Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
๖. อาสีสวโคฺค
6. Āsīsavaggo
[๕๑] ๑. มหาสีลวชาตกวณฺณนา
[51] 1. Mahāsīlavajātakavaṇṇanā
อาสีเสเถว ปุริโสติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โอสฺสฎฺฐวีริยํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ โอสฺสฎฺฐวีริโยสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ จ วุเตฺต ‘‘กสฺมา ตฺวํ ภิกฺขุ เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา วีริยํ โอสฺสชิ, ปุเพฺพ ปณฺฑิตา รชฺชา ปริหายิตฺวาปิ อตฺตโน วีริเย ฐตฺวาว นฎฺฐมฺปิ ยสํ ปุน อุปฺปาทยิํสู’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Āsīsethevapurisoti idaṃ satthā jetavane viharanto ossaṭṭhavīriyaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ossaṭṭhavīriyosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, bhante’’ti ca vutte ‘‘kasmā tvaṃ bhikkhu evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā vīriyaṃ ossaji, pubbe paṇḍitā rajjā parihāyitvāpi attano vīriye ṭhatvāva naṭṭhampi yasaṃ puna uppādayiṃsū’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพโตฺตฯ ตสฺส นามคฺคหณทิวเส ‘‘สีลวกุมาโร’’ติ นามํ อกํสุฯ โส โสฬสวสฺสุเทฺทสิโกว สพฺพสิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปตฺวา อปรภาเค ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐิโต มหาสีลวราชา นาม อโหสิ ธมฺมิโก ธมฺมราชาฯ โส นครสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุ จตโสฺส, มเชฺฌ เอกํ, นิเวสนทฺวาเร เอกนฺติ นิจฺจํ ฉ ทานสาลาโย การาเปตฺวา กปณทฺธิกานํ ทานํ เทติ, สีลํ รกฺขติ, อุโปสถกมฺมํ กโรติ, ขนฺติเมตฺตานุทฺทยสมฺปโนฺน อเงฺก นิสินฺนํ ปุตฺตํ ปริโตสยมาโน วิย สพฺพสเตฺต ปริโตสยมาโน ธเมฺมน รชฺชํ กาเรติฯ ตเสฺสโก อมโจฺจ อเนฺตปุเร ปทุพฺภิตฺวา อปรภาเค ปากโฎ ชาโตฯ อมจฺจา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา ปริคฺคณฺหโนฺต อตฺตนา ปจฺจกฺขโต ญตฺวา ตํ อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อนฺธพาล อยุตฺตํ เต กตํ, น ตฺวํ มม วิชิเต วสิตุํ อรหสิ, อตฺตโน ธนญฺจ ปุตฺตทาเร จ คเหตฺวา อญฺญตฺถ ยาหี’’ติ รฎฺฐา ปพฺพาเชสิฯ โส นิกฺขมิตฺวา กาสิรฎฺฐํ อติกฺกมฺม โกสลชนปทํ คนฺตฺวา โกสลราชานํ อุปฎฺฐหโนฺต อนุกฺกเมน รโญฺญ อพฺภนฺตริโก วิสฺสาสิโก ชาโตฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto rañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatto. Tassa nāmaggahaṇadivase ‘‘sīlavakumāro’’ti nāmaṃ akaṃsu. So soḷasavassuddesikova sabbasippesu nipphattiṃ patvā aparabhāge pitu accayena rajje patiṭṭhito mahāsīlavarājā nāma ahosi dhammiko dhammarājā. So nagarassa catūsu dvāresu catasso, majjhe ekaṃ, nivesanadvāre ekanti niccaṃ cha dānasālāyo kārāpetvā kapaṇaddhikānaṃ dānaṃ deti, sīlaṃ rakkhati, uposathakammaṃ karoti, khantimettānuddayasampanno aṅke nisinnaṃ puttaṃ paritosayamāno viya sabbasatte paritosayamāno dhammena rajjaṃ kāreti. Tasseko amacco antepure padubbhitvā aparabhāge pākaṭo jāto. Amaccā rañño ārocesuṃ. Rājā pariggaṇhanto attanā paccakkhato ñatvā taṃ amaccaṃ pakkosāpetvā ‘‘andhabāla ayuttaṃ te kataṃ, na tvaṃ mama vijite vasituṃ arahasi, attano dhanañca puttadāre ca gahetvā aññattha yāhī’’ti raṭṭhā pabbājesi. So nikkhamitvā kāsiraṭṭhaṃ atikkamma kosalajanapadaṃ gantvā kosalarājānaṃ upaṭṭhahanto anukkamena rañño abbhantariko vissāsiko jāto.
โส เอกทิวสํ โกสลราชานํ อาห – ‘‘เทว พาราณสิรชฺชํ นาม นิมฺมกฺขิกมธุปฎลสทิสํ, ราชา อติมุทุโก, อเปฺปเนว พลวาหเนน สกฺกา พาราณสิรชฺชํ คณฺหิตุ’’นฺติฯ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ นาม มหา, อยญฺจ ‘อเปฺปเนว พลวาหเนน สกฺกา พาราณสิรชฺชํ คณฺหิตุ’นฺติ อาห, กิํ นุ โข ปน ปยุตฺตกโจโร สิยา’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปยุตฺตโกสิ มเญฺญ’’ติ อาหฯ ‘‘นาหํ, เทว, ปยุตฺตโก, สจฺจเมว วทามิฯ สเจ เม น สทฺทหถ, มนุเสฺส เปเสตฺวา ปจฺจนฺตคามํ หนาเปถ, เต มนุเสฺส คเหตฺวา อตฺตโน สนฺติกํ นีเต ธนํ ทตฺวา วิสฺสเชฺชสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘อยํ อติวิย สูโร หุตฺวา วทติ, วีมํสิสฺสามิ ตาวา’’ติ อตฺตโน ปุริเส เปเสตฺวา ปจฺจนฺตคามํ หนาเปสิฯ มนุสฺสา เต โจเร คเหตฺวา พาราณสิรโญฺญ ทเสฺสสุํฯ ราชา เต ทิสฺวา ‘‘ตาตา, กสฺมา คามํ หนถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ชีวิตุํ อสโกฺกนฺตา, เทวา’’ติ วุเตฺต ราชา ‘‘อถ กสฺมา มม สนฺติกํ นาคมิตฺถ, อิโตทานิ ปฎฺฐาย เอวรูปํ กมฺมํ มา กริตฺถา’’ติ เตสํ ธนํ ทตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ เต คนฺตฺวา โกสลรโญฺญ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ โส เอตฺตเกนาปิ คนฺตุํ อวิสหโนฺต ปุน มเชฺฌชนปทํ หนาเปสิฯ เตปิ โจเร ราชา ตเถว ธนํ ทตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ โส เอตฺตเกนาปิ อคนฺตฺวา ปุน เปเสตฺวา อนฺตรวีถิยํ วิลุมฺปาเปสิ, ราชา เตสมฺปิ โจรานํ ธนํ ทตฺวา วิสฺสเชฺชสิเยวฯ ตทา โกสลราชา ‘‘อติวิย ธมฺมิโก ราชา’’ติ ญตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ คเหสฺสามี’’ติ พลวาหนํ อาทาย นิยฺยาสิฯ
So ekadivasaṃ kosalarājānaṃ āha – ‘‘deva bārāṇasirajjaṃ nāma nimmakkhikamadhupaṭalasadisaṃ, rājā atimuduko, appeneva balavāhanena sakkā bārāṇasirajjaṃ gaṇhitu’’nti. Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ nāma mahā, ayañca ‘appeneva balavāhanena sakkā bārāṇasirajjaṃ gaṇhitu’nti āha, kiṃ nu kho pana payuttakacoro siyā’’ti cintetvā ‘‘payuttakosi maññe’’ti āha. ‘‘Nāhaṃ, deva, payuttako, saccameva vadāmi. Sace me na saddahatha, manusse pesetvā paccantagāmaṃ hanāpetha, te manusse gahetvā attano santikaṃ nīte dhanaṃ datvā vissajjessatī’’ti. Rājā ‘‘ayaṃ ativiya sūro hutvā vadati, vīmaṃsissāmi tāvā’’ti attano purise pesetvā paccantagāmaṃ hanāpesi. Manussā te core gahetvā bārāṇasirañño dassesuṃ. Rājā te disvā ‘‘tātā, kasmā gāmaṃ hanathā’’ti pucchi. ‘‘Jīvituṃ asakkontā, devā’’ti vutte rājā ‘‘atha kasmā mama santikaṃ nāgamittha, itodāni paṭṭhāya evarūpaṃ kammaṃ mā karitthā’’ti tesaṃ dhanaṃ datvā vissajjesi. Te gantvā kosalarañño taṃ pavattiṃ ārocesuṃ. So ettakenāpi gantuṃ avisahanto puna majjhejanapadaṃ hanāpesi. Tepi core rājā tatheva dhanaṃ datvā vissajjesi. So ettakenāpi agantvā puna pesetvā antaravīthiyaṃ vilumpāpesi, rājā tesampi corānaṃ dhanaṃ datvā vissajjesiyeva. Tadā kosalarājā ‘‘ativiya dhammiko rājā’’ti ñatvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ gahessāmī’’ti balavāhanaṃ ādāya niyyāsi.
ตทา ปน พาราณสิรโญฺญ มตฺตวารเณปิ อภิมุขํ อาคจฺฉเนฺต อนิวตฺตนธมฺมา อสนิยาปิ สีเส ปตนฺติยา อสนฺตสนสภาวา สีลวมหาราชสฺส รุจิยา สติ สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตุํ สมตฺถา สหสฺสมตฺตา อเภชฺชวรสูรา มหาโยธา โหนฺติฯ เต ‘‘โกสลราชา อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, โกสลราชา กิร ‘พาราณสิรชฺชํ คณฺหิสฺสามี’ติ อาคจฺฉติ, คจฺฉาม, นํ อมฺหากํ รชฺชสีมํ อโนกฺกนฺตเมว โปเถตฺวา คณฺหามา’’ติ วทิํสุฯ ราชา ‘‘ตาตา, มํ นิสฺสาย อเญฺญสํ กิลมนกิจฺจํ นตฺถิ, รชฺชตฺถิโก รชฺชํ คณฺหาตุ, มาคมิตฺถา’’ติ นิวาเรสิฯ โกสลราชา รชฺชสีมํ อติกฺกมิตฺวา ชนปทมชฺฌํ ปาวิสิฯ อมจฺจา ปุนปิ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ตเถว วทิํสุ, ราชา ปุริมนเยเนว นิวาเรสิฯ โกสลราชา พหินคเร ฐตฺวา ‘‘รชฺชํ วา เทตุ ยุทฺธํ วา’’ติ สีลวมหาราชสฺส สาสนํ เปเสสิฯ ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘นตฺถิ มยา สทฺธิํ ยุทฺธํ, รชฺชํ คณฺหาตู’’ติ ปฎิสาสนํ เปเสสิฯ ปุนปิ อมจฺจา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, น มยํ โกสลรโญฺญ นครํ ปวิสิตุํ เทม, พหินคเรเยว นํ โปเถตฺวา คณฺหามา’’ติ อาหํสุ, ราชา ปุริมนเยเนว นิวาเรตฺวา นครทฺวารานิ วิวราเปตฺวา สทฺธิํ อมจฺจสหเสฺสน มหาตเล ปลฺลงฺกมเชฺฌ นิสีทิฯ
Tadā pana bārāṇasirañño mattavāraṇepi abhimukhaṃ āgacchante anivattanadhammā asaniyāpi sīse patantiyā asantasanasabhāvā sīlavamahārājassa ruciyā sati sakalajambudīpe rajjaṃ gahetuṃ samatthā sahassamattā abhejjavarasūrā mahāyodhā honti. Te ‘‘kosalarājā āgacchatī’’ti sutvā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, kosalarājā kira ‘bārāṇasirajjaṃ gaṇhissāmī’ti āgacchati, gacchāma, naṃ amhākaṃ rajjasīmaṃ anokkantameva pothetvā gaṇhāmā’’ti vadiṃsu. Rājā ‘‘tātā, maṃ nissāya aññesaṃ kilamanakiccaṃ natthi, rajjatthiko rajjaṃ gaṇhātu, māgamitthā’’ti nivāresi. Kosalarājā rajjasīmaṃ atikkamitvā janapadamajjhaṃ pāvisi. Amaccā punapi rājānaṃ upasaṅkamitvā tatheva vadiṃsu, rājā purimanayeneva nivāresi. Kosalarājā bahinagare ṭhatvā ‘‘rajjaṃ vā detu yuddhaṃ vā’’ti sīlavamahārājassa sāsanaṃ pesesi. Rājā taṃ sutvā ‘‘natthi mayā saddhiṃ yuddhaṃ, rajjaṃ gaṇhātū’’ti paṭisāsanaṃ pesesi. Punapi amaccā rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, na mayaṃ kosalarañño nagaraṃ pavisituṃ dema, bahinagareyeva naṃ pothetvā gaṇhāmā’’ti āhaṃsu, rājā purimanayeneva nivāretvā nagaradvārāni vivarāpetvā saddhiṃ amaccasahassena mahātale pallaṅkamajjhe nisīdi.
โกสลราชา มหเนฺตน พลวาหเนน พาราณสิํ ปาวิสิฯ โส เอกมฺปิ ปฎิสตฺตุํ อปสฺสโนฺต รโญฺญ นิเวสนทฺวารํ คนฺตฺวา อมจฺจคณปริวุโต อปารุตทฺวาเร นิเวสเน อลงฺกตปฎิยตฺตํ มหาตลํ อารุยฺห นิสินฺนํ นิราปราธํ สีลวมหาราชานํ สทฺธิํ อมจฺจสหเสฺสน คณฺหาเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ, อิมํ ราชานํ สทฺธิํ อมเจฺจหิ ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา อามกสุสานํ เนตฺวา คลปฺปมาเณ อาวาเฎ ขนิตฺวา ยถา เอโกปิ หตฺถํ อุกฺขิปิตุํ น สโกฺกติ, เอวํ ปํสุํ ปกฺขิปิตฺวา นิขนถ, รตฺติํ สิงฺคาลา อาคนฺตฺวา เอเตสํ กาตพฺพยุตฺตกํ กริสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ มนุสฺสา โจรรโญฺญ อาณํ สุตฺวา ราชานํ สทฺธิํ อมเจฺจหิ ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา นิกฺขมิํสุฯ ตสฺมิมฺปิ กาเล สีลวมหาราชา โจรรโญฺญ อาฆาตมตฺตมฺปิ นากาสิฯ เตสุปิ อมเจฺจสุ เอวํ พนฺธิตฺวา นียมาเนสุ เอโกปิ รโญฺญ วจนํ ภินฺทิตุํ สมโตฺถ นาม นาโหสิฯ เอวํ สุวินีตา กิรสฺส ปริสาฯ อถ เต ราชปุริสา สามจฺจํ สีลวมหาราชานํ อามกสุสานํ เนตฺวา คลปฺปมาเณ อาวาเฎ ขนิตฺวา สีลวมหาราชานํ มเชฺฌ , อุโภสุ ปเสฺสสุ เสสอมเจฺจติ เอวํ สเพฺพปิ อาวาเฎสุ โอตาเรตฺวา ปํสุํ อากิริตฺวา ฆนํ อาโกเฎตฺวา อคมํสุฯ ตทา สีลวมหาราชา อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘โจรรโญฺญ อุปริ โกปํ อกตฺวา เมตฺตํ เอว ภาเวถ, ตาตา’’ติ โอวทิฯ
Kosalarājā mahantena balavāhanena bārāṇasiṃ pāvisi. So ekampi paṭisattuṃ apassanto rañño nivesanadvāraṃ gantvā amaccagaṇaparivuto apārutadvāre nivesane alaṅkatapaṭiyattaṃ mahātalaṃ āruyha nisinnaṃ nirāparādhaṃ sīlavamahārājānaṃ saddhiṃ amaccasahassena gaṇhāpetvā ‘‘gacchatha, imaṃ rājānaṃ saddhiṃ amaccehi pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā āmakasusānaṃ netvā galappamāṇe āvāṭe khanitvā yathā ekopi hatthaṃ ukkhipituṃ na sakkoti, evaṃ paṃsuṃ pakkhipitvā nikhanatha, rattiṃ siṅgālā āgantvā etesaṃ kātabbayuttakaṃ karissantī’’ti āha. Manussā corarañño āṇaṃ sutvā rājānaṃ saddhiṃ amaccehi pacchābāhaṃ gāḷhabandhanaṃ bandhitvā nikkhamiṃsu. Tasmimpi kāle sīlavamahārājā corarañño āghātamattampi nākāsi. Tesupi amaccesu evaṃ bandhitvā nīyamānesu ekopi rañño vacanaṃ bhindituṃ samattho nāma nāhosi. Evaṃ suvinītā kirassa parisā. Atha te rājapurisā sāmaccaṃ sīlavamahārājānaṃ āmakasusānaṃ netvā galappamāṇe āvāṭe khanitvā sīlavamahārājānaṃ majjhe , ubhosu passesu sesaamacceti evaṃ sabbepi āvāṭesu otāretvā paṃsuṃ ākiritvā ghanaṃ ākoṭetvā agamaṃsu. Tadā sīlavamahārājā amacce āmantetvā ‘‘corarañño upari kopaṃ akatvā mettaṃ eva bhāvetha, tātā’’ti ovadi.
อถ อฑฺฒรตฺตสมเย ‘‘มนุสฺสมํสํ ขาทิสฺสามา’’ติ สิงฺคาลา อาคมิํสุฯ เต ทิสฺวา ราชา จ อมจฺจา จ เอกปฺปหาเรเนว สทฺทมกํสุ, สิงฺคาลา ภีตา ปลายิํสุฯ เต นิวตฺติตฺวา โอโลเกนฺตา ปจฺฉโต กสฺสจิ อนาคมนภาวํ ญตฺวา ปุน ปจฺจาคมิํสุฯ อิตเรปิ ตเถว สทฺทมกํสุฯ เอวํ ยาวตติยํ ปลายิตฺวา ปุน โอโลเกนฺตา เตสุ เอกสฺสปิ อนาคมนภาวํ ญตฺวา ‘‘วชฺฌปฺปตฺตา เอเต ภวิสฺสนฺตี’’ติ สูรา หุตฺวา นิวตฺติตฺวา ปุน เตสุ สทฺทํ กโรเนฺตสุปิ น ปลายิํสุฯ เชฎฺฐกสิงฺคาโล ราชานํ อุปคญฺฉิ, เสสา สิงฺคาลา เสสานํ อมจฺจานํ สนฺติกํ อคมํสุฯ อุปายกุสโล ราชา ตสฺส อตฺตโน สนฺติกํ อาคตภาวํ ญตฺวา ฑํสิตุํ โอกาสํ เทโนฺต วิย คีวํ อุกฺขิปิตฺวา ตํ คีวาย ฑํสมานํ หนุกฎฺฐิเกน อากฑฺฒิตฺวา ยเนฺต ปกฺขิปิตฺวา วิย คาฬฺหํ คณฺหิ, นาคพเลน รญฺญา หนุกฎฺฐิเกน อากฑฺฒิตฺวา คีวาย คาฬฺหํ คหิตสิงฺคาโล อตฺตานํ โมเจตุํ อสโกฺกโนฺต มรณภยตชฺชิโต มหาวิรวํ วิรวิฯ อวเสสา สิงฺคาลา ตสฺส ตํ อฎฺฎสฺสรํ สุตฺวา ‘‘เอเกน ปุริเสน สุคฺคหิโต ภวิสฺสตี’’ติ อมเจฺจ อุปสงฺกมิตุํ อสโกฺกนฺตา มรณภยตชฺชิตา สเพฺพ ปลายิํสุฯ รโญฺญ หนุกฎฺฐิเกน ทฬฺหํ กตฺวา คหิตสิงฺคาเล อปราปรํ สญฺจรเนฺต ปํสุ สิถิลา อโหสิฯ โสปิ สิงฺคาโล มรณภยภีโต จตูหิ ปาเทหิ รโญฺญ อุปริภาเค ปํสุํ อปพฺยูหิ, ราชา ปํสุโน สิถิลภาวํ ญตฺวา สิงฺคาลํ วิสฺสเชฺชตฺวา นาคพโล ถามสมฺปโนฺน อปราปรํ สญฺจรโนฺต อุโภ หเตฺถ อุกฺขิปิตฺวา อาวาฎมุขวฎฺฎิยํ โอลุพฺภ วาตจฺฉินฺนวลาหโก วิย นิกฺขมิตฺวา ฐิโต อมเจฺจ อสฺสาเสตฺวา ปํสุํ วิยูหิตฺวา สเพฺพ อุทฺธริตฺวา อมจฺจปริวุโต อามกสุสาเน อฎฺฐาสิฯ
Atha aḍḍharattasamaye ‘‘manussamaṃsaṃ khādissāmā’’ti siṅgālā āgamiṃsu. Te disvā rājā ca amaccā ca ekappahāreneva saddamakaṃsu, siṅgālā bhītā palāyiṃsu. Te nivattitvā olokentā pacchato kassaci anāgamanabhāvaṃ ñatvā puna paccāgamiṃsu. Itarepi tatheva saddamakaṃsu. Evaṃ yāvatatiyaṃ palāyitvā puna olokentā tesu ekassapi anāgamanabhāvaṃ ñatvā ‘‘vajjhappattā ete bhavissantī’’ti sūrā hutvā nivattitvā puna tesu saddaṃ karontesupi na palāyiṃsu. Jeṭṭhakasiṅgālo rājānaṃ upagañchi, sesā siṅgālā sesānaṃ amaccānaṃ santikaṃ agamaṃsu. Upāyakusalo rājā tassa attano santikaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā ḍaṃsituṃ okāsaṃ dento viya gīvaṃ ukkhipitvā taṃ gīvāya ḍaṃsamānaṃ hanukaṭṭhikena ākaḍḍhitvā yante pakkhipitvā viya gāḷhaṃ gaṇhi, nāgabalena raññā hanukaṭṭhikena ākaḍḍhitvā gīvāya gāḷhaṃ gahitasiṅgālo attānaṃ mocetuṃ asakkonto maraṇabhayatajjito mahāviravaṃ viravi. Avasesā siṅgālā tassa taṃ aṭṭassaraṃ sutvā ‘‘ekena purisena suggahito bhavissatī’’ti amacce upasaṅkamituṃ asakkontā maraṇabhayatajjitā sabbe palāyiṃsu. Rañño hanukaṭṭhikena daḷhaṃ katvā gahitasiṅgāle aparāparaṃ sañcarante paṃsu sithilā ahosi. Sopi siṅgālo maraṇabhayabhīto catūhi pādehi rañño uparibhāge paṃsuṃ apabyūhi, rājā paṃsuno sithilabhāvaṃ ñatvā siṅgālaṃ vissajjetvā nāgabalo thāmasampanno aparāparaṃ sañcaranto ubho hatthe ukkhipitvā āvāṭamukhavaṭṭiyaṃ olubbha vātacchinnavalāhako viya nikkhamitvā ṭhito amacce assāsetvā paṃsuṃ viyūhitvā sabbe uddharitvā amaccaparivuto āmakasusāne aṭṭhāsi.
ตสฺมิํ สมเย มนุสฺสา เอกํ มตมนุสฺสํ อามกสุสาเน ฉเฑฺฑนฺตา ทฺวินฺนํ ยกฺขานํ สีมนฺตริกาย ฉเฑฺฑสุํฯ เต ยกฺขา ตํ มตมนุสฺสํ ภาเชตุํ อสโกฺกนฺตา ‘‘น มยํ อิมํ ภาเชตุํ สโกฺกม, อยํ สีลวราชา ธมฺมิโก, เอส โน ภาเชตฺวา ทสฺสติ, เอตสฺส สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ ตํ มตมนุสฺสํ ปาเท คเหตฺวา อากฑฺฒนฺตา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, อมฺหากํ อิมํ มตกํ ภาเชตฺวา เทหี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘โภ ยกฺขา, อหํ อิมํ ตุมฺหากํ ภาเชตฺวา ทเทยฺยํ, อปริสุโทฺธ ปนมฺหิ, นฺหายิสฺสามิ ตาวา’’ติฯ ยกฺขา โจรรโญฺญ ฐปิตํ วาสิตอุทกํ อตฺตโน อานุภาเวน อาหริตฺวา รโญฺญ นฺหานตฺถาย อทํสุฯ นฺหตฺวา ฐิตสฺส สํหริตฺวา ฐปิเต โจรรโญฺญ สาฎเก อาหริตฺวา อทํสุ, เต นิวาเสตฺวา ฐิตสฺส จตุชฺชาติยคนฺธสมุคฺคํ อาหริตฺวา อทํสุ, คเนฺธ วิลิมฺปิตฺวา ฐิตสฺส สุวณฺณสมุเคฺค มณิตาลวเณฺฎสุ ฐปิตานิ นานาปุปฺผานิ อาหริตฺวา อทํสุฯ ปุปฺผานิ ปิฬนฺธิตฺวา ฐิตกาเล ‘‘อญฺญํ กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ราชา อตฺตโน ฉาตกาการํ ทเสฺสสิ, เต คนฺตฺวา โจรรโญฺญ สมฺปาทิตํ นานคฺครสโภชนํ อาหริตฺวา อทํสุ, ราชา นฺหาตานุลิโตฺต สุมณฺฑิตปฺปสาธิโต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิฯ ยกฺขา โจรรโญฺญ ฐปิตํ วาสิตปานียํ สุวณฺณภิงฺกาเรเนว สุวณฺณสรเกนปิ สทฺธิํ อาหริํสุฯ อถสฺส ปานียํ ปิวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา หเตฺถ โธวิตฺวา ฐิตกาเล โจรรโญฺญ สมฺปาทิตํ ปญฺจสุคนฺธิกสุปริภาวิตํ ตมฺพูลํ อาหริตฺวา อทํสุฯ ตํ ขาทิตฺวา ฐิตกาเล ‘‘อญฺญํ กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ คนฺตฺวา โจรรโญฺญ อุสฺสีสเก นิกฺขิตฺตํ มงฺคลขคฺคํ อาหรถาติฯ ตมฺปิ คนฺตฺวา อาหริํสุฯ ราชา ตํ ขคฺคํ คเหตฺวา ตํ มตมนุสฺสํ อุชุกํ ฐปาเปตฺวา มตฺถกมเชฺฌ อสินา ปหริตฺวา เทฺว โกฎฺฐาเส กตฺวา ทฺวินฺนํ ยกฺขานํ สมวิภตฺตเมว วิภชิตฺวา อทาสิ, ทตฺวา จ ปน ขคฺคํ โธวิตฺวา สนฺนยฺหิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ เต ยกฺขา มนุสฺสมํสํ ขาทิตฺวา สุหิตา หุตฺวา ตุฎฺฐจิตฺตา ‘‘อญฺญํ เต, มหาราช, กิํ กโรมา’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ เตน หิ ตุเมฺห อตฺตโน อานุภาเวน มํ โจรรโญฺญ สิริคเพฺภ โอตาเรถ, อิเม จ อมเจฺจ อตฺตโน อตฺตโน เคเหสุ ปติฎฺฐาเปถาติฯ เต ‘‘สาธุ เทวา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกํสุฯ
Tasmiṃ samaye manussā ekaṃ matamanussaṃ āmakasusāne chaḍḍentā dvinnaṃ yakkhānaṃ sīmantarikāya chaḍḍesuṃ. Te yakkhā taṃ matamanussaṃ bhājetuṃ asakkontā ‘‘na mayaṃ imaṃ bhājetuṃ sakkoma, ayaṃ sīlavarājā dhammiko, esa no bhājetvā dassati, etassa santikaṃ gacchāmā’’ti taṃ matamanussaṃ pāde gahetvā ākaḍḍhantā rañño santikaṃ gantvā ‘‘deva, amhākaṃ imaṃ matakaṃ bhājetvā dehī’’ti āhaṃsu. ‘‘Bho yakkhā, ahaṃ imaṃ tumhākaṃ bhājetvā dadeyyaṃ, aparisuddho panamhi, nhāyissāmi tāvā’’ti. Yakkhā corarañño ṭhapitaṃ vāsitaudakaṃ attano ānubhāvena āharitvā rañño nhānatthāya adaṃsu. Nhatvā ṭhitassa saṃharitvā ṭhapite corarañño sāṭake āharitvā adaṃsu, te nivāsetvā ṭhitassa catujjātiyagandhasamuggaṃ āharitvā adaṃsu, gandhe vilimpitvā ṭhitassa suvaṇṇasamugge maṇitālavaṇṭesu ṭhapitāni nānāpupphāni āharitvā adaṃsu. Pupphāni piḷandhitvā ṭhitakāle ‘‘aññaṃ kiṃ karomā’’ti pucchiṃsu. Rājā attano chātakākāraṃ dassesi, te gantvā corarañño sampāditaṃ nānaggarasabhojanaṃ āharitvā adaṃsu, rājā nhātānulitto sumaṇḍitappasādhito nānaggarasabhojanaṃ bhuñji. Yakkhā corarañño ṭhapitaṃ vāsitapānīyaṃ suvaṇṇabhiṅkāreneva suvaṇṇasarakenapi saddhiṃ āhariṃsu. Athassa pānīyaṃ pivitvā mukhaṃ vikkhāletvā hatthe dhovitvā ṭhitakāle corarañño sampāditaṃ pañcasugandhikasuparibhāvitaṃ tambūlaṃ āharitvā adaṃsu. Taṃ khāditvā ṭhitakāle ‘‘aññaṃ kiṃ karomā’’ti pucchiṃsu. Gantvā corarañño ussīsake nikkhittaṃ maṅgalakhaggaṃ āharathāti. Tampi gantvā āhariṃsu. Rājā taṃ khaggaṃ gahetvā taṃ matamanussaṃ ujukaṃ ṭhapāpetvā matthakamajjhe asinā paharitvā dve koṭṭhāse katvā dvinnaṃ yakkhānaṃ samavibhattameva vibhajitvā adāsi, datvā ca pana khaggaṃ dhovitvā sannayhitvā aṭṭhāsi. Atha te yakkhā manussamaṃsaṃ khāditvā suhitā hutvā tuṭṭhacittā ‘‘aññaṃ te, mahārāja, kiṃ karomā’’ti pucchiṃsu. Tena hi tumhe attano ānubhāvena maṃ corarañño sirigabbhe otāretha, ime ca amacce attano attano gehesu patiṭṭhāpethāti. Te ‘‘sādhu devā’’ti sampaṭicchitvā tathā akaṃsu.
ตสฺมิํ สมเย โจรราชา อลงฺกตสิริคเพฺภ สิริสยนปิเฎฺฐ นิปโนฺน นิทฺทายติฯ ราชา ตสฺส ปมตฺตสฺส นิทฺทายนฺตสฺส ขคฺคตเลน อุทรํ ปหริฯ โส ภีโต ปพุชฺฌิตฺวา ทีปาโลเกน สีลวมหาราชานํ สญฺชานิตฺวา สยนา อุฎฺฐาย สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ฐิโต ราชานํ อาห ‘‘มหาราช, เอวรูปาย รตฺติยา คหิตารเกฺข ปิหิตทฺวาเร ภวเน อารกฺขมนุเสฺสหิ นิโรกาเส ฐาเน ขคฺคํ สนฺนยฺหิตฺวา อลงฺกตปฎิยโตฺต กถํ นาม ตฺวํ อิมํ สยนปิฎฺฐํ อาคโตสี’’ติฯ ราชา อตฺตโน อาคมนาการํ สพฺพํ วิตฺถารโต กเถสิฯ ตํ สุตฺวา โจรราชา สํวิคฺคมานโส ‘‘มหาราช, อหํ มนุสฺสภูโตปิ สมาโน ตุมฺหากํ คุเณ น ชานามิ, ปเรสํ โลหิตมํสขาทเกหิ ปน กกฺขเฬหิ ผรุเสหิ ยเกฺขหิ ตว คุณา ญาตา, น ทานาหํ, นรินฺท , เอวรูเป สีลสมฺปเนฺน ตยิ ทุพฺภิสฺสามี’’ติ ขคฺคํ อาทาย สปถํ กตฺวา ราชานํ ขมาเปตฺวา มหาสยเน นิปชฺชาเปตฺวา อตฺตนา ขุทฺทกมญฺจเก นิปชฺชิตฺวา ปภาตาย รตฺติยา อุฎฺฐิเต สูริเย เภริํ จราเปตฺวา สพฺพเสนิโย จ อมจฺจพฺราหฺมณคหปติเก จ สนฺนิปาตาเปตฺวา เตสํ ปุรโต อากาเส ปุณฺณจนฺทํ อุกฺขิปโนฺต วิย สีลวรโญฺญ คุเณ กเถตฺวา ปริสมเชฺฌเยว ปุน ราชานํ ขมาเปตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา ‘‘มหาราช, อิโต ปฎฺฐาย ตุมฺหากํ อุปฺปโนฺน โจรูปทฺทโว มยฺหํ ภาโร, มยา คหิตารกฺขา ตุเมฺห รชฺชํ กโรถา’’ติ วตฺวา เปสุญฺญการกสฺส อาณํ กาเรตฺวา อตฺตโน พลวาหนํ อาทาย สกรฎฺฐเมว คโตฯ
Tasmiṃ samaye corarājā alaṅkatasirigabbhe sirisayanapiṭṭhe nipanno niddāyati. Rājā tassa pamattassa niddāyantassa khaggatalena udaraṃ pahari. So bhīto pabujjhitvā dīpālokena sīlavamahārājānaṃ sañjānitvā sayanā uṭṭhāya satiṃ upaṭṭhapetvā ṭhito rājānaṃ āha ‘‘mahārāja, evarūpāya rattiyā gahitārakkhe pihitadvāre bhavane ārakkhamanussehi nirokāse ṭhāne khaggaṃ sannayhitvā alaṅkatapaṭiyatto kathaṃ nāma tvaṃ imaṃ sayanapiṭṭhaṃ āgatosī’’ti. Rājā attano āgamanākāraṃ sabbaṃ vitthārato kathesi. Taṃ sutvā corarājā saṃviggamānaso ‘‘mahārāja, ahaṃ manussabhūtopi samāno tumhākaṃ guṇe na jānāmi, paresaṃ lohitamaṃsakhādakehi pana kakkhaḷehi pharusehi yakkhehi tava guṇā ñātā, na dānāhaṃ, narinda , evarūpe sīlasampanne tayi dubbhissāmī’’ti khaggaṃ ādāya sapathaṃ katvā rājānaṃ khamāpetvā mahāsayane nipajjāpetvā attanā khuddakamañcake nipajjitvā pabhātāya rattiyā uṭṭhite sūriye bheriṃ carāpetvā sabbaseniyo ca amaccabrāhmaṇagahapatike ca sannipātāpetvā tesaṃ purato ākāse puṇṇacandaṃ ukkhipanto viya sīlavarañño guṇe kathetvā parisamajjheyeva puna rājānaṃ khamāpetvā rajjaṃ paṭicchāpetvā ‘‘mahārāja, ito paṭṭhāya tumhākaṃ uppanno corūpaddavo mayhaṃ bhāro, mayā gahitārakkhā tumhe rajjaṃ karothā’’ti vatvā pesuññakārakassa āṇaṃ kāretvā attano balavāhanaṃ ādāya sakaraṭṭhameva gato.
สีลวราชาปิ โข อลงฺกตปฎิยโตฺต เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา สรภปาทเก กญฺจนปลฺลเงฺก นิสิโนฺน อตฺตโน สมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยญฺจ เอวรูปา สมฺปตฺติ อมจฺจสหสฺสสฺส จ ชีวิตปฎิลาโภ มยิ วีริยํ อกโรเนฺต น กิญฺจิ อภวิสฺส, วีริยพเลน ปนาหํ นฎฺฐญฺจ อิมํ ยสํ ปฎิลภิํ, อมจฺจสหสฺสสฺส จ ชีวิตทานํ อทาสิํ, อาสเจฺฉทํ วต อกตฺวา วีริยเมว กตฺตพฺพํฯ กตวีริยสฺส หิ ผลํ นาม เอวํ สมิชฺฌตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุทานวเสน อิมํ คาถมาห –
Sīlavarājāpi kho alaṅkatapaṭiyatto setacchattassa heṭṭhā sarabhapādake kañcanapallaṅke nisinno attano sampattiṃ oloketvā ‘‘ayañca evarūpā sampatti amaccasahassassa ca jīvitapaṭilābho mayi vīriyaṃ akaronte na kiñci abhavissa, vīriyabalena panāhaṃ naṭṭhañca imaṃ yasaṃ paṭilabhiṃ, amaccasahassassa ca jīvitadānaṃ adāsiṃ, āsacchedaṃ vata akatvā vīriyameva kattabbaṃ. Katavīriyassa hi phalaṃ nāma evaṃ samijjhatī’’ti cintetvā udānavasena imaṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘อาสีเสเถว ปุริโส, น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโต;
‘‘Āsīsetheva puriso, na nibbindeyya paṇḍito;
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ, ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหู’’ติฯ
Passāmi vohaṃ attānaṃ, yathā icchiṃ tathā ahū’’ti.
ตตฺถ อาสีเสเถวาติ ‘‘เอวาหํ วีริยํ อารภโนฺต อิมมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิสฺสามี’’ติ อตฺตโน วีริยพเลน อาสํ กโรเถวฯ น นิพฺพิเนฺทยฺย ปณฺฑิโตติ ปณฺฑิโต อุปายกุสโล ยุตฺตฎฺฐาเน วีริยํ กโรโนฺต ‘‘อหํ อิมสฺส วีริยสฺส ผลํ น ลภิสฺสามี’’ติ น อุกฺกเณฺฐยฺย, อาสเจฺฉทํ กเรยฺยาติ อโตฺถฯ ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานนฺติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํ , อหํ อชฺช อตฺตานํ ปสฺสามิฯ ยถา อิจฺฉิํ ตถา อหูติ อหญฺหิ อาวาเฎ นิขาโต ตมฺหา ทุกฺขา มุจฺจิตฺวา ปุน อตฺตโน รชฺชสมฺปตฺติํ อิจฺฉิํ, โส อหํ อิมํ สมฺปตฺติํ ปตฺตํ อตฺตานํ ปสฺสามิฯ ยเถวาหํ ปุเพฺพ อิจฺฉิํ, ตเถว เม อตฺตา ชาโตติฯ เอวํ โพธิสโตฺต ‘‘อโห วต โภ สีลสมฺปนฺนานํ วีริยผลํ นาม สมิชฺฌตี’’ติ อิมาย คาถาย อุทานํ อุทาเนตฺวา ยาวชีวํ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ
Tattha āsīsethevāti ‘‘evāhaṃ vīriyaṃ ārabhanto imamhā dukkhā muccissāmī’’ti attano vīriyabalena āsaṃ karotheva. Na nibbindeyya paṇḍitoti paṇḍito upāyakusalo yuttaṭṭhāne vīriyaṃ karonto ‘‘ahaṃ imassa vīriyassa phalaṃ na labhissāmī’’ti na ukkaṇṭheyya, āsacchedaṃ kareyyāti attho. Passāmi vohaṃ attānanti ettha voti nipātamattaṃ , ahaṃ ajja attānaṃ passāmi. Yathā icchiṃ tathā ahūti ahañhi āvāṭe nikhāto tamhā dukkhā muccitvā puna attano rajjasampattiṃ icchiṃ, so ahaṃ imaṃ sampattiṃ pattaṃ attānaṃ passāmi. Yathevāhaṃ pubbe icchiṃ, tatheva me attā jātoti. Evaṃ bodhisatto ‘‘aho vata bho sīlasampannānaṃ vīriyaphalaṃ nāma samijjhatī’’ti imāya gāthāya udānaṃ udānetvā yāvajīvaṃ puññāni katvā yathākammaṃ gato.
สตฺถาปิ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ, สจฺจปริโยสาเน โอสฺสฎฺฐวีริโย ภิกฺขุ อรหเตฺต ปติฎฺฐาสิฯ สตฺถา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ปทุฎฺฐามโจฺจ เทวทโตฺต อโหสิ, อมจฺจสหสฺสํ พุทฺธปริสา, สีลวมหาราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthāpi imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsesi, saccapariyosāne ossaṭṭhavīriyo bhikkhu arahatte patiṭṭhāsi. Satthā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā paduṭṭhāmacco devadatto ahosi, amaccasahassaṃ buddhaparisā, sīlavamahārājā pana ahameva ahosi’’nti.
มหาสีลวชาตกวณฺณนา ปฐมาฯ
Mahāsīlavajātakavaṇṇanā paṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๑.มหาสีลวชาตกํ • 51.Mahāsīlavajātakaṃ