Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนา

    2. Mahāsuññatasuttavaṇṇanā

    ๑๘๕. เอวํ เม สุตนฺติ มหาสุญฺญตสุตฺตํฯ ตตฺถ กาฬเขมกสฺสาติ ฉวิวเณฺณน โส กาโฬ, เขมโกติ ปนสฺส นามํฯ วิหาโรติ ตสฺมิํเยว นิโคฺรธาราเม เอกสฺมิํ ปเทเส ปากาเรน ปริกฺขิปิตฺวา ทฺวารโกฎฺฐกํ มาเปตฺวา หํสวฎฺฎกาทิเสนาสนานิ เจว มณฺฑลมาฬโภชนสาลาทีนิ จ ปติฎฺฐเปตฺวา กโต วิหาโรฯ สมฺพหุลานิ เสนาสนานีติ มโญฺจ ปีฐํ ภิสิพิโมฺพหนํ ตฎฺฎิกา จมฺมขโณฺฑ ติณสนฺถาโร ปณฺณสนฺถาโร ปลาลสนฺถาโรติอาทีนิ ปญฺญตฺตานิ โหนฺติ, มเญฺจน มญฺจํ…เป.… ปลาลสนฺถาเรเนว ปลาลสนฺถารํ อาหจฺจ ฐปิตานิ, คณภิกฺขูนํ วสนฎฺฐานสทิสํ อโหสิฯ

    185.Evaṃme sutanti mahāsuññatasuttaṃ. Tattha kāḷakhemakassāti chavivaṇṇena so kāḷo, khemakoti panassa nāmaṃ. Vihāroti tasmiṃyeva nigrodhārāme ekasmiṃ padese pākārena parikkhipitvā dvārakoṭṭhakaṃ māpetvā haṃsavaṭṭakādisenāsanāni ceva maṇḍalamāḷabhojanasālādīni ca patiṭṭhapetvā kato vihāro. Sambahulāni senāsanānīti mañco pīṭhaṃ bhisibimbohanaṃ taṭṭikā cammakhaṇḍo tiṇasanthāro paṇṇasanthāro palālasanthārotiādīni paññattāni honti, mañcena mañcaṃ…pe… palālasanthāreneva palālasanthāraṃ āhacca ṭhapitāni, gaṇabhikkhūnaṃ vasanaṭṭhānasadisaṃ ahosi.

    สมฺพหุลา นุ โขติ ภควโต โพธิปลฺลเงฺกเยว สพฺพกิเลสานํ สมุคฺฆาฎิตตฺตา สํสโย นาม นตฺถิ, วิตกฺกปุพฺพภาคา ปุจฺฉา, วิตกฺกปุพฺพภาเค จายํ นุกาโร นิปาตมโตฺตฯ ปาฎิมตฺถกํ คจฺฉเนฺต อวินิจฺฉิโต นาม น โหติฯ อิโต กิร ปุเพฺพ ภควตา ทส ทฺวาทส ภิกฺขู เอกฎฺฐาเน วสนฺตา น ทิฎฺฐปุพฺพาฯ

    Sambahulānu khoti bhagavato bodhipallaṅkeyeva sabbakilesānaṃ samugghāṭitattā saṃsayo nāma natthi, vitakkapubbabhāgā pucchā, vitakkapubbabhāge cāyaṃ nukāro nipātamatto. Pāṭimatthakaṃ gacchante avinicchito nāma na hoti. Ito kira pubbe bhagavatā dasa dvādasa bhikkhū ekaṭṭhāne vasantā na diṭṭhapubbā.

    อถสฺส เอตทโหสิ – คณวาโส นามายํ วเฎฺฎ อาจิณฺณสมาจิโณฺณ นทีโอติณฺณอุทกสทิโส, นิรยติรจฺฉานโยนิเปตฺติวิสยาสุรกาเยสุปิ, มนุสฺสโลก-เทวโลกพฺรหฺมโลเกสุปิ คณวาโสว อาจิโณฺณฯ ทสโยชนสหโสฺส หิ นิรโย ติปุจุณฺณภริตา นาฬิ วิย สเตฺตหิ นิรนฺตโร, ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมการณกรณฎฺฐาเน สตฺตานํ ปมาณํ วา ปริเจฺฉโท วา นตฺถิ, ตถา วาสีหิ ตจฺฉนาทิฐาเนสุ, อิติ คณภูตาว ปจฺจนฺติฯ ติรจฺฉานโยนิยํ เอกสฺมิํ วมฺมิเก อุปสิกานํ ปมาณํ วา ปริเจฺฉโท วา นตฺถิ, ตถา เอเกกพิลาทีสุปิ กิปิลฺลิกาทีนํฯ ติรจฺฉานโยนิยมฺปิ คณวาโสวฯ เปตนครานิ จ คาวุติกานิ อฑฺฒโยชนิกานิปิ เปตภริตานิ โหนฺติฯ เอวํ เปตฺติวิสเยปิ คณวาโสวฯ อสุรภวนํ ทสโยชนสหสฺสํ กเณฺณ ปกฺขิตฺตสูจิยา กณฺณพิลํ วิย โหติฯ อิติ อสุรกาเยปิ คณวาโสวฯ มนุสฺสโลเก สาวตฺถิยํ สตฺตปณฺณาส กุลสตสหสฺสานิ, ราชคเห อโนฺต จ พหิ จ อฎฺฐารส มนุสฺสโกฎิโย วสิํสุฯ เอวํ อเญฺญสุปิ ฐาเนสูติ มนุสฺสโลเกปิ คณวาโสวฯ ภุมฺมเทวตา อาทิํ กตฺวา เทวโลกพฺรหฺมโลเกสุปิ คณวาโสวฯ เอเกกสฺส หิ เทวปุตฺตสฺส อฑฺฒติยา นาฎกโกฎิโย โหนฺติ, นวปิ โกฎิโย โหนฺติ, เอกฎฺฐาเน ทสสหสฺสาปิ พฺรหฺมาโน วสนฺติฯ

    Athassa etadahosi – gaṇavāso nāmāyaṃ vaṭṭe āciṇṇasamāciṇṇo nadīotiṇṇaudakasadiso, nirayatiracchānayonipettivisayāsurakāyesupi, manussaloka-devalokabrahmalokesupi gaṇavāsova āciṇṇo. Dasayojanasahasso hi nirayo tipucuṇṇabharitā nāḷi viya sattehi nirantaro, pañcavidhabandhanakammakāraṇakaraṇaṭṭhāne sattānaṃ pamāṇaṃ vā paricchedo vā natthi, tathā vāsīhi tacchanādiṭhānesu, iti gaṇabhūtāva paccanti. Tiracchānayoniyaṃ ekasmiṃ vammike upasikānaṃ pamāṇaṃ vā paricchedo vā natthi, tathā ekekabilādīsupi kipillikādīnaṃ. Tiracchānayoniyampi gaṇavāsova. Petanagarāni ca gāvutikāni aḍḍhayojanikānipi petabharitāni honti. Evaṃ pettivisayepi gaṇavāsova. Asurabhavanaṃ dasayojanasahassaṃ kaṇṇe pakkhittasūciyā kaṇṇabilaṃ viya hoti. Iti asurakāyepi gaṇavāsova. Manussaloke sāvatthiyaṃ sattapaṇṇāsa kulasatasahassāni, rājagahe anto ca bahi ca aṭṭhārasa manussakoṭiyo vasiṃsu. Evaṃ aññesupi ṭhānesūti manussalokepi gaṇavāsova. Bhummadevatā ādiṃ katvā devalokabrahmalokesupi gaṇavāsova. Ekekassa hi devaputtassa aḍḍhatiyā nāṭakakoṭiyo honti, navapi koṭiyo honti, ekaṭṭhāne dasasahassāpi brahmāno vasanti.

    ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘มยา สตสหสฺสกปฺปาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ คณวาสวิทฺธํสนตฺถํ ทส ปารมิโย ปูริตา, อิเม จ ภิกฺขู อิโต ปฎฺฐาเยว คณํ พนฺธิตฺวา คณาภิรตา ชาตา อนนุจฺฉวิกํ กโรนฺตี’’ติฯ โส ธมฺมสํเวคํ อุปฺปาเทตฺวา ปุน จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ ‘เอกฎฺฐาเน ทฺวีหิ ภิกฺขูหิ น วสิตพฺพ’นฺติ สกฺกา ภเวยฺย สิกฺขาปทํ ปญฺญเปตุํ, สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปยฺยํ, น โข ปเนตํ สกฺกาฯ หนฺทาหํ มหาสุญฺญตาปฎิปตฺติํ นาม สุตฺตนฺตํ เทเสมิ, ยํ สิกฺขากามานํ กุลปุตฺตานํ สิกฺขาปทปญฺญตฺติ วิย นครทฺวาเร นิกฺขิตฺตสพฺพกายิกอาทาโส วิย จ ภวิสฺสติฯ ตโต ยถา นาเมกสฺมิํ อาทาเส ขตฺติยาทโย อตฺตโน วชฺชํ ทิสฺวา ตํ ปหาย อนวชฺชา โหนฺติ, เอวเมวํ มยิ ปรินิพฺพุเตปิ ปญฺจวสฺสสหสฺสานิ อิมํ สุตฺตํ อาวชฺชิตฺวา คณํ วิโนเทตฺวา เอกีภาวาภิรตา กุลปุตฺตา วฎฺฎทุกฺขสฺส อนฺตํ กริสฺสนฺตี’’ติฯ ภควโต จ มโนรถํ ปูเรนฺตา วิย อิมํ สุตฺตํ อาวชฺชิตฺวา คณํ วิโนเทตฺวา วฎฺฎทุกฺขํ เขเปตฺวา ปรินิพฺพุตา กุลปุตฺตา คณนปถํ วีติวตฺตาฯ วาลิกปิฎฺฐิวิหาเรปิ หิ อาภิธมฺมิกอภยเตฺถโร นาม วสฺสูปนายิกสมเย สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อิมํ สุตฺตํ สญฺฌายิตฺวา ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ เอวํ กาเรติ, มยํ กิํ กโรมา’’ติ อาหฯ เต สเพฺพปิ อโนฺตวเสฺส คณํ วิโนเทตฺวา เอกีภาวาภิรตา อรหตฺตํ ปาปุณิํสุฯ คณเภทนํ นาม อิทํ สุตฺตนฺติฯ

    Tato cintesi – ‘‘mayā satasahassakappādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni gaṇavāsaviddhaṃsanatthaṃ dasa pāramiyo pūritā, ime ca bhikkhū ito paṭṭhāyeva gaṇaṃ bandhitvā gaṇābhiratā jātā ananucchavikaṃ karontī’’ti. So dhammasaṃvegaṃ uppādetvā puna cintesi – ‘‘sace ‘ekaṭṭhāne dvīhi bhikkhūhi na vasitabba’nti sakkā bhaveyya sikkhāpadaṃ paññapetuṃ, sikkhāpadaṃ paññāpeyyaṃ, na kho panetaṃ sakkā. Handāhaṃ mahāsuññatāpaṭipattiṃ nāma suttantaṃ desemi, yaṃ sikkhākāmānaṃ kulaputtānaṃ sikkhāpadapaññatti viya nagaradvāre nikkhittasabbakāyikaādāso viya ca bhavissati. Tato yathā nāmekasmiṃ ādāse khattiyādayo attano vajjaṃ disvā taṃ pahāya anavajjā honti, evamevaṃ mayi parinibbutepi pañcavassasahassāni imaṃ suttaṃ āvajjitvā gaṇaṃ vinodetvā ekībhāvābhiratā kulaputtā vaṭṭadukkhassa antaṃ karissantī’’ti. Bhagavato ca manorathaṃ pūrentā viya imaṃ suttaṃ āvajjitvā gaṇaṃ vinodetvā vaṭṭadukkhaṃ khepetvā parinibbutā kulaputtā gaṇanapathaṃ vītivattā. Vālikapiṭṭhivihārepi hi ābhidhammikaabhayatthero nāma vassūpanāyikasamaye sambahulehi bhikkhūhi saddhiṃ imaṃ suttaṃ sañjhāyitvā ‘‘sammāsambuddho evaṃ kāreti, mayaṃ kiṃ karomā’’ti āha. Te sabbepi antovasse gaṇaṃ vinodetvā ekībhāvābhiratā arahattaṃ pāpuṇiṃsu. Gaṇabhedanaṃ nāma idaṃ suttanti.

    ๑๘๖. ฆฎายาติ เอวํนามกสฺส สกฺกสฺสฯ วิหาเรติ อยมฺปิ วิหาโร นิโคฺรธารามเสฺสว เอกเทเส กาฬเขมกสฺส วิหาโร วิย กโตติ เวทิตโพฺพฯ จีวรกมฺมนฺติ ชิณฺณมลินานํ อคฺคฬฎฺฐานุปฺปาทนโธวนาทีหิ กตปริภณฺฑมฺปิ, จีวรตฺถาย อุปฺปนฺนวตฺถานํ วิจารณสิพฺพนาทีหิ อกตํ สํวิธานมฺปิ วฎฺฎติ, อิธ ปน อกตํ สํวิธานํ อธิเปฺปตํฯ มนุสฺสา หิ อานนฺทเตฺถรสฺส จีวรสาฎเก อทํสุฯ ตสฺมา เถโร สมฺพหุเล ภิกฺขู คเหตฺวา ตตฺถ จีวรกมฺมํ อกาสิฯ เตปิ ภิกฺขู ปาโตว สูจิปาสกสฺส ปญฺญายนกาลโต ปฎฺฐาย นิสินฺนา อปญฺญายนกาเล อุฎฺฐหนฺติฯ สูจิกเมฺม นิฎฺฐิเตเยว เสนาสนานิ สํวิทหิสฺสามาติ น สํวิทหิํสุฯ จีวรการสมโย โนติ เถโร กิร จิเนฺตสิ – ‘‘อทฺธา เอเตหิ ภิกฺขูหิ น ปฎิสามิตานิ เสนาสนานิ, ภควตา จ ทิฎฺฐานิ ภวิสฺสนฺติฯ อิติ อนตฺตมโน สตฺถา สุฎฺฐุ นิคฺคเหตุกาโม, อิเมสํ ภิกฺขูนํ อุปตฺถโมฺภ ภวิสฺสามี’’ติ; ตสฺมา เอวมาหฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – ‘‘น, ภเนฺต, อิเม ภิกฺขู กมฺมารามา เอว, จีวรกิจฺจวเสน ปน เอวํ วสนฺตี’’ติฯ

    186.Ghaṭāyāti evaṃnāmakassa sakkassa. Vihāreti ayampi vihāro nigrodhārāmasseva ekadese kāḷakhemakassa vihāro viya katoti veditabbo. Cīvarakammanti jiṇṇamalinānaṃ aggaḷaṭṭhānuppādanadhovanādīhi kataparibhaṇḍampi, cīvaratthāya uppannavatthānaṃ vicāraṇasibbanādīhi akataṃ saṃvidhānampi vaṭṭati, idha pana akataṃ saṃvidhānaṃ adhippetaṃ. Manussā hi ānandattherassa cīvarasāṭake adaṃsu. Tasmā thero sambahule bhikkhū gahetvā tattha cīvarakammaṃ akāsi. Tepi bhikkhū pātova sūcipāsakassa paññāyanakālato paṭṭhāya nisinnā apaññāyanakāle uṭṭhahanti. Sūcikamme niṭṭhiteyeva senāsanāni saṃvidahissāmāti na saṃvidahiṃsu. Cīvarakārasamayo noti thero kira cintesi – ‘‘addhā etehi bhikkhūhi na paṭisāmitāni senāsanāni, bhagavatā ca diṭṭhāni bhavissanti. Iti anattamano satthā suṭṭhu niggahetukāmo, imesaṃ bhikkhūnaṃ upatthambho bhavissāmī’’ti; tasmā evamāha. Ayaṃ panettha adhippāyo – ‘‘na, bhante, ime bhikkhū kammārāmā eva, cīvarakiccavasena pana evaṃ vasantī’’ti.

    น โข, อานนฺทาติ, อานนฺท, กมฺมสมโย วา โหตุ อกมฺมสมโย วา, จีวรการสมโย วา โหตุ อจีวรการสมโย วา, อถ โข สงฺคณิการาโม ภิกฺขุ น โสภติเยวฯ มา ตฺวํ อนุปตฺถมฺภฎฺฐาเน อุปตฺถโมฺภ อโหสีติฯ ตตฺถ สงฺคณิกาติ สกปริสสโมธานํฯ คโณติ นานาชนสโมธานํฯ อิติ สงฺคณิการาโม วา โหตุ คณาราโม วา, สพฺพถาปิ คณพาหุลฺลาภิรโต คณพนฺธนพโทฺธ ภิกฺขุ น โสภติฯ ปจฺฉาภเตฺต ปน ทิวาฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา สุโธตหตฺถปาโท มูลกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา เอการามตมนุยุโตฺต ภิกฺขุ พุทฺธสาสเน โสภติฯ เนกฺขมฺมสุขนฺติ กามโต นิกฺขนฺตสฺส สุขํฯ ปวิเวกสุขมฺปิ กามปวิเวกสุขเมวฯ ราคาทีนํ ปน วูปสมตฺถาย สํวตฺตตีติ อุปสมสุขํฯ มคฺคสโมฺพธตฺถาย สํวตฺตตีติ สโมฺพธิสุขํฯ นิกามลาภีติ กามลาภี อิจฺฉิตลาภีฯ อกิจฺฉลาภีติ อทุกฺขลาภีฯ อกสิรลาภีติ วิปุลลาภีฯ

    Na kho, ānandāti, ānanda, kammasamayo vā hotu akammasamayo vā, cīvarakārasamayo vā hotu acīvarakārasamayo vā, atha kho saṅgaṇikārāmo bhikkhu na sobhatiyeva. Mā tvaṃ anupatthambhaṭṭhāne upatthambho ahosīti. Tattha saṅgaṇikāti sakaparisasamodhānaṃ. Gaṇoti nānājanasamodhānaṃ. Iti saṅgaṇikārāmo vā hotu gaṇārāmo vā, sabbathāpi gaṇabāhullābhirato gaṇabandhanabaddho bhikkhu na sobhati. Pacchābhatte pana divāṭṭhānaṃ sammajjitvā sudhotahatthapādo mūlakammaṭṭhānaṃ gahetvā ekārāmatamanuyutto bhikkhu buddhasāsane sobhati. Nekkhammasukhanti kāmato nikkhantassa sukhaṃ. Pavivekasukhampi kāmapavivekasukhameva. Rāgādīnaṃ pana vūpasamatthāya saṃvattatīti upasamasukhaṃ. Maggasambodhatthāya saṃvattatīti sambodhisukhaṃ. Nikāmalābhīti kāmalābhī icchitalābhī. Akicchalābhīti adukkhalābhī. Akasiralābhīti vipulalābhī.

    สามายิกนฺติ อปฺปิตปฺปิตสมเย กิเลเสหิ วิมุตฺตํฯ กนฺตนฺติ มนาปํฯ เจโตวิมุตฺตินฺติ รูปารูปาวจรจิตฺตวิมุตฺติํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘จตฺตาริ จ ฌานานิ จตโสฺส จ อรูปสมาปตฺติโย, อยํ สามายิโก วิโมโกฺข’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๑๓)ฯ อสามายิกนฺติ น สมยวเสน กิเลเสหิ วิมุตฺตํ, อถ โข อจฺจนฺตวิมุตฺตํ โลกุตฺตรํ วุตฺตํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘จตฺตาโร จ อริยมคฺคา จตฺตาริ จ สามญฺญผลานิ, อยํ อสามายิโก วิโมโกฺข’’ติฯ อกุปฺปนฺติ กิเลเสหิ อโกเปตพฺพํฯ

    Sāmāyikanti appitappitasamaye kilesehi vimuttaṃ. Kantanti manāpaṃ. Cetovimuttinti rūpārūpāvacaracittavimuttiṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘cattāri ca jhānāni catasso ca arūpasamāpattiyo, ayaṃ sāmāyiko vimokkho’’ti (paṭi. ma. 1.213). Asāmāyikanti na samayavasena kilesehi vimuttaṃ, atha kho accantavimuttaṃ lokuttaraṃ vuttaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘cattāro ca ariyamaggā cattāri ca sāmaññaphalāni, ayaṃ asāmāyiko vimokkho’’ti. Akuppanti kilesehi akopetabbaṃ.

    เอตฺตาวตา กิํ กถิตํ โหติ? สงฺคณิการาโม ภิกฺขุ คณพนฺธนพโทฺธ เนว โลกิยคุณํ, น จ โลกุตฺตรคุณํ นิพฺพเตฺตตุํ สโกฺกติ, คณํ วิโนเทตฺวา ปน เอกาภิรโต สโกฺกติฯ ตถา หิ วิปสฺสี โพธิสโตฺต จตุราสีติยา ปพฺพชิตสหเสฺสหิ ปริวุโต สตฺต วสฺสานิ วิจรโนฺต สพฺพญฺญุคุณํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิ, คณํ วิโนเทตฺวา สตฺตทิวเส เอกีภาวาภิรโต โพธิมณฺฑํ อารุยฺห สพฺพญฺญุคุณํ นิพฺพเตฺตสิฯ อมฺหากํ โพธิสโตฺต ปญฺจวคฺคิเยหิ สทฺธิํ ฉพฺพสฺสานิ วิจรโนฺต สพฺพญฺญุคุณํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิ, เตสุ ปกฺกเนฺตสุ เอกีภาวาภิรโต โพธิมณฺฑํ อารุยฺห สพฺพญฺญุคุณํ นิพฺพเตฺตสิฯ

    Ettāvatā kiṃ kathitaṃ hoti? Saṅgaṇikārāmo bhikkhu gaṇabandhanabaddho neva lokiyaguṇaṃ, na ca lokuttaraguṇaṃ nibbattetuṃ sakkoti, gaṇaṃ vinodetvā pana ekābhirato sakkoti. Tathā hi vipassī bodhisatto caturāsītiyā pabbajitasahassehi parivuto satta vassāni vicaranto sabbaññuguṇaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi, gaṇaṃ vinodetvā sattadivase ekībhāvābhirato bodhimaṇḍaṃ āruyha sabbaññuguṇaṃ nibbattesi. Amhākaṃ bodhisatto pañcavaggiyehi saddhiṃ chabbassāni vicaranto sabbaññuguṇaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi, tesu pakkantesu ekībhāvābhirato bodhimaṇḍaṃ āruyha sabbaññuguṇaṃ nibbattesi.

    เอวํ สงฺคณิการามสฺส คุณาธิคมาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ โทสุปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต นาหํ อานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ รูปนฺติ สรีรํฯ ยตฺถ รตฺตสฺสาติ ยสฺมิํ รูเป ราควเสน รตฺตสฺสฯ น อุปฺปเชฺชยฺยุนฺติ ยสฺมิํ รูเป รตฺตสฺส น อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตํ รูปํ น สมนุปสฺสามิ, อถ โข สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานานํ ทสพลสาวกตฺตุปคมนสงฺขาเตน อญฺญถาภาเวน สญฺจยสฺส วิย, อุปาลิคหปติโน อญฺญถาภาเวน นาฎปุตฺตสฺส วิย, ปิยชาติกสุเตฺต เสฎฺฐิอาทีนํ วิย จ อุปฺปชฺชนฺติเยวฯ

    Evaṃ saṅgaṇikārāmassa guṇādhigamābhāvaṃ dassetvā idāni dosuppattiṃ dassento nāhaṃ ānandātiādimāha. Tattha rūpanti sarīraṃ. Yattha rattassāti yasmiṃ rūpe rāgavasena rattassa. Na uppajjeyyunti yasmiṃ rūpe rattassa na uppajjeyyuṃ, taṃ rūpaṃ na samanupassāmi, atha kho sāriputtamoggallānānaṃ dasabalasāvakattupagamanasaṅkhātena aññathābhāvena sañcayassa viya, upāligahapatino aññathābhāvena nāṭaputtassa viya, piyajātikasutte seṭṭhiādīnaṃ viya ca uppajjantiyeva.

    ๑๘๗. อยํ โข ปนานนฺทาติ โก อนุสนฺธิ? สเจ หิ โกจิ ทุพฺพุทฺธี นวปพฺพชิโต วเทยฺย – ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ เขตฺตํ ปวิฎฺฐา คาวิโย วิย อเมฺหเยว คณโต นีหรติ, เอกีภาเว นิโยเชติ, สยํ ปน ราชราชมหามตฺตาทีหิ ปริวุโต วิหรตี’’ติ, ตสฺส วจโนกาสุปเจฺฉทนตฺถํ – ‘‘จกฺกวาฬปริยนฺตาย ปริสาย มเชฺฌ นิสิโนฺนปิ ตถาคโต เอกโกวา’’ติ ทเสฺสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปาทีนํ สงฺขนิมิตฺตานํฯ อชฺฌตฺตนฺติ วิสยชฺฌตฺตํฯ สุญฺญตนฺติ สุญฺญตผลสมาปตฺติํฯ ตตฺร เจติ อุปโยคเตฺถ ภุมฺมํ, ตํ เจติ วุตฺตํ โหติฯ ปุน ตตฺราติ ตสฺมิํ ปริสมเชฺฌ ฐิโตฯ วิเวกนิเนฺนนาติ นิพฺพานนิเนฺนนฯ พฺยนฺตีภูเตนาติ อาสวฎฺฐานียธเมฺมหิ วิคตเนฺตน นิสฺสเฎน วิสํยุเตฺตนฯ อุโยฺยชนิกปฎิสํยุตฺตนฺติ คจฺฉถ ตุเมฺหติ เอวํ อุโยฺยชนิเกน วจเนน ปฎิสํยุตฺตํฯ

    187.Ayaṃkho panānandāti ko anusandhi? Sace hi koci dubbuddhī navapabbajito vadeyya – ‘‘sammāsambuddho khettaṃ paviṭṭhā gāviyo viya amheyeva gaṇato nīharati, ekībhāve niyojeti, sayaṃ pana rājarājamahāmattādīhi parivuto viharatī’’ti, tassa vacanokāsupacchedanatthaṃ – ‘‘cakkavāḷapariyantāya parisāya majjhe nisinnopi tathāgato ekakovā’’ti dassetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi. Tattha sabbanimittānanti rūpādīnaṃ saṅkhanimittānaṃ. Ajjhattanti visayajjhattaṃ. Suññatanti suññataphalasamāpattiṃ. Tatra ceti upayogatthe bhummaṃ, taṃ ceti vuttaṃ hoti. Puna tatrāti tasmiṃ parisamajjhe ṭhito. Vivekaninnenāti nibbānaninnena. Byantībhūtenāti āsavaṭṭhānīyadhammehi vigatantena nissaṭena visaṃyuttena. Uyyojanikapaṭisaṃyuttanti gacchatha tumheti evaṃ uyyojanikena vacanena paṭisaṃyuttaṃ.

    กาย ปน เวลาย ภควา เอวํ กเถติ? ปจฺฉาภตฺตกิจฺจเวลาย, วา ปุริมยามกิจฺจเวลาย วาฯ ภควา หิ ปจฺฉาภเตฺต คนฺธกุฎิยํ สีหเสยฺยํ กเปฺปตฺวา วุฎฺฐาย ผลสมาปตฺติํ อเปฺปตฺวา นิสีทติฯ ตสฺมิํ สมเย ธมฺมสฺสวนตฺถาย ปริสา สนฺนิปตนฺติฯ อถ ภควา กาลํ วิทิตฺวา คนฺธกุฎิโต นิกฺขมิตฺวา พุทฺธาสนวรคโต ธมฺมํ เทเสตฺวา เภสชฺชเตลปากํ คณฺหโนฺต วิย กาลํ อนติกฺกมิตฺวา วิเวกนิเนฺนน จิเตฺตน ปริสํ อุโยฺยเชติ ฯ ปุริมยาเมปิ ‘‘อภิกฺกนฺตา โข วาเสฎฺฐา รตฺติ, ยสฺส ทานิ กาลํ มญฺญถา’’ติ (ที. นิ. ๓.๒๙๙) เอวํ อุโยฺยเชติ ฯ พุทฺธานญฺหิ โพธิปตฺติโต ปฎฺฐาย เทฺว ปญฺจวิญฺญาณานิปิ นิพฺพานนินฺนาเนวฯ ตสฺมาติหานนฺทาติ ยสฺมา สุญฺญตาวิหาโร สโนฺต ปณีโต, ตสฺมาฯ

    Kāya pana velāya bhagavā evaṃ katheti? Pacchābhattakiccavelāya, vā purimayāmakiccavelāya vā. Bhagavā hi pacchābhatte gandhakuṭiyaṃ sīhaseyyaṃ kappetvā vuṭṭhāya phalasamāpattiṃ appetvā nisīdati. Tasmiṃ samaye dhammassavanatthāya parisā sannipatanti. Atha bhagavā kālaṃ viditvā gandhakuṭito nikkhamitvā buddhāsanavaragato dhammaṃ desetvā bhesajjatelapākaṃ gaṇhanto viya kālaṃ anatikkamitvā vivekaninnena cittena parisaṃ uyyojeti . Purimayāmepi ‘‘abhikkantā kho vāseṭṭhā ratti, yassa dāni kālaṃ maññathā’’ti (dī. ni. 3.299) evaṃ uyyojeti . Buddhānañhi bodhipattito paṭṭhāya dve pañcaviññāṇānipi nibbānaninnāneva. Tasmātihānandāti yasmā suññatāvihāro santo paṇīto, tasmā.

    ๑๘๘. อชฺฌตฺตเมวาติ โคจรชฺฌตฺตเมวฯ อชฺฌตฺตํ สุญฺญตนฺติ อิธ นิยกชฺฌตฺตํ, อตฺตโน ปญฺจสุ ขเนฺธสุ นิสฺสิตนฺติ อโตฺถฯ สมฺปชาโน โหตีติ กมฺมฎฺฐานสฺส อสมฺปชฺชนภาวชานเนน สมฺปชาโนฯ พหิทฺธาติ ปรสฺส ปญฺจสุ ขเนฺธสุฯ อชฺฌตฺตพหิทฺธาติ กาเลน อชฺฌตฺตํ กาเลน พหิทฺธา ฯ อาเนญฺชนฺติ อุภโตภาควิมุโตฺต ภวิสฺสามาติ อาเนญฺชํ อรูปสมาปตฺติํ มนสิ กโรติฯ

    188.Ajjhattamevāti gocarajjhattameva. Ajjhattaṃ suññatanti idha niyakajjhattaṃ, attano pañcasu khandhesu nissitanti attho. Sampajāno hotīti kammaṭṭhānassa asampajjanabhāvajānanena sampajāno. Bahiddhāti parassa pañcasu khandhesu. Ajjhattabahiddhāti kālena ajjhattaṃ kālena bahiddhā . Āneñjanti ubhatobhāgavimutto bhavissāmāti āneñjaṃ arūpasamāpattiṃ manasi karoti.

    ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมินฺติ ปาทกชฺฌานํ สนฺธาย วุตฺตํฯ อปคุณปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐิตสฺส หิ อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ มนสิกโรโต ตตฺถ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต ‘‘ปรสฺส สนฺตาเน นุ โข กถ’’นฺติ พหิทฺธา มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต – ‘‘กาเลน อตฺตโน สนฺตาเน, กาเลน ปรสฺส สนฺตาเน นุ โข กถ’’นฺติ อชฺฌตฺตพหิทฺธา มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต อุภโตภาควิมุโตฺต โหตุกาโม ‘‘อรูปสมาปตฺติยํ นุ โข กถ’’นฺติ อาเนญฺชํ มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ อิทานิ – ‘‘น เม จิตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ วิสฺสฎฺฐวีริเยน อุปฎฺฐากาทีนํ ปจฺฉโต น จริตพฺพํ, ปาทกชฺฌานเมว ปน สาธุกํ ปุนปฺปุนํ มนสิกาตพฺพํฯ เอวมสฺส รุเกฺข ฉินฺทโต ผรสุมฺหิ อวหเนฺต ปุน นิสิตํ กาเรตฺวา ฉินฺทนฺตสฺส ฉิเชฺชสุ ผรสุ วิย กมฺมฎฺฐาเน มนสิกาโร วหตี’’ติ ทเสฺสตุํ ตสฺมิํเยวาติอาทิมาหฯ อิทานิสฺส เอวํ ปฎิปนฺนสฺส ยํ ยํ มนสิ กโรติ, ตตฺถ ตตฺถ มนสิกาโร สมฺปชฺชตีติ ทเสฺสโนฺต ปกฺขนฺทตีติ อาหฯ

    Tasmiṃyeva purimasminti pādakajjhānaṃ sandhāya vuttaṃ. Apaguṇapādakajjhānato vuṭṭhitassa hi ajjhattaṃ suññataṃ manasikaroto tattha cittaṃ na pakkhandati. Tato ‘‘parassa santāne nu kho katha’’nti bahiddhā manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. Tato – ‘‘kālena attano santāne, kālena parassa santāne nu kho katha’’nti ajjhattabahiddhā manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. Tato ubhatobhāgavimutto hotukāmo ‘‘arūpasamāpattiyaṃ nu kho katha’’nti āneñjaṃ manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. Idāni – ‘‘na me cittaṃ pakkhandatīti vissaṭṭhavīriyena upaṭṭhākādīnaṃ pacchato na caritabbaṃ, pādakajjhānameva pana sādhukaṃ punappunaṃ manasikātabbaṃ. Evamassa rukkhe chindato pharasumhi avahante puna nisitaṃ kāretvā chindantassa chijjesu pharasu viya kammaṭṭhāne manasikāro vahatī’’ti dassetuṃ tasmiṃyevātiādimāha. Idānissa evaṃ paṭipannassa yaṃ yaṃ manasi karoti, tattha tattha manasikāro sampajjatīti dassento pakkhandatīti āha.

    ๑๘๙. อิมินา วิหาเรนาติ อิมินา สมถวิปสฺสนาวิหาเรนฯ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโนติ อิติ จงฺกมโนฺตปิ ตสฺมิํ กมฺมฎฺฐาเน สมฺปชฺชมาเน ‘‘สมฺปชฺชติ เม กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ ชานเนน สมฺปชาโน โหติฯ สยตีติ นิปชฺชติฯ เอตฺถ กญฺจิ กาลํ จงฺกมิตฺวา – ‘‘อิทานิ เอตฺตกํ กาลํ จงฺกมิตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติ ญตฺวา อิริยาปถํ อหาเปตฺวา ฐาตพฺพํฯ เอส นโย สพฺพวาเรสุ ฯ น กเถสฺสามีติ, อิติห ตตฺถาติ เอวํ น กเถสฺสามีติ ชานเนน ตตฺถ สมฺปชานการี โหติฯ

    189.Iminā vihārenāti iminā samathavipassanāvihārena. Itiha tattha sampajānoti iti caṅkamantopi tasmiṃ kammaṭṭhāne sampajjamāne ‘‘sampajjati me kammaṭṭhāna’’nti jānanena sampajāno hoti. Sayatīti nipajjati. Ettha kañci kālaṃ caṅkamitvā – ‘‘idāni ettakaṃ kālaṃ caṅkamituṃ sakkhissāmī’’ti ñatvā iriyāpathaṃ ahāpetvā ṭhātabbaṃ. Esa nayo sabbavāresu . Na kathessāmīti, itiha tatthāti evaṃ na kathessāmīti jānanena tattha sampajānakārī hoti.

    ปุน ทุติยวาเร เอวรูปิํ กถํ กเถสฺสามีติ ชานเนน สมฺปชานการี โหติ, อิมสฺส ภิกฺขุโน สมถวิปสฺสนา ตรุณาว, ตาสํ อนุรกฺขณตฺถํ –

    Puna dutiyavāre evarūpiṃ kathaṃ kathessāmīti jānanena sampajānakārī hoti, imassa bhikkhuno samathavipassanā taruṇāva, tāsaṃ anurakkhaṇatthaṃ –

    ‘‘อาวาโส โคจโร ภสฺสํ, ปุคฺคโล อถ โภชนํ;

    ‘‘Āvāso gocaro bhassaṃ, puggalo atha bhojanaṃ;

    อุตุ อิริยาปโถ เจว, สปฺปาโย เสวิตพฺพโก’’ติฯ

    Utu iriyāpatho ceva, sappāyo sevitabbako’’ti.

    สตฺต สปฺปายานิ อิจฺฉิตพฺพานิฯ เตสํ ทสฺสนตฺถมิทํ วุตฺตํฯ วิตกฺกวาเรสุ อวิตกฺกนสฺส จ วิตกฺกนสฺส จ ชานเนน สมฺปชานตา เวทิตพฺพาฯ

    Satta sappāyāni icchitabbāni. Tesaṃ dassanatthamidaṃ vuttaṃ. Vitakkavāresu avitakkanassa ca vitakkanassa ca jānanena sampajānatā veditabbā.

    ๑๙๐. อิติ วิตกฺกปหาเนน เทฺว มเคฺค กเถตฺวา อิทานิ ตติยมคฺคสฺส วิปสฺสนํ อาจิกฺขโนฺต ปญฺจ โข อิเม, อานนฺท, กามคุณาติอาทิมาหฯ อายตเนติ เตสุเยว กามคุเณสุ กิสฺมิญฺจิเทว กิเลสุปฺปตฺติการเณฯ สมุทาจาโรติ สมุทาจรณโต อปฺปหีนกิเลโสฯ เอวํ สนฺตนฺติ เอวํ วิชฺชมานเมวฯ สมฺปชาโนติ กมฺมฎฺฐานสฺส อสมฺปตฺติชานเนน สมฺปชาโนฯ ทุติยวาเร เอวํ สนฺตเมตนฺติ เอวํ สเนฺต เอตํฯ สมฺปชาโนติ กมฺมฎฺฐานสมฺปตฺติชานเนน สมฺปชาโนฯ อยญฺหิ ‘‘ปหีโน นุ โข เม ปญฺจสุ กามคุเณสุ ฉนฺทราโค โน’’ติ ปจฺจเวกฺขมาโน อปหีนภาวํ ญตฺวา วีริยํ ปคฺคเหตฺวา ตํ อนาคามิมเคฺคน สมุคฺฆาเฎติ, ตโต มคฺคานนฺตรํ ผลํ, ผลโต วุฎฺฐาย ปจฺจเวกฺขมาโน ปหีนภาวํ ชานาติ, ตสฺส ชานเนน ‘‘สมฺปชาโน โหตี’’ติ วุตฺตํฯ

    190. Iti vitakkapahānena dve magge kathetvā idāni tatiyamaggassa vipassanaṃ ācikkhanto pañca kho ime, ānanda, kāmaguṇātiādimāha. Āyataneti tesuyeva kāmaguṇesu kismiñcideva kilesuppattikāraṇe. Samudācāroti samudācaraṇato appahīnakileso. Evaṃsantanti evaṃ vijjamānameva. Sampajānoti kammaṭṭhānassa asampattijānanena sampajāno. Dutiyavāre evaṃ santametanti evaṃ sante etaṃ. Sampajānoti kammaṭṭhānasampattijānanena sampajāno. Ayañhi ‘‘pahīno nu kho me pañcasu kāmaguṇesu chandarāgo no’’ti paccavekkhamāno apahīnabhāvaṃ ñatvā vīriyaṃ paggahetvā taṃ anāgāmimaggena samugghāṭeti, tato maggānantaraṃ phalaṃ, phalato vuṭṭhāya paccavekkhamāno pahīnabhāvaṃ jānāti, tassa jānanena ‘‘sampajāno hotī’’ti vuttaṃ.

    ๑๙๑. อิทานิ อรหตฺตมคฺคสฺส วิปสฺสนํ อาจิกฺขโนฺต ปญฺจ โข อิเม, อานนฺท, อุปาทานกฺขนฺธาติอาทิมาหฯ ตตฺถ โส ปหียตีติ รูเป อสฺมีติ มาโน อสฺมีติ ฉโนฺท อสฺมีติ อนุสโย ปหียติฯ ตถา เวทนาทีสุ สมฺปชานตา วุตฺตนาเยเนว เวทิตพฺพาฯ

    191. Idāni arahattamaggassa vipassanaṃ ācikkhanto pañca kho ime, ānanda, upādānakkhandhātiādimāha. Tattha so pahīyatīti rūpe asmīti māno asmīti chando asmīti anusayo pahīyati. Tathā vedanādīsu sampajānatā vuttanāyeneva veditabbā.

    อิเม โข เต, อานนฺท, ธมฺมาติ เหฎฺฐา กถิเต สมถวิปสฺสนามคฺคผลธเมฺม สนฺธายาหฯ กุสลายติกาติ กุสลโต อาคตาฯ กุสลา หิ กุสลาปิ โหนฺติ กุสลายติกาปิ, เสยฺยถิทํ, ปฐมชฺฌานํ กุสลํ, ทุติยชฺฌานํ กุสลเญฺจว กุสลายติกญฺจ…เป.… อากิญฺจญฺญายตนํ กุสลํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ กุสลเญฺจว กุสลายติกญฺจ, เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ กุสลํ, โสตาปตฺติมโคฺค กุสโล เจว กุสลายติโก จ…เป.… อนาคามิมโคฺค กุสโล, อรหตฺตมโคฺค กุสโล เจว กุสลายติโก จฯ ตถา ปฐมชฺฌานํ กุสลํ, ตํสมฺปยุตฺตกา ธมฺมา กุสลา เจว กุสลายติกา จ…เป.… อรหตฺตมโคฺค กุสโล, ตํสมฺปยุตฺตกา ธมฺมา กุสลา เจว กุสลายติกา จฯ

    Ime kho te, ānanda, dhammāti heṭṭhā kathite samathavipassanāmaggaphaladhamme sandhāyāha. Kusalāyatikāti kusalato āgatā. Kusalā hi kusalāpi honti kusalāyatikāpi, seyyathidaṃ, paṭhamajjhānaṃ kusalaṃ, dutiyajjhānaṃ kusalañceva kusalāyatikañca…pe… ākiñcaññāyatanaṃ kusalaṃ, nevasaññānāsaññāyatanaṃ kusalañceva kusalāyatikañca, nevasaññānāsaññāyatanaṃ kusalaṃ, sotāpattimaggo kusalo ceva kusalāyatiko ca…pe… anāgāmimaggo kusalo, arahattamaggo kusalo ceva kusalāyatiko ca. Tathā paṭhamajjhānaṃ kusalaṃ, taṃsampayuttakā dhammā kusalā ceva kusalāyatikā ca…pe… arahattamaggo kusalo, taṃsampayuttakā dhammā kusalā ceva kusalāyatikā ca.

    อริยาติ นิกฺกิเลสา วิสุทฺธาฯ โลกุตฺตราติ โลเก อุตฺตรา วิสิฎฺฐาฯ อนวกฺกนฺตา ปาปิมตาติ ปาปิมเนฺตน มาเรน อโนกฺกนฺตาฯ วิปสฺสนาปาทกา อฎฺฐ สมาปตฺติโย อเปฺปตฺวา นิสินฺนสฺส หิ ภิกฺขุโน จิตฺตํ มาโร น ปสฺสติ, ‘‘อิทํ นาม อารมฺมณํ นิสฺสาย สํวตฺตตี’’ติ ชาติตุํ น สโกฺกติฯ ตสฺมา ‘‘อนวกฺกนฺตา’’ติ วุตฺตํฯ

    Ariyāti nikkilesā visuddhā. Lokuttarāti loke uttarā visiṭṭhā. Anavakkantāpāpimatāti pāpimantena mārena anokkantā. Vipassanāpādakā aṭṭha samāpattiyo appetvā nisinnassa hi bhikkhuno cittaṃ māro na passati, ‘‘idaṃ nāma ārammaṇaṃ nissāya saṃvattatī’’ti jātituṃ na sakkoti. Tasmā ‘‘anavakkantā’’ti vuttaṃ.

    ตํ กิํ มญฺญสีติ อิทํ กสฺมา อาห? คเณปิ เอโก อานิสํโส อตฺถิ, ตํ ทเสฺสตุํ อิทมาหฯ อนุพนฺธิตุนฺติ อนุคจฺฉิตุํ ปริจริตุํฯ

    Taṃ kiṃ maññasīti idaṃ kasmā āha? Gaṇepi eko ānisaṃso atthi, taṃ dassetuṃ idamāha. Anubandhitunti anugacchituṃ paricarituṃ.

    น โข, อานนฺทาติ เอตฺถ กิญฺจาปิ ภควตา – ‘‘สุตาวุโธ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ, สาวชฺชํ ปชหติ, อนวชฺชํ ภาเวติ, สุทฺธํ อตฺตานํ ปริหรตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๖๗) พหุสฺสุโต ปญฺจาวุธสมฺปโนฺน โยโธ วิย กโตฯ ยสฺมา ปน โส สุตปริยตฺติํ อุคฺคเหตฺวาปิ ตทนุจฺฉวิกํ อนุโลมปฎิปทํ น ปฎิปชฺชติ, น ตสฺส ตํ อาวุธํ โหติฯ โย ปฎิปชฺชติ, ตเสฺสว โหติฯ ตสฺมา เอตทตฺถํ อนุพนฺธิตุํ นารหตีติ ทเสฺสโนฺต น โข, อานนฺทาติ อาหฯ

    Na kho, ānandāti ettha kiñcāpi bhagavatā – ‘‘sutāvudho, bhikkhave, ariyasāvako akusalaṃ pajahati, kusalaṃ bhāveti, sāvajjaṃ pajahati, anavajjaṃ bhāveti, suddhaṃ attānaṃ pariharatī’’ti (a. ni. 7.67) bahussuto pañcāvudhasampanno yodho viya kato. Yasmā pana so sutapariyattiṃ uggahetvāpi tadanucchavikaṃ anulomapaṭipadaṃ na paṭipajjati, na tassa taṃ āvudhaṃ hoti. Yo paṭipajjati, tasseva hoti. Tasmā etadatthaṃ anubandhituṃ nārahatīti dassento na kho, ānandāti āha.

    อิทานิ ยทตฺถํ อนุพนฺธิตโพฺพ, ตํ ทเสฺสตุํ ยา จ โขติอาทิมาหฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต ตีสุ ฐาเนสุ ทส กถาวตฺถูนิ อาคตานิฯ ‘‘อิติ เอวรูปํ กถํ กเถสฺสามี’’ติ สปฺปายาสปฺปายวเสน อาคตานิ, ‘‘ยทิทํ สุตฺตํ เคยฺย’’นฺติ เอตฺถ สุตปริยตฺติวเสน อาคตานิ, อิมสฺมิํ ฐาเน ปริปูรณวเสน อาคตานิฯ ตสฺมา อิมสฺมิํ สุเตฺต ทส กถาวตฺถูนิ กเถเนฺตน อิมสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวา กเถตพฺพานิฯ

    Idāni yadatthaṃ anubandhitabbo, taṃ dassetuṃ yā ca khotiādimāha. Iti imasmiṃ sutte tīsu ṭhānesu dasa kathāvatthūni āgatāni. ‘‘Iti evarūpaṃ kathaṃ kathessāmī’’ti sappāyāsappāyavasena āgatāni, ‘‘yadidaṃ suttaṃ geyya’’nti ettha sutapariyattivasena āgatāni, imasmiṃ ṭhāne paripūraṇavasena āgatāni. Tasmā imasmiṃ sutte dasa kathāvatthūni kathentena imasmiṃ ṭhāne ṭhatvā kathetabbāni.

    อิทานิ ยสฺมา เอกจฺจสฺส เอกกสฺส วิหรโตปิ อโตฺถ น สมฺปชฺชติ, ตสฺมา ตํ สนฺธาย เอกีภาเว อาทีนวํ ทเสฺสโนฺต เอวํ สเนฺต โข, อานนฺทาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอวํ สเนฺตติ เอวํ เอกีภาเว สเนฺตฯ

    Idāni yasmā ekaccassa ekakassa viharatopi attho na sampajjati, tasmā taṃ sandhāya ekībhāve ādīnavaṃ dassento evaṃ sante kho, ānandātiādimāha. Tattha evaṃ santeti evaṃ ekībhāve sante.

    ๑๙๓. สตฺถาติ พาหิรโก ติตฺถกรสตฺถาฯ อนฺวาวตฺตนฺตีติ อนุอาวตฺตนฺติ อุปสงฺกมนฺติฯ มุจฺฉํ กามยตีติ มุจฺฉนตณฺหํ ปเตฺถติ, ปวเตฺตตีติ อโตฺถฯ อาจริยูปทฺทเวนาติ อพฺภนฺตเร อุปฺปเนฺนน กิเลสูปทฺทเวน อาจริยสฺสุปทฺทโวฯ เสสุปทฺทเวสุปิ เอเสว นโยฯ อวธิํสุ นนฺติ มารยิํสุ นํฯ เอเตน หิ คุณมรณํ กถิตํฯ

    193.Satthāti bāhirako titthakarasatthā. Anvāvattantīti anuāvattanti upasaṅkamanti. Mucchaṃ kāmayatīti mucchanataṇhaṃ pattheti, pavattetīti attho. Ācariyūpaddavenāti abbhantare uppannena kilesūpaddavena ācariyassupaddavo. Sesupaddavesupi eseva nayo. Avadhiṃsu nanti mārayiṃsu naṃ. Etena hi guṇamaraṇaṃ kathitaṃ.

    วินิปาตายาติ สุฎฺฐุ นิปตนายฯ กสฺมา ปน พฺรหฺมจารุปทฺทโวว – ‘‘ทุกฺขวิปากตโร จ กฎุกวิปากตโร จ วินิปาตาย จ สํวตฺตตี’’ติ วุโตฺตติฯ พาหิรปพฺพชฺชา หิ อปฺปลาภา, ตตฺถ มหโนฺต นิพฺพเตฺตตพฺพคุโณ นตฺถิ, อฎฺฐสมาปตฺติปญฺจาภิญฺญามตฺตกเมว โหติฯ อิติ ยถา คทฺรภปิฎฺฐิโต ปติตสฺส มหนฺตํ ทุกฺขํ น โหติ, สรีรสฺส ปํสุมกฺขนมตฺตเมว โหติ, เอวํ พาหิรสมเย โลกิยคุณมตฺตโตว ปริหายติ, เตน ปุริมํ อุปทฺทวทฺวยํ น เอวํ วุตฺตํฯ สาสเน ปน ปพฺพชฺชา มหาลาภา, ตตฺถ จตฺตาโร มคฺคา จตฺตาริ ผลานิ นิพฺพานนฺติ มหนฺตา อธิคนฺตพฺพคุณาฯ อิติ ยถา อุภโต สุชาโต ขตฺติยกุมาโร หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ อนุสญฺจรโนฺต หตฺถิกฺขนฺธโต ปติโต มหาทุกฺขํ นิคจฺฉติ, เอวํ สาสนโต ปริหายมาโน นวหิ โลกุตฺตรคุเณหิ ปริหายติฯ เตนายํ พฺรหฺมจารุปทฺทโว เอวํ วุโตฺตฯ

    Vinipātāyāti suṭṭhu nipatanāya. Kasmā pana brahmacārupaddavova – ‘‘dukkhavipākataro ca kaṭukavipākataro ca vinipātāya ca saṃvattatī’’ti vuttoti. Bāhirapabbajjā hi appalābhā, tattha mahanto nibbattetabbaguṇo natthi, aṭṭhasamāpattipañcābhiññāmattakameva hoti. Iti yathā gadrabhapiṭṭhito patitassa mahantaṃ dukkhaṃ na hoti, sarīrassa paṃsumakkhanamattameva hoti, evaṃ bāhirasamaye lokiyaguṇamattatova parihāyati, tena purimaṃ upaddavadvayaṃ na evaṃ vuttaṃ. Sāsane pana pabbajjā mahālābhā, tattha cattāro maggā cattāri phalāni nibbānanti mahantā adhigantabbaguṇā. Iti yathā ubhato sujāto khattiyakumāro hatthikkhandhavaragato nagaraṃ anusañcaranto hatthikkhandhato patito mahādukkhaṃ nigacchati, evaṃ sāsanato parihāyamāno navahi lokuttaraguṇehi parihāyati. Tenāyaṃ brahmacārupaddavo evaṃ vutto.

    ๑๙๖. ตสฺมาติ ยสฺมา เสสุปทฺทเวหิ พฺรหฺมจารุปทฺทโว ทุกฺขวิปากตโร, ยสฺมา วา สปตฺตปฎิปตฺติํ วีติกฺกมโนฺต ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺตติ, มิตฺตปฎิปตฺติ หิตาย, ตสฺมาฯ เอวํ อุปริเมนปิ เหฎฺฐิเมนปิ อเตฺถน โยเชตพฺพํฯ มิตฺตวตายาติ มิตฺตปฎิปตฺติยาฯ สปตฺตวตายาติ เวรปฎิปตฺติยาฯ

    196.Tasmāti yasmā sesupaddavehi brahmacārupaddavo dukkhavipākataro, yasmā vā sapattapaṭipattiṃ vītikkamanto dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya saṃvattati, mittapaṭipatti hitāya, tasmā. Evaṃ uparimenapi heṭṭhimenapi atthena yojetabbaṃ. Mittavatāyāti mittapaṭipattiyā. Sapattavatāyāti verapaṭipattiyā.

    โวกฺกมฺม จ สตฺถุสาสนาติ ทุกฺกฎทุพฺภาสิตมตฺตมฺปิ หิ สญฺจิจฺจ วีติกฺกมโนฺต โวกฺกมฺม วตฺตติ นามฯ ตเทว อวีติกฺกมโนฺต น โวกฺกมฺม วตฺตติ นามฯ

    Vokkammaca satthusāsanāti dukkaṭadubbhāsitamattampi hi sañcicca vītikkamanto vokkamma vattati nāma. Tadeva avītikkamanto na vokkamma vattati nāma.

    น โว อหํ, อานนฺท, ตถา ปรกฺกมิสฺสามีติ อหํ ตุเมฺหสุ ตถา น ปฎิปชฺชิสฺสามิฯ อามเกติ อปเกฺกฯ อามกมเตฺตติ อามเก นาติสุเกฺข ภาชเนฯ กุมฺภกาโร หิ อามกํ นาติสุกฺขํ อปกฺกํ อุโภหิ หเตฺถหิ สณฺหิกํ คณฺหาติ ‘‘มา ภิชฺชตู’’ติฯ อิติ ยถา กุมฺภกาโร ตตฺถ ปฎิปชฺชติ, นาหํ ตุเมฺหสุ ตถา ปฎิปชฺชิสฺสามิฯ นิคฺคยฺห นิคฺคยฺหาติ สกิํ โอวทิตฺวา ตุณฺหี น ภวิสฺสามิ, นิคฺคณฺหิตฺวา นิคฺคณฺหิตฺวา ปุนปฺปุนํ โอวทิสฺสามิ อนุสาสิสฺสามิฯ ปวยฺห ปวยฺหาติ โทเส ปวาเหตฺวา ปวาเหตฺวาฯ ยถา ปกฺกภาชเนสุ กุมฺภกาโร ภินฺนฉินฺนชชฺชรานิ ปวาเหตฺวา เอกโต กตฺวา สุปกฺกาเนว อาโกเฎตฺวา อาโกเฎตฺวา คณฺหาติ, เอวเมว อหมฺปิ ปวาเหตฺวา ปวาเหตฺวา ปุนปฺปุนํ โอวทิสฺสามิ อนุสาสิสฺสามิฯ โย สาโร โส ฐสฺสตีติ เอวํ โว มยา โอวทิยมานานํ โย มคฺคผลสาโร, โส ฐสฺสติฯ อปิจ โลกิยคุณาปิ อิธ สาโรเตฺวว อธิเปฺปตาฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Na vo ahaṃ, ānanda, tathā parakkamissāmīti ahaṃ tumhesu tathā na paṭipajjissāmi. Āmaketi apakke. Āmakamatteti āmake nātisukkhe bhājane. Kumbhakāro hi āmakaṃ nātisukkhaṃ apakkaṃ ubhohi hatthehi saṇhikaṃ gaṇhāti ‘‘mā bhijjatū’’ti. Iti yathā kumbhakāro tattha paṭipajjati, nāhaṃ tumhesu tathā paṭipajjissāmi. Niggayha niggayhāti sakiṃ ovaditvā tuṇhī na bhavissāmi, niggaṇhitvā niggaṇhitvā punappunaṃ ovadissāmi anusāsissāmi. Pavayha pavayhāti dose pavāhetvā pavāhetvā. Yathā pakkabhājanesu kumbhakāro bhinnachinnajajjarāni pavāhetvā ekato katvā supakkāneva ākoṭetvā ākoṭetvā gaṇhāti, evameva ahampi pavāhetvā pavāhetvā punappunaṃ ovadissāmi anusāsissāmi. Yosāro so ṭhassatīti evaṃ vo mayā ovadiyamānānaṃ yo maggaphalasāro, so ṭhassati. Apica lokiyaguṇāpi idha sārotveva adhippetā. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    ปปญฺจสูทนิยา มชฺฌิมนิกายฎฺฐกถาย

    Papañcasūdaniyā majjhimanikāyaṭṭhakathāya

    มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Mahāsuññatasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตํ • 2. Mahāsuññatasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāsuññatasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact