Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา

    2. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā

    เวสาลินครวณฺณนา

    Vesālinagaravaṇṇanā

    ๑๔๖. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสีหนาทสุตฺตํฯ ตตฺถ เวสาลิยนฺติ เอวํนามเก นคเรฯ ตํ กิร อปราปรํ วิสาลีภูตตาย ‘‘เวสาลี’’ติ สงฺขํ คตํฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพกถา – พาราณสิรโญฺญ กิร อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ คโพฺภ สณฺฐาสิฯ สา ญตฺวา รโญฺญ นิเวเทสิฯ ราชา คพฺภปริหารํ อทาสิฯ สา สมฺมา ปริหรียมานา คพฺภปริปากกาเล วิชายนฆรํ ปาวิสิฯ ปุญฺญวนฺตีนํ ปจฺจูสสมเย คพฺภวุฎฺฐานํ โหติ, สา จ ตาสํ อญฺญตรา, เตน ปจฺจูสสมเย อลตฺตกปฎลพนฺธุชีวกปุปฺผสทิสํ มํสเปสิํ วิชายิฯ ตโต ‘‘อญฺญา เทวิโย สุวณฺณพิมฺพสทิเส ปุเตฺต วิชายนฺติ, อคฺคมเหสี มํสเปสินฺติ รโญฺญ ปุรโต มม อวโณฺณ อุปฺปเชฺชยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา เตน อวณฺณภเยน ตํ มํสเปสิํ เอกสฺมิํ ภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ปฎิกุชฺชิตฺวา ราชมุทฺทิกาย ลเญฺฉตฺวา คงฺคาย โสเต ปกฺขิปาเปสิฯ มนุเสฺสหิ ฉฑฺฑิตมเตฺต เทวตา อารกฺขํ สํวิทหิํสุฯ สุวณฺณปฎฺฎกเญฺจตฺถ ชาติหิงฺคุลเกน ‘‘พาราณสิรโญฺญ อคฺคมเหสิยา ปชา’’ติ ลิขิตฺวา พนฺธิํสุฯ ตโต ตํ ภาชนํ อูมิภยาทีหิ อนุปทฺทุตํ คงฺคาโสเตน ปายาสิฯ

    146.Evaṃme sutanti mahāsīhanādasuttaṃ. Tattha vesāliyanti evaṃnāmake nagare. Taṃ kira aparāparaṃ visālībhūtatāya ‘‘vesālī’’ti saṅkhaṃ gataṃ. Tatrāyaṃ anupubbakathā – bārāṇasirañño kira aggamahesiyā kucchimhi gabbho saṇṭhāsi. Sā ñatvā rañño nivedesi. Rājā gabbhaparihāraṃ adāsi. Sā sammā pariharīyamānā gabbhaparipākakāle vijāyanagharaṃ pāvisi. Puññavantīnaṃ paccūsasamaye gabbhavuṭṭhānaṃ hoti, sā ca tāsaṃ aññatarā, tena paccūsasamaye alattakapaṭalabandhujīvakapupphasadisaṃ maṃsapesiṃ vijāyi. Tato ‘‘aññā deviyo suvaṇṇabimbasadise putte vijāyanti, aggamahesī maṃsapesinti rañño purato mama avaṇṇo uppajjeyyā’’ti cintetvā tena avaṇṇabhayena taṃ maṃsapesiṃ ekasmiṃ bhājane pakkhipitvā paṭikujjitvā rājamuddikāya lañchetvā gaṅgāya sote pakkhipāpesi. Manussehi chaḍḍitamatte devatā ārakkhaṃ saṃvidahiṃsu. Suvaṇṇapaṭṭakañcettha jātihiṅgulakena ‘‘bārāṇasirañño aggamahesiyā pajā’’ti likhitvā bandhiṃsu. Tato taṃ bhājanaṃ ūmibhayādīhi anupaddutaṃ gaṅgāsotena pāyāsi.

    เตน จ สมเยน อญฺญตโร ตาปโส โคปาลกกุลํ นิสฺสาย คงฺคาตีเร วิหรติฯ โส ปาโตว คงฺคํ โอติโณฺณ ตํ ภาชนํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปํสุกูลสญฺญาย อคฺคเหสิฯ อเถตฺถ ตํ อกฺขรปฎฺฎิกํ ราชมุทฺทิกาลญฺฉนํ จ ทิสฺวา มุญฺจิตฺวา ตํ มํสเปสิํ อทฺทส, ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ ‘‘สิยา คโพฺภ, ตถา หิสฺส ทุคฺคนฺธปูติกภาโว นตฺถี’’ติฯ อสฺสมํ เนตฺวา สุเทฺธ โอกาเส ฐเปสิฯ อถ อฑฺฒมาสจฺจเยน เทฺว มํสเปสิโย อเหสุํฯ ตาปโส ทิสฺวา สาธุตรํ ฐเปสิฯ ตโต ปุน อฑฺฒมาสจฺจเยน เอกเมกิสฺสา มํสเปสิยา หตฺถปาทสีสานมตฺถาย ปญฺจ ปญฺจ ปิฬกา อุฎฺฐหิํสุฯ อถ ตโต อฑฺฒมาสจฺจเยน เอกา มํสเปสิ สุวณฺณพิมฺพสทิโส ทารโก, เอกา ทาริกา อโหสิฯ

    Tena ca samayena aññataro tāpaso gopālakakulaṃ nissāya gaṅgātīre viharati. So pātova gaṅgaṃ otiṇṇo taṃ bhājanaṃ āgacchantaṃ disvā paṃsukūlasaññāya aggahesi. Athettha taṃ akkharapaṭṭikaṃ rājamuddikālañchanaṃ ca disvā muñcitvā taṃ maṃsapesiṃ addasa, disvānassa etadahosi ‘‘siyā gabbho, tathā hissa duggandhapūtikabhāvo natthī’’ti. Assamaṃ netvā suddhe okāse ṭhapesi. Atha aḍḍhamāsaccayena dve maṃsapesiyo ahesuṃ. Tāpaso disvā sādhutaraṃ ṭhapesi. Tato puna aḍḍhamāsaccayena ekamekissā maṃsapesiyā hatthapādasīsānamatthāya pañca pañca piḷakā uṭṭhahiṃsu. Atha tato aḍḍhamāsaccayena ekā maṃsapesi suvaṇṇabimbasadiso dārako, ekā dārikā ahosi.

    เตสุ ตาปสสฺส ปุตฺตสิเนโห อุปฺปชฺชิ, องฺคุฎฺฐกโต จสฺส ขีรํ นิพฺพตฺติฯ ตโต ปภุติ จ ขีรภตฺตํ อลภิตฺถ, โส ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ขีรํ ทารกานํ มุเข อาสิญฺจติฯ เตสํ อุทรํ ยํ ยํ ปวิสติ, ตํ ตํ สพฺพํ มณิภาชนคตํ วิย ทิสฺสติ, เอวํ นิจฺฉวี อเหสุํฯ อปเร อาหุ ‘‘สิเพฺพตฺวา ฐปิตา วิย เนสํ อญฺญมญฺญํ ลีนา ฉวิ อโหสี’’ติฯ เอวํ เต นิจฺฉวิตาย วา ลีนจฺฉวิตาย วา ลิจฺฉวีติ ปญฺญายิํสุฯ

    Tesu tāpasassa puttasineho uppajji, aṅguṭṭhakato cassa khīraṃ nibbatti. Tato pabhuti ca khīrabhattaṃ alabhittha, so bhattaṃ bhuñjitvā khīraṃ dārakānaṃ mukhe āsiñcati. Tesaṃ udaraṃ yaṃ yaṃ pavisati, taṃ taṃ sabbaṃ maṇibhājanagataṃ viya dissati, evaṃ nicchavī ahesuṃ. Apare āhu ‘‘sibbetvā ṭhapitā viya nesaṃ aññamaññaṃ līnā chavi ahosī’’ti. Evaṃ te nicchavitāya vā līnacchavitāya vā licchavīti paññāyiṃsu.

    ตาปโส ทารเก โปเสโนฺต อุสฺสูเร คามํ สิกฺขาย ปวิสติ, อติทิวา ปฎิกฺกมติฯ ตสฺส ตํ พฺยาปารํ ญตฺวา โคปาลกา อาหํสุ – ‘‘ภเนฺต, ปพฺพชิตานํ ทารกโปสนํ ปลิโพโธ, อมฺหากํ ทารเก เทถ, มยํ โปเสสฺสาม, ตุเมฺห อตฺตโน กมฺมํ กโรถา’’ติฯ ตาปโส สาธูติ ปฎิสฺสุณิฯ โคปาลกา ทุติยทิวเส มคฺคํ สมํ กตฺวา ปุเปฺผหิ โอกิริตฺวา ธชปฎากา อุสฺสาเปตฺวา ตูริเยหิ วชฺชมาเนหิ อสฺสมํ อาคตาฯ ตาปโส – ‘‘มหาปุญฺญา ทารกา อปฺปมาเทน วเฑฺฒถ, วเฑฺฒตฺวา จ อญฺญมญฺญํ อาวาหวิวาหํ กโรถ, ปญฺจโครเสน ราชานํ โตเสตฺวา ภูมิภาคํ คเหตฺวา นครํ มาเปถ, ตตฺถ กุมารํ อภิสิญฺจถา’’ติ วตฺวา ทารเก อทาสิฯ เต สาธูติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ทารเก เนตฺวา โปเสสุํฯ

    Tāpaso dārake posento ussūre gāmaṃ sikkhāya pavisati, atidivā paṭikkamati. Tassa taṃ byāpāraṃ ñatvā gopālakā āhaṃsu – ‘‘bhante, pabbajitānaṃ dārakaposanaṃ palibodho, amhākaṃ dārake detha, mayaṃ posessāma, tumhe attano kammaṃ karothā’’ti. Tāpaso sādhūti paṭissuṇi. Gopālakā dutiyadivase maggaṃ samaṃ katvā pupphehi okiritvā dhajapaṭākā ussāpetvā tūriyehi vajjamānehi assamaṃ āgatā. Tāpaso – ‘‘mahāpuññā dārakā appamādena vaḍḍhetha, vaḍḍhetvā ca aññamaññaṃ āvāhavivāhaṃ karotha, pañcagorasena rājānaṃ tosetvā bhūmibhāgaṃ gahetvā nagaraṃ māpetha, tattha kumāraṃ abhisiñcathā’’ti vatvā dārake adāsi. Te sādhūti paṭissuṇitvā dārake netvā posesuṃ.

    ทารกา วุทฺธิมนฺวาย กีฬนฺตา วิวาทฎฺฐาเนสุ อเญฺญ โคปาลกทารเก หเตฺถนปิ ปาเทนปิ ปหรนฺติฯ เต โรทนฺติฯ ‘‘กิสฺส โรทถา’’ติ จ มาตาปิตูหิ วุตฺตา ‘‘อิเม นิมฺมาตาปิติกา ตาปสโปสิตา อเมฺห อติปหรนฺตี’’ติ วทนฺติฯ ตโต เตสํ มาตาปิตโร ‘‘อิเม ทารกา อเญฺญ ทารเก วินาเสนฺติ ทุกฺขาเปนฺติ, น อิเม สงฺคเหตพฺพา, วเชฺชตพฺพา อิเม’’ติ อาหํสุฯ ตโต ปภุติ กิร โส ปเทโส วชฺชีติ วุจฺจติ โยชนสติโก ปริมาเณนฯ อถ ตํ ปเทสํ โคปาลกา ราชานํ โตเสตฺวา อคฺคเหสุํฯ ตตฺถ จ นครํ มาเปตฺวา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ กุมารํ อภิสิญฺจิตฺวา ราชานํ อกํสุฯ ตาย จสฺส ทาริกาย สทฺธิํ วิวาหํ กตฺวา กติกํ อกํสุ ‘‘พาหิรกทาริกา น อาเนตพฺพา, อิโต ทาริกา น กสฺสจิ ทาตพฺพา’’ติฯ เตสํ ปฐมสํวาเสน เทฺว ทารกา ชาตา ธีตา จ ปุโตฺต จฯ เอวํ โสฬสกฺขตฺตุํ เทฺว เทฺว ชาตาฯ ตโต เตสํ ทารกานํ ยถากฺกมํ วฑฺฒนฺตานํ อารามุยฺยานนิวาสฎฺฐานปริวารสมฺปตฺติํ คเหตุํ อปฺปโหนฺตา นครํ ติกฺขตฺตุํ คาวุตนฺตเรน คาวุตนฺตเรน ปริกฺขิปิํสุ ฯ ตสฺส ปุนปฺปุนํ วิสาลีกตตฺตา เวสาลีเตฺวว นามํ ชาตํฯ เตน วุตฺตํ ‘‘เวสาลิยนฺติ เอวํ นามเก นคเร’’ติฯ

    Dārakā vuddhimanvāya kīḷantā vivādaṭṭhānesu aññe gopālakadārake hatthenapi pādenapi paharanti. Te rodanti. ‘‘Kissa rodathā’’ti ca mātāpitūhi vuttā ‘‘ime nimmātāpitikā tāpasapositā amhe atipaharantī’’ti vadanti. Tato tesaṃ mātāpitaro ‘‘ime dārakā aññe dārake vināsenti dukkhāpenti, na ime saṅgahetabbā, vajjetabbā ime’’ti āhaṃsu. Tato pabhuti kira so padeso vajjīti vuccati yojanasatiko parimāṇena. Atha taṃ padesaṃ gopālakā rājānaṃ tosetvā aggahesuṃ. Tattha ca nagaraṃ māpetvā soḷasavassuddesikaṃ kumāraṃ abhisiñcitvā rājānaṃ akaṃsu. Tāya cassa dārikāya saddhiṃ vivāhaṃ katvā katikaṃ akaṃsu ‘‘bāhirakadārikā na ānetabbā, ito dārikā na kassaci dātabbā’’ti. Tesaṃ paṭhamasaṃvāsena dve dārakā jātā dhītā ca putto ca. Evaṃ soḷasakkhattuṃ dve dve jātā. Tato tesaṃ dārakānaṃ yathākkamaṃ vaḍḍhantānaṃ ārāmuyyānanivāsaṭṭhānaparivārasampattiṃ gahetuṃ appahontā nagaraṃ tikkhattuṃ gāvutantarena gāvutantarena parikkhipiṃsu . Tassa punappunaṃ visālīkatattā vesālītveva nāmaṃ jātaṃ. Tena vuttaṃ ‘‘vesāliyanti evaṃ nāmake nagare’’ti.

    ๐๑ พหินคเรติ นครสฺส พหิ, น อมฺพปาลิวนํ วิย อโนฺตนครสฺมิํฯ อยํ ปน ชีวกมฺพวนํ วิย นครสฺส พหิทฺธา วนสโณฺฑฯ เตน วุตฺตํ ‘‘พหินคเร’’ติฯ อปรปุเรติ ปุรสฺส อปเร, ปจฺฉิมทิสายนฺติ อโตฺถฯ วนสเณฺฑติ โส กิร วนสโณฺฑ นครสฺส ปจฺฉิมทิสายํ คาวุตมเตฺต ฐาเนฯ ตตฺถ มนุสฺสา ภควโต คนฺธกุฎิํ กตฺวา ตํ ปริวาเรตฺวา ภิกฺขูนํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานจงฺกมเลณกุฎิมณฺฑปาทีนิ ปติฎฺฐเปสุํ, ภควา ตตฺถ วิหรติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปรปุเร วนสเณฺฑ’’ติฯ สุนกฺขโตฺตติ ตสฺส นามํฯ ลิจฺฉวีนํ ปน ปุตฺตตฺตา ลิจฺฉวิปุโตฺตติ วุโตฺตฯ อจิรปกฺกโนฺตติ วิพฺภมิตฺวา คิหิภาวูปคมเนน อธุนาปกฺกโนฺตฯ ปริสตีติ ปริสมเชฺฌฯ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาติ เอตฺถ มนุสฺสธมฺมา นาม ทสกุสลกมฺมปถาฯ เต ปฎิเสเธตุํ น สโกฺกติฯ กสฺมา? อุปารมฺภภยาฯ เวสาลิยญฺหิ พหู มนุสฺสา รตนตฺตเย ปสนฺนา พุทฺธมามกา ธมฺมมามกา สงฺฆมามกาฯ เต ทสกุสลกมฺมปถมตฺตมฺปิ นตฺถิ สมณสฺส โคตมสฺสาติ วุเตฺต ตฺวํ กตฺถ ภควนฺตํ ปาณํ หนนฺตํ อทฺทส, กตฺถ อทินฺนํ อาทิยนฺตนฺติอาทีนิ วตฺวา อตฺตโน ปมาณํ น ชานาสิ? กิํ ทนฺตา เม อตฺถีติ ปาสาณสกฺขรา ขาทสิ, อหินงฺคุเฎฺฐ คณฺหิตุํ วายมสิ, กกจทเนฺตสุ ปุปฺผาวฬิกํ กีฬิตุํ อิจฺฉสิ? มุขโต เต ทเนฺต ปาเตสฺสามาติ วเทยฺยุํฯ โส เตสํ อุปารมฺภภยา เอวํ วตฺตุํ น สโกฺกติฯ

    01Bahinagareti nagarassa bahi, na ambapālivanaṃ viya antonagarasmiṃ. Ayaṃ pana jīvakambavanaṃ viya nagarassa bahiddhā vanasaṇḍo. Tena vuttaṃ ‘‘bahinagare’’ti. Aparapureti purassa apare, pacchimadisāyanti attho. Vanasaṇḍeti so kira vanasaṇḍo nagarassa pacchimadisāyaṃ gāvutamatte ṭhāne. Tattha manussā bhagavato gandhakuṭiṃ katvā taṃ parivāretvā bhikkhūnaṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānacaṅkamaleṇakuṭimaṇḍapādīni patiṭṭhapesuṃ, bhagavā tattha viharati. Tena vuttaṃ ‘‘aparapure vanasaṇḍe’’ti. Sunakkhattoti tassa nāmaṃ. Licchavīnaṃ pana puttattā licchaviputtoti vutto. Acirapakkantoti vibbhamitvā gihibhāvūpagamanena adhunāpakkanto. Parisatīti parisamajjhe. Uttarimanussadhammāti ettha manussadhammā nāma dasakusalakammapathā. Te paṭisedhetuṃ na sakkoti. Kasmā? Upārambhabhayā. Vesāliyañhi bahū manussā ratanattaye pasannā buddhamāmakā dhammamāmakā saṅghamāmakā. Te dasakusalakammapathamattampi natthi samaṇassa gotamassāti vutte tvaṃ kattha bhagavantaṃ pāṇaṃ hanantaṃ addasa, kattha adinnaṃ ādiyantantiādīni vatvā attano pamāṇaṃ na jānāsi? Kiṃ dantā me atthīti pāsāṇasakkharā khādasi, ahinaṅguṭṭhe gaṇhituṃ vāyamasi, kakacadantesu pupphāvaḷikaṃ kīḷituṃ icchasi? Mukhato te dante pātessāmāti vadeyyuṃ. So tesaṃ upārambhabhayā evaṃ vattuṃ na sakkoti.

    เวสาลินครวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vesālinagaravaṇṇanā niṭṭhitā.

    อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาทิวณฺณนา

    Uttarimanussadhammādivaṇṇanā

    ตโต อุตฺตริํ ปน วิเสสาธิคมํ ปฎิเสเธโนฺต อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสติ อาหฯ

    Tato uttariṃ pana visesādhigamaṃ paṭisedhento uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanavisesoti āha.

    ตตฺถ อลมริยํ ญาตุนฺติ อลมริโย, อริยภาวาย สมโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ ญาณทสฺสนเมว ญาณทสฺสนวิเสโสฯ อลมริโย จ โส ญาณทสฺสนวิเสโส จาติ อลมริยญาณทสฺสนวิเสโสฯ ญาณทสฺสนนฺติ ทิพฺพจกฺขุปิ วิปสฺสนาปิ มโคฺคปิ ผลมฺปิ ปจฺจเวกฺขณญาณมฺปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ วุจฺจติฯ ‘‘อปฺปมโตฺต สมาโน ญาณทสฺสนํ อาราเธตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๑๑) หิ เอตฺถ ทิพฺพจกฺขุ ญาณทสฺสนํ นามฯ ‘‘ญาณทสฺสนาย จิตฺตํ อภินีหรติ อภินินฺนาเมตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๓๕) เอตฺถ วิปสฺสนาญาณํฯ ‘‘อภพฺพา เต ญาณทสฺสนาย อนุตฺตราย สโมฺพธายา’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๙๖) เอตฺถ มโคฺคฯ ‘‘อยมโญฺญ อุตฺตริ มนุสฺสธมฺมา อลมริยญาณทสฺสนวิเสโส อธิคโต ผาสุ วิหาโร’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๒๘) เอตฺถ ผลํฯ ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ, อกุปฺปา เม เจโตวิมุตฺติ, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’ติ (มหาว. ๑๖) เอตฺถ ปจฺจเวกฺขณญาณํฯ ‘‘ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ สตฺตาหกาลงฺกโต อาฬาโร กาฬาโม’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๔๐) เอตฺถ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ อิธ ปน โลกุตฺตรมโคฺค อธิเปฺปโตฯ ตญฺหิ โส ภควโต ปฎิเสเธติฯ

    Tattha alamariyaṃ ñātunti alamariyo, ariyabhāvāya samatthoti vuttaṃ hoti. Ñāṇadassanameva ñāṇadassanaviseso. Alamariyo ca so ñāṇadassanaviseso cāti alamariyañāṇadassanaviseso. Ñāṇadassananti dibbacakkhupi vipassanāpi maggopi phalampi paccavekkhaṇañāṇampi sabbaññutaññāṇampi vuccati. ‘‘Appamatto samāno ñāṇadassanaṃ ārādhetī’’ti (ma. ni. 1.311) hi ettha dibbacakkhu ñāṇadassanaṃ nāma. ‘‘Ñāṇadassanāya cittaṃ abhinīharati abhininnāmetī’’ti (dī. ni. 1.235) ettha vipassanāñāṇaṃ. ‘‘Abhabbā te ñāṇadassanāya anuttarāya sambodhāyā’’ti (a. ni. 4.196) ettha maggo. ‘‘Ayamañño uttari manussadhammā alamariyañāṇadassanaviseso adhigato phāsu vihāro’’ti (ma. ni. 1.328) ettha phalaṃ. ‘‘Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi, akuppā me cetovimutti, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’ti (mahāva. 16) ettha paccavekkhaṇañāṇaṃ. ‘‘Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi sattāhakālaṅkato āḷāro kāḷāmo’’ti (ma. ni. 2.340) ettha sabbaññutaññāṇaṃ. Idha pana lokuttaramaggo adhippeto. Tañhi so bhagavato paṭisedheti.

    ตกฺกปริยาหตนฺติ อิมินา อาจริยํ ปฎิพาหติฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ – สมเณน โคตเมน อาจริเย อุปสงฺกมิตฺวา สุขุมํ ธมฺมนฺตรํ คหิตํ นาม นตฺถิ, ตกฺกปริยาหตํ ปน ตเกฺกตฺวา เอวํ ภวิสฺสติ เอวํ ภวิสฺสตีติ ตกฺกปริยาหตํ ธมฺมํ เทเสตีติฯ วีมํสานุจริตนฺติ อิมินา จสฺส โลกิยปญฺญํ อนุชานาติฯ สมโณ โคตโม ปญฺญวา, โส ตํ ปญฺญาสงฺขาตํ อินฺทวชิรูปมํ วีมํสํ เอวํ วฎฺฎิสฺสติ, เอวํ วฎฺฎิสฺสตีติ อิโต จิโต จ อนุจราเปตฺวา วีมํสาย อนุจริตํ ธมฺมํ เทเสติฯ สยํปฎิภานนฺติ อิมินาสฺส ธเมฺมสุ ปจฺจกฺขภาวํ ปฎิพาหติฯ เอวํ หิสฺส อโหสิ – สมณสฺส โคตมสฺส สุขุมํ ธมฺมนฺตรํ วิปสฺสนา วา มโคฺค วา ผลํ วา ปจฺจเวกฺขณา วา นตฺถิ, อยํ ปน ลทฺธปริโส, ราชานํ จกฺกวตฺติํ วิย นํ จตฺตาโร วณฺณา ปริวาเรนฺติ, สุผุสิตํ ปนสฺส ทนฺตาวรณํ, มุทุกา ชิวฺหา, มธุโร สโร, อเนลคฬา วาจา, โส ยํ ยเทวสฺส อุปฎฺฐาติ, ตํ ตํ คเหตฺวา สยํปฎิภานํ กเถโนฺต มหาชนํ รเญฺชตีติฯ

    Takkapariyāhatanti iminā ācariyaṃ paṭibāhati. Evaṃ kirassa ahosi – samaṇena gotamena ācariye upasaṅkamitvā sukhumaṃ dhammantaraṃ gahitaṃ nāma natthi, takkapariyāhataṃ pana takketvā evaṃ bhavissati evaṃ bhavissatīti takkapariyāhataṃ dhammaṃ desetīti. Vīmaṃsānucaritanti iminā cassa lokiyapaññaṃ anujānāti. Samaṇo gotamo paññavā, so taṃ paññāsaṅkhātaṃ indavajirūpamaṃ vīmaṃsaṃ evaṃ vaṭṭissati, evaṃ vaṭṭissatīti ito cito ca anucarāpetvā vīmaṃsāya anucaritaṃ dhammaṃ deseti. Sayaṃpaṭibhānanti imināssa dhammesu paccakkhabhāvaṃ paṭibāhati. Evaṃ hissa ahosi – samaṇassa gotamassa sukhumaṃ dhammantaraṃ vipassanā vā maggo vā phalaṃ vā paccavekkhaṇā vā natthi, ayaṃ pana laddhapariso, rājānaṃ cakkavattiṃ viya naṃ cattāro vaṇṇā parivārenti, suphusitaṃ panassa dantāvaraṇaṃ, mudukā jivhā, madhuro saro, anelagaḷā vācā, so yaṃ yadevassa upaṭṭhāti, taṃ taṃ gahetvā sayaṃpaṭibhānaṃ kathento mahājanaṃ rañjetīti.

    ยสฺส จ ขฺวาสฺส อตฺถาย ธโมฺม เทสิโตติ ยสฺส จ โข อตฺถาย อสฺส ธโมฺม เทสิโตฯ เสยฺยถิทํ, ราคปฎิฆาตตฺถาย อสุภกมฺมฎฺฐานํ, โทสปฺปฎิฆาตตฺถาย เมตฺตาภาวนา, โมหปฎิฆาตตฺถาย ปญฺจ ธมฺมา, วิตกฺกูปเจฺฉทาย อานาปานสฺสติฯ

    Yassa ca khvāssa atthāya dhammo desitoti yassa ca kho atthāya assa dhammo desito. Seyyathidaṃ, rāgapaṭighātatthāya asubhakammaṭṭhānaṃ, dosappaṭighātatthāya mettābhāvanā, mohapaṭighātatthāya pañca dhammā, vitakkūpacchedāya ānāpānassati.

    โส นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยายาติ โส ธโมฺม โย ตํ ยถาเทสิตํ กโรติ, ตสฺส ตกฺกรสฺส สมฺมา เหตุนา นเยน การเณน วฎฺฎทุกฺขกฺขยาย นิยฺยาติ คจฺฉติ ตมตฺถํ สาเธตีติ ทีเปติ ฯ อิทํ ปเนส น อตฺตโน อชฺฌาสเยน วทติฯ พุทฺธานญฺหิ ธโมฺม อนิยฺยานิโกติ เอวเมวํ ปเวเทยฺย, น ปน สโกฺกติ วตฺตุํฯ กสฺมา? อุปารมฺภภยาฯ เวสาลิยญฺหิ พหู โสตาปนฺน-สกทาคามิ-อนาคามิอุปาสกาฯ เต เอวํ วเทยฺยุํ ‘‘สุนกฺขตฺต ตฺวํ ภควตา เทสิตธโมฺม อนิยฺยานิโกติ วทสิ, ยทิ อยํ ธโมฺม อนิยฺยานิโก, อิมสฺมิํ นคเร อิเม กสฺมา เอตฺตกา โสตาปนฺนา ชาตา, เอตฺตกา สกทาคามี, เอตฺตกา อนาคามีติ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน อุปารมฺภํ กเรยฺยุ’’นฺติฯ โส อิมินา อุปารมฺภภเยน อนิยฺยานิโกติ วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต อชฺชุเนน วิสฺสฎฺฐกณฺฑํ วิย อสฺส ธโมฺม อโมโฆ นิยฺยาติ, อพฺภนฺตเร ปนสฺส กิญฺจิ นตฺถีติ วทติฯ

    So niyyāti takkarassa sammā dukkhakkhayāyāti so dhammo yo taṃ yathādesitaṃ karoti, tassa takkarassa sammā hetunā nayena kāraṇena vaṭṭadukkhakkhayāya niyyāti gacchati tamatthaṃ sādhetīti dīpeti . Idaṃ panesa na attano ajjhāsayena vadati. Buddhānañhi dhammo aniyyānikoti evamevaṃ pavedeyya, na pana sakkoti vattuṃ. Kasmā? Upārambhabhayā. Vesāliyañhi bahū sotāpanna-sakadāgāmi-anāgāmiupāsakā. Te evaṃ vadeyyuṃ ‘‘sunakkhatta tvaṃ bhagavatā desitadhammo aniyyānikoti vadasi, yadi ayaṃ dhammo aniyyāniko, imasmiṃ nagare ime kasmā ettakā sotāpannā jātā, ettakā sakadāgāmī, ettakā anāgāmīti pubbe vuttanayena upārambhaṃ kareyyu’’nti. So iminā upārambhabhayena aniyyānikoti vattuṃ asakkonto ajjunena vissaṭṭhakaṇḍaṃ viya assa dhammo amogho niyyāti, abbhantare panassa kiñci natthīti vadati.

    อโสฺสสิ โขติ เวสาลิยํ พฺราหฺมณกุลเสฎฺฐิกุลาทีสุ ตตฺถ ตตฺถ ปริสมเชฺฌ เอวํ ภาสมานสฺส ตํ วจนํ สุณิ, น ปน ปฎิเสเธสิฯ กสฺมา? การุญฺญตายฯ เอวํ กิรสฺส อโหสิ อยํ กุโทฺธ ฌายมานํ เวฬุวนํ วิย ปกฺขิตฺตโลณํ อุทฺธนํ วิย จ โกธวเสน ปฎปฎายติ, มยา ปฎิพาหิโต ปน มยิปิ อาฆาตํ พนฺธิสฺสติ, เอวมสฺส ตถาคเต จ มยิ จาติ ทฺวีสุ ชเนสุ อาฆาโต อติภาริโย ภวิสฺสตีติ การุญฺญตาย น ปฎิเสเธสิฯ อปิ จสฺส เอวํ อโหสิ, พุทฺธานํ อวณฺณกถนํ นาม ปุณฺณจเนฺท โทสาโรปนสทิสํ, โก อิมสฺส กถํ คณฺหิสฺสติ? สยเมว เขเฬ ปจฺฉิเนฺน มุเข สุเกฺข โอรมิสฺสตีติ อิมินา การเณน น ปฎิเสเธสิฯ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺตติ ปิณฺฑปาตปริเยสนโต อปคโตฯ

    Assosi khoti vesāliyaṃ brāhmaṇakulaseṭṭhikulādīsu tattha tattha parisamajjhe evaṃ bhāsamānassa taṃ vacanaṃ suṇi, na pana paṭisedhesi. Kasmā? Kāruññatāya. Evaṃ kirassa ahosi ayaṃ kuddho jhāyamānaṃ veḷuvanaṃ viya pakkhittaloṇaṃ uddhanaṃ viya ca kodhavasena paṭapaṭāyati, mayā paṭibāhito pana mayipi āghātaṃ bandhissati, evamassa tathāgate ca mayi cāti dvīsu janesu āghāto atibhāriyo bhavissatīti kāruññatāya na paṭisedhesi. Api cassa evaṃ ahosi, buddhānaṃ avaṇṇakathanaṃ nāma puṇṇacande dosāropanasadisaṃ, ko imassa kathaṃ gaṇhissati? Sayameva kheḷe pacchinne mukhe sukkhe oramissatīti iminā kāraṇena na paṭisedhesi. Piṇḍapātapaṭikkantoti piṇḍapātapariyesanato apagato.

    ๑๔๗. โกธโนติ จโณฺฑ ผรุโสฯ โมฆปุริโสติ ตุจฺฉปุริโสฯ ยสฺส หิ ตสฺมิํ อตฺตภาเว มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย นตฺถิ, ตํ พุทฺธา ‘‘โมฆปุริโส’’ติ วทนฺติฯ อุปนิสฺสเย สติปิ ตสฺมิํ ขเณ มเคฺค วา ผเล วา อสติ ‘‘โมฆปุริโส’’ติ วทนฺติเยวฯ อิมสฺส ปน ตสฺมิํ อตฺตภาเว มคฺคผลานํ อุปนิสฺสโย สมุจฺฉิโนฺนเยว, เตน ตํ ‘‘โมฆปุริโส’’ติ อาหฯ โกธา จ ปนสฺส เอสา วาจา ภาสิตาติ เอสา จ ปนสฺส วาจา โกเธน ภาสิตาฯ

    147.Kodhanoti caṇḍo pharuso. Moghapurisoti tucchapuriso. Yassa hi tasmiṃ attabhāve maggaphalānaṃ upanissayo natthi, taṃ buddhā ‘‘moghapuriso’’ti vadanti. Upanissaye satipi tasmiṃ khaṇe magge vā phale vā asati ‘‘moghapuriso’’ti vadantiyeva. Imassa pana tasmiṃ attabhāve maggaphalānaṃ upanissayo samucchinnoyeva, tena taṃ ‘‘moghapuriso’’ti āha. Kodhā ca panassa esā vācā bhāsitāti esā ca panassa vācā kodhena bhāsitā.

    กสฺมา ปเนส ภควโต กุโทฺธติ? อยญฺหิ ปุเพฺพ ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมํ ปุจฺฉิฯ อถสฺส ภควา กเถสิฯ โส ทิพฺพจกฺขุํ นิพฺพเตฺตตฺวา อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เทวโลเก โอโลเกโนฺต นนฺทนวนจิตฺตลตาวนผารุสกวนมิสฺสกวเนสุ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาเน เทวปุเตฺต จ เทวธีตโร จ ทิสฺวา เอเตสํ เอวรูปาย อตฺตภาวสมฺปตฺติยา ฐิตานํ กีวมธุโร นุ โข สโทฺท ภวิสฺสตีติ สทฺทํ โสตุกาโม หุตฺวา ทสพลํ อุปสงฺกมิตฺวา ทิพฺพโสตธาตุปริกมฺมํ ปุจฺฉิฯ ภควา ปนสฺส ทิพฺพโสตธาตุยา อุปนิสฺสโย นตฺถีติ ญตฺวา ปริกมฺมํ น กเถสิฯ น หิ พุทฺธา อุปนิสฺสยวิรหิต ตสฺส ปริกมฺมํ กเถนฺติฯ โส ภควติ อาฆาตํ พนฺธิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อหํ สมณํ โคตมํ ปฐมํ ทิพฺพจกฺขุปริกมฺมํ ปุจฺฉิํ, โส ‘มยฺหํ ตํ สมฺปชฺชตุ วา มา วา สมฺปชฺชตู’ติ กเถสิฯ อหํ ปน ปจฺจตฺตปุริสกาเรน ตํ นิพฺพเตฺตตฺวา ทิพฺพโสตธาตุปริกมฺมํ ปุจฺฉิํ, ตํ เม น กเถสิฯ อทฺธาสฺส เอวํ โหติ ‘อยํ ราชปพฺพชิโต ทิพฺพจกฺขุญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา ทิพฺพโสตธาตุญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา เจโตปริยญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา อาสวานํ ขยญาณํ นิพฺพเตฺตตฺวา มยา สมสโม ภวิสฺสตี’ติ อิสฺสามจฺฉริยวเสน มยฺหํ น กเถตี’’ติฯ ภิโยฺยโส อาฆาตํ พนฺธิตฺวา กาสายานิ ฉเฑฺฑตฺวา คิหิภาวํ ปตฺวาปิ น ตุณฺหีภูโต วิจรติฯ ทสพลํ ปน อสตา ตุเจฺฉน อพฺภาจิกฺขโนฺต วิจรติฯ เตนาห ภควา ‘‘โกธา จ ปนสฺส เอสา วาจา ภาสิตา’’ติฯ

    Kasmā panesa bhagavato kuddhoti? Ayañhi pubbe bhagavantaṃ upasaṅkamitvā dibbacakkhuparikammaṃ pucchi. Athassa bhagavā kathesi. So dibbacakkhuṃ nibbattetvā ālokaṃ vaḍḍhetvā devaloke olokento nandanavanacittalatāvanaphārusakavanamissakavanesu dibbasampattiṃ anubhavamāne devaputte ca devadhītaro ca disvā etesaṃ evarūpāya attabhāvasampattiyā ṭhitānaṃ kīvamadhuro nu kho saddo bhavissatīti saddaṃ sotukāmo hutvā dasabalaṃ upasaṅkamitvā dibbasotadhātuparikammaṃ pucchi. Bhagavā panassa dibbasotadhātuyā upanissayo natthīti ñatvā parikammaṃ na kathesi. Na hi buddhā upanissayavirahita tassa parikammaṃ kathenti. So bhagavati āghātaṃ bandhitvā cintesi ‘‘ahaṃ samaṇaṃ gotamaṃ paṭhamaṃ dibbacakkhuparikammaṃ pucchiṃ, so ‘mayhaṃ taṃ sampajjatu vā mā vā sampajjatū’ti kathesi. Ahaṃ pana paccattapurisakārena taṃ nibbattetvā dibbasotadhātuparikammaṃ pucchiṃ, taṃ me na kathesi. Addhāssa evaṃ hoti ‘ayaṃ rājapabbajito dibbacakkhuñāṇaṃ nibbattetvā dibbasotadhātuñāṇaṃ nibbattetvā cetopariyañāṇaṃ nibbattetvā āsavānaṃ khayañāṇaṃ nibbattetvā mayā samasamo bhavissatī’ti issāmacchariyavasena mayhaṃ na kathetī’’ti. Bhiyyoso āghātaṃ bandhitvā kāsāyāni chaḍḍetvā gihibhāvaṃ patvāpi na tuṇhībhūto vicarati. Dasabalaṃ pana asatā tucchena abbhācikkhanto vicarati. Tenāha bhagavā ‘‘kodhā ca panassa esā vācā bhāsitā’’ti.

    วโณฺณ เหโส, สาริปุตฺตาติ, สาริปุตฺต, ตถาคเตน สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรเนฺตน เอตทตฺถเมว วายาโม กโต ‘‘เทสนาธโมฺม เม นิยฺยานิโก ภวิสฺสตี’’ติฯ ตสฺมา โย เอวํ วเทยฺย, โส วณฺณํเยว ตถาคตสฺส ภาสติฯ วโณฺณ เหโส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส คุโณ เอโส ตถาคตสฺส, น อคุโณติ ทเสฺสติฯ

    Vaṇṇo heso, sāriputtāti, sāriputta, tathāgatena satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūrentena etadatthameva vāyāmo kato ‘‘desanādhammo me niyyāniko bhavissatī’’ti. Tasmā yo evaṃ vadeyya, so vaṇṇaṃyeva tathāgatassa bhāsati. Vaṇṇo heso, sāriputta, tathāgatassa guṇo eso tathāgatassa, na aguṇoti dasseti.

    อยมฺปิ หิ นาม สาริปุตฺตาติอาทินา กิํ ทเสฺสติ? สุนกฺขเตฺตน ปฎิสิทฺธสฺส อุตฺตริมนุสฺสธมฺมสฺส อตฺตนิ อตฺถิตํ ทเสฺสติฯ ภควา กิร อยํ, สาริปุตฺต, สุนกฺขโตฺต โมฆปุริโส นตฺถิ ตถาคตสฺส อุตฺตริมนุสฺสธโมฺมติ วทติฯ มยฺหญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ นาม อตฺถิ, อิทฺธิวิธญาณํ นาม อตฺถิ, ทิพฺพโสตธาตุญาณํ นาม อตฺถิ, เจโตปริยญาณํ นาม อตฺถิ, ทสพลญาณํ นาม อตฺถิ, จตุเวสารชฺชญาณํ นาม อตฺถิ, อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณํ นาม อตฺถิ, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ นาม อตฺถิ, ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ นาม อตฺถิ, สเพฺพปิ เจเต อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาเยวฯ เอวรูเปสุ อุตฺตริมนุสฺสธเมฺมสุ เอกสฺสาปิ วิชานนสมตฺถํ ธมฺมนฺวยมตฺตมฺปิ นาม เอตสฺส โมฆปุริสสฺส น ภวิสฺสตีติ เอตมตฺถํ ทเสฺสตุํ อยมฺปิ หิ นาม สาริปุตฺตาติอาทินา นเยน อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ อเนฺวตีติ อนฺวโย, ชานาติ , อนุพุชฺฌตีติ อโตฺถฯ ธมฺมสฺส อนฺวโย ธมฺมนฺวโย, ตํ ตํ สพฺพญฺญุตญฺญาณาทิธมฺมํ ชานนปญฺญาเยตํ อธิวจนํฯ ‘‘อิติปิ โส ภควา’’ติอาทีหิ เอวรูปมฺปิ นาม มยฺหํ สพฺพญฺญุตญฺญาณสงฺขาตํ อุตฺตริมนุสฺสธมฺมํ วิชฺชมานเมว อตฺถีติ ชานิตุํ ตสฺส โมฆปุริสสฺส ธมฺมนฺวโยปิ น ภวิสฺสตีติ ทเสฺสติฯ อิทฺธิวิธญาณาทีสุปิ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Ayampihi nāma sāriputtātiādinā kiṃ dasseti? Sunakkhattena paṭisiddhassa uttarimanussadhammassa attani atthitaṃ dasseti. Bhagavā kira ayaṃ, sāriputta, sunakkhatto moghapuriso natthi tathāgatassa uttarimanussadhammoti vadati. Mayhañca sabbaññutaññāṇaṃ nāma atthi, iddhividhañāṇaṃ nāma atthi, dibbasotadhātuñāṇaṃ nāma atthi, cetopariyañāṇaṃ nāma atthi, dasabalañāṇaṃ nāma atthi, catuvesārajjañāṇaṃ nāma atthi, aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇaṃ nāma atthi, catuyoniparicchedakañāṇaṃ nāma atthi, pañcagatiparicchedakañāṇaṃ nāma atthi, sabbepi cete uttarimanussadhammāyeva. Evarūpesu uttarimanussadhammesu ekassāpi vijānanasamatthaṃ dhammanvayamattampi nāma etassa moghapurisassa na bhavissatīti etamatthaṃ dassetuṃ ayampi hi nāma sāriputtātiādinā nayena imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha anvetīti anvayo, jānāti , anubujjhatīti attho. Dhammassa anvayo dhammanvayo, taṃ taṃ sabbaññutaññāṇādidhammaṃ jānanapaññāyetaṃ adhivacanaṃ. ‘‘Itipi so bhagavā’’tiādīhi evarūpampi nāma mayhaṃ sabbaññutaññāṇasaṅkhātaṃ uttarimanussadhammaṃ vijjamānameva atthīti jānituṃ tassa moghapurisassa dhammanvayopi na bhavissatīti dasseti. Iddhividhañāṇādīsupi evaṃ yojanā veditabbā.

    อุตฺตริมนุสฺสธมฺมาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Uttarimanussadhammādivaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทสพลญาณาทิวณฺณนา

    Dasabalañāṇādivaṇṇanā

    ๑๔๘. เอตฺถ จ กิญฺจาปิ เจโตปริยญาณานนฺตรํ ติโสฺส วิชฺชา วตฺตพฺพา สิยุํ, ยสฺมา ปน ตาสุ วุตฺตาสุ อุปริ ทสพลญาณํ น ปริปูรติ, ตสฺมา ตา อวตฺวา ตถาคตสฺส ทสพลญาณํ ปริปูรํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต ทส โข ปนิมานิ สาริปุตฺตาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ตถาคตพลานีติ อเญฺญหิ อสาธารณานิ ตถาคตเสฺสว พลานิฯ ยถา วา ปุพฺพพุทฺธานํ พลานิ ปุญฺญุสฺสยสมฺปตฺติยา อาคตานิ, ตถา อาคตพลานีติปิ อโตฺถฯ ตตฺถ ทุวิธํ ตถาคตพลํ กายพลญฺจ ญาณพลญฺจฯ เตสุ กายพลํ หตฺถิกุลานุสาเรน เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ โปราเณหิ –

    148. Ettha ca kiñcāpi cetopariyañāṇānantaraṃ tisso vijjā vattabbā siyuṃ, yasmā pana tāsu vuttāsu upari dasabalañāṇaṃ na paripūrati, tasmā tā avatvā tathāgatassa dasabalañāṇaṃ paripūraṃ katvā dassento dasa kho panimāni sāriputtātiādimāha. Tattha tathāgatabalānīti aññehi asādhāraṇāni tathāgatasseva balāni. Yathā vā pubbabuddhānaṃ balāni puññussayasampattiyā āgatāni, tathā āgatabalānītipi attho. Tattha duvidhaṃ tathāgatabalaṃ kāyabalañca ñāṇabalañca. Tesu kāyabalaṃ hatthikulānusārena veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ porāṇehi –

    ‘‘กาลาวกญฺจ คเงฺคยฺยํ, ปณฺฑรํ ตมฺพปิงฺคลํ;

    ‘‘Kālāvakañca gaṅgeyyaṃ, paṇḍaraṃ tambapiṅgalaṃ;

    คนฺธมงฺคลเหมญฺจ, อุโปสถฉทฺทนฺติเม ทสา’’ติฯ

    Gandhamaṅgalahemañca, uposathachaddantime dasā’’ti.

    อิมานิ หิ ทส หตฺถิกุลานิฯ ตตฺถ กาลาวกนฺติ ปกติหตฺถิกุลํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยํ ทสนฺนํ ปุริสานํ กายพลํ, ตํ เอกสฺส กาลาวกหตฺถิโนฯ ยํ ทสนฺนํ กาลาวกานํ พลํ, ตํ เอกสฺส คเงฺคยฺยสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ คเงฺคยฺยานํ, ตํ เอกสฺส ปณฺฑรสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ ปณฺฑรานํ, ตํ เอกสฺส ตมฺพสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ ตมฺพานํ, ตํ เอกสฺส ปิงฺคลสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ ปิงฺคลานํ, ตํ เอกสฺส คนฺธหตฺถิโนฯ ยํ ทสนฺนํ คนฺธหตฺถีนํ, ตํ เอกสฺส มงฺคลสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ มงฺคลานํ, ตํ เอกสฺส เหมวตสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ เหมวตานํ, ตํ เอกสฺส อุโปสถสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ อุโปสถานํ, ตํ เอกสฺส ฉทฺทนฺตสฺสฯ ยํ ทสนฺนํ ฉทฺทนฺตานํ ตํ เอกสฺส ตถาคตสฺสฯ นารายนสงฺฆาตพลนฺติปิ อิทเมว วุจฺจติ ฯ ตเทตํ ปกติหตฺถิคณนาย หตฺถีนํ โกฎิสหสฺสานํ ปุริสคณนาย ทสนฺนํ ปุริสโกฎิสหสฺสานํ พลํ โหติฯ อิทํ ตาว ตถาคตสฺส กายพลํ

    Imāni hi dasa hatthikulāni. Tattha kālāvakanti pakatihatthikulaṃ daṭṭhabbaṃ. Yaṃ dasannaṃ purisānaṃ kāyabalaṃ, taṃ ekassa kālāvakahatthino. Yaṃ dasannaṃ kālāvakānaṃ balaṃ, taṃ ekassa gaṅgeyyassa. Yaṃ dasannaṃ gaṅgeyyānaṃ, taṃ ekassa paṇḍarassa. Yaṃ dasannaṃ paṇḍarānaṃ, taṃ ekassa tambassa. Yaṃ dasannaṃ tambānaṃ, taṃ ekassa piṅgalassa. Yaṃ dasannaṃ piṅgalānaṃ, taṃ ekassa gandhahatthino. Yaṃ dasannaṃ gandhahatthīnaṃ, taṃ ekassa maṅgalassa. Yaṃ dasannaṃ maṅgalānaṃ, taṃ ekassa hemavatassa. Yaṃ dasannaṃ hemavatānaṃ, taṃ ekassa uposathassa. Yaṃ dasannaṃ uposathānaṃ, taṃ ekassa chaddantassa. Yaṃ dasannaṃ chaddantānaṃ taṃ ekassa tathāgatassa. Nārāyanasaṅghātabalantipi idameva vuccati . Tadetaṃ pakatihatthigaṇanāya hatthīnaṃ koṭisahassānaṃ purisagaṇanāya dasannaṃ purisakoṭisahassānaṃ balaṃ hoti. Idaṃ tāva tathāgatassa kāyabalaṃ.

    ญาณพลํ ปน ปาฬิยํ ตาว อาคตเมวฯ ทสพลญาณํ, จตุเวสารชฺชญาณํ, อฎฺฐสุ ปริสาสุ อกมฺปนญาณํ, จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ, ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํฯ สํยุตฺตเก (สํ. นิ. ๒.๓๔) อาคตานิ เตสตฺตติ ญาณานิ สตฺตสตฺตติ ญาณานีติ เอวํ อญฺญานิปิ อเนกานิ ญาณสหสฺสานิ, เอตํ ญาณพลํ นามฯ อิธาปิ ญาณพลเมว อธิเปฺปตํฯ ญาณญฺหิ อกมฺปิยเฎฺฐน อุปตฺถมฺภนเฎฺฐน จ พลนฺติ วุตฺตํฯ

    Ñāṇabalaṃ pana pāḷiyaṃ tāva āgatameva. Dasabalañāṇaṃ, catuvesārajjañāṇaṃ, aṭṭhasu parisāsu akampanañāṇaṃ, catuyoniparicchedakañāṇaṃ, pañcagatiparicchedakañāṇaṃ. Saṃyuttake (saṃ. ni. 2.34) āgatāni tesattati ñāṇāni sattasattati ñāṇānīti evaṃ aññānipi anekāni ñāṇasahassāni, etaṃ ñāṇabalaṃ nāma. Idhāpi ñāṇabalameva adhippetaṃ. Ñāṇañhi akampiyaṭṭhena upatthambhanaṭṭhena ca balanti vuttaṃ.

    เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโตติ เยหิ ทสหิ ญาณพเลหิ อุเปโต สมุเปโตฯ อาสภํ ฐานนฺติ เสฎฺฐฎฺฐานํ อุตฺตมฎฺฐานํฯ อาสภา วา ปุพฺพพุทฺธา, เตสํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ อปิจ ควสตเชฎฺฐโก อุสโภ, ควสหสฺสเชฎฺฐโก วสโภฯ วชสตเชฎฺฐโก วา อุสโภ, วชสหสฺสเชฎฺฐโก วสโภฯ สพฺพควเสโฎฺฐ สพฺพปริสฺสยสโห เสโต ปาสาทิโก มหาภารวโห อสนิสตสเทฺทหิปิ อกมฺปนิโย นิสโภ, โส อิธ อุสโภติ อธิเปฺปโตฯ อิทมฺปิ หิ ตสฺส ปริยายวจนํฯ อุสภสฺส อิทนฺติ อาสภํฯ ฐานนฺติ จตูหิ ปาเทหิ ปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา อจลฎฺฐานํฯ อิทํ ปน อาสภํ วิยาติ อาสภํฯ ยเถว หิ นิสภสงฺขาโต อุสโภ อุสภพเลน สมนฺนาคโต จตูหิ ปาเทหิ ปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา อจลฎฺฐาเนน ติฎฺฐติ, เอวํ ตถาคโตปิ ทสหิ ตถาคตพเลหิ สมนฺนาคโต จตูหิ เวสารชฺชปาเทหิ อฎฺฐปริสปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา สเทวเก โลเก เกนจิ ปจฺจตฺถิเกน ปจฺจามิเตฺตน อกมฺปิโย อจลฎฺฐาเนน ติฎฺฐติฯ เอวํ ติฎฺฐมาโนว ตํ อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, อุปคจฺฉติ น ปจฺจกฺขาติ อตฺตนิ อาโรเปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาตี’’ติฯ

    Yehi balehi samannāgatoti yehi dasahi ñāṇabalehi upeto samupeto. Āsabhaṃ ṭhānanti seṭṭhaṭṭhānaṃ uttamaṭṭhānaṃ. Āsabhā vā pubbabuddhā, tesaṃ ṭhānanti attho. Apica gavasatajeṭṭhako usabho, gavasahassajeṭṭhako vasabho. Vajasatajeṭṭhako vā usabho, vajasahassajeṭṭhako vasabho. Sabbagavaseṭṭho sabbaparissayasaho seto pāsādiko mahābhāravaho asanisatasaddehipi akampaniyo nisabho, so idha usabhoti adhippeto. Idampi hi tassa pariyāyavacanaṃ. Usabhassa idanti āsabhaṃ. Ṭhānanti catūhi pādehi pathaviṃ uppīḷetvā acalaṭṭhānaṃ. Idaṃ pana āsabhaṃ viyāti āsabhaṃ. Yatheva hi nisabhasaṅkhāto usabho usabhabalena samannāgato catūhi pādehi pathaviṃ uppīḷetvā acalaṭṭhānena tiṭṭhati, evaṃ tathāgatopi dasahi tathāgatabalehi samannāgato catūhi vesārajjapādehi aṭṭhaparisapathaviṃ uppīḷetvā sadevake loke kenaci paccatthikena paccāmittena akampiyo acalaṭṭhānena tiṭṭhati. Evaṃ tiṭṭhamānova taṃ āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, upagacchati na paccakkhāti attani āropeti. Tena vuttaṃ ‘‘āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānātī’’ti.

    ปริสาสูติ อฎฺฐสุ ปริสาสุฯ สีหนาทํ นทตีติ เสฎฺฐนาทํ อภีตนาทํ นทติ, สีหนาทสทิสํ วา นาทํ นทติฯ อยมโตฺถ สีหนาทสุเตฺตน ทีเปตโพฺพฯ ยถา วา สีโห สหนโต หนนโต จ สีโหติ วุจฺจติ, เอวํ ตถาคโต โลกธมฺมานํ สหนโต ปรปฺปวาทานญฺจ หนนโต สีโหติ วุจฺจติฯ เอวํ วุตฺตสฺส สีหสฺส นาทํ สีหนาทํฯ ตตฺถ ยถา สีโห สีหพเลน สมนฺนาคโต สพฺพตฺถ วิสารโท วิคตโลมหํโส สีหนาทํ นทติ, เอวํ ตถาคตสีโหปิ ตถาคตพเลหิ สมนฺนาคโต อฎฺฐสุ ปริสาสุ วิสารโท วิคตโลมหํโส อิติ รูปนฺติอาทินา นเยน นานาวิธเทสนาวิลาสสมฺปนฺนํ สีหนาทํ นทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปริสาสุ สีหนาทํ นทตี’’ติฯ พฺรหฺมจกฺกํ ปวเตฺตตีติ เอตฺถ พฺรหฺมนฺติ เสฎฺฐํ อุตฺตมํ วิสิฎฺฐํฯ จกฺก-สโทฺท ปนายํ –

    Parisāsūti aṭṭhasu parisāsu. Sīhanādaṃ nadatīti seṭṭhanādaṃ abhītanādaṃ nadati, sīhanādasadisaṃ vā nādaṃ nadati. Ayamattho sīhanādasuttena dīpetabbo. Yathā vā sīho sahanato hananato ca sīhoti vuccati, evaṃ tathāgato lokadhammānaṃ sahanato parappavādānañca hananato sīhoti vuccati. Evaṃ vuttassa sīhassa nādaṃ sīhanādaṃ. Tattha yathā sīho sīhabalena samannāgato sabbattha visārado vigatalomahaṃso sīhanādaṃ nadati, evaṃ tathāgatasīhopi tathāgatabalehi samannāgato aṭṭhasu parisāsu visārado vigatalomahaṃso iti rūpantiādinā nayena nānāvidhadesanāvilāsasampannaṃ sīhanādaṃ nadati. Tena vuttaṃ ‘‘parisāsu sīhanādaṃ nadatī’’ti. Brahmacakkaṃ pavattetīti ettha brahmanti seṭṭhaṃ uttamaṃ visiṭṭhaṃ. Cakka-saddo panāyaṃ –

    สมฺปตฺติยํ ลกฺขเณ จ, รถเงฺค อิริยาปเถ;

    Sampattiyaṃ lakkhaṇe ca, rathaṅge iriyāpathe;

    ทาเน รตนธมฺมูร-จกฺกาทีสุ จ ทิสฺสติ;

    Dāne ratanadhammūra-cakkādīsu ca dissati;

    ธมฺมจเกฺก อิธ มโต, ตญฺจ เทฺวธา วิภาวเยฯ

    Dhammacakke idha mato, tañca dvedhā vibhāvaye.

    ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, จกฺกานิ, เยหิ สมนฺนาคตานํ เทวมนุสฺสาน’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๓๑) หิ อยํ สมฺปตฺติยํ ทิสฺสติฯ ‘‘ปาทตเลสุ จกฺกานิ ชาตานี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๕) เอตฺถ ลกฺขเณฯ ‘‘จกฺกํว วหโต ปท’’นฺติ (ธ. ป. ๑) เอตฺถ รถเงฺคฯ ‘‘จตุจกฺกํ นวทฺวาร’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๒๙) เอตฺถ อิริยาปเถฯ ‘‘ททํ ภุญฺช มา จ ปมาโท, จกฺกํ ปวตฺตย สพฺพปาณิน’’นฺติ (ชา. ๑.๗.๑๔๙) เอตฺถ ทาเนฯ ‘‘ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสี’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๔๓) เอตฺถ รตนจเกฺกฯ ‘‘มยา ปวตฺติตํ จกฺก’’นฺติ (สุ. นิ. ๕๖๒) เอตฺถ ธมฺมจเกฺกฯ ‘‘อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส, จกฺกํ ภมติ มตฺถเก’’ติ (ชา. ๑.๑.๑๐๔; ๑.๕.๑๐๓) เอตฺถ อุรจเกฺกฯ ‘‘ขุรปริยเนฺตน เจปิ จเกฺกนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๖) เอตฺถ ปหรณจเกฺกฯ ‘‘อสนิวิจกฺก’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๖๑; สํ. นิ. ๒.๑๖๒) เอตฺถ อสนิมณฺฑเลฯ อิธ ปนายํ ธมฺมจเกฺก อธิเปฺปโตฯ

    ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, cakkāni, yehi samannāgatānaṃ devamanussāna’’ntiādīsu (a. ni. 4.31) hi ayaṃ sampattiyaṃ dissati. ‘‘Pādatalesu cakkāni jātānī’’ti (dī. ni. 2.35) ettha lakkhaṇe. ‘‘Cakkaṃva vahato pada’’nti (dha. pa. 1) ettha rathaṅge. ‘‘Catucakkaṃ navadvāra’’nti (saṃ. ni. 1.29) ettha iriyāpathe. ‘‘Dadaṃ bhuñja mā ca pamādo, cakkaṃ pavattaya sabbapāṇina’’nti (jā. 1.7.149) ettha dāne. ‘‘Dibbaṃ cakkaratanaṃ pāturahosī’’ti (dī. ni. 2.243) ettha ratanacakke. ‘‘Mayā pavattitaṃ cakka’’nti (su. ni. 562) ettha dhammacakke. ‘‘Icchāhatassa posassa, cakkaṃ bhamati matthake’’ti (jā. 1.1.104; 1.5.103) ettha uracakke. ‘‘Khurapariyantena cepi cakkenā’’ti (dī. ni. 1.166) ettha paharaṇacakke. ‘‘Asanivicakka’’nti (dī. ni. 3.61; saṃ. ni. 2.162) ettha asanimaṇḍale. Idha panāyaṃ dhammacakke adhippeto.

    ตํ ปน ธมฺมจกฺกํ ทุวิธํ โหติ ปฎิเวธญาณเญฺจว เทสนาญาณญฺจฯ ตตฺถ ปญฺญาปภาวิตํ อตฺตโน อริยพลาวหํ ปฎิเวธญาณํฯ กรุณาปภาวิตํ สาวกานํ อริยพลาวหํ เทสนาญาณํฯ ตตฺถ ปฎิเวธญาณํ อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปนฺนนฺติ ทุวิธํฯ ตญฺหิ อภินิกฺขมนโต ยาว อรหตฺตมคฺคา อุปฺปชฺชมานํ, ผลกฺขเณ อุปฺปนฺนํ นามฯ ตุสิตภวนโต วา ยาว มหาโพธิปลฺลเงฺก อรหตฺตมคฺคา อุปฺปชฺชมานํ, ผลกฺขเณ อุปฺปนฺนํ นามฯ ทีปงฺกรทสพลโต ปฎฺฐาย วา ยาว อรหตฺตมคฺคา อุปฺปชฺชมานํ, ผลกฺขเณ อุปฺปนฺนํ นามฯ เทสนาญาณมฺปิ ปวตฺตมานํ ปวตฺตนฺติ ทุวิธํฯ ตญฺหิ ยาว อญฺญาตโกณฺฑญฺญสฺส โสตาปตฺติมคฺคา ปวตฺตมานํ, ผลกฺขเณ ปวตฺตํ นามฯ เตสุ ปฎิเวธญาณํ โลกุตฺตรํ, เทสนาญาณํ โลกิยํฯ อุภยมฺปิ ปเนตํ อเญฺญหิ อสาธารณํ, พุทฺธานํเยว โอรสญาณํฯ

    Taṃ pana dhammacakkaṃ duvidhaṃ hoti paṭivedhañāṇañceva desanāñāṇañca. Tattha paññāpabhāvitaṃ attano ariyabalāvahaṃ paṭivedhañāṇaṃ. Karuṇāpabhāvitaṃ sāvakānaṃ ariyabalāvahaṃ desanāñāṇaṃ. Tattha paṭivedhañāṇaṃ uppajjamānaṃ uppannanti duvidhaṃ. Tañhi abhinikkhamanato yāva arahattamaggā uppajjamānaṃ, phalakkhaṇe uppannaṃ nāma. Tusitabhavanato vā yāva mahābodhipallaṅke arahattamaggā uppajjamānaṃ, phalakkhaṇe uppannaṃ nāma. Dīpaṅkaradasabalato paṭṭhāya vā yāva arahattamaggā uppajjamānaṃ, phalakkhaṇe uppannaṃ nāma. Desanāñāṇampi pavattamānaṃ pavattanti duvidhaṃ. Tañhi yāva aññātakoṇḍaññassa sotāpattimaggā pavattamānaṃ, phalakkhaṇe pavattaṃ nāma. Tesu paṭivedhañāṇaṃ lokuttaraṃ, desanāñāṇaṃ lokiyaṃ. Ubhayampi panetaṃ aññehi asādhāraṇaṃ, buddhānaṃyeva orasañāṇaṃ.

    อิทานิ เยหิ พเลหิ สมนฺนาคโต ตถาคโต อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ, ยานิ อาทิโตว ‘‘ทส โข ปนิมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลานี’’ติ นิกฺขิตฺตานิ, ตานิ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ กตมานิ ทส? อิธ, สาริปุตฺต, ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโตติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฐานญฺจ ฐานโตติ การณญฺจ การณโตฯ การณญฺหิ ยสฺมา ตตฺถ ผลํ ติฎฺฐติ ตทายตฺตวุตฺติยาย อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จ, ตสฺมา ฐานนฺติ วุจฺจติฯ ตํ ภควา ‘‘เย เย ธมฺมา เยสํ เยสํ ธมฺมานํ เหตู ปจฺจยา อุปฺปาทาย, ตํ ตํ ฐานํฯ เย เย ธมฺมา เยสํ เยสํ ธมฺมานํ น เหตู น ปจฺจยา อุปฺปาทาย, ตํ ตํ อฎฺฐาน’’นฺติ ปชานโนฺต ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาติฯ อภิธเมฺม ปเนตํ, ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต ยถาภูตํ ญาณ’’นฺติอาทินา (วิภ. ๘๐๙) นเยน วิตฺถาริตเมวฯ ยมฺปีติ เยน ญาเณนฯ อิทมฺปิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺสาติ อิทมฺปิ ฐานาฎฺฐานญาณํ ตถาคตสฺส ตถาคตพลํ นาม โหตีติ อโตฺถฯ เอวํ สพฺพปเทสุ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Idāni yehi balehi samannāgato tathāgato āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti, yāni āditova ‘‘dasa kho panimāni, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalānī’’ti nikkhittāni, tāni vitthārato dassetuṃ katamāni dasa? Idha, sāriputta, tathāgato ṭhānañca ṭhānatotiādimāha. Tattha ṭhānañca ṭhānatoti kāraṇañca kāraṇato. Kāraṇañhi yasmā tattha phalaṃ tiṭṭhati tadāyattavuttiyāya uppajjati ceva pavattati ca, tasmā ṭhānanti vuccati. Taṃ bhagavā ‘‘ye ye dhammā yesaṃ yesaṃ dhammānaṃ hetū paccayā uppādāya, taṃ taṃ ṭhānaṃ. Ye ye dhammā yesaṃ yesaṃ dhammānaṃ na hetū na paccayā uppādāya, taṃ taṃ aṭṭhāna’’nti pajānanto ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato yathābhūtaṃ pajānāti. Abhidhamme panetaṃ, ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato yathābhūtaṃ ñāṇa’’ntiādinā (vibha. 809) nayena vitthāritameva. Yampīti yena ñāṇena. Idampi, sāriputta, tathāgatassāti idampi ṭhānāṭṭhānañāṇaṃ tathāgatassa tathāgatabalaṃ nāma hotīti attho. Evaṃ sabbapadesu yojanā veditabbā.

    กมฺมสมาทานานนฺติ สมาทิยิตฺวา กตานํ กุสลากุสลกมฺมานํ, กมฺมเมว วา กมฺมสมาทานํฯ ฐานโส เหตุโสติ ปจฺจยโต เจว เหตุโต จฯ ตตฺถ คติอุปธิกาลปโยคา วิปากสฺส ฐานํฯ กมฺมํ เหตุฯ อิมสฺส ปน ญาณสฺส วิตฺถารกถา ‘‘อเตฺถกจฺจานิ ปาปกานิ กมฺมสมาทานานิ คติสมฺปตฺติปฎิพาฬฺหานิ น วิปจฺจนฺตี’’ติอาทินา (วิภ. ๘๑๐) นเยน อภิธเมฺม อาคตาเยวฯ

    Kammasamādānānanti samādiyitvā katānaṃ kusalākusalakammānaṃ, kammameva vā kammasamādānaṃ. Ṭhānaso hetusoti paccayato ceva hetuto ca. Tattha gatiupadhikālapayogā vipākassa ṭhānaṃ. Kammaṃ hetu. Imassa pana ñāṇassa vitthārakathā ‘‘atthekaccāni pāpakāni kammasamādānāni gatisampattipaṭibāḷhāni na vipaccantī’’tiādinā (vibha. 810) nayena abhidhamme āgatāyeva.

    สพฺพตฺถคามินินฺติ สพฺพคติคามินิํ อคติคามินิญฺจฯ ปฎิปทนฺติ มคฺคํฯ ยถาภูตํ ปชานาตีติ พหูสุปิ มนุเสฺสสุ เอกเมว ปาณํ ฆาเตเนฺตสุ อิมสฺส เจตนา นิรยคามินี ภวิสฺสติ, อิมสฺส เจตนา ติรจฺฉานโยนิคามินีติ อิมินา นเยน เอกวตฺถุสฺมิมฺปิ กุสลากุสลเจตนาสงฺขาตานํ ปฎิปตฺตีนํ อวิปรีตโต สภาวํ ชานาติฯ อิมสฺส จ ญาณสฺส วิตฺถารกถา ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส สพฺพตฺถคามินิํ ปฎิปทํ ยถาภูตํ ญาณํ? อิธ ตถาคโต อยํ มโคฺค อยํ ปฎิปทา นิรยคามีติ ปชานาตี’’ติอาทินา (วิภ. ๘๑๑) นเยน อภิธเมฺม อาคตาเยวฯ

    Sabbatthagāmininti sabbagatigāminiṃ agatigāminiñca. Paṭipadanti maggaṃ. Yathābhūtaṃ pajānātīti bahūsupi manussesu ekameva pāṇaṃ ghātentesu imassa cetanā nirayagāminī bhavissati, imassa cetanā tiracchānayonigāminīti iminā nayena ekavatthusmimpi kusalākusalacetanāsaṅkhātānaṃ paṭipattīnaṃ aviparītato sabhāvaṃ jānāti. Imassa ca ñāṇassa vitthārakathā ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa sabbatthagāminiṃ paṭipadaṃ yathābhūtaṃ ñāṇaṃ? Idha tathāgato ayaṃ maggo ayaṃ paṭipadā nirayagāmīti pajānātī’’tiādinā (vibha. 811) nayena abhidhamme āgatāyeva.

    อเนกธาตุนฺติ จกฺขุธาตุอาทีหิ กามธาตุอาทีหิ วา ธาตูหิ พหุธาตุํฯ นานาธาตุนฺติ ตาสํเยว ธาตูนํ วิลกฺขณตาย นานปฺปการธาตุํฯ โลกนฺติ ขนฺธายตนธาตุโลกํฯ ยถาภูตํ ปชานาตีติ ตาสํ ตาสํ ธาตูนํ อวิปรีตโต สภาวํ ปฎิวิชฺฌติฯ อิทมฺปิ ญาณํ ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส อเนกธาตุนานาธาตุโลกํ ยถาภูตํ ญาณํ, อิธ ตถาคโต ขนฺธนานตฺตํ ปชานาตี’’ติอาทินา นเยน อภิธเมฺม วิตฺถาริตเมวฯ

    Anekadhātunti cakkhudhātuādīhi kāmadhātuādīhi vā dhātūhi bahudhātuṃ. Nānādhātunti tāsaṃyeva dhātūnaṃ vilakkhaṇatāya nānappakāradhātuṃ. Lokanti khandhāyatanadhātulokaṃ. Yathābhūtaṃ pajānātīti tāsaṃ tāsaṃ dhātūnaṃ aviparītato sabhāvaṃ paṭivijjhati. Idampi ñāṇaṃ ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa anekadhātunānādhātulokaṃ yathābhūtaṃ ñāṇaṃ, idha tathāgato khandhanānattaṃ pajānātī’’tiādinā nayena abhidhamme vitthāritameva.

    นานาธิมุตฺติกตนฺติ หีนาทีหิ อธิมุตฺตีหิ นานาธิมุตฺติกภาวํฯ อิทมฺปิ ญาณํ, ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส สตฺตานํ นานาธิมุตฺติกตํ ยถาภูตํ ญาณํ, อิธ ตถาคโต ปชานาติ สนฺติ สตฺตา หีนาธิมุตฺติกา’’ติ อาทินา นเยน อภิธเมฺม วิตฺถาริตเมวฯ

    Nānādhimuttikatanti hīnādīhi adhimuttīhi nānādhimuttikabhāvaṃ. Idampi ñāṇaṃ, ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa sattānaṃ nānādhimuttikataṃ yathābhūtaṃ ñāṇaṃ, idha tathāgato pajānāti santi sattā hīnādhimuttikā’’ti ādinā nayena abhidhamme vitthāritameva.

    ปรสตฺตานนฺติ ปธานสตฺตานํฯ ปรปุคฺคลานนฺติ ตโต ปเรสํ หีนสตฺตานํฯ เอกตฺถเมว วา เอตํ ปททฺวยํฯ เวเนยฺยวเสน ปน เทฺวธา วุตฺตํฯ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตนฺติ สทฺธาทีนํ อินฺทฺริยานํ ปรภาวํ อปรภาวญฺจ, วุทฺธิญฺจ หานิญฺจาติ อโตฺถฯ อิมสฺสปิ ญาณสฺส วิตฺถารกถา – ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ยถาภูตํ ญาณํ, อิธ ตถาคโต สตฺตานํ อาสยํ ปชานาติ อนุสยํ ปชานาตี’’ติอาทินา (วิภ. ๘๑๔) นเยน อภิธเมฺม อาคตาเยวฯ

    Parasattānanti padhānasattānaṃ. Parapuggalānanti tato paresaṃ hīnasattānaṃ. Ekatthameva vā etaṃ padadvayaṃ. Veneyyavasena pana dvedhā vuttaṃ. Indriyaparopariyattanti saddhādīnaṃ indriyānaṃ parabhāvaṃ aparabhāvañca, vuddhiñca hāniñcāti attho. Imassapi ñāṇassa vitthārakathā – ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa parasattānaṃ parapuggalānaṃ indriyaparopariyattaṃ yathābhūtaṃ ñāṇaṃ, idha tathāgato sattānaṃ āsayaṃ pajānāti anusayaṃ pajānātī’’tiādinā (vibha. 814) nayena abhidhamme āgatāyeva.

    ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนนฺติ ปฐมาทีนํ จตุนฺนํ ฌานานํ รูปี รูปานิ ปสฺสตีติอาทีนํ อฎฺฐนฺนํ วิโมกฺขานํ สวิตกฺกสวิจาราทีนํ ติณฺณํ สมาธีนํ ปฐมชฺฌานสมาปตฺติอาทีนญฺจ นวนฺนํ อนุปุพฺพสมาปตฺตีนํฯ สํกิเลสนฺติ หานภาคิยธมฺมํฯ โวทานนฺติ วิเสสภาคิยธมฺมํฯ วุฎฺฐานนฺติ ‘‘โวทานมฺปิ วุฎฺฐานํฯ ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐานมฺปิ วุฎฺฐาน’’นฺติ (วิภ. ๘๒๘) เอวํ วุตฺตปคุณชฺฌานเญฺจว ภวงฺคผลสมาปตฺติโย จฯ เหฎฺฐิมํ เหฎฺฐิมญฺหิ ปคุณชฺฌานํ อุปริมสฺส อุปริมสฺส ปทฎฺฐานํ โหติฯ ตสฺมา ‘‘โวทานมฺปิ วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ ภวเงฺคน ปน สพฺพชฺฌาเนหิ วุฎฺฐานํ โหติฯ ผลสมาปตฺติยา นิโรธสมาปตฺติโต วุฎฺฐานํ โหติฯ ตํ สนฺธาย ‘‘ตมฺหา ตมฺหา สมาธิมฺหา วุฎฺฐานมฺปิ วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ อิทมฺปิ ญาณํ ‘‘ตตฺถ กตมํ ตถาคตสฺส ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ สํกิเลสํ โวทานํ วุฎฺฐานํ ยถาภูตํ ญาณํ, ฌายีติ จตฺตาโร ฌายี, อเตฺถกโจฺจ ฌายี สมฺปตฺติํเยว สมานํ วิปตฺตีติ ปเจฺจตี’’ติอาทินา (วิภ. ๘๒๘) นเยน อภิธเมฺม วิตฺถาริตํฯ สตฺตนฺนํ ญาณานํ วิตฺถารกถาวินิจฺฉโย สโมฺมหวิโนทนิยํ วิภงฺคฎฺฐกถายํ วุโตฺตฯ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติทิพฺพจกฺขุญาณกถา วิสุทฺธิมเคฺค วิตฺถาริตาฯ อาสวกฺขยกถา ภยเภรเวฯ

    Jhānavimokkhasamādhisamāpattīnanti paṭhamādīnaṃ catunnaṃ jhānānaṃ rūpī rūpāni passatītiādīnaṃ aṭṭhannaṃ vimokkhānaṃ savitakkasavicārādīnaṃ tiṇṇaṃ samādhīnaṃ paṭhamajjhānasamāpattiādīnañca navannaṃ anupubbasamāpattīnaṃ. Saṃkilesanti hānabhāgiyadhammaṃ. Vodānanti visesabhāgiyadhammaṃ. Vuṭṭhānanti ‘‘vodānampi vuṭṭhānaṃ. Tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhānampi vuṭṭhāna’’nti (vibha. 828) evaṃ vuttapaguṇajjhānañceva bhavaṅgaphalasamāpattiyo ca. Heṭṭhimaṃ heṭṭhimañhi paguṇajjhānaṃ uparimassa uparimassa padaṭṭhānaṃ hoti. Tasmā ‘‘vodānampi vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Bhavaṅgena pana sabbajjhānehi vuṭṭhānaṃ hoti. Phalasamāpattiyā nirodhasamāpattito vuṭṭhānaṃ hoti. Taṃ sandhāya ‘‘tamhā tamhā samādhimhā vuṭṭhānampi vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ. Idampi ñāṇaṃ ‘‘tattha katamaṃ tathāgatassa jhānavimokkhasamādhisamāpattīnaṃ saṃkilesaṃ vodānaṃ vuṭṭhānaṃ yathābhūtaṃ ñāṇaṃ, jhāyīti cattāro jhāyī, atthekacco jhāyī sampattiṃyeva samānaṃ vipattīti paccetī’’tiādinā (vibha. 828) nayena abhidhamme vitthāritaṃ. Sattannaṃ ñāṇānaṃ vitthārakathāvinicchayo sammohavinodaniyaṃ vibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ vutto. Pubbenivāsānussatidibbacakkhuñāṇakathā visuddhimagge vitthāritā. Āsavakkhayakathā bhayabherave.

    ๑๔๙. อิมานิ โข สาริปุตฺตาติ ยานิ ปุเพฺพ ‘‘ทส โข ปนิมานิ, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ตถาคตพลานี’’ติ อโวจํ, อิมานิ ตานีติ อปฺปนํ กโรติฯ ตตฺถ ปรวาทีกถา โหติ – ทสพลญาณํ นาม ปาฎิเยกฺกํ นตฺถิ, สพฺพญฺญุตญฺญาณเสฺสวายํ ปเภโทติฯ ตํ น ตถา ทฎฺฐพฺพํฯ อญฺญเมว หิ ทสพลญาณํ, อญฺญํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ทสพลญาณญฺหิ สกสกกิจฺจเมว ชานาติฯ สพฺพญฺญุตญาณํ ตมฺปิ ตโต อวเสสมฺปิ ปชานาติฯ ทสพลญาเณสุ หิ ปฐมํ การณาการณเมว ชานาติฯ ทุติยํ กมฺมนฺตรวิปากนฺตรเมวฯ ตติยํ กมฺมปริเจฺฉทเมวฯ จตุตฺถํ ธาตุนานตฺตการณเมวฯ ปญฺจมํ สตฺตานํ อชฺฌาสยาธิมุตฺติเมวฯ ฉฎฺฐํ อินฺทฺริยานํ ติกฺขมุทุภาวเมวฯ สตฺตมํ ฌานาทีหิ สทฺธิํ เตสํ สํกิเลสาทิเมวฯ อฎฺฐมํ ปุเพฺพนิวุตฺถขนฺธสนฺตติเมวฯ นวมํ สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิเมวฯ ทสมํ สจฺจปริเจฺฉทเมวฯ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน เอเตหิ ชานิตพฺพญฺจ ตโต อุตฺตริญฺจ ปชานาติฯ เอเตสํ ปน กิจฺจํ น สพฺพํ กโรติฯ ตญฺหิ ฌานํ หุตฺวา อเปฺปตุํ น สโกฺกติ, อิทฺธิ หุตฺวา วิกุพฺพิตุํ น สโกฺกติ, มโคฺค หุตฺวา กิเลเส เขเปตุํ น สโกฺกติฯ อปิจ ปรวาที เอวํ ปุจฺฉิตโพฺพ – ‘‘ทสพลญาณํ นาม เอตํ สวิตกฺกสวิจารํ อวิตกฺกวิจารมตฺตํ อวิตกฺกอวิจารํ กามาวจรํ รูปาวจรํ อรูปาวจรํ โลกิยํ โลกุตฺตร’’นฺติ? ชานโนฺต ปฎิปาฎิยา สตฺต ญาณานิ สวิตกฺกสวิจารานีติ วกฺขติฯ ตโต ปรานิ เทฺว อวิตกฺกอวิจารานีติ วกฺขติฯ อาสวกฺขยญาณํ สิยา สวิตกฺกสวิจารํ, สิยา อวิตกฺกวิจารมตฺตํ, สิยา อวิตกฺกอวิจารนฺติ วกฺขติฯ ตถา ปฎิปาฎิยา สตฺต กามาวจรานิ, ตโต ปรานิ เทฺว รูปาวจรานิ, อวสาเน เอกํ โลกุตฺตรนฺติ วกฺขติ, สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปน สวิตกฺกสวิจารเมว กามาวจรเมว โลกิยเมวาติ วกฺขติฯ

    149.Imāni kho sāriputtāti yāni pubbe ‘‘dasa kho panimāni, sāriputta, tathāgatassa tathāgatabalānī’’ti avocaṃ, imāni tānīti appanaṃ karoti. Tattha paravādīkathā hoti – dasabalañāṇaṃ nāma pāṭiyekkaṃ natthi, sabbaññutaññāṇassevāyaṃ pabhedoti. Taṃ na tathā daṭṭhabbaṃ. Aññameva hi dasabalañāṇaṃ, aññaṃ sabbaññutaññāṇaṃ. Dasabalañāṇañhi sakasakakiccameva jānāti. Sabbaññutañāṇaṃ tampi tato avasesampi pajānāti. Dasabalañāṇesu hi paṭhamaṃ kāraṇākāraṇameva jānāti. Dutiyaṃ kammantaravipākantarameva. Tatiyaṃ kammaparicchedameva. Catutthaṃ dhātunānattakāraṇameva. Pañcamaṃ sattānaṃ ajjhāsayādhimuttimeva. Chaṭṭhaṃ indriyānaṃ tikkhamudubhāvameva. Sattamaṃ jhānādīhi saddhiṃ tesaṃ saṃkilesādimeva. Aṭṭhamaṃ pubbenivutthakhandhasantatimeva. Navamaṃ sattānaṃ cutipaṭisandhimeva. Dasamaṃ saccaparicchedameva. Sabbaññutaññāṇaṃ pana etehi jānitabbañca tato uttariñca pajānāti. Etesaṃ pana kiccaṃ na sabbaṃ karoti. Tañhi jhānaṃ hutvā appetuṃ na sakkoti, iddhi hutvā vikubbituṃ na sakkoti, maggo hutvā kilese khepetuṃ na sakkoti. Apica paravādī evaṃ pucchitabbo – ‘‘dasabalañāṇaṃ nāma etaṃ savitakkasavicāraṃ avitakkavicāramattaṃ avitakkaavicāraṃ kāmāvacaraṃ rūpāvacaraṃ arūpāvacaraṃ lokiyaṃ lokuttara’’nti? Jānanto paṭipāṭiyā satta ñāṇāni savitakkasavicārānīti vakkhati. Tato parāni dve avitakkaavicārānīti vakkhati. Āsavakkhayañāṇaṃ siyā savitakkasavicāraṃ, siyā avitakkavicāramattaṃ, siyā avitakkaavicāranti vakkhati. Tathā paṭipāṭiyā satta kāmāvacarāni, tato parāni dve rūpāvacarāni, avasāne ekaṃ lokuttaranti vakkhati, sabbaññutaññāṇaṃ pana savitakkasavicārameva kāmāvacarameva lokiyamevāti vakkhati.

    เอวเมตฺถ อนุปทวณฺณนํ กตฺวา อิทานิ ยสฺมา ตถาคโต ปฐมํเยว ฐานาฎฺฐานญาเณน เวเนยฺยสตฺตานํ อาสวกฺขยาธิคมสฺส เจว อนธิคมสฺส จ ฐานาฎฺฐานภูตํ กิเลสาวรณาภาวํ ปสฺสติ, โลกิยสมฺมาทิฎฺฐิฎฺฐานทสฺสนโต นิยตมิจฺฉาทิฎฺฐิฎฺฐานาภาวทสฺสนโต จฯ อถ เนสํ กมฺมวิปากญาเณน วิปากาวรณาภาวํ ปสฺสติ, ติเหตุกปฎิสนฺธิทสฺสนโตฯ สพฺพตฺถคามินีปฎิปทาญาเณน กมฺมาวรณาภาวํ ปสฺสติ, อนนฺตริยกมฺมาภาวทสฺสนโตฯ เอวํ อนาวรณานํ อเนกธาตุนานาธาตุญาเณน อนุกูลธมฺมเทสนตฺถํ จริยวิเสสํ ปสฺสติ, ธาตุเวมตฺตทสฺสนโตฯ อถ เนสํ นานาธิมุตฺติกตาญาเณน อธิมุตฺติํ ปสฺสติ, ปโยคํ อนาทิยิตฺวาปิ อธิมุตฺติวเสน ธมฺมเทสนตฺถํฯ อเถวํ ทิฎฺฐาธิมุตฺตีนํ ยถาสตฺติ ยถาพลํ ธมฺมํ เทเสตุํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาเณน อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ปสฺสติ, สทฺธาทีนํ ติกฺขมุทุภาวทสฺสนโตฯ เอวํ ปริญฺญาตินฺทฺริยปโรปริยตฺตา ปน เต สเจ ทูเร โหนฺติ, ปฐมชฺฌานาทีสุ วสีภูตตฺตา อิทฺธิวิเสเสน เต ขิปฺปํ อุปคจฺฉติฯ อุปคนฺตฺวา จ เนสํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาเณน ปุพฺพชาติภาวนํ, ทิพฺพจกฺขุญาณานุภาวโต ปตฺตเพฺพน เจโตปริยญาเณน สมฺปติ จิตฺตวิเสสํ ปสฺสโนฺต อาสวกฺขยญาณานุภาเวน อาสวกฺขยคามินิยา ปฎิปทาย วิคตสโมฺมหตฺตา อาสวกฺขยาย ธมฺมํ เทเสติฯ ตสฺมา อิมินา อนุกฺกเมน อิมานิ ทสพลานิ วุตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Evamettha anupadavaṇṇanaṃ katvā idāni yasmā tathāgato paṭhamaṃyeva ṭhānāṭṭhānañāṇena veneyyasattānaṃ āsavakkhayādhigamassa ceva anadhigamassa ca ṭhānāṭṭhānabhūtaṃ kilesāvaraṇābhāvaṃ passati, lokiyasammādiṭṭhiṭṭhānadassanato niyatamicchādiṭṭhiṭṭhānābhāvadassanato ca. Atha nesaṃ kammavipākañāṇena vipākāvaraṇābhāvaṃ passati, tihetukapaṭisandhidassanato. Sabbatthagāminīpaṭipadāñāṇena kammāvaraṇābhāvaṃ passati, anantariyakammābhāvadassanato. Evaṃ anāvaraṇānaṃ anekadhātunānādhātuñāṇena anukūladhammadesanatthaṃ cariyavisesaṃ passati, dhātuvemattadassanato. Atha nesaṃ nānādhimuttikatāñāṇena adhimuttiṃ passati, payogaṃ anādiyitvāpi adhimuttivasena dhammadesanatthaṃ. Athevaṃ diṭṭhādhimuttīnaṃ yathāsatti yathābalaṃ dhammaṃ desetuṃ indriyaparopariyattañāṇena indriyaparopariyattaṃ passati, saddhādīnaṃ tikkhamudubhāvadassanato. Evaṃ pariññātindriyaparopariyattā pana te sace dūre honti, paṭhamajjhānādīsu vasībhūtattā iddhivisesena te khippaṃ upagacchati. Upagantvā ca nesaṃ pubbenivāsānussatiñāṇena pubbajātibhāvanaṃ, dibbacakkhuñāṇānubhāvato pattabbena cetopariyañāṇena sampati cittavisesaṃ passanto āsavakkhayañāṇānubhāvena āsavakkhayagāminiyā paṭipadāya vigatasammohattā āsavakkhayāya dhammaṃ deseti. Tasmā iminā anukkamena imāni dasabalāni vuttānīti veditabbāni.

    ตํ, สาริปุตฺต, วาจํ อปฺปหายาติอาทีสุ ปุน เอวรูปิํ วาจํ น วกฺขามีติ วทโนฺต ตํ วาจํ ปชหติ นามฯ ปุน เอวรูปํ จิตฺตํ น อุปฺปาเทสฺสามีติ จิเนฺตโนฺต จิตฺตํ ปชหติ นามฯ ปุน เอวรูปํ ทิฎฺฐิํ น คณฺหิสฺสามีติ ปชหโนฺต ทิฎฺฐิํ ปฎินิสฺสชฺชติ นาม, ตถา อกโรโนฺต เนว ปชหติ, น ปฎินิสฺสชฺชติฯ โส ยถาภตํ นิกฺขิโตฺต เอวํ นิรเยติ ยถา นิรยปาเลหิ อาหริตฺวา นิรเย ฐปิโต, เอวํ นิรเย ฐปิโตเยวาติ เวทิตโพฺพฯ

    Taṃ, sāriputta, vācaṃ appahāyātiādīsu puna evarūpiṃ vācaṃ na vakkhāmīti vadanto taṃ vācaṃ pajahati nāma. Puna evarūpaṃ cittaṃ na uppādessāmīti cintento cittaṃ pajahati nāma. Puna evarūpaṃ diṭṭhiṃ na gaṇhissāmīti pajahanto diṭṭhiṃ paṭinissajjati nāma, tathā akaronto neva pajahati, na paṭinissajjati. So yathābhataṃ nikkhitto evaṃ nirayeti yathā nirayapālehi āharitvā niraye ṭhapito, evaṃ niraye ṭhapitoyevāti veditabbo.

    อิทานิสฺส อตฺถสาธกํ อุปมํ ทเสฺสโนฺต เสยฺยถาปีติอาทิมาหฯ ตตฺถ สีลสมฺปโนฺนติอาทีสุ โลกิยโลกุตฺตรา สีลสมาธิปญฺญา เวทิตพฺพาฯ โลกุตฺตรวเสเนว วินิวเตฺตตุมฺปิ วฎฺฎติฯ อยญฺหิ สมฺมาวาจากมฺมนฺตาชีเวหิ สีลสมฺปโนฺน, สมฺมาวายามสติสมาธีหิ สมาธิสมฺปโนฺน, สมฺมาทิฎฺฐิสงฺกเปฺปหิ ปญฺญาสมฺปโนฺน, โส เอวํ สีลาทิสมฺปโนฺน ภิกฺขุ ยถา ทิเฎฺฐว ธเมฺม อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว อญฺญํ อาราเธติ อรหตฺตํ ปาปุณาติ, เอวํสมฺปทมิทํ, สาริปุตฺต, วทามิ อิมมฺปิ การณํ เอวรูปเมว ฯ ยถา หิ มคฺคานนฺตรํ อวิรชฺฌิตฺวาว ผลํ นิพฺพตฺตติ, เอวเมว อิมสฺสาปิ ปุคฺคลสฺส จุติอนนฺตรํ อวิรชฺฌิตฺวาว นิรเย ปฎิสนฺธิ โหตีติ ทเสฺสติฯ สกลสฺมิญฺหิ พุทฺธวจเน อิมาย อุปมาย คาฬฺหตรํ กตฺวา วุตฺตอุปมา นาม นตฺถิฯ

    Idānissa atthasādhakaṃ upamaṃ dassento seyyathāpītiādimāha. Tattha sīlasampannotiādīsu lokiyalokuttarā sīlasamādhipaññā veditabbā. Lokuttaravaseneva vinivattetumpi vaṭṭati. Ayañhi sammāvācākammantājīvehi sīlasampanno, sammāvāyāmasatisamādhīhi samādhisampanno, sammādiṭṭhisaṅkappehi paññāsampanno, so evaṃ sīlādisampanno bhikkhu yathā diṭṭheva dhamme imasmiṃyeva attabhāve aññaṃ ārādheti arahattaṃ pāpuṇāti, evaṃsampadamidaṃ, sāriputta, vadāmi imampi kāraṇaṃ evarūpameva . Yathā hi maggānantaraṃ avirajjhitvāva phalaṃ nibbattati, evameva imassāpi puggalassa cutianantaraṃ avirajjhitvāva niraye paṭisandhi hotīti dasseti. Sakalasmiñhi buddhavacane imāya upamāya gāḷhataraṃ katvā vuttaupamā nāma natthi.

    ๑๕๐. เวสารชฺชานีติ เอตฺถ สารชฺชปฎิปโกฺข เวสารชฺชํ, จตูสุ ฐาเนสุ สารชฺชาภาวํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อุปฺปนฺนโสมนสฺสมยญาณเสฺสตํ นามํฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฎิชานโตติ อหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ, สเพฺพ ธมฺมา มยา อภิสมฺพุทฺธาติ เอวํ ปฎิชานโต ตวฯ อนภิสมฺพุทฺธาติ อิเม นาม ธมฺมา ตยา อนภิสมฺพุทฺธาฯ ตตฺร วตาติ เตสุ วต อนภิสมฺพุทฺธาติ เอวํ ทสฺสิตธเมฺมสุฯ สหธเมฺมนาติ สเหตุนา สการเณน วจเนน สุนกฺขโตฺต วิย วิปฺปลปโนฺต อปฺปมาณํฯ นิมิตฺตเมตนฺติ เอตฺถ ปุคฺคโลปิ ธโมฺมปิ นิมิตฺตนฺติ อธิเปฺปโตฯ ตํ ปุคฺคลํ น ปสฺสามิ, โย มํ ปฎิโจเทสฺสติ, ตํ ธมฺมํ น ปสฺสามิ, ยํ ทเสฺสตฺวา อยํ นาม ธโมฺม ตยา อนภิสมฺพุโทฺธติ มํ ปฎิโจเทสฺสตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ เขมปฺปโตฺตติ เขมํ ปโตฺต, เสสปททฺวยํ อิมเสฺสว เววจนํฯ สพฺพเญฺหตํ เวสารชฺชญาณเมว สนฺธาย วุตฺตํฯ ทสพลสฺส หิ อยํ นาม ธโมฺม ตยา อนภิสมฺพุโทฺธติ โจทกํ ปุคฺคลํ วา โจทนาการณํ อนภิสมฺพุทฺธธมฺมํ วา อปสฺสโต สภาวพุโทฺธเยว วา สมาโน อหํ พุโทฺธสฺมีติ วทามีติ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส พลวตรํ โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ เตน สมฺปยุตฺตํ ญาณํ เวสารชฺชํ นามฯ ตํ สนฺธาย ‘‘เขมปฺปโตฺต’’ติอาทิมาหฯ เอวํ สพฺพตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    150.Vesārajjānīti ettha sārajjapaṭipakkho vesārajjaṃ, catūsu ṭhānesu sārajjābhāvaṃ paccavekkhantassa uppannasomanassamayañāṇassetaṃ nāmaṃ. Sammāsambuddhassa te paṭijānatoti ahaṃ sammāsambuddho, sabbe dhammā mayā abhisambuddhāti evaṃ paṭijānato tava. Anabhisambuddhāti ime nāma dhammā tayā anabhisambuddhā. Tatra vatāti tesu vata anabhisambuddhāti evaṃ dassitadhammesu. Sahadhammenāti sahetunā sakāraṇena vacanena sunakkhatto viya vippalapanto appamāṇaṃ. Nimittametanti ettha puggalopi dhammopi nimittanti adhippeto. Taṃ puggalaṃ na passāmi, yo maṃ paṭicodessati, taṃ dhammaṃ na passāmi, yaṃ dassetvā ayaṃ nāma dhammo tayā anabhisambuddhoti maṃ paṭicodessatīti ayamettha attho. Khemappattoti khemaṃ patto, sesapadadvayaṃ imasseva vevacanaṃ. Sabbañhetaṃ vesārajjañāṇameva sandhāya vuttaṃ. Dasabalassa hi ayaṃ nāma dhammo tayā anabhisambuddhoti codakaṃ puggalaṃ vā codanākāraṇaṃ anabhisambuddhadhammaṃ vā apassato sabhāvabuddhoyeva vā samāno ahaṃ buddhosmīti vadāmīti paccavekkhantassa balavataraṃ somanassaṃ uppajjati. Tena sampayuttaṃ ñāṇaṃ vesārajjaṃ nāma. Taṃ sandhāya ‘‘khemappatto’’tiādimāha. Evaṃ sabbattha attho veditabbo.

    อนฺตรายิกา ธมฺมาติ เอตฺถ ปน อนฺตรายํ กโรนฺตีติ อนฺตรายิกา, เต อตฺถโต สญฺจิจฺจ วีติกฺกนฺตา สตฺต อาปตฺติกฺขนฺธาฯ สญฺจิจฺจ วีติกฺกนฺตญฺหิ อนฺตมโส ทุกฺกฎ-ทุพฺภาสิตมฺปิ มคฺคผลานํ อนฺตรายํ กโรติฯ อิธ ปน เมถุนธโมฺม อธิเปฺปโตฯ เมถุนํ เสวโต หิ ยสฺส กสฺสจิ นิสฺสํสยเมว มคฺคผลานํ อนฺตราโย โหติฯ ยสฺส โข ปน เตสุ อตฺถายาติ ราคกฺขยาทีสุ ยสฺส อตฺถายฯ ธโมฺม เทสิโตติ อสุภภาวนาทิธโมฺม กถิโต ฯ ตตฺร วต มนฺติ ตสฺมิํ อนิยฺยานิกธเมฺม มํฯ เสสํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Antarāyikā dhammāti ettha pana antarāyaṃ karontīti antarāyikā, te atthato sañcicca vītikkantā satta āpattikkhandhā. Sañcicca vītikkantañhi antamaso dukkaṭa-dubbhāsitampi maggaphalānaṃ antarāyaṃ karoti. Idha pana methunadhammo adhippeto. Methunaṃ sevato hi yassa kassaci nissaṃsayameva maggaphalānaṃ antarāyo hoti. Yassa kho pana tesu atthāyāti rāgakkhayādīsu yassa atthāya. Dhammo desitoti asubhabhāvanādidhammo kathito . Tatra vata manti tasmiṃ aniyyānikadhamme maṃ. Sesaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.

    ทสพลญาณาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dasabalañāṇādivaṇṇanā niṭṭhitā.

    อฎฺฐปริสวณฺณนา

    Aṭṭhaparisavaṇṇanā

    ๑๕๑. ‘‘อฎฺฐ โข อิมา สาริปุตฺตา’’ติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? เวสารชฺชญาณสฺส พลทสฺสนตฺถํฯ ยถา หิ พฺยตฺตํ ปริสํ อโชฺฌคาเหตฺวา วิญฺญูนํ จิตฺตํ อาราธนสมตฺถาย กถาย ธมฺมกถิกสฺส เฉกภาโว ปญฺญายติ, เอวํ อิมา อฎฺฐ ปริสา ปตฺวา เวสารชฺชญาณสฺส เวสารชฺชภาโว สกฺกา ญาตุนฺติ เวสารชฺชญาณสฺส พลํ ทเสฺสโนฺต, อฎฺฐ โข อิมา สาริปุตฺตาติอาทิมาหฯ

    151. ‘‘Aṭṭha kho imā sāriputtā’’ti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Vesārajjañāṇassa baladassanatthaṃ. Yathā hi byattaṃ parisaṃ ajjhogāhetvā viññūnaṃ cittaṃ ārādhanasamatthāya kathāya dhammakathikassa chekabhāvo paññāyati, evaṃ imā aṭṭha parisā patvā vesārajjañāṇassa vesārajjabhāvo sakkā ñātunti vesārajjañāṇassa balaṃ dassento, aṭṭha kho imā sāriputtātiādimāha.

    ตตฺถ ขตฺติยปริสาติ ขตฺติยานํ สนฺนิปติตฺวา นิสินฺนฎฺฐานํ, เอส นโย สพฺพตฺถฯ มารกายิกานํ ปน สนฺนิปติตฺวา นิสินฺนฎฺฐานํ มารปริสา เวทิตพฺพา, น มารานํฯ สพฺพาปิ เจตา ปริสา อุคฺคฎฺฐานทสฺสนวเสน คหิตาฯ มนุสฺสา หิ ‘‘เอตฺถ ราชา นิสิโนฺน’’ติ ปกติวจนมฺปิ วตฺตุํ น สโกฺกนฺติ, กเจฺฉหิ เสทา มุจฺจนฺติฯ เอวํ อุคฺคา ขตฺติยปริสาฯ พฺราหฺมณา ตีสุ เวเทสุ กุสลา โหนฺติ, คหปตโย นานาโวหาเรสุ เจว อกฺขรจินฺตาย จฯ สมณา สกวาทปรวาเทสุ กุสลา โหนฺติฯ เตสํ มเชฺฌ ธมฺมกถากถนํ นาม อติวิย ภาโรฯ อมนุสฺสาปิ อุคฺคา โหนฺติฯ อมนุโสฺสติ หิ วุตฺตมเตฺตปิ มนุสฺสานํ สกลสรีรํ สงฺกมฺปติ, เตสํ รูปํ วา ทิสฺวา สทฺทํ วา สุตฺวา สตฺตา วิสญฺญิโน โหนฺติฯ เอวํ อมนุสฺสปริสา อุคฺคาฯ ตาสุปิ ธมฺมกถากถนํ นาม อติวิย ภาโรฯ อิติ อุคฺคฎฺฐานทสฺสนวเสน ตา คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha khattiyaparisāti khattiyānaṃ sannipatitvā nisinnaṭṭhānaṃ, esa nayo sabbattha. Mārakāyikānaṃ pana sannipatitvā nisinnaṭṭhānaṃ māraparisā veditabbā, na mārānaṃ. Sabbāpi cetā parisā uggaṭṭhānadassanavasena gahitā. Manussā hi ‘‘ettha rājā nisinno’’ti pakativacanampi vattuṃ na sakkonti, kacchehi sedā muccanti. Evaṃ uggā khattiyaparisā. Brāhmaṇā tīsu vedesu kusalā honti, gahapatayo nānāvohāresu ceva akkharacintāya ca. Samaṇā sakavādaparavādesu kusalā honti. Tesaṃ majjhe dhammakathākathanaṃ nāma ativiya bhāro. Amanussāpi uggā honti. Amanussoti hi vuttamattepi manussānaṃ sakalasarīraṃ saṅkampati, tesaṃ rūpaṃ vā disvā saddaṃ vā sutvā sattā visaññino honti. Evaṃ amanussaparisā uggā. Tāsupi dhammakathākathanaṃ nāma ativiya bhāro. Iti uggaṭṭhānadassanavasena tā gahitāti veditabbā.

    อโชฺฌคาหตีติ อนุปวิสติฯ อเนกสตํ ขตฺติยปริสนฺติ พิมฺพิสารสมาคม ญาติสมาคม ลิจฺฉวีสมาคมสทิสํฯ อเญฺญสุปิ จกฺกวาเฬสุ ลพฺภติเยวฯ กิํ ปน ภควา อญฺญานิ จกฺกวาฬานิปิ คจฺฉตีติ? อาม คจฺฉติฯ กีทิโส หุตฺวา? ยาทิสา เต, ตาทิโสเยวฯ เตเนวาห ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, อานนฺท, อเนกสตํ ขตฺติยปริสํ อุปสงฺกมิตา, ตตฺถ ยาทิสโก เตสํ วโณฺณ โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ วโณฺณ โหติฯ ยาทิสโก เตสํ สโร โหติ, ตาทิสโก มยฺหํ สโร โหติฯ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสมิ สมาทเปมิ สมุเตฺตเชมิ สมฺปหํเสมิฯ ภาสมานญฺจ มํ น ชานนฺติ ‘โก นุ โข อยํ ภาสติ เทโว วา มนุโสฺส วา’ติฯ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสตฺวา สมาทเปตฺวา สมุเตฺตเชตฺวา สมฺปหํเสตฺวา อนฺตรธายามิ ฯ อนฺตรหิตญฺจ มํ น ชานนฺติ ‘โก นุ โข อยํ อนฺตรหิโต เทโว วา มนุโสฺส วา’’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๗๒)ฯ

    Ajjhogāhatīti anupavisati. Anekasataṃ khattiyaparisanti bimbisārasamāgama ñātisamāgama licchavīsamāgamasadisaṃ. Aññesupi cakkavāḷesu labbhatiyeva. Kiṃ pana bhagavā aññāni cakkavāḷānipi gacchatīti? Āma gacchati. Kīdiso hutvā? Yādisā te, tādisoyeva. Tenevāha ‘‘abhijānāmi kho panāhaṃ, ānanda, anekasataṃ khattiyaparisaṃ upasaṅkamitā, tattha yādisako tesaṃ vaṇṇo hoti, tādisako mayhaṃ vaṇṇo hoti. Yādisako tesaṃ saro hoti, tādisako mayhaṃ saro hoti. Dhammiyā kathāya sandassemi samādapemi samuttejemi sampahaṃsemi. Bhāsamānañca maṃ na jānanti ‘ko nu kho ayaṃ bhāsati devo vā manusso vā’ti. Dhammiyā kathāya sandassetvā samādapetvā samuttejetvā sampahaṃsetvā antaradhāyāmi . Antarahitañca maṃ na jānanti ‘ko nu kho ayaṃ antarahito devo vā manusso vā’’’ti (dī. ni. 2.172).

    ขตฺติยา เกยูรงฺคทมาลาคนฺธาทิวิภูสิตา นานาวิราควสนา อามุกฺกมณิกุณฺฑลา โมฬิธรา โหนฺติฯ กิํ ภควาปิ เอวํ อตฺตานํ มเณฺฑติ? เต จ โอทาตาปิ โหนฺติ กาฬาปิ มํคุลจฺฉวีปิฯ กิํ สตฺถาปิ เอวรูโป โหตีติ? สตฺถา อตฺตโน ปพฺพชิตวเสเนว คจฺฉติ, เตสํ ปน ตาทิโส หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, คนฺตฺวา ราชาสเน นิสินฺนํ อตฺตานํ ทเสฺสติ, เตสํ ‘‘อชฺช อมฺหากํ ราชา อติวิย วิโรจตี’’ติ โหติฯ เต จ ภินฺนสฺสราปิ โหนฺติ คคฺคสฺสราปิ กากสฺสราปิฯ สตฺถา พฺรหฺมสฺสเรเนว ธมฺมํ กเถติฯ ตาทิสโก มยฺหํ สโร โหตีติ อิทํ ปน ภาสนฺตรํ สนฺธาย กถิตํฯ มนุสฺสานํ ปน ตํ สุตฺวา ‘‘อชฺช ราชา มธุเรน สเรน กเถตี’’ติ โหติฯ กเถตฺวา ปกฺกเนฺต จ ภควติ ปุน ราชานํ อาคตํ ทิสฺวา ‘‘โก นุ โข อย’’นฺติ วีมํสา อุปฺปชฺชติฯ

    Khattiyā keyūraṅgadamālāgandhādivibhūsitā nānāvirāgavasanā āmukkamaṇikuṇḍalā moḷidharā honti. Kiṃ bhagavāpi evaṃ attānaṃ maṇḍeti? Te ca odātāpi honti kāḷāpi maṃgulacchavīpi. Kiṃ satthāpi evarūpo hotīti? Satthā attano pabbajitavaseneva gacchati, tesaṃ pana tādiso hutvā upaṭṭhāti, gantvā rājāsane nisinnaṃ attānaṃ dasseti, tesaṃ ‘‘ajja amhākaṃ rājā ativiya virocatī’’ti hoti. Te ca bhinnassarāpi honti gaggassarāpi kākassarāpi. Satthā brahmassareneva dhammaṃ katheti. Tādisako mayhaṃ saro hotīti idaṃ pana bhāsantaraṃ sandhāya kathitaṃ. Manussānaṃ pana taṃ sutvā ‘‘ajja rājā madhurena sarena kathetī’’ti hoti. Kathetvā pakkante ca bhagavati puna rājānaṃ āgataṃ disvā ‘‘ko nu kho aya’’nti vīmaṃsā uppajjati.

    อิทํ วุตฺตํ โหติ – โก นุ โข อยํ อิมสฺมิํ ฐาเน อิทาเนว มาคธภาสาย สีหฬภาสาย มธุเรน สเรน กเถโนฺต อนฺตรหิโต, กิํ เทโว, อุทาหุ มนุโสฺสติ? กิมตฺถํ ปเนวํ อชานนฺตานํ ธมฺมํ เทเสตีติ? วาสนตฺถายฯ เอวํ สุโตปิ หิ ธโมฺม อนาคเต ปจฺจโย โหติเยวาติ อนาคตํ ปฎิจฺจ เทเสตีติฯ

    Idaṃ vuttaṃ hoti – ko nu kho ayaṃ imasmiṃ ṭhāne idāneva māgadhabhāsāya sīhaḷabhāsāya madhurena sarena kathento antarahito, kiṃ devo, udāhu manussoti? Kimatthaṃ panevaṃ ajānantānaṃ dhammaṃ desetīti? Vāsanatthāya. Evaṃ sutopi hi dhammo anāgate paccayo hotiyevāti anāgataṃ paṭicca desetīti.

    สนฺนิสินฺนปุพฺพนฺติ สงฺคมฺม นิสินฺนปุพฺพํฯ สลฺลปิตปุพฺพนฺติ อาลาปสลฺลาโป กตปุโพฺพฯ สากจฺฉาติ ธมฺมสากจฺฉาปิ สมาปชฺชิตปุพฺพาฯ อเนกสตํ พฺราหฺมณปริสนฺติอาทีนมฺปิ โสณทณฺฑสมาคมาทิวเสน เจว อญฺญจกฺกวาฬวเสน จ สมฺภโว เวทิตโพฺพฯ

    Sannisinnapubbanti saṅgamma nisinnapubbaṃ. Sallapitapubbanti ālāpasallāpo katapubbo. Sākacchāti dhammasākacchāpi samāpajjitapubbā. Anekasataṃ brāhmaṇaparisantiādīnampi soṇadaṇḍasamāgamādivasena ceva aññacakkavāḷavasena ca sambhavo veditabbo.

    อฎฺฐปริสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Aṭṭhaparisavaṇṇanā niṭṭhitā.

    จตุโยนิวณฺณนา

    Catuyonivaṇṇanā

    ๑๕๒. จตโสฺส โข อิมา, สาริปุตฺต, โยนิโยติ เอตฺถ โยนีติ ขนฺธโกฎฺฐาสสฺสปิ การณสฺสปิ ปสฺสาวมคฺคสฺสปิ นามํฯ ‘‘จตโสฺส นาคโยนิโย จตโสฺส สุปณฺณโยนิโย’’ติ (สํ. นิ. ๓.๓๔๒, ๓๙๒) เอตฺถ หิ ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนิ นามฯ ‘‘โยนิ เหสา ภูมิช ผลสฺส อธิคมายา’’ติ (ม. นิ. ๒.๒๒๗) เอตฺถ การณํฯ ‘‘น จาหํ พฺราหฺมณํ พฺรูมิ, โยนิชํ มตฺติสมฺภว’’นฺติ (ม. นิ. ๒.๔๕๗; ธ. ป. ๓๙๖) เอตฺถ ปสฺสาวมโคฺคฯ อิธ ปน ขนฺธโกฎฺฐาโส โยนีติ อธิเปฺปโตฯ ตตฺถ อเณฺฑ ชาตา อณฺฑชาฯ ชลาพุมฺหิ ชาตา ชลาพุชาฯ สํเสเท ชาตา สํเสทชาฯ วินา เอเตหิ การเณหิ อุปฺปติตฺวา วิย นิพฺพตฺตา อภินิพฺพตฺตาติ โอปปาติกาฯ อภินิพฺภิชฺช ชายนฺตีติ ภินฺทิตฺวา นิกฺขมนวเสน ชายนฺติฯ ปูติกุณเป วาติอาทีหิ อนิฎฺฐฎฺฐานาเนว ทสฺสิตานิฯ อิเฎฺฐสุปิ สปฺปิเตลมธุผาณิตาทีสุ สตฺตา ชายนฺติ เอวฯ เทวาติอาทีสุ จาตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย อุปริเทวา โอปปาติกาว โหนฺติฯ ภูมเทวา ปน จตุโยนิกาฯ เอกเจฺจ จ มนุสฺสาติ มนุเสฺสสุ เกจิ เทวา วิย โอปปาติกา จ โหนฺติฯ เยภุเยฺยน ปเนเต ชลาพุชาว, อณฺฑชาปิ เอตฺถ โกนฺตปุตฺตา เทฺวภาติยเตฺถรา วิย, สํเสทชาปิ ปทุมคเพฺภ นิพฺพตฺตโปกฺขรสาติพฺราหฺมณปทุมวติเทวีอาทโย วิย, เอวํ วินิปาติเกสุ นิชฺฌามตณฺหิกเปตา เนรยิกา วิย โอปปาติกาเยว, อวเสสา จตุโยนิกาปิ โหนฺติฯ ยถา เต เอวํ ยกฺขาปิ สพฺพจตุปฺปทปกฺขิชาติทีฆชาติอาทโยปิ สเพฺพ จตุโยนิกาเยวฯ

    152.Catassokho imā, sāriputta, yoniyoti ettha yonīti khandhakoṭṭhāsassapi kāraṇassapi passāvamaggassapi nāmaṃ. ‘‘Catasso nāgayoniyo catasso supaṇṇayoniyo’’ti (saṃ. ni. 3.342, 392) ettha hi khandhakoṭṭhāso yoni nāma. ‘‘Yoni hesā bhūmija phalassa adhigamāyā’’ti (ma. ni. 2.227) ettha kāraṇaṃ. ‘‘Na cāhaṃ brāhmaṇaṃ brūmi, yonijaṃ mattisambhava’’nti (ma. ni. 2.457; dha. pa. 396) ettha passāvamaggo. Idha pana khandhakoṭṭhāso yonīti adhippeto. Tattha aṇḍe jātā aṇḍajā. Jalābumhi jātā jalābujā. Saṃsede jātā saṃsedajā. Vinā etehi kāraṇehi uppatitvā viya nibbattā abhinibbattāti opapātikā. Abhinibbhijja jāyantīti bhinditvā nikkhamanavasena jāyanti. Pūtikuṇape vātiādīhi aniṭṭhaṭṭhānāneva dassitāni. Iṭṭhesupi sappitelamadhuphāṇitādīsu sattā jāyanti eva. Devātiādīsu cātumahārājikato paṭṭhāya uparidevā opapātikāva honti. Bhūmadevā pana catuyonikā. Ekacce ca manussāti manussesu keci devā viya opapātikā ca honti. Yebhuyyena panete jalābujāva, aṇḍajāpi ettha kontaputtā dvebhātiyattherā viya, saṃsedajāpi padumagabbhe nibbattapokkharasātibrāhmaṇapadumavatidevīādayo viya, evaṃ vinipātikesu nijjhāmataṇhikapetā nerayikā viya opapātikāyeva, avasesā catuyonikāpi honti. Yathā te evaṃ yakkhāpi sabbacatuppadapakkhijātidīghajātiādayopi sabbe catuyonikāyeva.

    จตุโยนิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Catuyonivaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปญฺจคติวณฺณนา

    Pañcagativaṇṇanā

    ๑๕๓. ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโยติ เอตฺถ สุกตทุกฺกฎกมฺมวเสน คนฺตพฺพาติ คติโยฯ อปิจ คติคติ นิพฺพตฺติคติ อชฺฌาสยคติ วิภวคติ นิปฺผตฺติคตีติ พหุวิธา คติ นามฯ ตตฺถ ‘‘ตํ คติํ เปจฺจ คจฺฉามี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๘๔) จ, ‘‘ยสฺส คติํ น ชานนฺติ, เทวา คนฺธพฺพมานุสา’’ติ (ธ. ป. ๔๒๐) จ อยํ คติคติ นามฯ ‘‘อิเมสํ โข อหํ ภิกฺขูนํ สีลวนฺตานํ เนว ชานามิ คติํ วา อคติํ วา’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๐๘) อยํ นิพฺพตฺติคติ นามฯ ‘‘เอวมฺปิ โข เต อหํ พฺรเหฺม คติํ จ ปชานามิ ชุติญฺจ ปชานามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๕๐๓) อยํ อชฺฌาสยคติ นามฯ ‘‘วิภโว คติ ธมฺมานํ, นิพฺพานํ อรหโต คตี’’ติ (ปริ. ๓๓๙) อยํ วิภวคติ นามฯ ‘‘เทฺวเยว คติโย ภวนฺติ อนญฺญา’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๕๘; ๒.๓๔) อยํ นิปฺผตฺติคติ นามฯ ตาสุ อิธ คติคติ อธิเปฺปตาฯ

    153.Pañca kho imā, sāriputta, gatiyoti ettha sukatadukkaṭakammavasena gantabbāti gatiyo. Apica gatigati nibbattigati ajjhāsayagati vibhavagati nipphattigatīti bahuvidhā gati nāma. Tattha ‘‘taṃ gatiṃ pecca gacchāmī’’ti (a. ni. 4.184) ca, ‘‘yassa gatiṃ na jānanti, devā gandhabbamānusā’’ti (dha. pa. 420) ca ayaṃ gatigati nāma. ‘‘Imesaṃ kho ahaṃ bhikkhūnaṃ sīlavantānaṃ neva jānāmi gatiṃ vā agatiṃ vā’’ti (ma. ni. 1.508) ayaṃ nibbattigati nāma. ‘‘Evampi kho te ahaṃ brahme gatiṃ ca pajānāmi jutiñca pajānāmī’’ti (ma. ni. 1.503) ayaṃ ajjhāsayagati nāma. ‘‘Vibhavo gati dhammānaṃ, nibbānaṃ arahato gatī’’ti (pari. 339) ayaṃ vibhavagati nāma. ‘‘Dveyeva gatiyo bhavanti anaññā’’ti (dī. ni. 1.258; 2.34) ayaṃ nipphattigati nāma. Tāsu idha gatigati adhippetā.

    นิรโยติอาทีสุ นิรติอเตฺถน นิรสฺสาทเฎฺฐน นิรโยฯ ติริยํ อญฺฉิตาติ ติรจฺฉานาฯ เตสํ โยนิ ติรจฺฉานโยนิฯ เปจฺจภาวํ ปตฺตานํ วิสโยติ เปตฺติวิสโยฯ มนโส อุสฺสนฺนตฺตา มนุสฺสาฯ ปญฺจหิ กามคุเณหิ อตฺตโน อตฺตโน อานุภาเวหิ จ ทิพฺพนฺตีติ เทวาฯ นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺตาติอาทีสุ นิรโยติ สทฺธิํ โอกาเสน ขนฺธาฯ ติรจฺฉานโยนิํ จาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ มคฺคํ ปฎิปทนฺติ อุภเยนาปิ วุตฺตคติสํวตฺตนิก กมฺมเมว ทเสฺสติฯ ยถา จ ปฎิปโนฺนติ เยน มเคฺคน ยาย ปฎิปทาย ปฎิปโนฺนติ อุภยมฺปิ เอกโต กตฺวา นิทฺทิสติฯ อปายนฺติอาทีสุ วฑฺฒิสงฺขาตา สุขสงฺขาตา วา อยา อเปตตฺตา อปาโยฯ ทุกฺขสฺส คติ ปฎิสรณนฺติ ทุคฺคติฯ ทุกฺกฎการิโน เอตฺถ วินิปตนฺตีติ วินิปาโตฯ นิพฺพานญฺจาหนฺติ อิทํ ปน น เกวลํ คติคติเมว, คตินิสฺสรณํ นิพฺพานมฺปิ ชานามีติ ทสฺสนตฺถมาหฯ อิธ มโคฺค ปฎิปทาติ อุภเยนาปิ อริยมโคฺคว วุโตฺตฯ

    Nirayotiādīsu niratiatthena nirassādaṭṭhena nirayo. Tiriyaṃ añchitāti tiracchānā. Tesaṃ yoni tiracchānayoni. Peccabhāvaṃ pattānaṃ visayoti pettivisayo. Manaso ussannattā manussā. Pañcahi kāmaguṇehi attano attano ānubhāvehi ca dibbantīti devā. Nirayañcāhaṃ, sāriputtātiādīsu nirayoti saddhiṃ okāsena khandhā. Tiracchānayoniṃ cātiādīsupi eseva nayo. Maggaṃ paṭipadanti ubhayenāpi vuttagatisaṃvattanika kammameva dasseti. Yathā ca paṭipannoti yena maggena yāya paṭipadāya paṭipannoti ubhayampi ekato katvā niddisati. Apāyantiādīsu vaḍḍhisaṅkhātā sukhasaṅkhātā vā ayā apetattā apāyo. Dukkhassa gati paṭisaraṇanti duggati. Dukkaṭakārino ettha vinipatantīti vinipāto. Nibbānañcāhanti idaṃ pana na kevalaṃ gatigatimeva, gatinissaraṇaṃ nibbānampi jānāmīti dassanatthamāha. Idha maggo paṭipadāti ubhayenāpi ariyamaggova vutto.

    ปญฺจคติวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Pañcagativaṇṇanā niṭṭhitā.

    ญาณปฺปวตฺตาการวณฺณนา

    Ñāṇappavattākāravaṇṇanā

    ๑๕๔. อิทานิ ยถาวุเตฺตสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ อตฺตโน ญาณปฺปวตฺตาการํ ทเสฺสโนฺต อิธาหํ, สาริปุตฺตาติอาทิมาหฯ

    154. Idāni yathāvuttesu sattasu ṭhānesu aṭṭhasu ṭhānesu attano ñāṇappavattākāraṃ dassento idhāhaṃ, sāriputtātiādimāha.

    ตตฺถ เอกนฺตทุกฺขาติ นิจฺจทุกฺขา นิรนฺตรทุกฺขาฯ ติพฺพาติ พหลาฯ กฎุกาติ ขราฯ เสยฺยถาปีติอาทีนิ โอปมฺมทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิฯ ตตฺถ กาสูติ อาวาโฎปิ วุจฺจติ ราสิปิฯ

    Tattha ekantadukkhāti niccadukkhā nirantaradukkhā. Tibbāti bahalā. Kaṭukāti kharā. Seyyathāpītiādīni opammadassanatthaṃ vuttāni. Tattha kāsūti āvāṭopi vuccati rāsipi.

    ‘‘กินฺนุ สนฺตรมาโนว, กาสุํ ขณสิ สารถิ;

    ‘‘Kinnu santaramānova, kāsuṃ khaṇasi sārathi;

    ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ กาสุยา กริสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓) –

    Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ kāsuyā karissasī’’ti. (jā. 2.22.3) –

    เอตฺถ หิ อาวาโฎ กาสุ นามฯ

    Ettha hi āvāṭo kāsu nāma.

    ‘‘องฺคารกาสุํ อปเร ผุนนฺติ, นรา รุทนฺตา ปริทฑฺฒคตฺตา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๖๒) –

    ‘‘Aṅgārakāsuṃ apare phunanti, narā rudantā paridaḍḍhagattā’’ti. (jā. 2.22.462) –

    เอตฺถ ราสิฯ อิธ ปน อาวาโฎ อธิเปฺปโตฯ เตเนวาห ‘‘สาธิกโปริสา’’ติฯ ตตฺถ สาธิกํ โปริสํ ปมาณํ อสฺสาติ สาธิกโปริสา, อติเรกปญฺจรตนาติ อโตฺถฯ วีตจฺจิกานํ วีตธูมานนฺติ เอตํ ปริฬาหสฺส พลวภาวทีปนตฺถํ วุตฺตํ, อจฺจิยา วา สติ ธูเม วา สติ, วาโต สมุฎฺฐาติ, เตน ปริฬาโห น พลวา โหติฯ ฆมฺมปเรโตติ ฆมฺมานุคโต ฯ ตสิโตติ ชาตตโณฺหฯ ปิปาสิโตติ อุทกํ ปาตุกาโมฯ เอกายเนน มเคฺคนาติ เอกปเถเนว มเคฺคน, อนุกฺกมนิเยน อุโภสุ ปเสฺสสุ นิรนฺตรกณฺฎกรุกฺขคหเนนฯ ปณิธายาติ องฺคารกาสุยํ ปตฺถนา นาม นตฺถิ, องฺคารกาสุํ อารพฺภ ปน อิริยาปถสฺส ฐปิตตฺตา เอวํ วุตฺตํฯ

    Ettha rāsi. Idha pana āvāṭo adhippeto. Tenevāha ‘‘sādhikaporisā’’ti. Tattha sādhikaṃ porisaṃ pamāṇaṃ assāti sādhikaporisā, atirekapañcaratanāti attho. Vītaccikānaṃ vītadhūmānanti etaṃ pariḷāhassa balavabhāvadīpanatthaṃ vuttaṃ, acciyā vā sati dhūme vā sati, vāto samuṭṭhāti, tena pariḷāho na balavā hoti. Ghammaparetoti ghammānugato . Tasitoti jātataṇho. Pipāsitoti udakaṃ pātukāmo. Ekāyanena maggenāti ekapatheneva maggena, anukkamaniyena ubhosu passesu nirantarakaṇṭakarukkhagahanena. Paṇidhāyāti aṅgārakāsuyaṃ patthanā nāma natthi, aṅgārakāsuṃ ārabbha pana iriyāpathassa ṭhapitattā evaṃ vuttaṃ.

    เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – องฺคารกาสุ วิย หิ นิรโย ทฎฺฐโพฺพฯ องฺคารกาสุมโคฺค วิย นิรยูปคํ กมฺมํฯ มคฺคารุโฬฺห วิย กมฺมสมงฺคี ปุคฺคโลฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย ทิพฺพจกฺขุโก ภควาฯ ยถา โส ปุริโส มคฺคารุฬฺหํ ทิสฺวา วิชานาติ ‘‘อยํ อิมินา มเคฺคน คนฺตฺวา องฺคารกาสุยํ ปติสฺสตี’’ติ, เอวเมวํ ภควา ปาณาติปาตาทีสุ ยํกิญฺจิ กมฺมํ อายูหนฺตํ เอวํ ชานาติ ‘‘อยํ อิมํ กมฺมํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสตฺตี’’ติฯ ยถา โส ปุริโส อปรภาเค ตํ องฺคารกาสุยา ปติตํ ปสฺสติ, เอวเมว ภควา อปรภาเค ‘‘โส ปุริโส ตํ กมฺมํ กตฺวา กุหิํ นิพฺพโตฺต’’ติ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกโนฺต นิรเย นิพฺพตฺตํ ปสฺสติ ปญฺจวิธพนฺธนาทิมหาทุกฺขํ อนุภวนฺตํฯ ตตฺถ กิญฺจาปิ ตสฺส กมฺมายูหนกาเล อโญฺญ วโณฺณ, นิรเย นิพฺพตฺตสฺส อโญฺญฯ อถาปิ ‘‘โส สโตฺต ตํ กมฺมํ กตฺวา กตฺถ นิพฺพโตฺต’’ติ โอโลเกนฺตสฺส อเนกสหสฺสานํ สตฺตานํ มเชฺฌ ฐิโตปิ ‘‘อยํ โส’’ติ โสเยว สโตฺต อาปาถํ อาคจฺฉติ, ‘‘ทิพฺพจกฺขุพลํ นาม เอต’’นฺติ วทนฺติฯ

    Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – aṅgārakāsu viya hi nirayo daṭṭhabbo. Aṅgārakāsumaggo viya nirayūpagaṃ kammaṃ. Maggāruḷho viya kammasamaṅgī puggalo. Cakkhumā puriso viya dibbacakkhuko bhagavā. Yathā so puriso maggāruḷhaṃ disvā vijānāti ‘‘ayaṃ iminā maggena gantvā aṅgārakāsuyaṃ patissatī’’ti, evamevaṃ bhagavā pāṇātipātādīsu yaṃkiñci kammaṃ āyūhantaṃ evaṃ jānāti ‘‘ayaṃ imaṃ kammaṃ katvā niraye nibbattissattī’’ti. Yathā so puriso aparabhāge taṃ aṅgārakāsuyā patitaṃ passati, evameva bhagavā aparabhāge ‘‘so puriso taṃ kammaṃ katvā kuhiṃ nibbatto’’ti ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā olokento niraye nibbattaṃ passati pañcavidhabandhanādimahādukkhaṃ anubhavantaṃ. Tattha kiñcāpi tassa kammāyūhanakāle añño vaṇṇo, niraye nibbattassa añño. Athāpi ‘‘so satto taṃ kammaṃ katvā kattha nibbatto’’ti olokentassa anekasahassānaṃ sattānaṃ majjhe ṭhitopi ‘‘ayaṃ so’’ti soyeva satto āpāthaṃ āgacchati, ‘‘dibbacakkhubalaṃ nāma eta’’nti vadanti.

    ทุติยอุปมายํ ยสฺมา องฺคารกาสุยํ วิย คูถกูเป ปริฬาโห นตฺถิ, ตสฺมา ‘‘เอกนฺตทุกฺขา’’ติ อวตฺวา ‘‘ทุกฺขา’’ติอาทิมาหฯ เอตฺถาปิ ปุริมนเยเนว โอปมฺมสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํ ฯ อิมมฺปิ หิ ปุคฺคลํ ภควา หตฺถิโยนิอาทีสุ ยตฺถ กตฺถจิ นิพฺพตฺตํ วธพนฺธนอากฑฺฒนวิกฑฺฒนาทีหิ มหาทุกฺขํ อนุภวมานํ ปสฺสติเยวฯ

    Dutiyaupamāyaṃ yasmā aṅgārakāsuyaṃ viya gūthakūpe pariḷāho natthi, tasmā ‘‘ekantadukkhā’’ti avatvā ‘‘dukkhā’’tiādimāha. Etthāpi purimanayeneva opammasaṃsandanaṃ veditabbaṃ . Imampi hi puggalaṃ bhagavā hatthiyoniādīsu yattha katthaci nibbattaṃ vadhabandhanaākaḍḍhanavikaḍḍhanādīhi mahādukkhaṃ anubhavamānaṃ passatiyeva.

    ตติยอุปมายํ ตนุปตฺตปลาโสติ น อพฺภปฎลํ วิย ตนุปโณฺณ, วิรฬปณฺณตฺตํ ปนสฺส สนฺธาย อิทํ วุตฺตํฯ กพรจฺฉาโยติ วิรฬจฺฉาโยฯ ทุกฺขพหุลาติ เปตฺติวิสยสฺมิญฺหิ ทุกฺขเมว พหุลํ, สุขํ ปริตฺตํ กทาจิ อนุภวิตพฺพํ โหติ, ตสฺมา เอวมาหฯ เอตฺถาปิ ปุริมนเยเนว โอปมฺมสํสนฺทนํ เวทิตพฺพํฯ

    Tatiyaupamāyaṃ tanupattapalāsoti na abbhapaṭalaṃ viya tanupaṇṇo, viraḷapaṇṇattaṃ panassa sandhāya idaṃ vuttaṃ. Kabaracchāyoti viraḷacchāyo. Dukkhabahulāti pettivisayasmiñhi dukkhameva bahulaṃ, sukhaṃ parittaṃ kadāci anubhavitabbaṃ hoti, tasmā evamāha. Etthāpi purimanayeneva opammasaṃsandanaṃ veditabbaṃ.

    จตุตฺถอุปมายํ พหลปตฺตปลาโสติ นิรนฺตรปโณฺณ ปตฺตสญฺฉโนฺนฯ สนฺตจฺฉาโยติ ปาสาณจฺฉตฺตํ วิย ฆนจฺฉาโยฯ สุขพหุลา เวทนาติ มนุสฺสโลเก ขตฺติยกุลาทีสุ สุขพหุลา เวทนา เวทยิตพฺพา โหติ, ตา เวทยมานํ นิปนฺนํ วา นิสินฺนํ วา ปสฺสามีติ ทเสฺสติฯ อิธาปิ โอปมฺมสํสนฺทนํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Catutthaupamāyaṃ bahalapattapalāsoti nirantarapaṇṇo pattasañchanno. Santacchāyoti pāsāṇacchattaṃ viya ghanacchāyo. Sukhabahulā vedanāti manussaloke khattiyakulādīsu sukhabahulā vedanā vedayitabbā hoti, tā vedayamānaṃ nipannaṃ vā nisinnaṃ vā passāmīti dasseti. Idhāpi opammasaṃsandanaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    ปญฺจมอุปมายํ ปาสาโทติ ทีฆปาสาโทฯ อุลฺลิตฺตาวลิตฺตนฺติ อโนฺต เจว อุลฺลิตฺตํ พหิ จ อวลิตฺตํฯ ผุสิตคฺคฬนฺติ ทฺวารพาหาหิ สทฺธิํ สุปิหิตกวาฎํฯ โคนกตฺถโตติ จตุรงฺคุลาธิกโลเมน กาฬโกชเวน อตฺถโตฯ ปฎิกตฺถโตติ อุณฺณามเยน เสตอตฺถรเณน อตฺถโตฯ ปฎลิกตฺถโตติ ฆนปุปฺผเกน อุณฺณามยอตฺถรเณน อตฺถโตฯ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรโณติ กทลิมิคจมฺมมเยน อุตฺตมปจฺจตฺถรเณน อตฺถโตฯ ตํ กิร ปจฺจตฺถรณํ เสตวตฺถสฺส อุปริ กทลิมิคจมฺมํ อตฺถริตฺวา สิเพฺพตฺวา กโรนฺติฯ สอุตฺตรจฺฉโทติ สห อุตฺตรจฺฉเทน, อุตฺตริพเทฺธน รตฺตวิตาเนน สทฺธินฺติ อโตฺถฯ อุภโตโลหิตกูปธาโนติ สีสูปธานญฺจ ปาทูปธานญฺจาติ ปลฺลงฺกสฺส อุภโต ฐปิตโลหิตกูปธาโนฯ อิธาปิ อุปมาสํสนฺทนํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Pañcamaupamāyaṃ pāsādoti dīghapāsādo. Ullittāvalittanti anto ceva ullittaṃ bahi ca avalittaṃ. Phusitaggaḷanti dvārabāhāhi saddhiṃ supihitakavāṭaṃ. Gonakatthatoti caturaṅgulādhikalomena kāḷakojavena atthato. Paṭikatthatoti uṇṇāmayena setaattharaṇena atthato. Paṭalikatthatoti ghanapupphakena uṇṇāmayaattharaṇena atthato. Kadalimigapavarapaccattharaṇoti kadalimigacammamayena uttamapaccattharaṇena atthato. Taṃ kira paccattharaṇaṃ setavatthassa upari kadalimigacammaṃ attharitvā sibbetvā karonti. Sauttaracchadoti saha uttaracchadena, uttaribaddhena rattavitānena saddhinti attho. Ubhatolohitakūpadhānoti sīsūpadhānañca pādūpadhānañcāti pallaṅkassa ubhato ṭhapitalohitakūpadhāno. Idhāpi upamāsaṃsandanaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    อยํ ปเนตฺถ อปรภาคโยชนา, ยถา โส ปุริโส มคฺคารุฬฺหเมว ชานาติ ‘‘อยํ เอเตน มเคฺคน คนฺตฺวา ปาสาทํ อารุยฺห กูฎาคารํ ปวิสิตฺวา ปลฺลเงฺก นิสีทิสฺสติ วา นิปชฺชิสฺสติ วา’’ติ, เอวเมวํ ภควา ทานาทีสุ ปุญฺญกิริยวตฺถูสุ ยํกิญฺจิ กุสลกมฺมํ อายูหนฺตํเยว ปุคฺคลํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อิมํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติสฺสตี’’ติ ชานาติฯ ยถา โส ปุริโส อปรภาเค ตํ ปาสาทํ อารุยฺห กูฎาคารํ ปวิสิตฺวา ปลฺลเงฺก นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา เอกนฺตสุขํ นิรนฺตรสุขํ เวทนํ เวทยมานํ ปสฺสติ, เอวเมวํ ภควา อปรภาเค ‘‘โส ตํ กลฺยาณํ กตฺวา กุหิํ นิพฺพโตฺต’’ติ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา ทิพฺพจกฺขุนา โอโลเกโนฺต เทวโลเก นิพฺพตฺตํ ปสฺสติ, นนฺทนวนาทีสุ อจฺฉราสงฺฆปริวุตํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมานํฯ

    Ayaṃ panettha aparabhāgayojanā, yathā so puriso maggāruḷhameva jānāti ‘‘ayaṃ etena maggena gantvā pāsādaṃ āruyha kūṭāgāraṃ pavisitvā pallaṅke nisīdissati vā nipajjissati vā’’ti, evamevaṃ bhagavā dānādīsu puññakiriyavatthūsu yaṃkiñci kusalakammaṃ āyūhantaṃyeva puggalaṃ disvā ‘‘ayaṃ imaṃ katvā devaloke nibbattissatī’’ti jānāti. Yathā so puriso aparabhāge taṃ pāsādaṃ āruyha kūṭāgāraṃ pavisitvā pallaṅke nisinnaṃ vā nipannaṃ vā ekantasukhaṃ nirantarasukhaṃ vedanaṃ vedayamānaṃ passati, evamevaṃ bhagavā aparabhāge ‘‘so taṃ kalyāṇaṃ katvā kuhiṃ nibbatto’’ti ālokaṃ vaḍḍhetvā dibbacakkhunā olokento devaloke nibbattaṃ passati, nandanavanādīsu accharāsaṅghaparivutaṃ dibbasampattiṃ anubhavamānaṃ.

    ญาณปฺปวตฺตาการวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Ñāṇappavattākāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    อาสวกฺขยวารวณฺณนา

    Āsavakkhayavāravaṇṇanā

    อาสวกฺขยวาเร ‘‘ทิเพฺพน จกฺขุนา’’ติ อวตฺวา ‘‘ตเมนํ ปสฺสามี’’ติ วุตฺตํฯ ตํ กสฺมาติ เจ? นิยมาภาวาฯ อิมญฺหิ ปุคฺคลํ ทิพฺพจกฺขุนาปิ ปสฺสิสฺสติ, เจโตปริยญาเณนาปิ ชานิสฺสติ, สพฺพญฺญุตญฺญาเณนปิ ชานิสฺสติเยวฯ เอกนฺตสุขา เวทนาติ อิทํ กิญฺจาปิ เทวโลกสุเขน สทฺธิํ พฺยญฺชนโต เอกํ, อตฺถโต ปน นานา โหติฯ เทวโลกสุขญฺหิ ราคปริฬาหาทีนํ อตฺถิตาย น เอกเนฺตเนว สุขํฯ นิพฺพานสุขํ ปน สพฺพปริฬาหานํ วูปสมาย สพฺพากาเรน เอกนฺตสุขํฯ อุปมายมฺปิ ‘‘ยถา ปาสาเท เอกนฺตสุขา’’ติ วุตฺตํฯ ตํ มคฺคปริฬาหสฺส อวูปสนฺตตาย ฉาตชฺฌตฺตตาย ปิปาสาภิภูตตาย จ น เอกนฺตเมว สุขํฯ วนสเณฺฑ ปน โปกฺขรณิยํ โอรุยฺห รโชชลฺลสฺส ปวาหิตตฺตา มคฺคทรถสฺส วูปสนฺตตาย ภิสมูลขาทเนน เจว มธุโรทกปาเนน จ ขุปฺปิปาสานํ วินีตตาย อุทกสาฎกํ ปริวเตฺตตฺวา มฎฺฐทุกูลํ นิวาเสตฺวา ตณฺฑุลตฺถวิกํ อุสฺสีสเก กตฺวา อุทกสาฎกํ ปีเฬตฺวา หทเย ฐเปตฺวา มนฺทมเนฺทน จ วาเตน พีชยมานสฺส นิปนฺนตฺตา สพฺพากาเรน เอกนฺตสุขํ โหติฯ

    Āsavakkhayavāre ‘‘dibbena cakkhunā’’ti avatvā ‘‘tamenaṃ passāmī’’ti vuttaṃ. Taṃ kasmāti ce? Niyamābhāvā. Imañhi puggalaṃ dibbacakkhunāpi passissati, cetopariyañāṇenāpi jānissati, sabbaññutaññāṇenapi jānissatiyeva. Ekantasukhā vedanāti idaṃ kiñcāpi devalokasukhena saddhiṃ byañjanato ekaṃ, atthato pana nānā hoti. Devalokasukhañhi rāgapariḷāhādīnaṃ atthitāya na ekanteneva sukhaṃ. Nibbānasukhaṃ pana sabbapariḷāhānaṃ vūpasamāya sabbākārena ekantasukhaṃ. Upamāyampi ‘‘yathā pāsāde ekantasukhā’’ti vuttaṃ. Taṃ maggapariḷāhassa avūpasantatāya chātajjhattatāya pipāsābhibhūtatāya ca na ekantameva sukhaṃ. Vanasaṇḍe pana pokkharaṇiyaṃ oruyha rajojallassa pavāhitattā maggadarathassa vūpasantatāya bhisamūlakhādanena ceva madhurodakapānena ca khuppipāsānaṃ vinītatāya udakasāṭakaṃ parivattetvā maṭṭhadukūlaṃ nivāsetvā taṇḍulatthavikaṃ ussīsake katvā udakasāṭakaṃ pīḷetvā hadaye ṭhapetvā mandamandena ca vātena bījayamānassa nipannattā sabbākārena ekantasukhaṃ hoti.

    เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – โปกฺขรณี วิย หิ อริยมโคฺค ทฎฺฐโพฺพฯ โปกฺขรณิมโคฺค วิย ปุพฺพภาคปฎิปทาฯ มคฺคารุโฬฺห วิย ปฎิปทาสมงฺคีปุคฺคโลฯ จกฺขุมา ปุริโส วิย ทิพฺพจกฺขุ ภควาฯ วนสโณฺฑ วิย นิพฺพานํฯ ยถา โส ปุริโส มคฺคารุฬฺหํ ทิสฺวาว ชานาติ ‘‘อยํ อิมินา มเคฺคน คนฺตฺวา โปกฺขรณิยํ นฺหตฺวา รมณีเย วนสเณฺฑ รุกฺขมูเล นิสีทิสฺสติ วา นิปชฺชิสฺสติ วา’’ติ, เอวเมวํ ภควา ปฎิปทํ ปูเรนฺตเมว นามรูปํ ปริจฺฉินฺทนฺตเมว ปจฺจยปริคฺคหํ กโรนฺตเมว ลกฺขณารมฺมณาย วิปสฺสนาย กมฺมํ กโรนฺตเมว ชานาติ ‘‘อยํ อิมํ ปฎิปทํ ปูเรตฺวา สพฺพอาสเว เขเปตฺวา อนาสวํ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺตินฺติ เอวํ วุตฺตํ ผลสมาปตฺติํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสตี’’ติฯ ยถา โส ปุริโส อปรภาเค ตายํ โปกฺขรณิยํ นฺหตฺวา วนสณฺฑํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนํ วา นิปนฺนํ วา เอกนฺตสุขํ เวทนํ เวทยมานํ ปสฺสติ, เอวเมว ภควา อปรภาเค ตํ ปุคฺคลํ ปฎิปทํ ปูเรตฺวา มคฺคํ ภาเวตฺวา ผลํ สจฺฉิกตฺวา นิโรธสยนวรคตํ นิพฺพานารมฺมณํ ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา เอกนฺตสุขํ เวทนํ เวทยมานํ ปสฺสติฯ

    Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – pokkharaṇī viya hi ariyamaggo daṭṭhabbo. Pokkharaṇimaggo viya pubbabhāgapaṭipadā. Maggāruḷho viya paṭipadāsamaṅgīpuggalo. Cakkhumā puriso viya dibbacakkhu bhagavā. Vanasaṇḍo viya nibbānaṃ. Yathā so puriso maggāruḷhaṃ disvāva jānāti ‘‘ayaṃ iminā maggena gantvā pokkharaṇiyaṃ nhatvā ramaṇīye vanasaṇḍe rukkhamūle nisīdissati vā nipajjissati vā’’ti, evamevaṃ bhagavā paṭipadaṃ pūrentameva nāmarūpaṃ paricchindantameva paccayapariggahaṃ karontameva lakkhaṇārammaṇāya vipassanāya kammaṃ karontameva jānāti ‘‘ayaṃ imaṃ paṭipadaṃ pūretvā sabbaāsave khepetvā anāsavaṃ cetovimuttiṃ paññāvimuttinti evaṃ vuttaṃ phalasamāpattiṃ upasampajja viharissatī’’ti. Yathā so puriso aparabhāge tāyaṃ pokkharaṇiyaṃ nhatvā vanasaṇḍaṃ pavisitvā nisinnaṃ vā nipannaṃ vā ekantasukhaṃ vedanaṃ vedayamānaṃ passati, evameva bhagavā aparabhāge taṃ puggalaṃ paṭipadaṃ pūretvā maggaṃ bhāvetvā phalaṃ sacchikatvā nirodhasayanavaragataṃ nibbānārammaṇaṃ phalasamāpattiṃ appetvā ekantasukhaṃ vedanaṃ vedayamānaṃ passati.

    อาสวกฺขยวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āsavakkhayavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    ทุกฺกรการิกาทิสุทฺธิวณฺณนา

    Dukkarakārikādisuddhivaṇṇanā

    ๑๕๕. ‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, จตุรงฺคสมนฺนาคต’’นฺติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? ปาฎิเยกฺกํ อนุสนฺธิวเสน อารทฺธํฯ อยํ กิร สุนกฺขโตฺต ทุกฺกรการิกาย สุทฺธิ โหตีติ เอวํ ลทฺธิโกฯ อถสฺส ภควา มยา เอกสฺมิํ อตฺตภาเว ฐตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ ทุกฺกรํ กตํ, ทุกฺกรการโก นาม มยา สทิโส นตฺถิฯ ทุกฺกรกาเรน สุทฺธิยา สติ อหเมว สุโทฺธ ภเวยฺยนฺติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ อปิจ อยํ สุนกฺขโตฺต ทุกฺกรการิกาย ปสโนฺน, โส จสฺส ปสนฺนภาโว, ‘‘อทฺทสา โข, ภคฺคว, สุนกฺขโตฺต ลิจฺฉวิปุโตฺต อเจลํ โกรกฺขตฺติยํ จตุกฺกุณฺฑิกํ ฉมานิกิณฺณํ ภกฺขสํ มุเขน ขาทนฺตํ มุเขน ภุญฺชนฺตํฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ ‘สาธุ รูโป วต, โภ, อยํ สมโณ จตุกฺกุณฺฑิโก ฉมานิกิณฺณํ ภกฺขสํ มุเขเนว ขาทติ, มุเขเนว ภุญฺชตี’’’ติ เอวมาทินา ปาถิกสุเตฺต (ที. นิ. ๓.๗) อาคตนเยน เวทิตโพฺพฯ

    155. ‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, sāriputta, caturaṅgasamannāgata’’nti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Pāṭiyekkaṃ anusandhivasena āraddhaṃ. Ayaṃ kira sunakkhatto dukkarakārikāya suddhi hotīti evaṃ laddhiko. Athassa bhagavā mayā ekasmiṃ attabhāve ṭhatvā caturaṅgasamannāgataṃ dukkaraṃ kataṃ, dukkarakārako nāma mayā sadiso natthi. Dukkarakārena suddhiyā sati ahameva suddho bhaveyyanti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Apica ayaṃ sunakkhatto dukkarakārikāya pasanno, so cassa pasannabhāvo, ‘‘addasā kho, bhaggava, sunakkhatto licchaviputto acelaṃ korakkhattiyaṃ catukkuṇḍikaṃ chamānikiṇṇaṃ bhakkhasaṃ mukhena khādantaṃ mukhena bhuñjantaṃ. Disvānassa etadahosi ‘sādhu rūpo vata, bho, ayaṃ samaṇo catukkuṇḍiko chamānikiṇṇaṃ bhakkhasaṃ mukheneva khādati, mukheneva bhuñjatī’’’ti evamādinā pāthikasutte (dī. ni. 3.7) āgatanayena veditabbo.

    อถ ภควา อยํ ทุกฺกรการิกาย ปสโนฺน, มยา จ เอตสฺมิํ อตฺตภาเว ฐตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ ทุกฺกรํ กตํ, ทุกฺกรกาเร ปสีทเนฺตนาปิ อเนน มยิ ปสีทิตพฺพํ สิยา, โสปิสฺส ปสาโท มยิ นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต อิมํ เทสนํ อารภิฯ

    Atha bhagavā ayaṃ dukkarakārikāya pasanno, mayā ca etasmiṃ attabhāve ṭhatvā caturaṅgasamannāgataṃ dukkaraṃ kataṃ, dukkarakāre pasīdantenāpi anena mayi pasīditabbaṃ siyā, sopissa pasādo mayi natthīti dassento imaṃ desanaṃ ārabhi.

    ตตฺร พฺรหฺมจริยนฺติ ทานมฺปิ เวยฺยาวจฺจมฺปิ สิกฺขาปทมฺปิ พฺรหฺมวิหาราปิ ธมฺมเทสนาปิ เมถุนวิรติปิ สทารสโนฺตโสปิ อุโปสโถปิ อริยมโคฺคปิ สกลสาสนมฺปิ อชฺฌาสโยปิ วีริยมฺปิ วุจฺจติฯ

    Tatra brahmacariyanti dānampi veyyāvaccampi sikkhāpadampi brahmavihārāpi dhammadesanāpi methunaviratipi sadārasantosopi uposathopi ariyamaggopi sakalasāsanampi ajjhāsayopi vīriyampi vuccati.

    ‘‘กิํ เต วตํ กิํ ปน พฺรหฺมจริยํ,

    ‘‘Kiṃ te vataṃ kiṃ pana brahmacariyaṃ,

    กิสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;

    Kissa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;

    อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,

    Iddhī jutī balavīriyūpapatti,

    อิทญฺจ เต นาค มหาวิมานํฯ

    Idañca te nāga mahāvimānaṃ.

    อหญฺจ ภริยา จ มนุสฺสโลเก,

    Ahañca bhariyā ca manussaloke,

    สทฺธา อุโภ ทานปตี อหุมฺหา;

    Saddhā ubho dānapatī ahumhā;

    โอปานภูตํ เม ฆรํ ตทาสิ,

    Opānabhūtaṃ me gharaṃ tadāsi,

    สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จฯ

    Santappitā samaṇabrāhmaṇā ca.

    ตํ เม วตํ ตํ ปน พฺรหฺมจริยํ,

    Taṃ me vataṃ taṃ pana brahmacariyaṃ,

    ตสฺส สุจิณฺณสฺส อยํ วิปาโก;

    Tassa suciṇṇassa ayaṃ vipāko;

    อิทฺธี ชุตี พลวีริยูปปตฺติ,

    Iddhī jutī balavīriyūpapatti,

    อิทญฺจ เม ธีร มหาวิมาน’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๑๕๙๒, ๑๕๙๓, ๑๕๙๕) –

    Idañca me dhīra mahāvimāna’’nti. (jā. 2.22.1592, 1593, 1595) –

    อิมสฺมิญฺหิ ปุณฺณกชาตเก ทานํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ

    Imasmiñhi puṇṇakajātake dānaṃ brahmacariyanti vuttaṃ.

    ‘‘เกน ปาณิ กามทโท, เกน ปาณิ มธุสฺสโว;

    ‘‘Kena pāṇi kāmadado, kena pāṇi madhussavo;

    เกน เต พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติฯ

    Kena te brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhati.

    เตน ปาณิ กามทโท, เตน ปาณิ มธุสฺสโว;

    Tena pāṇi kāmadado, tena pāṇi madhussavo;

    เตน เม พฺรหฺมจริเยน, ปุญฺญํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌตี’’ติฯ (เป. ว. ๒๗๕) –

    Tena me brahmacariyena, puññaṃ pāṇimhi ijjhatī’’ti. (pe. va. 275) –

    อิมสฺมิํ องฺกุรเปตวตฺถุสฺมิํ เวยฺยาวจฺจํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘เอวํ โข ตํ, ภิกฺขเว, ติตฺติริยํ นาม พฺรหฺมจริยํ อโหสี’’ติ (จูฬว. ๓๑๑) อิมสฺมิํ ติตฺติรชาตเก ปญฺจสิกฺขาปทํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘ตํ โข ปน เม ปญฺจสิข พฺรหฺมจริยํ เนว นิพฺพิทาย น วิราคาย น นิโรธาย, ยาวเทว พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๒๙) อิมสฺมิํ มหาโควินฺทสุเตฺต พฺรหฺมวิหารา พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ ‘‘เอกสฺมิํ พฺรหฺมจริยสฺมิํ, สหสฺสํ มจฺจุหายิน’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๘๔) เอตฺถ ธมฺมเทสนา พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตาฯ ‘‘ปเร อพฺรหฺมจารี ภวิสฺสนฺติ, มยเมตฺถ พฺรหฺมจารี ภวิสฺสามา’’ติ (ม. นิ. ๑.๘๓) สเลฺลขสุเตฺต เมถุนวิรติ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตาฯ

    Imasmiṃ aṅkurapetavatthusmiṃ veyyāvaccaṃ brahmacariyanti vuttaṃ. ‘‘Evaṃ kho taṃ, bhikkhave, tittiriyaṃ nāma brahmacariyaṃ ahosī’’ti (cūḷava. 311) imasmiṃ tittirajātake pañcasikkhāpadaṃ brahmacariyanti vuttaṃ. ‘‘Taṃ kho pana me pañcasikha brahmacariyaṃ neva nibbidāya na virāgāya na nirodhāya, yāvadeva brahmalokūpapattiyā’’ti (dī. ni. 2.329) imasmiṃ mahāgovindasutte brahmavihārā brahmacariyanti vuttaṃ. ‘‘Ekasmiṃ brahmacariyasmiṃ, sahassaṃ maccuhāyina’’nti (saṃ. ni. 1.184) ettha dhammadesanā brahmacariyanti vuttā. ‘‘Pare abrahmacārī bhavissanti, mayamettha brahmacārī bhavissāmā’’ti (ma. ni. 1.83) sallekhasutte methunavirati brahmacariyanti vuttā.

    ‘‘มยญฺจ ภริยา นาติกฺกมาม,

    ‘‘Mayañca bhariyā nātikkamāma,

    อเมฺห จ ภริยา นาติกฺกมนฺติ;

    Amhe ca bhariyā nātikkamanti;

    อญฺญตฺร ตาหิ พฺรหฺมจริยํ จราม,

    Aññatra tāhi brahmacariyaṃ carāma,

    ตสฺมา หิ อมฺหํ ทหรา น มียเร’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๙๗) –

    Tasmā hi amhaṃ daharā na mīyare’’ti. (jā. 1.10.97) –

    มหาธมฺมปาลชาตเก สทารสโนฺตโส พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ

    Mahādhammapālajātake sadārasantoso brahmacariyanti vutto.

    ‘‘หีเนน พฺรหฺมจริเยน, ขตฺติเย อุปปชฺชติ;

    ‘‘Hīnena brahmacariyena, khattiye upapajjati;

    มชฺฌิเมน จ เทวตฺตํ, อุตฺตเมน วิสุชฺฌตี’’ติฯ (ชา. ๑.๘.๗๕) –

    Majjhimena ca devattaṃ, uttamena visujjhatī’’ti. (jā. 1.8.75) –

    เอวํ นิมิชาตเก อตฺตทมนวเสน กโต อฎฺฐงฺคิโก อุโปสโถ พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘อิทํ โข ปน เม, ปญฺจสิข, พฺรหฺมจริยํ เอกนฺตนิพฺพิทาย วิราคาย…เป.… อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๒๙) มหาโควินฺทสุตฺตสฺมิเญฺญว อริยมโคฺค พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ ‘‘ตยิทํ พฺรหฺมจริยํ อิทฺธเญฺจว ผีตญฺจ วิตฺถาริกํ พาหุชญฺญํ ปุถุภูตํ ยาว เทวมนุเสฺสหิ สุปฺปกาสิต’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๗๔) ปาสาทิกสุเตฺต สิกฺขตฺตยสงฺคหํ สาสนํ พฺรหฺมจริยนฺติ วุตฺตํฯ

    Evaṃ nimijātake attadamanavasena kato aṭṭhaṅgiko uposatho brahmacariyanti vutto. ‘‘Idaṃ kho pana me, pañcasikha, brahmacariyaṃ ekantanibbidāya virāgāya…pe… ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo’’ti (dī. ni. 2.329) mahāgovindasuttasmiññeva ariyamaggo brahmacariyanti vutto. ‘‘Tayidaṃ brahmacariyaṃ iddhañceva phītañca vitthārikaṃ bāhujaññaṃ puthubhūtaṃ yāva devamanussehi suppakāsita’’nti (dī. ni. 3.174) pāsādikasutte sikkhattayasaṅgahaṃ sāsanaṃ brahmacariyanti vuttaṃ.

    ‘‘อปิ อตรมานานํ, ผลาสาว สมิชฺฌติ;

    ‘‘Api ataramānānaṃ, phalāsāva samijjhati;

    วิปกฺกพฺรหฺมจริโยสฺมิ, เอวํ ชานาหิ คามณี’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๘) –

    Vipakkabrahmacariyosmi, evaṃ jānāhi gāmaṇī’’ti. (jā. 1.1.8) –

    เอตฺถ อชฺฌาสโย พฺรหฺมจริยนฺติ วุโตฺตฯ อิธ ปน วีริยํ พฺรหฺมจริยนฺติ อธิเปฺปตํฯ วีริยพฺรหฺมจริยสฺส หิ อิทเมว สุตฺตํฯ ตเทตํ เอกสฺมิํ อตฺตภาเว จตุพฺพิธสฺส ทุกฺกรสฺส กตตฺตา จตุรงฺคสมนฺนาคตนฺติ วุตฺตํฯ

    Ettha ajjhāsayo brahmacariyanti vutto. Idha pana vīriyaṃ brahmacariyanti adhippetaṃ. Vīriyabrahmacariyassa hi idameva suttaṃ. Tadetaṃ ekasmiṃ attabhāve catubbidhassa dukkarassa katattā caturaṅgasamannāgatanti vuttaṃ.

    ตปสฺสี สุทํ โหมีติ สุทนฺติ นิปาตมตฺตํ, ตปนิสฺสิตโก โหมีติ อโตฺถฯ ปรมตปสฺสีติ ปรโม ตปสฺสี, ตปนิสฺสิตกานํ อุตฺตโมฯ ลูโข สุทํ โหมีติ ลูโข โหมิฯ เชคุจฺฉีติ ปาปเชคุจฺฉิโกฯ ปวิวิโตฺต สุทํ โหมีติ ปวิวิโตฺต อหํ โหมิฯ ตตฺราสฺสุ เม อิทํ, สาริปุตฺตาติ ตตฺร จตุรเงฺค พฺรหฺมจริเย อิทํ มม ตปสฺสิตาย โหติ, ตปนิสฺสิตกภาเว มยฺหํ อิทํ อเจลกาทิตปสฺสิตกตฺตํ โหตีติ ทเสฺสติฯ

    Tapassī sudaṃ homīti sudanti nipātamattaṃ, tapanissitako homīti attho. Paramatapassīti paramo tapassī, tapanissitakānaṃ uttamo. Lūkho sudaṃ homīti lūkho homi. Jegucchīti pāpajegucchiko. Pavivitto sudaṃ homīti pavivitto ahaṃ homi. Tatrāssu me idaṃ, sāriputtāti tatra caturaṅge brahmacariye idaṃ mama tapassitāya hoti, tapanissitakabhāve mayhaṃ idaṃ acelakāditapassitakattaṃ hotīti dasseti.

    ตตฺถ อเจลโกติ นิเจฺจโล นโคฺคฯ มุตฺตาจาโรติ วิสฎฺฐาจาโร, อุจฺจารกมฺมาทีสุ โลกิยกุลปุตฺตาจาเรน วิรหิโต, ฐิตโกว อุจฺจารํ กโรมิ, ปสฺสาวํ กโรมิ, ขาทามิ ภุญฺชามิ จฯ หตฺถาปเลขโนติ หเตฺถ ปิณฺฑมฺหิ ฐิเต ชิวฺหาย หตฺถํ อปลิขามิ, อุจฺจารํ วา กตฺวา หตฺถสฺมิเญฺญว ทณฺฑกสญฺญี หุตฺวา หเตฺถน อปลิขามีติ ทเสฺสติฯ เต กิร ทณฺฑกํ สโตฺตติ ปญฺญเปนฺติ, ตสฺมา เตสํ ปฎิปทํ ปูเรโนฺต เอวมกาสิฯ ภิกฺขาคหณตฺถํ เอหิ ภทฺทเนฺตติ วุโตฺต น เอตีติ น เอหิภทฺทนฺติโกฯ เตน หิ ติฎฺฐ ภทฺทเนฺตติ วุโตฺตปิ น ติฎฺฐตีติ น ติฎฺฐภทฺทนฺติโกฯ ตทุภยมฺปิ ติตฺถิยา เอวํ เอตสฺส วจนํ กตํ ภวิสฺสตีติ น กโรนฺติฯ อหมฺปิ เอวํ อกาสินฺติ ทเสฺสติฯ อภิหฎนฺติ ปุเรตรํ คเหตฺวา อาหฎํ ภิกฺขํฯ อุทฺทิสฺสกตนฺติ อิทํ ตุเมฺห อุทฺทิสฺส กตนฺติ เอวํ อาโรจิตภิกฺขํฯ น นิมนฺตนนฺติ อสุกํ นาม กุลํ วา วีถิํ วา คามํ วา ปวิเสยฺยาถาติ เอวํ นิมนฺติตภิกฺขมฺปิ น สาทิยามิ น คณฺหามิฯ

    Tattha acelakoti niccelo naggo. Muttācāroti visaṭṭhācāro, uccārakammādīsu lokiyakulaputtācārena virahito, ṭhitakova uccāraṃ karomi, passāvaṃ karomi, khādāmi bhuñjāmi ca. Hatthāpalekhanoti hatthe piṇḍamhi ṭhite jivhāya hatthaṃ apalikhāmi, uccāraṃ vā katvā hatthasmiññeva daṇḍakasaññī hutvā hatthena apalikhāmīti dasseti. Te kira daṇḍakaṃ sattoti paññapenti, tasmā tesaṃ paṭipadaṃ pūrento evamakāsi. Bhikkhāgahaṇatthaṃ ehi bhaddanteti vutto na etīti na ehibhaddantiko. Tena hi tiṭṭha bhaddanteti vuttopi na tiṭṭhatīti na tiṭṭhabhaddantiko. Tadubhayampi titthiyā evaṃ etassa vacanaṃ kataṃ bhavissatīti na karonti. Ahampi evaṃ akāsinti dasseti. Abhihaṭanti puretaraṃ gahetvā āhaṭaṃ bhikkhaṃ. Uddissakatanti idaṃ tumhe uddissa katanti evaṃ ārocitabhikkhaṃ. Na nimantananti asukaṃ nāma kulaṃ vā vīthiṃ vā gāmaṃ vā paviseyyāthāti evaṃ nimantitabhikkhampi na sādiyāmi na gaṇhāmi.

    น กุมฺภิมุขาติ กุมฺภิโต อุทฺธริตฺวา ทิยฺยมานํ ภิกฺขํ น คณฺหามิฯ น กโฬปิมุขาติ กโฬปีติ อุกฺขลิ วา ปจฺฉิ วาฯ ตโตปิ น คณฺหามิฯ กสฺมา? กุมฺภิกโฬปิโย มํ นิสฺสาย กฎจฺฉุนา ปหารํ ลภนฺตีติฯ น เอฬกมนฺตรนฺติ อุมฺมารํ อนฺตรํ กตฺวา ทิยฺยมานํ น คณฺหามิฯ กสฺมา? อยํ มํ นิสฺสาย อนฺตรกรณํ ลภตีติฯ ทณฺฑมุสเลสุปิ เอเสว นโยฯ น ทฺวินฺนนฺติ ทฺวีสุ ภุญฺชมาเนสุ เอกสฺมิํ อุฎฺฐาย เทเนฺต น คณฺหามิฯ กสฺมา? กพฬนฺตราโย โหตีติฯ น คพฺภินิยาติอาทีสุ ปน คพฺภินิยา กุจฺฉิยํ ทารโก กิลมติ, ปายนฺติยา ทารกสฺส ขีรนฺตราโย โหติ, ปุริสนฺตรคตาย รติอนฺตราโย โหตีติ น คณฺหามิฯ น สํกิตฺตีสูติ สํกิเตฺตตฺวา กตภเตฺตสุฯ ทุพฺภิกฺขสมเย กิร อเจลกสาวกา อเจลกานํ อตฺถาย ตโต ตโต ตณฺฑุลาทีนิ สมาทเปตฺวา ภตฺตํ ปจนฺติฯ อุกฺกฎฺฐาเจลโก ตโตปิ น ปฎิคฺคณฺหาติฯ

    Na kumbhimukhāti kumbhito uddharitvā diyyamānaṃ bhikkhaṃ na gaṇhāmi. Na kaḷopimukhāti kaḷopīti ukkhali vā pacchi vā. Tatopi na gaṇhāmi. Kasmā? Kumbhikaḷopiyo maṃ nissāya kaṭacchunā pahāraṃ labhantīti. Na eḷakamantaranti ummāraṃ antaraṃ katvā diyyamānaṃ na gaṇhāmi. Kasmā? Ayaṃ maṃ nissāya antarakaraṇaṃ labhatīti. Daṇḍamusalesupi eseva nayo. Na dvinnanti dvīsu bhuñjamānesu ekasmiṃ uṭṭhāya dente na gaṇhāmi. Kasmā? Kabaḷantarāyo hotīti. Na gabbhiniyātiādīsu pana gabbhiniyā kucchiyaṃ dārako kilamati, pāyantiyā dārakassa khīrantarāyo hoti, purisantaragatāya ratiantarāyo hotīti na gaṇhāmi. Na saṃkittīsūti saṃkittetvā katabhattesu. Dubbhikkhasamaye kira acelakasāvakā acelakānaṃ atthāya tato tato taṇḍulādīni samādapetvā bhattaṃ pacanti. Ukkaṭṭhācelako tatopi na paṭiggaṇhāti.

    น ยตฺถ สาติ ยตฺถ สุนโข ปิณฺฑํ ลภิสฺสามีติ อุปฎฺฐิโต โหติ, ตตฺถ ตสฺส อทตฺวา อาหฎํ น คณฺหามิฯ กสฺมา? เอตสฺส ปิณฺฑนฺตราโย โหตีติฯ สณฺฑสณฺฑจารินีติ สมูหสมูหจารินี, สเจ หิ อเจลกํ ทิสฺวา อิมสฺส ภิกฺขํ ทสฺสามาติ มานุสกา ภตฺตเคหํ ปวิสนฺติฯ เตสุ จ ปวิสเนฺตสุ กโฬปิมุขาทีสุ นิลีนา มกฺขิกา อุปฺปติตฺวา สณฺฑสณฺฑา จรนฺติฯ ตโต อาหฎํ ภิกฺขํ น คณฺหามิฯ กสฺมา? มํ นิสฺสาย มกฺขิกานํ โคจรนฺตราโย ชาโตติ, อหมฺปิ ตถา อกาสิํฯ น ถุโสทกนฺติ สพฺพสสฺสสมฺภาเรหิ กตํ โลณโสวีรกํฯ เอตฺถ จ สุราปานเมว สาวชฺชํ, อยํ ปน สเพฺพสุปิ สาวชฺชสญฺญีฯ

    Na yattha sāti yattha sunakho piṇḍaṃ labhissāmīti upaṭṭhito hoti, tattha tassa adatvā āhaṭaṃ na gaṇhāmi. Kasmā? Etassa piṇḍantarāyo hotīti. Saṇḍasaṇḍacārinīti samūhasamūhacārinī, sace hi acelakaṃ disvā imassa bhikkhaṃ dassāmāti mānusakā bhattagehaṃ pavisanti. Tesu ca pavisantesu kaḷopimukhādīsu nilīnā makkhikā uppatitvā saṇḍasaṇḍā caranti. Tato āhaṭaṃ bhikkhaṃ na gaṇhāmi. Kasmā? Maṃ nissāya makkhikānaṃ gocarantarāyo jātoti, ahampi tathā akāsiṃ. Na thusodakanti sabbasassasambhārehi kataṃ loṇasovīrakaṃ. Ettha ca surāpānameva sāvajjaṃ, ayaṃ pana sabbesupi sāvajjasaññī.

    เอกาคาริโกติ โย เอกสฺมิเญฺญว เคเห ภิกฺขํ ลภิตฺวา นิวตฺตติฯ เอกาโลปิโกติ โย เอเกเนว อาโลเปน ยาเปติฯ ทฺวาคาริกาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอกิสฺสาปิ ทตฺติยาติ เอกาย ทตฺติยาฯ ทตฺติ นาม เอกา ขุทฺทกปาติ โหติ, ยตฺถ อคฺคภิกฺขํ ปกฺขิปิตฺวา ฐเปนฺติฯ เอกาหิกนฺติ เอกทิวสนฺตริกํฯ อทฺธมาสิกนฺติ อทฺธมาสนฺตริกํฯ ปริยายภตฺตโภชนนฺติ วารภตฺตโภชนํฯ เอกาหวาเรน ทฺวีหวาเรน สตฺตาหวาเรน อฑฺฒมาสวาเรนาติ เอวํ ทิวสวาเรน อาภตํ ภตฺตโภชนํฯ

    Ekāgārikoti yo ekasmiññeva gehe bhikkhaṃ labhitvā nivattati. Ekālopikoti yo ekeneva ālopena yāpeti. Dvāgārikādīsupi eseva nayo. Ekissāpi dattiyāti ekāya dattiyā. Datti nāma ekā khuddakapāti hoti, yattha aggabhikkhaṃ pakkhipitvā ṭhapenti. Ekāhikanti ekadivasantarikaṃ. Addhamāsikanti addhamāsantarikaṃ. Pariyāyabhattabhojananti vārabhattabhojanaṃ. Ekāhavārena dvīhavārena sattāhavārena aḍḍhamāsavārenāti evaṃ divasavārena ābhataṃ bhattabhojanaṃ.

    สากภโกฺขติ อลฺลสากภโกฺขฯ สามากภโกฺขติ สามากตณฺฑุลภโกฺขฯ นีวาราทีสุ นีวารา นาม ตาว อรเญฺญ สยํชาตวีหิชาติฯ ททฺทุลนฺติ จมฺมกาเรหิ จมฺมํ ลิขิตฺวา ฉฑฺฑิตกสฎํฯ หฎํ วุจฺจติ สิเลโสปิ เสวาโลปิ กณิการาทิรุกฺขนิยฺยาโสปิฯ กณนฺติ กุณฺฑกํ ฯ อาจาโมติ ภตฺตอุกฺขลิกาย ลโคฺค ฌามโอทโน, ตํ ฉฑฺฑิตฎฺฐาเน คเหตฺวา ขาทติฯ ‘‘โอทนกญฺชิย’’นฺติปิ วทนฺติฯ ปิญฺญากาทโย ปากฎา เอวฯ ปวตฺตผลโภชีติ ปติตผลโภชีฯ

    Sākabhakkhoti allasākabhakkho. Sāmākabhakkhoti sāmākataṇḍulabhakkho. Nīvārādīsu nīvārā nāma tāva araññe sayaṃjātavīhijāti. Daddulanti cammakārehi cammaṃ likhitvā chaḍḍitakasaṭaṃ. Haṭaṃ vuccati silesopi sevālopi kaṇikārādirukkhaniyyāsopi. Kaṇanti kuṇḍakaṃ . Ācāmoti bhattaukkhalikāya laggo jhāmaodano, taṃ chaḍḍitaṭṭhāne gahetvā khādati. ‘‘Odanakañjiya’’ntipi vadanti. Piññākādayo pākaṭā eva. Pavattaphalabhojīti patitaphalabhojī.

    สาณานีติ สาณวากโจฬานิฯ มสาณานีติ มิสฺสกโจฬานิฯ ฉวทุสฺสานีติ มตสรีรโต ฉฑฺฑิตวตฺถานิฯ เอรกติณาทีนิ วา คเนฺถตฺวา กตนิวาสนานิฯ ปํสุกูลานีติ ปถวิยํ ฉฑฺฑิตนนฺตกานิฯ ติริตานีติ รุกฺขตฺตจวตฺถานิฯ อชินนฺติ อชินมิคจมฺมํฯ อชินกฺขิปนฺติ ตเทว มเชฺฌ ผาลิตํฯ สขุรกนฺติปิ วทนฺติฯ กุสจีรนฺติ กุสติณํ คเนฺถตฺวา กตจีรํฯ วากจีรผลกจีเรสุปิ เอเสว นโยฯ เกสกมฺพลนฺติ มนุสฺสเกเสหิ กตกมฺพลํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ ‘‘ยานิ กานิจิ, ภิกฺขเว, ตนฺตาวุตานํ วตฺถานํ, เกสกมฺพโล เตสํ ปฎิกุโฎฺฐ อกฺขายติฯ เกสกมฺพโล, ภิกฺขเว, สีเต สีโต, อุเณฺห อุโณฺห, ทุพฺพโณฺณ ทุคฺคโนฺธ ทุกฺขสมฺผโส’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๓๘)ฯ วาลกมฺพลนฺติ อสฺสวาลาทีหิ กตกมฺพลํฯ อุลูกปกฺขกนฺติ อุลูกปตฺตานิ คเนฺถตฺวา กตนิวาสนํฯ อุพฺภฎฺฐโกติ อุทฺธํ ฐิตโกฯ อุกฺกุฎิกปฺปธานมนุยุโตฺตติ อุกฺกุฎิกวีริยํ อนุยุโตฺต, คจฺฉโนฺตปิ อุกฺกุฎิโกว หุตฺวา อุปฺปติตฺวา อุปฺปติตฺวา คจฺฉติฯ กณฺฎกาปสฺสยิโกติ อยกณฺฎเก วา ปกติกณฺฎเก วา ภูมิยํ โกเฎฺฎตฺวา ตตฺถ จมฺมํ อตฺถริตฺวา ฐานจงฺกมาทีนิ กโรมีติ ทเสฺสติฯ เสยฺยนฺติ สยโนฺตปิ ตเตฺถว เสยฺยํ กเปฺปมิฯ สายํ ตติยมสฺสาติ สายตติยกํฯ ปาโต มชฺฌนฺหิเก สายนฺติ ทิวสสฺส ติกฺขตฺตุํ ปาปํ ปวาเหสฺสามีติ อุทโกโรหนานุโยคํ อนุยุโตฺต วิหรามีติ ทเสฺสติฯ

    Sāṇānīti sāṇavākacoḷāni. Masāṇānīti missakacoḷāni. Chavadussānīti matasarīrato chaḍḍitavatthāni. Erakatiṇādīni vā ganthetvā katanivāsanāni. Paṃsukūlānīti pathaviyaṃ chaḍḍitanantakāni. Tiritānīti rukkhattacavatthāni. Ajinanti ajinamigacammaṃ. Ajinakkhipanti tadeva majjhe phālitaṃ. Sakhurakantipi vadanti. Kusacīranti kusatiṇaṃ ganthetvā katacīraṃ. Vākacīraphalakacīresupi eseva nayo. Kesakambalanti manussakesehi katakambalaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ ‘‘yāni kānici, bhikkhave, tantāvutānaṃ vatthānaṃ, kesakambalo tesaṃ paṭikuṭṭho akkhāyati. Kesakambalo, bhikkhave, sīte sīto, uṇhe uṇho, dubbaṇṇo duggandho dukkhasamphaso’’ti (a. ni. 3.138). Vālakambalanti assavālādīhi katakambalaṃ. Ulūkapakkhakanti ulūkapattāni ganthetvā katanivāsanaṃ. Ubbhaṭṭhakoti uddhaṃ ṭhitako. Ukkuṭikappadhānamanuyuttoti ukkuṭikavīriyaṃ anuyutto, gacchantopi ukkuṭikova hutvā uppatitvā uppatitvā gacchati. Kaṇṭakāpassayikoti ayakaṇṭake vā pakatikaṇṭake vā bhūmiyaṃ koṭṭetvā tattha cammaṃ attharitvā ṭhānacaṅkamādīni karomīti dasseti. Seyyanti sayantopi tattheva seyyaṃ kappemi. Sāyaṃ tatiyamassāti sāyatatiyakaṃ. Pāto majjhanhike sāyanti divasassa tikkhattuṃ pāpaṃ pavāhessāmīti udakorohanānuyogaṃ anuyutto viharāmīti dasseti.

    ๑๕๖. เนกวสฺสคณิกนฺติ เนกวสฺสคณสญฺชาตํฯ รโชชลฺลนฺติ รชมลํ, อิทํ อตฺตโน รโชชลฺลกวตสมาทานกาลํ สนฺธาย วทติฯ เชคุจฺฉิสฺมินฺติ ปาปชิคุจฺฉนภาเวฯ ยาว อุทกพินฺทุมฺหิปีติ ยาว อุทกเถวเกปิ มม ทยา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหติ, โก ปน วาโท อเญฺญสุ สกฺขรกฐลทณฺฑกวาลิกาทีสุฯ เต กิร อุทกพินฺทุํ จ เอเต จ สกฺขรกฐลาทโย ขุทฺทกปาณาติ ปญฺญเปนฺติฯ เตนาห ‘‘ยาว อุทกพินฺทุมฺหิปิ เม ทยา ปจฺจุปฎฺฐิตา โหตี’’ติฯ อุทกพินฺทุมฺปิ น หนามิ น วินาเสมิ, กิํ การณาฯ มาหํ ขุทฺทเก ปาเณ วิสมคเต สงฺฆาตํ อาปาเทสินฺติฯ นินฺนถลติณคฺครุกฺขสาขาทีสุ วิสมฎฺฐาเน คเต อุทกพินฺทุสงฺขาเต ขุทฺทกปาเณ สงฺฆาตํ วธํ มา อาปาเทสินฺติฯ เอตมตฺถํ ‘‘สโตว อภิกฺกมามี’’ติ ทเสฺสติฯ อเจลเกสุ กิร ภูมิํ อกฺกนฺตกาลโต ปภุติ สีลวา นาม นตฺถิฯ ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตาปิ ทุสฺสีลาว หุตฺวา คจฺฉนฺติ, อุปฎฺฐากานํ เคเห ภุญฺชนฺตาปิ ทุสฺสีลาว หุตฺวา ภุญฺชนฺติฯ อาคจฺฉนฺตาปิ ทุสฺสีลาว หุตฺวา อาคจฺฉนฺติฯ ยทา ปน โมรปิเญฺฉน ผลกํ สมฺมชฺชิตฺวา สีลํ อธิฎฺฐาย นิสีทนฺติ, ตทา สีลวนฺตา นาม โหนฺติฯ

    156.Nekavassagaṇikanti nekavassagaṇasañjātaṃ. Rajojallanti rajamalaṃ, idaṃ attano rajojallakavatasamādānakālaṃ sandhāya vadati. Jegucchisminti pāpajigucchanabhāve. Yāva udakabindumhipīti yāva udakathevakepi mama dayā paccupaṭṭhitā hoti, ko pana vādo aññesu sakkharakaṭhaladaṇḍakavālikādīsu. Te kira udakabinduṃ ca ete ca sakkharakaṭhalādayo khuddakapāṇāti paññapenti. Tenāha ‘‘yāva udakabindumhipi me dayā paccupaṭṭhitā hotī’’ti. Udakabindumpi na hanāmi na vināsemi, kiṃ kāraṇā. Māhaṃ khuddake pāṇe visamagate saṅghātaṃ āpādesinti. Ninnathalatiṇaggarukkhasākhādīsu visamaṭṭhāne gate udakabindusaṅkhāte khuddakapāṇe saṅghātaṃ vadhaṃ mā āpādesinti. Etamatthaṃ ‘‘satova abhikkamāmī’’ti dasseti. Acelakesu kira bhūmiṃ akkantakālato pabhuti sīlavā nāma natthi. Bhikkhācāraṃ gacchantāpi dussīlāva hutvā gacchanti, upaṭṭhākānaṃ gehe bhuñjantāpi dussīlāva hutvā bhuñjanti. Āgacchantāpi dussīlāva hutvā āgacchanti. Yadā pana morapiñchena phalakaṃ sammajjitvā sīlaṃ adhiṭṭhāya nisīdanti, tadā sīlavantā nāma honti.

    วนกมฺมิกนฺติ กนฺทมูลผลาผลาทีนํ อตฺถาย วเน วิจรนฺตํฯ วเนน วนนฺติ วนโต วนํ, เอส นโย สพฺพตฺถฯ สํปตามีติ คจฺฉามิฯ อารญฺญโกติ อรเญฺญ ชาตวุโทฺธ, อิทํ อตฺตโน อาชีวกกาลํ สนฺธาย วทติฯ โพธิสโตฺต กิร ปาสณฺฑปริคฺคณฺหณตฺถาย ตํ ปพฺพชฺชํ ปพฺพชิ, นิรตฺถกภาวํ ปน ญตฺวาปิ น อุปฺปพฺพชฺชิโต, โพธิสตฺตา หิ ยํ ยํ ฐานํ อุเปนฺติ, ตโต อนิวตฺติตธมฺมา โหนฺติ, ปพฺพชิตฺวา ปน มา มํ โกจิ อทฺทสาติ ตโตว อรญฺญํ ปวิโฎฺฐฯ เตเนวาห ‘‘มา มํ เต อทฺทสํสุ อหญฺจ มา เต อทฺทส’’นฺติฯ

    Vanakammikanti kandamūlaphalāphalādīnaṃ atthāya vane vicarantaṃ. Vanena vananti vanato vanaṃ, esa nayo sabbattha. Saṃpatāmīti gacchāmi. Āraññakoti araññe jātavuddho, idaṃ attano ājīvakakālaṃ sandhāya vadati. Bodhisatto kira pāsaṇḍapariggaṇhaṇatthāya taṃ pabbajjaṃ pabbaji, niratthakabhāvaṃ pana ñatvāpi na uppabbajjito, bodhisattā hi yaṃ yaṃ ṭhānaṃ upenti, tato anivattitadhammā honti, pabbajitvā pana mā maṃ koci addasāti tatova araññaṃ paviṭṭho. Tenevāha ‘‘mā maṃ te addasaṃsu ahañca mā te addasa’’nti.

    โคฎฺฐาติ โควชาฯ ปฎฺฐิตคาโวติ นิกฺขนฺตคาโวฯ ตตฺถ จตุกฺกุณฺฑิโกติ วนเนฺตเยว ฐิโต โคปาลกานํ คาวีหิ สทฺธิํ อปคตภาวํ ทิสฺวา เทฺว หเตฺถ เทฺว จ ชณฺณุกานิ ภูมิยํ ฐเปตฺวา เอวํ จตุกฺกุณฺฑิโก อุปสงฺกมิตฺวาติ อโตฺถฯ ตานิ สุทํ อาหาเรมีติ มหลฺลกวจฺฉกานํ โคมยานิ กสฎานิ นิโรชานิ โหนฺติ, ตสฺมา ตานิ วเชฺชตฺวา ยานิ ตรุณวจฺฉกานํ ขีรปาเนเนว วฑฺฒนฺตานํ สโอชานิ โคมยานิ ตานิ กุจฺฉิปูรํ ขาทิตฺวา ปุน วนสณฺฑเมว ปวิสติฯ ตํ สนฺธายาห ‘‘ตานิ สุทํ อาหาเรมี’’ติฯ ยาวกีวญฺจ เมติ ยตฺตกํ กาลํ มม สกํ มุตฺตกรีสํ อปริกฺขีณํ โหติฯ ยาว เม ทฺวารวฬโญฺช ปวตฺติตฺถ, ตาว ตเทว อาหาเรมีติ อโตฺถฯ กาเล ปน คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต ปริกฺขีณมํสโลหิโต อุปจฺฉินฺนทฺวารวฬโญฺช วจฺฉกานํ โคมยานิ อาหาเรมิฯ มหาวิกฎโภชนสฺมินฺติ มหเนฺต วิกฎโภชเน, อปกติโภชเนติ อโตฺถฯ

    Goṭṭhāti govajā. Paṭṭhitagāvoti nikkhantagāvo. Tattha catukkuṇḍikoti vananteyeva ṭhito gopālakānaṃ gāvīhi saddhiṃ apagatabhāvaṃ disvā dve hatthe dve ca jaṇṇukāni bhūmiyaṃ ṭhapetvā evaṃ catukkuṇḍiko upasaṅkamitvāti attho. Tāni sudaṃ āhāremīti mahallakavacchakānaṃ gomayāni kasaṭāni nirojāni honti, tasmā tāni vajjetvā yāni taruṇavacchakānaṃ khīrapāneneva vaḍḍhantānaṃ saojāni gomayāni tāni kucchipūraṃ khāditvā puna vanasaṇḍameva pavisati. Taṃ sandhāyāha ‘‘tāni sudaṃ āhāremī’’ti. Yāvakīvañca meti yattakaṃ kālaṃ mama sakaṃ muttakarīsaṃ aparikkhīṇaṃ hoti. Yāva me dvāravaḷañjo pavattittha, tāva tadeva āhāremīti attho. Kāle pana gacchante gacchante parikkhīṇamaṃsalohito upacchinnadvāravaḷañjo vacchakānaṃ gomayāni āhāremi. Mahāvikaṭabhojanasminti mahante vikaṭabhojane, apakatibhojaneti attho.

    ๑๕๗. ตตฺราสฺสุทํ, สาริปุตฺต, ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ โหตีติฯ ตตฺราติ ปุริมวจนาเปกฺขนํฯ สุทนฺติ ปทปูรณมเตฺต นิปาโตฯ สาริปุตฺตาติ อาลปนํฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถโยชนา – ตตฺราติ ยํ วุตฺตํ อญฺญตรํ ภิํสนกํ วนสณฺฑนฺติ, ตตฺร โย โส ภิํสนโก วนสโณฺฑ วุโตฺต, ตสฺส ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ โหติ, ภิํสนกกิริยาย โหตีติ อโตฺถฯ กิํ โหติ? อิทํ โหติ, โย โกจิ อวีตราโค…เป.… โลมานิ หํสนฺตีติฯ

    157.Tatrāssudaṃ, sāriputta, bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ hotīti. Tatrāti purimavacanāpekkhanaṃ. Sudanti padapūraṇamatte nipāto. Sāriputtāti ālapanaṃ. Ayaṃ panettha atthayojanā – tatrāti yaṃ vuttaṃ aññataraṃ bhiṃsanakaṃ vanasaṇḍanti, tatra yo so bhiṃsanako vanasaṇḍo vutto, tassa bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ hoti, bhiṃsanakakiriyāya hotīti attho. Kiṃ hoti? Idaṃ hoti, yo koci avītarāgo…pe… lomāni haṃsantīti.

    อถ วา ตตฺราติ สามิอเตฺถ ภุมฺมํฯ สุ อิติ นิปาโตฯ กิํ สุ นาม เต โภโนฺต สมณพฺราหฺมณาติอาทีสุ วิยฯ อิทนฺติ อธิเปฺปตมตฺถํ ปจฺจกฺขํ วิย กตฺวา ทสฺสนวจนํฯ สุทนฺติ สุ อิทํ, สนฺธิวเสน อิการโลโป เวทิตโพฺพฯ จกฺขุนฺทฺริยํ อิตฺถินฺทฺริยํ อนญฺญาตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ กิํ สูธวิตฺตนฺติอาทีสุ วิยฯ อยํ ปเนตฺถ อตฺถโยชนา, ตสฺส, สาริปุตฺต, ภิํสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภิํสนกตสฺมิํ อิทํสุ โหตีติฯ ภิํสนกตสฺมินฺติ ภิํสนกภาเวติ อโตฺถฯ เอกสฺส ตการสฺส โลโป ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘ภิํสนกตฺตสฺมิ’’นฺติเยว วา ปาโฐ , ภิํสนกตาย อิติ วา วตฺตเพฺพ ลิงฺควิปลฺลาโส กโต, นิมิตฺตเตฺถ เจตํ ภุมฺมวจนํฯ ตสฺมา เอวํ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพ, ภิํสนกภาเว อิทํสุ โหติ, ภิํสนกภาวนิมิตฺตํ ภิํสนกภาวเหตุ, ภิํสนกภาวปจฺจยา อิทํสุ โหติฯ โย โกจิ อวีตราโค ตํ วนสณฺฑํ ปวิสติฯ เยภุเยฺยน โลมานิ หํสนฺติ พหุตรานิ โลมานิ หํสนฺติ, อุทฺธํ มุขานิ สูจิสทิสานิ กณฺฎกสทิสานิ จ หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, อปฺปานิ น หํสนฺติ, พหุตรานํ วา สตฺตานํ หํสนฺติ, อปฺปกานํ อติสูรปุริสานํ น หํสนฺตีติฯ

    Atha vā tatrāti sāmiatthe bhummaṃ. Su iti nipāto. Kiṃ su nāma te bhonto samaṇabrāhmaṇātiādīsu viya. Idanti adhippetamatthaṃ paccakkhaṃ viya katvā dassanavacanaṃ. Sudanti su idaṃ, sandhivasena ikāralopo veditabbo. Cakkhundriyaṃ itthindriyaṃ anaññātaññassāmītindriyaṃ kiṃ sūdhavittantiādīsu viya. Ayaṃ panettha atthayojanā, tassa, sāriputta, bhiṃsanakassa vanasaṇḍassa bhiṃsanakatasmiṃ idaṃsu hotīti. Bhiṃsanakatasminti bhiṃsanakabhāveti attho. Ekassa takārassa lopo daṭṭhabbo. ‘‘Bhiṃsanakattasmi’’ntiyeva vā pāṭho , bhiṃsanakatāya iti vā vattabbe liṅgavipallāso kato, nimittatthe cetaṃ bhummavacanaṃ. Tasmā evaṃ sambandho veditabbo, bhiṃsanakabhāve idaṃsu hoti, bhiṃsanakabhāvanimittaṃ bhiṃsanakabhāvahetu, bhiṃsanakabhāvapaccayā idaṃsu hoti. Yo koci avītarāgo taṃ vanasaṇḍaṃ pavisati. Yebhuyyena lomāni haṃsanti bahutarāni lomāni haṃsanti, uddhaṃ mukhāni sūcisadisāni kaṇṭakasadisāni ca hutvā tiṭṭhanti, appāni na haṃsanti, bahutarānaṃ vā sattānaṃ haṃsanti, appakānaṃ atisūrapurisānaṃ na haṃsantīti.

    อนฺตรฎฺฐกาติ มาฆมาสสฺส อวสาเน จตโสฺส, ผคฺคุณมาสสฺส อาทิมฺหิ จตโสฺสติ เอวํ อุภินฺนํ อนฺตเร อฎฺฐรตฺติฯ อโพฺภกาเสติ มหาสโตฺต หิมปาตสมเย รตฺติํ อโพฺภกาเส วิหรติ, อถสฺส โลมกูเปสุ อาวุตมุตฺตา วิย หิมพินฺทูนิ ติฎฺฐนฺติ, สรีรํ เสตทุกูลปารุตํ วิย โหติฯ ทิวา วนสเณฺฑติ ทิวา หิมพินฺทูสุ สูริยาตปสมฺผเสฺสน วิคเตสุ อสฺสาโสปิ ภเวยฺย, อยํ ปน สูริเย อุคฺคจฺฉเนฺตเยว วนสณฺฑํ ปวิสติ, ตตฺราปิสฺส สูริยาตเปน ปคฺฆรนฺตํ หิมํ สรีเรเยว ปตติฯ ทิวา อโพฺภกาเส วิหรามิ รตฺติํ วนสเณฺฑติ คิมฺหกาเล กิเรส ทิวา อโพฺภกาเส วิหาสิ, เตนสฺส กเจฺฉหิ เสทธารา มุจฺจิํสุ, รตฺติํ อสฺสาโส ภเวยฺย, อยํ ปน สูริเย อตฺถํ คจฺฉเนฺตเยว วนสณฺฑํ ปวิสติฯ อถสฺส ทิวา คหิตอุเสฺม วนสเณฺฑ องฺคารกาสุยํ ปกฺขิโตฺต วิย อตฺตภาโว ปริทยฺหิตฺถฯ อนจฺฉริยาติ อนุอจฺฉริยาฯ ปฎิภาสีติ อุปฎฺฐาสิฯ

    Antaraṭṭhakāti māghamāsassa avasāne catasso, phagguṇamāsassa ādimhi catassoti evaṃ ubhinnaṃ antare aṭṭharatti. Abbhokāseti mahāsatto himapātasamaye rattiṃ abbhokāse viharati, athassa lomakūpesu āvutamuttā viya himabindūni tiṭṭhanti, sarīraṃ setadukūlapārutaṃ viya hoti. Divā vanasaṇḍeti divā himabindūsu sūriyātapasamphassena vigatesu assāsopi bhaveyya, ayaṃ pana sūriye uggacchanteyeva vanasaṇḍaṃ pavisati, tatrāpissa sūriyātapena paggharantaṃ himaṃ sarīreyeva patati. Divā abbhokāse viharāmi rattiṃ vanasaṇḍeti gimhakāle kiresa divā abbhokāse vihāsi, tenassa kacchehi sedadhārā mucciṃsu, rattiṃ assāso bhaveyya, ayaṃ pana sūriye atthaṃ gacchanteyeva vanasaṇḍaṃ pavisati. Athassa divā gahitausme vanasaṇḍe aṅgārakāsuyaṃ pakkhitto viya attabhāvo paridayhittha. Anacchariyāti anuacchariyā. Paṭibhāsīti upaṭṭhāsi.

    โสตโตฺตติ ทิวา อาตเปน รตฺติํ วนอุสฺมาย สุตโตฺตฯ โสสิโนฺนติ รตฺติํ หิเมน ทิวา หิโมทเกน สุฎฺฐุ ติโนฺตฯ ภิํสนเกติ ภยชนเกฯ นโคฺคติ นิเจฺจโลฯ นิวาสนปารุปเน หิ สติ สีตํ วา อุณฺหํ วา น อติพาเธยฺย, ตมฺปิ เม นตฺถีติ ทเสฺสติฯ น จคฺคิมาสิโนติ อคฺคิมฺปิ น อุปคโตฯ เอสนาปสุโตติ สุทฺธิเอสนตฺถาย ปสุโต, ปยุโตฺตฯ มุนีติ, ตทา อตฺตานํ มุนีติ กตฺวา กเถติฯ

    Sotattoti divā ātapena rattiṃ vanausmāya sutatto. Sosinnoti rattiṃ himena divā himodakena suṭṭhu tinto. Bhiṃsanaketi bhayajanake. Naggoti niccelo. Nivāsanapārupane hi sati sītaṃ vā uṇhaṃ vā na atibādheyya, tampi me natthīti dasseti. Na caggimāsinoti aggimpi na upagato. Esanāpasutoti suddhiesanatthāya pasuto, payutto. Munīti, tadā attānaṃ munīti katvā katheti.

    ฉวฎฺฐิกานีติ อุปฑฺฒทฑฺฒานิ อฎฺฐีนิฯ อุปธายาติ ยถา สีสูปธานญฺจ ปาทูปธานญฺจ ปญฺญายติ, เอวํ สนฺถริตฺวา ตตฺถ เสยฺยํ กเปฺปมีติ ทเสฺสติฯ คามณฺฑลาติ โคปาลทารกาฯ เต กิร โพธิสตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา, สุเมธ, ตฺวํ อิมสฺมิํ ฐาเน กสฺมา นิสิโนฺน, กเถหีติ วทนฺติฯ โพธิสโตฺต อโธมุโข นิสีทติ, น กเถติฯ อถ นํ เต อกเถตุํ น ทสฺสามาติ ปริวาเรตฺวา โอฎฺฐุภนฺติ สรีเร เขฬํ ปาเตนฺติฯ โพธิสโตฺต เอวมฺปิ น กเถติฯ อถ นํ ตฺวํ น กเถสีติ โอมุเตฺตนฺติ ปสฺสาวมสฺส อุปริ วิสฺสเชฺชนฺติฯ โพธิสโตฺต เอวมฺปิ น กเถติเยวฯ ตโต นํ กเถหิ กเถหีติ ปํสุเกน โอกิรนฺติฯ โพธิสโตฺต เอวมฺปิ น กเถติเยวฯ อถสฺส น กเถสีติ ทณฺฑกสลากา คเหตฺวา กณฺณโสเตสุ ปเวเสนฺติฯ โพธิสโตฺต ทุกฺขา ติพฺพา กฎุกา เวทนา อธิวาเสโนฺต กสฺสจิ กิญฺจิ น กริสฺสามีติ มตโก วิย อจฺฉติฯ เตนาห ‘‘น โข ปนาหํ, สาริปุตฺต, อภิชานามิ เตสุ ปาปกํ จิตฺตํ อุปฺปาเทตา’’ติฯ น มยา เตสุ ปาปกํ จิตฺตมฺปิ อุปฺปาทิตนฺติ อโตฺถฯ อุเปกฺขาวิหารสฺมิํ โหตีติ อุเปกฺขาวิหาโร โหติฯ วิหาโร เอว หิ วิหารสฺมินฺติ วุโตฺตฯ เตเนว จ ‘‘อิทํสุ เม’’ติ เอตฺถาปิ อยํสุ เมติ เอวํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ อิมินา นเยน อญฺญานิปิ เอวรูปานิ ปทานิ เวทิตพฺพานิฯ อิมินา อิโต เอกนวุติกเปฺป ปูริตํ อุเปกฺขาวิหารํ ทเสฺสติฯ ยํ สนฺธายาห –

    Chavaṭṭhikānīti upaḍḍhadaḍḍhāni aṭṭhīni. Upadhāyāti yathā sīsūpadhānañca pādūpadhānañca paññāyati, evaṃ santharitvā tattha seyyaṃ kappemīti dasseti. Gāmaṇḍalāti gopāladārakā. Te kira bodhisattassa santikaṃ gantvā, sumedha, tvaṃ imasmiṃ ṭhāne kasmā nisinno, kathehīti vadanti. Bodhisatto adhomukho nisīdati, na katheti. Atha naṃ te akathetuṃ na dassāmāti parivāretvā oṭṭhubhanti sarīre kheḷaṃ pātenti. Bodhisatto evampi na katheti. Atha naṃ tvaṃ na kathesīti omuttenti passāvamassa upari vissajjenti. Bodhisatto evampi na kathetiyeva. Tato naṃ kathehi kathehīti paṃsukena okiranti. Bodhisatto evampi na kathetiyeva. Athassa na kathesīti daṇḍakasalākā gahetvā kaṇṇasotesu pavesenti. Bodhisatto dukkhā tibbā kaṭukā vedanā adhivāsento kassaci kiñci na karissāmīti matako viya acchati. Tenāha ‘‘na kho panāhaṃ, sāriputta, abhijānāmi tesu pāpakaṃ cittaṃ uppādetā’’ti. Na mayā tesu pāpakaṃ cittampi uppāditanti attho. Upekkhāvihārasmiṃ hotīti upekkhāvihāro hoti. Vihāro eva hi vihārasminti vutto. Teneva ca ‘‘idaṃsu me’’ti etthāpi ayaṃsu meti evaṃ attho veditabbo. Iminā nayena aññānipi evarūpāni padāni veditabbāni. Iminā ito ekanavutikappe pūritaṃ upekkhāvihāraṃ dasseti. Yaṃ sandhāyāha –

    ‘‘สุขปโตฺต น รชฺชามิ, ทุเกฺข น โหมิ ทุมฺมโน;

    ‘‘Sukhapatto na rajjāmi, dukkhe na homi dummano;

    สพฺพตฺถ ตุลิโต โหมิ, เอสา เม อุเปกฺขาปารมี’’ติฯ

    Sabbattha tulito homi, esā me upekkhāpāramī’’ti.

    ทุกฺกรการิกาทิสุทฺธิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Dukkarakārikādisuddhivaṇṇanā niṭṭhitā.

    อาหารสุทฺธิวณฺณนา

    Āhārasuddhivaṇṇanā

    ๑๕๘. อาหาเรน สุทฺธีติ โกลาทินา เอกเจฺจน ปริตฺตกอาหาเรน สกฺกา สุชฺฌิตุนฺติ เอวํทิฎฺฐิโน โหนฺติฯ เอวมาหํสูติ เอวํ วทนฺติฯ โกเลหีติ ปทเรหิฯ โกโลทกนฺติ โกลานิ มทฺทิตฺวา กตปานกํฯ โกลวิกตินฺติ โกลสาฬวโกลปูวโกลคุฬาทิโกลวิการํฯ เอตปรโมติ เอตํ ปมาณํ ปรมํ อสฺสาติ เอตปรโมฯ ตทา เอกนวุติกปฺปมตฺถเก ปน น เพลุวปกฺกตาลปกฺกปมาโณ โกโล โหติ, ยํ เอตรหิ โกลสฺส ปมาณํ, เอตฺตโกว โหตีติ อโตฺถฯ

    158.Āhārenasuddhīti kolādinā ekaccena parittakaāhārena sakkā sujjhitunti evaṃdiṭṭhino honti. Evamāhaṃsūti evaṃ vadanti. Kolehīti padarehi. Kolodakanti kolāni madditvā katapānakaṃ. Kolavikatinti kolasāḷavakolapūvakolaguḷādikolavikāraṃ. Etaparamoti etaṃ pamāṇaṃ paramaṃ assāti etaparamo. Tadā ekanavutikappamatthake pana na beluvapakkatālapakkapamāṇo kolo hoti, yaṃ etarahi kolassa pamāṇaṃ, ettakova hotīti attho.

    ๑๕๙. อธิมตฺตกสิมานนฺติ อติวิย กิสภาวํฯ อาสีติกปพฺพานิ วา กาฬปพฺพานิ วาติ ยถา อาสีติกวลฺลิยา วา กาฬวลฺลิยา วา สนฺธิฎฺฐาเนสุ มิลายิตฺวา มเชฺฌ อุนฺนตุนฺนตานิ โหนฺติ, เอวํ มยฺหํ องฺคปจฺจงฺคานิ โหนฺตีติ ทเสฺสติฯ โอฎฺฐปทนฺติ ยถา โอฎฺฐสฺส ปทํ มเชฺฌ คมฺภีรํ โหติ, เอวเมวํ โพธิสตฺตสฺส มิลาเต มํสโลหิเต วจฺจทฺวารสฺส อโนฺตปวิฎฺฐตฺตา อานิสทํ มเชฺฌ คมฺภีรํ โหติฯ อถสฺส ภูมิยํ นิสินฺนฎฺฐานํ สรโปเงฺขน อกฺกนฺตํ วิย มเชฺฌ อุนฺนตํ โหติฯ วฎฺฎนาวฬีติ ยถา รชฺชุยา อาวุนิตฺวา กตา วฎฺฎนาวฬี วฎฺฎนานํ อนฺตรนฺตรา นินฺนา โหติ, วฎฺฎนฎฺฐาเนสุ อุนฺนตา, เอวํ ปิฎฺฐิกณฺฎโก อุนฺนตาวนโต โหติ, ชรสาลาย โคปานสิโยติ ชิณฺณสาลาย โคปานสิโย, ตา วํสโต มุจฺจิตฺวา มณฺฑเล ปติฎฺฐหนฺติ, มณฺฑลโต มุจฺจิตฺวา ภูมิยนฺติ; เอวํ เอกา อุปริ โหติ, เอกา เหฎฺฐาติ โอลุคฺควิลุคฺคา ภวนฺติฯ โพธิสตฺตสฺส ปน น เอวํ ผาสุฬิโย, ตสฺส หิ โลหิเต ฉิเนฺน มํเส มิลาเต ผาสุฬนฺตเรหิ จมฺมานิ เหฎฺฐา โอติณฺณานิ, ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    159.Adhimattakasimānanti ativiya kisabhāvaṃ. Āsītikapabbāni vā kāḷapabbāni vāti yathā āsītikavalliyā vā kāḷavalliyā vā sandhiṭṭhānesu milāyitvā majjhe unnatunnatāni honti, evaṃ mayhaṃ aṅgapaccaṅgāni hontīti dasseti. Oṭṭhapadanti yathā oṭṭhassa padaṃ majjhe gambhīraṃ hoti, evamevaṃ bodhisattassa milāte maṃsalohite vaccadvārassa antopaviṭṭhattā ānisadaṃ majjhe gambhīraṃ hoti. Athassa bhūmiyaṃ nisinnaṭṭhānaṃ sarapoṅkhena akkantaṃ viya majjhe unnataṃ hoti. Vaṭṭanāvaḷīti yathā rajjuyā āvunitvā katā vaṭṭanāvaḷī vaṭṭanānaṃ antarantarā ninnā hoti, vaṭṭanaṭṭhānesu unnatā, evaṃ piṭṭhikaṇṭako unnatāvanato hoti, jarasālāya gopānasiyoti jiṇṇasālāya gopānasiyo, tā vaṃsato muccitvā maṇḍale patiṭṭhahanti, maṇḍalato muccitvā bhūmiyanti; evaṃ ekā upari hoti, ekā heṭṭhāti oluggaviluggā bhavanti. Bodhisattassa pana na evaṃ phāsuḷiyo, tassa hi lohite chinne maṃse milāte phāsuḷantarehi cammāni heṭṭhā otiṇṇāni, taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    โอกฺขายิกาติ เหฎฺฐา อนุปวิฎฺฐาฯ ตสฺส กิร โลหิเต ฉิเนฺน มํเส มิลาเต อกฺขิอาวาฎกา มตฺถลุงฺคํ อาหจฺจ อฎฺฐํสุ, เตนสฺส เอวรูปา อกฺขิตารกา อเหสุํฯ อามกจฺฉิโนฺนติ อติตรุณกาเล ฉิโนฺน, โส หิ วาตาตเปน สํผุสติ เจว มิลายติ จฯ ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺตาติ, สาริปุตฺต, มยฺหํ อุทรจฺฉวิ ยาว ปิฎฺฐิกณฺฎกํ อลฺลีนา โหติฯ อถ วา ยาวสฺสุ เม, สาริปุตฺต, ภาริยภาริยา อโหสิ ทุกฺกรการิกา, มยฺหํ อุทรจฺฉวิ ยาว ปิฎฺฐิกณฺฎกํ อลฺลีนา อโหสีติ เอวเมตฺถ สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ ปิฎฺฐิกณฺฎกํเยว ปริคฺคณฺหามีติ สหอุทรจฺฉวิํ คณฺหามิฯ อุทรจฺฉวิํเยว ปริคฺคณฺหามีติ สหปิฎฺฐิกณฺฎกํ คณฺหามิฯ อวกุโชฺช ปปตามีติ ตสฺส หิ อุจฺจารปสฺสาวตฺถาย นิสินฺนสฺส ปสฺสาโว เนว นิกฺขมติ, วจฺจํ ปน เอกํ เทฺว กฎกฎฺฐิมตฺตํ นิกฺขมติฯ พลวทุกฺขํ อุปฺปาเทติฯ สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, ตเตฺถว อวกุโชฺช ภูมิยํ ปตติฯ เตนาห ‘‘อวกุโชฺช ปปตามี’’ติฯ ตเมว กายนฺติ ตํ เอกนวุติกปฺปมตฺถเก กายํฯ มหาสจฺจกสุเตฺต ปน ปจฺฉิมภวิกกายํ สนฺธาย อิมเมว กายนฺติ อาหฯ ปูติมูลานีติ มํเส วา โลหิเต วา สติ ติฎฺฐนฺติฯ ตสฺส ปน อภาเว จมฺมขเณฺฑ โลมานิ วิย หเตฺถเยว ลคฺคนฺติ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ปูติมูลานิ โลมานิ กายสฺมา ปตนฺตี’’ติฯ

    Okkhāyikāti heṭṭhā anupaviṭṭhā. Tassa kira lohite chinne maṃse milāte akkhiāvāṭakā matthaluṅgaṃ āhacca aṭṭhaṃsu, tenassa evarūpā akkhitārakā ahesuṃ. Āmakacchinnoti atitaruṇakāle chinno, so hi vātātapena saṃphusati ceva milāyati ca. Yāvassu me, sāriputtāti, sāriputta, mayhaṃ udaracchavi yāva piṭṭhikaṇṭakaṃ allīnā hoti. Atha vā yāvassu me, sāriputta, bhāriyabhāriyā ahosi dukkarakārikā, mayhaṃ udaracchavi yāva piṭṭhikaṇṭakaṃ allīnā ahosīti evamettha sambandho veditabbo. Piṭṭhikaṇṭakaṃyeva pariggaṇhāmīti sahaudaracchaviṃ gaṇhāmi. Udaracchaviṃyeva pariggaṇhāmīti sahapiṭṭhikaṇṭakaṃ gaṇhāmi. Avakujjo papatāmīti tassa hi uccārapassāvatthāya nisinnassa passāvo neva nikkhamati, vaccaṃ pana ekaṃ dve kaṭakaṭṭhimattaṃ nikkhamati. Balavadukkhaṃ uppādeti. Sarīrato sedā muccanti, tattheva avakujjo bhūmiyaṃ patati. Tenāha ‘‘avakujjo papatāmī’’ti. Tameva kāyanti taṃ ekanavutikappamatthake kāyaṃ. Mahāsaccakasutte pana pacchimabhavikakāyaṃ sandhāya imameva kāyanti āha. Pūtimūlānīti maṃse vā lohite vā sati tiṭṭhanti. Tassa pana abhāve cammakhaṇḍe lomāni viya hattheyeva lagganti, taṃ sandhāyāha ‘‘pūtimūlāni lomāni kāyasmā patantī’’ti.

    อลมริยญาณทสฺสนวิเสสนฺติ อริยภาวํ กาตุํ สมตฺถํ โลกุตฺตรมคฺคํฯ อิมิสฺสาเยว อริยาย ปญฺญายาติ วิปสฺสนาปญฺญาย อนธิคมาฯ ยายํ อริยาติ ยา อยํ มคฺคปญฺญา อธิคตาฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา เอตรหิ วิปสฺสนาปญฺญาย อธิคตตฺตา มคฺคปญฺญา อธิคตา, เอวํ เอกนวุติกปฺปมตฺถเก วิปสฺสนาปญฺญาย อนธิคตตฺตา โลกุตฺตรมคฺคปญฺญํ นาธิคโตสฺมีติ, มชฺฌิมภาณกเตฺถรา ปนาหุ, อิมิสฺสาเยวาติ วุตฺตปญฺญาปิ ยายํ อริยาติ วุตฺตปญฺญาปิ มคฺคปญฺญาเยวฯ อถ เน ภิกฺขู อาหํสุ ‘‘เอวํ สเนฺต มคฺคสฺส อนธิคตตฺตา มคฺคํ นาธิคโตสฺมีติ อิทํ วุตฺตํ โหติ, ภเนฺต’’ติฯ อาวุโส, กิญฺจาปิ ทีเปตุํ น สโกฺกมิ, เทฺวปิ ปน มคฺคปญฺญาเยวาติ, เอตเทว เจตฺถ ยุตฺตํฯ อิตรถา หิ ยา อยนฺติ นิเทฺทโส อนนุรูโป สิยาฯ

    Alamariyañāṇadassanavisesanti ariyabhāvaṃ kātuṃ samatthaṃ lokuttaramaggaṃ. Imissāyeva ariyāya paññāyāti vipassanāpaññāya anadhigamā. Yāyaṃ ariyāti yā ayaṃ maggapaññā adhigatā. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā etarahi vipassanāpaññāya adhigatattā maggapaññā adhigatā, evaṃ ekanavutikappamatthake vipassanāpaññāya anadhigatattā lokuttaramaggapaññaṃ nādhigatosmīti, majjhimabhāṇakattherā panāhu, imissāyevāti vuttapaññāpi yāyaṃ ariyāti vuttapaññāpi maggapaññāyeva. Atha ne bhikkhū āhaṃsu ‘‘evaṃ sante maggassa anadhigatattā maggaṃ nādhigatosmīti idaṃ vuttaṃ hoti, bhante’’ti. Āvuso, kiñcāpi dīpetuṃ na sakkomi, dvepi pana maggapaññāyevāti, etadeva cettha yuttaṃ. Itarathā hi yā ayanti niddeso ananurūpo siyā.

    อาหารสุทฺธิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Āhārasuddhivaṇṇanā niṭṭhitā.

    สํสารสุทฺธิอาทิวณฺณนา

    Saṃsārasuddhiādivaṇṇanā

    ๑๖๐. สํสาเรน สุทฺธีติ พหุกํ สํสริตฺวา สุชฺฌนฺตีติ วทนฺติฯ อุปปตฺติยา สุทฺธีติ พหุกํ อุปปชฺชิตฺวา สุชฺฌนฺตีติ วทนฺติฯ อาวาเสน สุทฺธีติ พหูสุ ฐาเนสุ วสิตฺวา สุชฺฌนฺตีติ วทนฺติฯ ตีสุปิ ฐาเนสุ สํสรณกวเสน สํสาโรฯ อุปปชฺชนกวเสน อุปปตฺติฯ วสนกวเสน อาวาโสติ ขนฺธาเยว วุตฺตาฯ ยเญฺญนาติ พหุยาเค ยชิตฺวา สุชฺฌนฺตีติ วทนฺติฯ มุทฺธาวสิเตฺตนาติ ตีหิ สเงฺขหิ ขตฺติยาภิเสเกน มุทฺธนิ อภิสิเตฺตนฯ อคฺคิปาริจริยายาติ พหุอคฺคิปริจรเณน สุชฺฌนฺตีติ วทนฺติฯ

    160.Saṃsārena suddhīti bahukaṃ saṃsaritvā sujjhantīti vadanti. Upapattiyā suddhīti bahukaṃ upapajjitvā sujjhantīti vadanti. Āvāsena suddhīti bahūsu ṭhānesu vasitvā sujjhantīti vadanti. Tīsupi ṭhānesu saṃsaraṇakavasena saṃsāro. Upapajjanakavasena upapatti. Vasanakavasena āvāsoti khandhāyeva vuttā. Yaññenāti bahuyāge yajitvā sujjhantīti vadanti. Muddhāvasittenāti tīhi saṅkhehi khattiyābhisekena muddhani abhisittena. Aggipāricariyāyāti bahuaggiparicaraṇena sujjhantīti vadanti.

    ๑๖๑. ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพเนน สมนฺนาคโตฯ สุสุกาฬเกโสติ สุฎฺฐุ กาฬเกโสฯ ภเทฺรน โยพฺพเนน สมนฺนาคโตติ อิมินาสฺส เยน โยพฺพเนน สมนฺนาคโต ยุวา, ตํ โยพฺพนํ ภทฺทํ ลทฺธกนฺติ ทเสฺสติฯ ปฐเมน วยสาติ ปฐมวโย นาม เตตฺติํส วสฺสานิ, เตน สมนฺนาคโตติ อโตฺถ, ปญฺญาเวยฺยตฺติเยนาติ ปญฺญาเวยฺยตฺติภาเวนฯ ชิโณฺณติ ชราชิโณฺณฯ วุโทฺธติ วฑฺฒิตฺวา ฐิตองฺคปจฺจโงฺคฯ มหลฺลโกติ ชาติมหลฺลโกฯ อทฺธคโตติ พหุอทฺธานํ คโต จิรกาลาติกฺกโนฺตฯ วโย อนุปฺปโตฺตติ วสฺสสตสฺส ตติยโกฎฺฐาสํ ปจฺฉิมวยํ อนุปฺปโตฺตฯ อาสีติโก เม วโย วตฺตตีติ อิมํ กิร สุตฺตํ ภควา ปรินิพฺพานสํวจฺฉเร กเถสิฯ ตสฺมา เอวมาหฯ ปรมายาติ อุตฺตมายฯ สติยาติอาทีสุ ปทสตมฺปิ ปทสหสฺสมฺปิ วทนฺตเสฺสว คหณสมตฺถตา สติ นามฯ ตเทว อาธารณอุปนิพนฺธนสมตฺถตา คติ นามฯ เอวํ คหิตํ ธาริตํ สชฺฌายํ กาตุํ สมตฺถวีริยํ ธิติ นามฯ ตสฺส อตฺถญฺจ การณญฺจ ทสฺสนสมตฺถตา ปญฺญาเวยฺยตฺติยํ นามฯ

    161.Daharoti taruṇo. Yuvāti yobbanena samannāgato. Susukāḷakesoti suṭṭhu kāḷakeso. Bhadrena yobbanena samannāgatoti imināssa yena yobbanena samannāgato yuvā, taṃ yobbanaṃ bhaddaṃ laddhakanti dasseti. Paṭhamena vayasāti paṭhamavayo nāma tettiṃsa vassāni, tena samannāgatoti attho, paññāveyyattiyenāti paññāveyyattibhāvena. Jiṇṇoti jarājiṇṇo. Vuddhoti vaḍḍhitvā ṭhitaaṅgapaccaṅgo. Mahallakoti jātimahallako. Addhagatoti bahuaddhānaṃ gato cirakālātikkanto. Vayo anuppattoti vassasatassa tatiyakoṭṭhāsaṃ pacchimavayaṃ anuppatto. Āsītiko me vayo vattatīti imaṃ kira suttaṃ bhagavā parinibbānasaṃvacchare kathesi. Tasmā evamāha. Paramāyāti uttamāya. Satiyātiādīsu padasatampi padasahassampi vadantasseva gahaṇasamatthatā sati nāma. Tadeva ādhāraṇaupanibandhanasamatthatā gati nāma. Evaṃ gahitaṃ dhāritaṃ sajjhāyaṃ kātuṃ samatthavīriyaṃ dhiti nāma. Tassa atthañca kāraṇañca dassanasamatthatā paññāveyyattiyaṃ nāma.

    ทฬฺหธมฺมา ธนุคฺคโหติ ทฬฺหํ ธนุํ คเหตฺวา ฐิโต อิสฺสาโสฯ ทฬฺหธนุ นาม ทฺวิสหสฺสถามํ วุจฺจติ, ทฺวิสหสฺสถามํ นาม ยสฺส อาโรปิตสฺส ชิยาพโทฺธ โลหสีสาทีนํ ภาโร ทเณฺฑ คเหตฺวา ยาว กณฺฑปฺปมาณา อุกฺขิตฺตสฺส ปถวิโต มุจฺจติฯ สิกฺขิโตติ ทส ทฺวาทส วสฺสานิ อาจริยกุเล อุคฺคหิตสิโปฺปฯ กตหโตฺถติ โกจิ สิปฺปเมว อุคฺคณฺหาติฯ กตหโตฺถ น โหติ, อยํ ปน กตหโตฺถ จิณฺณวสีภาโวฯ กตูปาสโนติ ราชกุลาทีสุ ทสฺสิตสิโปฺปฯ ลหุเกน อสเนนาติ อโนฺต สุสิรํ กตฺวา ตูลาทีนิ ปูเรตฺวา กตลาขาปริกเมฺมน สลฺลหุกกเณฺฑนฯ เอวํ กตญฺหิ เอกอุสภคามี เทฺว อุสภานิ คจฺฉติ, อฎฺฐอุสภคามี โสฬสอุสภานิ คจฺฉติฯ อปฺปกสิเรนาติ นิทุเกฺขนฯ อติปาเตยฺยาติ อติกฺกเมยฺยฯ เอวํ อธิมตฺตสติมโนฺตติ ยถา โส ธนุคฺคโห ตํ วิทตฺถิจตุรงฺคุลฉายํ สีฆํ เอว อติกฺกเมติ, เอวํ ปทสตมฺปิ ปทสหสฺสมฺปิ อุคฺคเหตุํ อุปธาเรตุํ สชฺฌายิตุํ อตฺถการณานิ จ อุปปริกฺขิตุํ สมตฺถาติ อโตฺถฯ อญฺญตฺร อสิตปีตขายิตสายิตาติ อสิตปีตาทีนิ หิ ภควตาปิ กาตพฺพานิ โหนฺติ, ภิกฺขูหิปิฯ ตสฺมา เตสํ กรณมตฺตกาลํ ฐเปตฺวาติ ทเสฺสติฯ

    Daḷhadhammā dhanuggahoti daḷhaṃ dhanuṃ gahetvā ṭhito issāso. Daḷhadhanu nāma dvisahassathāmaṃ vuccati, dvisahassathāmaṃ nāma yassa āropitassa jiyābaddho lohasīsādīnaṃ bhāro daṇḍe gahetvā yāva kaṇḍappamāṇā ukkhittassa pathavito muccati. Sikkhitoti dasa dvādasa vassāni ācariyakule uggahitasippo. Katahatthoti koci sippameva uggaṇhāti. Katahattho na hoti, ayaṃ pana katahattho ciṇṇavasībhāvo. Katūpāsanoti rājakulādīsu dassitasippo. Lahukena asanenāti anto susiraṃ katvā tūlādīni pūretvā katalākhāparikammena sallahukakaṇḍena. Evaṃ katañhi ekausabhagāmī dve usabhāni gacchati, aṭṭhausabhagāmī soḷasausabhāni gacchati. Appakasirenāti nidukkhena. Atipāteyyāti atikkameyya. Evaṃ adhimattasatimantoti yathā so dhanuggaho taṃ vidatthicaturaṅgulachāyaṃ sīghaṃ eva atikkameti, evaṃ padasatampi padasahassampi uggahetuṃ upadhāretuṃ sajjhāyituṃ atthakāraṇāni ca upaparikkhituṃ samatthāti attho. Aññatra asitapītakhāyitasāyitāti asitapītādīni hi bhagavatāpi kātabbāni honti, bhikkhūhipi. Tasmā tesaṃ karaṇamattakālaṃ ṭhapetvāti dasseti.

    อปริยาทินฺนาเยวาติ อปริกฺขีณาเยวฯ สเจ หิ เอโก ภิกฺขุ กายานุปสฺสนํ ปุจฺฉติ, อโญฺญ เวทนานุปสฺสนํ, อโญฺญ จิตฺตานุปสฺสนํ, อโยฺย ธมฺมานุปสฺสนํฯ อิมินา ปุฎฺฐํ อหํ ปุจฺฉิสฺสามีติ เอโก เอกํ น โอโลเกติฯ เอวํ สเนฺตปิ เตสํ วาโร ปญฺญายติฯ เอวํ พุทฺธานํ ปน วาโร น ปญฺญายติ, วิทตฺถิจตุรงฺคุลฉายํ อติกฺกมโต ปุเรตรํเยว ภควา จุทฺทสวิเธน กายานุปสฺสนํ, นววิเธน เวทนานุปสฺสนํ, โสฬสวิเธน จิตฺตานุปสฺสนํ, ปญฺจวิเธน ธมฺมานุปสฺสนํ กเถติฯ ติฎฺฐนฺตุ วา ตาว เอเต จตฺตาโรฯ สเจ หิ อเญฺญ จตฺตาโร สมฺมปฺปธาเนสุ, อเญฺญ อิทฺธิปาเทสุ, อเญฺญ ปญฺจ อินฺทฺริเยสุ, อเญฺญ ปญฺจ พเลสุ, อเญฺญ สตฺต โพชฺฌเงฺคสุ, อเญฺญ อฎฺฐ มคฺคเงฺคสุ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยุํ, ตมฺปิ ภควา กเถยฺยฯ ติฎฺฐนฺตุ วา เอเต อฎฺฐฯ สเจ อเญฺญ สตฺตติํส ชนา โพธิปกฺขิเยสุ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยุํ, ตมฺปิ ภควา ตาวเทว กเถยฺยฯ กสฺมา? ยาวตา หิ โลกิยมหาชนา เอกํ ปทํ กเถนฺติฯ ตาว อานนฺทเตฺถโร อฎฺฐ ปทานิ กเถติฯ อานนฺทเตฺถเร ปน เอกํ ปทํ กเถเนฺตเยว ภควา โสฬสปทานิ กเถติฯ กสฺมา? ภควโต หิ ชิวฺหา มุทุกา ทนฺตาวรณํ สุผุสิตํ วจนํ อคลิตํ ภวงฺคปริวาโส ลหุโกฯ เตนาห ‘‘อปริยาทินฺนาเยวสฺส, สาริปุตฺต, ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนา’’ติฯ

    Apariyādinnāyevāti aparikkhīṇāyeva. Sace hi eko bhikkhu kāyānupassanaṃ pucchati, añño vedanānupassanaṃ, añño cittānupassanaṃ, ayyo dhammānupassanaṃ. Iminā puṭṭhaṃ ahaṃ pucchissāmīti eko ekaṃ na oloketi. Evaṃ santepi tesaṃ vāro paññāyati. Evaṃ buddhānaṃ pana vāro na paññāyati, vidatthicaturaṅgulachāyaṃ atikkamato puretaraṃyeva bhagavā cuddasavidhena kāyānupassanaṃ, navavidhena vedanānupassanaṃ, soḷasavidhena cittānupassanaṃ, pañcavidhena dhammānupassanaṃ katheti. Tiṭṭhantu vā tāva ete cattāro. Sace hi aññe cattāro sammappadhānesu, aññe iddhipādesu, aññe pañca indriyesu, aññe pañca balesu, aññe satta bojjhaṅgesu, aññe aṭṭha maggaṅgesu pañhaṃ puccheyyuṃ, tampi bhagavā katheyya. Tiṭṭhantu vā ete aṭṭha. Sace aññe sattatiṃsa janā bodhipakkhiyesu pañhaṃ puccheyyuṃ, tampi bhagavā tāvadeva katheyya. Kasmā? Yāvatā hi lokiyamahājanā ekaṃ padaṃ kathenti. Tāva ānandatthero aṭṭha padāni katheti. Ānandatthere pana ekaṃ padaṃ kathenteyeva bhagavā soḷasapadāni katheti. Kasmā? Bhagavato hi jivhā mudukā dantāvaraṇaṃ suphusitaṃ vacanaṃ agalitaṃ bhavaṅgaparivāso lahuko. Tenāha ‘‘apariyādinnāyevassa, sāriputta, tathāgatassa dhammadesanā’’ti.

    ตตฺถ ธมฺมทเสนาติ ตนฺติฐปนาฯ ธมฺมปทพฺยญฺชนนฺติ ปาฬิยา ปทพฺยญฺชนํ, ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส พฺยญฺชนกํ อกฺขรํฯ ปญฺหปฎิภานนฺติ ปญฺหพฺยากรณํฯ อิมินา กิํ ทเสฺสติ? ตถาคโต ปุเพฺพ ทหรกาเล อกฺขรานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ปทํ วตฺตุํ สโกฺกติ, ปทานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา คาถํ วตฺตุํ สโกฺกติ, จตุอกฺขเรหิ วา อฎฺฐอกฺขเรหิ วา โสฬสอกฺขเรหิ วา ปเทหิ ยุตฺตาย คาถาย อตฺถํ วตฺตุํ สโกฺกติฯ อิทานิ ปน มหลฺลกกาเล อกฺขรานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา ปทํ วา, ปทานิ สมฺปิเณฺฑตฺวา คาถํ วา, คาถาย อตฺถํ วา วตฺตุํ น สโกฺกตีติ เอวํ นตฺถิฯ ทหรกาเล จ มหลฺลกกาเล จ สพฺพเมตํ ตถาคตสฺส อปริยาทินฺนเมวาติ อิมํ ทเสฺสติฯ มญฺจเกน เจปิ มนฺติ อิทํ พุทฺธพลทีปนตฺถเมว ปริกเปฺปตฺวา อาหฯ ทสพลํ ปน มญฺจเก อาโรเปตฺวา คามนิคมราชธานิโย ปริหรณกาโล นาม นตฺถิฯ ตถาคตา หิ ปญฺจเม อายุโกฎฺฐาเส ขณฺฑิจฺจาทีหิ อนภิภูตา สุวณฺณวณฺณสรีรสฺส เววณฺณิเย อนนุปฺปเตฺต เทวมนุสฺสานํ ปิยมนาปกาเลเยว ปรินิพฺพายนฺติฯ

    Tattha dhammadasenāti tantiṭhapanā. Dhammapadabyañjananti pāḷiyā padabyañjanaṃ, tassa tassa atthassa byañjanakaṃ akkharaṃ. Pañhapaṭibhānanti pañhabyākaraṇaṃ. Iminā kiṃ dasseti? Tathāgato pubbe daharakāle akkharāni sampiṇḍetvā padaṃ vattuṃ sakkoti, padāni sampiṇḍetvā gāthaṃ vattuṃ sakkoti, catuakkharehi vā aṭṭhaakkharehi vā soḷasaakkharehi vā padehi yuttāya gāthāya atthaṃ vattuṃ sakkoti. Idāni pana mahallakakāle akkharāni sampiṇḍetvā padaṃ vā, padāni sampiṇḍetvā gāthaṃ vā, gāthāya atthaṃ vā vattuṃ na sakkotīti evaṃ natthi. Daharakāle ca mahallakakāle ca sabbametaṃ tathāgatassa apariyādinnamevāti imaṃ dasseti. Mañcakena cepi manti idaṃ buddhabaladīpanatthameva parikappetvā āha. Dasabalaṃ pana mañcake āropetvā gāmanigamarājadhāniyo pariharaṇakālo nāma natthi. Tathāgatā hi pañcame āyukoṭṭhāse khaṇḍiccādīhi anabhibhūtā suvaṇṇavaṇṇasarīrassa vevaṇṇiye ananuppatte devamanussānaṃ piyamanāpakāleyeva parinibbāyanti.

    ๑๖๒. นาคสมาโลติ ตสฺส เถรสฺส นามํฯ ปฐมโพธิยญฺหิ วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อุปวานนาคิตเมฆิยเตฺถรา วิย อยมฺปิ ภควโต อุปฎฺฐาโก อโหสิฯ พีชยมาโนติ มนฺทมเนฺทน ตาลวณฺฎวาเตน ภควโต อุตุสุขํ สมุฎฺฐาปยมาโนฯ เอตทโวจาติ สกลสุตฺตนฺตํ สุตฺวา ภควโต ปุพฺพจริตํ ทุกฺกรการกํ อาคมฺม ปสโนฺน เอตํ ‘‘อจฺฉริยํ ภเนฺต’’ติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ อจฺฉรํ ปหริตุํ ยุตฺตนฺติ อจฺฉริยํฯ อภูตปุพฺพํ ภูตนฺติ อพฺภุตํฯ อุภเยนปิ อตฺตโน วิมฺหยเมว ทีเปติฯ โก นาโม อยํ ภเนฺตติ อิทํ ภทฺทโก วตายํ ธมฺมปริยาโย, หนฺทสฺส ภควนฺตํ อายาจิตฺวา นามํ คณฺหาเปมีติ อธิปฺปาเยน อาหฯ อถสฺส ภควา นามํ คณฺหโนฺต ตสฺมา ติห ตฺวนฺติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ, ยสฺมา อิทํ สุตฺตํ สุตฺวา ตว โลมานิ หฎฺฐานิ, ตสฺมา ติห ตฺวํ , นาคสมาล, อิมํ ธมฺมปริยายํ ‘‘โลมหํสน ปริยาโย’’เตฺวว นํ ธาเรหีติฯ

    162.Nāgasamāloti tassa therassa nāmaṃ. Paṭhamabodhiyañhi vīsativassabbhantare upavānanāgitameghiyattherā viya ayampi bhagavato upaṭṭhāko ahosi. Bījayamānoti mandamandena tālavaṇṭavātena bhagavato utusukhaṃ samuṭṭhāpayamāno. Etadavocāti sakalasuttantaṃ sutvā bhagavato pubbacaritaṃ dukkarakārakaṃ āgamma pasanno etaṃ ‘‘acchariyaṃ bhante’’tiādivacanaṃ avoca. Tattha accharaṃ paharituṃ yuttanti acchariyaṃ. Abhūtapubbaṃ bhūtanti abbhutaṃ. Ubhayenapi attano vimhayameva dīpeti. Ko nāmo ayaṃ bhanteti idaṃ bhaddako vatāyaṃ dhammapariyāyo, handassa bhagavantaṃ āyācitvā nāmaṃ gaṇhāpemīti adhippāyena āha. Athassa bhagavā nāmaṃ gaṇhanto tasmā tiha tvantiādimāha. Tassattho, yasmā idaṃ suttaṃ sutvā tava lomāni haṭṭhāni, tasmā tiha tvaṃ , nāgasamāla, imaṃ dhammapariyāyaṃ ‘‘lomahaṃsana pariyāyo’’tveva naṃ dhārehīti.

    สํสารสุทฺธิอาทิวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Saṃsārasuddhiādivaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. มหาสีหนาทสุตฺตํ • 2. Mahāsīhanādasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact