Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā)

    ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนา

    2. Mahāsuññatasuttavaṇṇanā

    ๑๘๕. ฉวิวเณฺณน โส กาโฬ, น นาเมนฯ ปลาลสนฺถาโรติ อาทีนีติ อาทิ-สเทฺทน โกจฺฉจิมิลิกากฎสาราทีนํ คหณํฯ คณภิกฺขูนนฺติ คณพนฺธนวเสน ภิกฺขูนํฯ

    185.Chavivaṇṇenaso kāḷo, na nāmena. Palālasanthāroti ādīnīti ādi-saddena kocchacimilikākaṭasārādīnaṃ gahaṇaṃ. Gaṇabhikkhūnanti gaṇabandhanavasena bhikkhūnaṃ.

    ยทิ สํสโย นาม นตฺถิ, ‘‘สมฺพหุลา นุ โข’’ติ อิทํ กถนฺติ อาห ‘‘วิตกฺกปุพฺพภาคา’’ติอาทิฯ ตตฺถ วิตโกฺก ปุพฺพภาโค เอติสฺสาติ วิตกฺกปุพฺพภาคา, ปุจฺฉาฯ สา ‘‘สมฺพหุลา โน เอตฺถ ภิกฺขูวิหรนฺตี’’ติ วจนํ, วิตโกฺก ปน ‘‘สมฺพหุลา นุ โข อิธ ภิกฺขู วิหรนฺตี’’ติ อิมินา อากาเรน ตทา ภควโต อุปฺปโนฺน จิตฺตสงฺกโปฺป, ตสฺส ปริวิตกฺกสฺส ตพฺภาวโชตโนยํ นุ-กาโร วุโตฺตติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘วิตกฺกปุพฺพภาเค จายํ นุ-กาโร นิปาตมโตฺต’’ติฯ กิญฺจาปิ คจฺฉโนฺต ทิสฺวา, ‘‘สมฺพหุลา โน เอตฺถ ภิกฺขู วิหรนฺตี’’ติ ปุจฺฉาวเสน ภควตา วุโตฺต, อถ โข ‘‘น โข, อานนฺท, ภิกฺขุ โสภติ สงฺคณิการาโม’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๑๘๕) อุปริเทสนาวเสน มตฺถกํ คจฺฉเนฺต อวินิจฺฉิโต นาม น โหติ, อถ โข วิสุํ วินิจฺฉิโต เอว โหติ, ทิสฺวา นิจฺฉินิตฺวาว กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ ตถา ปุจฺฉติฯ ตถา หิ วุตฺตํ – ‘‘ชานนฺตาปิ ตถาคตา ปุจฺฉนฺตี’’ติ (ปารา. ๑๖)ฯ เตนาห ‘‘อิโต กิรา’’ติอาทิฯ

    Yadi saṃsayo nāma natthi, ‘‘sambahulā nu kho’’ti idaṃ kathanti āha ‘‘vitakkapubbabhāgā’’tiādi. Tattha vitakko pubbabhāgo etissāti vitakkapubbabhāgā, pucchā. Sā ‘‘sambahulā no ettha bhikkhūviharantī’’ti vacanaṃ, vitakko pana ‘‘sambahulā nu kho idha bhikkhū viharantī’’ti iminā ākārena tadā bhagavato uppanno cittasaṅkappo, tassa parivitakkassa tabbhāvajotanoyaṃ nu-kāro vuttoti dassento āha – ‘‘vitakkapubbabhāge cāyaṃ nu-kāro nipātamatto’’ti. Kiñcāpi gacchanto disvā, ‘‘sambahulā no ettha bhikkhū viharantī’’ti pucchāvasena bhagavatā vutto, atha kho ‘‘na kho, ānanda, bhikkhu sobhati saṅgaṇikārāmo’’tiādi (ma. ni. 3.185) uparidesanāvasena matthakaṃ gacchante avinicchito nāma na hoti, atha kho visuṃ vinicchito eva hoti, disvā nicchinitvāva kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ tathā pucchati. Tathā hi vuttaṃ – ‘‘jānantāpi tathāgatā pucchantī’’ti (pārā. 16). Tenāha ‘‘ito kirā’’tiādi.

    ยถา นทีโอติณฺณํ อุทกํ ยถานินฺนํ ปกฺขนฺทติ, เอวํ สตฺตา ธาตุโส สํสนฺทนฺติ, ตสฺมา ‘‘คณวาโส นทีโอติณฺณอุทกสทิโส’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ – ‘‘นิรยติรจฺฉานโยนี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ กุรุวินฺทาทินฺหานียจุณฺณานิ สณฺหสุขุมภาวโต นาฬิยํ ปกฺขิตฺตานิ นิรนฺตราเนว ติฎฺฐนฺตีติ อาห – ‘‘จุณฺณภริตา นาฬิ วิยา’’ติฯ สตฺตปณฺณาส กุลสตสหสฺสานีติ สตฺตสตสหสฺสาธิกานิ ปญฺญาส กุลานํเยว สตสหสฺสานิ, มนุสฺสานํ ปน วเสน สตฺต โกฎิโย ตทา ตตฺถ วสิํสุฯ

    Yathā nadīotiṇṇaṃ udakaṃ yathāninnaṃ pakkhandati, evaṃ sattā dhātuso saṃsandanti, tasmā ‘‘gaṇavāso nadīotiṇṇaudakasadiso’’ti vuttaṃ. Idāni tamatthaṃ vitthārato dassetuṃ – ‘‘nirayatiracchānayonī’’tiādi vuttaṃ. Kuruvindādinhānīyacuṇṇāni saṇhasukhumabhāvato nāḷiyaṃ pakkhittāni nirantarāneva tiṭṭhantīti āha – ‘‘cuṇṇabharitā nāḷi viyā’’ti. Sattapaṇṇāsa kulasatasahassānīti sattasatasahassādhikāni paññāsa kulānaṃyeva satasahassāni, manussānaṃ pana vasena satta koṭiyo tadā tattha vasiṃsu.

    ตโต จิเนฺตสิ, กถํ? กามญฺจายํ โลกปกติ, มยฺหํ ปน สาสเน อยุโตฺตว โสติ อาห – ‘‘มยา’’ติอาทิฯ ธมฺมนฺติ สภาวสิทฺธํฯ สํเวโคติ สโหตฺตปฺปญาณํ วุจฺจติฯ น โข ปเนตํ สกฺกา คิลานุปฎฺฐานโอวาทานุสาสนิอาทิวเสน สมาคมสฺส อิจฺฉิตพฺพตฺตาฯ คณเภทนนฺติ คณสงฺคณิกาย วิเวจนํฯ

    Tato cintesi, kathaṃ? Kāmañcāyaṃ lokapakati, mayhaṃ pana sāsane ayuttova soti āha – ‘‘mayā’’tiādi. Dhammanti sabhāvasiddhaṃ. Saṃvegoti sahottappañāṇaṃ vuccati. Na kho panetaṃ sakkā gilānupaṭṭhānaovādānusāsaniādivasena samāgamassa icchitabbattā. Gaṇabhedananti gaṇasaṅgaṇikāya vivecanaṃ.

    ๑๘๖. กตปริภณฺฑนฺติ ปุเพฺพ กตสํวิธานสฺส จีวรสฺส วุตฺตากาเรน ปฎิสงฺขรณํฯ โนติ อมฺหากํฯ อนตฺตมโนติ อนาราธิตจิโตฺตฯ

    186.Kataparibhaṇḍanti pubbe katasaṃvidhānassa cīvarassa vuttākārena paṭisaṅkharaṇaṃ. Noti amhākaṃ. Anattamanoti anārādhitacitto.

    สกคเณน สหภาวโต สงฺคณิกาติ อาห ‘‘สกปริสสโมธาน’’นฺติฯ คโณติ ปน อิธ ชนสมูโหติ วุตฺตํ ‘‘นานาชนสโมธาน’’นฺติฯ โสภติ ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปชฺชมานโตฯ กามโต นิกฺขมตีติ นิกฺขโม, เอวํ นิกฺขมวเสน อุปฺปนฺนํ สุขํฯ คณสงฺคณิกากิเลสสงฺคณิกาหิ ปวิวิตฺติ ปวิเวโกฯ ปวิเวกวเสน อุปฺปนฺนํ สุขํฯ ราคาทีนํ อุปสมาวหํ สุขํ อุปสมสุขํฯ มคฺคสโมฺพธาวหํ สุขํ สโมฺพธิสุขํฯ นิกาเมตพฺพสฺส, นิกามํ วา ลาภี นิกามลาภีฯ นิทุกฺขํ สุเขเนว ลภตีติ อทุกฺขลาภีฯ กสิรํ วุจฺจติ อปฺปกนฺติ อาห – ‘‘อกสิรลาภีติ วิปุลลาภี’’ติฯ

    Sakagaṇena sahabhāvato saṅgaṇikāti āha ‘‘sakaparisasamodhāna’’nti. Gaṇoti pana idha janasamūhoti vuttaṃ ‘‘nānājanasamodhāna’’nti. Sobhati yathānusiṭṭhaṃ paṭipajjamānato. Kāmato nikkhamatīti nikkhamo, evaṃ nikkhamavasena uppannaṃ sukhaṃ. Gaṇasaṅgaṇikākilesasaṅgaṇikāhi pavivitti paviveko. Pavivekavasena uppannaṃ sukhaṃ. Rāgādīnaṃ upasamāvahaṃ sukhaṃ upasamasukhaṃ. Maggasambodhāvahaṃ sukhaṃ sambodhisukhaṃ. Nikāmetabbassa, nikāmaṃ vā lābhī nikāmalābhī. Nidukkhaṃ sukheneva labhatīti adukkhalābhī. Kasiraṃ vuccati appakanti āha – ‘‘akasiralābhīti vipulalābhī’’ti.

    สามายิกนฺติ สมเย กิเลสวิมุจฺจนํ อจฺจนฺตเมวาติ สามายิกํ ม-กาเร อ-การสฺส ทีฆํ กตฺวาฯ เตนาห – ‘‘อปฺปิตปฺปิตสมเย กิเลเสหิ วิมุตฺต’’นฺติฯ กนฺตนฺติ องฺคสนฺตตาย อารมฺมณสนฺตตาย จ กมนียํ มโนรมฺมํฯ อสามายิกํ อจฺจนฺตวิมุตฺตํฯ

    Sāmāyikanti samaye kilesavimuccanaṃ accantamevāti sāmāyikaṃ ma-kāre a-kārassa dīghaṃ katvā. Tenāha – ‘‘appitappitasamaye kilesehi vimutta’’nti. Kantanti aṅgasantatāya ārammaṇasantatāya ca kamanīyaṃ manorammaṃ. Asāmāyikaṃ accantavimuttaṃ.

    เอตฺตาวตาติอาทินา สงฺคณิการามสฺส วิเสสาธิคมสฺส อนฺตรายิกภาวํ อนฺวยโต พฺยติเรกโต จ สห นิทสฺสเนน ทเสฺสติฯ ตตฺถ สา ทุวิธา อนฺตรายิกตา โวทานธมฺมานํ อนุปฺปตฺติเหตุกา, สํกิเลสธมฺมานํ อุปฺปตฺติเหตุกา จฯ

    Ettāvatātiādinā saṅgaṇikārāmassa visesādhigamassa antarāyikabhāvaṃ anvayato byatirekato ca saha nidassanena dasseti. Tattha sā duvidhā antarāyikatā vodānadhammānaṃ anuppattihetukā, saṃkilesadhammānaṃ uppattihetukā ca.

    เต ปฐมํ ‘‘สงฺคณิการาโม’’ติอาทินา วิภาเวตฺวา อิตรํ วิภาเวตุํ, ‘‘อิทานิ โทสุปฺปตฺติํ ทเสฺสโนฺต’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อฎฺฐิญฺจ ปฎิจฺจ นฺหารุญฺจ ปฎิจฺจ จมฺมญฺจ ปฎิจฺจ มํสญฺจ ปฎิจฺจ อากาโส ปริวาริโต รูปเนฺตฺวว สงฺขํ คจฺฉตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๐๖) วิย อิธ รูปสโทฺท กรชกายปริยาโยติ ‘‘รูปนฺติ สรีร’’นฺติ อาหฯ ‘‘นาหํ, อานนฺท…เป.… โทมนสฺสุปายาสา’’ติ กสฺมา วุตฺตํ? นนุ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขจิตฺตานํ อารทฺธวิปสฺสกานมฺปิ อสปฺปายวชฺชนสปฺปายเสวนวเสน กายสฺส ปริหรณํ โหตีติ? สจฺจํ, ตํ ปน โย กลฺลสรีรํ นิสฺสาย ธมฺมสาธนาย อนุยุญฺชิตุกาโม โหติ, ตเสฺสว ธมฺมสาธนตาวเสนฯ ธมฺมสาธนภาวญฺหิ อเปกฺขิตฺวา อสปฺปายํ วเชฺชตฺวา สปฺปายวเสน โปเสตฺวา สุฎฺฐุตรํ หุตฺวา อนุยุญฺชนโต กายสฺส ปริหรณํ, น โส กาเย อภิรโต นาม โหติ ปจฺจเวกฺขณายตฺตตฺตา อเปกฺขาย วิโนทิตโพฺพ ตาทิโสติฯ อุปาลิคหปติโนติ เอตฺถาปิ ‘‘ทสพลสาวกตฺตุปคมนสงฺขาเตนา’’ติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ

    Te paṭhamaṃ ‘‘saṅgaṇikārāmo’’tiādinā vibhāvetvā itaraṃ vibhāvetuṃ, ‘‘idāni dosuppattiṃ dassento’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Aṭṭhiñca paṭicca nhāruñca paṭicca cammañca paṭicca maṃsañca paṭicca ākāso parivārito rūpantveva saṅkhaṃ gacchatī’’tiādīsu (ma. ni. 1.306) viya idha rūpasaddo karajakāyapariyāyoti ‘‘rūpanti sarīra’’nti āha. ‘‘Nāhaṃ, ānanda…pe… domanassupāyāsā’’ti kasmā vuttaṃ? Nanu kāye ca jīvite ca anapekkhacittānaṃ āraddhavipassakānampi asappāyavajjanasappāyasevanavasena kāyassa pariharaṇaṃ hotīti? Saccaṃ, taṃ pana yo kallasarīraṃ nissāya dhammasādhanāya anuyuñjitukāmo hoti, tasseva dhammasādhanatāvasena. Dhammasādhanabhāvañhi apekkhitvā asappāyaṃ vajjetvā sappāyavasena posetvā suṭṭhutaraṃ hutvā anuyuñjanato kāyassa pariharaṇaṃ, na so kāye abhirato nāma hoti paccavekkhaṇāyattattā apekkhāya vinoditabbo tādisoti. Upāligahapatinoti etthāpi ‘‘dasabalasāvakattupagamanasaṅkhātenā’’ti ānetvā yojetabbaṃ.

    ๑๘๗. มหากรุณาวเสน ปริวุตาย ปริสาย มเชฺฌ นิสิโนฺนปิ เอกนฺตวิเวกชฺฌาสยตฺตา เอกโกวฯ เอเตน สตฺถุโน ปวิวิตฺตสฺส ปวิเวกเตฺตน วิวิตฺตตํ ทเสฺสติฯ รูปารูปปฎิภาคนิมิเตฺตหิ นิวตฺตนตฺถํ ‘‘รูปาทีนํ สงฺขตนิมิตฺตาน’’นฺติ วุตฺตํฯ อติวิย สนฺตตรปณีตตมภาเวน วิเสสโต สิโนติ พนฺธตีติ วิสโย, โส เอว สสนฺตติปริยาปนฺนตาย อชฺฌตฺตํฯ กิํ ปน ตนฺติ อาห – ‘‘สุญฺญตนฺติ สุญฺญตผลสมาปตฺติ’’นฺติฯ อุปธิวิเวกตาย อสงฺขตา ธาตุ อิธ วิเวโกติ อธิเปฺปโตติ อาห – ‘‘วิเวกนิเนฺนนา’’ติอาทิฯ ภงฺคมตฺตมฺปิ อเสเสตฺวา อาสวฎฺฐานิยานญฺจ ธมฺมานํ ตตฺถ วิคตตฺตา เตสํ วเสน วิคตเนฺตน, เอวํภูตํ เตสํ พฺยนฺติภาวํ ปตฺตนฺติ ปาฬิยํ ‘‘พฺยนฺติภูเตนา’’ติ วุตฺตํฯ อุโยฺยชนํ วิสฺสชฺชนํ, ตํ เอตสฺส อตฺถิ, อุโยฺยเชติ วิสฺสเชฺชตีติ วา อุโยฺยชนิกํฯ ยสฺมา น สพฺพกถา อุโยฺยชนวเสเนว ปวตฺตติ, ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘อุโยฺยชนิกปฎิสํยุตฺต’’นฺติฯ

    187. Mahākaruṇāvasena parivutāya parisāya majjhe nisinnopi ekantavivekajjhāsayattā ekakova. Etena satthuno pavivittassa pavivekattena vivittataṃ dasseti. Rūpārūpapaṭibhāganimittehi nivattanatthaṃ ‘‘rūpādīnaṃ saṅkhatanimittāna’’nti vuttaṃ. Ativiya santatarapaṇītatamabhāvena visesato sinoti bandhatīti visayo, so eva sasantatipariyāpannatāya ajjhattaṃ. Kiṃ pana tanti āha – ‘‘suññatanti suññataphalasamāpatti’’nti. Upadhivivekatāya asaṅkhatā dhātu idha vivekoti adhippetoti āha – ‘‘vivekaninnenā’’tiādi. Bhaṅgamattampi asesetvā āsavaṭṭhāniyānañca dhammānaṃ tattha vigatattā tesaṃ vasena vigatantena, evaṃbhūtaṃ tesaṃ byantibhāvaṃ pattanti pāḷiyaṃ ‘‘byantibhūtenā’’ti vuttaṃ. Uyyojanaṃ vissajjanaṃ, taṃ etassa atthi, uyyojeti vissajjetīti vā uyyojanikaṃ. Yasmā na sabbakathā uyyojanavaseneva pavattati, tasmā vuttaṃ ‘‘uyyojanikapaṭisaṃyutta’’nti.

    เตลปากํ คณฺหโนฺต วิยาติ ยถา เตลปาโก นาม ปริจฺฉินฺนกาโล น อติกฺกมิตโพฺพ, เอวํ อตฺตโน สมาปตฺติกาลํ อนติกฺกมิตฺวาฯ ยถา หิ กุสโล เวโชฺช เตลํ ปจโนฺต ตํ ตํ เตลกิจฺจํ จิเนฺตตฺวา ยทิ วา ปตฺถินฺนปาโก, ยทิ วา มชฺฌิมปาโก, ยทิ วา ขรปาโก อิจฺฉิตโพฺพ, ตสฺส กาลํ อุปธาเรตฺวา ปจติ, เอวํ ภควา ธมฺมํ เทเสโนฺต เวเนยฺยานํ ญาณปริปากํ อุปธาเรตฺวา ตํ ตํ กาลํ อนติกฺกมิตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา ปริสํ อุโยฺยเชโนฺต จ วิเวกนิเนฺนเนว จิเตฺตน อุโยฺยเชติฯ เทฺว ปญฺจวิญฺญาณานิปิ ตทภินีหตมโนวิญฺญาณวเสน นิพฺพานนินฺนาเนวฯ พุทฺธานญฺหิ สงฺขารานํ สุฎฺฐุ ปริญฺญาตตาย ปณีตานมฺปิ รูปาทีนํ อาปาถคมเน ปเคว อิตเรสํ ปฎิกูลตาว สุปากฎา หุตฺวา อุปฎฺฐาติ, ตสฺมา ฆมฺมาภิตตฺตสฺส วิย สีตชลฎฺฐานนินฺนตา นิพฺพานนินฺนเมว จิตฺตํ โหติ, ตสฺส อติวิย สนฺตปณีตภาวโตฯ

    Telapākaṃ gaṇhanto viyāti yathā telapāko nāma paricchinnakālo na atikkamitabbo, evaṃ attano samāpattikālaṃ anatikkamitvā. Yathā hi kusalo vejjo telaṃ pacanto taṃ taṃ telakiccaṃ cintetvā yadi vā patthinnapāko, yadi vā majjhimapāko, yadi vā kharapāko icchitabbo, tassa kālaṃ upadhāretvā pacati, evaṃ bhagavā dhammaṃ desento veneyyānaṃ ñāṇaparipākaṃ upadhāretvā taṃ taṃ kālaṃ anatikkamitvā dhammaṃ desetvā parisaṃ uyyojento ca vivekaninneneva cittena uyyojeti. Dve pañcaviññāṇānipi tadabhinīhatamanoviññāṇavasena nibbānaninnāneva. Buddhānañhi saṅkhārānaṃ suṭṭhu pariññātatāya paṇītānampi rūpādīnaṃ āpāthagamane pageva itaresaṃ paṭikūlatāva supākaṭā hutvā upaṭṭhāti, tasmā ghammābhitattassa viya sītajalaṭṭhānaninnatā nibbānaninnameva cittaṃ hoti, tassa ativiya santapaṇītabhāvato.

    ๑๘๘. อชฺฌตฺตเมวาติ อิธ ฌานารมฺมณํ อธิเปฺปตนฺติ อาห ‘‘โคจรชฺฌตฺตเมวา’’ติฯ อิธ นิยกชฺฌตฺตํ สุญฺญตํฯ อปคุณปาทกชฺฌานญฺหิ เอตฺถ ‘‘นิยกชฺฌตฺต’’นฺติ อธิเปฺปตํ วิปสฺสนาวิเสสสฺส อธิเปฺปตตฺตา, นิยกชฺฌตฺตํ นิชฺชีวนิสฺสตฺตตํ, อนตฺตตนฺติ อโตฺถฯ อสมฺปชฺชนภาวชานเนนาติ อิทานิ เม กมฺมฎฺฐานํ วีถิปฎิปนฺนํ น โหติ, อุปฺปถเมว ปวตฺตตีติ ชานเนนฯ

    188.Ajjhattamevāti idha jhānārammaṇaṃ adhippetanti āha ‘‘gocarajjhattamevā’’ti. Idha niyakajjhattaṃ suññataṃ. Apaguṇapādakajjhānañhi ettha ‘‘niyakajjhatta’’nti adhippetaṃ vipassanāvisesassa adhippetattā, niyakajjhattaṃ nijjīvanissattataṃ, anattatanti attho. Asampajjanabhāvajānanenāti idāni me kammaṭṭhānaṃ vīthipaṭipannaṃ na hoti, uppathameva pavattatīti jānanena.

    กสฺมา ปเนตฺถ ภควตา วิปสฺสนาย เอว ปาทเก ฌาเน อวตฺวา ปาทกชฺฌานํ คหิตนฺติ อาห – ‘‘อปฺปคุณปาทกชฺฌานโต’’ติอาทิฯ น ปกฺขนฺทติ สมฺมา น สมาหิตตฺตาฯ โส ปน ‘‘อชฺฌตฺตธมฺมา มยฺหํ นิชฺชฎา นิคุมฺพา หุตฺวา น อุปฎฺฐหนฺติ, หนฺทาหํ พหิทฺธาธเมฺม มนสิ กเรยฺยํ เอกเจฺจสุ สงฺขาเรสุ อุปฎฺฐิเตสุ อิตเรปิ อุปฎฺฐเหยฺยุเมวา’’ติ ปรสฺส…เป.… มนสิ กโรติฯ ปาทกชฺฌานวเสน วิย สมฺมสิตชฺฌานวเสนปิ อุภโตภาควิมุโตฺต โหติเยวาติ อาห – ‘‘อรูปสมาปตฺติยํ นุ โข กถนฺติ อาเนญฺชํ มนสิ กโรตี’’ติฯ น เม จิตฺตํ ปกฺขนฺทตีติ มยฺหํ วิปสฺสนาจิตฺตํ วีถิปฎิปนฺนํ หุตฺวา น วหตีติฯ ปาทกชฺฌานเมวาติ วิปสฺสนาย ปาทกภูตเมว ฌานํฯ ปุนปฺปุนํ มนสิ กาตพฺพนฺติ ปุนปฺปุนํ สมาปชฺชิตพฺพํ วิปสฺสนาย ติกฺขวิสทตาปาทนายฯ อวหเนฺต นิปุณาภาเวน เฉทนกิริยาย อปฺปวตฺตเนฺตฯ สมาปชฺชิตฺวา วิปสฺสนาย ติกฺขกมฺมกรณํ สมถวิปสฺสนาวิหาเรนาติ อาห – ‘‘กมฺมฎฺฐาเน มนสิกาโร วหตี’’ติฯ

    Kasmā panettha bhagavatā vipassanāya eva pādake jhāne avatvā pādakajjhānaṃ gahitanti āha – ‘‘appaguṇapādakajjhānato’’tiādi. Na pakkhandati sammā na samāhitattā. So pana ‘‘ajjhattadhammā mayhaṃ nijjaṭā nigumbā hutvā na upaṭṭhahanti, handāhaṃ bahiddhādhamme manasi kareyyaṃ ekaccesu saṅkhāresu upaṭṭhitesu itarepi upaṭṭhaheyyumevā’’ti parassa…pe… manasi karoti. Pādakajjhānavasena viya sammasitajjhānavasenapi ubhatobhāgavimutto hotiyevāti āha – ‘‘arūpasamāpattiyaṃ nu kho kathanti āneñjaṃ manasi karotī’’ti. Na me cittaṃ pakkhandatīti mayhaṃ vipassanācittaṃ vīthipaṭipannaṃ hutvā na vahatīti. Pādakajjhānamevāti vipassanāya pādakabhūtameva jhānaṃ. Punappunaṃ manasi kātabbanti punappunaṃ samāpajjitabbaṃ vipassanāya tikkhavisadatāpādanāya. Avahante nipuṇābhāvena chedanakiriyāya appavattante. Samāpajjitvā vipassanāya tikkhakammakaraṇaṃ samathavipassanāvihārenāti āha – ‘‘kammaṭṭhāne manasikāro vahatī’’ti.

    ๑๘๙. สมฺปชฺชติ เมติ วีถิปฎิปตฺติยา ปุเพฺพนาปรํ วิเสสาภาวโต สมฺปชฺชติ เม กมฺมฎฺฐานนฺติ ชานเนนฯ อิริยาปถํ อหาเปตฺวาติ ยถา ปริสฺสโม นาคจฺฉติ, เอวํ อตฺตโน พลานุรูปํ ตสฺส กาลํ เนตฺวา ปมาณเมว ปวตฺตเนน อิริยาปถํ อโหเปตฺวาฯ สพฺพวาเรสูติ ฐานนิสชฺชาสยนวาเรสุฯ กถาวาเรสุ ปน วิเสสํ ตตฺถ ตตฺถ วทนฺติฯ อิทํ วุตฺตนฺติ อิทํ, ‘‘อิมินา วิหาเรนา’’ติอาทิวจนํ วุตฺตํฯ

    189.Sampajjati meti vīthipaṭipattiyā pubbenāparaṃ visesābhāvato sampajjati me kammaṭṭhānanti jānanena. Iriyāpathaṃ ahāpetvāti yathā parissamo nāgacchati, evaṃ attano balānurūpaṃ tassa kālaṃ netvā pamāṇameva pavattanena iriyāpathaṃ ahopetvā. Sabbavāresūti ṭhānanisajjāsayanavāresu. Kathāvāresu pana visesaṃ tattha tattha vadanti. Idaṃ vuttanti idaṃ, ‘‘iminā vihārenā’’tiādivacanaṃ vuttaṃ.

    ๑๙๐. กามวิตกฺกาทโย โอฬาริกกามราคพฺยาปาทสภาคาติ อาห – ‘‘วิตกฺกปหาเนน เทฺว มเคฺค กเถตฺวา’’ติฯ กามคุเณสูติ นิทฺธารเณ ภุมฺมํฯ กิสฺมิญฺจิเทว กิเลสุปฺปตฺติการเณติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส กิเลสุปฺปตฺติการณํ สนฺธาย วุตฺตํ, อญฺญถา สเพฺพปิ ปญฺจ กามคุณา กิเลสุปฺปตฺติการณเมวฯ สมุทาจรตีติ สมุทาจาโรติ อาห ‘‘สมุทาจรณโต’’ติฯ โส ปน ยสฺมา จิตฺตสฺส, น สตฺตสฺส, ตสฺมา วุตฺตํ ปาฬิยํ ‘‘เจตโส’’ติฯ ม-กาโร ปทสนฺธิกโร เอ-การสฺส จ อกาโร กโตติ อาห ‘‘เอวํ สเนฺต เอตนฺติฯ

    190. Kāmavitakkādayo oḷārikakāmarāgabyāpādasabhāgāti āha – ‘‘vitakkapahānena dve magge kathetvā’’ti. Kāmaguṇesūti niddhāraṇe bhummaṃ. Kismiñcideva kilesuppattikāraṇeti tassa puggalassa kilesuppattikāraṇaṃ sandhāya vuttaṃ, aññathā sabbepi pañca kāmaguṇā kilesuppattikāraṇameva. Samudācaratīti samudācāroti āha ‘‘samudācaraṇato’’ti. So pana yasmā cittassa, na sattassa, tasmā vuttaṃ pāḷiyaṃ ‘‘cetaso’’ti. Ma-kāro padasandhikaro e-kārassa ca akāro katoti āha ‘‘evaṃ sante etanti.

    ๑๙๑. อนุสโยติ มานานุสโย ภวราคานุสโย อวิชฺชานุสโยติ ติวิโธปิ อนุสโย ปหียติ อรหตฺตมเคฺคนฯ วุตฺตนเยเนวาติ, ‘‘ตโต มคฺคานนฺตรํ ผลํ, ผลโต วุฎฺฐาย ปจฺจเวกฺขมาโน ปหีนภาวํ ชานาติ, ตสฺส ชานเนน สมฺปชาโน โหตี’’ติ วุตฺตนเยนฯ

    191.Anusayoti mānānusayo bhavarāgānusayo avijjānusayoti tividhopi anusayo pahīyati arahattamaggena. Vuttanayenevāti, ‘‘tato maggānantaraṃ phalaṃ, phalato vuṭṭhāya paccavekkhamāno pahīnabhāvaṃ jānāti, tassa jānanena sampajāno hotī’’ti vuttanayena.

    กุสลโต อายาตีติ อายโต, โส เอเตสนฺติ กุสลายติกาฯ เตนาห ‘‘กุสลโต อาคตา’’ติฯ ตํ ปน เนสํ กุสลายติกตฺตํ อุปนิสฺสยวเสน โหติ สหชาตวเสนปีติ ตทุภยํ ทเสฺสตุํ, ‘‘เสยฺยถิท’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ

    Kusalato āyātīti āyato, so etesanti kusalāyatikā. Tenāha ‘‘kusalato āgatā’’ti. Taṃ pana nesaṃ kusalāyatikattaṃ upanissayavasena hoti sahajātavasenapīti tadubhayaṃ dassetuṃ, ‘‘seyyathida’’ntiādi vuttaṃ.

    ยสฺมา ปน ยถาวุตฺตธเมฺมสุ เกจิ โลกิยา, เกจิ โลกุตฺตรา; อถ กสฺมา วิเสเสน ‘‘โลกุตฺตรา’’ติ วุตฺตนฺติ อาห – ‘‘โลเก อุตฺตรา วิสิฎฺฐา’’ติฯ เตน โลกิยธเมฺมสุ อุตฺตมภาเวน ฌานาทโย โลกุตฺตรา วุตฺตา, น โลกสฺส อุตฺตรณโตติ ทเสฺสติฯ ยํ กิญฺจิ มหคฺคตจิตฺตํ มารสฺส อวิสโย อกามาวจรตฺตา, ปเคว ตํ วิปสฺสนาย ปาทกภูตํ สุวิกฺขาลิตมลนฺติ อาห – ‘‘ชานิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ เอโก อานิสํโส อตฺถิ ภาวนานุโยคสฺส สปฺปายธมฺมกถาปฎิลาโภฯ

    Yasmā pana yathāvuttadhammesu keci lokiyā, keci lokuttarā; atha kasmā visesena ‘‘lokuttarā’’ti vuttanti āha – ‘‘loke uttarā visiṭṭhā’’ti. Tena lokiyadhammesu uttamabhāvena jhānādayo lokuttarā vuttā, na lokassa uttaraṇatoti dasseti. Yaṃ kiñci mahaggatacittaṃ mārassa avisayo akāmāvacarattā, pageva taṃ vipassanāya pādakabhūtaṃ suvikkhālitamalanti āha – ‘‘jānituṃ na sakkotī’’ti. Eko ānisaṃso atthi bhāvanānuyogassa sappāyadhammakathāpaṭilābho.

    ๑๙๒. เอตทตฺถนฺติ เกวลสฺส สุตสฺส อตฺถายฯ สปฺปายาสปฺปายวเสนาติ กสฺมา วุตฺตํ? นนุ สปฺปายวเสน ทสกถาวตฺถูนิ อาคตานีติ? สจฺจเมตํ, อสปฺปายกถาวชฺชนปุพฺพิกาย สปฺปาย กถาย วเสน อาคตตฺตา ‘‘สปฺปายาสปฺปายวเสน อาคตานี’’ติ วุตฺตํฯ สุตปริยตฺติวเสนาติ สรูเปน ตตฺถ อนาคตานิปิ ทสกถาวตฺถูนิ สุตฺตเคยฺยาทิอโนฺตคธตฺตา, ‘‘สุตปริยตฺติวเสน อาคตานี’’ติ วุตฺตํฯ ปริปูรณวเสน สรูปโต อาคตตฺตา อิมสฺมิํ ฐาเน ฐตฺวา กเถตพฺพานิฯ อโตฺถติ สามญฺญโตฺถฯ

    192.Etadatthanti kevalassa sutassa atthāya. Sappāyāsappāyavasenāti kasmā vuttaṃ? Nanu sappāyavasena dasakathāvatthūni āgatānīti? Saccametaṃ, asappāyakathāvajjanapubbikāya sappāya kathāya vasena āgatattā ‘‘sappāyāsappāyavasena āgatānī’’ti vuttaṃ. Sutapariyattivasenāti sarūpena tattha anāgatānipi dasakathāvatthūni suttageyyādiantogadhattā, ‘‘sutapariyattivasena āgatānī’’ti vuttaṃ. Paripūraṇavasena sarūpato āgatattā imasmiṃ ṭhāne ṭhatvā kathetabbāni. Atthoti sāmaññattho.

    ๑๙๓. อนุอาวตฺตนฺตีติ อนุอนุ อภิมุขา หุตฺวา วตฺตนฺติ, ปยิรุปาสนาทิวเสน อนุกูลยนฺติฯ มุจฺฉนตณฺหนฺติ ปจฺจเยสุ มุจฺฉนาการํฯ ตณฺหาย ปตฺถนา นาม เตนากาเรน ปวตฺตีติ อาห – ‘‘ปเตฺถติ ปวเตฺตตี’’ติฯ กิเลสูปทฺทเวนาติ กิเลสสงฺขาเตน อุปทฺทเวนฯ กิเลสา หิ สตฺตานํ มหานตฺถกรณโต ‘‘อุปทฺทโว’’ติ วุจฺจนฺติฯ อตฺตโน อพฺภนฺตเร อุปฺปเนฺนน กิเลสูปทฺทเวน อเนฺตวาสิโน, อุปทฺทโว อเนฺตวาสูปทฺทโว, พฺรหฺมจริยสฺส อุปทฺทโว พฺรหฺมจารุปทฺทโวติ อิมมตฺถํ ‘‘เสสุปทฺทเวสุปิ เอเสว นโย’’ติ อิมินา อติทิสติฯ คุณมรณํ กถิตํ, น ชีวิตมรณํฯ

    193.Anuāvattantīti anuanu abhimukhā hutvā vattanti, payirupāsanādivasena anukūlayanti. Mucchanataṇhanti paccayesu mucchanākāraṃ. Taṇhāya patthanā nāma tenākārena pavattīti āha – ‘‘pattheti pavattetī’’ti. Kilesūpaddavenāti kilesasaṅkhātena upaddavena. Kilesā hi sattānaṃ mahānatthakaraṇato ‘‘upaddavo’’ti vuccanti. Attano abbhantare uppannena kilesūpaddavena antevāsino, upaddavo antevāsūpaddavo, brahmacariyassa upaddavo brahmacārupaddavoti imamatthaṃ ‘‘sesupaddavesupi eseva nayo’’ti iminā atidisati. Guṇamaraṇaṃ kathitaṃ, na jīvitamaraṇaṃ.

    อปฺปลาภาติ อปฺปมตฺตกลาภี วิเสสานํฯ เอวํ วุโตฺตติ ยถาวุตฺตพฺรหฺมจารุปทฺทโว ทุกฺขวิปากตโร เจว กฎุกวิปากตโร จาติ เอวํ วุโตฺตฯ อาจริยเนฺตวาสิกูปทฺทโว หิ พาหิรกสมยวเสน วุโตฺต, พฺรหฺมจารุปทฺทโว ปน สาสนวเสนฯ ทุรกฺขาเต หิ ธมฺมวินเย ทุปฺปฎิปตฺติ น มหาสาวชฺชา มิจฺฉาภินิเวสสฺส สิถิลวายามภาวโต; สฺวาขฺยาเต ปน ธมฺมวินเย ทุปฺปฎิปตฺติ มหาสาวชฺชา มหโต อตฺถสฺส พาหิรภาวกรณโตฯ เตนาห ‘‘สาสเน ปนา’’ติอาทิฯ

    Appalābhāti appamattakalābhī visesānaṃ. Evaṃ vuttoti yathāvuttabrahmacārupaddavo dukkhavipākataro ceva kaṭukavipākataro cāti evaṃ vutto. Ācariyantevāsikūpaddavo hi bāhirakasamayavasena vutto, brahmacārupaddavo pana sāsanavasena. Durakkhāte hi dhammavinaye duppaṭipatti na mahāsāvajjā micchābhinivesassa sithilavāyāmabhāvato; svākhyāte pana dhammavinaye duppaṭipatti mahāsāvajjā mahato atthassa bāhirabhāvakaraṇato. Tenāha ‘‘sāsane panā’’tiādi.

    ๑๙๖. ตสฺมาติ อิทํ ปุพฺพปราเปกฺขํ ปุริมสฺส จ อตฺถสฺส การณภาเวน ปจฺจามสนนฺติ อาห ‘‘ยสฺมา’’ติอาทิฯ มิตฺตํ เอตสฺส อตฺถีติ มิตฺตวา, ตสฺส ภาโว มิตฺตวตา, ตายฯ มิตฺตวเสน ปฎิปชฺชนนฺติ อาห ‘‘มิตฺตปฎิปตฺติยา’’ติฯ สปตฺตวตายาติ เอตฺถาปิ เอเสว นโยฯ

    196.Tasmāti idaṃ pubbaparāpekkhaṃ purimassa ca atthassa kāraṇabhāvena paccāmasananti āha ‘‘yasmā’’tiādi. Mittaṃ etassa atthīti mittavā, tassa bhāvo mittavatā, tāya. Mittavasena paṭipajjananti āha ‘‘mittapaṭipattiyā’’ti. Sapattavatāyāti etthāpi eseva nayo.

    ทุกฺกฎทุพฺภาสิตมตฺตมฺปีติ อิมินา ปเคว อิตรํ วีติกฺกมโนฺตติ ทเสฺสติฯ สาวเกสุ หิตปรกฺกมนํ โอวาทานุสาสนีหิ ปฎิปชฺชนนฺติ อาห – ‘‘ตถา น ปฎิปชฺชิสฺสามี’’ติฯ อามกมตฺตนฺติ กุลาลภาชนํ วุจฺจติฯ นาหํ ตุเมฺหสุ ตถา ปฎิปชฺชิสฺสามีติ กุมฺภกาโร วิย อามกภาชเนสุ อหํ ตุเมฺหสุ เกวลํ ชานาเปโนฺต น ปฎิปชฺชิสฺสามิฯ นิคฺคณฺหิตฺวาติ นีหริตฺวาฯ โลกิยคุณาปิ อิธ สาโรเตฺวว อธิเปฺปตา โลกุตฺตรคุณานํ อธิฎฺฐานภาวโตฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    Dukkaṭadubbhāsitamattampīti iminā pageva itaraṃ vītikkamantoti dasseti. Sāvakesu hitaparakkamanaṃ ovādānusāsanīhi paṭipajjananti āha – ‘‘tathā na paṭipajjissāmī’’ti. Āmakamattanti kulālabhājanaṃ vuccati. Nāhaṃ tumhesu tathā paṭipajjissāmīti kumbhakāro viya āmakabhājanesu ahaṃ tumhesu kevalaṃ jānāpento na paṭipajjissāmi. Niggaṇhitvāti nīharitvā. Lokiyaguṇāpi idha sārotveva adhippetā lokuttaraguṇānaṃ adhiṭṭhānabhāvato. Sesaṃ suviññeyyameva.

    มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ

    Mahāsuññatasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตํ • 2. Mahāsuññatasuttaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๒. มหาสุญฺญตสุตฺตวณฺณนา • 2. Mahāsuññatasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact