Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) |
๘. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา
8. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā
อเจลกสฺสปวตฺถุวณฺณนา
Acelakassapavatthuvaṇṇanā
๓๘๑. ยสฺมิํ รเฎฺฐ ตํ นครํ, ตสฺส รฎฺฐสฺสปิ ยสฺมิํ นคเร ตทา ภควา วิหาสิ, ตสฺส นครสฺสปิ เอตเทว นามํ, ตสฺมา อุรุญฺญายนฺติ อุรุญฺญาชนปเท อุรุญฺญาสงฺขาเต นคเรติ อโตฺถฯ รมณีโยติ มโนหรภูมิภาคตาย ฉายูทกสมฺปตฺติยา, ชนวิวิตฺตตาย จ มโนรโมฯ นามนฺติ โคตฺตนามํฯ ตปนํ สนฺตปนํ กายสฺส เขทนํ ตโป, โส เอตสฺส อตฺถีติ ตปสฺสี, ตํ ตปสฺสิํฯ ยสฺมา ตถาภูโต ตปํ นิสฺสิโต, ตโป วา ตํ นิสฺสิโต, ตสฺมา อาห ‘‘ตปนิสฺสิตก’’นฺติฯ ลูขํ วา ผรุสํ สาธุสมฺมตาจารวิรหโต นปสาทนียํ อาชีวติ วตฺตตีติ ลูขาชีวี, ตํ ลูขาชีวิํฯ มุตฺตาจาราทีติ อาทิ-สเทฺทน ปรโต ปาฬิยํ (ที. นิ. ๑.๓๙๗) อาคตา หตฺถาปเลขนาทโย สงฺคหิตาฯ อุปฺปเณฺฑตีติ อุหสนวเสน ปริภาสติฯ อุปวทตีติ อวญฺญาปุพฺพกํ อปวทติ, เตนาห ‘‘หีเฬติ วเมฺภตี’’ติฯ ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํติ เอตฺถ ธโมฺม นาม เหตุ ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๗๒๐) วิยาติ อาห ‘‘การณสฺส อนุการณ’’นฺติฯ การณนฺติ เจตฺถ ตถาปวตฺตสฺส สทฺทสฺส อโตฺถ อธิเปฺปโต ตสฺส ปวตฺติเหตุภาวโตฯ อตฺถปฺปยุโตฺต หิ สทฺทปฺปโยโคฯ อนุการณนฺติ จ โส เอว ปเรหิ ตถา วุจฺจมาโนฯ ปเรหีติ ‘‘เย เต’’ติ วุตฺตสเตฺตหิ ปเรหิฯ วุตฺตการเณนาติ ยถา เตหิ วุตฺตํ, ตถา เจ ตุเมฺหหิ น วุตฺตํ, เอวํ สติ เตหิ วุตฺตการเณน สการโณ หุตฺวา ตุมฺหากํ วาโท วา ตโต ปรํ ตสฺส อนุวาโท โกจิ อปฺปมตฺตโกปิ วิญฺญูหิ ครหิตพฺพํ ฐานํ การณํ นาคเจฺฉยฺย, กิเมวํ นาคจฺฉตีติ โยชนาฯ ‘‘อิทํ วุตฺตํ โหตี’’ติอาทินา ตเมวตฺถํ สเงฺขปโต ทเสฺสติฯ
381. Yasmiṃ raṭṭhe taṃ nagaraṃ, tassa raṭṭhassapi yasmiṃ nagare tadā bhagavā vihāsi, tassa nagarassapi etadeva nāmaṃ, tasmā uruññāyanti uruññājanapade uruññāsaṅkhāte nagareti attho. Ramaṇīyoti manoharabhūmibhāgatāya chāyūdakasampattiyā, janavivittatāya ca manoramo. Nāmanti gottanāmaṃ. Tapanaṃ santapanaṃ kāyassa khedanaṃ tapo, so etassa atthīti tapassī, taṃ tapassiṃ. Yasmā tathābhūto tapaṃ nissito, tapo vā taṃ nissito, tasmā āha ‘‘tapanissitaka’’nti. Lūkhaṃ vā pharusaṃ sādhusammatācāravirahato napasādanīyaṃ ājīvati vattatīti lūkhājīvī, taṃ lūkhājīviṃ. Muttācārādīti ādi-saddena parato pāḷiyaṃ (dī. ni. 1.397) āgatā hatthāpalekhanādayo saṅgahitā. Uppaṇḍetīti uhasanavasena paribhāsati. Upavadatīti avaññāpubbakaṃ apavadati, tenāha ‘‘hīḷeti vambhetī’’ti. Dhammassa ca anudhammaṃti ettha dhammo nāma hetu ‘‘hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’tiādīsu (vibha. 720) viyāti āha ‘‘kāraṇassa anukāraṇa’’nti. Kāraṇanti cettha tathāpavattassa saddassa attho adhippeto tassa pavattihetubhāvato. Atthappayutto hi saddappayogo. Anukāraṇanti ca so eva parehi tathā vuccamāno. Parehīti ‘‘ye te’’ti vuttasattehi parehi. Vuttakāraṇenāti yathā tehi vuttaṃ, tathā ce tumhehi na vuttaṃ, evaṃ sati tehi vuttakāraṇena sakāraṇo hutvā tumhākaṃ vādo vā tato paraṃ tassa anuvādo koci appamattakopi viññūhi garahitabbaṃ ṭhānaṃ kāraṇaṃ nāgaccheyya, kimevaṃ nāgacchatīti yojanā. ‘‘Idaṃ vuttaṃ hotī’’tiādinā tamevatthaṃ saṅkhepato dasseti.
๓๘๒. อิทานิ ยํ วิภชฺชวาทํ สนฺธาย ภควตา ‘‘น เม เต วุตฺตวาทิโน’’ติ สเงฺขปโต วตฺวา ตํ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อิธาหํ กสฺสปา’’ติอาทิ วุตฺตํ, ตํ วิภาเคน ทเสฺสโนฺต ‘‘อิเธกโจฺจ’’ติอาทิมาห ฯ ภควา หิ นิรตฺถกํ อนุปสมสํวตฺตนิกํ กายกิลมถํ ‘‘อตฺตกิลมถานุโยโค ทุโกฺข อนริโย อนตฺถสํหิโต’’ติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๑๐๘๑; มหาว. ๑๓; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) ครหติฯ สาตฺถกํ ปน อุปสมสํวตฺตนิกํ ‘‘อารญฺญิโก โหติ, ปํสุกูลิโก โหตี’’ติอาทินา วเณฺณติฯ อปฺปปุญฺญตายาติ อปุญฺญตายฯ ตีณิ ทุจฺจริตานิ ปูเรตฺวาติ มิจฺฉาทิฎฺฐิภาวโต กมฺมผลํ ปฎิกฺขิปโนฺต ‘‘นตฺถิ ทินฺน’’นฺติอาทินา (ที. นิ. ๑.๑๗๑; ม. นิ. ๑.๔๔๕; ๒.๙๔, ๙๕, ๒๒๕; ๓.๙๑, ๑๑๕; สํ. นิ. ๓.๒๑๐; ธ. ส. ๑๒๒๑; วิภ. ๙๓๘) มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปุรกฺขตฺวา ตถา ตถา ตีณิ ทุจฺจริตานิ ปูเรตฺวาฯ อเนสนวเสนาติ โกหเญฺญ ฐตฺวา อสนฺตคุณสมฺภาวนิจฺฉาย มิจฺฉาชีววเสนฯ อิเม เทฺวติ ‘‘อปฺปปุโญฺญ ปุญฺญวา’’ติ จ วุเตฺต ทุจฺจริตการิโน เทฺว ปุคฺคเล สนฺธายฯ
382. Idāni yaṃ vibhajjavādaṃ sandhāya bhagavatā ‘‘na me te vuttavādino’’ti saṅkhepato vatvā taṃ vibhajitvā dassetuṃ ‘‘idhāhaṃ kassapā’’tiādi vuttaṃ, taṃ vibhāgena dassento ‘‘idhekacco’’tiādimāha . Bhagavā hi niratthakaṃ anupasamasaṃvattanikaṃ kāyakilamathaṃ ‘‘attakilamathānuyogo dukkho anariyo anatthasaṃhito’’tiādinā (saṃ. ni. 3.1081; mahāva. 13; paṭi. ma. 2.30) garahati. Sātthakaṃ pana upasamasaṃvattanikaṃ ‘‘āraññiko hoti, paṃsukūliko hotī’’tiādinā vaṇṇeti. Appapuññatāyāti apuññatāya. Tīṇi duccaritāni pūretvāti micchādiṭṭhibhāvato kammaphalaṃ paṭikkhipanto ‘‘natthi dinna’’ntiādinā (dī. ni. 1.171; ma. ni. 1.445; 2.94, 95, 225; 3.91, 115; saṃ. ni. 3.210; dha. sa. 1221; vibha. 938) micchādiṭṭhiṃ purakkhatvā tathā tathā tīṇi duccaritāni pūretvā. Anesanavasenāti kohaññe ṭhatvā asantaguṇasambhāvanicchāya micchājīvavasena. Ime dveti ‘‘appapuñño puññavā’’ti ca vutte duccaritakārino dve puggale sandhāya.
‘‘อิเม เทฺว สนฺธายา’’ติ เอตฺถ ปน ทุติยนเย ‘‘อปฺปปุโญฺญ, ปุญฺญวา’’ติ จ วุเตฺต สุจริตการิโนติ อาทินา โยเชตพฺพํฯ กมฺมกิริยวาทิโน หิ อิเม เทฺว ปุคฺคลาฯ อิติ ปฐมทุติยนเยสุ วุตฺตนเยเนว ตติยจตุตฺถนเยสุ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
‘‘Imedve sandhāyā’’ti ettha pana dutiyanaye ‘‘appapuñño, puññavā’’ti ca vutte sucaritakārinoti ādinā yojetabbaṃ. Kammakiriyavādino hi ime dve puggalā. Iti paṭhamadutiyanayesu vuttanayeneva tatiyacatutthanayesu yojanā veditabbā.
พาหิรกาจารยุโตฺต ติตฺถิยาจารยุโตฺต, น วิมุตฺตาจาโรฯ อตฺตานํ สุเขตฺวาติ อธมฺมิเกน สุเขน อตฺตานํ สุเขตฺวา, เตนาห ‘‘ทุจฺจริตานิ ปูเรตฺวา’’ติฯ ‘‘น ทานิ มยา สทิโส อตฺถี’’ติอาทินา ติสฺสนฺนํ มญฺญนานํ วเสน ทุจฺจริตปูรณมาหฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิวเสนาติ ‘‘นตฺถิ กาเมสุ โทโส’’ติ เอวํ ปวตฺตมิจฺฉาทิฎฺฐิวเสนฯ ปริพฺพาชิกายาติ ปพฺพชฺชํ อุปคตาย ตาปสทาริกายฯ ทหรายาติ ตรุณายฯ มุทุกายาติ สุขุมาลายฯ โลมสายาติ ตนุตมฺพโลมตาย อปฺปโลมายฯ กาเมสูติ วตฺถุกาเมสุฯ ปาตพฺยตนฺติ ปริภุญฺชิตพฺพํ, ปาตพฺยตนฺติ วา ปริภุญฺชนกตํฯ อาปชฺชโนฺตติ อุปคจฺฉโนฺตฯ ปริโภคโตฺถ หิ อยํ ปา-สโทฺท, กตฺตุสาธโน จ ตพฺพ-สโทฺท, ยถารุจิ ปริภุญฺชโนฺตติ อโตฺถฯ กิเลสกาโมปิ หิ อสฺสาทิยมาโน วตฺถุกามโนฺตคโธเยวฯ
Bāhirakācārayutto titthiyācārayutto, na vimuttācāro. Attānaṃ sukhetvāti adhammikena sukhena attānaṃ sukhetvā, tenāha ‘‘duccaritāni pūretvā’’ti. ‘‘Na dāni mayā sadiso atthī’’tiādinā tissannaṃ maññanānaṃ vasena duccaritapūraṇamāha. Micchādiṭṭhivasenāti ‘‘natthi kāmesu doso’’ti evaṃ pavattamicchādiṭṭhivasena. Paribbājikāyāti pabbajjaṃ upagatāya tāpasadārikāya. Daharāyāti taruṇāya. Mudukāyāti sukhumālāya. Lomasāyāti tanutambalomatāya appalomāya. Kāmesūti vatthukāmesu. Pātabyatanti paribhuñjitabbaṃ, pātabyatanti vā paribhuñjanakataṃ. Āpajjantoti upagacchanto. Paribhogattho hi ayaṃ pā-saddo, kattusādhano ca tabba-saddo, yathāruci paribhuñjantoti attho. Kilesakāmopi hi assādiyamāno vatthukāmantogadhoyeva.
อิทนฺติ ยถาวุตฺตํ อตฺถปฺปเภทํ วิภชฺชนํฯ ติตฺถิยวเสน อาคตํ อฎฺฐกถายํ ตถา วิภตฺตตฺตาฯ สาสเนปีติ อิมสฺมิํ สาสเนปิฯ
Idanti yathāvuttaṃ atthappabhedaṃ vibhajjanaṃ. Titthiyavasena āgataṃ aṭṭhakathāyaṃ tathā vibhattattā. Sāsanepīti imasmiṃ sāsanepi.
อรหตฺตํ วา อตฺตนิ อสนฺตํ ‘‘อตฺถี’’ติ วิปฺปฎิชานิตฺวาฯ สามนฺตชปฺปนํ, ปจฺจยปฎิเสวนํ, อิริยาปถนิสฺสิตนฺติ อิมานิ ตีณิ วา กุหนวตฺถูนิฯ ตาทิโส วาติ ธุตงฺค- (มิ. ป. ๔.๒; วิสุทฺธิ. ๑.๒๒) สมาทานวเสน ลูขาชีวี เอวฯ ทุลฺลภสุโข ภวิสฺสามิ ทุคฺคตีสุ อุปปตฺติยาติ อธิปฺปาโยฯ
Arahattaṃvā attani asantaṃ ‘‘atthī’’ti vippaṭijānitvā. Sāmantajappanaṃ, paccayapaṭisevanaṃ, iriyāpathanissitanti imāni tīṇi vā kuhanavatthūni. Tādisovāti dhutaṅga- (mi. pa. 4.2; visuddhi. 1.22) samādānavasena lūkhājīvī eva. Dullabhasukho bhavissāmi duggatīsu upapattiyāti adhippāyo.
๓๘๓. อสุกฎฺฐานโตติ อสุกภวโตฯ อาคตาติ นิพฺพตฺตนวเสน อิธาคตาฯ อิทานิ คนฺตพฺพฎฺฐานนฺติ อายติํ นิพฺพตฺตนฎฺฐานํฯ ปุน อุปปตฺตินฺติ อายติํ อนนฺตรภวโต ตติยํ อุปปตฺติํ, ปุน อุปปตฺตีติ ปุนปฺปุนํ นิพฺพตฺติฯ เกน การเณนาติ ยถาภูตํ อชานโนฺต หิ อิจฺฉาโทสวเสน ยํ กิญฺจิ ครเหยฺย, อหํ ปน ยถาภูตํ ชานโนฺต สพฺพํ ตํ เกน การเณน ครหิสฺสามิ, ตํ การณํ นตฺถีติ อธิปฺปาโย, เตนาห ‘‘ครหิตพฺพเมวา’’ติอาทิฯ ตมตฺถนฺติ ครหิตพฺพเสฺสว ครหณํ, ปสํสิตพฺพสฺส จ ปสํสนํฯ
383.Asukaṭṭhānatoti asukabhavato. Āgatāti nibbattanavasena idhāgatā. Idāni gantabbaṭṭhānanti āyatiṃ nibbattanaṭṭhānaṃ. Puna upapattinti āyatiṃ anantarabhavato tatiyaṃ upapattiṃ, puna upapattīti punappunaṃ nibbatti. Kena kāraṇenāti yathābhūtaṃ ajānanto hi icchādosavasena yaṃ kiñci garaheyya, ahaṃ pana yathābhūtaṃ jānanto sabbaṃ taṃ kena kāraṇena garahissāmi, taṃ kāraṇaṃ natthīti adhippāyo, tenāha ‘‘garahitabbamevā’’tiādi. Tamatthanti garahitabbasseva garahaṇaṃ, pasaṃsitabbassa ca pasaṃsanaṃ.
น โกจิ ‘‘น สาธู’’ติ วทติ ทิฎฺฐธมฺมิกสฺส, สมฺปรายิกสฺส จ อตฺถสฺส สาธนวเสเนว ปวตฺติยา ภทฺทกตฺตาฯ ปญฺจวิธํ เวรนฺติ ปาณาติปาตาทิปญฺจวิธํ เวรํฯ ตญฺหิ ปญฺจวิธสฺส สีลสฺส ปฎิสตฺตุภาวโต, สตฺตานํ เวรเหตุตาย จ ‘‘เวร’’นฺติ วุจฺจติฯ ตโต เอว ตํ น โกจิ ‘‘สาธู’’ติ วทติ, ตถา ทิฎฺฐธมฺมิกาทิอตฺถานํ อสาธนโต, สตฺตานํ สาธุภาวสฺส จ ทูสนโตฯ น นิรุนฺธิตพฺพนฺติ รูปคฺคหเณ น นิวาเรตพฺพํฯ ทสฺสนียทสฺสนโตฺถ หิ จกฺขุปฎิลาโภติ เตสํ อธิปฺปาโยฯ ยทเคฺคน เตสํ ปญฺจทฺวาเร อสํวโร สาธุ , ตทเคฺคน ตตฺถ สํวโร น สาธูติ อาห ‘‘ปุน ยํ เต เอกจฺจนฺติ ปญฺจทฺวาเร สํวร’’นฺติฯ
Na koci ‘‘na sādhū’’ti vadati diṭṭhadhammikassa, samparāyikassa ca atthassa sādhanavaseneva pavattiyā bhaddakattā. Pañcavidhaṃ veranti pāṇātipātādipañcavidhaṃ veraṃ. Tañhi pañcavidhassa sīlassa paṭisattubhāvato, sattānaṃ verahetutāya ca ‘‘vera’’nti vuccati. Tato eva taṃ na koci ‘‘sādhū’’ti vadati, tathā diṭṭhadhammikādiatthānaṃ asādhanato, sattānaṃ sādhubhāvassa ca dūsanato. Na nirundhitabbanti rūpaggahaṇe na nivāretabbaṃ. Dassanīyadassanattho hi cakkhupaṭilābhoti tesaṃ adhippāyo. Yadaggena tesaṃ pañcadvāre asaṃvaro sādhu , tadaggena tattha saṃvaro na sādhūti āha ‘‘puna yaṃ te ekaccanti pañcadvāre saṃvara’’nti.
อถ วา ยํ เต เอกจฺจํ วทนฺติ ‘‘สาธู’’ติ เต ‘‘เอเก สมณพฺราหฺมณา’’ติ วุตฺตา ติตฺถิยา ยํ อตฺตกิลมถานุโยคาทิํ ‘‘สาธู’’ติ วทนฺติ, มยํ ตํ น ‘‘สาธู’’ติ วทามฯ ยํ เต เอกจฺจํ วทนฺติ ‘‘น สาธู’’ติ ยํ ปน เต อนวชฺชปจฺจยปริโภคํ, สุนิวตฺถสุปารุปนาทิสมฺมาปฎิปตฺติญฺจ ‘‘น สาธู’’ติ วทนฺติ, ตํ มยํ ‘‘สาธู’’ติ วทามาติ เอวํ เปตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Atha vā yaṃ te ekaccaṃ vadanti ‘‘sādhū’’ti te ‘‘eke samaṇabrāhmaṇā’’ti vuttā titthiyā yaṃ attakilamathānuyogādiṃ ‘‘sādhū’’ti vadanti, mayaṃ taṃ na ‘‘sādhū’’ti vadāma. Yaṃ te ekaccaṃ vadanti ‘‘na sādhū’’ti yaṃ pana te anavajjapaccayaparibhogaṃ, sunivatthasupārupanādisammāpaṭipattiñca ‘‘na sādhū’’ti vadanti, taṃ mayaṃ ‘‘sādhū’’ti vadāmāti evaṃ pettha attho veditabbo.
เอวํ ยํ ปรวาทมูลกํ จตุกฺกํ ทสฺสิตํ, ตเทว ปุน สกวาทมูลกํ กตฺวา ทสฺสิตนฺติ ปกาเสโนฺต ‘‘เอว’’นฺติอาทิมาหฯ ยญฺหิ กิญฺจิ เกนจิ สมานํ, เตนปิ ตํ สมานเมว, ตถา อสมานํ ปีติฯ สมานาสมานตนฺติ สมานาสมานตามตฺตํฯ อนวเสสโต หิ ปหาตพฺพานํ ธมฺมานํ ปหานํ สกวาเท ทิสฺสติ, น ปรวาเทฯ ตถา ปริปุณฺณเมว จ อุปสมฺปาเทตพฺพธมฺมานํ อุปสมฺปาทนํ สกวาเท, น ปรวาเทฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตฺยาห’’นฺติอาทิฯ
Evaṃ yaṃ paravādamūlakaṃ catukkaṃ dassitaṃ, tadeva puna sakavādamūlakaṃ katvā dassitanti pakāsento ‘‘eva’’ntiādimāha. Yañhi kiñci kenaci samānaṃ, tenapi taṃ samānameva, tathā asamānaṃ pīti. Samānāsamānatanti samānāsamānatāmattaṃ. Anavasesato hi pahātabbānaṃ dhammānaṃ pahānaṃ sakavāde dissati, na paravāde. Tathā paripuṇṇameva ca upasampādetabbadhammānaṃ upasampādanaṃ sakavāde, na paravāde. Tena vuttaṃ ‘‘tyāha’’ntiādi.
สมนุยุญฺชาปนกถาวณฺณนา
Samanuyuñjāpanakathāvaṇṇanā
๓๘๕. ลทฺธิํ ปุจฺฉโนฺตติ ‘‘กิํ สมโณ โคตโม สํกิเลสธเมฺม อนวเสสํ ปหาย วตฺตติ, อุทาหุ ปเร คณาจริยาฯ เอตฺถ ตาว อตฺตโน ลทฺธิํ วทา’’ติ ลทฺธิํ ปุจฺฉโนฺตฯ การณํ ปุจฺฉโนฺตติ ‘‘สมโณ โคตโม สํกิเลสธเมฺม อนวเสสํ ปหาย วตฺตตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เกน การเณน เอวมตฺถํ คาหยา’’ติ การณํ ปุจฺฉโนฺตฯ อุภยํ ปุจฺฉโนฺตติ ‘‘อิทํ นาเมตฺถ การณ’’นฺติ การณํ วตฺวา ปฎิญฺญาเต อเตฺถ สาธิยมาเน อนฺวยโต, พฺยติเรกโต จ การณํ สมเตฺถตุํ สทิสาสทิสเภทํ อุปโมทาหรณทฺวยํ ปุจฺฉโนฺต, อุภยํ ปุจฺฉโนฺต การณสฺส จ ติลกฺขณสมฺปตฺติยา ยถาปฎิญฺญาเต อเตฺถ สาธิเต สมฺมเทว อนุปจฺฉา ภาสโนฺต นิคเมโนฺต สมนุภาสติ นามฯ อุปสํหริตฺวาติ อุปเนตฺวาฯ ‘‘กิํ เต’’ติอาทิ อุปสํหรณาการทสฺสนํฯ ทุติยปเทติ ‘‘สเงฺฆน วา สงฺฆ’’นฺติ อิมสฺมิํ ปเทฯ
385.Laddhiṃpucchantoti ‘‘kiṃ samaṇo gotamo saṃkilesadhamme anavasesaṃ pahāya vattati, udāhu pare gaṇācariyā. Ettha tāva attano laddhiṃ vadā’’ti laddhiṃ pucchanto. Kāraṇaṃ pucchantoti ‘‘samaṇo gotamo saṃkilesadhamme anavasesaṃ pahāya vattatī’’ti vutte ‘‘kena kāraṇena evamatthaṃ gāhayā’’ti kāraṇaṃ pucchanto. Ubhayaṃ pucchantoti ‘‘idaṃ nāmettha kāraṇa’’nti kāraṇaṃ vatvā paṭiññāte atthe sādhiyamāne anvayato, byatirekato ca kāraṇaṃ samatthetuṃ sadisāsadisabhedaṃ upamodāharaṇadvayaṃ pucchanto, ubhayaṃ pucchanto kāraṇassa ca tilakkhaṇasampattiyā yathāpaṭiññāte atthe sādhite sammadeva anupacchā bhāsanto nigamento samanubhāsati nāma. Upasaṃharitvāti upanetvā. ‘‘Kiṃ te’’tiādi upasaṃharaṇākāradassanaṃ. Dutiyapadeti ‘‘saṅghena vā saṅgha’’nti imasmiṃ pade.
ตมตฺถนฺติ ตํ ปหาตพฺพธมฺมานํ อนวเสสํ ปหาย วตฺตนสงฺขาตญฺจ สมาทาตพฺพธมฺมานํ อนวเสสํ สมาทาย วตฺตนสงฺขาตญฺจ อตฺถํฯ โยเชตฺวาติ อกุสลาทิปเทหิ โยเชตฺวาฯ อโกสลฺลสมฺภูตเฎฺฐน อกุสลา เจว ตโตเยว อกุสลาติ จ สงฺขํ คตาติ สงฺขาตา ตตฺถ ปุริมปเทน เอกนฺตากุสเล วทติ, ทุติยปเทน ตํสหคเต, ตํปกฺขิเย จ, เตนาห ‘‘โกฎฺฐาสํ วา กตฺวา ฐปิตา’’ติ, อกุสลปกฺขิยภาเวน ววตฺถาปิตาติ อโตฺถฯ อวชฺชโฎฺฐ โทสโฎฺฐ คารยฺหปริยายตฺตาติ อาห ‘‘สาวชฺชาติ สโทสา’’ติฯ อริยา นาม นิโทฺทสา, อิเม ปน กตฺถจิปิ นิโทฺทสา น โหนฺตีติ นิโทฺทสเฎฺฐน อริยา ภวิตุํ นาลํ อสมตฺถาฯ
Tamatthanti taṃ pahātabbadhammānaṃ anavasesaṃ pahāya vattanasaṅkhātañca samādātabbadhammānaṃ anavasesaṃ samādāya vattanasaṅkhātañca atthaṃ. Yojetvāti akusalādipadehi yojetvā. Akosallasambhūtaṭṭhena akusalā ceva tatoyeva akusalāti ca saṅkhaṃ gatāti saṅkhātā tattha purimapadena ekantākusale vadati, dutiyapadena taṃsahagate, taṃpakkhiye ca, tenāha ‘‘koṭṭhāsaṃ vā katvā ṭhapitā’’ti, akusalapakkhiyabhāvena vavatthāpitāti attho. Avajjaṭṭho dosaṭṭho gārayhapariyāyattāti āha ‘‘sāvajjāti sadosā’’ti. Ariyā nāma niddosā, ime pana katthacipi niddosā na hontīti niddosaṭṭhena ariyā bhavituṃ nālaṃ asamatthā.
๓๘๖-๓๙๒. ยนฺติ การเณ เอตํ ปจฺจตฺตวจนนฺติ อาห ‘‘เยน วิญฺญู’’ติฯ ยํ วา ปนาติ ‘‘ยํ ปน กิญฺจี’’ติ อสมฺภาวนวจนเมตนฺติ อาห ‘‘ยํ วา ตํ วา อปฺปมตฺตก’’นฺติฯ คณาจริยา ปูรณาทโยฯ สตฺถุปฺปภวตฺตา สงฺฆสฺส สงฺฆสมฺปตฺติยาปิ สตฺถุสมฺปตฺติ วิภาวียตีติ อาห ‘‘สงฺฆปสํสายปิ สตฺถุเยว ปสํสาสิทฺธิโต’’ติฯ สา ปน ปสํสา ปสาทเหตุกาติ ปสาทมุเขน ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปสีทมานาปิ หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ปิ-สเทฺทน ยถา อนฺวยโต ปสํสา สมุจฺจียติ, เอวํ สตฺถุวิปฺปฎิปตฺติยา สาวเกสุ, สาวกวิปฺปฎิปตฺติยา จ สตฺถริ อปฺปสาโท สมุจฺจียตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ สรีรสมฺปตฺตินฺติ รูปสมฺปตฺติํ, รูปกายปาริปูรินฺติ อโตฺถฯ ภวนฺติ วตฺตาโร รูปปฺปมาณา , โฆสธมฺมปฺปมาณา จฯ ปุน ภวนฺติ วตฺตาโรติ ธมฺมปฺปมาณวเสเนว โยเชตพฺพํฯ ยา สงฺฆสฺส ปสํสาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ
386-392.Yanti kāraṇe etaṃ paccattavacananti āha ‘‘yena viññū’’ti. Yaṃ vā panāti ‘‘yaṃ pana kiñcī’’ti asambhāvanavacanametanti āha ‘‘yaṃ vā taṃ vā appamattaka’’nti. Gaṇācariyā pūraṇādayo. Satthuppabhavattā saṅghassa saṅghasampattiyāpi satthusampatti vibhāvīyatīti āha ‘‘saṅghapasaṃsāyapi satthuyeva pasaṃsāsiddhito’’ti. Sā pana pasaṃsā pasādahetukāti pasādamukhena taṃ dassetuṃ ‘‘pasīdamānāpi hī’’tiādi vuttaṃ. Tattha pi-saddena yathā anvayato pasaṃsā samuccīyati, evaṃ satthuvippaṭipattiyā sāvakesu, sāvakavippaṭipattiyā ca satthari appasādo samuccīyatīti daṭṭhabbaṃ. Sarīrasampattinti rūpasampattiṃ, rūpakāyapāripūrinti attho. Bhavanti vattāro rūpappamāṇā , ghosadhammappamāṇā ca. Puna bhavanti vattāroti dhammappamāṇavaseneva yojetabbaṃ. Yā saṅghassa pasaṃsāti ānetvā sambandho.
ตตฺถ ยา พุทฺธานํ, พุทฺธสาวกานํเยว จ ปาสํสตา, อเญฺญสญฺจ ตทภาโว โชติโต, ตํ วิรติปฺปหานสํวรุเทฺทสวเสน นีหริตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘อยมธิปฺปาโย’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ เสตุฆาตวิรติ นาม อริยมคฺควิรติฯ วิปสฺสนามตฺตวเสนาติ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ วา ‘‘ทุกฺข’’นฺติ วา วิวิธํ ทสฺสนมตฺตวเสน, น ปน นามรูปววตฺถานปจฺจยปริคฺคณฺหนปุพฺพกํ ลกฺขณตฺตยํ อาโรเปตฺวา สงฺขารานํ สมฺมสนวเสนฯ อิตรานีติ สมุเจฺฉทปฎิปฺปสฺสทฺธินิสฺสรณปฺปหานานิฯ ‘‘เสส’’นฺติ ปญฺจสีลโต อโญฺญ สโพฺพ สีลสํวโร, ‘‘ขโม โหตี’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๒๔; ๓.๑๕๙; อ. นิ. ๔.๑๑๔) วุโตฺต สุปริสุโทฺธ ขนฺติสํวโร, ‘‘ปญฺญาเยเต ปิธิยฺยเร’’ติ (สุ. นิ. ๑๐๔๑; จูฬนิ. ๖๐) เอวํ วุโตฺต กิเลสานํ สมุเจฺฉทโก มคฺคญาณสงฺขาโต ญาณสํวโร, มนจฺฉฎฺฐานํ อินฺทฺริยานํ ปิทหนวเสน ปวโตฺต ปริสุโทฺธ อินฺทฺริยสํวโร, ‘‘อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทายา’’ติอาทินา (ที. นิ. ๒.๔๐๒; ม. นิ. ๑.๑๓๕; สํ. นิ. ๕.๘; วิภ. ๒๐๕) วุโตฺต สมฺมปฺปธานสงฺขาโต วีริยสํวโรติ อิมํ สํวรปญฺจกํ สนฺธายาหฯ ปญฺจ โข ปนิเม ปาติโมกฺขุเทฺทสาติอาทิ สาสเน สีลสฺส พหุภาวํ ทเสฺสตฺวา ตเทกเทเส เอว ปเรสํ อวฎฺฐานทสฺสนตฺถํ ยถาวุตฺตสีลสํวรเสฺสว ปุน คหณํฯ
Tattha yā buddhānaṃ, buddhasāvakānaṃyeva ca pāsaṃsatā, aññesañca tadabhāvo jotito, taṃ viratippahānasaṃvaruddesavasena nīharitvā dassetuṃ ‘‘ayamadhippāyo’’tiādi vuttaṃ. Tattha setughātavirati nāma ariyamaggavirati. Vipassanāmattavasenāti ‘‘anicca’’nti vā ‘‘dukkha’’nti vā vividhaṃ dassanamattavasena, na pana nāmarūpavavatthānapaccayapariggaṇhanapubbakaṃ lakkhaṇattayaṃ āropetvā saṅkhārānaṃ sammasanavasena. Itarānīti samucchedapaṭippassaddhinissaraṇappahānāni. ‘‘Sesa’’nti pañcasīlato añño sabbo sīlasaṃvaro, ‘‘khamo hotī’’tiādinā (ma. ni. 1.24; 3.159; a. ni. 4.114) vutto suparisuddho khantisaṃvaro, ‘‘paññāyete pidhiyyare’’ti (su. ni. 1041; cūḷani. 60) evaṃ vutto kilesānaṃ samucchedako maggañāṇasaṅkhāto ñāṇasaṃvaro, manacchaṭṭhānaṃ indriyānaṃ pidahanavasena pavatto parisuddho indriyasaṃvaro, ‘‘anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāyā’’tiādinā (dī. ni. 2.402; ma. ni. 1.135; saṃ. ni. 5.8; vibha. 205) vutto sammappadhānasaṅkhāto vīriyasaṃvaroti imaṃ saṃvarapañcakaṃ sandhāyāha. Pañca kho panime pātimokkhuddesātiādi sāsane sīlassa bahubhāvaṃ dassetvā tadekadese eva paresaṃ avaṭṭhānadassanatthaṃ yathāvuttasīlasaṃvarasseva puna gahaṇaṃ.
อริยอฎฺฐงฺคิกมคฺควณฺณนา
Ariyaaṭṭhaṅgikamaggavaṇṇanā
๓๙๓. สีหนาทนฺติ เสฎฺฐนาทํ, อภีตนาทํ เกนจิ อปฺปฎิวตฺติยนาทนฺติ อโตฺถฯ ‘‘อยํ ยถาวุโตฺต มม วาโท อวิปรีโต, ตสฺส อวิปรีตภาโว อิมํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา อปรปฺปจฺจยโต ชานิตโพฺพ’’ติ เอวํ อวิปรีตภาวาวโพธนตฺถํฯ ‘‘อตฺถิ กสฺสปา’’ติอาทีสุ ยํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน สมโณ โคตโม วทโนฺต ยุตฺตปตฺตกาเล, ตถภาวโต ภูตํ, เอกํสโต หิตาวิหภาเวน อตฺถํ, ธมฺมโต อนเปตตฺตา ธมฺมํ, วินยโยคโต ปเรสํ วินยนโต จ วินยํ วทตีติ สามํเยว อตฺตปจฺจกฺขโตว ชานิสฺสติ, โส มยา สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวทิโต สกลวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณภูโต อตฺถิ กสฺสป มโคฺค, ตสฺส จ อธิคมูปายภูตา ปุพฺพภาคปฎิปทาติ อยเมตฺถ โยชนาฯ เตน ‘‘สมโณ โคตโม อิเม ธเมฺม’’ติอาทินยปฺปวโตฺต วาโท เกนจิ อสํกมฺปิโย ยถาภูตสีหนาโทติ ทเสฺสติฯ
393.Sīhanādanti seṭṭhanādaṃ, abhītanādaṃ kenaci appaṭivattiyanādanti attho. ‘‘Ayaṃ yathāvutto mama vādo aviparīto, tassa aviparītabhāvo imaṃ maggaṃ paṭipajjitvā aparappaccayato jānitabbo’’ti evaṃ aviparītabhāvāvabodhanatthaṃ. ‘‘Atthi kassapā’’tiādīsu yaṃ maggaṃ paṭipanno samaṇo gotamo vadanto yuttapattakāle, tathabhāvato bhūtaṃ, ekaṃsato hitāvihabhāvena atthaṃ, dhammato anapetattā dhammaṃ, vinayayogato paresaṃ vinayanato ca vinayaṃ vadatīti sāmaṃyeva attapaccakkhatova jānissati, so mayā sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedito sakalavaṭṭadukkhanissaraṇabhūto atthi kassapa maggo, tassa ca adhigamūpāyabhūtā pubbabhāgapaṭipadāti ayamettha yojanā. Tena ‘‘samaṇo gotamo ime dhamme’’tiādinayappavatto vādo kenaci asaṃkampiyo yathābhūtasīhanādoti dasseti.
‘‘เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสตี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑๓๔) วิย มคฺคญฺจ ปฎิปทญฺจ เอกโต กตฺวา ทเสฺสโนฺตฯ ‘‘อยเมวา’’ติ วจนํ มคฺคสฺส ปุถุภาวปฎิเกฺขปนตฺถํ, สพฺพอริยสาธารณภาวทสฺสนตฺถํ, สาสเน ปากฎภาวทสฺสนตฺถญฺจฯ เตนาห ‘‘เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มโคฺค’’ติ, (ที. นิ. ๒.๓๗๓; ม. นิ. ๑.๑๐๖; สํ. นิ. ๕.๓๖๗, ๓๘๔, ๔๐๙)‘‘เอเสว มโคฺค นตฺถโญฺญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา’’ติ (ธ. ป. ๒๗๔),
‘‘Evametaṃ yathābhūtaṃ sammappaññāya passatī’’tiādīsu (a. ni. 3.134) viya maggañca paṭipadañca ekato katvā dassento. ‘‘Ayamevā’’ti vacanaṃ maggassa puthubhāvapaṭikkhepanatthaṃ, sabbaariyasādhāraṇabhāvadassanatthaṃ, sāsane pākaṭabhāvadassanatthañca. Tenāha ‘‘ekāyano ayaṃ bhikkhave maggo’’ti, (dī. ni. 2.373; ma. ni. 1.106; saṃ. ni. 5.367, 384, 409)‘‘eseva maggo natthañño dassanassa visuddhiyā’’ti (dha. pa. 274),
‘‘เอกายนํ ชาติขยนฺตทสฺสี,
‘‘Ekāyanaṃ jātikhayantadassī,
มคฺคํ ปชานาติ หิตานุกมฺปี;
Maggaṃ pajānāti hitānukampī;
เอเตน มเคฺคน ตริํสุ ปุเพฺพ,
Etena maggena tariṃsu pubbe,
ตริสฺสนฺติ เย จ ตรนฺติ โอฆ’’นฺติฯ (สํ. นิ. ๕.๓๘๔, ๔๐๙; มหานิ. ๑๙๑; จูฬนิ. ๑๐๗, ๑๒๑; เนตฺติ. ๑๗๐);
Tarissanti ye ca taranti ogha’’nti. (saṃ. ni. 5.384, 409; mahāni. 191; cūḷani. 107, 121; netti. 170);
สเพฺพสุ สุตฺตปเทเสสุ อภิธมฺมปเทเสสุ จ เอโกวายํ มโคฺค ปากโฎ ปญฺญาโต อาคโต จาติฯ
Sabbesu suttapadesesu abhidhammapadesesu ca ekovāyaṃ maggo pākaṭo paññāto āgato cāti.
ตโปปกฺกมกถาวณฺณนา
Tapopakkamakathāvaṇṇanā
๓๙๔. ตโปเยว อุปกฺกมิตพฺพโต อารภิตพฺพโต ตโปปกฺกโมติ อาห ‘‘ตปารมฺภา’’ติฯ อารมฺภนเญฺจตฺถ กรณเมวาติ อาห ‘‘ตโปกมฺมานีติ อโตฺถ’’ติฯ สมณกมฺมสงฺขาตาติ สมเณหิ กตฺตพฺพกมฺมสญฺญิตาฯ นิโจฺจโลติ นิสฺสฎฺฐเจโล สเพฺพน สพฺพํ ปฎิกฺขิตฺตเจโลฯ นคฺคิยวตสมาทาเนน นโคฺคฯ ‘‘ฐิตโกว อุจฺจารํ กโรตี’’ติอาทิ นิทสฺสนมตฺตํ, วมิตฺวา มุขวิกฺขาลนาทิอาจารสฺสปิ เตน วิสฺสฎฺฐตฺตาฯ ชิวฺหาย หตฺถํ อปลิขติ อปลิหติ อุทเกน อโธวนโตฯ ทุติยวิกเปฺปปิ เอเสว นโยฯ ‘‘เอหิ ภทฺทเนฺต’’ติ วุเตฺต อุปคมนสงฺขาโต วิธิ เอหิภทฺทโนฺต, ตํ จรตีติ เอหิภทฺทนฺติโก, ตปฺปฎิเกฺขเปน น เอหิภทฺทนฺติโกฯ น กโรติ สมเณน นาม ปรสฺส วจนกเรน น ภวิตพฺพนฺติ อธิปฺปาเยนฯ ปุเรตรนฺติ ตํ ฐานํ อตฺตโน อุปคมนโต ปุเรตรํฯ ตํ กิร โส ‘‘ภิกฺขุนา นาม ยาทิจฺฉกี เอว ภิกฺขา คเหตพฺพา’’ติ อธิปฺปาเยน น คณฺหาติฯ อุทฺทิสฺสกตํ ‘‘มม นิมิตฺตภาเวน พหู ขุทฺทกา ปาณา สงฺฆาตํ อาปาทิตา’’ติ น คณฺหาติฯ นิมนฺตนํ น สาทิยติ ‘‘เอวํ เตสํ วจนํ กตํ ภวิสฺสตี’’ติฯ กุมฺภีอาทีสุปิ โส สตฺตสญฺญีติ อาห ‘‘กุมฺภีกโฬปิโย’’ติอาทิฯ
394. Tapoyeva upakkamitabbato ārabhitabbato tapopakkamoti āha ‘‘tapārambhā’’ti. Ārambhanañcettha karaṇamevāti āha ‘‘tapokammānītiattho’’ti. Samaṇakammasaṅkhātāti samaṇehi kattabbakammasaññitā. Niccoloti nissaṭṭhacelo sabbena sabbaṃ paṭikkhittacelo. Naggiyavatasamādānena naggo. ‘‘Ṭhitakova uccāraṃ karotī’’tiādi nidassanamattaṃ, vamitvā mukhavikkhālanādiācārassapi tena vissaṭṭhattā. Jivhāya hatthaṃ apalikhati apalihati udakena adhovanato. Dutiyavikappepi eseva nayo. ‘‘Ehi bhaddante’’ti vutte upagamanasaṅkhāto vidhi ehibhaddanto, taṃ caratīti ehibhaddantiko, tappaṭikkhepena na ehibhaddantiko. Na karoti samaṇena nāma parassa vacanakarena na bhavitabbanti adhippāyena. Puretaranti taṃ ṭhānaṃ attano upagamanato puretaraṃ. Taṃ kira so ‘‘bhikkhunā nāma yādicchakī eva bhikkhā gahetabbā’’ti adhippāyena na gaṇhāti. Uddissakataṃ ‘‘mama nimittabhāvena bahū khuddakā pāṇā saṅghātaṃ āpāditā’’ti na gaṇhāti. Nimantanaṃ na sādiyati ‘‘evaṃ tesaṃ vacanaṃ kataṃ bhavissatī’’ti. Kumbhīādīsupi so sattasaññīti āha ‘‘kumbhīkaḷopiyo’’tiādi.
กพฬนฺตราโยติ กพฬสฺส อนฺตราโย โหตีติฯ คามสภาคาทิวเสน สงฺคมฺม กิเตฺตนฺติ เอติสฺสาติ สงฺกิตฺติ, ตถา สํหฎตณฺฑุลาทิสญฺจโยฯ มนุสฺสาติ เวยฺยาวจฺจกรมนุสฺสาฯ
Kabaḷantarāyoti kabaḷassa antarāyo hotīti. Gāmasabhāgādivasena saṅgamma kittenti etissāti saṅkitti, tathā saṃhaṭataṇḍulādisañcayo. Manussāti veyyāvaccakaramanussā.
สุราปานเมวาติ มชฺชลกฺขณปฺปตฺตาย สุราย ปานเมว สุราคฺคหเณน เจตฺถ เมรยมฺปิ สงฺคหิตํฯ เอกาคารเมว อุญฺฉตีติ เอกาคาริโกฯ เอกาโลเปเนว วตฺตตีติ เอกาโลปิโกฯ ทียติ เอตายาติ ทตฺติ, ทฺวตฺติอาโลปมตฺตคาหิ ขุทฺทกํ ภิกฺขาทานภาชนํ, เตนาห ‘‘ขุทฺทกปาตี’’ติฯ อภุญฺชนวเสน เอโก อโห เอตสฺส อตฺถีติ เอกาหิโก, อาหาโรฯ ตํ เอกาหิกํ, โส ปน อตฺถโต เอกทิวสลงฺฆโกติ อาห ‘‘เอกทิวสนฺตริก’’นฺติฯ ‘‘ทฺวีหิก’’นฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอกาหํ อภุญฺชิตฺวา เอกาหํ ภุญฺชนํ เอกาหวาโร, ตํ เอกาหิกเมว อตฺถโตฯ ทฺวีหํ อภุญฺชิตฺวา ทฺวีหํ ภุญฺชนํ ทฺวีหวาโรฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อุกฺกโฎฺฐ ปน ปริยายภตฺตโภชนิโก ทฺวีหํ อภุญฺชิตฺวา เอกาหเมว ภุญฺชติฯ เสสทฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
Surāpānamevāti majjalakkhaṇappattāya surāya pānameva surāggahaṇena cettha merayampi saṅgahitaṃ. Ekāgārameva uñchatīti ekāgāriko. Ekālopeneva vattatīti ekālopiko. Dīyati etāyāti datti, dvattiālopamattagāhi khuddakaṃ bhikkhādānabhājanaṃ, tenāha ‘‘khuddakapātī’’ti. Abhuñjanavasena eko aho etassa atthīti ekāhiko, āhāro. Taṃ ekāhikaṃ, so pana atthato ekadivasalaṅghakoti āha ‘‘ekadivasantarika’’nti. ‘‘Dvīhika’’ntiādīsupi eseva nayo. Ekāhaṃ abhuñjitvā ekāhaṃ bhuñjanaṃ ekāhavāro, taṃ ekāhikameva atthato. Dvīhaṃ abhuñjitvā dvīhaṃ bhuñjanaṃ dvīhavāro. Sesadvayepi eseva nayo. Ukkaṭṭho pana pariyāyabhattabhojaniko dvīhaṃ abhuñjitvā ekāhameva bhuñjati. Sesadvayepi eseva nayo.
๓๙๕. กุณฺฑกนฺติ ตนุตรํ ตณฺฑุลสกลํฯ
395.Kuṇḍakanti tanutaraṃ taṇḍulasakalaṃ.
๓๙๖. สเณหิ สณวาเกหิ นิพฺพตฺตวตฺถานิ สาณานิฯ มิสฺสสาณานิ มสาณานิ, น ภงฺคานิฯ เอรกติณาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน อกฺกมกจิกทลีวากาทีนํ สงฺคโหฯ เอรกาทีหิ กตานิ หิ ฉวานิ ลามกานิ ทุสฺสานีติ วตฺตพฺพตํ ลภนฺติฯ
396. Saṇehi saṇavākehi nibbattavatthāni sāṇāni. Missasāṇāni masāṇāni, na bhaṅgāni. Erakatiṇādīnīti ādi-saddena akkamakacikadalīvākādīnaṃ saṅgaho. Erakādīhi katāni hi chavāni lāmakāni dussānīti vattabbataṃ labhanti.
มิจฺฉาวายามวเสเนว อุกฺกุฎิกวตานุโยโคติ อาห ‘‘อุกฺกุฎิกวีริยํ อนุยุโตฺต’’ติฯ ถณฺฑิลนฺติ วา สมา ปกติภูมิ วุจฺจติ ‘‘ปตฺถณฺฑิเล ปาตุรโหสี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๔.๑๐) วิย, ตสฺมา ถณฺฑิลเสยฺยนฺติ อนนฺตรหิตาย ปกติภูมิยํ เสยฺยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ ลทฺธํ อาสนนฺติ นิสีทิตุํ ยถาลทฺธํ อาสนํฯ อโกเปตฺวาติ อญฺญตฺถ อนุปคนฺตฺวา, เตนาห ‘‘ตเตฺถว นิสีทนสีโล’’ติฯ โส หิ ตํ อฉเฑฺฑโนฺต อปริจฺจชโนฺต อโกเปโนฺต นาม โหติฯ วิกฎนฺติ คูถํ วุจฺจติ อาสยวเสน วิรูปํ ชาตนฺติ กตฺวาฯ
Micchāvāyāmavaseneva ukkuṭikavatānuyogoti āha ‘‘ukkuṭikavīriyaṃ anuyutto’’ti. Thaṇḍilanti vā samā pakatibhūmi vuccati ‘‘patthaṇḍile pāturahosī’’tiādīsu (ma. ni. 4.10) viya, tasmā thaṇḍilaseyyanti anantarahitāya pakatibhūmiyaṃ seyyanti vuttaṃ hoti. Laddhaṃ āsananti nisīdituṃ yathāladdhaṃ āsanaṃ. Akopetvāti aññattha anupagantvā, tenāha ‘‘tattheva nisīdanasīlo’’ti. So hi taṃ achaḍḍento apariccajanto akopento nāma hoti. Vikaṭanti gūthaṃ vuccati āsayavasena virūpaṃ jātanti katvā.
เอตฺถ จ ‘‘อเจลโก โหตี’’ติอาทีนิ วตปทานิ ยาว ‘‘น ถุโสทกํ ปิวตี’’ติ เอตานิ เอกวารานิฯ ‘‘เอกาคาริโก วา’’ติอาทีนิ นานาวารานิ, นานากาลิกานิ วาฯ ตถา ‘‘สากภโกฺข วา’’ติอาทีนิ, ‘‘สาณานิปิ ธาเรตี’’ติอาทีนิ จฯ ตถา เหตฺถ วา-สทฺทคฺคหณํ, ปิ-สทฺทคฺคหณญฺจ กตํฯ ปิ-สโทฺทปิ วิกปฺปโตฺถ เอว ทฎฺฐโพฺพฯ ปุริเมสุ ปน น กตํฯ เอวญฺจ กตฺวา ‘‘อเจลโก โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘สาณานิปิ ธาเรตี’’ติอาทิ วจนสฺส, ‘‘รโชชลฺลธโร โหตี’’ติ วตฺวา ‘‘อุทโกโรหนานุโยคํ อนุยุโตฺต’’ติ วจนสฺส จ อวิโรโธ สิโทฺธ โหติฯ อถ วา กิเมตฺถ อวิโรธจินฺตายฯ อุมฺมตฺตกปจฺฉิสทิโส หิ ติตฺถิยวาโทฯ อถ วา ‘‘อเจลโก โหตี’’ติ อารภิตฺวา ตปฺปสเงฺคน สพฺพมฺปิ อตฺตกิลมถานุโยคํ ทเสฺสเนฺตน ‘‘สาณานิปิ ธาเรตี’’ติอาทิ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Ettha ca ‘‘acelako hotī’’tiādīni vatapadāni yāva ‘‘na thusodakaṃ pivatī’’ti etāni ekavārāni. ‘‘Ekāgāriko vā’’tiādīni nānāvārāni, nānākālikāni vā. Tathā ‘‘sākabhakkho vā’’tiādīni, ‘‘sāṇānipi dhāretī’’tiādīni ca. Tathā hettha vā-saddaggahaṇaṃ, pi-saddaggahaṇañca kataṃ. Pi-saddopi vikappattho eva daṭṭhabbo. Purimesu pana na kataṃ. Evañca katvā ‘‘acelako hotī’’ti vatvā ‘‘sāṇānipi dhāretī’’tiādi vacanassa, ‘‘rajojalladharo hotī’’ti vatvā ‘‘udakorohanānuyogaṃ anuyutto’’ti vacanassa ca avirodho siddho hoti. Atha vā kimettha avirodhacintāya. Ummattakapacchisadiso hi titthiyavādo. Atha vā ‘‘acelako hotī’’ti ārabhitvā tappasaṅgena sabbampi attakilamathānuyogaṃ dassentena ‘‘sāṇānipi dhāretī’’tiādi vuttanti daṭṭhabbaṃ.
ตโปปกฺกมนิรตฺถกถาวณฺณนา
Tapopakkamaniratthakathāvaṇṇanā
๓๙๗. สีลสมฺปทาทีหิ วินาติ สีลสมฺปทา, สมาธิสมฺปทา, ปญฺญาสมฺปทาติ อิมาหิ โลกุตฺตราหิ สมฺปทาหิ วินา น กทาจิ สามญฺญํ วา พฺรหฺมญฺญํ วา สมฺภวติ, ยสฺมา จ ตเทวํ, ตสฺมา เตสํ ตโปปกฺกมานํ นิรตฺถกตํ ทเสฺสโนฺตติ โยชนาฯ ‘‘โทสเวรวิรหิต’’นฺติ อิทํ โทสสฺส เมตฺตาย อุชุปฎิปกฺขตาย วุตฺตํฯ โทส-คฺคหเณน วา สเพฺพปิ ฌานปฎิปกฺขา สํกิเลสธมฺมา คหิตา, เวร-คฺคหเณน ปจฺจตฺถิกภูตา สตฺตาฯ ยทเคฺคน หิ โทสรหิตํ, ตทเคฺคน เวรรหิตนฺติฯ
397.Sīlasampadādīhi vināti sīlasampadā, samādhisampadā, paññāsampadāti imāhi lokuttarāhi sampadāhi vinā na kadāci sāmaññaṃ vā brahmaññaṃ vā sambhavati, yasmā ca tadevaṃ, tasmā tesaṃ tapopakkamānaṃ niratthakataṃ dassentoti yojanā. ‘‘Dosaveravirahita’’nti idaṃ dosassa mettāya ujupaṭipakkhatāya vuttaṃ. Dosa-ggahaṇena vā sabbepi jhānapaṭipakkhā saṃkilesadhammā gahitā, vera-ggahaṇena paccatthikabhūtā sattā. Yadaggena hi dosarahitaṃ, tadaggena verarahitanti.
๓๙๘. ปากฎภาเวน กายติ คเมตีติ ปกติ, โลกสิทฺธวาโท, เตนาห ‘‘ปกติ โข เอสาติ ปกติกถา เอสา’’ติฯ มตฺตายาติ มตฺตา-สโทฺท ‘‘มตฺตา สุขปริจฺจาคา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๙๐) วิย อปฺปตฺถํ อโนฺตนีตํ กตฺวา ปมาณวาจโกติ อาห ‘‘อิมินา ปมาเณน เอวํ ปริตฺตเกนา’’ติฯ เตน ปน ปมาเณน ปหาตโพฺพ ปกรณปฺปโตฺต ปฎิปตฺติกฺกโมติ อาห ‘‘ปฎิปตฺติกฺกเมนา’’ติฯ สพฺพตฺถาติ สพฺพวาเรสุฯ
398. Pākaṭabhāvena kāyati gametīti pakati, lokasiddhavādo, tenāha ‘‘pakati kho esāti pakatikathā esā’’ti. Mattāyāti mattā-saddo ‘‘mattā sukhapariccāgā’’tiādīsu (dha. pa. 290) viya appatthaṃ antonītaṃ katvā pamāṇavācakoti āha ‘‘iminā pamāṇena evaṃ parittakenā’’ti. Tena pana pamāṇena pahātabbo pakaraṇappatto paṭipattikkamoti āha ‘‘paṭipattikkamenā’’ti. Sabbatthāti sabbavāresu.
๓๙๙. อญฺญถา วทถาติ ยทิ อเจลกภาวาทินา สามญฺญํ วา พฺรหฺมญฺญํ วา อภวิสฺส, สุวิชาโนว สมโณ สุวิชาโน พฺราหฺมโณฯ ยสฺมา ปน ตุเมฺห อิโต อญฺญถาว สามญฺญํ พฺรหฺมญฺญญฺจ วทถ, ตสฺมา ทุชฺชาโนว สมโณ ทุชฺชาโน พฺราหฺมโณ, เตนาห ‘‘อิทํ สนฺธายาหา’’ติฯ ตํ ปกติวาทํ ปฎิกฺขิปิตฺวาติ ปุเพฺพ ยํ ปากติกํ สามญฺญํ พฺรหฺมญฺญญฺจ หทเย ฐเปตฺวา เตน ‘‘ทุกฺกร’’นฺติอาทิ วุตฺตํ, ตเมว สนฺธาย ภควตาปิ ‘‘ปกติ โข เอสา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิธ ปน ตํ ปกติวาทํ ปากติกสมณพฺราหฺมณวิสยํ กถํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปฎิสํหริตฺวา สภาวโตว ปรมตฺถโตว สมณสฺส พฺราหฺมณสฺส จ ทุชฺชานภาวํ อาวิกโรโนฺต ปกาเสโนฺตฯ ตตฺราปีติ สมณพฺราหฺมณวาเทปิ วุตฺตนเยเนวฯ
399.Aññathā vadathāti yadi acelakabhāvādinā sāmaññaṃ vā brahmaññaṃ vā abhavissa, suvijānova samaṇo suvijāno brāhmaṇo. Yasmā pana tumhe ito aññathāva sāmaññaṃ brahmaññañca vadatha, tasmā dujjānova samaṇo dujjāno brāhmaṇo, tenāha ‘‘idaṃ sandhāyāhā’’ti. Taṃ pakativādaṃ paṭikkhipitvāti pubbe yaṃ pākatikaṃ sāmaññaṃ brahmaññañca hadaye ṭhapetvā tena ‘‘dukkara’’ntiādi vuttaṃ, tameva sandhāya bhagavatāpi ‘‘pakati kho esā’’tiādi vuttaṃ. Idha pana taṃ pakativādaṃ pākatikasamaṇabrāhmaṇavisayaṃ kathaṃ paṭikkhipitvā paṭisaṃharitvā sabhāvatova paramatthatova samaṇassa brāhmaṇassa ca dujjānabhāvaṃ āvikaronto pakāsento. Tatrāpīti samaṇabrāhmaṇavādepi vuttanayeneva.
สีลสมาธิปญฺญาสมฺปทาวณฺณนา
Sīlasamādhipaññāsampadāvaṇṇanā
๔๐๐-๑. ปณฺฑิโตติ เหตุสมฺปตฺติสิเทฺธน ปณฺฑิเจฺจน สมนฺนาคโต, กถํ อุคฺคเหสิ ปริปกฺกญาณตฺตา ฆเฎ ปทีเปน วิย อพฺภนฺตเร สมุชฺชลเนฺตน ปญฺญาเวยฺยตฺติเยน ตตฺถ ตตฺถ ภควตา เทสิตมตฺถํ ปริคฺคณฺหโนฺต ตมฺปิ เทสนํ อุปธาเรสิฯ ตสฺส จาติ โย อเจลโก โหติ ยาว อุทโกโรหนานุโยคํ อนุยุโตฺต วิหรติ, ตสฺส จฯ ตา สมฺปตฺติโย ปุจฺฉามิ, ยาหิ สมโณ จ โหตีติ อธิปฺปาโยฯ สีลสมฺปทายาติ อิติ-สโทฺท อาทิอโตฺถ, เตน ‘‘จิตฺตสมฺปทาย ปญฺญาสมฺปทายา’’ติ ปททฺวยํ สงฺคณฺหาติ อเสกฺขสีลาทิขนฺธตฺตยสงฺคหิตญฺหิ อรหตฺตํ, เตนาห ‘‘อรหตฺตผลเมว สนฺธาย วุตฺต’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ อิทนฺติ อิทํ วจนํฯ
400-1.Paṇḍitoti hetusampattisiddhena paṇḍiccena samannāgato, kathaṃ uggahesi paripakkañāṇattā ghaṭe padīpena viya abbhantare samujjalantena paññāveyyattiyena tattha tattha bhagavatā desitamatthaṃ pariggaṇhanto tampi desanaṃ upadhāresi. Tassa cāti yo acelako hoti yāva udakorohanānuyogaṃ anuyutto viharati, tassa ca. Tā sampattiyo pucchāmi, yāhi samaṇo ca hotīti adhippāyo. Sīlasampadāyāti iti-saddo ādiattho, tena ‘‘cittasampadāya paññāsampadāyā’’ti padadvayaṃ saṅgaṇhāti asekkhasīlādikhandhattayasaṅgahitañhi arahattaṃ, tenāha ‘‘arahattaphalameva sandhāya vutta’’ntiādi. Tattha idanti idaṃ vacanaṃ.
สีหนาทกถาวณฺณนา
Sīhanādakathāvaṇṇanā
๔๐๒. อนญฺญสาธารณตาย , อนญฺญสาธารณตฺถวิสยตาย จ อนุตฺตรํ พุทฺธสีหนาทํ นทโนฺตฯ อติวิย อจฺจนฺตวิสุทฺธตาย ปรมวิสุทฺธํฯ ปรมนฺติ อุกฺกฎฺฐํ, เตนาห ‘‘อุตฺตม’’นฺติฯ สีลเมว โลกิยสีลตฺตาฯ ยถา อนญฺญสาธารณํ ภควโต โลกุตฺตรสีลํ สวาสนํ ปฎิปกฺขวิทฺธํสนโต, เอวํ โลกิยสีลมฺปิ ตสฺส อนุจฺฉวิกภาเวน สมฺภูตตฺตา, สเมน สมนฺติ สมสมนฺติ อยเมตฺถ อโตฺถติ อาห ‘‘มม สีลสเมน สีเลน มยา สม’’นฺติฯ ‘‘ยทิทํ อธิสีล’’นฺติ โลกิยํ, โลกุตฺตรญฺจาติ ทุวิธมฺปิ พุทฺธสีลํ เอกชฺฌํ กตฺวา วุตฺตํฯ เตนาห ‘‘สีเลปี’’ติฯ อิติ อิมนฺติ เอวํ อิมํ สีลวิสยํฯ ปฐมํ ปวตฺตตฺตา ปฐมํฯ
402. Anaññasādhāraṇatāya , anaññasādhāraṇatthavisayatāya ca anuttaraṃ buddhasīhanādaṃ nadanto. Ativiya accantavisuddhatāya paramavisuddhaṃ. Paramanti ukkaṭṭhaṃ, tenāha ‘‘uttama’’nti. Sīlameva lokiyasīlattā. Yathā anaññasādhāraṇaṃ bhagavato lokuttarasīlaṃ savāsanaṃ paṭipakkhaviddhaṃsanato, evaṃ lokiyasīlampi tassa anucchavikabhāvena sambhūtattā, samena samanti samasamanti ayamettha atthoti āha ‘‘mama sīlasamena sīlena mayā sama’’nti. ‘‘Yadidaṃ adhisīla’’nti lokiyaṃ, lokuttarañcāti duvidhampi buddhasīlaṃ ekajjhaṃ katvā vuttaṃ. Tenāha ‘‘sīlepī’’ti. Iti imanti evaṃ imaṃ sīlavisayaṃ. Paṭhamaṃ pavattattā paṭhamaṃ.
ตปตีติ สนฺตปฺปติ, วิธมตีติ อโตฺถฯ ชิคุจฺฉตีติ หีเฬติ ลามกโต ฐเปติฯ นิโทฺทสตฺตา อริยา อารกา กิเลเสหีติฯ มคฺคผลสมฺปยุตฺตา วีริยสงฺขาตา ตโปชิคุจฺฉาติ อาเนตฺวา สมฺพโนฺธฯ ปรมา นาม สพฺพุกฺกฎฺฐภาวโตฯ ยถา ยุวิโน ภาโว โยพฺพนํ, เอวํ ชิคุจฺฉิโน ภาโว เชคุจฺฉํฯ กิเลสานํ สมุจฺฉินฺทนปฎิปฺปสฺสมฺภนานิ สมุเจฺฉทปฎิปสฺสทฺธิวิมุตฺติโยฯ นิสฺสรณวิมุตฺติ นิพฺพานํฯ อถ วา สมฺมาวาจาทีนํ อธิสีลคฺคหเณน, สมฺมาวายามสฺส อธิเชคุจฺฉคฺคหเณน, สมฺมาทิฎฺฐิยา อธิปญฺญาคฺคหเณน คหิตตฺตา อคฺคหิตคฺคหเณน สมฺมาสงฺกปฺปสติสมาธโย มคฺคผลปริยาปนฺนา สมุเจฺฉทปฎิปสฺสทฺธิวิมุตฺติโย ทฎฺฐพฺพาฯ นิสฺสรณวิมุตฺติ ปน นิพฺพานเมวฯ
Tapatīti santappati, vidhamatīti attho. Jigucchatīti hīḷeti lāmakato ṭhapeti. Niddosattā ariyā ārakā kilesehīti. Maggaphalasampayuttā vīriyasaṅkhātā tapojigucchāti ānetvā sambandho. Paramā nāma sabbukkaṭṭhabhāvato. Yathā yuvino bhāvo yobbanaṃ, evaṃ jigucchino bhāvo jegucchaṃ. Kilesānaṃ samucchindanapaṭippassambhanāni samucchedapaṭipassaddhivimuttiyo. Nissaraṇavimutti nibbānaṃ. Atha vā sammāvācādīnaṃ adhisīlaggahaṇena, sammāvāyāmassa adhijegucchaggahaṇena, sammādiṭṭhiyā adhipaññāggahaṇena gahitattā aggahitaggahaṇena sammāsaṅkappasatisamādhayo maggaphalapariyāpannā samucchedapaṭipassaddhivimuttiyo daṭṭhabbā. Nissaraṇavimutti pana nibbānameva.
๔๐๓. ยํ กิญฺจิ ชนวิวิตฺตํ ฐานํ อิธ ‘‘สุญฺญาคาร’’นฺติ อธิเปฺปตํฯ ตตฺถ นทเนฺตน วินา นาโท นตฺถีติ อาห ‘‘เอกโตว นิสีทิตฺวา’’ติฯ อฎฺฐสุ ปริสาสูติ ขตฺติยปริสา, พฺราหฺมณปริสา, คหปติปริสา, สมณปริสา, จาตุมหาราชิกปริสา, ตาวติํสปริสา, มารปริสา, พฺรหฺมปริสาติ อิมาสุ อฎฺฐสุ ปริสาสุฯ
403. Yaṃ kiñci janavivittaṃ ṭhānaṃ idha ‘‘suññāgāra’’nti adhippetaṃ. Tattha nadantena vinā nādo natthīti āha ‘‘ekatova nisīditvā’’ti. Aṭṭhasu parisāsūti khattiyaparisā, brāhmaṇaparisā, gahapatiparisā, samaṇaparisā, cātumahārājikaparisā, tāvatiṃsaparisā, māraparisā, brahmaparisāti imāsu aṭṭhasu parisāsu.
เวสารชฺชานีติ วิสารทภาวา ญาณปฺปหานสมฺปทานิมิตฺตํ กุโตจิ อสนฺตสฺสนภาวา นิพฺภยภาวาติ อโตฺถฯ อาสภํ ฐานนฺติ เสฎฺฐํ ฐานํ, อุตฺตมํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ อาสภา วา ปุพฺพพุทฺธา, เตสํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ
Vesārajjānīti visāradabhāvā ñāṇappahānasampadānimittaṃ kutoci asantassanabhāvā nibbhayabhāvāti attho. Āsabhaṃ ṭhānanti seṭṭhaṃ ṭhānaṃ, uttamaṃ ṭhānanti attho. Āsabhā vā pubbabuddhā, tesaṃ ṭhānanti attho.
อปิจ อุสภสฺส อิทนฺติ อาสภํ, อาสภํ วิยาติ อาสภํฯ ยถา หิ นิสภสงฺขาโต อุสโภ อตฺตโน อุสภพเลน จตูหิ ปาเทหิ ปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา อจลฎฺฐาเนน ติฎฺฐติ, เอวํ ตถาคโตปิ ทสหิ ตถาคตพเลหิ สมนฺนาคโต จตูหิ เวสารชฺชปาเทหิ อฎฺฐปริสาปถวิํ อุปฺปีเฬตฺวา สเทวเก โลเก เกนจิ ปจฺจตฺถิเกน อกมฺปิโย อจเลน ฐาเนน ติฎฺฐติฯ เอวํ ติฎฺฐมาโนว ตํ อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาติ อุปคจฺฉติ น ปจฺจกฺขาติ อตฺตนิ อาโรเปติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อาสภํ ฐานํ ปฎิชานาตี’’ติฯ
Apica usabhassa idanti āsabhaṃ, āsabhaṃ viyāti āsabhaṃ. Yathā hi nisabhasaṅkhāto usabho attano usabhabalena catūhi pādehi pathaviṃ uppīḷetvā acalaṭṭhānena tiṭṭhati, evaṃ tathāgatopi dasahi tathāgatabalehi samannāgato catūhi vesārajjapādehi aṭṭhaparisāpathaviṃ uppīḷetvā sadevake loke kenaci paccatthikena akampiyo acalena ṭhānena tiṭṭhati. Evaṃ tiṭṭhamānova taṃ āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānāti upagacchati na paccakkhāti attani āropeti. Tena vuttaṃ ‘‘āsabhaṃ ṭhānaṃ paṭijānātī’’ti.
สีหนาทํ นทตีติ ยถา มิคราชา ปริสฺสยานํ สหนโต, วนมหิํสมตฺตวารณาทีนํ หนนโต จ ‘‘สีโห’’ติ วุจฺจติ, เอวํ ตถาคโต โลกธมฺมานํ สหนโต, ปรปฺปวาทานํ หนนโต จ ‘‘สีโห’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ วุตฺตสฺส สีหสฺส นาทํ สีหนาทํฯ ตตฺถ ยถา สีโห สีหพเลน สมนฺนาคโต สพฺพตฺถ วิสารโท วิคตโลมหํโส สีหนาทํ นทติ, เอวํ ตถาคตสีโหปิ ทสหิ ตถาคตพเลหิ สมนฺนาคโต อฎฺฐสุ ปริสาสุ วิสารโท วิคตโลมหํโส ‘‘อิติ รูป’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๗๘; อ. นิ. ๘.๒) นเยน นานาวิลาสสมฺปนฺนํ สีหนาทํ นทติฯ
Sīhanādaṃ nadatīti yathā migarājā parissayānaṃ sahanato, vanamahiṃsamattavāraṇādīnaṃ hananato ca ‘‘sīho’’ti vuccati, evaṃ tathāgato lokadhammānaṃ sahanato, parappavādānaṃ hananato ca ‘‘sīho’’ti vuccati. Evaṃ vuttassa sīhassa nādaṃ sīhanādaṃ. Tattha yathā sīho sīhabalena samannāgato sabbattha visārado vigatalomahaṃso sīhanādaṃ nadati, evaṃ tathāgatasīhopi dasahi tathāgatabalehi samannāgato aṭṭhasu parisāsu visārado vigatalomahaṃso ‘‘iti rūpa’’ntiādinā (saṃ. ni. 3.78; a. ni. 8.2) nayena nānāvilāsasampannaṃ sīhanādaṃ nadati.
ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺวาติ ญาตุํ อิจฺฉิตมตฺถํ อตฺตโน ญาณพลานุรูปํ อภิรจิตฺวา ตงฺขณํเยวาติ ปุจฺฉิตกฺขเณเยว ฐานุปฺปตฺติกปฎิภาเนน วิสฺสเชฺชติฯ จิตฺตํ ปริโตเสติเยว อชฺฌาสยานุรูปํ วิสฺสชฺชนโตฯ โสตพฺพญฺจสฺส มญฺญนฺติ อฎฺฐกฺขณวชฺชิเตน นวเมน ขเณน ลพฺภมานตฺตาฯ ‘‘ยํ โน สตฺถา ภาสติ, ตํ โน โสสฺสามา’’ติ อาทรคารวชาตา มหเนฺตน อุสฺสาเหน โสตพฺพํ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพํ มญฺญนฺติฯ สุปฺปสนฺนา ปสาทาภิพุทฺธิยา วิคตุปกฺกิเลสตาย กลฺลจิตฺตา มุทุจิตฺตา โหนฺติฯ ปสนฺนการนฺติ ปสเนฺนหิ กาตพฺพสกฺการํ, ธมฺมามิสปูชนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ อามิสปูชํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปณีตานี’’ติอาทิมาหฯ ธมฺมปูชา ปน ‘‘ตถตฺตายา’’ติ อิมินา ทสฺสิตาฯ ตถาภาวายาติ ยถตฺตาย ยสฺส วฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณตฺถาย ธโมฺม เทสิโต, ตถาภาวาย, เตนาห ‘‘ธมฺมานุธมฺมปฎิปตฺติปูรณตฺถายา’’ติฯ สา จ ธมฺมานุธมฺมปฎิปตฺติ ยาย อนุปุพฺพิยา ปฎิปชฺชิตพฺพา, ปฎิปชฺชนฺตานญฺจ สติ อชฺฌตฺติกงฺคสมวาเย เอกํสิกา ตสฺสา ปาริปูรีติ ตํ อนุปุพฺพิํ ทเสฺสตุํ ‘‘เกจิ สรเณสู’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
Pañhaṃ abhisaṅkharitvāti ñātuṃ icchitamatthaṃ attano ñāṇabalānurūpaṃ abhiracitvā taṅkhaṇaṃyevāti pucchitakkhaṇeyeva ṭhānuppattikapaṭibhānena vissajjeti. Cittaṃ paritosetiyeva ajjhāsayānurūpaṃ vissajjanato. Sotabbañcassa maññanti aṭṭhakkhaṇavajjitena navamena khaṇena labbhamānattā. ‘‘Yaṃ no satthā bhāsati, taṃ no sossāmā’’ti ādaragāravajātā mahantena ussāhena sotabbaṃ sampaṭicchitabbaṃ maññanti. Suppasannā pasādābhibuddhiyā vigatupakkilesatāya kallacittā muducittā honti. Pasannakāranti pasannehi kātabbasakkāraṃ, dhammāmisapūjanti attho. Tattha āmisapūjaṃ dassento ‘‘paṇītānī’’tiādimāha. Dhammapūjā pana ‘‘tathattāyā’’ti iminā dassitā. Tathābhāvāyāti yathattāya yassa vaṭṭadukkhanissaraṇatthāya dhammo desito, tathābhāvāya, tenāha ‘‘dhammānudhammapaṭipattipūraṇatthāyā’’ti. Sā ca dhammānudhammapaṭipatti yāya anupubbiyā paṭipajjitabbā, paṭipajjantānañca sati ajjhattikaṅgasamavāye ekaṃsikā tassā pāripūrīti taṃ anupubbiṃ dassetuṃ ‘‘keci saraṇesū’’tiādi vuttaṃ.
อิมสฺมิํ ปโนกาเส ฐตฺวาติ ‘‘ปฎิปนฺนา จ อาราเธนฺตี’’ติ เอตสฺมิํ สีหนาทกิจฺจปาริปูริทีปเน ปาฬิปเทเส ฐตฺวาฯ สโมธาเนตพฺพาติ สงฺกลิตพฺพาฯ เอโก สีหนาโท อสาธารโณ อเญฺญหิ อปฺปฎิวตฺติโย เสฎฺฐนาโท อภีตนาโทติ กตฺวาฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ ปุริมานํ ทสนฺนนฺติอาทิโต ปฎฺฐาย ยาว ‘‘วิมุตฺติยา มยฺหํ สทิโส นตฺถี’’ติ เอเตสํ ปุริมานํ ทสนฺนํ สีหนาทานํ, นิทฺธารเณ เจตฺถ สามิวจนํ, เตนาห ‘‘เอเกกสฺสา’’ติฯ ‘‘ปริสาสุ จ นทตี’’ติ อาทโย ปริวารา ‘‘เอกจฺจํ ตปสฺสิํ นิรเย นิพฺพตฺตํ ปสฺสามี’’ติ สีหนาทํ นทโนฺต ภควา ปริสายํ นทติ วิสารโท นทติ ยาว ‘‘ปฎิปนฺนา อาราเธนฺตี’’ติ อตฺถโยชนาย สมฺภวโต ฯ ตถา เสเสสุปิ นวสุฯ
Imasmiṃpanokāse ṭhatvāti ‘‘paṭipannā ca ārādhentī’’ti etasmiṃ sīhanādakiccapāripūridīpane pāḷipadese ṭhatvā. Samodhānetabbāti saṅkalitabbā. Eko sīhanādo asādhāraṇo aññehi appaṭivattiyo seṭṭhanādo abhītanādoti katvā. Esa nayo sesesupi. Purimānaṃ dasannantiādito paṭṭhāya yāva ‘‘vimuttiyā mayhaṃ sadiso natthī’’ti etesaṃ purimānaṃ dasannaṃ sīhanādānaṃ, niddhāraṇe cettha sāmivacanaṃ, tenāha ‘‘ekekassā’’ti. ‘‘Parisāsu ca nadatī’’ti ādayo parivārā ‘‘ekaccaṃ tapassiṃ niraye nibbattaṃ passāmī’’ti sīhanādaṃ nadanto bhagavā parisāyaṃ nadati visārado nadati yāva ‘‘paṭipannā ārādhentī’’ti atthayojanāya sambhavato . Tathā sesesupi navasu.
‘‘เอว’’นฺติอาทิ ยถาวุตฺตานํ เตสํ สงฺกเลตฺวา ทสฺสนํฯ เต ทสาติ เต ‘‘ปริสาสุ จ นทตี’’ติ อาทโย สีหนาทาฯ ปุริมานํ ทสนฺนนฺติ ยถาวุตฺตานํ ปุริมานํ ทสนฺนํฯ ปริวารวเสนาติ ปเจฺจกํ ปริวารวเสน โยชิยมานา สตํ สีหนาทาฯ ปุริมา จ ทสาติ ตถา อโยชิยมานา ปุริมา จ ทสาติ เอวํ ทสาธิกํ สีหนาทสตํ โหติฯ เอวํ วาทีนํ วาทนฺติ เอวํ ปวตฺตวาทานํ ติตฺถิยานํ วาทํฯ ปฎิเสเธตฺวาติ ตถาภาวาภาวทสฺสเนน ปฎิกฺขิปิตฺวาฯ ยํ ภควา อุทุมฺพริกสุเตฺต ‘‘อิธ นิโคฺรธ ตปสฺสี’’ติอาทินา (ที. นิ. ๓.๓๓) อุปกฺกิเลสวิภาคํ, ปาริสุทฺธิวิภาคญฺจ ทเสฺสโนฺต สปริสสฺส นิโคฺรธสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปุรโต สีหนาทํ นทิ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทานิ ปริสติ นทิตปุพฺพํ สีหนาทํ ทเสฺสโนฺต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
‘‘Eva’’ntiādi yathāvuttānaṃ tesaṃ saṅkaletvā dassanaṃ. Te dasāti te ‘‘parisāsu ca nadatī’’ti ādayo sīhanādā. Purimānaṃ dasannanti yathāvuttānaṃ purimānaṃ dasannaṃ. Parivāravasenāti paccekaṃ parivāravasena yojiyamānā sataṃ sīhanādā. Purimā ca dasāti tathā ayojiyamānā purimā ca dasāti evaṃ dasādhikaṃ sīhanādasataṃ hoti. Evaṃ vādīnaṃ vādanti evaṃ pavattavādānaṃ titthiyānaṃ vādaṃ. Paṭisedhetvāti tathābhāvābhāvadassanena paṭikkhipitvā. Yaṃ bhagavā udumbarikasutte ‘‘idha nigrodha tapassī’’tiādinā (dī. ni. 3.33) upakkilesavibhāgaṃ, pārisuddhivibhāgañca dassento saparisassa nigrodhassa paribbājakassa purato sīhanādaṃ nadi, taṃ dassetuṃ ‘‘idāni parisati naditapubbaṃ sīhanādaṃ dassento’’tiādi vuttaṃ.
ติตฺถิยปริวาสกถาวณฺณนา
Titthiyaparivāsakathāvaṇṇanā
๔๐๔. อิทนฺติ ‘‘ราชคเห คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต วิหรนฺตํ มํ…เป.… ปญฺหํ ปุจฺฉี’’ติ อิทํ วจนํฯ กามํ ยทา นิโคฺรโธ ปญฺหํ ปุจฺฉิ, ภควา จสฺส วิสฺสเชฺชสิ, น ตทา คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต วิหรติ, ราชคหสมีเป ปน วิหรตีติ กตฺวา ‘‘ราชคเห คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต วิหรนฺตํ ม’’นฺติ วุตฺตํ, คิชฺฌกูเฎ วิหรณญฺจสฺส ตทา อวิจฺฉินฺนนฺติ, เตนาห ‘‘ยํ ตํ ภควา’’ติอาทิฯ โยเคติ นเย, ทุกฺขนิสฺสรณูปาเยติ อโตฺถฯ
404.Idanti ‘‘rājagahe gijjhakūṭe pabbate viharantaṃ maṃ…pe… pañhaṃ pucchī’’ti idaṃ vacanaṃ. Kāmaṃ yadā nigrodho pañhaṃ pucchi, bhagavā cassa vissajjesi, na tadā gijjhakūṭe pabbate viharati, rājagahasamīpe pana viharatīti katvā ‘‘rājagahe gijjhakūṭe pabbate viharantaṃ ma’’nti vuttaṃ, gijjhakūṭe viharaṇañcassa tadā avicchinnanti, tenāha ‘‘yaṃ taṃ bhagavā’’tiādi. Yogeti naye, dukkhanissaraṇūpāyeti attho.
๔๐๕. ยํ ปริวาสํ สามเณรภูมิยํ ฐิโต ปริวสตีติ โยชนาฯ ยสฺมา สามเณรภูมิยํ ฐิเตน ปริวสิตพฺพํ, น คิหิภูเตน, ตสฺมา อปริวสิตฺวาเยว ปพฺพชฺชํ ลภติฯ อากงฺขติ ปพฺพชฺชํ, อากงฺขติ อุปสมฺปทนฺติ เอตฺถ ปน ปพฺพชฺชา-คฺคหณํ วจนสิลิฎฺฐตาวเสเนว ‘‘ทิรตฺตติรตฺตํ สหเสยฺย’’นฺติ (ปาจิ. ๕๐) เอตฺถ ทิรตฺตคฺคหณํ วิยฯ คามปฺปเวสนาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน เวสิยาวิธวาถุลฺลกุมาริปณฺฑกภิกฺขุนิโคจรตา, สพฺรหฺมจารีนํ อุจฺจาวเจสุ กิํกรณีเยสุ ทกฺขานลสาทิตา, อุเทฺทสปริปุจฺฉาทีสุ ติพฺพฉนฺทตา, ยสฺส ติตฺถายตนโต อิธาคโต, ตสฺส อวเณฺณ, รตนตฺตยสฺส จ วเณฺณ อนตฺตมนตา, ตทุภยํ ยถากฺกมํ วเณฺณ จ อวเณฺณ จ อตฺตมนตาติ อิเมสํ สงฺคโห เวทิตโพฺพ, เตนาห ‘‘อฎฺฐ วตฺตานิ ปูเรเนฺตนา’’ติฯ ฆํสิตฺวา โกเฎฺฎตฺวาติ อชฺฌาสยสฺส วีมํสนวเสน สุวณฺณํ วิย ฆํสิตฺวา โกเฎฺฎตฺวาฯ
405. Yaṃ parivāsaṃ sāmaṇerabhūmiyaṃ ṭhito parivasatīti yojanā. Yasmā sāmaṇerabhūmiyaṃ ṭhitena parivasitabbaṃ, na gihibhūtena, tasmā aparivasitvāyeva pabbajjaṃ labhati. Ākaṅkhati pabbajjaṃ, ākaṅkhati upasampadanti ettha pana pabbajjā-ggahaṇaṃ vacanasiliṭṭhatāvaseneva ‘‘dirattatirattaṃ sahaseyya’’nti (pāci. 50) ettha dirattaggahaṇaṃ viya. Gāmappavesanādīnīti ādi-saddena vesiyāvidhavāthullakumāripaṇḍakabhikkhunigocaratā, sabrahmacārīnaṃ uccāvacesu kiṃkaraṇīyesu dakkhānalasāditā, uddesaparipucchādīsu tibbachandatā, yassa titthāyatanato idhāgato, tassa avaṇṇe, ratanattayassa ca vaṇṇe anattamanatā, tadubhayaṃ yathākkamaṃ vaṇṇe ca avaṇṇe ca attamanatāti imesaṃ saṅgaho veditabbo, tenāha ‘‘aṭṭha vattāni pūrentenā’’ti. Ghaṃsitvā koṭṭetvāti ajjhāsayassa vīmaṃsanavasena suvaṇṇaṃ viya ghaṃsitvā koṭṭetvā.
คณมเชฺฌ นิสีทิตฺวาติ อุปสมฺปทากมฺมสฺส คณปฺปโหนกานํ ภิกฺขูนํ มเชฺฌ สงฺฆเตฺถโร วิย ตสฺส อนุคฺคหตฺถํ นิสีทิตฺวาฯ วูปกโฎฺฐติ วิวิโตฺตฯ ตาทิสสฺส สีลวิโสธเน อปฺปมาโท อวุตฺตสิโทฺธติ อาห ‘‘กมฺมฎฺฐาเน สติํ อวิชหโนฺต’’ติฯ เปสิตจิโตฺตติ นิพฺพานํ ปติ เปสิตจิโตฺต ตํนิโนฺน ตโปฺปโณ ตปฺปพฺภาโรฯ ชาติกุลปุตฺตาปิ อาจารสมฺปนฺนา เอว อรหตฺตาธิคมาย ปพฺพชฺชาเปกฺขา โหนฺตีติ เตปิ เตหิ เอกสงฺคเห กโรโนฺต อาห ‘‘กุลปุตฺตาติ อาจารกุลปุตฺตา’’ติ, เตนาห ‘‘สมฺมเทวาติ เหตุนาว การเณเนวา’’ติฯ ‘‘โอติโณฺณมฺหิ ชาติยา’’ติอาทินา นเยน หิ สํเวคปุพฺพิกํ ยถานุสิฎฺฐํ ปพฺพชฺชํ สนฺธาย อิธ ‘‘สมฺมเทวา’’ติ วุตฺตํฯ เหตุนาติ ญาเยนฯ ปาปุณิตฺวาติ ปตฺวา อธิคนฺตฺวาฯ สมฺปาเทตฺวาติ อเสกฺขา สีลสมาธิปญฺญา นิปฺผาเทตฺวา, ปริปูเรตฺวา วาติ อโตฺถฯ
Gaṇamajjhe nisīditvāti upasampadākammassa gaṇappahonakānaṃ bhikkhūnaṃ majjhe saṅghatthero viya tassa anuggahatthaṃ nisīditvā. Vūpakaṭṭhoti vivitto. Tādisassa sīlavisodhane appamādo avuttasiddhoti āha ‘‘kammaṭṭhāne satiṃ avijahanto’’ti. Pesitacittoti nibbānaṃ pati pesitacitto taṃninno tappoṇo tappabbhāro. Jātikulaputtāpi ācārasampannā eva arahattādhigamāya pabbajjāpekkhā hontīti tepi tehi ekasaṅgahe karonto āha ‘‘kulaputtāti ācārakulaputtā’’ti, tenāha ‘‘sammadevāti hetunāva kāraṇenevā’’ti. ‘‘Otiṇṇomhi jātiyā’’tiādinā nayena hi saṃvegapubbikaṃ yathānusiṭṭhaṃ pabbajjaṃ sandhāya idha ‘‘sammadevā’’ti vuttaṃ. Hetunāti ñāyena. Pāpuṇitvāti patvā adhigantvā. Sampādetvāti asekkhā sīlasamādhipaññā nipphādetvā, paripūretvā vāti attho.
นิฎฺฐาเปตุนฺติ นิคมนวเสน ปริโยสาเปตุํฯ ‘‘พฺรหฺมจริยปริโยสานํ…เป.… วิหาสี’’ติ อิมินา เอว หิ อรหตฺตนิกูเฎน เทสนา ปริโยสาปิตาฯ ตํ ปน นิคเมโนฺต ‘‘อญฺญตโร โข ปนา…เป.… อโหสี’’ติ วุตฺตํ ธมฺมสงฺคาหเกหิฯ ยํ ปเนตฺถ อตฺถโต น วิภตฺตํ, ตํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Niṭṭhāpetunti nigamanavasena pariyosāpetuṃ. ‘‘Brahmacariyapariyosānaṃ…pe… vihāsī’’ti iminā eva hi arahattanikūṭena desanā pariyosāpitā. Taṃ pana nigamento ‘‘aññataro kho panā…pe… ahosī’’ti vuttaṃ dhammasaṅgāhakehi. Yaṃ panettha atthato na vibhattaṃ, taṃ suviññeyyameva.
มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนาฯ
Mahāsīhanādasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๘. มหาสีหนาทสุตฺตํ • 8. Mahāsīhanādasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā) / ๘. มหาสีหนาทสุตฺตวณฺณนา • 8. Mahāsīhanādasuttavaṇṇanā