi dvālopiko…pe… sattāgāriko vā homi sattālopiko; ekissāpi dattiyā yāpemi, dvīhipi dattīhi yāpemi…pe… sattahipi dattīhi yāpemi; ekāhikampi āhāraṃ āhāremi, dvīhikampi āhāraṃ āhāremi…pe… sattāhikampi āhāraṃ āhāremi; iti evarūpaṃ addhamāsikampi pariyāyabhattabhojanānuyogamanuyutto viharāmi.

    ‘‘โส สากภโกฺข วา โหมิ, สามากภโกฺข วา โหมิ, นีวารภโกฺข วา โหมิ, ททฺทุลภโกฺข วา โหมิ, หฎภโกฺข วา โหมิ, กณภโกฺข วา โหมิ, อาจามภโกฺข วา โหมิ , ปิญฺญากภโกฺข วา โหมิ, ติณภโกฺข วา โหมิ, โคมยภโกฺข วา โหมิ, วนมูลผลาหาโร ยาเปมิ ปวตฺตผลโภชีฯ

    ‘‘So sākabhakkho vā homi, sāmākabhakkho vā homi, nīvārabhakkho vā homi, daddulabhakkho vā homi, haṭabhakkho vā homi, kaṇabhakkho vā homi, ācāmabhakkho vā homi , piññākabhakkho vā homi, tiṇabhakkho vā homi, gomayabhakkho vā homi, vanamūlaphalāhāro yāpemi pavattaphalabhojī.

    ‘‘โส สาณานิปิ ธาเรมิ, มสาณานิปิ ธาเรมิ, ฉวทุสฺสานิปิ ธาเรมิ, ปํสุกูลานิปิ ธาเรมิ, ติรีฎานิปิ ธาเรมิ, อชินมฺปิ ธาเรมิ, อชินกฺขิปมฺปิ ธาเรมิ, กุสจีรมฺปิ ธาเรมิ, วากจีรมฺปิ ธาเรมิ, ผลกจีรมฺปิ ธาเรมิ, เกสกมฺพลมฺปิ ธาเรมิ, วาฬกมฺพลมฺปิ ธาเรมิ, อุลูกปกฺขมฺปิ ธาเรมิ; เกสมสฺสุโลจโกปิ โหมิ เกสมสฺสุโลจนานุโยคมนุยุโตฺต; อุพฺภฎฺฐโกปิ โหมิ อาสนปฎิกฺขิโตฺต; อุกฺกุฎิโกปิ โหมิ อุกฺกุฎิกปฺปธานมนุยุโตฺต; กณฺฎกาปสฺสยิโกปิ โหมิ กณฺฎกาปสฺสเย เสยฺยํ กเปฺปมิ 23; สายตติยกมฺปิ อุทโกโรหนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรามิ – อิติ เอวรูปํ อเนกวิหิตํ กายสฺส อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรามิฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ตปสฺสิตาย โหติฯ

    ‘‘So sāṇānipi dhāremi, masāṇānipi dhāremi, chavadussānipi dhāremi, paṃsukūlānipi dhāremi, tirīṭānipi dhāremi, ajinampi dhāremi, ajinakkhipampi dhāremi, kusacīrampi dhāremi, vākacīrampi dhāremi, phalakacīrampi dhāremi, kesakambalampi dhāremi, vāḷakambalampi dhāremi, ulūkapakkhampi dhāremi; kesamassulocakopi homi kesamassulocanānuyogamanuyutto; ubbhaṭṭhakopi homi āsanapaṭikkhitto; ukkuṭikopi homi ukkuṭikappadhānamanuyutto; kaṇṭakāpassayikopi homi kaṇṭakāpassaye seyyaṃ kappemi 24; sāyatatiyakampi udakorohanānuyogamanuyutto viharāmi – iti evarūpaṃ anekavihitaṃ kāyassa ātāpanaparitāpanānuyogamanuyutto viharāmi. Idaṃsu me, sāriputta, tapassitāya hoti.

    ๑๕๖. ‘‘ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ลูขสฺมิํ โหติ – เนกวสฺสคณิกํ รโชชลฺลํ กาเย สนฺนิจิตํ โหติ ปปฎิกชาตํฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ตินฺทุกขาณุ เนกวสฺสคณิโก สนฺนิจิโต โหติ ปปฎิกชาโต, เอวเมวาสฺสุ เม, สาริปุตฺต, เนกวสฺสคณิกํ รโชชลฺลํ กาเย สนฺนิจิตํ โหติ ปปฎิกชาตํฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, น เอวํ โหติ – ‘อโห วตาหํ อิมํ รโชชลฺลํ ปาณินา ปริมเชฺชยฺยํ, อเญฺญ วา ปน เม อิมํ รโชชลฺลํ ปาณินา ปริมเชฺชยฺยุ’นฺติฯ เอวมฺปิ เม, สาริปุตฺต , น โหติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ลูขสฺมิํ โหติฯ

    156. ‘‘Tatrāssu me idaṃ, sāriputta, lūkhasmiṃ hoti – nekavassagaṇikaṃ rajojallaṃ kāye sannicitaṃ hoti papaṭikajātaṃ. Seyyathāpi, sāriputta, tindukakhāṇu nekavassagaṇiko sannicito hoti papaṭikajāto, evamevāssu me, sāriputta, nekavassagaṇikaṃ rajojallaṃ kāye sannicitaṃ hoti papaṭikajātaṃ. Tassa mayhaṃ, sāriputta, na evaṃ hoti – ‘aho vatāhaṃ imaṃ rajojallaṃ pāṇinā parimajjeyyaṃ, aññe vā pana me imaṃ rajojallaṃ pāṇinā parimajjeyyu’nti. Evampi me, sāriputta , na hoti. Idaṃsu me, sāriputta, lūkhasmiṃ hoti.

    ‘‘ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, เชคุจฺฉิสฺมิํ โหติ – โส โข อหํ, สาริปุตฺต, สโตว อภิกฺกมามิ, สโตว ปฎิกฺกมามิ, ยาว อุทกพินฺทุมฺหิปิ เม ทยา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ – ‘มาหํ ขุทฺทเก ปาเณ วิสมคเต สงฺฆาตํ อาปาเทสิ’นฺติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, เชคุจฺฉิสฺมิํ โหติฯ

    ‘‘Tatrāssu me idaṃ, sāriputta, jegucchismiṃ hoti – so kho ahaṃ, sāriputta, satova abhikkamāmi, satova paṭikkamāmi, yāva udakabindumhipi me dayā paccupaṭṭhitā hoti – ‘māhaṃ khuddake pāṇe visamagate saṅghātaṃ āpādesi’nti. Idaṃsu me, sāriputta, jegucchismiṃ hoti.

    ‘‘ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺต, ปวิวิตฺตสฺมิํ โหติ – โส โข อหํ, สาริปุตฺต, อญฺญตรํ อรญฺญายตนํ อโชฺฌคาเหตฺวา วิหรามิฯ ยทา ปสฺสามิ โคปาลกํ วา ปสุปาลกํ วา ติณหารกํ วา กฎฺฐหารกํ วา วนกมฺมิกํ วา, วเนน วนํ คหเนน คหนํ นิเนฺนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สํปตามิ 25ฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา มํ เต อทฺทสํสุ อหญฺจ มา เต อทฺทสนฺติฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, อารญฺญโก มโค มนุเสฺส ทิสฺวา วเนน วนํ คหเนน คหนํ นิเนฺนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สํปตติ, เอวเมว โข อหํ, สาริปุตฺต, ยทา ปสฺสามิ โคปาลกํ วา ปสุปาลกํ วา ติณหารกํ วา กฎฺฐหารกํ วา วนกมฺมิกํ วา วเนน วนํ คหเนน คหนํ นิเนฺนน นินฺนํ ถเลน ถลํ สํปตามิฯ ตํ กิสฺส เหตุ? มา มํ เต อทฺทสํสุ อหญฺจ มา เต อทฺทสนฺติฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, ปวิวิตฺตสฺมิํ โหติฯ

    ‘‘Tatrāssu me idaṃ, sāriputta, pavivittasmiṃ hoti – so kho ahaṃ, sāriputta, aññataraṃ araññāyatanaṃ ajjhogāhetvā viharāmi. Yadā passāmi gopālakaṃ vā pasupālakaṃ vā tiṇahārakaṃ vā kaṭṭhahārakaṃ vā vanakammikaṃ vā, vanena vanaṃ gahanena gahanaṃ ninnena ninnaṃ thalena thalaṃ saṃpatāmi 26. Taṃ kissa hetu? Mā maṃ te addasaṃsu ahañca mā te addasanti. Seyyathāpi, sāriputta, āraññako mago manusse disvā vanena vanaṃ gahanena gahanaṃ ninnena ninnaṃ thalena thalaṃ saṃpatati, evameva kho ahaṃ, sāriputta, yadā passāmi gopālakaṃ vā pasupālakaṃ vā tiṇahārakaṃ vā kaṭṭhahārakaṃ vā vanakammikaṃ vā vanena vanaṃ gahanena gahanaṃ ninnena ninnaṃ thalena thalaṃ saṃpatāmi. Taṃ kissa hetu? Mā maṃ te addasaṃsu ahañca mā te addasanti. Idaṃsu me, sāriputta, pavivittasmiṃ hoti.

    ‘‘โส โข อหํ, สาริปุตฺต, เย เต โคฎฺฐา ปฎฺฐิตคาโว อปคตโคปาลกา, ตตฺถ จตุกฺกุณฺฑิโก อุปสงฺกมิตฺวา ยานิ ตานิ วจฺฉกานํ ตรุณกานํ เธนุปกานํ โคมยานิ ตานิ สุทํ อาหาเรมิฯ ยาวกีวญฺจ เม , สาริปุตฺต, สกํ มุตฺตกรีสํ อปริยาทินฺนํ โหติ, สกํเยว สุทํ มุตฺตกรีสํ อาหาเรมิฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, มหาวิกฎโภชนสฺมิํ โหติฯ

    ‘‘So kho ahaṃ, sāriputta, ye te goṭṭhā paṭṭhitagāvo apagatagopālakā, tattha catukkuṇḍiko upasaṅkamitvā yāni tāni vacchakānaṃ taruṇakānaṃ dhenupakānaṃ gomayāni tāni sudaṃ āhāremi. Yāvakīvañca me , sāriputta, sakaṃ muttakarīsaṃ apariyādinnaṃ hoti, sakaṃyeva sudaṃ muttakarīsaṃ āhāremi. Idaṃsu me, sāriputta, mahāvikaṭabhojanasmiṃ hoti.

    ๑๕๗. ‘‘โส โข อหํ, สาริปุตฺต, อญฺญตรํ ภิํสนกํ วนสณฺฑํ อโชฺฌคาเหตฺวา วิหรามิฯ ตตฺราสฺสุทํ, สาริปุตฺต, ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ โหติ – โย โกจิ อวีตราโค ตํ วนสณฺฑํ ปวิสติ, เยภุเยฺยน โลมานิ หํสนฺติฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ยา ตา รตฺติโย สีตา เหมนฺติกา อนฺตรฎฺฐกา หิมปาตสมยา 27 ตถารูปาสุ รตฺตีสุ รตฺติํ อโพฺภกาเส วิหรามิ, ทิวา วนสเณฺฑ; คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเส ทิวา อโพฺภกาเส วิหรามิ, รตฺติํ วนสเณฺฑฯ อปิสฺสุ มํ, สาริปุตฺต, อยํ อนจฺฉริยคาถา ปฎิภาสิ ปุเพฺพ อสฺสุตปุพฺพา –

    157. ‘‘So kho ahaṃ, sāriputta, aññataraṃ bhiṃsanakaṃ vanasaṇḍaṃ ajjhogāhetvā viharāmi. Tatrāssudaṃ, sāriputta, bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ hoti – yo koci avītarāgo taṃ vanasaṇḍaṃ pavisati, yebhuyyena lomāni haṃsanti. So kho ahaṃ, sāriputta, yā tā rattiyo sītā hemantikā antaraṭṭhakā himapātasamayā 28 tathārūpāsu rattīsu rattiṃ abbhokāse viharāmi, divā vanasaṇḍe; gimhānaṃ pacchime māse divā abbhokāse viharāmi, rattiṃ vanasaṇḍe. Apissu maṃ, sāriputta, ayaṃ anacchariyagāthā paṭibhāsi pubbe assutapubbā –

    ‘‘โสตโตฺต โสสิโนฺน 29 เจว, เอโก ภิํสนเก วเน;

    ‘‘Sotatto sosinno 30 ceva, eko bhiṃsanake vane;

    นโคฺค น จคฺคิมาสีโน, เอสนาปสุโต มุนี’’ติฯ

    Naggo na caggimāsīno, esanāpasuto munī’’ti.

    ‘‘โส โข อหํ, สาริปุตฺต, สุสาเน เสยฺยํ กเปฺปมิ ฉวฎฺฐิกานิ อุปธายฯ อปิสฺสุ มํ, สาริปุตฺต, คามณฺฑลา 31 อุปสงฺกมิตฺวา โอฎฺฐุภนฺติปิ, โอมุเตฺตนฺติปิ, ปํสุเกนปิ โอกิรนฺติ, กณฺณโสเตสุปิ สลากํ ปเวเสนฺติฯ น โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อภิชานามิ เตสุ ปาปกํ จิตฺตํ อุปฺปาเทตาฯ อิทํสุ เม, สาริปุตฺต, อุเปกฺขาวิหารสฺมิํ โหติฯ

    ‘‘So kho ahaṃ, sāriputta, susāne seyyaṃ kappemi chavaṭṭhikāni upadhāya. Apissu maṃ, sāriputta, gāmaṇḍalā 32 upasaṅkamitvā oṭṭhubhantipi, omuttentipi, paṃsukenapi okiranti, kaṇṇasotesupi salākaṃ pavesenti. Na kho panāhaṃ, sāriputta, abhijānāmi tesu pāpakaṃ cittaṃ uppādetā. Idaṃsu me, sāriputta, upekkhāvihārasmiṃ hoti.

    ๑๕๘. ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อาหาเรน สุทฺธี’ติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘โกเลหิ ยาเปมา’ติฯ เต โกลมฺปิ ขาทนฺติ, โกลจุณฺณมฺปิ ขาทนฺติ, โกโลทกมฺปิ ปิวนฺติ – อเนกวิหิตมฺปิ โกลวิกติํ ปริภุญฺชนฺติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว โกลํ อาหารํ อาหาริตาฯ สิยา โข ปน เต, สาริปุตฺต, เอวมสฺส – ‘มหา นูน เตน สมเยน โกโล อโหสี’ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตทาปิ เอตปรโมเยว โกโล อโหสิ เสยฺยถาปิ เอตรหิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว โกลํ อาหารํ อาหารยโต อธิมตฺตกสิมานํ ปโตฺต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา, เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฎฺฐปทํ, เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฎฺฎนาวฬี, เอวเมวสฺสุ เม ปิฎฺฐิกณฺฎโก อุนฺนตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุอามกจฺฉิโนฺน วาตาตเปน สํผุฎิโต 33 โหติ สมฺมิลาโต, เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สํผุฎิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘อุทรจฺฉวิํ ปริมสิสฺสามี’ติ ปิฎฺฐิกณฺฎกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฎฺฐิกณฺฎกํ ปริมสิสฺสามี’ติ อุทรจฺฉวิํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺต, อุทรจฺฉวิ ปิฎฺฐิกณฺฎกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี’ติ ตเตฺถว อวกุโชฺช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ตเมว กายํ อสฺสาเสโนฺต ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

    158. ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘āhārena suddhī’ti. Te evamāhaṃsu – ‘kolehi yāpemā’ti. Te kolampi khādanti, kolacuṇṇampi khādanti, kolodakampi pivanti – anekavihitampi kolavikatiṃ paribhuñjanti. Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, ekaṃyeva kolaṃ āhāraṃ āhāritā. Siyā kho pana te, sāriputta, evamassa – ‘mahā nūna tena samayena kolo ahosī’ti. Na kho panetaṃ, sāriputta, evaṃ daṭṭhabbaṃ. Tadāpi etaparamoyeva kolo ahosi seyyathāpi etarahi. Tassa mayhaṃ, sāriputta, ekaṃyeva kolaṃ āhāraṃ āhārayato adhimattakasimānaṃ patto kāyo hoti. Seyyathāpi nāma āsītikapabbāni vā kāḷapabbāni vā, evamevassu me aṅgapaccaṅgāni bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma oṭṭhapadaṃ, evamevassu me ānisadaṃ hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma vaṭṭanāvaḷī, evamevassu me piṭṭhikaṇṭako unnatāvanato hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma jarasālāya gopānasiyo oluggaviluggā bhavanti, evamevassu me phāsuḷiyo oluggaviluggā bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma gambhīre udapāne udakatārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti, evamevassu me akkhikūpesu akkhitārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma tittakālābuāmakacchinno vātātapena saṃphuṭito 34 hoti sammilāto, evamevassu me sīsacchavi saṃphuṭitā hoti sammilātā tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, ‘udaracchaviṃ parimasissāmī’ti piṭṭhikaṇṭakaṃyeva pariggaṇhāmi, ‘piṭṭhikaṇṭakaṃ parimasissāmī’ti udaracchaviṃyeva pariggaṇhāmi, yāvassu me, sāriputta, udaracchavi piṭṭhikaṇṭakaṃ allīnā hoti tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, ‘vaccaṃ vā muttaṃ vā karissāmī’ti tattheva avakujjo papatāmi tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, tameva kāyaṃ assāsento pāṇinā gattāni anomajjāmi. Tassa mayhaṃ, sāriputta, pāṇinā gattāni anomajjato pūtimūlāni lomāni kāyasmā patanti tāyevappāhāratāya.

    ๑๕๙. ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อาหาเรน สุทฺธี’ติฯ เต เอวมาหํสุ – ‘มุเคฺคหิ ยาเปม…เป.… ติเลหิ ยาเปม…เป.… ตณฺฑุเลหิ ยาเปมา’ติฯ เต ตณฺฑุลมฺปิ ขาทนฺติ, ตณฺฑุลจุณฺณมฺปิ ขาทนฺติ, ตณฺฑุโลทกมฺปิ ปิวนฺติ – อเนกวิหิตมฺปิ ตณฺฑุลวิกติํ ปริภุญฺชนฺติฯ อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว ตณฺฑุลํ อาหารํ อาหาริตาฯ สิยา โข ปน เต, สาริปุตฺต, เอวมสฺส – ‘มหา นูน เตน สมเยน ตณฺฑุโล อโหสี’ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ ตทาปิ เอตปรโมเยว ตณฺฑุโล อโหสิ , เสยฺยถาปิ เอตรหิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, เอกํเยว ตณฺฑุลํ อาหารํ อาหารยโต อธิมตฺตกสิมานํ ปโตฺต กาโย โหติฯ เสยฺยถาปิ นาม อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วา, เอวเมวสฺสุ เม องฺคปจฺจงฺคานิ ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม โอฎฺฐปทํ, เอวเมวสฺสุ เม อานิสทํ โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม วฎฺฎนาวฬี, เอวเมวสฺสุ เม ปิฎฺฐิกณฺฎโก อุนฺนตาวนโต โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ชรสาลาย โคปานสิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม ผาสุฬิโย โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม คมฺภีเร อุทปาเน อุทกตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ, เอวเมวสฺสุ เม อกฺขิกูเปสุ อกฺขิตารกา คมฺภีรคตา โอกฺขายิกา ทิสฺสนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ เสยฺยถาปิ นาม ติตฺตกาลาพุ อามกจฺฉิโนฺน วาตาตเปน สํผุฎิโต โหติ สมฺมิลาโต, เอวเมวสฺสุ เม สีสจฺฉวิ สํผุฎิตา โหติ สมฺมิลาตา ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘อุทรจฺฉวิํ ปริมสิสฺสามี’ติ ปิฎฺฐิกณฺฎกํเยว ปริคฺคณฺหามิ, ‘ปิฎฺฐิกณฺฎกํ ปริมสิสฺสามี’ติ อุทรจฺฉวิํเยว ปริคฺคณฺหามิฯ ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺต, อุทรจฺฉวิ ปิฎฺฐิกณฺฎกํ อลฺลีนา โหติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ‘วจฺจํ วา มุตฺตํ วา กริสฺสามี’ติ ตเตฺถว อวกุโชฺช ปปตามิ ตาเยวปฺปาหารตายฯ โส โข อหํ, สาริปุตฺต, ตเมว กายํ อสฺสาเสโนฺต ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชามิฯ ตสฺส มยฺหํ, สาริปุตฺต, ปาณินา คตฺตานิ อโนมชฺชโต ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

    159. ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘āhārena suddhī’ti. Te evamāhaṃsu – ‘muggehi yāpema…pe… tilehi yāpema…pe… taṇḍulehi yāpemā’ti. Te taṇḍulampi khādanti, taṇḍulacuṇṇampi khādanti, taṇḍulodakampi pivanti – anekavihitampi taṇḍulavikatiṃ paribhuñjanti. Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, ekaṃyeva taṇḍulaṃ āhāraṃ āhāritā. Siyā kho pana te, sāriputta, evamassa – ‘mahā nūna tena samayena taṇḍulo ahosī’ti. Na kho panetaṃ, sāriputta, evaṃ daṭṭhabbaṃ. Tadāpi etaparamoyeva taṇḍulo ahosi , seyyathāpi etarahi. Tassa mayhaṃ, sāriputta, ekaṃyeva taṇḍulaṃ āhāraṃ āhārayato adhimattakasimānaṃ patto kāyo hoti. Seyyathāpi nāma āsītikapabbāni vā kāḷapabbāni vā, evamevassu me aṅgapaccaṅgāni bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma oṭṭhapadaṃ, evamevassu me ānisadaṃ hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma vaṭṭanāvaḷī, evamevassu me piṭṭhikaṇṭako unnatāvanato hoti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma jarasālāya gopānasiyo oluggaviluggā bhavanti, evamevassu me phāsuḷiyo oluggaviluggā bhavanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma gambhīre udapāne udakatārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti, evamevassu me akkhikūpesu akkhitārakā gambhīragatā okkhāyikā dissanti tāyevappāhāratāya. Seyyathāpi nāma tittakālābu āmakacchinno vātātapena saṃphuṭito hoti sammilāto, evamevassu me sīsacchavi saṃphuṭitā hoti sammilātā tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, ‘udaracchaviṃ parimasissāmī’ti piṭṭhikaṇṭakaṃyeva pariggaṇhāmi, ‘piṭṭhikaṇṭakaṃ parimasissāmī’ti udaracchaviṃyeva pariggaṇhāmi. Yāvassu me, sāriputta, udaracchavi piṭṭhikaṇṭakaṃ allīnā hoti tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, ‘vaccaṃ vā muttaṃ vā karissāmī’ti tattheva avakujjo papatāmi tāyevappāhāratāya. So kho ahaṃ, sāriputta, tameva kāyaṃ assāsento pāṇinā gattāni anomajjāmi. Tassa mayhaṃ, sāriputta, pāṇinā gattāni anomajjato pūtimūlāni lomāni kāyasmā patanti tāyevappāhāratāya.

    ‘‘ตายปิ โข อหํ, สาริปุตฺต, อิริยาย ตาย ปฎิปทาย ตาย ทุกฺกรการิกาย นาชฺฌคมํ อุตฺตริํ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? อิมิสฺสาเยว อริยาย ปญฺญาย อนธิคมา, ยายํ อริยา ปญฺญา อธิคตา อริยา นิยฺยานิกา, นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายฯ

    ‘‘Tāyapi kho ahaṃ, sāriputta, iriyāya tāya paṭipadāya tāya dukkarakārikāya nājjhagamaṃ uttariṃ manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesaṃ. Taṃ kissa hetu? Imissāyeva ariyāya paññāya anadhigamā, yāyaṃ ariyā paññā adhigatā ariyā niyyānikā, niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāya.

    ๑๖๐. ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘สํสาเรน สุทฺธี’ติฯ น โข ปน โส 35, สาริปุตฺต, สํสาโร สุลภรูโป โย มยา อสํสริตปุโพฺพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว สํสเรยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคเจฺฉยฺยํฯ

    160. ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘saṃsārena suddhī’ti. Na kho pana so 36, sāriputta, saṃsāro sulabharūpo yo mayā asaṃsaritapubbo iminā dīghena addhunā, aññatra suddhāvāsehi devehi. Suddhāvāse cāhaṃ, sāriputta, deve saṃsareyyaṃ, nayimaṃ lokaṃ punarāgaccheyyaṃ.

    ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อุปปตฺติยา สุทฺธี’ติฯ น โข ปน สา, สาริปุตฺต , อุปปตฺติ สุลภรูปา ยา มยา อนุปปนฺนปุพฺพา อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว อุปปเชฺชยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคเจฺฉยฺยํฯ

    ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘upapattiyā suddhī’ti. Na kho pana sā, sāriputta , upapatti sulabharūpā yā mayā anupapannapubbā iminā dīghena addhunā, aññatra suddhāvāsehi devehi. Suddhāvāse cāhaṃ, sāriputta, deve upapajjeyyaṃ, nayimaṃ lokaṃ punarāgaccheyyaṃ.

    ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อาวาเสน สุทฺธี’ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, อาวาโส สุลภรูโป โย มยา อนาวุฎฺฐปุโพฺพ 37 อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, อญฺญตฺร สุทฺธาวาเสหิ เทเวหิฯ สุทฺธาวาเส จาหํ, สาริปุตฺต, เทเว อาวเสยฺยํ, นยิมํ โลกํ ปุนราคเจฺฉยฺยํฯ

    ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘āvāsena suddhī’ti. Na kho pana so, sāriputta, āvāso sulabharūpo yo mayā anāvuṭṭhapubbo 38 iminā dīghena addhunā, aññatra suddhāvāsehi devehi. Suddhāvāse cāhaṃ, sāriputta, deve āvaseyyaṃ, nayimaṃ lokaṃ punarāgaccheyyaṃ.

    ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘ยเญฺญน สุทฺธี’ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, ยโญฺญ สุลภรูโป โย มยา อยิฎฺฐปุโพฺพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, ตญฺจ โข รญฺญา วา สตา ขตฺติเยน มุทฺธาวสิเตฺตน พฺราหฺมเณน วา มหาสาเลนฯ

    ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yaññena suddhī’ti. Na kho pana so, sāriputta, yañño sulabharūpo yo mayā ayiṭṭhapubbo iminā dīghena addhunā, tañca kho raññā vā satā khattiyena muddhāvasittena brāhmaṇena vā mahāsālena.

    ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘อคฺคิปริจริยาย สุทฺธี’ติฯ น โข ปน โส, สาริปุตฺต, อคฺคิ สุลภรูโป โย มยา อปริจิณฺณปุโพฺพ อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา, ตญฺจ โข รญฺญา วา สตา ขตฺติเยน มุทฺธาวสิเตฺตน พฺราหฺมเณน วา มหาสาเลนฯ

    ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘aggiparicariyāya suddhī’ti. Na kho pana so, sāriputta, aggi sulabharūpo yo mayā apariciṇṇapubbo iminā dīghena addhunā, tañca kho raññā vā satā khattiyena muddhāvasittena brāhmaṇena vā mahāsālena.

    ๑๖๑. ‘‘สนฺติ โข ปน, สาริปุตฺต, เอเก สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฎฺฐิโน – ‘ยาวเทวายํ ภวํ ปุริโส ทหโร โหติ ยุวา สุสุกาฬเกโส ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ปฐเมน วยสา ตาวเทว ปรเมน ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคโต โหติฯ ยโต จ โข อยํ ภวํ ปุริโส ชิโณฺณ โหติ วุโทฺธ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺต, อาสีติโก วา นาวุติโก วา วสฺสสติโก วา ชาติยา, อถ ตมฺหา ปญฺญาเวยฺยตฺติยา, ปริหายตี’ติฯ น โข ปเนตํ, สาริปุตฺต , เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ อหํ โข ปน, สาริปุตฺต, เอตรหิ ชิโณฺณ วุโทฺธ มหลฺลโก อทฺธคโต วโยอนุปฺปโตฺต, อาสีติโก เม วโย วตฺตติฯ อิธ เม อสฺสุ, สาริปุตฺต, จตฺตาโร สาวกา วสฺสสตายุกา วสฺสสตชีวิโน, ปรมาย สติยา จ คติยา จ ธิติยา จ สมนฺนาคตา ปรเมน จ ปญฺญาเวยฺยตฺติเยนฯ เสยฺยถาปิ, สาริปุตฺต, ทฬฺหธมฺมา 39 ธนุคฺคโห สิกฺขิโต กตหโตฺถ กตูปาสโน ลหุเกน อสเนน อปฺปกสิเรเนว ติริยํ ตาลจฺฉายํ อติปาเตยฺย, เอวํ อธิมตฺตสติมโนฺต เอวํ อธิมตฺตคติมโนฺต เอวํ อธิมตฺตธิติมโนฺต เอวํ ปรเมน ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน สมนฺนาคตาฯ เต มํ จตุนฺนํ สติปฎฺฐานานํ อุปาทายุปาทาย ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยุํ, ปุโฎฺฐ ปุโฎฺฐ จาหํ เตสํ พฺยากเรยฺยํ, พฺยากตญฺจ เม พฺยากตโต ธาเรยฺยุํ, น จ มํ ทุติยกํ อุตฺตริ ปฎิปุเจฺฉยฺยุํฯ อญฺญตฺร อสิตปีตขายิตสายิตา อญฺญตฺร อุจฺจารปสฺสาวกมฺมา, อญฺญตฺร นิทฺทากิลมถปฎิวิโนทนา อปริยาทินฺนาเยวสฺส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา, อปริยาทินฺนํเยวสฺส ตถาคตสฺส ธมฺมปทพฺยญฺชนํ, อปริยาทินฺนํเยวสฺส ตถาคตสฺส ปญฺหปฎิภานํ ฯ อถ เม เต จตฺตาโร สาวกา วสฺสสตายุกา วสฺสสตชีวิโน วสฺสสตสฺส อจฺจเยน กาลํ กเรยฺยุํฯ มญฺจเกน เจปิ มํ, สาริปุตฺต, ปริหริสฺสถ, เนวตฺถิ ตถาคตสฺส ปญฺญาเวยฺยตฺติยสฺส อญฺญถตฺตํฯ ยํ โข ตํ 40, สาริปุตฺต, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย – ‘อสโมฺมหธโมฺม สโตฺต โลเก อุปฺปโนฺน พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน’นฺติ, มเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย ‘อสโมฺมหธโมฺม สโตฺต โลเก อุปฺปโนฺน พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสาน’’’นฺติฯ

    161. ‘‘Santi kho pana, sāriputta, eke samaṇabrāhmaṇā evaṃvādino evaṃdiṭṭhino – ‘yāvadevāyaṃ bhavaṃ puriso daharo hoti yuvā susukāḷakeso bhadrena yobbanena samannāgato paṭhamena vayasā tāvadeva paramena paññāveyyattiyena samannāgato hoti. Yato ca kho ayaṃ bhavaṃ puriso jiṇṇo hoti vuddho mahallako addhagato vayoanuppatto, āsītiko vā nāvutiko vā vassasatiko vā jātiyā, atha tamhā paññāveyyattiyā, parihāyatī’ti. Na kho panetaṃ, sāriputta , evaṃ daṭṭhabbaṃ. Ahaṃ kho pana, sāriputta, etarahi jiṇṇo vuddho mahallako addhagato vayoanuppatto, āsītiko me vayo vattati. Idha me assu, sāriputta, cattāro sāvakā vassasatāyukā vassasatajīvino, paramāya satiyā ca gatiyā ca dhitiyā ca samannāgatā paramena ca paññāveyyattiyena. Seyyathāpi, sāriputta, daḷhadhammā 41 dhanuggaho sikkhito katahattho katūpāsano lahukena asanena appakasireneva tiriyaṃ tālacchāyaṃ atipāteyya, evaṃ adhimattasatimanto evaṃ adhimattagatimanto evaṃ adhimattadhitimanto evaṃ paramena paññāveyyattiyena samannāgatā. Te maṃ catunnaṃ satipaṭṭhānānaṃ upādāyupādāya pañhaṃ puccheyyuṃ, puṭṭho puṭṭho cāhaṃ tesaṃ byākareyyaṃ, byākatañca me byākatato dhāreyyuṃ, na ca maṃ dutiyakaṃ uttari paṭipuccheyyuṃ. Aññatra asitapītakhāyitasāyitā aññatra uccārapassāvakammā, aññatra niddākilamathapaṭivinodanā apariyādinnāyevassa, sāriputta, tathāgatassa dhammadesanā, apariyādinnaṃyevassa tathāgatassa dhammapadabyañjanaṃ, apariyādinnaṃyevassa tathāgatassa pañhapaṭibhānaṃ . Atha me te cattāro sāvakā vassasatāyukā vassasatajīvino vassasatassa accayena kālaṃ kareyyuṃ. Mañcakena cepi maṃ, sāriputta, pariharissatha, nevatthi tathāgatassa paññāveyyattiyassa aññathattaṃ. Yaṃ kho taṃ 42, sāriputta, sammā vadamāno vadeyya – ‘asammohadhammo satto loke uppanno bahujanahitāya bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussāna’nti, mameva taṃ sammā vadamāno vadeyya ‘asammohadhammo satto loke uppanno bahujanahitāya bahujanasukhāya lokānukampāya atthāya hitāya sukhāya devamanussāna’’’nti.

    ๑๖๒. เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นาคสมาโล ภควโต ปิฎฺฐิโต ฐิโต โหติ ภควนฺตํ พีชยมาโนฯ อถ โข อายสฺมา นาคสมาโล ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘อจฺฉริยํ, ภเนฺต, อพฺภุตํ, ภเนฺต! อปิ หิ เม, ภเนฺต, อิมํ ธมฺมปริยายํ สุตฺวา โลมานิ หฎฺฐานิฯ โกนาโม อยํ, ภเนฺต, ธมฺมปริยาโย’’ติ? ‘‘ตสฺมาติห ตฺวํ, นาคสมาล, อิมํ ธมฺมปริยายํ โลมหํสนปริยาโย เตฺวว นํ ธาเรหี’’ติฯ

    162. Tena kho pana samayena āyasmā nāgasamālo bhagavato piṭṭhito ṭhito hoti bhagavantaṃ bījayamāno. Atha kho āyasmā nāgasamālo bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘acchariyaṃ, bhante, abbhutaṃ, bhante! Api hi me, bhante, imaṃ dhammapariyāyaṃ sutvā lomāni haṭṭhāni. Konāmo ayaṃ, bhante, dhammapariyāyo’’ti? ‘‘Tasmātiha tvaṃ, nāgasamāla, imaṃ dhammapariyāyaṃ lomahaṃsanapariyāyo tveva naṃ dhārehī’’ti.

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา นาคสมาโล ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ

    Idamavoca bhagavā. Attamano āyasmā nāgasamālo bhagavato bhāsitaṃ abhinandīti.

    มหาสีหนาทสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ ทุติยํฯ

    Mahāsīhanādasuttaṃ niṭṭhitaṃ dutiyaṃ.







    Footnotes:
    1. ปริสติํ (สี. ปี.)
    2. เอตํ (ปี. ก.)
    3. อุตฺตริํ (ปี.)
    4. parisatiṃ (sī. pī.)
    5. etaṃ (pī. ka.)
    6. uttariṃ (pī.)
    7. เอตมฺปหํ (สี. ปี.)
    8. etampahaṃ (sī. pī.)
    9. จาตุมฺมหาราชิกา (สี. สฺยา. ปี.)
    10. cātummahārājikā (sī. syā. pī.)
    11. สณฺฑจฺฉาโย (สฺยา.), สนฺตจฺฉาโย (ก.)
    12. saṇḍacchāyo (syā.), santacchāyo (ka.)
    13. จริตฺวา (ก.)
    14. ลูขสฺสุทํ (สี. ปี.)
    15. ปวิวิตฺตสฺสุทํ (สี. ปี.)
    16. หตฺถาวเลขโน (สฺยา.)
    17. ปายนฺติยา (ก.)
    18. caritvā (ka.)
    19. lūkhassudaṃ (sī. pī.)
    20. pavivittassudaṃ (sī. pī.)
    21. hatthāvalekhano (syā.)
    22. pāyantiyā (ka.)
    23. อิมสฺสานนฺตเร อโญฺญปิ โกจิ ปาฐปเทโส อเญฺญสุ อาชีวกวตทีปกสุเตฺตสุ ทิสฺสติ
    24. imassānantare aññopi koci pāṭhapadeso aññesu ājīvakavatadīpakasuttesu dissati
    25. ปปตามิ (สี. สฺยา. ปี.)
    26. papatāmi (sī. syā. pī.)
    27. อนฺตรฎฺฐเก หิมปาตสมเย (สี. ปี.)
    28. antaraṭṭhake himapātasamaye (sī. pī.)
    29. โสสีโน (สี. ปี. ก.), โสสิโน (สฺยา.), โสสิโนฺท (สทฺทนีติ)
    30. sosīno (sī. pī. ka.), sosino (syā.), sosindo (saddanīti)
    31. โคมณฺฑลา (พหูสุ) จริยาปิฎกอฎฺฐกถา โอโลเกตพฺพา
    32. gomaṇḍalā (bahūsu) cariyāpiṭakaaṭṭhakathā oloketabbā
    33. สมฺผุสิโต (สฺยา.), สํปุฎิโต (ปี. ก.) เอตฺถ สํผุฎิโตติ สงฺกุจิโตติ อโตฺถ
    34. samphusito (syā.), saṃpuṭito (pī. ka.) ettha saṃphuṭitoti saṅkucitoti attho
    35. น โข ปเนโส (สี. สฺยา.)
    36. na kho paneso (sī. syā.)
    37. อนาวุตฺถปุโพฺพ (สี. ปี.)
    38. anāvutthapubbo (sī. pī.)
    39. ทฬฺหธโมฺม (พหูสุ) ฎีกา จ โมคฺคลฺลานพฺยากรณํ จ โอโลเกตพฺพํ
    40. ยํ โข ปเนตํ (สี.)
    41. daḷhadhammo (bahūsu) ṭīkā ca moggallānabyākaraṇaṃ ca oloketabbaṃ
    42. yaṃ kho panetaṃ (sī.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact