Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๔. มหาสุทสฺสนสุตฺตวณฺณนา

    4. Mahāsudassanasuttavaṇṇanā

    กุสาวตีราชธานีวณฺณนา

    Kusāvatīrājadhānīvaṇṇanā

    ๒๔๑. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสุทสฺสนสุตฺตํฯ ตตฺรายํ อปุพฺพปทวณฺณนา – สพฺพรตนมโยติ เอตฺถ เอกา อิฎฺฐกา โสวณฺณมยา, เอกา รูปิยมยา, เอกา เวฬุริยมยา, เอกา ผลิกมยา, เอกา โลหิตงฺกมยา, เอกา มสารคลฺลมยา, เอกา สพฺพรตนมยา, อยํ ปากาโร สพฺพปาการานํ อโนฺต อุเพฺพเธน สฎฺฐิหโตฺถ อโหสิฯ เอเก ปน เถรา – ‘‘นครํ นาม อโนฺต ฐตฺวา โอโลเกนฺตานํ ทสฺสนียํ วฎฺฎติ, ตสฺมา สพฺพพาหิโร สฎฺฐิหโตฺถ, เสสา อนุปุพฺพนีจา’’ติ วทนฺติฯ เอเก – ‘‘พหิ ฐตฺวา โอโลเกนฺตานํ ทสฺสนียํ วฎฺฎติ, ตสฺมา สพฺพอพฺภนฺตริโม สฎฺฐิหโตฺถ, เสสา อนุปุพฺพนีจา’’ติฯ เอเก – ‘‘อโนฺต จ พหิ จ ฐตฺวา โอโลเกนฺตานํ ทสฺสนียํ วฎฺฎติ, ตสฺมา มเชฺฌ ปากาโร สฎฺฐิหโตฺถ, อโนฺต จ พหิ จ ตโย ตโย อนุปุพฺพนีจา’’ติฯ

    241.Evaṃme sutanti mahāsudassanasuttaṃ. Tatrāyaṃ apubbapadavaṇṇanā – sabbaratanamayoti ettha ekā iṭṭhakā sovaṇṇamayā, ekā rūpiyamayā, ekā veḷuriyamayā, ekā phalikamayā, ekā lohitaṅkamayā, ekā masāragallamayā, ekā sabbaratanamayā, ayaṃ pākāro sabbapākārānaṃ anto ubbedhena saṭṭhihattho ahosi. Eke pana therā – ‘‘nagaraṃ nāma anto ṭhatvā olokentānaṃ dassanīyaṃ vaṭṭati, tasmā sabbabāhiro saṭṭhihattho, sesā anupubbanīcā’’ti vadanti. Eke – ‘‘bahi ṭhatvā olokentānaṃ dassanīyaṃ vaṭṭati, tasmā sabbaabbhantarimo saṭṭhihattho, sesā anupubbanīcā’’ti. Eke – ‘‘anto ca bahi ca ṭhatvā olokentānaṃ dassanīyaṃ vaṭṭati, tasmā majjhe pākāro saṭṭhihattho, anto ca bahi ca tayo tayo anupubbanīcā’’ti.

    เอสิกาติ เอสิกตฺถโมฺภฯ ติโปริสงฺคาติ เอกํ โปริสํ มชฺฌิมปุริสสฺส อตฺตโน หเตฺถน ปญฺจหตฺถํ, เตน ติโปริสปริเกฺขปา ปนฺนรสหตฺถปริมาณาติ อโตฺถฯ เต ปน กถํ ฐิตาติ? นครสฺส พาหิรปเสฺส เอเกกํ มหาทฺวารพาหํ นิสฺสาย เอเกโก, เอเกกํ ขุทฺทกทฺวารพาหํ นิสฺสาย เอเกโก, มหาทฺวารขุทฺทกทฺวารานํ อนฺตรา ตโย ตโยติฯ ตาลปนฺตีสุ สพฺพรตนมยานํ ตาลานํ เอกํ โสวณฺณมยนฺติ ปากาเร วุตฺตลกฺขณเมว เวทิตพฺพํ, ปณฺณผเลสุปิ เอเสว นโยฯ ตา ปน ตาลปนฺติโย อสีติหตฺถา อุเพฺพเธน, วิปฺปกิณฺณวาลุเก สมตเล ภูมิภาเค ปาการนฺตเร เอเกกา หุตฺวา ฐิตาฯ

    Esikāti esikatthambho. Tiporisaṅgāti ekaṃ porisaṃ majjhimapurisassa attano hatthena pañcahatthaṃ, tena tiporisaparikkhepā pannarasahatthaparimāṇāti attho. Te pana kathaṃ ṭhitāti? Nagarassa bāhirapasse ekekaṃ mahādvārabāhaṃ nissāya ekeko, ekekaṃ khuddakadvārabāhaṃ nissāya ekeko, mahādvārakhuddakadvārānaṃ antarā tayo tayoti. Tālapantīsu sabbaratanamayānaṃ tālānaṃ ekaṃ sovaṇṇamayanti pākāre vuttalakkhaṇameva veditabbaṃ, paṇṇaphalesupi eseva nayo. Tā pana tālapantiyo asītihatthā ubbedhena, vippakiṇṇavāluke samatale bhūmibhāge pākārantare ekekā hutvā ṭhitā.

    วคฺคูติ เฉโก สุนฺทโรฯ รชนีโยติ รเญฺชตุํ สมโตฺถฯ ขมนีโยติ ทิวสมฺปิ สุยฺยมาโน ขมเตว, น พีภเจฺฉติฯ มทนีโยติ มานมทปุริสมทชนโนฯ ปญฺจงฺคิกสฺสาติ อาตตํ วิตตํ อาตตวิตตํ สุสิรํ ฆนนฺติ อิเมหิ ปญฺจหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺสฯ ตตฺถ อาตตํ นาม จมฺมปริโยนเทฺธสุ เภรีอาทีสุ เอกตลํ ตูริยํฯ วิตตํ นาม อุภยตลํฯ อาตตวิตตํ นาม สพฺพโต ปริโยนทฺธํฯ สุสิรํ นาม วํสาทิฯ ฆนํ นาม สมฺมาทิฯ สุวินีตสฺสาติ อากฑฺฒนสิถิลกรณาทีหิ สุมุจฺฉิตสฺสฯ สุปฺปฎิตาฬิตสฺสาติ ปมาเณ ฐิตภาวชานนตฺถํ สุฎฺฐุ ปฎิตาฬิตสฺสฯ สุกุสเลหิ สมนฺนาหตสฺสาติ เย วาทิตุํ เฉกา กุสลา, เตหิ วาทิตสฺสฯ ธุตฺตาติ อกฺขธุตฺตา,ฯ โสณฺฑาติ สุราโสณฺฑาฯ เตเยว ปุนปฺปุนํ ปาตุกามตาวเสน ปิปาสาฯ ปริจาเรสุนฺติ (ที. นิ. ๒.๑๓๒) หตฺถํ วา ปาทํ วา จาเลตฺวา นจฺจนฺตา กีฬิํสุฯ

    Vaggūti cheko sundaro. Rajanīyoti rañjetuṃ samattho. Khamanīyoti divasampi suyyamāno khamateva, na bībhaccheti. Madanīyoti mānamadapurisamadajanano. Pañcaṅgikassāti ātataṃ vitataṃ ātatavitataṃ susiraṃ ghananti imehi pañcahaṅgehi samannāgatassa. Tattha ātataṃ nāma cammapariyonaddhesu bherīādīsu ekatalaṃ tūriyaṃ. Vitataṃ nāma ubhayatalaṃ. Ātatavitataṃ nāma sabbato pariyonaddhaṃ. Susiraṃ nāma vaṃsādi. Ghanaṃ nāma sammādi. Suvinītassāti ākaḍḍhanasithilakaraṇādīhi sumucchitassa. Suppaṭitāḷitassāti pamāṇe ṭhitabhāvajānanatthaṃ suṭṭhu paṭitāḷitassa. Sukusalehi samannāhatassāti ye vādituṃ chekā kusalā, tehi vāditassa. Dhuttāti akkhadhuttā,. Soṇḍāti surāsoṇḍā. Teyeva punappunaṃ pātukāmatāvasena pipāsā. Paricāresunti (dī. ni. 2.132) hatthaṃ vā pādaṃ vā cāletvā naccantā kīḷiṃsu.

    จกฺกรตนวณฺณนา

    Cakkaratanavaṇṇanā

    ๒๔๓. สีสํ นฺหาตสฺสาติ สีเสน สทฺธิํ คโนฺธทเกน นหาตสฺสฯ อุโปสถิกสฺสาติ สมาทินฺนอุโปสถงฺคสฺสฯ อุปริปาสาทวรคตสฺสาติ ปาสาทวรสฺส อุปริ คตสฺส, สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา ปาสาทวรสฺส อุปริมหาตเล สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา สีลานิ อาวชฺชนฺตสฺสฯ ตทา กิร ราชา ปาโตว สตสหสฺสํ วิสฺสเชฺชตฺวา มหาทานํ ทตฺวา โสฬสหิ คโนฺธทกฆเฎหิ สีสํ นหายิตฺวา กตปาตราโส สุทฺธํ อุตฺตราสงฺคํ เอกํสํ กริตฺวา อุปริปาสาทสฺส สิริสยเน ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา นิสิโนฺน อตฺตโน ทานาทิมยํ ปุญฺญสมุทายํ อาวชฺชโนฺต นิสีทิฯ อยํ สพฺพจกฺกวตฺตีนํ ธมฺมตาฯ

    243.Sīsaṃ nhātassāti sīsena saddhiṃ gandhodakena nahātassa. Uposathikassāti samādinnauposathaṅgassa. Uparipāsādavaragatassāti pāsādavarassa upari gatassa, subhojanaṃ bhuñjitvā pāsādavarassa uparimahātale sirigabbhaṃ pavisitvā sīlāni āvajjantassa. Tadā kira rājā pātova satasahassaṃ vissajjetvā mahādānaṃ datvā soḷasahi gandhodakaghaṭehi sīsaṃ nahāyitvā katapātarāso suddhaṃ uttarāsaṅgaṃ ekaṃsaṃ karitvā uparipāsādassa sirisayane pallaṅkaṃ ābhujitvā nisinno attano dānādimayaṃ puññasamudāyaṃ āvajjanto nisīdi. Ayaṃ sabbacakkavattīnaṃ dhammatā.

    เตสํ ตํ อาวชฺชนฺตานํเยว วุตฺตปฺปการปุญฺญกมฺมปจฺจยอุตุสมุฎฺฐานํ นีลมณิสงฺฆาตสทิสํ ปาจีนสมุทฺทชลตลํ ภินฺทมานํ วิย, อากาสํ อลงฺกุรุมานํ วิย ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติฯ ตํ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ ตเถว ปาตุรโหสิฯ ตยิทํ ทิพฺพานุภาวยุตฺตตฺตา ทิพฺพนฺติ วุตฺตํฯ สหสฺสํ อสฺส อรานนฺติ สหสฺสารํฯ สห เนมิยา, สห นาภิยา จาติ สเนมิกํ สนาภิกํฯ สเพฺพหิ อากาเรหิ ปริปุณฺณนฺติ สพฺพาการปริปูรํฯ

    Tesaṃ taṃ āvajjantānaṃyeva vuttappakārapuññakammapaccayautusamuṭṭhānaṃ nīlamaṇisaṅghātasadisaṃ pācīnasamuddajalatalaṃ bhindamānaṃ viya, ākāsaṃ alaṅkurumānaṃ viya dibbaṃ cakkaratanaṃ pātubhavati. Taṃ mahāsudassanassāpi tatheva pāturahosi. Tayidaṃ dibbānubhāvayuttattā dibbanti vuttaṃ. Sahassaṃ assa arānanti sahassāraṃ. Saha nemiyā, saha nābhiyā cāti sanemikaṃ sanābhikaṃ. Sabbehi ākārehi paripuṇṇanti sabbākāraparipūraṃ.

    ตตฺถ จกฺกญฺจ ตํ รติชนนเฎฺฐน รตนญฺจาติ จกฺกรตนํฯ ยาย ปน ตํ นาภิยา ‘‘สนาภิก’’นฺติ วุตฺตํ, สา อินฺทนีลมยา โหติ, มเชฺฌ ปนสฺสา สารรชตมยา ปนาฬิ, ยาย สุทฺธสินิทฺธทนฺตปนฺติยา หสมานา วิย วิโรจติ, มเชฺฌ ฉิเทฺทน วิย จนฺทมณฺฑเลน, อุโภสุปิ พาหิรเนฺตสุ รชตปเฎฺฎน กตปริเกฺขปา โหติฯ เตสุ ปนสฺส นาภิปนาฬิปริเกฺขปปเฎฺฎสุ ยุตฺตยุตฺตฎฺฐาเนสุ ปริเจฺฉทเลขา สุวิภตฺตาว หุตฺวา ปญฺญายนฺติฯ อยํ ตาว อสฺส นาภิยา สพฺพาการปริปูรตาฯ

    Tattha cakkañca taṃ ratijananaṭṭhena ratanañcāti cakkaratanaṃ. Yāya pana taṃ nābhiyā ‘‘sanābhika’’nti vuttaṃ, sā indanīlamayā hoti, majjhe panassā sārarajatamayā panāḷi, yāya suddhasiniddhadantapantiyā hasamānā viya virocati, majjhe chiddena viya candamaṇḍalena, ubhosupi bāhirantesu rajatapaṭṭena kataparikkhepā hoti. Tesu panassa nābhipanāḷiparikkhepapaṭṭesu yuttayuttaṭṭhānesu paricchedalekhā suvibhattāva hutvā paññāyanti. Ayaṃ tāva assa nābhiyā sabbākāraparipūratā.

    เยหิ ปน ตํ – ‘‘อเรหิ สหสฺสาร’’นฺติ วุตฺตํ, เต สตฺตรตนมยา สูริยรสฺมิโย วิย ปภาสมฺปนฺนา โหนฺติ, เตสมฺปิ ฆฎกมณิกปริเจฺฉทเลขาทีนิ สุวิภตฺตาเนว หุตฺวา ปญฺญายนฺติฯ อยมสฺส อรานํ สพฺพาการปริปูรตาฯ

    Yehi pana taṃ – ‘‘arehi sahassāra’’nti vuttaṃ, te sattaratanamayā sūriyarasmiyo viya pabhāsampannā honti, tesampi ghaṭakamaṇikaparicchedalekhādīni suvibhattāneva hutvā paññāyanti. Ayamassa arānaṃ sabbākāraparipūratā.

    ยาย ปน ตํ เนมิยา – ‘‘สเนมิก’’นฺติ วุตฺตํ, สา พาลสูริยรสฺมิกลาปสิริํ อวหสมานา วิย สุรตฺตสุทฺธสินิทฺธปวาฬมยา โหติฯ สนฺธีสุ ปนสฺสา สญฺฌาราคสสฺสิริกา รตฺตชมฺพุนทปฎฺฎา วฎฺฎปริเจฺฉทเลขา สุวิภตฺตา หุตฺวา ปญฺญายนฺติฯ อยมสฺส เนมิยา สพฺพาการปริปูรตาฯ

    Yāya pana taṃ nemiyā – ‘‘sanemika’’nti vuttaṃ, sā bālasūriyarasmikalāpasiriṃ avahasamānā viya surattasuddhasiniddhapavāḷamayā hoti. Sandhīsu panassā sañjhārāgasassirikā rattajambunadapaṭṭā vaṭṭaparicchedalekhā suvibhattā hutvā paññāyanti. Ayamassa nemiyā sabbākāraparipūratā.

    เนมิมณฺฑลปิฎฺฐิยํ ปนสฺส ทสนฺนํ ทสนฺนํ อรานํ อนฺตเร ธมนวํโส วิย อโนฺต สุสิโร ฉิทฺทมณฺฑลขจิโต วาตคาหี ปวาฬทโณฺฑ โหติ, ยสฺส วาเตริตสฺส สุกุสลสมนฺนาหตสฺส ปญฺจงฺคิกตูริยสฺส วิย สโทฺท วคฺคุ จ รชนีโย จ กมนีโย จ มทนีโย จ โหติฯ ตสฺส โข ปน ปวาฬทณฺฑสฺส อุปริ เสตจฺฉตฺตํ อุโภสุ ปเสฺสสุ สโมสริตกุสุมทามานํ เทฺว ปนฺติโยติ เอวํ สโมสริตกุสุมทามปนฺติสตทฺวยปริวารเสตจฺฉตฺตสตธารินา ปวาฬทณฺฑสเตน สมุปโสภิตเนมิปริเกฺขปสฺส ทฺวินฺนมฺปิ นาภิปนาฬีนํ อโนฺต เทฺว สีหมุขานิ โหนฺติ, เยหิ ตาลกฺขนฺธปฺปมาณา ปุณฺณจนฺทกิรณกลาปสสฺสิรีกา ตรุณรวิสมานรตฺตกมฺพลเคณฺฑุกปริยนฺตา อากาสคงฺคาคติโสภํ อวหสมานา วิย เทฺว มุตฺตกลาปา โอลมฺพนฺติฯ เยหิ จกฺกรตเนน สทฺธิํ อากาเส สมฺปริวตฺตมาเนหิ ตีณิ จกฺกานิ เอกโต ปริวตฺตนฺตานิ วิย ขายนฺติฯ อยมสฺส สพฺพโส สพฺพาการปริปูรตาฯ

    Nemimaṇḍalapiṭṭhiyaṃ panassa dasannaṃ dasannaṃ arānaṃ antare dhamanavaṃso viya anto susiro chiddamaṇḍalakhacito vātagāhī pavāḷadaṇḍo hoti, yassa vāteritassa sukusalasamannāhatassa pañcaṅgikatūriyassa viya saddo vaggu ca rajanīyo ca kamanīyo ca madanīyo ca hoti. Tassa kho pana pavāḷadaṇḍassa upari setacchattaṃ ubhosu passesu samosaritakusumadāmānaṃ dve pantiyoti evaṃ samosaritakusumadāmapantisatadvayaparivārasetacchattasatadhārinā pavāḷadaṇḍasatena samupasobhitanemiparikkhepassa dvinnampi nābhipanāḷīnaṃ anto dve sīhamukhāni honti, yehi tālakkhandhappamāṇā puṇṇacandakiraṇakalāpasassirīkā taruṇaravisamānarattakambalageṇḍukapariyantā ākāsagaṅgāgatisobhaṃ avahasamānā viya dve muttakalāpā olambanti. Yehi cakkaratanena saddhiṃ ākāse samparivattamānehi tīṇi cakkāni ekato parivattantāni viya khāyanti. Ayamassa sabbaso sabbākāraparipūratā.

    ตํ ปเนตํ เอวํ สพฺพาการปริปูรํ ปกติยา สายมาสภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ฆรทฺวาเร ปญฺญตฺตาสเนสุ นิสีทิตฺวา ปวตฺตกถาสลฺลาเปสุ มนุเสฺสสุ วีถิจตุกฺกาทีสุ กีฬมาเน ทารกชเน นาติอุเจฺจน นาตินีเจน วนสณฺฑมตฺถกาสเนฺนน อากาสปฺปเทเสน อุปโสภยมานํ วิย, รุกฺขสาขคฺคานิ ทฺวาทสโยชนโต ปฎฺฐาย สุยฺยมาเนน มธุรสฺสเรน สตฺตานํ โสตานิ โอธาปยมานํ โยชนโต ปฎฺฐาย นานปฺปภาสมุทยสมุชฺชเลน วเณฺณน นยนานิ สมากฑฺฒนฺตํ วิย, รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส ปุญฺญานุภาวํ อุโคฺฆสยนฺตํ วิย, ราชธานิยา อภิมุขํ อาคจฺฉติฯ

    Taṃ panetaṃ evaṃ sabbākāraparipūraṃ pakatiyā sāyamāsabhattaṃ bhuñjitvā attano attano gharadvāre paññattāsanesu nisīditvā pavattakathāsallāpesu manussesu vīthicatukkādīsu kīḷamāne dārakajane nātiuccena nātinīcena vanasaṇḍamatthakāsannena ākāsappadesena upasobhayamānaṃ viya, rukkhasākhaggāni dvādasayojanato paṭṭhāya suyyamānena madhurassarena sattānaṃ sotāni odhāpayamānaṃ yojanato paṭṭhāya nānappabhāsamudayasamujjalena vaṇṇena nayanāni samākaḍḍhantaṃ viya, rañño cakkavattissa puññānubhāvaṃ ugghosayantaṃ viya, rājadhāniyā abhimukhaṃ āgacchati.

    อถสฺส จกฺกรตนสฺส สทฺทสวเนเนว – ‘‘กุโต นุ โข, กสฺส นุ โข อยํ สโทฺท’’ติ อาวชฺชิตหทยานํ ปุรตฺถิมทิสํ อาโลกยมานานํ เตสํ มนุสฺสานํ อญฺญตโร อญฺญตรํ เอวมาห – ‘‘ปสฺสถ, โภ, อจฺฉริยํ, อยํ ปุณฺณจโนฺท ปุเพฺพ เอโก อุคฺคจฺฉติ, อเชฺชว ปน อตฺตทุติโย อุคฺคโต, เอตญฺหิ ราชหํสมิถุนมิว ปุณฺณจนฺทมิถุนํ ปุพฺพาปริเยน คคนตลํ อภิลงฺฆตี’’ติฯ ตมโญฺญ อาห – ‘‘กิํ กเถสิ, สมฺม, กุหิํ นาม ตยา เทฺว ปุณฺณจนฺทา เอกโต อุคฺคจฺฉนฺตา ทิฎฺฐปุพฺพา, นนุ เอส ตปนียรํสิธาโร ปิญฺฉรกิรโณ ทิวากโร อุคฺคโต’’ติ, ตมโญฺญ หสิตํ กตฺวา เอวมาห – ‘‘กิํ อุมฺมโตฺตสิ, นนุ อิทาเนว ทิวากโร อตฺถงฺคโต, โส กถํ อิมํ ปุณฺณจนฺทํ อนุพนฺธมาโน อุคฺคจฺฉิสฺสติ? อทฺธา ปเนตํ อเนกรตนปฺปภาสมุทยุชฺชลํ เอกสฺสาปิ ปุญฺญวโต วิมานํ ภวิสฺสตี’’ติฯ เต สเพฺพปิ อปสารยนฺตา อเญฺญ เอวมาหํสุ – ‘‘โภ, กิํ พหุํ วิลปถ, เนวายํ ปุณฺณจโนฺท, น สูริโย น เทววิมานํฯ น เหเตสํ เอวรูปา สิริสมฺปตฺติ อตฺถิ, จกฺกรตเนน ปน เอเตน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ

    Athassa cakkaratanassa saddasavaneneva – ‘‘kuto nu kho, kassa nu kho ayaṃ saddo’’ti āvajjitahadayānaṃ puratthimadisaṃ ālokayamānānaṃ tesaṃ manussānaṃ aññataro aññataraṃ evamāha – ‘‘passatha, bho, acchariyaṃ, ayaṃ puṇṇacando pubbe eko uggacchati, ajjeva pana attadutiyo uggato, etañhi rājahaṃsamithunamiva puṇṇacandamithunaṃ pubbāpariyena gaganatalaṃ abhilaṅghatī’’ti. Tamañño āha – ‘‘kiṃ kathesi, samma, kuhiṃ nāma tayā dve puṇṇacandā ekato uggacchantā diṭṭhapubbā, nanu esa tapanīyaraṃsidhāro piñcharakiraṇo divākaro uggato’’ti, tamañño hasitaṃ katvā evamāha – ‘‘kiṃ ummattosi, nanu idāneva divākaro atthaṅgato, so kathaṃ imaṃ puṇṇacandaṃ anubandhamāno uggacchissati? Addhā panetaṃ anekaratanappabhāsamudayujjalaṃ ekassāpi puññavato vimānaṃ bhavissatī’’ti. Te sabbepi apasārayantā aññe evamāhaṃsu – ‘‘bho, kiṃ bahuṃ vilapatha, nevāyaṃ puṇṇacando, na sūriyo na devavimānaṃ. Na hetesaṃ evarūpā sirisampatti atthi, cakkaratanena pana etena bhavitabba’’nti.

    เอวํ ปวตฺตสลฺลาปเสฺสว ตสฺส ชนสฺส จนฺทมณฺฑลํ โอหาย ตํ จกฺกรตนํ อภิมุขํ โหติฯ ตโต เตหิ – ‘‘กสฺส นุ โข อิทํ นิพฺพตฺต’’นฺติ วุเตฺต ภวนฺติ วตฺตาโร – ‘‘น กสฺสจิ อญฺญสฺส, นนุ อมฺหากํ มหาราชา ปูริตจกฺกวตฺติวโตฺต, ตเสฺสตํ นิพฺพตฺต’’นฺติฯ อถ โส จ มหาชโน, โย จ อโญฺญ ปสฺสติ, สโพฺพ จกฺกรตนเมว อนุคจฺฉติฯ ตํ จาปิ จกฺกรตนํ รโญฺญเยว อตฺถาย อตฺตโน อาคตภาวํ ญาเปตุกามํ วิย สตฺตกฺขตฺตุํ ปาการมตฺถเกเนว นครํ อนุสํยายิตฺวา, อถ รโญฺญ อเนฺตปุรํ ปทกฺขิณํ กตฺวา, อเนฺตปุรสฺส จ อุตฺตรสีหปญฺชรสทิเส ฐาเน ยถา คนฺธปุปฺผาทีหิ สุเขน สกฺกา โหติ ปูเชตุํ, เอวํ อกฺขาหตํ วิย ติฎฺฐติฯ

    Evaṃ pavattasallāpasseva tassa janassa candamaṇḍalaṃ ohāya taṃ cakkaratanaṃ abhimukhaṃ hoti. Tato tehi – ‘‘kassa nu kho idaṃ nibbatta’’nti vutte bhavanti vattāro – ‘‘na kassaci aññassa, nanu amhākaṃ mahārājā pūritacakkavattivatto, tassetaṃ nibbatta’’nti. Atha so ca mahājano, yo ca añño passati, sabbo cakkaratanameva anugacchati. Taṃ cāpi cakkaratanaṃ raññoyeva atthāya attano āgatabhāvaṃ ñāpetukāmaṃ viya sattakkhattuṃ pākāramatthakeneva nagaraṃ anusaṃyāyitvā, atha rañño antepuraṃ padakkhiṇaṃ katvā, antepurassa ca uttarasīhapañjarasadise ṭhāne yathā gandhapupphādīhi sukhena sakkā hoti pūjetuṃ, evaṃ akkhāhataṃ viya tiṭṭhati.

    เอวํ ฐิตสฺส ปนสฺส วาตปานฉิทฺทาทีหิ ปวิสิตฺวา นานาวิราครตนปฺปภาสมุชฺชลํ อโนฺตปาสาทํ อลงฺกุรุมานํ ปภาสมูหํ ทิสฺวา ทสฺสนตฺถาย สญฺชาตาภิลาโส ราชา โหติฯ ปริชโนปิสฺส ปิยวจนปาภเตน อาคนฺตฺวา ตมตฺถํ นิเวเทติฯ อถ ราชา พลวปีติปาโมชฺชผุฎสรีโร ปลฺลงฺกํ โมเจตฺวา อุฎฺฐายาสนา สีหปญฺชรสมีปํ คนฺตฺวา ตํ จกฺกรตนํ ทิสฺวา ‘‘สุตํ โข ปน เมต’’นฺติอาทิกํ จินฺตนํ จินฺตยติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ สพฺพํ ตํ ตเถว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทิสฺวา รโญฺญ มหาสุทสฺสนสฺส…เป.… อสฺสํ นุ โข อหํ ราชา จกฺกวตฺตี’’ติฯ ตตฺถ โส โหติ ราชา จกฺกวตฺตีติ กิตฺตาวตา จกฺกวตฺตี โหตีติ? เอกงฺคุลทฺวงฺคุลมตฺตมฺปิ จกฺกรตเน อากาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปวเตฺต อิทานิ ตสฺส ปวตฺตาปนตฺถํ ยํ กาตพฺพํ, ตํ ทเสฺสโนฺต อถ โข อานนฺทาติอาทิมาหฯ

    Evaṃ ṭhitassa panassa vātapānachiddādīhi pavisitvā nānāvirāgaratanappabhāsamujjalaṃ antopāsādaṃ alaṅkurumānaṃ pabhāsamūhaṃ disvā dassanatthāya sañjātābhilāso rājā hoti. Parijanopissa piyavacanapābhatena āgantvā tamatthaṃ nivedeti. Atha rājā balavapītipāmojjaphuṭasarīro pallaṅkaṃ mocetvā uṭṭhāyāsanā sīhapañjarasamīpaṃ gantvā taṃ cakkaratanaṃ disvā ‘‘sutaṃ kho pana meta’’ntiādikaṃ cintanaṃ cintayati. Mahāsudassanassāpi sabbaṃ taṃ tatheva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘disvā rañño mahāsudassanassa…pe… assaṃ nu kho ahaṃ rājā cakkavattī’’ti. Tattha so hoti rājā cakkavattīti kittāvatā cakkavattī hotīti? Ekaṅguladvaṅgulamattampi cakkaratane ākāsaṃ abbhuggantvā pavatte idāni tassa pavattāpanatthaṃ yaṃ kātabbaṃ, taṃ dassento atha kho ānandātiādimāha.

    ๒๔๔. ตตฺถ อุฎฺฐายาสนาติ นิสินฺนาสนโต อุฎฺฐหิตฺวา จกฺกรตนสมีปํ อาคนฺตฺวาฯ สุวณฺณภิงฺการํ คเหตฺวาติ หตฺถิโสณฺฑสทิสปนาฬิํ สุวณฺณภิงฺการํ อุกฺขิปิตฺวาฯ อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายาติ สพฺพจกฺกวตฺตีนญฺหิ อุทเกน อพฺภุกฺกิริตฺวา – ‘‘อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตน’’นฺติ วจนสมนนฺตรเมว เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา จกฺกรตนํ ปวตฺตติฯ ยสฺส ปวตฺติ สมกาลเมว โส ราชา จกฺกวตฺตี นาม โหติฯ ปวเตฺต ปน จกฺกรตเน ตํ อนุพนฺธมาโนว ราชา จกฺกวตฺติยานวรํ อารุยฺห เวหาสํ อพฺภุคฺคจฺฉติฯ อถสฺส ฉตฺตจามราทิหโตฺถ ปริชโน เจว อเนฺตปุรชโน จ ตโต นานาการกญฺจุกกวจาทิสนฺนาหวิภูสิเตน วิวิธาภรณปฺปภาสมุชฺชเลน สมุสฺสิตทฺธชปฎากปฎิมณฺฑิเตน อตฺตโน อตฺตโน พลกาเยน สทฺธิํ อุปราชเสนาปติปภุตโยปิ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ราชานเมว ปริวาเรนฺติฯ

    244. Tattha uṭṭhāyāsanāti nisinnāsanato uṭṭhahitvā cakkaratanasamīpaṃ āgantvā. Suvaṇṇabhiṅkāraṃ gahetvāti hatthisoṇḍasadisapanāḷiṃ suvaṇṇabhiṅkāraṃ ukkhipitvā. Anvadeva rājā mahāsudassano saddhiṃ caturaṅginiyā senāyāti sabbacakkavattīnañhi udakena abbhukkiritvā – ‘‘abhivijinātu bhavaṃ cakkaratana’’nti vacanasamanantarameva vehāsaṃ abbhuggantvā cakkaratanaṃ pavattati. Yassa pavatti samakālameva so rājā cakkavattī nāma hoti. Pavatte pana cakkaratane taṃ anubandhamānova rājā cakkavattiyānavaraṃ āruyha vehāsaṃ abbhuggacchati. Athassa chattacāmarādihattho parijano ceva antepurajano ca tato nānākārakañcukakavacādisannāhavibhūsitena vividhābharaṇappabhāsamujjalena samussitaddhajapaṭākapaṭimaṇḍitena attano attano balakāyena saddhiṃ uparājasenāpatipabhutayopi vehāsaṃ abbhuggantvā rājānameva parivārenti.

    ราชยุตฺตา ปน ชนสงฺคหตฺถํ นครวีถีสุ เภริโย จราเปนฺติ – ‘‘ตาตา, อมฺหากํ รโญฺญ จกฺกรตนํ นิพฺพตฺตํ, อตฺตโน วิภวานุรูเปน มณฺฑิตปสาธิกา สนฺนิปตถา’’ติฯ มหาชโน ปน ปกติยา จกฺกรตนสเทฺทเนว สพฺพกิจฺจานิ ปหาย คนฺธปุปฺผาทีนิ อาทาย สนฺนิปติโตว โสปิ สโพฺพ เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ราชานเมว ปริวาเรติฯ ยสฺส ยสฺส หิ รญฺญา สทฺธิํ คนฺตุกามตาจิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, โส โส อากาสคโตว โหติฯ เอวํ ทฺวาทสโยชนายามวิตฺถารา ปริสา โหติฯ ตตฺถ เอกปุริโสปิ ฉินฺนภินฺนสรีโร วา กิลิฎฺฐวโตฺถ วา นตฺถิฯ สุจิปริวาโร หิ ราชา จกฺกวตฺตีฯ จกฺกวตฺติปริสา นาม วิชฺชาธรปุริสา วิย อากาเส คจฺฉมานา อินฺทนีลมณิตเล วิปฺปกิณฺณรตนสทิสา โหติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ ตเถว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายา’’ติฯ

    Rājayuttā pana janasaṅgahatthaṃ nagaravīthīsu bheriyo carāpenti – ‘‘tātā, amhākaṃ rañño cakkaratanaṃ nibbattaṃ, attano vibhavānurūpena maṇḍitapasādhikā sannipatathā’’ti. Mahājano pana pakatiyā cakkaratanasaddeneva sabbakiccāni pahāya gandhapupphādīni ādāya sannipatitova sopi sabbo vehāsaṃ abbhuggantvā rājānameva parivāreti. Yassa yassa hi raññā saddhiṃ gantukāmatācittaṃ uppajjati, so so ākāsagatova hoti. Evaṃ dvādasayojanāyāmavitthārā parisā hoti. Tattha ekapurisopi chinnabhinnasarīro vā kiliṭṭhavattho vā natthi. Suciparivāro hi rājā cakkavattī. Cakkavattiparisā nāma vijjādharapurisā viya ākāse gacchamānā indanīlamaṇitale vippakiṇṇaratanasadisā hoti. Mahāsudassanassāpi tatheva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘anvadeva rājā mahāsudassano saddhiṃ caturaṅginiyā senāyā’’ti.

    ตํ ปน จกฺกรตนํ รุกฺขคฺคานํ อุปรูปริ นาติอุเจฺจน นาตินีเจน คคนปฺปเทเสน ปวตฺตติฯ ยถา รุกฺขานํ ปุปฺผผลปลฺลเวหิ อตฺถิกา, ตานิ สุเขน คเหตุํ สโกฺกนฺติฯ ยถา จ ภูมิยํ ฐิตา ‘‘เอส ราชา, เอส อุปราชา, เอส เสนาปตี’’ติ สลฺลเกฺขตุํ สโกฺกนฺติฯ ฐานาทีสุ จ อิริยาปเถสุ โย เยน อิจฺฉติ, โส เตเนว คจฺฉติฯ จิตฺตกมฺมาทิสิปฺปปสุตา เจตฺถ อตฺตโน อตฺตโน กิจฺจํ กโรนฺตาเยว คจฺฉนฺติฯ ยเถว หิ ภูมิยํ, ตถา เตสํ สพฺพกิจฺจานิ อากาเสว อิชฺฌนฺติฯ เอวํ จกฺกวตฺติปริสํ คเหตฺวา ตํ จกฺกรตนํ วามปเสฺสน สิเนรุํ ปหาย มหาสมุทฺทสฺส อุปริภาเคน สตฺตสหสฺสโยชนปฺปมาณํ ปุพฺพวิเทหํ คจฺฉติฯ

    Taṃ pana cakkaratanaṃ rukkhaggānaṃ uparūpari nātiuccena nātinīcena gaganappadesena pavattati. Yathā rukkhānaṃ pupphaphalapallavehi atthikā, tāni sukhena gahetuṃ sakkonti. Yathā ca bhūmiyaṃ ṭhitā ‘‘esa rājā, esa uparājā, esa senāpatī’’ti sallakkhetuṃ sakkonti. Ṭhānādīsu ca iriyāpathesu yo yena icchati, so teneva gacchati. Cittakammādisippapasutā cettha attano attano kiccaṃ karontāyeva gacchanti. Yatheva hi bhūmiyaṃ, tathā tesaṃ sabbakiccāni ākāseva ijjhanti. Evaṃ cakkavattiparisaṃ gahetvā taṃ cakkaratanaṃ vāmapassena sineruṃ pahāya mahāsamuddassa uparibhāgena sattasahassayojanappamāṇaṃ pubbavidehaṃ gacchati.

    ตตฺถ โย วินิเพฺพเธน ทฺวาทสโยชนาย, ปริเกฺขปโต ฉตฺติํสโยชนาย ปริสาย สนฺนิเวสกฺขโม สุลภาหารูปกรโณ ฉายุทกสมฺปโนฺน สุจิสมตโล รมณีโย ภูมิภาโค, ตสฺส อุปริภาเค ตํ จกฺกรตนํ อกฺขาหตํ วิย ติฎฺฐติฯ อถ เตน สญฺญาเณน โส มหาชโน โอตริตฺวา ยถารุจิ นหานโภชนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กโรโนฺต วาสํ กเปฺปติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ สพฺพํ ตเถว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ยสฺมิํ โข ปนานนฺท, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฎฺฐาติ, ตตฺถ โส ราชา มหาสุทสฺสโน วาสํ อุปคจฺฉิ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนายา’’ติฯ

    Tattha yo vinibbedhena dvādasayojanāya, parikkhepato chattiṃsayojanāya parisāya sannivesakkhamo sulabhāhārūpakaraṇo chāyudakasampanno sucisamatalo ramaṇīyo bhūmibhāgo, tassa uparibhāge taṃ cakkaratanaṃ akkhāhataṃ viya tiṭṭhati. Atha tena saññāṇena so mahājano otaritvā yathāruci nahānabhojanādīni sabbakiccāni karonto vāsaṃ kappeti. Mahāsudassanassāpi sabbaṃ tatheva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘yasmiṃ kho panānanda, padese cakkaratanaṃ patiṭṭhāti, tattha so rājā mahāsudassano vāsaṃ upagacchi saddhiṃ caturaṅginiyā senāyā’’ti.

    เอวํ วาสํ อุปคเต จกฺกวตฺติมฺหิ เย ตตฺถ ราชาโน, เต ‘‘ปรจกฺกํ อาคต’’นฺติ สุตฺวาปิ น พลกายํ สนฺนิปาเตตฺวา ยุทฺธสชฺชา โหนฺติฯ จกฺกรตนสฺส หิ อุปฺปตฺติสมนนฺตรเมว นตฺถิ โส สโตฺต นาม, โย ปจฺจตฺถิกสญฺญาย ตํ ราชานํ อารพฺภ อาวุธํ อุกฺขิปิตุํ วิสเหยฺยฯ อยมานุภาโว จกฺกรตนสฺสฯ

    Evaṃ vāsaṃ upagate cakkavattimhi ye tattha rājāno, te ‘‘paracakkaṃ āgata’’nti sutvāpi na balakāyaṃ sannipātetvā yuddhasajjā honti. Cakkaratanassa hi uppattisamanantarameva natthi so satto nāma, yo paccatthikasaññāya taṃ rājānaṃ ārabbha āvudhaṃ ukkhipituṃ visaheyya. Ayamānubhāvo cakkaratanassa.

    จกฺกานุภาเวน หิ ตสฺส รโญฺญ,

    Cakkānubhāvena hi tassa rañño,

    อรี อเสสา ทมถํ อุเปนฺติ;

    Arī asesā damathaṃ upenti;

    อรินฺทมํ นาม นราธิปสฺส,

    Arindamaṃ nāma narādhipassa,

    เตเนว ตํ วุจฺจติ ตสฺส จกฺกนฺติฯ

    Teneva taṃ vuccati tassa cakkanti.

    ตสฺมา สเพฺพปิ เต ราชาโน อตฺตโน อตฺตโน รชฺชสิริวิภวานุรูปํ ปาภตํ คเหตฺวา ตํ ราชานํ อุปคมฺม โอนตสิรา อตฺตโน โมฬิมณิปฺปภาภิเสเกน ตสฺส ปาทปูชํ กโรนฺตา – ‘‘เอหิ โข, มหาราชา’’ติอาทีหิ วจเนหิ ตสฺส กิํการปฎิสาวิตํ อาปชฺชนฺติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ ตเถว อกํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เย โข, ปนานนฺท, ปุรตฺถิมาย ทิสาย…เป.… อนุสาส, มหาราชา’’ติฯ

    Tasmā sabbepi te rājāno attano attano rajjasirivibhavānurūpaṃ pābhataṃ gahetvā taṃ rājānaṃ upagamma onatasirā attano moḷimaṇippabhābhisekena tassa pādapūjaṃ karontā – ‘‘ehi kho, mahārājā’’tiādīhi vacanehi tassa kiṃkārapaṭisāvitaṃ āpajjanti. Mahāsudassanassāpi tatheva akaṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘ye kho, panānanda, puratthimāya disāya…pe… anusāsa, mahārājā’’ti.

    ตตฺถ สฺวาคตนฺติ สุ อาคตํฯ เอกสฺมิญฺหิ อาคเต โสจนฺติ, คเต นนฺทนฺติฯ เอกสฺมิํ อาคเต นนฺทนฺติ, คเต โสจนฺติ, ตาทิโส ตฺวํ อาคมนนนฺทโน, คมนโสจโนฯ ตสฺมา ตว อาคมนํ สุอาคมนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เอวํ วุเตฺต ปน ราชา จกฺกวตฺตี นาปิ – ‘‘เอตฺตกํ นาม เม อนุวสฺสํ พลิํ อุปกเปฺปถา’’ติ วทติ, นาปิ อญฺญสฺส โภคํ อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺญสฺส เทติฯ อตฺตโน ปน ธมฺมราชภาวสฺส อนุรูปาย ปญฺญาย ปาณาติปาตาทีนิ อุปปริกฺขิตฺวา เปมนีเยน มญฺชุนา สเรน – ‘‘ปสฺสถ ตาตา, ปาณาติปาโต นาเมส อาเสวิโต ภาวิโต พหุลีกโต นิรยสํวตฺตนิโก โหตี’’ติอาทินา นเยน ธมฺมํ เทเสตฺวา ‘‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ’’ติอาทิกํ โอวาทํ เทติฯ มหาสุทสฺสโนปิ ตเถว อกาสิ, เตน วุตฺตํ – ‘‘ราชา มหาสุทสฺสโน เอวมาห – ‘ปาโณ น หนฺตโพฺพ…เป.… ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา’ติ’’ฯ กิํ ปน สเพฺพปิ รโญฺญ อิมํ โอวาทํ คณฺหนฺตีติ? พุทฺธสฺสาปิ ตาว สเพฺพ น คณฺหนฺติ, รโญฺญ กิํ คณฺหิสฺสนฺตีติฯ ตสฺมา เย ปณฺฑิตา วิภาวิโน, เต คณฺหนฺติฯ สเพฺพ ปน อนุยนฺตา ภวนฺติฯ ตสฺมา เย โข ปนานนฺทาติอาทิมาหฯ

    Tattha svāgatanti su āgataṃ. Ekasmiñhi āgate socanti, gate nandanti. Ekasmiṃ āgate nandanti, gate socanti, tādiso tvaṃ āgamananandano, gamanasocano. Tasmā tava āgamanaṃ suāgamananti vuttaṃ hoti. Evaṃ vutte pana rājā cakkavattī nāpi – ‘‘ettakaṃ nāma me anuvassaṃ baliṃ upakappethā’’ti vadati, nāpi aññassa bhogaṃ acchinditvā aññassa deti. Attano pana dhammarājabhāvassa anurūpāya paññāya pāṇātipātādīni upaparikkhitvā pemanīyena mañjunā sarena – ‘‘passatha tātā, pāṇātipāto nāmesa āsevito bhāvito bahulīkato nirayasaṃvattaniko hotī’’tiādinā nayena dhammaṃ desetvā ‘‘pāṇo na hantabbo’’tiādikaṃ ovādaṃ deti. Mahāsudassanopi tatheva akāsi, tena vuttaṃ – ‘‘rājā mahāsudassano evamāha – ‘pāṇo na hantabbo…pe… yathābhuttañca bhuñjathā’ti’’. Kiṃ pana sabbepi rañño imaṃ ovādaṃ gaṇhantīti? Buddhassāpi tāva sabbe na gaṇhanti, rañño kiṃ gaṇhissantīti. Tasmā ye paṇḍitā vibhāvino, te gaṇhanti. Sabbe pana anuyantā bhavanti. Tasmā ye kho panānandātiādimāha.

    อถ ตํ จกฺกรตนํ เอวํ ปุพฺพวิเทหวาสีนํ โอวาเท ทิเนฺน กตปาตราเส จกฺกวตฺติพเลน เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา ปุรตฺถิมสมุทฺทํ อโชฺฌคาหติฯ ยถา ยถา จ ตํ อโชฺฌคาหติ, ตถา ตถา อคทคนฺธํ ฆายิตฺวา สงฺขิตฺตผโณ นาคราชา วิย, สงฺขิตฺตอูมิวิปฺผารํ หุตฺวา โอคจฺฉมานํ มหาสมุทฺทสลิลํ โยชนมตฺตํ โอคนฺตฺวา อโนฺตสมุเทฺท เวฬุริยภิตฺติ วิย ติฎฺฐติฯ ตงฺขณเญฺญว จ ตสฺส รโญฺญ ปุญฺญสิริํ ทฎฺฐุกามานิ วิย มหาสมุทฺทตเล วิปฺปกิณฺณานิ นานารตนานิ ตโต ตโต อาคนฺตฺวา ตํ ปเทสํ ปูรยนฺติฯ อถ สา ราชปริสา ตํ นานารตนปริปูรํ มหาสมุทฺทตลํ ทิสฺวา ยถารุจิ อุจฺฉงฺคาทีหิ อาทิยติ, ยถารุจิ อาทินฺนรตนาย ปน ปริสาย ตํ จกฺกรตนํ ปฎินิวตฺตติฯ ปฎินิวตฺตมาเน จ ตสฺมิํ ปริสา อคฺคโต โหติ, มเชฺฌ ราชา, อเนฺต จกฺกรตนํฯ ตมฺปิ ชลนิธิชลํ ปโลภิยมานมิว จกฺกรตนสิริยา, อสหมานมิว จ เตน วิโยคํ เนมิมณฺฑลปริยนฺตํ อภิหนนฺตํ นิรนฺตรเมว อุปคจฺฉติฯ เอวํ ราชา จกฺกวตฺตี ปุรตฺถิมมหาสมุทฺทปริยนฺตํ ปุพฺพวิเทหํ อภิวิชินิตฺวา ทกฺขิณสมุทฺทปริยนฺตํ ชมฺพุทีปํ วิเชตุกาโม จกฺกรตนเทสิเตน มเคฺคน ทกฺขิณสมุทฺทาภิมุโข คจฺฉติฯ มหาสุทสฺสโนปิ ตเถว อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อถ โข, อานนฺท, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อโชฺฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ทกฺขิณํ ทิสํ ปวตฺตี’’ติฯ

    Atha taṃ cakkaratanaṃ evaṃ pubbavidehavāsīnaṃ ovāde dinne katapātarāse cakkavattibalena vehāsaṃ abbhuggantvā puratthimasamuddaṃ ajjhogāhati. Yathā yathā ca taṃ ajjhogāhati, tathā tathā agadagandhaṃ ghāyitvā saṅkhittaphaṇo nāgarājā viya, saṅkhittaūmivipphāraṃ hutvā ogacchamānaṃ mahāsamuddasalilaṃ yojanamattaṃ ogantvā antosamudde veḷuriyabhitti viya tiṭṭhati. Taṅkhaṇaññeva ca tassa rañño puññasiriṃ daṭṭhukāmāni viya mahāsamuddatale vippakiṇṇāni nānāratanāni tato tato āgantvā taṃ padesaṃ pūrayanti. Atha sā rājaparisā taṃ nānāratanaparipūraṃ mahāsamuddatalaṃ disvā yathāruci ucchaṅgādīhi ādiyati, yathāruci ādinnaratanāya pana parisāya taṃ cakkaratanaṃ paṭinivattati. Paṭinivattamāne ca tasmiṃ parisā aggato hoti, majjhe rājā, ante cakkaratanaṃ. Tampi jalanidhijalaṃ palobhiyamānamiva cakkaratanasiriyā, asahamānamiva ca tena viyogaṃ nemimaṇḍalapariyantaṃ abhihanantaṃ nirantarameva upagacchati. Evaṃ rājā cakkavattī puratthimamahāsamuddapariyantaṃ pubbavidehaṃ abhivijinitvā dakkhiṇasamuddapariyantaṃ jambudīpaṃ vijetukāmo cakkaratanadesitena maggena dakkhiṇasamuddābhimukho gacchati. Mahāsudassanopi tatheva agamāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘atha kho, ānanda, cakkaratanaṃ puratthimaṃ samuddaṃ ajjhogāhetvā paccuttaritvā dakkhiṇaṃ disaṃ pavattī’’ti.

    เอวํ ปวตฺตมานสฺส ปน ตสฺส ปวตฺตนวิธานํ, เสนาสนฺนิเวโส, ปฎิราชาคมนํ, เตสํ อนุสาสนิปฺปทานํ ทกฺขิณสมุทฺทอโชฺฌคาหนํ สมุทฺทสลิลสฺส โอคจฺฉมานํ รตนานํ อาทานนฺติ สพฺพํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ pavattamānassa pana tassa pavattanavidhānaṃ, senāsanniveso, paṭirājāgamanaṃ, tesaṃ anusāsanippadānaṃ dakkhiṇasamuddaajjhogāhanaṃ samuddasalilassa ogacchamānaṃ ratanānaṃ ādānanti sabbaṃ purimanayeneva veditabbaṃ.

    วิชินิตฺวา ปน ตํ ทสสหสฺสโยชนปฺปมาณํ ชมฺพุทีปํ ทกฺขิณสมุทฺทโตปิ ปจฺจุตฺตริตฺวา สตฺตโยชนสหสฺสปฺปมาณํ อปรโคยานํ วิเชตุํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว คนฺตฺวา ตมฺปิ สมุทฺทปริยนฺตํ ตเถว อภิวิชินิตฺวา ปจฺฉิมสมุทฺทโตปิ อุตฺตริตฺวา อฎฺฐโยชนสหสฺสปฺปมาณํ อุตฺตรกุรุํ วิเชตุํ ตเถว คนฺตฺวา ตมฺปิ สมุทฺทปริยนฺตํ ตเถว อภิวิชิย อุตฺตรสมุทฺทโต ปจฺจุตฺตรติฯ

    Vijinitvā pana taṃ dasasahassayojanappamāṇaṃ jambudīpaṃ dakkhiṇasamuddatopi paccuttaritvā sattayojanasahassappamāṇaṃ aparagoyānaṃ vijetuṃ pubbe vuttanayeneva gantvā tampi samuddapariyantaṃ tatheva abhivijinitvā pacchimasamuddatopi uttaritvā aṭṭhayojanasahassappamāṇaṃ uttarakuruṃ vijetuṃ tatheva gantvā tampi samuddapariyantaṃ tatheva abhivijiya uttarasamuddato paccuttarati.

    เอตฺตาวตา รญฺญา จกฺกวตฺตินา จาตุรนฺตาย ปถวิยา อาธิปจฺจํ อธิคตํ โหติฯ โส เอวํ วิชิตวิชโย อตฺตโน รชฺชสิริสมฺปตฺติทสฺสนตฺถํ สปริโส อุทฺธํ คคนตลํ อภิลงฺฆิตฺวา สุวิกสิตปทุมกุมุทปุณฺฑรีกวนวิจิเตฺต จตฺตาโร ชาตสฺสเร วิย ปญฺจสตปญฺจสตปริตฺตทีปปริวาเร จตฺตาโร มหาทีเป โอโลเกตฺวา จกฺกรตนเทสิเตเนว มเคฺคน ยถานุกฺกมํ อตฺตโน ราชธานิํ ปจฺจาคจฺฉติฯ อถ ตํ จกฺกรตนํ อเนฺตปุรทฺวารํ โสภยมานํ วิย หุตฺวา ติฎฺฐติฯ

    Ettāvatā raññā cakkavattinā cāturantāya pathaviyā ādhipaccaṃ adhigataṃ hoti. So evaṃ vijitavijayo attano rajjasirisampattidassanatthaṃ sapariso uddhaṃ gaganatalaṃ abhilaṅghitvā suvikasitapadumakumudapuṇḍarīkavanavicitte cattāro jātassare viya pañcasatapañcasataparittadīpaparivāre cattāro mahādīpe oloketvā cakkaratanadesiteneva maggena yathānukkamaṃ attano rājadhāniṃ paccāgacchati. Atha taṃ cakkaratanaṃ antepuradvāraṃ sobhayamānaṃ viya hutvā tiṭṭhati.

    เอวํ ปติฎฺฐิเต ปน ตสฺมิํ จกฺกรตเน ราชเนฺตปุเร อุกฺกาหิ วา ทีปิกาหิ วา กิญฺจิ กรณียํ น โหติ, จกฺกรตโนภาโสเยว รตฺติํ อนฺธการํ วิธมติเยวฯ เย ปน อนฺธการตฺถิกา โหนฺติ, เตสํ อนฺธการเมว โหติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ สพฺพเมตํ ตเถว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทกฺขิณํ สมุทฺทํ อโชฺฌคาเหตฺวา…เป.… เอวรูปํ จกฺกรตนํ ปาตุรโหสี’’ติฯ

    Evaṃ patiṭṭhite pana tasmiṃ cakkaratane rājantepure ukkāhi vā dīpikāhi vā kiñci karaṇīyaṃ na hoti, cakkaratanobhāsoyeva rattiṃ andhakāraṃ vidhamatiyeva. Ye pana andhakāratthikā honti, tesaṃ andhakārameva hoti. Mahāsudassanassāpi sabbametaṃ tatheva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘dakkhiṇaṃ samuddaṃ ajjhogāhetvā…pe… evarūpaṃ cakkaratanaṃ pāturahosī’’ti.

    หตฺถิรตนวณฺณนา

    Hatthiratanavaṇṇanā

    ๒๔๖. เอวํ ปาตุภูตจกฺกรตนเสฺสว จกฺกวตฺติโน อมจฺจา ปกติมงฺคลหตฺถิฎฺฐานํ สมํ สุจิภูมิภาคํ กาเรตฺวา หริจนฺทนาทีหิ สุรภิคเนฺธหิ อุปลิมฺปาเปตฺวา เหฎฺฐา วิจิตฺตวณฺณสุรภิกุสุมสโมกิณฺณํ อุปริ สุวณฺณตารกานํ อนฺตรนฺตรา สโมสริตมนุญฺญกุสุมทามปฎิมณฺฑิตวิตานํ เทววิมานํ วิย อภิสงฺขริตฺวา – ‘‘เอวรูปสฺส นาม เทว หตฺถิรตนสฺส อาคมนํ จิเนฺตถา’’ติ วทนฺติฯ โส ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว มหาทานํ ทตฺวา สีลานิ จ สมาทาย ตํ ปุญฺญสมฺปตฺติํ อาวชฺชโนฺต นิสีทิฯ อถสฺส ปุญฺญานุภาวโจทิโต ฉทฺทนฺตกุลา วา อุโปสถกุลา วา ตํ สกฺการวิเสสํ อนุภวิตุกาโม ตรุณรวิมณฺฑลาภิรตฺตจรณคีวามุขปฎิมณฺฑิตวิสุทฺธเสตสรีโร สตฺตปติโฎฺฐ สุสณฺฐิตองฺคปจฺจงฺคสนฺนิเวโส วิกสิตรตฺตปทุมจารุโปกฺขโร อิทฺธิมา โยคี วิย เวหาสคมนสมโตฺถ มโนสิลาจุณฺณรญฺชิตปริยโนฺต วิย รชตปพฺพโต หตฺถิเสโฎฺฐ อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ ปเทเส ติฎฺฐติฯ โส ฉทฺทนฺตกุลา อาคจฺฉโนฺต สพฺพกนิโฎฺฐ อาคจฺฉติฯ อุโปสถกุลา อาคจฺฉโนฺต สพฺพเชโฎฺฐฯ ปาฬิยํ ปน อุโปสโถ นาคราชา อิเจฺจว อาคตํฯ นาคราชา นาม กสฺสจิ อปริโภโค, สพฺพกนิโฎฺฐ อาคจฺฉตีติ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตํฯ สฺวายํ ปูริตจกฺกวตฺติวตฺตานํ จกฺกวตฺตีนํ วุตฺตนเยเนว จินฺตยนฺตานํ อาคจฺฉติฯ มหาสุทสฺสนสฺส ปน สยเมว ปกติมงฺคลหตฺถิฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ตํ หตฺถิํ อปเนตฺวา ตตฺถ อฎฺฐาสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุน จปรํ อานนฺท…เป.… นาคราชา’’ติฯ

    246. Evaṃ pātubhūtacakkaratanasseva cakkavattino amaccā pakatimaṅgalahatthiṭṭhānaṃ samaṃ sucibhūmibhāgaṃ kāretvā haricandanādīhi surabhigandhehi upalimpāpetvā heṭṭhā vicittavaṇṇasurabhikusumasamokiṇṇaṃ upari suvaṇṇatārakānaṃ antarantarā samosaritamanuññakusumadāmapaṭimaṇḍitavitānaṃ devavimānaṃ viya abhisaṅkharitvā – ‘‘evarūpassa nāma deva hatthiratanassa āgamanaṃ cintethā’’ti vadanti. So pubbe vuttanayeneva mahādānaṃ datvā sīlāni ca samādāya taṃ puññasampattiṃ āvajjanto nisīdi. Athassa puññānubhāvacodito chaddantakulā vā uposathakulā vā taṃ sakkāravisesaṃ anubhavitukāmo taruṇaravimaṇḍalābhirattacaraṇagīvāmukhapaṭimaṇḍitavisuddhasetasarīro sattapatiṭṭho susaṇṭhitaaṅgapaccaṅgasanniveso vikasitarattapadumacārupokkharo iddhimā yogī viya vehāsagamanasamattho manosilācuṇṇarañjitapariyanto viya rajatapabbato hatthiseṭṭho āgantvā tasmiṃ padese tiṭṭhati. So chaddantakulā āgacchanto sabbakaniṭṭho āgacchati. Uposathakulā āgacchanto sabbajeṭṭho. Pāḷiyaṃ pana uposatho nāgarājā icceva āgataṃ. Nāgarājā nāma kassaci aparibhogo, sabbakaniṭṭho āgacchatīti aṭṭhakathāsu vuttaṃ. Svāyaṃ pūritacakkavattivattānaṃ cakkavattīnaṃ vuttanayeneva cintayantānaṃ āgacchati. Mahāsudassanassa pana sayameva pakatimaṅgalahatthiṭṭhānaṃ āgantvā taṃ hatthiṃ apanetvā tattha aṭṭhāsi. Tena vuttaṃ – ‘‘puna caparaṃ ānanda…pe… nāgarājā’’ti.

    เอวํ ปาตุภูตํ ปน ตํ หตฺถิรตนํ ทิสฺวา หตฺถิโคปกาทโย หฎฺฐตุฎฺฐา เวเคน คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจนฺติฯ ราชา ตุริตตุริโต อาคนฺตฺวา ตํ ทิสฺวา ปสนฺนจิโตฺต – ‘‘ภทฺทกํ วต โภ หตฺถิยานํ, สเจ ทมถํ อุเปยฺยา’’ติ จินฺตยโนฺต หตฺถํ ปสาเรติฯ อถ โส ฆรเธนุวจฺฉโก วิย กเณฺณ โอลมฺพิตฺวา สูรตภาวํ ทเสฺสโนฺต ราชานํ อุปสงฺกมติฯ ราชา ตํ อาโรหิตุกาโม โหติฯ อถสฺส ปริชนา อธิปฺปายํ ญตฺวา ตํ หตฺถิรตนํ สุวณฺณทฺธชํ สุวณฺณาลงฺการํ เหมชาลปฎิจฺฉนฺนํ กตฺวา อุปเนนฺติฯ ราชา ตํ อนิสีทาเปตฺวาว สตฺตรตนมยาย นิเสฺสณิยา อารุยฺห อากาสคมนนินฺนจิโตฺต โหติฯ ตสฺส สห จิตฺตุปฺปาเทเนว โส นาคราชา ราชหํโส วิย อินฺทนีลมณิปฺปภาชาลํ นีลคคนตลํ อภิลงฺฆติฯ ตโต จกฺกจาริกาย วุตฺตนเยเนว สกลราชปริสาฯ อิติ สปริโส ราชา อโนฺตปาตราเสเยว สกลปถวิํ อนุสํยายิตฺวา ราชธานิํ ปจฺจาคจฺฉติฯ เอวํ มหิทฺธิกํ จกฺกวตฺติโน หตฺถิรตนํ โหติฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ ตาทิสเมว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ทิสฺวา รโญฺญ…เป.… ปาตุรโหสี’’ติฯ

    Evaṃ pātubhūtaṃ pana taṃ hatthiratanaṃ disvā hatthigopakādayo haṭṭhatuṭṭhā vegena gantvā rañño ārocenti. Rājā turitaturito āgantvā taṃ disvā pasannacitto – ‘‘bhaddakaṃ vata bho hatthiyānaṃ, sace damathaṃ upeyyā’’ti cintayanto hatthaṃ pasāreti. Atha so gharadhenuvacchako viya kaṇṇe olambitvā sūratabhāvaṃ dassento rājānaṃ upasaṅkamati. Rājā taṃ ārohitukāmo hoti. Athassa parijanā adhippāyaṃ ñatvā taṃ hatthiratanaṃ suvaṇṇaddhajaṃ suvaṇṇālaṅkāraṃ hemajālapaṭicchannaṃ katvā upanenti. Rājā taṃ anisīdāpetvāva sattaratanamayāya nisseṇiyā āruyha ākāsagamananinnacitto hoti. Tassa saha cittuppādeneva so nāgarājā rājahaṃso viya indanīlamaṇippabhājālaṃ nīlagaganatalaṃ abhilaṅghati. Tato cakkacārikāya vuttanayeneva sakalarājaparisā. Iti sapariso rājā antopātarāseyeva sakalapathaviṃ anusaṃyāyitvā rājadhāniṃ paccāgacchati. Evaṃ mahiddhikaṃ cakkavattino hatthiratanaṃ hoti. Mahāsudassanassāpi tādisameva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘disvā rañño…pe… pāturahosī’’ti.

    อสฺสรตนวณฺณนา

    Assaratanavaṇṇanā

    ๒๔๗. เอวํ ปาตุภูตหตฺถิรตนสฺส ปน จกฺกวตฺติโน อมจฺจา ปกติมงฺคลอสฺสฎฺฐานํ สุจิสมตลํ กาเรตฺวา อลงฺกริตฺวา จ ปุริมนเยเนว รโญฺญ ตสฺส อาคมนจินฺตนตฺถํ อุสฺสาหํ ชเนนฺติฯ โส ปุริมนเยเนว กตทานมานนสกฺกาโร สมาทินฺนสีลพฺพโต ปาสาทตเล สุขนิสิโนฺน ปุญฺญสมฺปตฺติํ สมนุสฺสรติฯ อถสฺส ปุญฺญานุภาวโจทิโต สินฺธวกุลโต วิชฺชุลตาวินทฺธสรทกาลเสตวลาหกราสิสสฺสิรีโก รตฺตปาโท รตฺตตุโณฺฑ จนฺทปฺปภาปุญฺชสทิสสุทฺธสินิทฺธฆนสํหตสรีโร กากคีวา วิย อินฺทนีลมณิ วิย จ กาฬวเณฺณน สีเสน สมนฺนาคตตฺตา กาฬสีโสติ สุฎฺฐุ กเปฺปตฺวา ฐปิเตหิ วิย มุญฺชสทิเสหิ สณฺหวฎฺฎอุชุคเตหิ เกเสหิ สมนฺนาคตตฺตา มุญฺชเกโส เวหาสงฺคโม วลาหโก นาม อสฺสราชา อาคนฺตฺวา ตสฺมิํ ฐาเน ปติฎฺฐาติฯ มหาสุทสฺสนสฺส ปเนส หตฺถิรตนํ วิย อาคโตฯ เสสํ สพฺพํ หตฺถิรตเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ เอวรูปํ อสฺสรตนํ สนฺธาย ภควา – ‘‘ปุน จ ปร’’นฺติอาทิมาหฯ

    247. Evaṃ pātubhūtahatthiratanassa pana cakkavattino amaccā pakatimaṅgalaassaṭṭhānaṃ sucisamatalaṃ kāretvā alaṅkaritvā ca purimanayeneva rañño tassa āgamanacintanatthaṃ ussāhaṃ janenti. So purimanayeneva katadānamānanasakkāro samādinnasīlabbato pāsādatale sukhanisinno puññasampattiṃ samanussarati. Athassa puññānubhāvacodito sindhavakulato vijjulatāvinaddhasaradakālasetavalāhakarāsisassirīko rattapādo rattatuṇḍo candappabhāpuñjasadisasuddhasiniddhaghanasaṃhatasarīro kākagīvā viya indanīlamaṇi viya ca kāḷavaṇṇena sīsena samannāgatattā kāḷasīsoti suṭṭhu kappetvā ṭhapitehi viya muñjasadisehi saṇhavaṭṭaujugatehi kesehi samannāgatattā muñjakeso vehāsaṅgamo valāhako nāma assarājā āgantvā tasmiṃ ṭhāne patiṭṭhāti. Mahāsudassanassa panesa hatthiratanaṃ viya āgato. Sesaṃ sabbaṃ hatthiratane vuttanayeneva veditabbaṃ. Evarūpaṃ assaratanaṃ sandhāya bhagavā – ‘‘puna ca para’’ntiādimāha.

    มณิรตนวณฺณนา

    Maṇiratanavaṇṇanā

    ๒๔๘. เอวํ ปาตุภูตอสฺสรตนสฺส ปน รโญฺญ จกฺกวตฺติโน จตุหตฺถายามํ สกฎนาภิสมปริณาหํ อุโภสุ อเนฺตสุ กณฺณิกปริยนฺตโต วินิคฺคเตหิ สุปริสุทฺธมุตฺตากลาเปหิ ทฺวีหิ กญฺจนปทุเมหิ อลงฺกตํ จตุราสีติมณิสหสฺสปริวารํ ตาราคณปริวุตสฺส ปุณฺณจนฺทสสฺสิริํ ผรมานํ วิย เวปุลฺลปพฺพตโต มณิรตนํ อาคจฺฉติฯ ตเสฺสวํ อาคตสฺส มุตฺตาชาลเก ฐเปตฺวา เวฬุปรมฺปราย สฎฺฐิหตฺถปฺปมาณํ อากาสํ อาโรปิตสฺส รตฺติภาเค สมนฺตา โยชนปฺปมาณํ โอกาสํ อาภา ผรติ, ยาย สโพฺพ โส โอกาโส อรุณุคฺคมนเวลา วิย สญฺชาตาโลโก โหติฯ ตโต กสฺสกา กสิกมฺมํ วาณิชา อาปณุคฺฆาฎนํ เต เต สิปฺปิโน ตํ ตํ กมฺมนฺตํ ปโยเชนฺติ ‘‘ทิวา’’ติ มญฺญมานาฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ สพฺพํ ตํ ตเถว อโหสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุน จ ปรํ อานนฺท,…เป.… มณิรตนํ ปาตุรโหสี’’ติฯ

    248. Evaṃ pātubhūtaassaratanassa pana rañño cakkavattino catuhatthāyāmaṃ sakaṭanābhisamapariṇāhaṃ ubhosu antesu kaṇṇikapariyantato viniggatehi suparisuddhamuttākalāpehi dvīhi kañcanapadumehi alaṅkataṃ caturāsītimaṇisahassaparivāraṃ tārāgaṇaparivutassa puṇṇacandasassiriṃ pharamānaṃ viya vepullapabbatato maṇiratanaṃ āgacchati. Tassevaṃ āgatassa muttājālake ṭhapetvā veḷuparamparāya saṭṭhihatthappamāṇaṃ ākāsaṃ āropitassa rattibhāge samantā yojanappamāṇaṃ okāsaṃ ābhā pharati, yāya sabbo so okāso aruṇuggamanavelā viya sañjātāloko hoti. Tato kassakā kasikammaṃ vāṇijā āpaṇugghāṭanaṃ te te sippino taṃ taṃ kammantaṃ payojenti ‘‘divā’’ti maññamānā. Mahāsudassanassāpi sabbaṃ taṃ tatheva ahosi. Tena vuttaṃ – ‘‘puna ca paraṃ ānanda,…pe… maṇiratanaṃ pāturahosī’’ti.

    อิตฺถิรตนวณฺณนา

    Itthiratanavaṇṇanā

    ๒๔๙. เอวํ ปาตุภูตมณิรตนสฺส ปน จกฺกวตฺติโน วิสยสุขวิเสสสฺส วิเสสการณํ อิตฺถิรตนํ ปาตุภวติฯ มทฺทราชกุลโต วา หิสฺส อคฺคมเหสิํ อาเนนฺติ, อุตฺตรกุรุโต วา ปุญฺญานุภาเวน สยํ อาคจฺฉติฯ อวเสสา ปนสฺสา สมฺปตฺติ – ‘‘ปุน จ ปรํ, อานนฺท, รโญฺญ มหาสุทสฺสนสฺส อิตฺถิรตนํ ปาตุรโหสิ, อภิรูปา ทสฺสนียา’’ติอาทินา นเยน ปาฬิยํเยว อาคตาฯ

    249. Evaṃ pātubhūtamaṇiratanassa pana cakkavattino visayasukhavisesassa visesakāraṇaṃ itthiratanaṃ pātubhavati. Maddarājakulato vā hissa aggamahesiṃ ānenti, uttarakuruto vā puññānubhāvena sayaṃ āgacchati. Avasesā panassā sampatti – ‘‘puna ca paraṃ, ānanda, rañño mahāsudassanassa itthiratanaṃ pāturahosi, abhirūpā dassanīyā’’tiādinā nayena pāḷiyaṃyeva āgatā.

    ตตฺถ สณฺฐานปาริปูริยา อธิกํ รูปํ อสฺสาติ อภิรูปาฯ ทิสฺสมานาว จกฺขูนิ ปิณยติ, ตสฺมา อญฺญํ กิจฺจวิเกฺขปํ หิตฺวาปิ ทฎฺฐพฺพาติ ทสฺสนียาฯ ทิสฺสมานาว โสมนสฺสวเสน จิตฺตํ ปสาเทตีติ ปาสาทิกาฯ ปรมายาติ เอวํ ปสาทาวหตฺตา อุตฺตมายฯ วณฺณโปกฺขรตายาติ วณฺณสุนฺทรตายฯ สมนฺนาคตาติ อุเปตาฯ อภิรูปา วา ยสฺมา นาติทีฆา นาติรสฺสาฯ ทสฺสนียา ยสฺมา นาติกิสา นาติถูลาฯ ปาสาทิกา ยสฺมา นาติกาฬิกา นาโจฺจทาตาฯ ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา ยสฺมา อภิกฺกนฺตา มานุสิวณฺณํ อปฺปตฺตา ทิพฺพวณฺณํฯ มนุสฺสานญฺหิ วณฺณาภา พหิ น นิจฺฉรติฯ เทวานํ ปน อติทูรมฺปิ นิจฺฉรติฯ

    Tattha saṇṭhānapāripūriyā adhikaṃ rūpaṃ assāti abhirūpā. Dissamānāva cakkhūni piṇayati, tasmā aññaṃ kiccavikkhepaṃ hitvāpi daṭṭhabbāti dassanīyā. Dissamānāva somanassavasena cittaṃ pasādetīti pāsādikā. Paramāyāti evaṃ pasādāvahattā uttamāya. Vaṇṇapokkharatāyāti vaṇṇasundaratāya. Samannāgatāti upetā. Abhirūpā vā yasmā nātidīghā nātirassā. Dassanīyā yasmā nātikisā nātithūlā. Pāsādikā yasmā nātikāḷikā nāccodātā. Paramāya vaṇṇapokkharatāya samannāgatā yasmā abhikkantā mānusivaṇṇaṃ appattā dibbavaṇṇaṃ. Manussānañhi vaṇṇābhā bahi na niccharati. Devānaṃ pana atidūrampi niccharati.

    ตสฺสา ปน ทฺวาทสหตฺถปฺปมาณํ ปเทสํ สรีราภา โอภาเสติฯ นาติทีฆาทีสุ จสฺสา ปฐมยุคเฬน อาโรหสมฺปตฺติ, ทุติยยุคเฬน ปริณาหสมฺปตฺติ, ตติยยุคเฬน วณฺณสมฺปตฺติ วุตฺตาฯ ฉหิ วาปิ เอเตหิ กายวิปตฺติยา อภาโว, อติกฺกนฺตา มานุสิวณฺณนฺติ อิมินา กายสมฺปตฺติ วุตฺตาฯ ตูลปิจุโน วา กปฺปาสปิจุโน วาติ สปฺปิมเณฺฑ ปกฺขิปิตฺวา ฐปิตสฺส สตวารวิหตสฺส ตูลปิจุโน วา กปฺปาสปิจุโน วาฯ สีเตติ รโญฺญ สีตกาเลฯ อุเณฺหติ รโญฺญ อุณฺหกาเลฯ จนฺทนคโนฺธติ นิจฺจกาลเมว สุปิสิตสฺส อภินวสฺส จตุชฺชาติสมาโยชิตสฺส หริจนฺทนสฺส คโนฺธ กายโต วายติฯ อุปฺปลคโนฺธ วายตีติ หสิตกถิตกาเลสุ มุขโต ตงฺขณํ วิกสิตเสฺสว นีลุปฺปลสฺส อติสุรภิคโนฺธ วายติฯ

    Tassā pana dvādasahatthappamāṇaṃ padesaṃ sarīrābhā obhāseti. Nātidīghādīsu cassā paṭhamayugaḷena ārohasampatti, dutiyayugaḷena pariṇāhasampatti, tatiyayugaḷena vaṇṇasampatti vuttā. Chahi vāpi etehi kāyavipattiyā abhāvo, atikkantā mānusivaṇṇanti iminā kāyasampatti vuttā. Tūlapicuno vā kappāsapicuno vāti sappimaṇḍe pakkhipitvā ṭhapitassa satavāravihatassa tūlapicuno vā kappāsapicuno vā. Sīteti rañño sītakāle. Uṇheti rañño uṇhakāle. Candanagandhoti niccakālameva supisitassa abhinavassa catujjātisamāyojitassa haricandanassa gandho kāyato vāyati. Uppalagandho vāyatīti hasitakathitakālesu mukhato taṅkhaṇaṃ vikasitasseva nīluppalassa atisurabhigandho vāyati.

    เอวํ รูปสมฺผสฺสคนฺธสมฺปตฺติยุตฺตาย ปนสฺสา สรีรสมฺปตฺติยา อนุรูปํ อาจารํ ทเสฺสตุํ ตํ โข ปนาติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ราชานํ ทิสฺวา นิสินฺนาสนโต อคฺคิทฑฺฒา วิย ปฐมเมว อุฎฺฐาตีติ ปุพฺพุฎฺฐายินีฯ ตสฺมิํ นิสิเนฺน ตสฺส ตาลวเณฺฎน พีชนาทิกิจฺจํ กตฺวา ปจฺฉา นิปตติ นิสีทตีติ ปจฺฉานิปาตินีฯ กิํ กโรมิ, เต เทวาติ วาจาย กิํ-การํ ปฎิสาเวตีติ กิํ การปฎิสฺสาวินีฯ รโญฺญ มนาปเมว จรติ กโรตีติ มนาปจารินีฯ ยํ รโญฺญ ปิยํ ตเทว วทตีติ ปิยวาทินีฯ

    Evaṃ rūpasamphassagandhasampattiyuttāya panassā sarīrasampattiyā anurūpaṃ ācāraṃ dassetuṃ taṃ kho panātiādi vuttaṃ. Tattha rājānaṃ disvā nisinnāsanato aggidaḍḍhā viya paṭhamameva uṭṭhātīti pubbuṭṭhāyinī. Tasmiṃ nisinne tassa tālavaṇṭena bījanādikiccaṃ katvā pacchā nipatati nisīdatīti pacchānipātinī. Kiṃ karomi, te devāti vācāya kiṃ-kāraṃ paṭisāvetīti kiṃ kārapaṭissāvinī. Rañño manāpameva carati karotīti manāpacārinī. Yaṃ rañño piyaṃ tadeva vadatīti piyavādinī.

    อิทานิ – ‘‘สฺวาสฺสา อาจาโร ภาววิสุทฺธิยาว, น สาเฐยฺยนา’’ติ ทเสฺสตุํ ตํ โข ปนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โน อติจรีติ น อติกฺกมิตฺวา จริ, ฐเปตฺวา ราชานํ อญฺญํ ปุริสํ จิเตฺตนปิ น ปเตฺถสีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Idāni – ‘‘svāssā ācāro bhāvavisuddhiyāva, na sāṭheyyanā’’ti dassetuṃ taṃ kho panātiādimāha. Tattha no aticarīti na atikkamitvā cari, ṭhapetvā rājānaṃ aññaṃ purisaṃ cittenapi na patthesīti vuttaṃ hoti.

    ตตฺถ เย ตสฺสา อาทิมฺหิ ‘‘อภิรูปา’’ติอาทโย, อเนฺต ‘‘ปุพฺพุฎฺฐายินี’’ติอาทโย คุณา วุตฺตา, เต ปกติคุณา เอวฯ ‘‘อติกฺกนฺตา มานุสิวณฺณ’’นฺติอาทโย ปน จกฺกวตฺติโน ปุญฺญํ อุปนิสฺสาย จกฺกรตนปาตุภาวโต ปฎฺฐาย ปุริมกมฺมานุภาเวน นิพฺพตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha ye tassā ādimhi ‘‘abhirūpā’’tiādayo, ante ‘‘pubbuṭṭhāyinī’’tiādayo guṇā vuttā, te pakatiguṇā eva. ‘‘Atikkantā mānusivaṇṇa’’ntiādayo pana cakkavattino puññaṃ upanissāya cakkaratanapātubhāvato paṭṭhāya purimakammānubhāvena nibbattāti veditabbā.

    อภิรูปตาทิกาปิ วา จกฺกรตนปาตุภาวโต ปฎฺฐาย สพฺพาการปริปูรา ชาตาฯ เตนาห – ‘‘เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ ปาตุรโหสี’’ติฯ

    Abhirūpatādikāpi vā cakkaratanapātubhāvato paṭṭhāya sabbākāraparipūrā jātā. Tenāha – ‘‘evarūpaṃ itthiratanaṃ pāturahosī’’ti.

    คหปติรตนวณฺณนา

    Gahapatiratanavaṇṇanā

    ๒๕๐. เอวํ ปาตุภูตอิตฺถิรตนสฺส ปน รโญฺญ จกฺกวตฺติโน ธนกรณียานํ กิจฺจานํ ยถาสุขํ ปวตฺตนตฺถํ คหปติรตนํ ปาตุภวติฯ โส ปกติยาว มหาโภโค, มหาโภคกุเล ชาโตฯ รโญฺญ ธนราสิวฑฺฒโก เสฎฺฐิคหปติ โหติฯ จกฺกรตนานุภาวสหิตํ ปนสฺส กมฺมวิปากชํ ทิพฺพจกฺขุ ปาตุภวติ, เยน อโนฺตปถวิยมฺปิ โยชนพฺภนฺตเร นิธิํ ปสฺสติ, โส ตํ สมฺปตฺติํ ทิสฺวา ตุฎฺฐมานโส คนฺตฺวา ราชานํ ธเนน ปวาเรตฺวา สพฺพานิ ธนกรณียานิ สมฺปาเทติ ฯ มหาสุทสฺสนสฺสาปิ ตเถว สมฺปาเทสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุน จปรํ อานนฺท…เป.… เอวรูปํ คหปติรตนํ ปาตุรโหสี’’ติฯ

    250. Evaṃ pātubhūtaitthiratanassa pana rañño cakkavattino dhanakaraṇīyānaṃ kiccānaṃ yathāsukhaṃ pavattanatthaṃ gahapatiratanaṃ pātubhavati. So pakatiyāva mahābhogo, mahābhogakule jāto. Rañño dhanarāsivaḍḍhako seṭṭhigahapati hoti. Cakkaratanānubhāvasahitaṃ panassa kammavipākajaṃ dibbacakkhu pātubhavati, yena antopathaviyampi yojanabbhantare nidhiṃ passati, so taṃ sampattiṃ disvā tuṭṭhamānaso gantvā rājānaṃ dhanena pavāretvā sabbāni dhanakaraṇīyāni sampādeti . Mahāsudassanassāpi tatheva sampādesi. Tena vuttaṃ – ‘‘puna caparaṃ ānanda…pe… evarūpaṃ gahapatiratanaṃ pāturahosī’’ti.

    ปริณายกรตนวณฺณนา

    Pariṇāyakaratanavaṇṇanā

    ๒๕๑. เอวํ ปาตุภูตคหปติรตนสฺส ปน รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส สพฺพกิจฺจสํวิธานสมตฺถํ ปริณายกรตนํ ปาตุภวติฯ โส รโญฺญ เชฎฺฐปุโตฺตว โหติฯ ปกติยา เอว โส ปณฺฑิโต พฺยโตฺต เมธาวี วิภาวีฯ รโญฺญ ปุญฺญานุภาวํ นิสฺสาย ปนสฺส อตฺตโน กมฺมานุภาเวน ปรจิตฺตญาณํ อุปฺปชฺชติฯ เยน ทฺวาทสโยชนาย ราชปริสาย จิตฺตาจารํ ญตฺวา รโญฺญ หิเต จ อหิเต จ ววตฺถเปตุํ สมโตฺถ โหติ, โสปิ ตํ อตฺตโน อานุภาวํ ทิสฺวา ตุฎฺฐหทโย ราชานํ สพฺพกิจฺจานุสาสเนน ปวาเรติฯ มหาสุทสฺสนมฺปิ ตเถว ปวาเรสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุน จปรํ…เป.… ปริณายกรตนํ ปาตุรโหสี’’ติฯ

    251. Evaṃ pātubhūtagahapatiratanassa pana rañño cakkavattissa sabbakiccasaṃvidhānasamatthaṃ pariṇāyakaratanaṃ pātubhavati. So rañño jeṭṭhaputtova hoti. Pakatiyā eva so paṇḍito byatto medhāvī vibhāvī. Rañño puññānubhāvaṃ nissāya panassa attano kammānubhāvena paracittañāṇaṃ uppajjati. Yena dvādasayojanāya rājaparisāya cittācāraṃ ñatvā rañño hite ca ahite ca vavatthapetuṃ samattho hoti, sopi taṃ attano ānubhāvaṃ disvā tuṭṭhahadayo rājānaṃ sabbakiccānusāsanena pavāreti. Mahāsudassanampi tatheva pavāresi. Tena vuttaṃ – ‘‘puna caparaṃ…pe… pariṇāyakaratanaṃ pāturahosī’’ti.

    ตตฺถ ฐเปตพฺพํ ฐเปตุนฺติ ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐานนฺตเร ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํฯ

    Tattha ṭhapetabbaṃ ṭhapetunti tasmiṃ tasmiṃ ṭhānantare ṭhapetabbaṃ ṭhapetuṃ.

    จตุอิทฺธิสมนฺนาคตวณฺณนา

    Catuiddhisamannāgatavaṇṇanā

    ๒๕๒. สมเวปากินิยาติ สมวิปาจนิยาฯ คหณิยาติ กมฺมชเตโชธาตุยาฯ ตตฺถ ยสฺส ภุตฺตมโตฺตว อาหาโร ชีรติ, ยสฺส วา ปน ปุฎภตฺตํ วิย ตเตฺถว ติฎฺฐติ, อุโภเปเต น สมเวปากินิยา สมนฺนาคตาฯ ยสฺส ปน ปุน ภตฺตกาเล ภตฺตฉโนฺท อุปฺปชฺชเตว, อยํ สมเวปากินิยา สมนฺนาคโตติฯ

    252.Samavepākiniyāti samavipācaniyā. Gahaṇiyāti kammajatejodhātuyā. Tattha yassa bhuttamattova āhāro jīrati, yassa vā pana puṭabhattaṃ viya tattheva tiṭṭhati, ubhopete na samavepākiniyā samannāgatā. Yassa pana puna bhattakāle bhattachando uppajjateva, ayaṃ samavepākiniyā samannāgatoti.

    ธมฺมปาสาทโปกฺขรณิวณฺณนา

    Dhammapāsādapokkharaṇivaṇṇanā

    ๒๕๓. มาเปสิ โขติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา ชนราสิํ กาเรตฺวา น มาเปสิ, รโญฺญ ปน สห จิตฺตุปฺปาเทเนว ภูมิํ ภินฺทิตฺวา จตุราสีติ โปกฺขรณีสหสฺสานิ นิพฺพตฺติํสุฯ ตานิ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ ทฺวีหิ เวทิกาหีติ เอกาย อิฎฺฐกานํ ปริยเนฺตเยว ปริกฺขิตฺตา เอกาย ปริเวณปริเจฺฉทปริยเนฺตฯ เอตทโหสีติ กสฺมา อโหสิ? เอกทิวสํ กิร นหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ คจฺฉนฺตํ มหาชนํ มหาปุริโส โอโลเกตฺวา อิเม อุมฺมตฺตกเวเสเนว คจฺฉนฺติฯ สเจ เอเตสํ เอตฺถ ปิฬนฺธนปุปฺผานิ ภเวยฺยุํ, ภทฺทกํ สิยาติฯ อถสฺส เอตทโหสิฯ ตตฺถ สโพฺพตุกนฺติ ปุปฺผํ นาม เอกสฺมิํเยว อุตุมฺหิ ปุปฺผติฯ อหํ ปน ตถา กริสฺสามิ – ‘‘ยถา สเพฺพสุ อุตูสุ ปุปฺผิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิํฯ โรปาเปสีติ นานาวณฺณอุปฺปลพีชาทีนิ ตโต ตโต อาหราเปตฺวา น โรปาเปสิ, สห จิตฺตุปฺปาเทเนว ปนสฺส สพฺพํ อิชฺฌติฯ ตํ โลโก รญฺญา โรปิตนฺติ มญฺญิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘โรปาเปสี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาชโน นานปฺปการํ ชลชถลชมาลํ ปิฬนฺธิตฺวา นกฺขตฺตํ กีฬมาโน วิย คจฺฉติฯ

    253.Māpesi khoti nagare bheriṃ carāpetvā janarāsiṃ kāretvā na māpesi, rañño pana saha cittuppādeneva bhūmiṃ bhinditvā caturāsīti pokkharaṇīsahassāni nibbattiṃsu. Tāni sandhāyetaṃ vuttaṃ. Dvīhi vedikāhīti ekāya iṭṭhakānaṃ pariyanteyeva parikkhittā ekāya pariveṇaparicchedapariyante. Etadahosīti kasmā ahosi? Ekadivasaṃ kira nahatvā ca pivitvā ca gacchantaṃ mahājanaṃ mahāpuriso oloketvā ime ummattakaveseneva gacchanti. Sace etesaṃ ettha piḷandhanapupphāni bhaveyyuṃ, bhaddakaṃ siyāti. Athassa etadahosi. Tattha sabbotukanti pupphaṃ nāma ekasmiṃyeva utumhi pupphati. Ahaṃ pana tathā karissāmi – ‘‘yathā sabbesu utūsu pupphissatī’’ti cintesiṃ. Ropāpesīti nānāvaṇṇauppalabījādīni tato tato āharāpetvā na ropāpesi, saha cittuppādeneva panassa sabbaṃ ijjhati. Taṃ loko raññā ropitanti maññi. Tena vuttaṃ – ‘‘ropāpesī’’ti. Tato paṭṭhāya mahājano nānappakāraṃ jalajathalajamālaṃ piḷandhitvā nakkhattaṃ kīḷamāno viya gacchati.

    ๒๕๔. อถ ราชา ตโต อุตฺตริปิ ชนํ สุขสมปฺปิตํ กาตุกาโม – ‘‘ยํนูนาหํ อิมาสํ โปกฺขรณีนํ ตีเร’’ติอาทินา ชนสฺส สุขวิธานํ จิเนฺตตฺวา สพฺพํ อกาสิฯ ตตฺถ นฺหาเปสุนฺติ อโญฺญ สรีรํ อุพฺพเฎฺฎสิ, อโญฺญ จุณฺณานิ โยเชสิ, อโญฺญ ตีเร นหายนฺตสฺส อุทกํ อาหริ, อโญฺญ วตฺถานิ ปฎิคฺคเหสิ เจว อทาสิ จฯ

    254. Atha rājā tato uttaripi janaṃ sukhasamappitaṃ kātukāmo – ‘‘yaṃnūnāhaṃ imāsaṃ pokkharaṇīnaṃ tīre’’tiādinā janassa sukhavidhānaṃ cintetvā sabbaṃ akāsi. Tattha nhāpesunti añño sarīraṃ ubbaṭṭesi, añño cuṇṇāni yojesi, añño tīre nahāyantassa udakaṃ āhari, añño vatthāni paṭiggahesi ceva adāsi ca.

    ปฎฺฐเปสิ โขติ กถํ ปฎฺฐเปสิ? อิตฺถีนญฺจ ปุริสานญฺจ อนุจฺฉวิเก อลงฺกาเร กาเรตฺวา อิตฺถิมตฺตเมว ตตฺถ ปริจารวเสน เสสํ สพฺพํ ปริจฺจาควเสน ฐเปตฺวา ราชา มหาสุทสฺสโน ทานํ เทติ, ตํ ปริภุญฺชถาติ เภริํ จราเปสิฯ มหาชโน โปกฺขรณีตีรํ อาคนฺตฺวา นหตฺวา วตฺถานิ ปริวเตฺตตฺวา นานาคเนฺธหิ วิลิโตฺต ปิฬนฺธนวิจิตฺตมาโล ทานคฺคํ คนฺตฺวา อเนกปฺปกาเรสุ ยาคุภตฺตขชฺชเกสุ อฎฺฐวิธปาเนสุ จ โย ยํ อิจฺฉติ, โส ตํ ขาทิตฺวา จ ปิวิตฺวา จ นานาวณฺณานิ โขมสุขุมานิ วตฺถานิ นิวาเสตฺวา สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา เยสํ ตาทิสานิ อตฺถิ, เต โอหาย คจฺฉนฺติฯ เยสํ ปน นตฺถิ, เต คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ หตฺถิอสฺสยานาทีสุปิ นิสีทิตฺวา โถกํ วิจริตฺวา อนตฺถิกา โอหาย, อตฺถิกา คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ วรสยเนสุ นิปชฺชิตฺวา สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อนตฺถิกา โอหาย, อตฺถิกา คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ อิตฺถีหิปิ สทฺธิํ สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อนตฺถิกา โอหาย, อตฺถิกา คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ สตฺตวิธรตนปสาธนานิ จ ปสาเธตฺวาปิ สมฺปตฺติํ อนุภวิตฺวา อนตฺถิกา โอหาย, อตฺถิกา คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ ตมฺปิ ทานํ อุฎฺฐาย สมุฎฺฐาย ทียเตวฯ ชมฺพุทีปวาสิกานํ อญฺญํ กมฺมํ นตฺถิ, รโญฺญ ทานํ ปริภุญฺชนฺตาว วิจรนฺติฯ

    Paṭṭhapesi khoti kathaṃ paṭṭhapesi? Itthīnañca purisānañca anucchavike alaṅkāre kāretvā itthimattameva tattha paricāravasena sesaṃ sabbaṃ pariccāgavasena ṭhapetvā rājā mahāsudassano dānaṃ deti, taṃ paribhuñjathāti bheriṃ carāpesi. Mahājano pokkharaṇītīraṃ āgantvā nahatvā vatthāni parivattetvā nānāgandhehi vilitto piḷandhanavicittamālo dānaggaṃ gantvā anekappakāresu yāgubhattakhajjakesu aṭṭhavidhapānesu ca yo yaṃ icchati, so taṃ khāditvā ca pivitvā ca nānāvaṇṇāni khomasukhumāni vatthāni nivāsetvā sampattiṃ anubhavitvā yesaṃ tādisāni atthi, te ohāya gacchanti. Yesaṃ pana natthi, te gahetvā gacchanti. Hatthiassayānādīsupi nisīditvā thokaṃ vicaritvā anatthikā ohāya, atthikā gahetvā gacchanti. Varasayanesu nipajjitvā sampattiṃ anubhavitvā anatthikā ohāya, atthikā gahetvā gacchanti. Itthīhipi saddhiṃ sampattiṃ anubhavitvā anatthikā ohāya, atthikā gahetvā gacchanti. Sattavidharatanapasādhanāni ca pasādhetvāpi sampattiṃ anubhavitvā anatthikā ohāya, atthikā gahetvā gacchanti. Tampi dānaṃ uṭṭhāya samuṭṭhāya dīyateva. Jambudīpavāsikānaṃ aññaṃ kammaṃ natthi, rañño dānaṃ paribhuñjantāva vicaranti.

    ๒๕๕. อถ พฺราหฺมณคหปติกา จิเนฺตสุํ – ‘‘อยํ ราชา เอวรูปํ ทานํ ททโนฺตปิ ‘มยฺหํ ตณฺฑุลาทีนิ วา ขีราทีนิ วา เทถา’ติ น กิญฺจิ อาหราเปติ, น โข ปน อมฺหากํ – ‘ราชา อาหราเปตี’ติ ตุณฺหีมาสิตุํ ปติรูป’’นฺติ เต พหุํ สาปเตยฺยํ สํหริตฺวา รโญฺญ อุปนาเมสุํฯ ตสฺมา – ‘‘อถ โข, อานนฺท, พฺราหฺมณคหปติกา’’ติอาทิมาหฯ เอวํ สมจิเนฺตสุนฺติ กสฺมา เอวํ จิเนฺตสุํ? กสฺสจิ ฆรโต อปฺปํ อาภตํ, กสฺสจิ พหุฯ ตสฺมิํ ปฎิสํหริยมาเน – ‘‘กิํ ตเวว ฆรโต สุนฺทรํ อาภตํ, น มยฺหํ ฆรโต, กิํ ตเวว ฆรโต พหุ , น มยฺห’’นฺติ เอวํ กลหสโทฺทปิ อุปฺปเชฺชยฺย, โส มา อุปฺปชฺชิตฺถาติ เอวํ สมจิเนฺตสุํฯ

    255. Atha brāhmaṇagahapatikā cintesuṃ – ‘‘ayaṃ rājā evarūpaṃ dānaṃ dadantopi ‘mayhaṃ taṇḍulādīni vā khīrādīni vā dethā’ti na kiñci āharāpeti, na kho pana amhākaṃ – ‘rājā āharāpetī’ti tuṇhīmāsituṃ patirūpa’’nti te bahuṃ sāpateyyaṃ saṃharitvā rañño upanāmesuṃ. Tasmā – ‘‘atha kho, ānanda, brāhmaṇagahapatikā’’tiādimāha. Evaṃ samacintesunti kasmā evaṃ cintesuṃ? Kassaci gharato appaṃ ābhataṃ, kassaci bahu. Tasmiṃ paṭisaṃhariyamāne – ‘‘kiṃ taveva gharato sundaraṃ ābhataṃ, na mayhaṃ gharato, kiṃ taveva gharato bahu , na mayha’’nti evaṃ kalahasaddopi uppajjeyya, so mā uppajjitthāti evaṃ samacintesuṃ.

    ๒๕๖. เอหิ ตฺวํ สมฺมาติ เอหิ ตฺวํ วยสฺสฯ ธมฺมํ นาม ปาสาทนฺติ ปาสาทสฺส นามํ อาโรเปตฺวาว อาณาเปสิฯ วิสฺสกโมฺม ปน กีว มหโนฺต เทว ปาสาโท โหตูติ ปฎิปุจฺฉิตฺวา ทีฆโต โยชนํ วิตฺถารโต อฑฺฒโยชนํ สพฺพรตนมโยว โหตูติ วุเตฺตปิ ‘เอวํ โหตุ, ภทฺทํ ตว วจน’นฺติ ตสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา ธมฺมราชานํ สมฺปฎิจฺฉาเปตฺวา มาเปสิฯ ตตฺถ เอวํ ภทฺทํ ตวาติ โข อานนฺทาติ เอวํ ภทฺทํ ตว อิติ โข อานนฺทฯ ปฎิสฺสุตฺวาติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา, วตฺวาติ อโตฺถฯ ตุณฺหีภาเวนาติ สมณธมฺมปฎิปตฺติกรโณกาโส เม ภวิสฺสตีติ อิจฺฉโนฺต ตุณฺหีภาเวน อธิวาเสสิฯ สารมโยติ จนฺทนสารมโยฯ

    256.Ehi tvaṃ sammāti ehi tvaṃ vayassa. Dhammaṃ nāma pāsādanti pāsādassa nāmaṃ āropetvāva āṇāpesi. Vissakammo pana kīva mahanto deva pāsādo hotūti paṭipucchitvā dīghato yojanaṃ vitthārato aḍḍhayojanaṃ sabbaratanamayova hotūti vuttepi ‘evaṃ hotu, bhaddaṃ tava vacana’nti tassa paṭissuṇitvā dhammarājānaṃ sampaṭicchāpetvā māpesi. Tattha evaṃ bhaddaṃ tavāti kho ānandāti evaṃ bhaddaṃ tava iti kho ānanda. Paṭissutvāti sampaṭicchitvā, vatvāti attho. Tuṇhībhāvenāti samaṇadhammapaṭipattikaraṇokāso me bhavissatīti icchanto tuṇhībhāvena adhivāsesi. Sāramayoti candanasāramayo.

    ๒๕๗. ทฺวีหิ เวทิกาหีติ เอตฺถ เอกา เวทิกา ปนสฺส อุณฺหีสมตฺถเก อโหสิ, เอกา เหฎฺฐา ปริเจฺฉทมตฺถเกฯ

    257.Dvīhi vedikāhīti ettha ekā vedikā panassa uṇhīsamatthake ahosi, ekā heṭṭhā paricchedamatthake.

    ๒๕๘. ทุทฺทิโกฺข อโหสีติ ทุอุทฺทิโกฺข, ปภาสมฺปตฺติยา ทุทฺทโสติ อโตฺถฯ มุสตีติ หรติ ผนฺทาเปติ นิจฺจลภาเวน ปติฎฺฐาตุํ น เทติฯ วิเทฺธติ อุพฺพิเทฺธ, เมฆวิคเมน ทูรีภูเตติ อโตฺถฯ เทเวติ อากาเสฯ

    258.Duddikkho ahosīti duuddikkho, pabhāsampattiyā duddasoti attho. Musatīti harati phandāpeti niccalabhāvena patiṭṭhātuṃ na deti. Viddheti ubbiddhe, meghavigamena dūrībhūteti attho. Deveti ākāse.

    ๒๕๙. มาเปสิ โขติ อหํ อิมสฺมิํ ฐาเน โปกฺขรณิํ มาเปมิ, ตุมฺหากํ ฆรานิ ภินฺทถาติ น เอวํ กาเรตฺวา มาเปสิฯ จิตฺตุปฺปาทวเสเนว ปนสฺส ภูมิํ ภินฺทิตฺวา ตถารูปา โปกฺขรณี อโหสิฯ เต สพฺพกาเมหีติ สเพฺพหิ อิจฺฉิติจฺฉิตวตฺถูหิ, สมเณ สมณปริกฺขาเรหิ, พฺราหฺมเณ พฺราหฺมณปริกฺขาเรหิ สนฺตเปฺปสีติฯ

    259.Māpesi khoti ahaṃ imasmiṃ ṭhāne pokkharaṇiṃ māpemi, tumhākaṃ gharāni bhindathāti na evaṃ kāretvā māpesi. Cittuppādavaseneva panassa bhūmiṃ bhinditvā tathārūpā pokkharaṇī ahosi. Te sabbakāmehīti sabbehi icchiticchitavatthūhi, samaṇe samaṇaparikkhārehi, brāhmaṇe brāhmaṇaparikkhārehi santappesīti.

    ปฐมภาณวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamabhāṇavāravaṇṇanā niṭṭhitā.

    ฌานสมฺปตฺติวณฺณนา

    Jhānasampattivaṇṇanā

    ๒๖๐. มหิทฺธิโกติ จิตฺตุปฺปาทวเสเนว จตุราสีติโปกฺขรณีสหสฺสานํ นิพฺพตฺติสงฺขาตาย มหติยา อิทฺธิยา สมนฺนาคโตฯ มหานุภาโวติ เตสํเยว อนุภวิตพฺพานํ มหนฺตตาย มหานุภาเวน สมนฺนาคโตฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต, ตสฺส – ‘‘กตเมสํ ติณฺณ’’นฺติ อโตฺถฯ ทานสฺสาติ สมฺปตฺติปริจฺจาคสฺสฯ ทมสฺสาติ อาฬวกสุเตฺต ปญฺญา ทโมติ อาคโตฯ อิธ อตฺตานํ ทเมเนฺตน กตํ อุโปสถกมฺมํฯ สํยมสฺสาติ สีลสฺสฯ

    260.Mahiddhikoti cittuppādavaseneva caturāsītipokkharaṇīsahassānaṃ nibbattisaṅkhātāya mahatiyā iddhiyā samannāgato. Mahānubhāvoti tesaṃyeva anubhavitabbānaṃ mahantatāya mahānubhāvena samannāgato. Seyyathidanti nipāto, tassa – ‘‘katamesaṃ tiṇṇa’’nti attho. Dānassāti sampattipariccāgassa. Damassāti āḷavakasutte paññā damoti āgato. Idha attānaṃ damentena kataṃ uposathakammaṃ. Saṃyamassāti sīlassa.

    โพธิสตฺตปุพฺพโยควณฺณนา

    Bodhisattapubbayogavaṇṇanā

    อิธ ฐตฺวา ปนสฺส ปุพฺพโยโค เวทิตโพฺพ – ราชา กิร ปุเพฺพ คหปติกุเล นิพฺพตฺติฯ เตน จ สมเยน ธรมานกเสฺสว กสฺสปพุทฺธสฺส สาสเน เอโก เถโร อรเญฺญ วาสํ วสติ, โพธิสโตฺต อตฺตโน กเมฺมน อรญฺญํ ปวิโฎฺฐ เถรํ ทิสฺวา อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เถรสฺส นิสชฺชนฎฺฐานจงฺกมนฎฺฐานานิ โอโลเกตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘อิเธว, ภเนฺต, อโยฺย วสตี’’ติ? อาม, อุปาสกาติ สุตฺวา – ‘‘อิเธว อยฺยสฺส ปณฺณสาลํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน กมฺมํ ปหาย ทพฺพสมฺภารํ โกเฎฺฎตฺวา ปณฺณสาลํ กตฺวา ฉาเทตฺวา ภิตฺติโย มตฺติกาย ลิมฺปิตฺวา ทฺวารํ โยเชตฺวา กฎฺฐตฺถรณํ กตฺวา – ‘‘กริสฺสติ นุ โข ปริโภคํ, น กริสฺสตี’’ติ เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เถโร อโนฺตคามโต อาคนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา กฎฺฐตฺถรเณ นิสีทิฯ อุปาสโกปิ อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา สมีเป นิสิโนฺน ‘‘ผาสุกา, ภเนฺต, ปณฺณสาลา’’ติ ปุจฺฉิฯ ผาสุกา, ภทฺทมุข, ปพฺพชิตสารุปฺปาติฯ วสิสฺสถ, ภเนฺต, อิธาติ? อาม, อุปาสกาติ, โส อธิวาสนากาเรน วสิสฺสตีติ ญตฺวา นิพทฺธํ มยฺหํ ฆรทฺวารํ อาคนฺตพฺพนฺติ ปฎิชานาเปตฺวา – ‘‘เอกํ เม, ภเนฺต, วรํ เทถา’’ติ อาหฯ อติกฺกนฺตวรา, อุปาสก, ปพฺพชิตาติฯ ภเนฺต, ยญฺจ กปฺปติ, ยญฺจ อนวชฺชนฺติฯ วเทหิ อุปาสกาติฯ ภเนฺต, นิพทฺธวสนฎฺฐาเน นาม มนุสฺสา มงฺคเล วา อมงฺคเล วา อาคมนํ อิจฺฉนฺติ, อนาคจฺฉนฺตสฺส กุชฺฌนฺติฯ ตสฺมา อญฺญํ นิมนฺติตฎฺฐานํ คนฺตฺวาปิ มยฺหํ ฆรํ ปวิสิตฺวาว ภตฺตกิจฺจํ นิฎฺฐาเปตพฺพนฺติฯ เถโร อธิวาเสสิฯ

    Idha ṭhatvā panassa pubbayogo veditabbo – rājā kira pubbe gahapatikule nibbatti. Tena ca samayena dharamānakasseva kassapabuddhassa sāsane eko thero araññe vāsaṃ vasati, bodhisatto attano kammena araññaṃ paviṭṭho theraṃ disvā upasaṅkamitvā vanditvā therassa nisajjanaṭṭhānacaṅkamanaṭṭhānāni oloketvā pucchi – ‘‘idheva, bhante, ayyo vasatī’’ti? Āma, upāsakāti sutvā – ‘‘idheva ayyassa paṇṇasālaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā attano kammaṃ pahāya dabbasambhāraṃ koṭṭetvā paṇṇasālaṃ katvā chādetvā bhittiyo mattikāya limpitvā dvāraṃ yojetvā kaṭṭhattharaṇaṃ katvā – ‘‘karissati nu kho paribhogaṃ, na karissatī’’ti ekamantaṃ nisīdi. Thero antogāmato āgantvā paṇṇasālaṃ pavisitvā kaṭṭhattharaṇe nisīdi. Upāsakopi āgantvā vanditvā samīpe nisinno ‘‘phāsukā, bhante, paṇṇasālā’’ti pucchi. Phāsukā, bhaddamukha, pabbajitasāruppāti. Vasissatha, bhante, idhāti? Āma, upāsakāti, so adhivāsanākārena vasissatīti ñatvā nibaddhaṃ mayhaṃ gharadvāraṃ āgantabbanti paṭijānāpetvā – ‘‘ekaṃ me, bhante, varaṃ dethā’’ti āha. Atikkantavarā, upāsaka, pabbajitāti. Bhante, yañca kappati, yañca anavajjanti. Vadehi upāsakāti. Bhante, nibaddhavasanaṭṭhāne nāma manussā maṅgale vā amaṅgale vā āgamanaṃ icchanti, anāgacchantassa kujjhanti. Tasmā aññaṃ nimantitaṭṭhānaṃ gantvāpi mayhaṃ gharaṃ pavisitvāva bhattakiccaṃ niṭṭhāpetabbanti. Thero adhivāsesi.

    โส ปณฺณสาลาย กฎสาฎกํ ปตฺถริตฺวา มญฺจปีฐํ ปญฺญเปสิ, อปเสฺสนํ นิกฺขิปิ, ปาทกถลิกํ ฐเปสิ, โปกฺขรณิํ ขณิ, จงฺกมํ กตฺวา วาลิกํ โอกิริ, มิเค อาคนฺตฺวา ภิตฺติํ ฆํสิตฺวา มตฺติกํ ปาเตเนฺต ทิสฺวา กณฺฎกวติํ ปริกฺขิปิฯ โปกฺขรณิํ โอตริตฺวา อุทกํ อาฬุลิกํ กโรเนฺต ทิสฺวา อโนฺต ปาสาเณหิ จินิตฺวา พหิ กณฺฎกวติํ ปริกฺขิปิตฺวา อโนฺตวติปริยเนฺต ตาลปนฺติโย โรเปติ, มหาจงฺกเม สมฺมฎฺฐฎฺฐานํ อาฬุเลเนฺต ทิสฺวา จงฺกมมฺปิ วติยา ปริกฺขิปิตฺวา อโนฺตวติปริยเนฺต ตาลปนฺติํ โรเปสิฯ เอวํ อาวาสํ นิฎฺฐเปตฺวา เถรสฺส ติจีวรํ, ปิณฺฑปาตํ, โอสธํ, ปริโภคภาชนํ, อารกณฺฎกํ, ปิปฺผลิกํ, นขเจฺฉทนํ, สูจิํ, กตฺตรยฎฺฐิํ, อุปาหนํ, อุทกตุมฺพํ, ฉตฺตํ, ทีปกปลฺลกํ, มลหรณิํฯ ปริสฺสาวนํ, ธมกรณํ, ปตฺตํ, ถาลกํ, ยํ วา ปนญฺญมฺปิ ปพฺพชิตานํ ปริโภคชาตํ, สพฺพํ อทาสิฯ เถรสฺส โพธิสเตฺตน อทินฺนปริกฺขาโร นาม นาโหสิฯ โส สีลานิ รกฺขโนฺต อุโปสถํ กโรโนฺต ยาวชีวํ เถรํ อุปฎฺฐหิฯ เถโร ตเตฺถว วสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา ปรินิพฺพายิฯ

    So paṇṇasālāya kaṭasāṭakaṃ pattharitvā mañcapīṭhaṃ paññapesi, apassenaṃ nikkhipi, pādakathalikaṃ ṭhapesi, pokkharaṇiṃ khaṇi, caṅkamaṃ katvā vālikaṃ okiri, mige āgantvā bhittiṃ ghaṃsitvā mattikaṃ pātente disvā kaṇṭakavatiṃ parikkhipi. Pokkharaṇiṃ otaritvā udakaṃ āḷulikaṃ karonte disvā anto pāsāṇehi cinitvā bahi kaṇṭakavatiṃ parikkhipitvā antovatipariyante tālapantiyo ropeti, mahācaṅkame sammaṭṭhaṭṭhānaṃ āḷulente disvā caṅkamampi vatiyā parikkhipitvā antovatipariyante tālapantiṃ ropesi. Evaṃ āvāsaṃ niṭṭhapetvā therassa ticīvaraṃ, piṇḍapātaṃ, osadhaṃ, paribhogabhājanaṃ, ārakaṇṭakaṃ, pipphalikaṃ, nakhacchedanaṃ, sūciṃ, kattarayaṭṭhiṃ, upāhanaṃ, udakatumbaṃ, chattaṃ, dīpakapallakaṃ, malaharaṇiṃ. Parissāvanaṃ, dhamakaraṇaṃ, pattaṃ, thālakaṃ, yaṃ vā panaññampi pabbajitānaṃ paribhogajātaṃ, sabbaṃ adāsi. Therassa bodhisattena adinnaparikkhāro nāma nāhosi. So sīlāni rakkhanto uposathaṃ karonto yāvajīvaṃ theraṃ upaṭṭhahi. Thero tattheva vasanto arahattaṃ patvā parinibbāyi.

    โพธิสโตฺตปิ ยาวตายุกํ ปุญฺญํ กตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จุโต มนุสฺสโลกํ อาคจฺฉโนฺต กุสาวติยา ราชธานิยา นิพฺพตฺติตฺวา มหาสุทสฺสโน ราชา อโหสิฯ

    Bodhisattopi yāvatāyukaṃ puññaṃ katvā devaloke nibbattitvā tato cuto manussalokaṃ āgacchanto kusāvatiyā rājadhāniyā nibbattitvā mahāsudassano rājā ahosi.

    ‘‘เอวํ นาติมหนฺตมฺปิ, ปุญฺญํ อายตเน กตํ;

    ‘‘Evaṃ nātimahantampi, puññaṃ āyatane kataṃ;

    มหาวิปากํ โหตีติ, กตฺตพฺพํ ตํ วิภาวินา’’ฯ

    Mahāvipākaṃ hotīti, kattabbaṃ taṃ vibhāvinā’’.

    มหาวิยูหนฺติ รชตมยํ มหากูฎาคารํฯ ตตฺถ วสิตุกาโม หุตฺวา อคมาสิ, เอตฺตาวตา กามวิตกฺกาติ กามวิตกฺก ตยา เอตฺตาวตา นิวตฺติตพฺพํ, อิโต ปรํ ตุยฺหํ อภูมิ, อิทํ ฌานาคารํ นาม, นยิทํ ตยา สทฺธิํ วสนฎฺฐานนฺติ เอวํ ตโย วิตเกฺก กูฎาคารทฺวาเรเยว นิวเตฺตสิฯ

    Mahāviyūhanti rajatamayaṃ mahākūṭāgāraṃ. Tattha vasitukāmo hutvā agamāsi, ettāvatā kāmavitakkāti kāmavitakka tayā ettāvatā nivattitabbaṃ, ito paraṃ tuyhaṃ abhūmi, idaṃ jhānāgāraṃ nāma, nayidaṃ tayā saddhiṃ vasanaṭṭhānanti evaṃ tayo vitakke kūṭāgāradvāreyeva nivattesi.

    ๒๖๑. ปฐมชฺฌานนฺติอาทีสุ วิสุํ กสิณปริกมฺมกิจฺจํ นาม นตฺถิฯ นีลกสิเณน อเตฺถ สติ นีลมณิํ, ปีตกสิเณน อเตฺถ สติ สุวณฺณํ, โลหิตกสิเณน อเตฺถ สติ รตฺตมณิํ, โอทาตกสิเณน อเตฺถ สติ รชตนฺติ โอโลกิตโอโลกิตฎฺฐาเน กสิณเมว ปญฺญายติฯ

    261.Paṭhamajjhānantiādīsu visuṃ kasiṇaparikammakiccaṃ nāma natthi. Nīlakasiṇena atthe sati nīlamaṇiṃ, pītakasiṇena atthe sati suvaṇṇaṃ, lohitakasiṇena atthe sati rattamaṇiṃ, odātakasiṇena atthe sati rajatanti olokitaolokitaṭṭhāne kasiṇameva paññāyati.

    ๒๖๒. เมตฺตาสหคเตนาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพมฺปิ วิสุทฺธิมเคฺค วุตฺตเมวฯ อิติ ปาฬิยํ จตฺตาริ ฌานานิ, จตฺตาริ อปฺปมญฺญาเนว วุตฺตานิฯ มหาปุริโส ปน สพฺพาปิ อฎฺฐ สมาปตฺติโย, ปญฺจ อภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา อนุโลมปฎิโลมาทิวเสน จุทฺทสหากาเรหิ สมาปตฺติโย ปวิสโนฺต มธุปฎลํ ปวิฎฺฐภมโร มธุรเสน วิย สมาปตฺติสุเขเนว ยาเปติฯ

    262.Mettāsahagatenātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbampi visuddhimagge vuttameva. Iti pāḷiyaṃ cattāri jhānāni, cattāri appamaññāneva vuttāni. Mahāpuriso pana sabbāpi aṭṭha samāpattiyo, pañca abhiññāyo ca nibbattetvā anulomapaṭilomādivasena cuddasahākārehi samāpattiyo pavisanto madhupaṭalaṃ paviṭṭhabhamaro madhurasena viya samāpattisukheneva yāpeti.

    จตุราสีตินครสหสฺสาทิวณฺณนา

    Caturāsītinagarasahassādivaṇṇanā

    ๒๖๓. กุสาวตีราชธานิปฺปมุขานีติ กุสาวตี ราชธานี เตสํ นครานํ ปมุขา สพฺพเสฎฺฐาติ อโตฺถฯ ภตฺตาภิหาโรติ อภิหริตพฺพภตฺตํฯ

    263.Kusāvatīrājadhānippamukhānīti kusāvatī rājadhānī tesaṃ nagarānaṃ pamukhā sabbaseṭṭhāti attho. Bhattābhihāroti abhiharitabbabhattaṃ.

    ๒๖๔. วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺสาติ กสฺมา เอวํ จิเนฺตสิ? เตสํ สเทฺทน อุกฺกณฺฐิตฺวา, ‘‘สมาปนฺนสฺส สโทฺท กณฺฎโก’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๗๒) หิ วุตฺตํฯ ตสฺมา สเทฺทน อุกฺกณฺฐิโต มหาปุริโสฯ อถ กสฺมา มา อาคจฺฉนฺตูติ น วทติ? อิทานิ ราชา น ปสฺสตีติ นิพทฺธวตฺตํ น ลภิสฺสนฺติ, ตํ เตสํ มา อุปฺปชฺชิตฺถาติ น วทติฯ

    264.Vassasatassavassasatassāti kasmā evaṃ cintesi? Tesaṃ saddena ukkaṇṭhitvā, ‘‘samāpannassa saddo kaṇṭako’’ti (a. ni. 10.72) hi vuttaṃ. Tasmā saddena ukkaṇṭhito mahāpuriso. Atha kasmā mā āgacchantūti na vadati? Idāni rājā na passatīti nibaddhavattaṃ na labhissanti, taṃ tesaṃ mā uppajjitthāti na vadati.

    สุภทฺทาเทวิอุปสงฺกมนวณฺณนา

    Subhaddādeviupasaṅkamanavaṇṇanā

    ๒๖๕. เอตทโหสีติ กทา เอตํ อโหสิฯ รโญฺญ กาลงฺกิริยทิวเสฯ ตทา กิร เทวตา จิเนฺตสุํ – ‘‘ราชา อนาถกาลงฺกิริยํ มา กโรตุ, โอโรเธหิ พหูหิ ธีตูหิ ปุเตฺตหิ ปริวาริโตว กโรตู’’ติฯ อถ เทวิํ อาวเฎฺฎตฺวา ตสฺสา เอวํ จิตฺตํ อุปฺปาเทสุํฯ ปีตานิ วตฺถานีติ ตานิ กิร ปกติยา รโญฺญ มนาปานิ, ตสฺมา ตานิ ปารุปถาติ อาหฯ เอเตฺถว เทวิ ติฎฺฐาติ เทวิ อิมํ ฌานาคารํ นาม ตุเมฺหหิ สทฺธิํ วสนฎฺฐานํ น โหติ, ฌานรติวินฺทนฎฺฐานํ มม, มา อิธ ปาวิสีติฯ

    265.Etadahosīti kadā etaṃ ahosi. Rañño kālaṅkiriyadivase. Tadā kira devatā cintesuṃ – ‘‘rājā anāthakālaṅkiriyaṃ mā karotu, orodhehi bahūhi dhītūhi puttehi parivāritova karotū’’ti. Atha deviṃ āvaṭṭetvā tassā evaṃ cittaṃ uppādesuṃ. Pītāni vatthānīti tāni kira pakatiyā rañño manāpāni, tasmā tāni pārupathāti āha. Ettheva devi tiṭṭhāti devi imaṃ jhānāgāraṃ nāma tumhehi saddhiṃ vasanaṭṭhānaṃ na hoti, jhānarativindanaṭṭhānaṃ mama, mā idha pāvisīti.

    ๒๖๖. เอตทโหสีติ โลเก สตฺตา นาม มรณาสนฺนกาเล อติวิย วิโรจนฺติ, เตนสฺส รโญฺญ วิปฺปสนฺนอินฺทฺริยภาวํ ทิสฺวา เอวํ อโหสิ, ตโต มา รโญฺญ กาลงฺกิริยา อโหสีติ ตสฺส กาลงฺกิริยํ อนิจฺฉมานา สมฺปติ คุณมสฺส กถยิตฺวา ติฎฺฐมานาการํ กริสฺสามีติ จิเนฺตตฺวา อิมานิ เต เทวาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ฉนฺทํ ชเนหีติ เปมํ อุปฺปาเทหิ, รติํ กโรหิฯ ชีวิเต อเปกฺขนฺติ ชีวิเต สาเปกฺขํ, อาลยํ, ตณฺหํ กโรหีติ อโตฺถฯ

    266.Etadahosīti loke sattā nāma maraṇāsannakāle ativiya virocanti, tenassa rañño vippasannaindriyabhāvaṃ disvā evaṃ ahosi, tato mā rañño kālaṅkiriyā ahosīti tassa kālaṅkiriyaṃ anicchamānā sampati guṇamassa kathayitvā tiṭṭhamānākāraṃ karissāmīti cintetvā imāni te devātiādimāha. Tattha chandaṃ janehīti pemaṃ uppādehi, ratiṃ karohi. Jīvite apekkhanti jīvite sāpekkhaṃ, ālayaṃ, taṇhaṃ karohīti attho.

    เอวํ โข มํ ตฺวํ เทวีติ ‘‘มยํ โข, เทว, อิตฺถิโย นาม ปพฺพชิตานํ อุปจารกถํ น ชานาม, กถํ วทาม มหาราชา’’ติ ราชานํ ‘‘ปพฺพชิโต อย’’นฺติ มญฺญมานาย เทวิยา วุเตฺต – ‘‘เอวํ โข มํ, ตฺวํ เทวิ, สมุทาจราหี’’ติอาทิมาหฯ ครหิตาติ พุเทฺธหิ ปเจฺจกพุเทฺธหิ สาวเกหิ อเญฺญหิ จ ปณฺฑิเตหิ พหุสฺสุเตหิ ครหิตาฯ กิํ การณา? สาเปกฺขกาลกิริยา หิ อตฺตโนเยว เคเห ยกฺขกุกฺกุรอชโคณมหิํสมูสิกกุกฺกุฎอูกามงฺคุลาทิภาเวน นิพฺพตฺตนการณํ โหติฯ

    Evaṃ kho maṃ tvaṃ devīti ‘‘mayaṃ kho, deva, itthiyo nāma pabbajitānaṃ upacārakathaṃ na jānāma, kathaṃ vadāma mahārājā’’ti rājānaṃ ‘‘pabbajito aya’’nti maññamānāya deviyā vutte – ‘‘evaṃ kho maṃ, tvaṃ devi, samudācarāhī’’tiādimāha. Garahitāti buddhehi paccekabuddhehi sāvakehi aññehi ca paṇḍitehi bahussutehi garahitā. Kiṃ kāraṇā? Sāpekkhakālakiriyā hi attanoyeva gehe yakkhakukkuraajagoṇamahiṃsamūsikakukkuṭaūkāmaṅgulādibhāvena nibbattanakāraṇaṃ hoti.

    ๒๖๘. อถ โข, อานนฺท, สุภทฺทา เทวี อสฺสูนิ ปุญฺฉิตฺวาติ เทวี เอกมนฺตํ คนฺตฺวา โรทิตฺวา กนฺทิตฺวา อสฺสูนิ ปุญฺฉิตฺวา เอตทโวจฯ

    268.Athakho, ānanda, subhaddā devī assūni puñchitvāti devī ekamantaṃ gantvā roditvā kanditvā assūni puñchitvā etadavoca.

    พฺรหฺมโลกูปคมวณฺณนา

    Brahmalokūpagamavaṇṇanā

    ๒๖๙. คหปติสฺส วาติ กสฺมา อาห? เตสํ กิร โสณเสฎฺฐิปุตฺตาทีนํ วิย มหตี สมฺปตฺติ โหติ, โสณสฺส กิร เสฎฺฐิปุตฺตสฺส เอกา ภตฺตปาติ เทฺว สตสหสฺสานิ อคฺฆติฯ อิติ เตสํ ตาทิสํ ภตฺตํ ภุตฺตานํ มุหุตฺตํ ภตฺตสมฺมโท ภตฺตมุจฺฉา ภตฺตกิลมโถ โหติฯ

    269.Gahapatissa vāti kasmā āha? Tesaṃ kira soṇaseṭṭhiputtādīnaṃ viya mahatī sampatti hoti, soṇassa kira seṭṭhiputtassa ekā bhattapāti dve satasahassāni agghati. Iti tesaṃ tādisaṃ bhattaṃ bhuttānaṃ muhuttaṃ bhattasammado bhattamucchā bhattakilamatho hoti.

    ๒๗๑. ยํ เตน สมเยน อชฺฌาวสามีติ ยตฺถ วสามิ, ตํ เอกํเยว นครํ โหติ, อวเสเสสุ ปุตฺตธีตาทโย เจว ทาสมนุสฺสา จ วสิํสุฯ ปาสาทกูฎาคาเรสุปิ เอเสว นโยฯ ปลฺลงฺกาทีสุปิ เอกํเยว ปลฺลงฺกํ ปริภุญฺชติ, เสสา ปุตฺตาทีนํ ปริโภคา โหนฺติฯ อิตฺถีสุปิ เอกาว ปจฺจุปฎฺฐาติ, เสสา ปริวารมตฺตา โหนฺติ, ปริทหามีติ เอกเมว ทุสฺสยุคํ นิวาเสมิ, เสสานิ ปริวาเรตฺวา วิจรนฺตานํ อสีติสหสฺสาธิกานํ โสฬสนฺนํ ปุริสสตสหสฺสานํ โหนฺติฯ ภุญฺชามีติ ปรมปฺปมาเณน นาฬิโกทนมตฺตํ ภุญฺชามิ, เสสํ ปริวาเรตฺวา วิจรนฺตานํ จตฺตาลีสสหสฺสาธิกานํ อฎฺฐนฺนํ ปุริสสตสหสฺสานํ โหตีติ ทเสฺสติฯ เอกถาลิปาโก หิ ทสนฺนํ ชนานํ ปโหติฯ

    271.Yaṃ tena samayena ajjhāvasāmīti yattha vasāmi, taṃ ekaṃyeva nagaraṃ hoti, avasesesu puttadhītādayo ceva dāsamanussā ca vasiṃsu. Pāsādakūṭāgāresupi eseva nayo. Pallaṅkādīsupi ekaṃyeva pallaṅkaṃ paribhuñjati, sesā puttādīnaṃ paribhogā honti. Itthīsupi ekāva paccupaṭṭhāti, sesā parivāramattā honti, paridahāmīti ekameva dussayugaṃ nivāsemi, sesāni parivāretvā vicarantānaṃ asītisahassādhikānaṃ soḷasannaṃ purisasatasahassānaṃ honti. Bhuñjāmīti paramappamāṇena nāḷikodanamattaṃ bhuñjāmi, sesaṃ parivāretvā vicarantānaṃ cattālīsasahassādhikānaṃ aṭṭhannaṃ purisasatasahassānaṃ hotīti dasseti. Ekathālipāko hi dasannaṃ janānaṃ pahoti.

    เอตานิ ปน จตุราสีติ นครสหสฺสานิ เจว ปาสาทสหสฺสานิ จ กูฎาคารสหสฺสานิ จ เอกิสฺสาเยว ปณฺณสาลาย นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ ปลฺลงฺกสหสฺสานิ นิปชฺชนตฺถาย ทินฺนมญฺจกสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ หตฺถิสหสฺสานิ อสฺสสหสฺสานิ รถสหสฺสานิ นิสีทนตฺถาย ทินฺนปีฐสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ มณิสหสฺสานิ เอกทีปสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ โปกฺขรณีสหสฺสานิ เอกโปกฺขรณิยา นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ อิตฺถิสหสฺสานิ ปุตฺตสหสฺสานิ คหปติสหสฺสานิ ปริโภคภาชนปตฺตถาลก ธมกรณ ปริสฺสาวน อารกณฺฎก ปิปฺผลก นขเจฺฉทน กุญฺจิกกณฺณมลหรณี ปาทกถลิก อุปาหน ฉตฺต กตฺตรยฎฺฐิทานสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ เธนุสหสฺสานิ โครสทานสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิฯ จตุราสีติ วตฺถโกฎิสหสฺสานิ นิวาสนปารุปนทานสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานิ ฯ จตุราสีติ ถาลิปากสหสฺสานิ โภชนทานสฺส นิสฺสเนฺทน นิพฺพตฺตานีติ เวทิตพฺพานิฯ

    Etāni pana caturāsīti nagarasahassāni ceva pāsādasahassāni ca kūṭāgārasahassāni ca ekissāyeva paṇṇasālāya nissandena nibbattāni. Caturāsīti pallaṅkasahassāni nipajjanatthāya dinnamañcakassa nissandena nibbattāni. Caturāsīti hatthisahassāni assasahassāni rathasahassāni nisīdanatthāya dinnapīṭhassa nissandena nibbattāni. Caturāsīti maṇisahassāni ekadīpassa nissandena nibbattāni. Caturāsīti pokkharaṇīsahassāni ekapokkharaṇiyā nissandena nibbattāni. Caturāsīti itthisahassāni puttasahassāni gahapatisahassāni paribhogabhājanapattathālaka dhamakaraṇa parissāvana ārakaṇṭaka pipphalaka nakhacchedana kuñcikakaṇṇamalaharaṇī pādakathalika upāhana chatta kattarayaṭṭhidānassa nissandena nibbattāni. Caturāsīti dhenusahassāni gorasadānassa nissandena nibbattāni. Caturāsīti vatthakoṭisahassāni nivāsanapārupanadānassa nissandena nibbattāni . Caturāsīti thālipākasahassāni bhojanadānassa nissandena nibbattānīti veditabbāni.

    ๒๗๒. เอวํ ภควา มหาสุทสฺสนสฺส สมฺปตฺติํ อาทิโต ปฎฺฐาย วิตฺถาเรน กเถตฺวา สพฺพํ ตํ ทารกานํ ปํสฺวาคารกีฬนํ วิย ทเสฺสโนฺต ปรินิพฺพานมญฺจเก นิปโนฺนว ปสฺสานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิปริณตาติ ปกติวิชหเนน นิพฺพุตปทีโป วิย อปญฺญตฺติกภาวํ คตาฯ เอวํ อนิจฺจา โข, อานนฺท, สงฺขาราติ เอวํ หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจาฯ

    272. Evaṃ bhagavā mahāsudassanassa sampattiṃ ādito paṭṭhāya vitthārena kathetvā sabbaṃ taṃ dārakānaṃ paṃsvāgārakīḷanaṃ viya dassento parinibbānamañcake nipannova passānandātiādimāha. Tattha vipariṇatāti pakativijahanena nibbutapadīpo viya apaññattikabhāvaṃ gatā. Evaṃ aniccā kho, ānanda, saṅkhārāti evaṃ hutvā abhāvaṭṭhena aniccā.

    เอตฺตาวตา ภควา ยถา นาม ปุริโส สตหตฺถุเพฺพเธ จมฺปกรุเกฺข นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา อภิรุหิตฺวา จมฺปกปุปฺผํ อาทาย นิเสฺสณิํ มุญฺจโนฺต โอตเรยฺย, เอวเมว นิเสฺสณิํ พนฺธโนฺต วิย อเนกวสฺสโกฎิสตสหสฺสุเพฺพธํ มหาสุทสฺสนสมฺปตฺติํ อารุยฺห สมฺปตฺติมตฺถเก ฐิตํ อนิจฺจลกฺขณํ อาทาย นิเสฺสณิํ มุญฺจโนฺต วิย โอติโณฺณฯ เตเนว ปุเพฺพ วสภราชา ทีฆภาณกเตฺถรานํ โลหปาสาทสฺส ปาจีนปเสฺส อมฺพลฎฺฐิกายํ อิมํ สุตฺตํ สชฺฌายนฺตานํ สุตฺวา – ‘‘กิํ, โภ, มยฺหํ อยฺยเกน เอตฺถ วุตฺตํ, อตฺตโน ขาทิตปีตฎฺฐาเน สมฺปตฺติเมว กเถตี’’ติ จิเนฺตโนฺต – ‘‘เอวํ อนิจฺจา โข, อานนฺท, สงฺขารา’’ติ วุตฺตกาเล ‘‘อิมํ, โภ, ทิสฺวา ปญฺจหิ จกฺขูหิ จกฺขุมตา เอวํ วุตฺต’’นฺติ วามหตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ทกฺขิณหเตฺถน อโปฺผเฎตฺวา – ‘‘สาธุ สาธู’’ติ ตุฎฺฐหทโย สาธุการํ อทาสิฯ

    Ettāvatā bhagavā yathā nāma puriso satahatthubbedhe campakarukkhe nisseṇiṃ bandhitvā abhiruhitvā campakapupphaṃ ādāya nisseṇiṃ muñcanto otareyya, evameva nisseṇiṃ bandhanto viya anekavassakoṭisatasahassubbedhaṃ mahāsudassanasampattiṃ āruyha sampattimatthake ṭhitaṃ aniccalakkhaṇaṃ ādāya nisseṇiṃ muñcanto viya otiṇṇo. Teneva pubbe vasabharājā dīghabhāṇakattherānaṃ lohapāsādassa pācīnapasse ambalaṭṭhikāyaṃ imaṃ suttaṃ sajjhāyantānaṃ sutvā – ‘‘kiṃ, bho, mayhaṃ ayyakena ettha vuttaṃ, attano khāditapītaṭṭhāne sampattimeva kathetī’’ti cintento – ‘‘evaṃ aniccā kho, ānanda, saṅkhārā’’ti vuttakāle ‘‘imaṃ, bho, disvā pañcahi cakkhūhi cakkhumatā evaṃ vutta’’nti vāmahatthaṃ samiñjitvā dakkhiṇahatthena apphoṭetvā – ‘‘sādhu sādhū’’ti tuṭṭhahadayo sādhukāraṃ adāsi.

    เอวํ อทฺธุวาติ เอวํ อุทกปุปฺผุฬาทโย วิย ธุวภาววิรหิตาฯ เอวํ อนสฺสาสิกาติ เอวํ สุปินเก ปีตปานียํ วิย อนุลิตฺตจนฺทนํ วิย จ อสฺสาสวิรหิตาฯ

    Evaṃ addhuvāti evaṃ udakapupphuḷādayo viya dhuvabhāvavirahitā. Evaṃ anassāsikāti evaṃ supinake pītapānīyaṃ viya anulittacandanaṃ viya ca assāsavirahitā.

    สรีรํ นิกฺขิเปยฺยาติ สรีรํ ฉเฑฺฑยฺยฯ อิทานิ อญฺญสฺส สรีรสฺส นิเกฺขโป วา ปฎิชคฺคนํ วา นตฺถิ กิเลสปหีนตฺตา, อานนฺท, ตถาคตสฺสาติ วทติฯ อิทํ ปน วตฺวา ปุน เถรํ อามเนฺตสิ, จกฺกวตฺติโน อานุภาโว นาม รโญฺญ ปพฺพชิตสฺส สตฺตเม ทิวเส อนฺตรธายติฯ มหาสุทสฺสนสฺส ปน กาลงฺกิริยโต สตฺตเมว ทิวเส สตฺตรตนปาการา สตฺตรตนตาลา จตุราสีติ โปกฺขรณีสหสฺสานิ ธมฺมปาสาโท ธมฺมโปกฺขรณี จกฺกรตนนฺติ สพฺพเมตํ อนฺตรธายีติฯ หตฺถิอาทีสุ ปน อยํ ธมฺมตา ขีณายุกา สเหว กาลงฺกโรนฺติฯ อายุเสเส สติ หตฺถิรตนํ อุโปสถกุลํ คจฺฉติ, อสฺสรตนํ วลาหกกุลํ, มณิรตนํ เวปุลฺลปพฺพตเมว คจฺฉติฯ อิตฺถิรตนสฺส อานุภาโว อนฺตรธายติฯ คหปติรตนสฺส จกฺขุ ปากติกเมว โหติฯ ปริณายกรตนสฺส เวยฺยตฺติยํ นสฺสติฯ

    Sarīraṃ nikkhipeyyāti sarīraṃ chaḍḍeyya. Idāni aññassa sarīrassa nikkhepo vā paṭijagganaṃ vā natthi kilesapahīnattā, ānanda, tathāgatassāti vadati. Idaṃ pana vatvā puna theraṃ āmantesi, cakkavattino ānubhāvo nāma rañño pabbajitassa sattame divase antaradhāyati. Mahāsudassanassa pana kālaṅkiriyato sattameva divase sattaratanapākārā sattaratanatālā caturāsīti pokkharaṇīsahassāni dhammapāsādo dhammapokkharaṇī cakkaratananti sabbametaṃ antaradhāyīti. Hatthiādīsu pana ayaṃ dhammatā khīṇāyukā saheva kālaṅkaronti. Āyusese sati hatthiratanaṃ uposathakulaṃ gacchati, assaratanaṃ valāhakakulaṃ, maṇiratanaṃ vepullapabbatameva gacchati. Itthiratanassa ānubhāvo antaradhāyati. Gahapatiratanassa cakkhu pākatikameva hoti. Pariṇāyakaratanassa veyyattiyaṃ nassati.

    อิทมโวจ ภควาติ อิทํ ปาฬิยํ อารุฬฺหญฺจ อนารุฬฺหญฺจ สพฺพํ ภควา อโวจฯ เสสํ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    Idamavoca bhagavāti idaṃ pāḷiyaṃ āruḷhañca anāruḷhañca sabbaṃ bhagavā avoca. Sesaṃ uttānatthamevāti.

    อิติ สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถายํ

    Iti sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāyaṃ

    มหาสุทสฺสนสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāsudassanasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๔. มหาสุทสฺสนสุตฺตํ • 4. Mahāsudassanasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๔. มหาสุทสฺสนสุตฺตวณฺณนา • 4. Mahāsudassanasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact