Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
๖. มหาสุปินสุตฺตวณฺณนา
6. Mahāsupinasuttavaṇṇanā
๑๙๖. ฉเฎฺฐ มหาสุปินาติ มหเนฺตหิ ปุริเสหิ ปสฺสิตพฺพโต มหนฺตานญฺจ อตฺถานํ นิมิตฺตภาวโต มหาสุปินาฯ ปาตุรเหสุนฺติ ปากฎา อเหสุํฯ ตตฺถ สุปินํ ปสฺสโนฺต จตูหิ การเณหิ ปสฺสติ ธาตุโกฺขภโต วา อนุภูตปุพฺพโต วา เทวโตปสํหารโต วา ปุพฺพนิมิตฺตโต วาติฯ
196. Chaṭṭhe mahāsupināti mahantehi purisehi passitabbato mahantānañca atthānaṃ nimittabhāvato mahāsupinā. Pāturahesunti pākaṭā ahesuṃ. Tattha supinaṃ passanto catūhi kāraṇehi passati dhātukkhobhato vā anubhūtapubbato vā devatopasaṃhārato vā pubbanimittato vāti.
ตตฺถ ปิตฺตาทีนํ โขภกรณปจฺจยปฺปโยเคน ขุภิตธาตุโก ธาตุโกฺขภโต สุปินํ ปสฺสติฯ ปสฺสโนฺต จ นานาวิธํ สุปินํ ปสฺสติ ปพฺพตา ปตโนฺต วิย, อากาเสน คจฺฉโนฺต วิย, วาฬมิคหตฺถิโจราทีหิ อนุพโทฺธ วิย จฯ อนุภูตปุพฺพโต ปสฺสโนฺต ปุเพฺพ อนุภูตปุพฺพํ อารมฺมณํ ปสฺสติฯ เทวโตปสํหารโต ปสฺสนฺตสฺส เทวตา อตฺถกามตาย วา อนตฺถกามตาย วา อตฺถาย วา อนตฺถาย วา นานาวิธานิ อารมฺมณานิ อุปสํหรนฺติฯ โส ตาสํ เทวตานํ อานุภาเวน ตานิ อารมฺมณานิ ปสฺสติฯ ปุพฺพนิมิตฺตโต ปสฺสโนฺต ปุญฺญาปุญฺญวเสน อุปฺปชฺชิตุกามสฺส อตฺถสฺส วา อนตฺถสฺส วา ปุพฺพนิมิตฺตภูตํ สุปินํ ปสฺสติ โพธิสตฺตมาตา วิย ปุตฺตปฎิลาภนิมิตฺตํ, โกสลราชา วิย โสฬส สุปิเน, อยเมว ภควา โพธิสตฺตภูโต อิเม ปญฺจ มหาสุปิเน วิย จาติฯ
Tattha pittādīnaṃ khobhakaraṇapaccayappayogena khubhitadhātuko dhātukkhobhato supinaṃ passati. Passanto ca nānāvidhaṃ supinaṃ passati pabbatā patanto viya, ākāsena gacchanto viya, vāḷamigahatthicorādīhi anubaddho viya ca. Anubhūtapubbato passanto pubbe anubhūtapubbaṃ ārammaṇaṃ passati. Devatopasaṃhārato passantassa devatā atthakāmatāya vā anatthakāmatāya vā atthāya vā anatthāya vā nānāvidhāni ārammaṇāni upasaṃharanti. So tāsaṃ devatānaṃ ānubhāvena tāni ārammaṇāni passati. Pubbanimittato passanto puññāpuññavasena uppajjitukāmassa atthassa vā anatthassa vā pubbanimittabhūtaṃ supinaṃ passati bodhisattamātā viya puttapaṭilābhanimittaṃ, kosalarājā viya soḷasa supine, ayameva bhagavā bodhisattabhūto ime pañca mahāsupine viya cāti.
ตตฺถ ยํ ธาตุโกฺขภโต อนุภูตปุพฺพโต จ สุปิเน ปสฺสติ, น ตํ สจฺจํ โหติฯ ยํ เทวโตปสํหารโต ปสฺสติ, ตํ สจฺจํ วา โหติ อลิกํ วาฯ กุทฺธา หิ เทวตา อุปาเยน วินาเสตุกามา วิปรีตมฺปิ กตฺวา ทเสฺสนฺติฯ ยํ ปน ปุพฺพนิมิตฺตโต ปสฺสติ, ตํ เอกนฺตํ สจฺจเมว โหติฯ เอเตสํ จตุนฺนํ มูลการณานํ สํสคฺคเภทโตปิ สุปินเภโท โหติเยวฯ
Tattha yaṃ dhātukkhobhato anubhūtapubbato ca supine passati, na taṃ saccaṃ hoti. Yaṃ devatopasaṃhārato passati, taṃ saccaṃ vā hoti alikaṃ vā. Kuddhā hi devatā upāyena vināsetukāmā viparītampi katvā dassenti. Yaṃ pana pubbanimittato passati, taṃ ekantaṃ saccameva hoti. Etesaṃ catunnaṃ mūlakāraṇānaṃ saṃsaggabhedatopi supinabhedo hotiyeva.
ตํ ปเนตํ จตุพฺพิธมฺปิ สุปินํ เสขปุถุชฺชนาว ปสฺสนฺติ อปฺปหีนวิปลฺลาสตฺตา, อเสขา น ปสฺสนฺติ ปหีนวิปลฺลาสตฺตาฯ กิํ ปเนตํ ปสฺสโนฺต สุโตฺต ปสฺสติ ปฎิพุโทฺธ, อุทาหุ เนว สุโตฺต น ปฎิพุโทฺธติ? กิเญฺจตฺถ ยทิ ตาว สุโตฺต ปสฺสติ, อภิธมฺมวิโรโธ อาปชฺชติฯ ภวงฺคจิเตฺตน หิ สุปติ, ตํ รูปนิมิตฺตาทิอารมฺมณํ ราคาทิสมฺปยุตฺตํ วา น โหติฯ สุปินํ ปสฺสนฺตสฺส จ อีทิสานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อถ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, วินยวิโรโธ อาปชฺชติฯ ยญฺหิ ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, ตํ สโพฺพหาริกจิเตฺตน ปสฺสติฯ สโพฺพหาริกจิเตฺตน จ กเต วีติกฺกเม อนาปตฺติ นาม นตฺถิฯ สุปินํ ปสฺสเนฺตน ปน กเตปิ วีติกฺกเม เอกนฺตํ อนาปตฺติ เอวฯ อถ เนว สุโตฺต น ปฎิพุโทฺธ ปสฺสติ, น นาม ปสฺสติฯ เอวญฺจ สติ สุปินสฺส อภาโว จ อาปชฺชติ? น อภาโวฯ กสฺมา? ยสฺมา กปิมิทฺธปเรโต ปสฺสติฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘กปิมิทฺธปเรโต โข, มหาราช, สุปินํ ปสฺสตี’’ติฯ
Taṃ panetaṃ catubbidhampi supinaṃ sekhaputhujjanāva passanti appahīnavipallāsattā, asekhā na passanti pahīnavipallāsattā. Kiṃ panetaṃ passanto sutto passati paṭibuddho, udāhu neva sutto na paṭibuddhoti? Kiñcettha yadi tāva sutto passati, abhidhammavirodho āpajjati. Bhavaṅgacittena hi supati, taṃ rūpanimittādiārammaṇaṃ rāgādisampayuttaṃ vā na hoti. Supinaṃ passantassa ca īdisāni cittāni uppajjanti. Atha paṭibuddho passati, vinayavirodho āpajjati. Yañhi paṭibuddho passati, taṃ sabbohārikacittena passati. Sabbohārikacittena ca kate vītikkame anāpatti nāma natthi. Supinaṃ passantena pana katepi vītikkame ekantaṃ anāpatti eva. Atha neva sutto na paṭibuddho passati, na nāma passati. Evañca sati supinassa abhāvo ca āpajjati? Na abhāvo. Kasmā? Yasmā kapimiddhapareto passati. Vuttañhetaṃ – ‘‘kapimiddhapareto kho, mahārāja, supinaṃ passatī’’ti.
กปิมิทฺธปเรโตติ มกฺกฎนิทฺทาย ยุโตฺตฯ ยถา หิ มกฺกฎสฺส นิทฺทา ลหุปริวตฺตา โหติ, เอวํ ยา นิทฺทา ปุนปฺปุนํ กุสลาทิจิตฺตโวกิณฺณตฺตา ลหุปริวตฺตา, ยสฺสา ปวตฺติยํ ปุนปฺปุนํ ภวงฺคโต อุตฺตรณํ โหติ, ตาย ยุโตฺต สุปินํ ปสฺสติฯ เตนายํ สุปิโน กุสโลปิ โหติ อกุสโลปิ อพฺยากโตปิฯ ตตฺถ สุปินเนฺต เจติยวนฺทนธมฺมสฺสวนธมฺมเทสนาทีนิ กโรนฺตสฺส กุสโล, ปาณาติปาตาทีนิ กโรนฺตสฺส อกุสโล, ทฺวีหิ อเนฺตหิ มุโตฺต อาวชฺชนตทารมฺมณกฺขเณ อพฺยากโตติ เวทิตโพฺพฯ สฺวายํ ทุพฺพลวตฺถุกตฺตา เจตนาย ปฎิสนฺธิํ อากฑฺฒิตุํ อสมโตฺถฯ ปวเตฺต ปน อเญฺญหิ กุสลากุสเลหิ อุปตฺถมฺภิโต วิปากํ เทติฯ กิญฺจาปิ วิปากํ เทติ, อถ โข อวิสเย อุปฺปนฺนตฺตา อโพฺพหาริกาว สุปินนฺตเจตนาฯ โส ปเนส สุปิโน กาลวเสนปิ ทิวา ตาว ทิโฎฺฐ น สเมติ, ตถา ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเม ปจฺฉิมยาเม จฯ พลวปจฺจูเส ปน อสิตปีตขายิเต สมฺมา ปริณามํ คเต กายสฺมิํ โอชาย ปติฎฺฐิตาย อรุเณ อุคฺคจฺฉมาเนว ทิโฎฺฐ สุปิโน สเมติฯ อิฎฺฐนิมิตฺตํ สุปินํ ปสฺสโนฺต อิฎฺฐํ ปฎิลภติ, อนิฎฺฐนิมิตฺตํ ปสฺสโนฺต อนิฎฺฐํฯ
Kapimiddhaparetoti makkaṭaniddāya yutto. Yathā hi makkaṭassa niddā lahuparivattā hoti, evaṃ yā niddā punappunaṃ kusalādicittavokiṇṇattā lahuparivattā, yassā pavattiyaṃ punappunaṃ bhavaṅgato uttaraṇaṃ hoti, tāya yutto supinaṃ passati. Tenāyaṃ supino kusalopi hoti akusalopi abyākatopi. Tattha supinante cetiyavandanadhammassavanadhammadesanādīni karontassa kusalo, pāṇātipātādīni karontassa akusalo, dvīhi antehi mutto āvajjanatadārammaṇakkhaṇe abyākatoti veditabbo. Svāyaṃ dubbalavatthukattā cetanāya paṭisandhiṃ ākaḍḍhituṃ asamattho. Pavatte pana aññehi kusalākusalehi upatthambhito vipākaṃ deti. Kiñcāpi vipākaṃ deti, atha kho avisaye uppannattā abbohārikāva supinantacetanā. So panesa supino kālavasenapi divā tāva diṭṭho na sameti, tathā paṭhamayāme majjhimayāme pacchimayāme ca. Balavapaccūse pana asitapītakhāyite sammā pariṇāmaṃ gate kāyasmiṃ ojāya patiṭṭhitāya aruṇe uggacchamāneva diṭṭho supino sameti. Iṭṭhanimittaṃ supinaṃ passanto iṭṭhaṃ paṭilabhati, aniṭṭhanimittaṃ passanto aniṭṭhaṃ.
อิเม ปน ปญฺจ มหาสุปิเน เนว โลกิยมหาชโน ปสฺสติ, น มหาราชาโน, น จกฺกวตฺติราชาโน, น อคฺคสาวกา, น ปเจฺจกพุทฺธา, น สมฺมาสมฺพุทฺธา, เอโก สพฺพญฺญุโพธิสโตฺตเยว ปสฺสติฯ อมฺหากํ ปน โพธิสโตฺต กทา อิเม สุปิเน ปสฺสีติ? ‘‘เสฺว พุโทฺธ ภวิสฺสามี’’ติ จาตุทฺทสิยํ ปกฺขสฺส รตฺติวิภายนกาเล ปสฺสิฯ เตรสิยนฺติปิ วทนฺติเยวฯ โส อิเม สุปิเน ทิสฺวา อุฎฺฐาย ปลฺลงฺกํ อาภุญฺชิตฺวา นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ มยา กปิลวตฺถุนคเร อิเม สุปินา ทิฎฺฐา อสฺสุ, ปิตุ มหาราชสฺส กเถยฺยํฯ สเจ ปน เม มาตา ชีเวยฺย, ตสฺสา กเถยฺยํฯ อิมสฺมิํ โข ปน ฐาเน อิเมสํ ปฎิคฺคาหโก นาม นตฺถิ, อหเมว ปฎิคณฺหิสฺสามี’’ติฯ ตโต ‘‘อิทํ อิมสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํ อิทํ อิมสฺสา’’ติ สยเมว สุปิเน ปฎิคฺคณฺหิตฺวา อุรุเวลคาเม สุชาตาย ทินฺนํ ปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห โพธิํ ปตฺวา อนุกฺกเมน เชตวเน วิหรโนฺต อตฺตโน มกุลพุทฺธกาเล ทิเฎฺฐ ปญฺจ มหาสุปิเน วิตฺถาเรตุํ ภิกฺขู อามเนฺตตฺวา อิมํ เทสนํ อารภิฯ
Ime pana pañca mahāsupine neva lokiyamahājano passati, na mahārājāno, na cakkavattirājāno, na aggasāvakā, na paccekabuddhā, na sammāsambuddhā, eko sabbaññubodhisattoyeva passati. Amhākaṃ pana bodhisatto kadā ime supine passīti? ‘‘Sve buddho bhavissāmī’’ti cātuddasiyaṃ pakkhassa rattivibhāyanakāle passi. Terasiyantipi vadantiyeva. So ime supine disvā uṭṭhāya pallaṅkaṃ ābhuñjitvā nisinno cintesi – ‘‘sace mayā kapilavatthunagare ime supinā diṭṭhā assu, pitu mahārājassa katheyyaṃ. Sace pana me mātā jīveyya, tassā katheyyaṃ. Imasmiṃ kho pana ṭhāne imesaṃ paṭiggāhako nāma natthi, ahameva paṭigaṇhissāmī’’ti. Tato ‘‘idaṃ imassa pubbanimittaṃ idaṃ imassā’’ti sayameva supine paṭiggaṇhitvā uruvelagāme sujātāya dinnaṃ pāyāsaṃ paribhuñjitvā bodhimaṇḍaṃ āruyha bodhiṃ patvā anukkamena jetavane viharanto attano makulabuddhakāle diṭṭhe pañca mahāsupine vitthāretuṃ bhikkhū āmantetvā imaṃ desanaṃ ārabhi.
ตตฺถ มหาปถวีติ จกฺกวาฬคพฺภํ ปูเรตฺวา ฐิตา มหาปถวีฯ มหาสยนํ อโหสีติ สิริสยนํ อโหสิฯ โอหิโตติ ฐปิโตฯ โส ปน น อุทกสฺมิํเยว ฐปิโต อโหสิ, อถ โข ปาจีนสมุทฺทสฺส อุปรูปริภาเคน คนฺตฺวา ปาจีนจกฺกวาฬมตฺถเก ฐปิโต อโหสีติ เวทิตโพฺพฯ ปจฺฉิเม สมุเทฺท ทกฺขิเณ สมุเทฺทติ เอเตสุปิ เอเสว นโยฯ ติริยา นาม ติณชาตีติ ทพฺพติณํ วุจฺจติฯ นาภิยา อุคฺคนฺตฺวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสีติ นงฺคลมเตฺตน รตฺตทเณฺฑน นาภิโต อุคฺคนฺตฺวา ปสฺสนฺตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว วิทตฺถิมตฺตํ รตนมตฺตํ พฺยามมตฺตํ ยฎฺฐิมตฺตํ คาวุตมตฺตํ อฑฺฒโยชนมตฺตํ โยชนมตฺตนฺติ เอวํ อุคฺคนฺตฺวา อุคฺคนฺตฺวา อเนกโยชนสหสฺสํ นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิฯ ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวาติ อคฺคนขโต ปฎฺฐาย ปาเทหิ อภิรุหิตฺวาฯ นานาวณฺณาติ เอโก นีลวโณฺณ, เอโก ปีตวโณฺณ, เอโก โลหิตวโณฺณ, เอโก ปณฺฑุปลาสวโณฺณติ เอวํ นานาวณฺณาฯ เสตาติ ปณฺฑรา ปริสุทฺธาฯ มหโต มีฬฺหปพฺพตสฺสาติ ติโยชนุเพฺพธสฺส คูถปพฺพตสฺสฯ อุปรูปริ จงฺกมตีติ มตฺถกมตฺถเก จงฺกมติ ฯ ทีฆายุกพุทฺธา ปน ติโยชนิเก มีฬฺหปพฺพเต อนุปวิสิตฺวา นิสินฺนา วิย โหนฺติฯ
Tattha mahāpathavīti cakkavāḷagabbhaṃ pūretvā ṭhitā mahāpathavī. Mahāsayanaṃ ahosīti sirisayanaṃ ahosi. Ohitoti ṭhapito. So pana na udakasmiṃyeva ṭhapito ahosi, atha kho pācīnasamuddassa uparūparibhāgena gantvā pācīnacakkavāḷamatthake ṭhapito ahosīti veditabbo. Pacchime samudde dakkhiṇe samuddeti etesupi eseva nayo. Tiriyā nāma tiṇajātīti dabbatiṇaṃ vuccati. Nābhiyā uggantvā nabhaṃ āhacca ṭhitā ahosīti naṅgalamattena rattadaṇḍena nābhito uggantvā passantassa passantasseva vidatthimattaṃ ratanamattaṃ byāmamattaṃ yaṭṭhimattaṃ gāvutamattaṃ aḍḍhayojanamattaṃ yojanamattanti evaṃ uggantvā uggantvā anekayojanasahassaṃ nabhaṃ āhacca ṭhitā ahosi. Pādehi ussakkitvāti agganakhato paṭṭhāya pādehi abhiruhitvā. Nānāvaṇṇāti eko nīlavaṇṇo, eko pītavaṇṇo, eko lohitavaṇṇo, eko paṇḍupalāsavaṇṇoti evaṃ nānāvaṇṇā. Setāti paṇḍarā parisuddhā. Mahato mīḷhapabbatassāti tiyojanubbedhassa gūthapabbatassa. Uparūparicaṅkamatīti matthakamatthake caṅkamati . Dīghāyukabuddhā pana tiyojanike mīḷhapabbate anupavisitvā nisinnā viya honti.
เอวํ เอตฺตเกน ฐาเนน ปุพฺพนิมิตฺตานิ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สห ปุพฺพนิมิเตฺตหิ ปฎิลาภํ ทเสฺสตุํ ยมฺปิ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ สพฺพคุณทายกตฺตา พุทฺธานํ อรหตฺตมโคฺค อนุตฺตรา สมฺมาสโมฺพธิ นามฯ ตสฺมา ยํ โส จกฺกวาฬมหาปถวิํ สิริสยนภูตํ อทฺทส, ตํ พุทฺธภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ หิมวนฺตปพฺพตราชานํ พิโมฺพหนํ อทฺทส, ตํ สพฺพญฺญุตญฺญาณพิโมฺพหนสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ จตฺตาโร หตฺถปาเท จกฺกวาฬมตฺถเก ฐิเต อทฺทส, ตํ ธมฺมจกฺกสฺส อปฺปฎิวตฺติยภาเว ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ อตฺตานํ อุตฺตานกํ นิปนฺนํ อทฺทส, ตํ ตีสุ ภเวสุ อวกุชฺชานํ สตฺตานํ อุตฺตานมุขภาวสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา ปสฺสโนฺต วิย อโหสิ, ตํ ทิพฺพจกฺขุปฎิลาภสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ ยํ ยาว ภวคฺคา เอกาโลกํ อโหสิ, ตํ อนาวรณญาณสฺส ปุพฺพนิมิตฺตํฯ เสสํ ปาฬิวเสเนว เวทิตพฺพนฺติฯ
Evaṃ ettakena ṭhānena pubbanimittāni dassetvā idāni saha pubbanimittehi paṭilābhaṃ dassetuṃ yampi, bhikkhavetiādimāha. Tattha sabbaguṇadāyakattā buddhānaṃ arahattamaggo anuttarā sammāsambodhi nāma. Tasmā yaṃ so cakkavāḷamahāpathaviṃ sirisayanabhūtaṃ addasa, taṃ buddhabhāvassa pubbanimittaṃ. Yaṃ himavantapabbatarājānaṃ bimbohanaṃ addasa, taṃ sabbaññutaññāṇabimbohanassa pubbanimittaṃ. Yaṃ cattāro hatthapāde cakkavāḷamatthake ṭhite addasa, taṃ dhammacakkassa appaṭivattiyabhāve pubbanimittaṃ. Yaṃ attānaṃ uttānakaṃ nipannaṃ addasa, taṃ tīsu bhavesu avakujjānaṃ sattānaṃ uttānamukhabhāvassa pubbanimittaṃ. Yaṃ akkhīni ummīletvā passanto viya ahosi, taṃ dibbacakkhupaṭilābhassa pubbanimittaṃ. Yaṃ yāva bhavaggā ekālokaṃ ahosi, taṃ anāvaraṇañāṇassa pubbanimittaṃ. Sesaṃ pāḷivaseneva veditabbanti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๖. มหาสุปินสุตฺตํ • 6. Mahāsupinasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๖. มหาสุปินสุตฺตวณฺณนา • 6. Mahāsupinasuttavaṇṇanā