Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation

    ทีฆ นิกาย ๑๗

    Long Discourses 17

    มหาสุทสฺสนสุตฺต

    King Mahāsudassana

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา กุสินารายํ วิหรติ อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน อนฺตเรน ยมกสาลานํ ปรินิพฺพานสมเยฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying between a pair of sal trees in the sal forest of the Mallas at Upavattana near Kusinārā at the time of his final Nibbana.

    อถ โข อายสฺมา อานนฺโท เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “มา, ภนฺเต, ภควา อิมสฺมึ ขุทฺทกนครเก อุชฺชงฺคลนครเก สาขานครเก ปรินิพฺพายิฯ สนฺติ, ภนฺเต, อญฺญานิ มหานครานิฯ เสยฺยถิทํ—จมฺปา, ราชคหํ, สาวตฺถิ, สาเกตํ, โกสมฺพี, พาราณสี; เอตฺถ ภควา ปรินิพฺพายตุฯ เอตฺถ พหู ขตฺติยมหาสาลา พฺราหฺมณมหาสาลา คหปติมหาสาลา ตถาคเต อภิปฺปสนฺนา, เต ตถาคตสฺส สรีรปูชํ กริสฺสนฺตี”ติฯ

    Then Venerable Ānanda went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, please don’t become fully extinguished in this little hamlet, this jungle hamlet, this branch hamlet. There are other great cities such as Campā, Rājagaha, Sāvatthī, Sāketa, Kosambī, and Varanasi. Let the Buddha become fully extinguished there. There are many well-to-do aristocrats, brahmins, and householders there who are devoted to the Buddha. They will perform the rites of venerating the Realized One’s corpse.”

    “มา เหวํ, อานนฺท, อวจ; มา เหวํ, อานนฺท, อวจ: ‘ขุทฺทกนครกํ อุชฺชงฺคลนครกํ สาขานครกนฺ'ติฯ

    “Don’t say that, Ānanda! Don’t say that this is a little hamlet, a jungle hamlet, a branch hamlet.

    ๑ฯ กุสาวตีราชธานี

    1. The Capital City of Kusāvatī

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน นาม อโหสิ ขตฺติโย มุทฺธาวสิตฺโต จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโตฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส อยํ กุสินารา กุสาวตี นาม ราชธานี อโหสิฯ ปุรตฺถิเมน จ ปจฺฉิเมน จ ทฺวาทสโยชนานิ อายาเมน, อุตฺตเรน จ ทกฺขิเณน จ สตฺตโยชนานิ วิตฺถาเรนฯ กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี อิทฺธา เจว อโหสิ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณมนุสฺสา จ สุภิกฺขา จฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, เทวานํ อาฬกมนฺทา นาม ราชธานี อิทฺธา เจว โหติ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณยกฺขา จ สุภิกฺขา จ; เอวเมว โข, อานนฺท, กุสาวตี ราชธานี อิทฺธา เจว อโหสิ ผีตา จ พหุชนา จ อากิณฺณมนุสฺสา จ สุภิกฺขา จฯ

    Once upon a time there was a king named Mahāsudassana whose dominion extended to all four sides, and who achieved stability in the country. His capital was this Kusinārā, which at the time was named Kusāvatī. It stretched for twelve leagues from east to west, and seven leagues from north to south. The royal capital of Kusāvatī was successful, prosperous, populous, full of people, with plenty of food. It was just like Āḷakamandā, the royal capital of the gods, which is successful, prosperous, populous, full of spirits, with plenty of food.

    กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี ทสหิ สทฺเทหิ อวิวิตฺตา อโหสิ ทิวา เจว รตฺติญฺจ, เสยฺยถิทํ—หตฺถิสทฺเทน อสฺสสทฺเทน รถสทฺเทน เภริสทฺเทน มุทิงฺคสทฺเทน วีณาสทฺเทน คีตสทฺเทน สงฺขสทฺเทน สมฺมสทฺเทน ปาณิตาฬสทฺเทน ‘อสฺนาถ ปิวถ ขาทถา'ติ ทสเมน สทฺเทนฯ

    Kusāvatī was never free of ten sounds by day or night, namely: the sound of elephants, horses, chariots, drums, clay drums, arched harps, singing, horns, gongs, and handbells; and the cry, ‘Eat, drink, be merry!’ as the tenth.

    กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี สตฺตหิ ปากาเรหิ ปริกฺขิตฺตา อโหสิฯ เอโก ปากาโร โสวณฺณมโย, เอโก รูปิยมโย, เอโก เวฬุริยมโย, เอโก ผลิกมโย, เอโก โลหิตงฺกมโย, เอโก มสารคลฺลมโย, เอโก สพฺพรตนมโยฯ

    Kusāvatī was encircled by seven ramparts: one made of gold, one made of silver, one made of beryl, one made of crystal, one made of ruby, one made of emerald, and one made of all precious things.

    กุสาวติยา, อานนฺท, ราชธานิยา จตุนฺนํ วณฺณานํ ทฺวารานิ อเหสุํฯ เอกํ ทฺวารํ โสวณฺณมยํ, เอกํ รูปิยมยํ, เอกํ เวฬุริยมยํ, เอกํ ผลิกมยํฯ เอเกกสฺมึ ทฺวาเร สตฺต สตฺต เอสิกา นิขาตา อเหสุํ ติโปริสงฺคา ติโปริสนิขาตา ทฺวาทสโปริสา อุพฺเพเธนฯ เอกา เอสิกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยา, เอกา โลหิตงฺกมยา, เอกา มสารคลฺลมยา, เอกา สพฺพรตนมยาฯ

    It had four gates, made of gold, silver, beryl, and crystal. At each gate there were seven pillars, three fathoms deep and four fathoms high, made of gold, silver, beryl, crystal, ruby, emerald, and all precious things.

    กุสาวตี, อานนฺท, ราชธานี สตฺตหิ ตาลปนฺตีหิ ปริกฺขิตฺตา อโหสิฯ เอกา ตาลปนฺติ โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยา, เอกา โลหิตงฺกมยา, เอกา มสารคลฺลมยา, เอกา สพฺพรตนมยาฯ โสวณฺณมยสฺส ตาลสฺส โสวณฺณมโย ขนฺโธ อโหสิ, รูปิยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ รูปิยมยสฺส ตาลสฺส รูปิยมโย ขนฺโธ อโหสิ, โสวณฺณมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ เวฬุริยมยสฺส ตาลสฺส เวฬุริยมโย ขนฺโธ อโหสิ, ผลิกมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ ผลิกมยสฺส ตาลสฺส ผลิกมโย ขนฺโธ อโหสิ, เวฬุริยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ โลหิตงฺกมยสฺส ตาลสฺส โลหิตงฺกมโย ขนฺโธ อโหสิ, มสารคลฺลมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ มสารคลฺลมยสฺส ตาลสฺส มสารคลฺลมโย ขนฺโธ อโหสิ, โลหิตงฺกมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ สพฺพรตนมยสฺส ตาลสฺส สพฺพรตนมโย ขนฺโธ อโหสิ, สพฺพรตนมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ ตาสํ โข ปนานนฺท, ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ปญฺจงฺคิกสฺส ตูริยสฺส สุวินีตสฺส สุปฺปฏิตาฬิตสฺส สุกุสเลหิ สมนฺนาหตสฺส สทฺโท โหติ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จ; เอวเมว โข, อานนฺท, ตาสํ ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เย โข ปนานนฺท, เตน สมเยน กุสาวติยา ราชธานิยา ธุตฺตา อเหสุํ โสณฺฑา ปิปาสา, เต ตาสํ ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺเทน ปริจาเรสุํฯ

    It was surrounded by seven rows of palm trees, made of gold, silver, beryl, crystal, ruby, emerald, and all precious things. The golden palms had trunks of gold, and leaves and fruits of silver. The silver palms had trunks of silver, and leaves and fruits of gold. The beryl palms had trunks of beryl, and leaves and fruits of crystal. The crystal palms had trunks of crystal, and leaves and fruits of beryl. The ruby palms had trunks of ruby, and leaves and fruits of emerald. The emerald palms had trunks of emerald, and leaves and fruits of ruby. The palms of all precious things had trunks of all precious things, and leaves and fruits of all precious things. When those rows of palm trees were blown by the wind they sounded graceful, tantalizing, sensuous, lovely, and intoxicating, like a quintet made up of skilled musicians who had practiced well and kept excellent rhythm. And any addicts, carousers, or drunkards in Kusāvatī at that time were entertained by that sound.

    ๒ฯ สตฺตรตนสมนฺนาคต

    2. The Seven Treasures

    ๒ฯ๑ฯ จกฺกรตน

    2.1. The Wheel-Treasure

    ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต อโหสิ จตูหิ จ อิทฺธีหิฯ กตเมหิ สตฺตหิ?

    King Mahāsudassana possessed seven treasures and four blessings. What seven?

    อิธานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสิ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํฯ ทิสฺวา รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘สุตํ โข ปน เมตํ: “ยสฺส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ, โส โหติ ราชา จกฺกวตฺตี”ติฯ อสฺสํ นุ โข อหํ ราชา จกฺกวตฺตี'ติฯ

    On a fifteenth day Uposatha, King Mahāsudassana had bathed his head and gone upstairs in the royal longhouse to observe the Uposatha day. And the heavenly wheel-treasure appeared to him, with a thousand spokes, with rim and hub, complete in every detail. Seeing this, the king thought, ‘I have heard that when the heavenly wheel-treasure appears to a king in this way, he becomes a wheel-turning monarch. Am I then a wheel-turning monarch?’

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ กริตฺวา วาเมน หตฺเถน สุวณฺณภิงฺการํ คเหตฺวา ทกฺขิเณน หตฺเถน จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิริ: ‘ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ, อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตนนฺ'ติฯ

    Then King Mahāsudassana, rising from his seat and arranging his robe over one shoulder, took a ceremonial vase in his left hand and besprinkled the wheel-treasure with his right hand, saying: ‘Roll forth, O wheel-treasure! Triumph, O wheel-treasure!’

    อถ โข ตํ, อานนฺท, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ ทิสํ ปวตฺติ, อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนาย, ยสฺมึ โข ปนานนฺท, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาสิ, ตตฺถ ราชา มหาสุทสฺสโน วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ

    Then the wheel-treasure rolled towards the east. And the king followed it together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stood still, there the king came to stay together with his army.

    เย โข ปนานนฺท, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราช, สฺวาคตํ เต, มหาราช, สกํ เต, มหาราช, อนุสาส, มหาราชา'ติฯ

    And any opposing rulers of the eastern quarter came to him and said, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’

    ราชา มหาสุทสฺสโน เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ น อาทาตพฺพํ, กาเมสุ มิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภณิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปนานนฺท, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อนุยนฺตา อเหสุํฯ

    The king said, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the opposing rulers of the eastern quarter became his vassals.

    อถ โข ตํ, อานนฺท, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ทกฺขิณํ ทิสํ ปวตฺติ …เป…

    Then the wheel-treasure, having plunged into the eastern ocean and emerged again, rolled towards the south. …

    ทกฺขิณํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ปจฺฉิมํ ทิสํ ปวตฺติ …เป…

    Having plunged into the southern ocean and emerged again, it rolled towards the west. …

    ปจฺฉิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อุตฺตรํ ทิสํ ปวตฺติ, อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปนานนฺท, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาสิ, ตตฺถ ราชา มหาสุทสฺสโน วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ

    Having plunged into the western ocean and emerged again, it rolled towards the north, followed by the king together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stood still, there the king came to stay together with his army.

    เย โข ปนานนฺท, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราช, สฺวาคตํ เต, มหาราช, สกํ เต, มหาราช, อนุสาส, มหาราชา'ติฯ

    And any opposing rulers of the northern quarter came to him and said, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’

    ราชา มหาสุทสฺสโน เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ น อาทาตพฺพํ, กาเมสุ มิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภณิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปนานนฺท, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน, เต รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อนุยนฺตา อเหสุํฯ

    The king said, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the opposing rulers of the northern quarter became his vassals.

    อถ โข ตํ, อานนฺท, จกฺกรตนํ สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อภิวิชินิตฺวา กุสาวตึ ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อนฺเตปุรทฺวาเร อตฺถกรณปมุเข อกฺขาหตํ มญฺเญ อฏฺฐาสิ รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อนฺเตปุรํ อุปโสภยมานํฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    And then the wheel-treasure, having triumphed over this land surrounded by ocean, returned to the royal capital. There it stood still by the gate to the royal compound at the High Court as if fixed to an axle, illuminating the royal compound. Such is the wheel-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๒ฯ หตฺถิรตน

    2.2. The Elephant-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส หตฺถิรตนํ ปาตุรโหสิ สพฺพเสโต สตฺตปฺปติฏฺโฐ อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม อุโปสโถ นาม นาคราชาฯ ตํ ทิสฺวา รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส จิตฺตํ ปสีทิ: ‘ภทฺทกํ วต โภ หตฺถิยานํ, สเจ ทมถํ อุเปยฺยา'ติฯ อถ โข ตํ, อานนฺท, หตฺถิรตนํ—เสยฺยถาปิ นาม คนฺธหตฺถาชานิโย ทีฆรตฺตํ สุปริทนฺโต; เอวเมว ทมถํ อุปคจฺฉิฯ

    Next, the elephant-treasure appeared to King Mahāsudassana. It was an all-white sky-walker with psychic power, touching the ground in seven places, a king of elephants named Uposatha. Seeing him, the king was impressed, ‘This would truly be a fine elephant vehicle, if he would submit to taming.’ Then the elephant-treasure submitted to taming, as if he was a fine thoroughbred elephant that had been tamed for a long time.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตเมว หตฺถิรตนํ วีมํสมาโน ปุพฺพณฺหสมยํ อภิรุหิตฺวา สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อนุยายิตฺวา กุสาวตึ ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา ปาตราสมกาสิฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ หตฺถิรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Once it so happened that King Mahāsudassana, testing that same elephant-treasure, mounted him in the morning and traversed the land surrounded by ocean before returning to the royal capital in time for breakfast. Such is the elephant-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๓ฯ อสฺสรตน

    2.3. The Horse-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อสฺสรตนํ ปาตุรโหสิ สพฺพเสโต กาฬสีโส มุญฺชเกโส อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม วลาหโก นาม อสฺสราชาฯ ตํ ทิสฺวา รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส จิตฺตํ ปสีทิ: ‘ภทฺทกํ วต โภ อสฺสยานํ สเจ ทมถํ อุเปยฺยา'ติฯ อถ โข ตํ, อานนฺท, อสฺสรตนํ เสยฺยถาปิ นาม ภทฺโท อสฺสาชานิโย ทีฆรตฺตํ สุปริทนฺโต; เอวเมว ทมถํ อุปคจฺฉิฯ

    Next, the horse-treasure appeared to King Mahāsudassana. It was an all-white sky-walker with psychic power, with head of black and mane like woven reeds, a royal steed named Thundercloud. Seeing him, the king was impressed, ‘This would truly be a fine horse vehicle, if he would submit to taming.’ Then the horse-treasure submitted to taming, as if he was a fine thoroughbred horse that had been tamed for a long time.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตเมว อสฺสรตนํ วีมํสมาโน ปุพฺพณฺหสมยํ อภิรุหิตฺวา สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อนุยายิตฺวา กุสาวตึ ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา ปาตราสมกาสิฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ อสฺสรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Once it so happened that King Mahāsudassana, testing that same horse-treasure, mounted him in the morning and traversed the land surrounded by ocean before returning to the royal capital in time for breakfast. Such is the horse-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๔ฯ มณิรตน

    2.4. The Jewel-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส มณิรตนํ ปาตุรโหสิฯ โส อโหสิ มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโต อจฺโฉ วิปฺปสนฺโน อนาวิโล สพฺพาการสมฺปนฺโนฯ ตสฺส โข ปนานนฺท, มณิรตนสฺส อาภา สมนฺตา โยชนํ ผุฏา อโหสิฯ

    Next, the jewel-treasure appeared to King Mahāsudassana. It was a beryl gem that was naturally beautiful, eight-faceted, well-worked, transparent, clear, and unclouded, endowed with all good qualities. And the radiance of that jewel spread all-round for a league.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตเมว มณิรตนํ วีมํสมาโน จตุรงฺคินึ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา มณึ ธชคฺคํ อาโรเปตฺวา รตฺตนฺธการติมิสาย ปายาสิฯ เย โข ปนานนฺท, สมนฺตา คามา อเหสุํ, เต เตโนภาเสน กมฺมนฺเต ปโยเชสุํ ทิวาติ มญฺญมานาฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ มณิรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Once it so happened that King Mahāsudassana, testing that same jewel-treasure, mobilized his army of four divisions and, with the jewel hoisted on his banner, set out in the dark of the night. Then the villagers around them set off to work, thinking that it was day. Such is the jewel-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๕ฯ อิตฺถิรตน

    2.5. The Woman-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อิตฺถิรตนํ ปาตุรโหสิ อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา นาติทีฆา นาติรสฺสา นาติกิสา นาติถูลา นาติกาฬิกา นาจฺโจทาตา อติกฺกนฺตา มานุสิวณฺณํ อปฺปตฺตา ทิพฺพวณฺณํฯ ตสฺส โข ปนานนฺท, อิตฺถิรตนสฺส เอวรูโป กายสมฺผโสฺส โหติ, เสยฺยถาปิ นาม ตูลปิจุโน วา กปฺปาสปิจุโน วาฯ ตสฺส โข ปนานนฺท, อิตฺถิรตนสฺส สีเต อุณฺหานิ คตฺตานิ โหนฺติ, อุเณฺห สีตานิฯ ตสฺส โข ปนานนฺท, อิตฺถิรตนสฺส กายโต จนฺทนคนฺโธ วายติ, มุขโต อุปฺปลคนฺโธฯ ตํ โข ปนานนฺท, อิตฺถิรตนํ รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ปุพฺพุฏฺฐายินี อโหสิ ปจฺฉานิปาตินี กิงฺการปฏิสฺสาวินี มนาปจารินี ปิยวาทินีฯ ตํ โข ปนานนฺท, อิตฺถิรตนํ ราชานํ มหาสุทสฺสนํ มนสาปิ โน อติจริ, กุโต ปน กาเยนฯ รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Next, the woman-treasure appeared to King Mahāsudassana. She was attractive, good-looking, lovely, of surpassing beauty. She was neither too tall nor too short; neither too thin nor too fat; neither too dark nor too light. She outdid human beauty without reaching divine beauty. And her touch was like a tuft of cotton-wool or kapok. When it was cool her limbs were warm, and when it was warm her limbs were cool. The fragrance of sandal floated from her body, and lotus from her mouth. She got up before the king and went to bed after him, and was obliging, behaving nicely and speaking politely. The woman-treasure did not betray the wheel-turning monarch even in thought, still less in deed. Such is the woman-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๖ฯ คหปติรตน

    2.6. The Householder-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส คหปติรตนํ ปาตุรโหสิฯ ตสฺส กมฺมวิปากชํ ทิพฺพจกฺขุ ปาตุรโหสิ เยน นิธึ ปสฺสติ สสฺสามิกมฺปิ อสฺสามิกมฺปิฯ

    Next, the householder-treasure appeared to King Mahāsudassana. The power of clairvoyance manifested in him as a result of past deeds, by which he sees hidden treasure, both owned and ownerless.

    โส ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, เทว, โหหิ, อหํ เต ธเนน ธนกรณียํ กริสฺสามี'ติฯ

    He approached the king and said, ‘Relax, sire. I will take care of the treasury.’

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตเมว คหปติรตนํ วีมํสมาโน นาวํ อภิรุหิตฺวา มชฺเฌ คงฺคาย นทิยา โสตํ โอคาหิตฺวา คหปติรตนํ เอตทโวจ: ‘อตฺโถ เม, คหปติ, หิรญฺญสุวณฺเณนา'ติฯ

    Once it so happened that the wheel-turning monarch, testing that same householder-treasure, boarded a boat and sailed to the middle of the Ganges river. Then he said to the householder-treasure, ‘Householder, I need gold coins and bullion.’

    ‘เตน หิ, มหาราช, เอกํ ตีรํ นาวา อุเปตู'ติฯ

    ‘Well then, great king, draw the boat up to one shore.’

    ‘อิเธว เม, คหปติ, อตฺโถ หิรญฺญสุวณฺเณนา'ติฯ

    ‘It’s right here, householder, that I need gold coins and bullion.’

    อถ โข ตํ, อานนฺท, คหปติรตนํ อุโภหิ หตฺเถหิ อุทกํ โอมสิตฺวา ปูรํ หิรญฺญสุวณฺณสฺส กุมฺภึ อุทฺธริตฺวา ราชานํ มหาสุทสฺสนํ เอตทโวจ: ‘อลเมตฺตาวตา, มหาราช, กตเมตฺตาวตา, มหาราช, ปูชิตเมตฺตาวตา, มหาราชา'ติ?

    Then that householder-treasure, immersing both hands in the water, pulled up a pot full of gold coin and bullion, and said to the king, ‘Is this sufficient, great king? Has enough been done, great king, enough offered?’

    ราชา มหาสุทสฺสโน เอวมาห: ‘อลเมตฺตาวตา, คหปติ, กตเมตฺตาวตา, คหปติ, ปูชิตเมตฺตาวตา, คหปตี'ติฯ

    The king said, ‘That is sufficient, householder. Enough has been done, enough offered.’

    รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ คหปติรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Such is the householder-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ๒ฯ๗ฯ ปริณายกรตน

    2.7. The Counselor-Treasure

    ปุน จปรํ, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ปริณายกรตนํ ปาตุรโหสิ ปณฺฑิโต วิยตฺโต เมธาวี ปฏิพโล ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปยาเปตพฺพํ อุปยาเปตุํ, อปยาเปตพฺพํ อปยาเปตุํ, ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํฯ

    Next, the counselor-treasure appeared to King Mahāsudassana. He was astute, competent, intelligent, and capable of getting the king to appoint who should be appointed, dismiss who should be dismissed, and retain who should be retained.

    โส ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, เทว, โหหิ, อหมนุสาสิสฺสามี'ติฯ

    He approached the king and said, ‘Relax, sire. I shall issue instructions.’

    รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส เอวรูปํ ปริณายกรตนํ ปาตุรโหสิฯ

    Such is the counselor-treasure that appeared to King Mahāsudassana.

    ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิเมหิ สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    These are the seven treasures possessed by King Mahāsudassana.

    ๓ฯ จตุอิทฺธิสมนฺนาคต

    3. The Four Blessings

    ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน จตูหิ อิทฺธีหิ สมนฺนาคโต อโหสิฯ กตมาหิ จตูหิ อิทฺธีหิ?

    King Mahāsudassana possessed four blessings. And what are the four blessings?

    อิธานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน อภิรูโป อโหสิ ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโต อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิมาย ปฐมาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    He was attractive, good-looking, lovely, of surpassing beauty, more so than other people. This is the first blessing.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ทีฆายุโก อโหสิ จิรฏฺฐิติโก อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิมาย ทุติยาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    Furthermore, he was long-lived, more so than other people. This is the second blessing.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน อปฺปาพาโธ อโหสิ อปฺปาตงฺโก สมเวปากินิยา คหณิยา สมนฺนาคโต นาติสีตาย นาจฺจุณฺหาย อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิมาย ตติยาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    Furthermore, he was rarely ill or unwell, and his stomach digested well, being neither too hot nor too cold, more so than other people. This is the third blessing.

    ปุน จปรํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน พฺราหฺมณคหปติกานํ ปิโย อโหสิ มนาโปฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ปิตา ปุตฺตานํ ปิโย โหติ มนาโป; เอวเมว โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน พฺราหฺมณคหปติกานํ ปิโย อโหสิ มนาโปฯ รญฺโญปิ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส พฺราหฺมณคหปติกา ปิยา อเหสุํ มนาปาฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ปิตุ ปุตฺตา ปิยา โหนฺติ มนาปา; เอวเมว โข, อานนฺท, รญฺโญปิ มหาสุทสฺสนสฺส พฺราหฺมณคหปติกา ปิยา อเหสุํ มนาปาฯ

    Furthermore, he was as dear and beloved to the brahmins and householders as a father is to his children. And the brahmins and householders were as dear to the king as children are to their father.

    ภูตปุพฺพํ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน จตุรงฺคินิยา เสนาย อุยฺยานภูมึ นิยฺยาสิฯ อถ โข, อานนฺท, พฺราหฺมณคหปติกา ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘อตรมาโน, เทว, ยาหิ, ยถา ตํ มยํ จิรตรํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ ราชาปิ, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน สารถึ อามนฺเตสิ: ‘อตรมาโน, สารถิ, รถํ เปเสหิ, ยถา อหํ พฺราหฺมณคหปติเก จิรตรํ ปเสฺสยฺยนฺ'ติฯ ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิมาย จตุตฺถิยา อิทฺธิยา สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    Once it so happened that King Mahāsudassana went with his army of four divisions to visit a park. Then the brahmins and householders went up to him and said, ‘Slow down, Your Majesty, so we may see you longer!’ And the king addressed his charioteer, ‘Drive slowly, charioteer, so I can see the brahmins and householders longer!’ This is the fourth blessing.

    ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน อิมาหิ จตูหิ อิทฺธีหิ สมนฺนาคโต อโหสิฯ

    These are the four blessings possessed by King Mahāsudassana.

    ๔ฯ ธมฺมปาสาทโปกฺขรณี

    4. Lotus Ponds in the Palace of Principle

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อิมาสุ ตาลนฺตริกาสุ ธนุสเต ธนุสเต โปกฺขรณิโย มาเปยฺยนฺ'ติฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I have lotus ponds built between the palms, at intervals of a hundred bow lengths?’

    มาเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตาสุ ตาลนฺตริกาสุ ธนุสเต ธนุสเต โปกฺขรณิโยฯ ตา โข ปนานนฺท, โปกฺขรณิโย จตุนฺนํ วณฺณานํ อิฏฺฐกาหิ จิตา อเหสุํ—เอกา อิฏฺฐกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยาฯ

    So that’s what he did. The lotus ponds were lined with tiles of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal.

    ตาสุ โข ปนานนฺท, โปกฺขรณีสุ จตฺตาริ จตฺตาริ โสปานานิ อเหสุํ จตุนฺนํ วณฺณานํ, เอกํ โสปานํ โสวณฺณมยํ เอกํ รูปิยมยํ เอกํ เวฬุริยมยํ เอกํ ผลิกมยํฯ โสวณฺณมยสฺส โสปานสฺส โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ, รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยสฺส โสปานสฺส รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ, โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ เวฬุริยมยสฺส โสปานสฺส เวฬุริยมยา ถมฺภา อเหสุํ, ผลิกมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ ผลิกมยสฺส โสปานสฺส ผลิกมยา ถมฺภา อเหสุํ, เวฬุริยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ ตา โข ปนานนฺท, โปกฺขรณิโย ทฺวีหิ เวทิกาหิ ปริกฺขิตฺตา อเหสุํ เอกา เวทิกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยาฯ โสวณฺณมยาย เวทิกาย โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ, รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยาย เวทิกาย รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ, โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ

    And four flights of stairs of four colors descended into each lotus pond, made of gold, silver, beryl, and crystal. The golden stairs had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver stairs had posts of silver, and banisters and finials of gold. The beryl stairs had posts of beryl, and banisters and finials of crystal. The crystal stairs had posts of crystal, and banisters and finials of beryl. Those lotus ponds were surrounded by two balustrades, made of gold and silver. The golden balustrades had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver balustrades had posts of silver, and banisters and finials of gold.

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อิมาสุ โปกฺขรณีสุ เอวรูปํ มาลํ โรปาเปยฺยํ อุปฺปลํ ปทุมํ กุมุทํ ปุณฺฑรีกํ สพฺโพตุกํ สพฺพชนสฺส อนาวฏนฺ'ติฯ โรปาเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตาสุ โปกฺขรณีสุ เอวรูปํ มาลํ อุปฺปลํ ปทุมํ กุมุทํ ปุณฺฑรีกํ สพฺโพตุกํ สพฺพชนสฺส อนาวฏํฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I plant flowers in the lotus ponds such as blue water lilies, and lotuses of pink, yellow, and white, blooming all year round, and accessible to the public?’ So that’s what he did.

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อิมาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร นฺหาปเก ปุริเส ฐเปยฺยํ, เย อาคตาคตํ ชนํ นฺหาเปสฺสนฺตี'ติฯ ฐเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร นฺหาปเก ปุริเส, เย อาคตาคตํ ชนํ นฺหาเปสุํฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I appoint bath attendants to help bathe the people who come to bathe in the lotus ponds?’ So that’s what he did.

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ อิมาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร เอวรูปํ ทานํ ปฏฺฐเปยฺยํ—อนฺนํ อนฺนฏฺฐิกสฺส, ปานํ ปานฏฺฐิกสฺส, วตฺถํ วตฺถฏฺฐิกสฺส, ยานํ ยานฏฺฐิกสฺส, สยนํ สยนฏฺฐิกสฺส, อิตฺถึ อิตฺถิฏฺฐิกสฺส, หิรญฺญํ หิรญฺญฏฺฐิกสฺส, สุวณฺณํ สุวณฺณฏฺฐิกสฺสา'ติฯ ปฏฺฐเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร เอวรูปํ ทานํ—อนฺนํ อนฺนฏฺฐิกสฺส, ปานํ ปานฏฺฐิกสฺส, วตฺถํ วตฺถฏฺฐิกสฺส, ยานํ ยานฏฺฐิกสฺส, สยนํ สยนฏฺฐิกสฺส, อิตฺถึ อิตฺถิฏฺฐิกสฺส, หิรญฺญํ หิรญฺญฏฺฐิกสฺส, สุวณฺณํ สุวณฺณฏฺฐิกสฺสฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I set up charities on the banks of the lotus ponds, so that those in need of food, drink, clothes, vehicles, beds, women, gold, or silver can get what they need?’ So that’s what he did.

    อถ โข, อานนฺท, พฺราหฺมณคหปติกา ปหูตํ สาปเตยฺยํ อาทาย ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘อิทํ, เทว, ปหูตํ สาปเตยฺยํ เทวญฺเญว อุทฺทิสฺส อาภตํ, ตํ เทโว ปฏิคฺคณฺหตู'ติฯ

    Then the brahmins and householders came to the king bringing abundant wealth and said, ‘Sire, this abundant wealth is specially for you alone; may Your Highness accept it!’

    ‘อลํ, โภ, มมปิทํ ปหูตํ สาปเตยฺยํ ธมฺมิเกน พลินา อภิสงฺขตํ, ตญฺจ โว โหตุ, อิโต จ ภิโยฺย หรถา'ติฯ

    ‘There’s enough raised for me through regular taxes. Let this be for you; and here, take even more!’

    เต รญฺญา ปฏิกฺขิตฺตา เอกมนฺตํ อปกฺกมฺม เอวํ สมจินฺเตสุํ: ‘น โข เอตํ อมฺหากํ ปติรูปํ, ยํ มยํ อิมานิ สาปเตยฺยานิ ปุนเทว สกานิ ฆรานิ ปฏิหเรยฺยามฯ ยนฺนูน มยํ รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส นิเวสนํ มาเปยฺยามา'ติฯ

    When the king turned them down, they withdrew to one side to think up a plan, ‘It wouldn’t be proper for us to take this abundant wealth back to our own homes. Why don’t we build a home for King Mahāsudassana?’

    เต ราชานํ มหาสุทสฺสนํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘นิเวสนํ เต, เทว, มาเปสฺสามา'ติฯ อธิวาเสสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตุณฺหีภาเวนฯ

    They went up to the king and said, ‘We shall have a home built for you, sire!’ King Mahāsudassana consented with silence.

    อถ โข, อานนฺท, สกฺโก เทวานมินฺโท รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เจตสา เจโตปริวิตกฺกมญฺญาย วิสฺสกมฺมํ เทวปุตฺตํ อามนฺเตสิ: ‘เอหิ ตฺวํ, สมฺม วิสฺสกมฺม, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส นิเวสนํ มาเปหิ ธมฺมํ นาม ปาสาทนฺ'ติฯ

    And then Sakka, lord of gods, knowing what the king was thinking, addressed the god Vissakamma, ‘Come, dear Vissakamma, build a palace named Principle as a home for King Mahāsudassana.’

    ‘เอวํ, ภทฺทนฺตวา'ติ โข, อานนฺท, วิสฺสกมฺโม เทวปุตฺโต สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส ปฏิสฺสุตฺวา เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย ปสาริตํ วา พาหํ สมิญฺเชยฺย; เอวเมว—เทเวสุ ตาวตึเสสุ อนฺตรหิโต รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ปุรโต ปาตุรโหสิฯ

    ‘Yes, lord,’ replied Vissakamma. Then, as easily as a strong person would extend or contract their arm, he vanished from the gods of the Thirty-Three and appeared in front of King Mahāsudassana.

    อถ โข, อานนฺท, วิสฺสกมฺโม เทวปุตฺโต ราชานํ มหาสุทสฺสนํ เอตทโวจ: ‘นิเวสนํ เต, เทว, มาเปสฺสามิ ธมฺมํ นาม ปาสาทนฺ'ติฯ อธิวาเสสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ตุณฺหีภาเวนฯ

    Vissakamma said to the king, ‘I shall build a palace named Principle as a home for you, sire.’ King Mahāsudassana consented with silence.

    มาเปสิ โข, อานนฺท, วิสฺสกมฺโม เทวปุตฺโต รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส นิเวสนํ ธมฺมํ นาม ปาสาทํฯ

    And so that’s what Vissakamma did.

    ธมฺโม, อานนฺท, ปาสาโท ปุรตฺถิเมน ปจฺฉิเมน จ โยชนํ อายาเมน อโหสิฯ อุตฺตเรน ทกฺขิเณน จ อฑฺฒโยชนํ วิตฺถาเรนฯ ธมฺมสฺส, อานนฺท, ปาสาทสฺส ติโปริสํ อุจฺจตเรน วตฺถุ จิตํ อโหสิ จตุนฺนํ วณฺณานํ อิฏฺฐกาหิ—เอกา อิฏฺฐกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยาฯ

    The Palace of Principle stretched for a league from east to west, and half a league from north to south. It was lined with tiles of four colors, three fathoms high, made of gold, silver, beryl, and crystal.

    ธมฺมสฺส, อานนฺท, ปาสาทสฺส จตุราสีติถมฺภสหสฺสานิ อเหสุํ จตุนฺนํ วณฺณานํ—เอโก ถมฺโภ โสวณฺณมโย, เอโก รูปิยมโย, เอโก เวฬุริยมโย, เอโก ผลิกมโยฯ ธมฺโม, อานนฺท, ปาสาโท จตุนฺนํ วณฺณานํ ผลเกหิ สนฺถโต อโหสิ—เอกํ ผลกํ โสวณฺณมยํ, เอกํ รูปิยมยํ, เอกํ เวฬุริยมยํ, เอกํ ผลิกมยํฯ

    It had 84,000 pillars of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal. It was covered with panels of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal.

    ธมฺมสฺส, อานนฺท, ปาสาทสฺส จตุวีสติ โสปานานิ อเหสุํ จตุนฺนํ วณฺณานํ—เอกํ โสปานํ โสวณฺณมยํ, เอกํ รูปิยมยํ, เอกํ เวฬุริยมยํ, เอกํ ผลิกมยํฯ โสวณฺณมยสฺส โสปานสฺส โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยสฺส โสปานสฺส รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ เวฬุริยมยสฺส โสปานสฺส เวฬุริยมยา ถมฺภา อเหสุํ ผลิกมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ ผลิกมยสฺส โสปานสฺส ผลิกมยา ถมฺภา อเหสุํ เวฬุริยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ

    It had twenty-four staircases of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal. The golden stairs had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver stairs had posts of silver, and banisters and finials of gold. The beryl stairs had posts of beryl, and banisters and finials of crystal. The crystal stairs had posts of crystal, and banisters and finials of beryl.

    ธมฺเม, อานนฺท, ปาสาเท จตุราสีติกูฏาคารสหสฺสานิ อเหสุํ จตุนฺนํ วณฺณานํ—เอกํ กูฏาคารํ โสวณฺณมยํ, เอกํ รูปิยมยํ, เอกํ เวฬุริยมยํ, เอกํ ผลิกมยํฯ โสวณฺณมเย กูฏาคาเร รูปิยมโย ปลฺลงฺโก ปญฺญตฺโต อโหสิ, รูปิยมเย กูฏาคาเร โสวณฺณมโย ปลฺลงฺโก ปญฺญตฺโต อโหสิ, เวฬุริยมเย กูฏาคาเร ทนฺตมโย ปลฺลงฺโก ปญฺญตฺโต อโหสิ, ผลิกมเย กูฏาคาเร สารมโย ปลฺลงฺโก ปญฺญตฺโต อโหสิฯ โสวณฺณมยสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร รูปิยมโย ตาโล ฐิโต อโหสิ, ตสฺส รูปิยมโย ขนฺโธ โสวณฺณมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ รูปิยมยสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร โสวณฺณมโย ตาโล ฐิโต อโหสิ, ตสฺส โสวณฺณมโย ขนฺโธ, รูปิยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ เวฬุริยมยสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร ผลิกมโย ตาโล ฐิโต อโหสิ, ตสฺส ผลิกมโย ขนฺโธ, เวฬุริยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ ผลิกมยสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร เวฬุริยมโย ตาโล ฐิโต อโหสิ, ตสฺส เวฬุริยมโย ขนฺโธ, ผลิกมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ

    It had 84,000 chambers of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal. In each chamber a couch was spread: in the golden chamber a couch of silver; in the silver chamber a couch of gold; in the beryl chamber a couch of ivory; in the crystal chamber a couch of hardwood. At the door of the golden chamber stood a palm tree of silver, with trunk of silver, and leaves and fruits of gold. At the door of the silver chamber stood a palm tree of gold, with trunk of gold, and leaves and fruits of silver. At the door of the beryl chamber stood a palm tree of crystal, with trunk of crystal, and leaves and fruits of beryl. At the door of the crystal chamber stood a palm tree of beryl, with trunk of beryl, and leaves and fruits of crystal.

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ มหาวิยูหสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร สพฺพโสวณฺณมยํ ตาลวนํ มาเปยฺยํ, ยตฺถ ทิวาวิหารํ นิสีทิสฺสามี'ติฯ มาเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน มหาวิยูหสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร สพฺพโสวณฺณมยํ ตาลวนํ, ยตฺถ ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I build a grove of golden palm trees at the door to the great foyer, where I can sit for the day?’ So that’s what he did.

    ธมฺโม, อานนฺท, ปาสาโท ทฺวีหิ เวทิกาหิ ปริกฺขิตฺโต อโหสิ, เอกา เวทิกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยาฯ โสวณฺณมยาย เวทิกาย โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ, รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยาย เวทิกาย รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ, โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ

    The Palace of Principle was surrounded by two balustrades, made of gold and silver. The golden balustrades had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver balustrades had posts of silver, and banisters and finials of gold.

    ธมฺโม, อานนฺท, ปาสาโท ทฺวีหิ กิงฺกิณิกชาเลหิ ปริกฺขิตฺโต อโหสิ—เอกํ ชาลํ โสวณฺณมยํ เอกํ รูปิยมยํฯ โสวณฺณมยสฺส ชาลสฺส รูปิยมยา กิงฺกิณิกา อเหสุํ, รูปิยมยสฺส ชาลสฺส โสวณฺณมยา กิงฺกิณิกา อเหสุํฯ เตสํ โข ปนานนฺท, กิงฺกิณิกชาลานํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ปญฺจงฺคิกสฺส ตูริยสฺส สุวินีตสฺส สุปฺปฏิตาฬิตสฺส สุกุสเลหิ สมนฺนาหตสฺส สทฺโท โหติ, วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จ; เอวเมว โข, อานนฺท, เตสํ กิงฺกิณิกชาลานํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เย โข ปนานนฺท, เตน สมเยน กุสาวติยา ราชธานิยา ธุตฺตา อเหสุํ โสณฺฑา ปิปาสา, เต เตสํ กิงฺกิณิกชาลานํ วาเตริตานํ สทฺเทน ปริจาเรสุํฯ นิฏฺฐิโต โข ปนานนฺท, ธมฺโม ปาสาโท ทุทฺทิกฺโข อโหสิ มุสติ จกฺขูนิฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, วสฺสานํ ปจฺฉิเม มาเส สรทสมเย วิทฺเธ วิคตวลาหเก เทเว อาทิจฺโจ นภํ อพฺภุสฺสกฺกมาโน ทุทฺทิกฺโข โหติ มุสติ จกฺขูนิ; เอวเมว โข, อานนฺท, ธมฺโม ปาสาโท ทุทฺทิกฺโข อโหสิ มุสติ จกฺขูนิฯ

    The Palace of Principle was surrounded by two nets of bells, made of gold and silver. The golden net had bells of silver, and the silver net had bells of gold. When those nets of bells were blown by the wind they sounded graceful, tantalizing, sensuous, lovely, and intoxicating, like a quintet made up of skilled musicians who had practiced well and kept excellent rhythm. And any addicts, carousers, or drunkards in Kusāvatī at that time were entertained by that sound. When it was finished, the palace was hard to look at, dazzling to the eyes, like the sun rising in a clear and cloudless sky in the last month of the rainy season.

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ยนฺนูนาหํ ธมฺมสฺส ปาสาทสฺส ปุรโต ธมฺมํ นาม โปกฺขรณึ มาเปยฺยนฺ'ติฯ มาเปสิ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ธมฺมสฺส ปาสาทสฺส ปุรโต ธมฺมํ นาม โปกฺขรณึฯ ธมฺมา, อานนฺท, โปกฺขรณี ปุรตฺถิเมน ปจฺฉิเมน จ โยชนํ อายาเมน อโหสิ, อุตฺตเรน ทกฺขิเณน จ อฑฺฒโยชนํ วิตฺถาเรนฯ ธมฺมา, อานนฺท, โปกฺขรณี จตุนฺนํ วณฺณานํ อิฏฺฐกาหิ จิตา อโหสิ—เอกา อิฏฺฐกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยาฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Why don’t I build a lotus pond named Principle in front of the palace?’ So that’s what he did. The Lotus Pond of Principle stretched for a league from east to west, and half a league from north to south. It was lined with tiles of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal.

    ธมฺมาย, อานนฺท, โปกฺขรณิยา จตุวีสติ โสปานานิ อเหสุํ จตุนฺนํ วณฺณานํ—เอกํ โสปานํ โสวณฺณมยํ, เอกํ รูปิยมยํ, เอกํ เวฬุริยมยํ, เอกํ ผลิกมยํฯ โสวณฺณมยสฺส โสปานสฺส โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยสฺส โสปานสฺส รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ เวฬุริยมยสฺส โสปานสฺส เวฬุริยมยา ถมฺภา อเหสุํ ผลิกมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ ผลิกมยสฺส โสปานสฺส ผลิกมยา ถมฺภา อเหสุํ เวฬุริยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ

    It had twenty-four staircases of four colors, made of gold, silver, beryl, and crystal. The golden stairs had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver stairs had posts of silver, and banisters and finials of gold. The beryl stairs had posts of beryl, and banisters and finials of crystal. The crystal stairs had posts of crystal, and banisters and finials of beryl.

    ธมฺมา, อานนฺท, โปกฺขรณี ทฺวีหิ เวทิกาหิ ปริกฺขิตฺตา อโหสิ—เอกา เวทิกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยาฯ โสวณฺณมยาย เวทิกาย โสวณฺณมยา ถมฺภา อเหสุํ รูปิยมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ รูปิยมยาย เวทิกาย รูปิยมยา ถมฺภา อเหสุํ โสวณฺณมยา สูจิโย จ อุณฺหีสญฺจฯ

    It was surrounded by two balustrades, made of gold and silver. The golden balustrades had posts of gold, and banisters and finials of silver. The silver balustrades had posts of silver, and banisters and finials of gold.

    ธมฺมา, อานนฺท, โปกฺขรณี สตฺตหิ ตาลปนฺตีหิ ปริกฺขิตฺตา อโหสิ—เอกา ตาลปนฺติ โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยา, เอกา โลหิตงฺกมยา, เอกา มสารคลฺลมยา, เอกา สพฺพรตนมยาฯ โสวณฺณมยสฺส ตาลสฺส โสวณฺณมโย ขนฺโธ อโหสิ รูปิยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ รูปิยมยสฺส ตาลสฺส รูปิยมโย ขนฺโธ อโหสิ โสวณฺณมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ เวฬุริยมยสฺส ตาลสฺส เวฬุริยมโย ขนฺโธ อโหสิ ผลิกมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ ผลิกมยสฺส ตาลสฺส ผลิกมโย ขนฺโธ อโหสิ เวฬุริยมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ โลหิตงฺกมยสฺส ตาลสฺส โลหิตงฺกมโย ขนฺโธ อโหสิ มสารคลฺลมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ มสารคลฺลมยสฺส ตาลสฺส มสารคลฺลมโย ขนฺโธ อโหสิ โลหิตงฺกมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ สพฺพรตนมยสฺส ตาลสฺส สพฺพรตนมโย ขนฺโธ อโหสิ, สพฺพรตนมยานิ ปตฺตานิ จ ผลานิ จฯ ตาสํ โข ปนานนฺท, ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ, วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, ปญฺจงฺคิกสฺส ตูริยสฺส สุวินีตสฺส สุปฺปฏิตาฬิตสฺส สุกุสเลหิ สมนฺนาหตสฺส สทฺโท โหติ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จ; เอวเมว โข, อานนฺท, ตาสํ ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺโท อโหสิ วคฺคุ จ รชนีโย จ ขมนีโย จ มทนีโย จฯ เย โข ปนานนฺท, เตน สมเยน กุสาวติยา ราชธานิยา ธุตฺตา อเหสุํ โสณฺฑา ปิปาสา, เต ตาสํ ตาลปนฺตีนํ วาเตริตานํ สทฺเทน ปริจาเรสุํฯ

    It was surrounded by seven rows of palm trees, made of gold, silver, beryl, crystal, ruby, emerald, and all precious things. The golden palms had trunks of gold, and leaves and fruits of silver. The silver palms had trunks of silver, and leaves and fruits of gold. The beryl palms had trunks of beryl, and leaves and fruits of crystal. The crystal palms had trunks of crystal, and leaves and fruits of beryl. The ruby palms had trunks of ruby, and leaves and fruits of emerald. The emerald palms had trunks of emerald, and leaves and fruits of ruby. The palms of all precious things had trunks of all precious things, and leaves and fruits of all precious things. When those rows of palm trees were blown by the wind they sounded graceful, tantalizing, sensuous, lovely, and intoxicating, like a quintet made up of skilled musicians who had practiced well and kept excellent rhythm. And any addicts, carousers, or drunkards in Kusāvatī at that time were entertained by that sound.

    นิฏฺฐิเต โข ปนานนฺท, ธมฺเม ปาสาเท นิฏฺฐิตาย ธมฺมาย จ โปกฺขรณิยา ราชา มหาสุทสฺสโน ‘เย เตน สมเยน สมเณสุ วา สมณสมฺมตา พฺราหฺมเณสุ วา พฺราหฺมณสมฺมตา', เต สพฺพกาเมหิ สนฺตปฺเปตฺวา ธมฺมํ ปาสาทํ อภิรุหิฯ

    When the palace and its lotus pond were finished, King Mahāsudassana served those who were deemed true ascetics and brahmins with all they desired. Then he ascended the Palace of Principle.

    ปฐมภาณวาโรฯ

    The first recitation section.

    ๕ฯ ฌานสมฺปตฺติ

    5. Attaining Absorption

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘กิสฺส นุ โข เม อิทํ กมฺมสฺส ผลํ กิสฺส กมฺมสฺส วิปาโก, เยนาหํ เอตรหิ เอวํมหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว'ติ?

    Then King Mahāsudassana thought, ‘Of what deed of mine is this the fruit and result, that I am now so mighty and powerful?’

    อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘ติณฺณํ โข เม อิทํ กมฺมานํ ผลํ ติณฺณํ กมฺมานํ วิปาโก, เยนาหํ เอตรหิ เอวํมหิทฺธิโก เอวํมหานุภาโว, เสยฺยถิทํ—ทานสฺส ทมสฺส สํยมสฺสา'ติฯ

    Then King Mahāsudassana thought, ‘It is the fruit and result of three kinds of deeds: giving, self-control, and restraint.’

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน เยน มหาวิยูหํ กูฏาคารํ เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา มหาวิยูหสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวาเร ฐิโต อุทานํ อุทาเนสิ: ‘ติฏฺฐ, กามวิตกฺก, ติฏฺฐ, พฺยาปาทวิตกฺก, ติฏฺฐ, วิหึสาวิตกฺกฯ เอตฺตาวตา, กามวิตกฺก, เอตฺตาวตา, พฺยาปาทวิตกฺก, เอตฺตาวตา, วิหึสาวิตกฺกา'ติฯ

    Then he went to the great foyer, stood at the door, and expressed this heartfelt sentiment: ‘Stop here, sensual, malicious, and cruel thoughts—no further!’

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน มหาวิยูหํ กูฏาคารํ ปวิสิตฺวา โสวณฺณมเย ปลฺลงฺเก นิสินฺโน วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหาสิ, สโต จ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทสิ, ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ: ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี'ติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสิฯ

    Then he entered the great foyer and sat on the golden couch. Quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, he entered and remained in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. As the placing of the mind and keeping it connected were stilled, he entered and remained in the second jhāna, which has the rapture and bliss born of immersion, with internal clarity and mind at one, without placing the mind and keeping it connected. And with the fading away of rapture, he entered and remained in the third jhāna, where he meditated with equanimity, mindful and aware, personally experiencing the bliss of which the noble ones declare, ‘Equanimous and mindful, one meditates in bliss.’ With the giving up of pleasure and pain, and the ending of former happiness and sadness, he entered and remained in the fourth jhāna, without pleasure or pain, with pure equanimity and mindfulness.

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน มหาวิยูหา กูฏาคารา นิกฺขมิตฺวา โสวณฺณมยํ กูฏาคารํ ปวิสิตฺวา รูปิยมเย ปลฺลงฺเก นิสินฺโน เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิฯ ตถา ทุติยํ ตถา ตติยํ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหาสิฯ กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหาสิฯ ตถา ทุติยํ ตถา ตติยํ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหาสิฯ

    Then King Mahāsudassana left the great foyer and entered the golden chamber, where he sat on the golden couch. He meditated spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way he spread a heart full of love above, below, across, everywhere, all around, to everyone in the world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. He meditated spreading a heart full of compassion … He meditated spreading a heart full of rejoicing … He meditated spreading a heart full of equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, he spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.

    ๖ฯ จตุราสีตินครสหสฺสาทิ

    6. Of All Cities

    รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส จตุราสีติ นครสหสฺสานิ อเหสุํ กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานิ; จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานิ อเหสุํ ธมฺมปาสาทปฺปมุขานิ; จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานิ อเหสุํ มหาวิยูหกูฏาคารปฺปมุขานิ; จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ อเหสุํ โสวณฺณมยานิ รูปิยมยานิ ทนฺตมยานิ สารมยานิ โคนกตฺถตานิ ปฏิกตฺถตานิ ปฏลิกตฺถตานิ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณานิ เสาตฺตรจฺฉทานิ อุภโตโลหิตกูปธานานิ; จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ อเหสุํ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ อุโปสถนาคราชปฺปมุขานิ; จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานิ อเหสุํ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ วลาหกอสฺสราชปฺปมุขานิ; จตุราสีติ รถสหสฺสานิ อเหสุํ สีหจมฺมปริวารานิ พฺยคฺฆจมฺมปริวารานิ ทีปิจมฺมปริวารานิ ปณฺฑุกมฺพลปริวารานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ เวชยนฺตรถปฺปมุขานิ; จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ อเหสุํ มณิรตนปฺปมุขานิ; จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ อเหสุํ สุภทฺทาเทวิปฺปมุขานิ; จตุราสีติ คหปติสหสฺสานิ อเหสุํ คหปติรตนปฺปมุขานิ; จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อเหสุํ อนุยนฺตานิ ปริณายกรตนปฺปมุขานิ; จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ อเหสุํ ทุหสนฺทนานิ กํสูปธารณานิ; จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานิ อเหสุํ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิกสุขุมานํ โกเสยฺยสุขุมานํ กมฺพลสุขุมานํ; รญฺโญ, อานนฺท, มหาสุทสฺสนสฺส จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ อเหสุํ สายํ ปาตํ ภตฺตาภิหาโร อภิหริยิตฺถฯ

    King Mahāsudassana had 84,000 cities, with the royal capital of Kusāvatī foremost. He had 84,000 palaces, with the Palace of Principle foremost. He had 84,000 chambers, with the great foyer foremost. He had 84,000 couches made of gold, silver, ivory, and hardwood. They were spread with woollen covers—shag-piled, pure white, or embroidered with flowers—and spread with a fine deer hide, with a canopy above and red pillows at both ends. He had 84,000 bull elephants with gold adornments and banners, covered with gold netting, with the royal bull elephant named Uposatha foremost. He had 84,000 horses with gold adornments and banners, covered with gold netting, with the royal steed named Thundercloud foremost. He had 84,000 chariots upholstered with the hide of lions, tigers, and leopards, and cream rugs, with gold adornments and banners, covered with gold netting, with the chariot named Triumph foremost. He had 84,000 jewels, with the jewel-treasure foremost. He had 84,000 women, with Queen Subhaddā foremost. He had 84,000 householders, with the householder-treasure foremost. He had 84,000 aristocrat vassals, with the counselor-treasure foremost. He had 84,000 milk-cows with silken reins and bronze pails. He had 8,400,000,000 fine cloths of linen, cotton, silk, and wool. He had 84,000 servings of food, which were presented to him as offerings in the morning and evening.

    เตน โข ปนานนฺท, สมเยน รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ สายํ ปาตํ อุปฏฺฐานํ อาคจฺฉนฺติฯ อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส เอตทโหสิ: ‘อิมานิ โข เม จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ สายํ ปาตํ อุปฏฺฐานํ อาคจฺฉนฺติ, ยนฺนูน วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน เทฺวจตฺตาลีสํ เทฺวจตฺตาลีสํ นาคสหสฺสานิ สกึ สกึ อุปฏฺฐานํ อาคจฺเฉยฺยุนฺ'ติฯ อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ปริณายกรตนํ อามนฺเตสิ: ‘อิมานิ โข เม, สมฺม ปริณายกรตน, จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ สายํ ปาตํ อุปฏฺฐานํ อาคจฺฉนฺติ, เตน หิ, สมฺม ปริณายกรตน, วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน เทฺวจตฺตาลีสํ เทฺวจตฺตาลีสํ นาคสหสฺสานิ สกึ สกึ อุปฏฺฐานํ อาคจฺฉนฺตู'ติฯ ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, ปริณายกรตนํ รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อปเรน สมเยน วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน เทฺวจตฺตาลีสํ เทฺวจตฺตาลีสํ นาคสหสฺสานิ สกึ สกึ อุปฏฺฐานํ อาคมํสุฯ

    Now at that time his 84,000 royal elephants came to attend on him in the morning and evening. Then King Mahāsudassana thought, ‘What if instead half of the elephants took turns to attend on me at the end of each century?’ He instructed the counselor-treasure to do this, and so it was done.

    ๗ฯ สุภทฺทาเทวิอุปสงฺกมน

    7. The Visit of Queen Subhaddā

    อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทาย เทวิยา พหุนฺนํ วสฺสานํ พหุนฺนํ วสฺสสตานํ พหุนฺนํ วสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน เอตทโหสิ: ‘จิรํ ทิฏฺโฐ โข เม ราชา มหาสุทสฺสโนฯ ยนฺนูนาหํ ราชานํ มหาสุทสฺสนํ ทสฺสนาย อุปสงฺกเมยฺยนฺ'ติฯ

    Then, after many years, many hundred years, many thousand years had passed, Queen Subhaddā thought, ‘It is long since I have seen the king. Why don’t I go to see him?’

    อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี อิตฺถาคารํ อามนฺเตสิ: ‘เอถ ตุเมฺห สีสานิ นฺหายถ ปีตานิ วตฺถานิ ปารุปถฯ จิรํ ทิฏฺโฐ โน ราชา มหาสุทสฺสโน, ราชานํ มหาสุทสฺสนํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิสฺสามา'ติฯ

    So the queen addressed the ladies of the harem, ‘Come, bathe your heads and dress in yellow. It is long since we saw the king, and we shall go to see him.’

    ‘เอวํ, อเยฺย'ติ โข, อานนฺท, อิตฺถาคารํ สุภทฺทาย เทวิยา ปฏิสฺสุตฺวา สีสานิ นฺหายิตฺวา ปีตานิ วตฺถานิ ปารุปิตฺวา เยน สุภทฺทา เทวี เตนุปสงฺกมิฯ

    ‘Yes, ma’am,’ replied the ladies of the harem. They did as she asked and returned to the queen.

    อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี ปริณายกรตนํ อามนฺเตสิ: ‘กปฺเปหิ, สมฺม ปริณายกรตน, จตุรงฺคินึ เสนํ, จิรํ ทิฏฺโฐ โน ราชา มหาสุทสฺสโน, ราชานํ มหาสุทสฺสนํ ทสฺสนาย อุปสงฺกมิสฺสามา'ติฯ

    Then the queen addressed the counselor-treasure, ‘Dear counselor-treasure, please ready the army of four divisions. It is long since we saw the king, and we shall go to see him.’

    ‘เอวํ, เทวี'ติ โข, อานนฺท, ปริณายกรตนํ สุภทฺทาย เทวิยา ปฏิสฺสุตฺวา จตุรงฺคินึ เสนํ กปฺปาเปตฺวา สุภทฺทาย เทวิยา ปฏิเวเทสิ: ‘กปฺปิตา โข, เทวิ, จตุรงฺคินี เสนา, ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญสี'ติฯ

    ‘Yes, my queen,’ he replied, and did as he was asked. He informed the queen, ‘My queen, the army of four divisions is ready, please go at your convenience.’

    อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี จตุรงฺคินิยา เสนาย สทฺธึ อิตฺถาคาเรน เยน ธมฺโม ปาสาโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ธมฺมํ ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา เยน มหาวิยูหํ กูฏาคารํ เตนุปสงฺกมิฯ อุปสงฺกมิตฺวา มหาวิยูหสฺส กูฏาคารสฺส ทฺวารพาหํ อาลมฺพิตฺวา อฏฺฐาสิฯ

    Then Queen Subhaddā together with the ladies of the harem went with the army to the Palace of Principle. She ascended the palace and went to the great foyer, where she stood leaning against a door-post.

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺทํ สุตฺวา: ‘กึ นุ โข มหโต วิย ชนกายสฺส สทฺโท'ติ มหาวิยูหา กูฏาคารา นิกฺขมนฺโต อทฺทส สุภทฺทํ เทวึ ทฺวารพาหํ อาลมฺพิตฺวา ฐิตํ, ทิสฺวาน สุภทฺทํ เทวึ เอตทโวจ: ‘เอตฺเถว, เทวิ, ติฏฺฐ มา ปาวิสี'ติฯ

    Hearing them, the king thought, ‘What’s that, it sounds like a big crowd!’ Coming out of the foyer he saw Queen Subhaddā leaning against a door-post and said to her, ‘Please stay there, my queen, don’t enter in here.’

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน อญฺญตรํ ปุริสํ อามนฺเตสิ: ‘เอหิ ตฺวํ, อมฺโภ ปุริส, มหาวิยูหา กูฏาคารา โสวณฺณมยํ ปลฺลงฺกํ นีหริตฺวา สพฺพโสวณฺณมเย ตาลวเน ปญฺญเปหี'ติฯ

    Then he addressed a certain man, ‘Come, mister, bring the golden couch from the great foyer and set it up in the golden palm grove.’

    ‘เอวํ, เทวา'ติ โข, อานนฺท, โส ปุริโส รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส ปฏิสฺสุตฺวา มหาวิยูหา กูฏาคารา โสวณฺณมยํ ปลฺลงฺกํ นีหริตฺวา สพฺพโสวณฺณมเย ตาลวเน ปญฺญเปสิฯ อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน ทกฺขิเณน ปเสฺสน สีหเสยฺยํ กปฺเปสิ ปาเท ปาทํ อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโนฯ

    ‘Yes, Your Majesty,’ that man replied, and did as he was asked. The king laid down in the lion’s posture—on the right side, placing one foot on top of the other—mindful and aware.

    อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทาย เทวิยา เอตทโหสิ: ‘วิปฺปสนฺนานิ โข รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส อินฺทฺริยานิ, ปริสุทฺโธ ฉวิวณฺโณ ปริโยทาโต, มา เหว โข ราชา มหาสุทสฺสโน กาลมกาสี'ติ ราชานํ มหาสุทสฺสนํ เอตทโวจ: ‘อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นครสหสฺสานิ กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ

    Then Queen Subhaddā thought, ‘The king’s faculties are so very clear, and the complexion of his skin is pure and bright. Let him not pass away!’ She said to him, ‘Sire, you have 84,000 cities, with the royal capital of Kusāvatī foremost. Arouse desire for these! Take an interest in life!’

    อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานิ ธมฺมปาสาทปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานิ มหาวิยูหกูฏาคารปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ โสวณฺณมยานิ รูปิยมยานิ ทนฺตมยานิ สารมยานิ โคนกตฺถตานิ ปฏิกตฺถตานิ ปฏลิกตฺถตานิ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณานิ เสาตฺตรจฺฉทานิ อุภโตโลหิตกูปธานานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ, ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ อุโปสถนาคราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ วลาหกอสฺสราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ รถสหสฺสานิ สีหจมฺมปริวารานิ พฺยคฺฆจมฺมปริวารานิ ทีปิจมฺมปริวารานิ ปณฺฑุกมฺพลปริวารานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ เวชยนฺตรถปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ มณิรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ อิตฺถิรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ คหปติสหสฺสานิ คหปติรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อนุยนฺตานิ ปริณายกรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ ทุหสนฺทนานิ กํสูปธารณานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานิ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิกสุขุมานํ โกเสยฺยสุขุมานํ กมฺพลสุขุมานํฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ, ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ สายํ ปาตํ ภตฺตาภิหาโร อภิหริยติฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ชเนหิ ชีวิเต อเปกฺขํ กโรหี'ติฯ

    And she likewise urged the king to live on by taking an interest in all his possessions as described above.

    เอวํ วุตฺเต, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน สุภทฺทํ เทวึ เอตทโวจ: ‘ทีฆรตฺตํ โข มํ ตฺวํ, เทวิ, อิฏฺเฐหิ กนฺเตหิ ปิเยหิ มนาเปหิ สมุทาจริตฺถ; อถ จ ปน มํ ตฺวํ ปจฺฉิเม กาเล อนิฏฺเฐหิ อกนฺเตหิ อปฺปิเยหิ อมนาเปหิ สมุทาจรสี'ติฯ

    When the queen had spoken, the king said to her, ‘For a long time, my queen, you have spoken to me with loving, desirable, pleasant, and agreeable words. And yet in my final hour, your words are undesirable, unpleasant, and disagreeable!’

    ‘กถํ จรหิ ตํ, เทว, สมุทาจรามี'ติ?

    ‘Then how exactly, Your Majesty, am I to speak to you?’

    ‘เอวํ โข มํ ตฺวํ, เทวิ, สมุทาจร: “สพฺเพเหว, เทว, ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโว, มา โข ตฺวํ, เทว, สาเปกฺโข กาลมกาสิ, ทุกฺขา สาเปกฺขสฺส กาลงฺกิริยา, ครหิตา จ สาเปกฺขสฺส กาลงฺกิริยาฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นครสหสฺสานิ กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานิ ธมฺมปาสาทปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานิ มหาวิยูหกูฏาคารปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ โสวณฺณมยานิ รูปิยมยานิ ทนฺตมยานิ สารมยานิ โคนกตฺถตานิ ปฏิกตฺถตานิ ปฏลิกตฺถตานิ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณานิ เสาตฺตรจฺฉทานิ อุภโตโลหิตกูปธานานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ อุโปสถนาคราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ วลาหกอสฺสราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ รถสหสฺสานิ สีหจมฺมปริวารานิ พฺยคฺฆจมฺมปริวารานิ ทีปิจมฺมปริวารานิ ปณฺฑุกมฺพลปริวารานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ เวชยนฺตรถปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ มณิรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ สุภทฺทาเทวิปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ คหปติสหสฺสานิ คหปติรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อนุยนฺตานิ ปริณายกรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ ทุหสนฺทนานิ กํสูปธารณานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานิ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิกสุขุมานํ โกเสยฺยสุขุมานํ กมฺพลสุขุมานํฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ สายํ ปาตํ ภตฺตาภิหาโร อภิหริยติฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสี”'ติฯ

    ‘Like this, my queen: “Sire, we must be parted and separated from all we hold dear and beloved. Don’t pass away with concerns. Such concern is suffering, and it’s criticized. Sire, you have 84,000 cities, with the royal capital of Kusāvatī foremost. Give up desire for these! Take no interest in life!”’ And so on for all the king’s possessions.

    เอวํ วุตฺเต, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี ปโรทิ อสฺสูนิ ปวตฺเตสิฯ อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี อสฺสูนิ ปุญฺฉิตฺวา ราชานํ มหาสุทสฺสนํ เอตทโวจ: ‘สพฺเพเหว, เทว, ปิเยหิ มนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว อญฺญถาภาโว, มา โข ตฺวํ, เทว, สาเปกฺโข กาลมกาสิ, ทุกฺขา สาเปกฺขสฺส กาลงฺกิริยา, ครหิตา จ สาเปกฺขสฺส กาลงฺกิริยาฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นครสหสฺสานิ กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานิ ธมฺมปาสาทปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานิ มหาวิยูหกูฏาคารปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ โสวณฺณมยานิ รูปิยมยานิ ทนฺตมยานิ สารมยานิ โคนกตฺถตานิ ปฏิกตฺถตานิ ปฏลิกตฺถตานิ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณานิ เสาตฺตรจฺฉทานิ อุภโตโลหิตกูปธานานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ อุโปสถนาคราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ วลาหกอสฺสราชปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห, ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ รถสหสฺสานิ สีหจมฺมปริวารานิ พฺยคฺฆจมฺมปริวารานิ ทีปิจมฺมปริวารานิ ปณฺฑุกมฺพลปริวารานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ เวชยนฺตรถปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ มณิรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ อิตฺถิรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห, ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ คหปติสหสฺสานิ คหปติรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อนุยนฺตานิ ปริณายกรตนปฺปมุขานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ ทุหสนฺทนานิ กํสูปธารณานิฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานิ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิกสุขุมานํ โกเสยฺยสุขุมานํ กมฺพลสุขุมานํฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสิฯ อิมานิ เต, เทว, จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ สายํ ปาตํ ภตฺตาภิหาโร อภิหริยติฯ เอตฺถ, เทว, ฉนฺทํ ปชห ชีวิเต อเปกฺขํ มากาสี'ติฯ

    When the king had spoken, Queen Subhaddā cried and burst out in tears. Wiping away her tears, the queen said to the king: ‘Sire, we must be parted and separated from all we hold dear and beloved. Don’t pass away with concerns. Such concern is suffering, and it’s criticized. Sire, you have 84,000 cities, with the royal capital of Kusāvatī foremost. Give up desire for these! Take no interest in life!’ And she continued, listing all the king’s possessions.

    ๘ฯ พฺรหฺมโลกูปคม

    8. Rebirth in the Brahmā Realm

    อถ โข, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน น จิรเสฺสว กาลมกาสิฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, คหปติสฺส วา คหปติปุตฺตสฺส วา มนุญฺญํ โภชนํ ภุตฺตาวิสฺส ภตฺตสมฺมโท โหติ; เอวเมว โข, อานนฺท, รญฺโญ มหาสุทสฺสนสฺส มารณนฺติกา เวทนา อโหสิฯ

    Not long after that, King Mahāsudassana passed away. And the feeling he had close to death was like a householder or their child falling asleep after eating a delectable meal.

    กาลงฺกโต จ, อานนฺท, ราชา มหาสุทสฺสโน สุคตึ พฺรหฺมโลกํ อุปปชฺชิฯ ราชา, อานนฺท, มหาสุทสฺสโน จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ กุมารกีฬํ กีฬิฯ จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ โอปรชฺชํ กาเรสิฯ จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ รชฺชํ กาเรสิฯ จตุราสีติ วสฺสสหสฺสานิ คิหิภูโต ธมฺเม ปาสาเท พฺรหฺมจริยํ จริฯ โส จตฺตาโร พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    When he passed away King Mahāsudassana was reborn in a good place, a Brahmā realm. Ānanda, King Mahāsudassana played children’s games for 84,000 years. He ruled as viceroy for 84,000 years. He ruled as king for 84,000 years. He led the spiritual life as a layman in the Palace of Principle for 84,000 years. And having developed the four Brahmā meditations, when his body broke up, after death, he was reborn in a good place, a Brahmā realm.

    สิยา โข ปนานนฺท, เอวมสฺส: ‘อญฺโญ นูน เตน สมเยน ราชา มหาสุทสฺสโน อโหสี'ติ, น โข ปเนตํ, อานนฺท, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ อหํ เตน สมเยน ราชา มหาสุทสฺสโน อโหสึฯ

    Now, Ānanda, you might think: ‘Surely King Mahāsudassana must have been someone else at that time?’ But you should not see it like that. I myself was King Mahāsudassana at that time.

    มม ตานิ จตุราสีติ นครสหสฺสานิ กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานิ ธมฺมปาสาทปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานิ มหาวิยูหกูฏาคารปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ โสวณฺณมยานิ รูปิยมยานิ ทนฺตมยานิ สารมยานิ โคนกตฺถตานิ ปฏิกตฺถตานิ ปฏลิกตฺถตานิ กทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณานิ เสาตฺตรจฺฉทานิ อุภโตโลหิตกูปธานานิ, มม ตานิ จตุราสีติ นาคสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ อุโปสถนาคราชปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ วลาหกอสฺสราชปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ รถสหสฺสานิ สีหจมฺมปริวารานิ พฺยคฺฆจมฺมปริวารานิ ทีปิจมฺมปริวารานิ ปณฺฑุกมฺพลปริวารานิ โสวณฺณาลงฺการานิ โสวณฺณธชานิ เหมชาลปฏิจฺฉนฺนานิ เวชยนฺตรถปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ มณิรตนปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ สุภทฺทาเทวิปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ คหปติสหสฺสานิ คหปติรตนปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ ขตฺติยสหสฺสานิ อนุยนฺตานิ ปริณายกรตนปฺปมุขานิ, มม ตานิ จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ ทุหสนฺทนานิ กํสูปธารณานิ, มม ตานิ จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานิ โขมสุขุมานํ กปฺปาสิกสุขุมานํ โกเสยฺยสุขุมานํ กมฺพลสุขุมานํ, มม ตานิ จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ สายํ ปาตํ ภตฺตาภิหาโร อภิหริยิตฺถฯ

    Mine were the 84,000 cities, with the royal capital of Kusāvatī foremost. And mine were all the other possessions.

    เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีตินครสหสฺสานํ เอกญฺเญว ตํ นครํ โหติ, ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ยทิทํ กุสาวตี ราชธานีฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ ปาสาทสหสฺสานํ เอโกเยว โส ปาสาโท โหติ, ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ยทิทํ ธมฺโม ปาสาโทฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ กูฏาคารสหสฺสานํ เอกญฺเญว ตํ กูฏาคารํ โหติ, ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ยทิทํ มหาวิยูหํ กูฏาคารํฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานํ เอโกเยว โส ปลฺลงฺโก โหติ, ยํ เตน สมเยน ปริภุญฺชามิ ยทิทํ โสวณฺณมโย วา รูปิยมโย วา ทนฺตมโย วา สารมโย วาฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ นาคสหสฺสานํ เอโกเยว โส นาโค โหติ, ยํ เตน สมเยน อภิรุหามิ ยทิทํ อุโปสโถ นาคราชาฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ อสฺสสหสฺสานํ เอโกเยว โส อโสฺส โหติ, ยํ เตน สมเยน อภิรุหามิ ยทิทํ วลาหโก อสฺสราชาฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ รถสหสฺสานํ เอโกเยว โส รโถ โหติ, ยํ เตน สมเยน อภิรุหามิ ยทิทํ เวชยนฺตรโถฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานํ เอกาเยว สา อิตฺถี โหติ, ยา เตน สมเยน ปจฺจุปฏฺฐาติ ขตฺติยานี วา เวสฺสินี วาฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ วตฺถโกฏิสหสฺสานํ เอกํเยว ตํ ทุสฺสยุคํ โหติ, ยํ เตน สมเยน ปริทหามิ โขมสุขุมํ วา กปฺปาสิกสุขุมํ วา โกเสยฺยสุขุมํ วา กมฺพลสุขุมํ วาฯ เตสํ โข ปนานนฺท, จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานํ เอโกเยว โส ถาลิปาโก โหติ, ยโต นาฬิโกทนปรมํ ภุญฺชามิ ตทุปิยญฺจ สูเปยฺยํฯ

    Of those 84,000 cities, I only stayed in one, the capital Kusāvatī. Of those 84,000 mansions, I only dwelt in one, the Palace of Principle. Of those 84,000 chambers, I only dwelt in the great foyer. Of those 84,000 couches, I only used one, made of gold or silver or ivory or heartwood. Of those 84,000 bull elephants, I only rode one, the royal bull elephant named Uposatha. Of those 84,000 horses, I only rode one, the royal horse named Thundercloud. Of those 84,000 chariots, I only rode one, the chariot named Triumph. Of those 84,000 women, I was only served by one, a maiden of the aristocratic or peasant classes. Of those 8,400,000,000 cloths, I only wore one pair, made of fine linen, cotton, silk, or wool. Of those 84,000 servings of food, I only had one, eating at most a serving of rice and suitable sauce.

    ปสฺสานนฺท, สพฺเพเต สงฺขารา อตีตา นิรุทฺธา วิปริณตาฯ เอวํ อนิจฺจา โข, อานนฺท, สงฺขารา; เอวํ อทฺธุวา โข, อานนฺท, สงฺขารา; เอวํ อนสฺสาสิกา โข, อานนฺท, สงฺขาราฯ ยาวญฺจิทํ, อานนฺท, อลเมว สพฺพสงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทิตุํ, อลํ วิรชฺชิตุํ, อลํ วิมุจฺจิตุํฯ

    See, Ānanda! All those conditioned phenomena have passed, ceased, and perished. So impermanent are conditions, so unstable are conditions, so unreliable are conditions. This is quite enough for you to become disillusioned, dispassionate, and freed regarding all conditions.

    ฉกฺขตฺตุํ โข ปนาหํ, อานนฺท, อภิชานามิ อิมสฺมึ ปเทเส สรีรํ นิกฺขิปิตํ, ตญฺจ โข ราชาว สมาโน จกฺกวตฺตี ธมฺมิโก ธมฺมราชา จาตุรนฺโต วิชิตาวี ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต สตฺตรตนสมนฺนาคโต, อยํ สตฺตโม สรีรนิกฺเขโปฯ น โข ปนาหํ, อานนฺท, ตํ ปเทสํ สมนุปสฺสามิ สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย ยตฺถ ตถาคโต อฏฺฐมํ สรีรํ นิกฺขิเปยฺยา”ติฯ

    Six times, Ānanda, I recall having laid down my body at this place. And the seventh time was as a wheel-turning monarch, a just and principled king, at which time my dominion extended to all four sides, I achieved stability in the country, and I possessed the seven treasures. But Ānanda, I do not see any place in this world with its gods, Māras, and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, its gods and humans where the Realized One would lay down his body for the eighth time.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวาน สุคโต อถาปรํ เอตทโวจ สตฺถา:

    That is what the Buddha said. Then the Holy One, the Teacher, went on to say:

    “อนิจฺจา วต สงฺขารา, อุปฺปาทวยธมฺมิโน; อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ, เตสํ วูปสโม สุโข”ติฯ

    “Oh! Conditions are impermanent, their nature is to rise and fall; having arisen, they cease; their stilling is true bliss.”

    มหาสุทสฺสนสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ จตุตฺถํฯ





    The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact