Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๑๒. มหาสุตโสมจริยาวณฺณนา
12. Mahāsutasomacariyāvaṇṇanā
๑๐๕. ทฺวาทสเม สุตโสโม มหีปตีติ เอวํนาโม ขตฺติโยฯ มหาสโตฺต หิ ตทา กุรุรเฎฺฐ อินฺทปตฺถนคเร โกรพฺยสฺส รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ตํ สุตวิตฺตตาย จนฺทสมานโสมฺมวรวณฺณตาย จ ‘‘สุตโสโม’’ติ สญฺชานิํสุฯ ตํ วยปฺปตฺตํ สพฺพสิปฺปนิปฺผตฺติปฺปตฺตํ มาตาปิตโร รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ คหิโต โปริสาเทนาติ ปุริสานํ มนุสฺสานํ อทนโต ขาทนโต ‘‘โปริสาโท’’ติ ลทฺธนาเมน พาราณสิรญฺญา เทวตาพลิกมฺมตฺถํ คหิโตฯ
105. Dvādasame sutasomo mahīpatīti evaṃnāmo khattiyo. Mahāsatto hi tadā kururaṭṭhe indapatthanagare korabyassa rañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatti. Taṃ sutavittatāya candasamānasommavaravaṇṇatāya ca ‘‘sutasomo’’ti sañjāniṃsu. Taṃ vayappattaṃ sabbasippanipphattippattaṃ mātāpitaro rajje abhisiñciṃsu. Gahito porisādenāti purisānaṃ manussānaṃ adanato khādanato ‘‘porisādo’’ti laddhanāmena bārāṇasiraññā devatābalikammatthaṃ gahito.
พาราณสิราชา หิ ตทา มํสํ วินา อภุญฺชโนฺต อญฺญํ มํสํ อลภเนฺตน ภตฺตการเกน มนุสฺสมํสํ ขาทาปิโต รสตณฺหาย พโทฺธ หุตฺวา มนุเสฺส ฆาเตตฺวา มนุสฺสมํสํ ขาทโนฺต ‘‘โปริสาโท’’ติ ลทฺธนาโม อมจฺจปาริสชฺชปฺปมุเขหิ นาคเรหิ เนคมชานปเทหิ จ อุสฺสาหิเตน กาฬหตฺถินา นาม อตฺตโน เสนาปตินา ‘‘เทว, ยทิ รเชฺชน อตฺถิโก มนุสฺสมํสขาทนโต วิรมาหี’’ติ วุโตฺต ‘‘รชฺชํ ปชหโนฺตปิ มนุสฺสมํสขาทนโต น โอรมิสฺสามี’’ติ วตฺวา เตหิ รฎฺฐา ปพฺพาชิโต อรญฺญํ ปวิสิตฺวา เอกสฺมิํ นิโคฺรธรุกฺขมูเล วสโนฺต ขาณุปฺปหาเรน ปาเท ชาตสฺส วณสฺส ผาสุภาวาย ‘‘สกลชมฺพุทีเป เอกสตขตฺติยานํ คลโลหิเตน พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ เทวตาย อายาจนํ กตฺวา สตฺตาหํ อนาหารตาย วเณ ผาสุเก ชาเต ‘‘เทวตานุภาเวน เม โสตฺถิ อโหสี’’ติ สญฺญาย ‘‘เทวตาย พลิกมฺมตฺถํ ราชาโน อาเนสฺสามี’’ติ คจฺฉโนฺต อตีตภเว สหายภูเตน ยเกฺขน สมาคนฺตฺวา เตน ทินฺนมนฺตพเลน อธิกตรถามชวปรกฺกมสสมฺปโนฺน หุตฺวา สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว สตราชาโน อาเนตฺวา อตฺตโน วสนนิโคฺรธรุเกฺข โอลเมฺพตฺวา พลิกมฺมกรณสโชฺช อโหสิฯ
Bārāṇasirājā hi tadā maṃsaṃ vinā abhuñjanto aññaṃ maṃsaṃ alabhantena bhattakārakena manussamaṃsaṃ khādāpito rasataṇhāya baddho hutvā manusse ghātetvā manussamaṃsaṃ khādanto ‘‘porisādo’’ti laddhanāmo amaccapārisajjappamukhehi nāgarehi negamajānapadehi ca ussāhitena kāḷahatthinā nāma attano senāpatinā ‘‘deva, yadi rajjena atthiko manussamaṃsakhādanato viramāhī’’ti vutto ‘‘rajjaṃ pajahantopi manussamaṃsakhādanato na oramissāmī’’ti vatvā tehi raṭṭhā pabbājito araññaṃ pavisitvā ekasmiṃ nigrodharukkhamūle vasanto khāṇuppahārena pāde jātassa vaṇassa phāsubhāvāya ‘‘sakalajambudīpe ekasatakhattiyānaṃ galalohitena balikammaṃ karissāmī’’ti devatāya āyācanaṃ katvā sattāhaṃ anāhāratāya vaṇe phāsuke jāte ‘‘devatānubhāvena me sotthi ahosī’’ti saññāya ‘‘devatāya balikammatthaṃ rājāno ānessāmī’’ti gacchanto atītabhave sahāyabhūtena yakkhena samāgantvā tena dinnamantabalena adhikatarathāmajavaparakkamasasampanno hutvā sattāhabbhantareyeva satarājāno ānetvā attano vasananigrodharukkhe olambetvā balikammakaraṇasajjo ahosi.
อถ ตสฺมิํ รุเกฺข อธิวตฺถา เทวตา ตํ พลิกมฺมํ อนิจฺฉนฺตี ‘‘อุปาเยน นํ นิเสเธสฺสามี’’ติ ปพฺพชิตรูเปน ตสฺส อตฺตานํ ทเสฺสตฺวา เตน อนุพโทฺธ ติโยชนํ คนฺตฺวา ปุน อตฺตโน ทิพฺพรูปเมว ทเสฺสตฺวา ‘‘ตฺวํ มุสาวาที ตยา ‘สกลชมฺพุทีเป ราชาโน อาเนตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามี’ติ ปฎิสฺสุตํฯ อิทานิ เย วา เต วา ทุพฺพลราชาโน อาเนสิฯ ชมฺพุทีเป เชฎฺฐกํ สุตโสมราชานํ สเจ นาเนสฺสสิ, น เม เต พลิกเมฺมน อโตฺถ’’ติ อาหฯ
Atha tasmiṃ rukkhe adhivatthā devatā taṃ balikammaṃ anicchantī ‘‘upāyena naṃ nisedhessāmī’’ti pabbajitarūpena tassa attānaṃ dassetvā tena anubaddho tiyojanaṃ gantvā puna attano dibbarūpameva dassetvā ‘‘tvaṃ musāvādī tayā ‘sakalajambudīpe rājāno ānetvā balikammaṃ karissāmī’ti paṭissutaṃ. Idāni ye vā te vā dubbalarājāno ānesi. Jambudīpe jeṭṭhakaṃ sutasomarājānaṃ sace nānessasi, na me te balikammena attho’’ti āha.
โส ‘‘ทิฎฺฐา เม อตฺตโน เทวตา’’ติ ตุสิตฺวา ‘‘สามิ, มา จินฺตยิ, อหํ อเชฺชว สุตโสมํ อาเนสฺสามี’’ติ วตฺวา เวเคน มิคาชินอุยฺยานํ คนฺตฺวา อสํวิหิตาย อารกฺขาย โปกฺขรณิํ โอตริตฺวา ปทุมินิปเตฺตน สีสํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺมิํ อโนฺตอุยฺยานคเตเยว พลวปจฺจูเส สมนฺตา ติโยชนํ อารกฺขํ คณฺหิํสุฯ มหาสโตฺต ปาโตว อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวรคโต จตุรงฺคินิยา เสนาย นครโต นิกฺขมิฯ ตทา ตกฺกสิลโต นโนฺท นาม พฺราหฺมโณ จตโสฺส สตารหคาถาโย คเหตฺวา วีสโยชนสตํ มคฺคํ อติกฺกมฺม ตํ นครํ ปโตฺต ราชานํ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขมนฺตํ ทิสฺวา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา ‘‘ชยตุ ภวํ, มหาราชา’’ติ วตฺวา ชยาเปสิฯ
So ‘‘diṭṭhā me attano devatā’’ti tusitvā ‘‘sāmi, mā cintayi, ahaṃ ajjeva sutasomaṃ ānessāmī’’ti vatvā vegena migājinauyyānaṃ gantvā asaṃvihitāya ārakkhāya pokkharaṇiṃ otaritvā paduminipattena sīsaṃ paṭicchādetvā aṭṭhāsi. Tasmiṃ antouyyānagateyeva balavapaccūse samantā tiyojanaṃ ārakkhaṃ gaṇhiṃsu. Mahāsatto pātova alaṅkatahatthikkhandhavaragato caturaṅginiyā senāya nagarato nikkhami. Tadā takkasilato nando nāma brāhmaṇo catasso satārahagāthāyo gahetvā vīsayojanasataṃ maggaṃ atikkamma taṃ nagaraṃ patto rājānaṃ pācīnadvārena nikkhamantaṃ disvā hatthaṃ ukkhipitvā ‘‘jayatu bhavaṃ, mahārājā’’ti vatvā jayāpesi.
ราชา หตฺถินา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กุโต นุ, ตฺวํ พฺราหฺมณ, อาคจฺฉสิ, กิมิจฺฉสิ, กิํ เต ทชฺช’’นฺติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ‘‘ตุเมฺห ‘สุตวิตฺตกา’ติ สุตฺวา จตโสฺส สตารหคาถาโย อาทาย ตุมฺหากํ เทเสตุํ อาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ มหาสโตฺต ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา ‘‘อหํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา นฺหายิตฺวา อาคนฺตฺวา โสสฺสามิ, ตฺวํ มา อุกฺกณฺฐี’’ติ วตฺวา ‘‘คจฺฉถ พฺราหฺมณสฺส อสุกเคเห นิวาสํ ฆาสจฺฉาทนญฺจ สํวิทหถา’’ติ อาณาเปตฺวา อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มหนฺตํ อารกฺขํ สํวิธาย โอฬาริกานิ อาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา มสฺสุกมฺมํ กาเรตฺวา อุพฺพฎฺฎิตสรีโร โปกฺขรณิยา ราชวิภเวน นฺหายิตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อุทกคฺคหณสาฎเก นิวาเสตฺวา อฎฺฐาสิฯ
Rājā hatthinā taṃ upasaṅkamitvā ‘‘kuto nu, tvaṃ brāhmaṇa, āgacchasi, kimicchasi, kiṃ te dajja’’nti āha. Brāhmaṇo ‘‘tumhe ‘sutavittakā’ti sutvā catasso satārahagāthāyo ādāya tumhākaṃ desetuṃ āgatomhī’’ti āha. Mahāsatto tuṭṭhamānaso hutvā ‘‘ahaṃ uyyānaṃ gantvā nhāyitvā āgantvā sossāmi, tvaṃ mā ukkaṇṭhī’’ti vatvā ‘‘gacchatha brāhmaṇassa asukagehe nivāsaṃ ghāsacchādanañca saṃvidahathā’’ti āṇāpetvā uyyānaṃ pavisitvā mahantaṃ ārakkhaṃ saṃvidhāya oḷārikāni ābharaṇāni omuñcitvā massukammaṃ kāretvā ubbaṭṭitasarīro pokkharaṇiyā rājavibhavena nhāyitvā paccuttaritvā udakaggahaṇasāṭake nivāsetvā aṭṭhāsi.
อถสฺส คนฺธมาลาลงฺกาเร อุปหริํสุฯ โปริสาโท ‘‘อลงฺกตกาเล ราชา ภาริโก ภวิสฺสติ, สลฺลหุกกาเลเยว นํ คณฺหิสฺสามี’’ติ นทโนฺต ขคฺคํ ปริวเตฺตโนฺต ‘‘อหมสฺมิ โปริสาโท’’ติ นามํ สาเวตฺวา อุทกา นิกฺขมิฯ ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา หตฺถาโรหาทโย หตฺถิอาทิโต ภสฺสิํสุฯ พลกาโย ทูเร ฐิโต ตโตว ปลายิฯ อิตโร อตฺตโน อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา อุเรน นิปชฺชิฯ โปริสาโท ราชานํ อุกฺขิปิตฺวา ขเนฺธ นิสีทาเปตฺวา สมฺมุขฎฺฐาเนเยว อฎฺฐารสหตฺถํ ปาการํ ลงฺฆิตฺวา ปุรโต ปคลิตมทมตฺตวรวารเณ กุเมฺภ อกฺกมิตฺวา ปพฺพตกูฎานิ วิย ปาเตโนฺต วาตชวานิปิ อสฺสรตนานิ ปิฎฺฐิยํ อกฺกมิตฺวา ปาเตโนฺต รถสีเส อกฺกมิตฺวา ปาเตโนฺต ภมริกํ ภมโนฺต วิย นีลกานิ นิโคฺรธปตฺตานิ มทฺทโนฺต วิย เอกเวเคเนว ติโยชนมคฺคํ คนฺตฺวา กญฺจิ อนุพนฺธนฺตํ อทิสฺวา สณิกํ คจฺฉโนฺต สุตโสมสฺส เกเสหิ อุทกพินฺทูนิ อตฺตโน อุปริ ปตนฺตานิ ‘‘อสฺสุพินฺทูนี’’ติ สญฺญาย ‘‘กิมิทํ สุตโสโมปิ มรณํ อนุโสจโนฺต โรทตี’’ติ อาหฯ
Athassa gandhamālālaṅkāre upahariṃsu. Porisādo ‘‘alaṅkatakāle rājā bhāriko bhavissati, sallahukakāleyeva naṃ gaṇhissāmī’’ti nadanto khaggaṃ parivattento ‘‘ahamasmi porisādo’’ti nāmaṃ sāvetvā udakā nikkhami. Tassa saddaṃ sutvā hatthārohādayo hatthiādito bhassiṃsu. Balakāyo dūre ṭhito tatova palāyi. Itaro attano āvudhāni chaḍḍetvā urena nipajji. Porisādo rājānaṃ ukkhipitvā khandhe nisīdāpetvā sammukhaṭṭhāneyeva aṭṭhārasahatthaṃ pākāraṃ laṅghitvā purato pagalitamadamattavaravāraṇe kumbhe akkamitvā pabbatakūṭāni viya pātento vātajavānipi assaratanāni piṭṭhiyaṃ akkamitvā pātento rathasīse akkamitvā pātento bhamarikaṃ bhamanto viya nīlakāni nigrodhapattāni maddanto viya ekavegeneva tiyojanamaggaṃ gantvā kañci anubandhantaṃ adisvā saṇikaṃ gacchanto sutasomassa kesehi udakabindūni attano upari patantāni ‘‘assubindūnī’’ti saññāya ‘‘kimidaṃ sutasomopi maraṇaṃ anusocanto rodatī’’ti āha.
มหาสโตฺต ‘‘นาหํ มรณโต อนุโสจามิ, กุโต โรทนา, อปิ จ โข สงฺครํ กตฺวา สจฺจาปนํ นาม ปณฺฑิตานํ อาจิณฺณํ, ตํ น นิปฺผชฺชตี’’ติ อนุโสจามิฯ กสฺสปทสพเลน เทสิตา จตโสฺส สตารหคาถาโย อาทาย ตกฺกสิลโต อาคตสฺส พฺราหฺมณสฺส อาคนฺตุกวตฺตํ กาเรตฺวา ‘‘นฺหายิตฺวา อาคนฺตฺวา สุณิสฺสามิ, ยาว มมาคมนา อาคเมหี’’ติ สงฺครํ กตฺวา อุยฺยานํ คโต, ตฺวญฺจ ตา คาถาโย โสตุํ อทตฺวา มํ คณฺหีติฯ เตน วุตฺตํ –
Mahāsatto ‘‘nāhaṃ maraṇato anusocāmi, kuto rodanā, api ca kho saṅgaraṃ katvā saccāpanaṃ nāma paṇḍitānaṃ āciṇṇaṃ, taṃ na nipphajjatī’’ti anusocāmi. Kassapadasabalena desitā catasso satārahagāthāyo ādāya takkasilato āgatassa brāhmaṇassa āgantukavattaṃ kāretvā ‘‘nhāyitvā āgantvā suṇissāmi, yāva mamāgamanā āgamehī’’ti saṅgaraṃ katvā uyyānaṃ gato, tvañca tā gāthāyo sotuṃ adatvā maṃ gaṇhīti. Tena vuttaṃ –
‘‘คหิโต โปริสาเทน, พฺราหฺมเณ สงฺครํ สริ’’นฺติฯ
‘‘Gahito porisādena, brāhmaṇe saṅgaraṃ sari’’nti.
ตตฺถ พฺราหฺมเณ สงฺครํ สรินฺติ นนฺทพฺราหฺมเณ อตฺตนา กตํ ปฎิญฺญํ อนุสฺสริํฯ
Tattha brāhmaṇe saṅgaraṃ sarinti nandabrāhmaṇe attanā kataṃ paṭiññaṃ anussariṃ.
๑๐๖. อาวุณิตฺวา กรตฺตเลติ ตตฺถ ตตฺถ อุยฺยานาทีสุ คนฺตฺวา อตฺตโน พเลน อานีตานํ เอกสตขตฺติยานํ หตฺถตเล ฉิทฺทํ กตฺวา รุเกฺข ลมฺพนตฺถํ รชฺชุํ ปฎิมุญฺจิตฺวาฯ เอเตสํ ปมิลาเปตฺวาติ เอเต เอกสตขตฺติเย ชีวคฺคาหํ คเหตฺวา อุทฺธํปาเท อโธสิเร กตฺวา ปณฺหิยา สีสํ ปหรโนฺต ภมณวเสน หตฺถตเล อาวุณิตฺวา รุเกฺข อาลมฺพนวเสน สพฺพโส อาหารูปเจฺฉเทน จ สพฺพถา ปมิลาเปตฺวา วิโสเสตฺวา เขทาเปตฺวาติ อโตฺถฯ ยญฺญเตฺถติ พลิกมฺมเตฺถ สาเธตเพฺพฯ อุปนยี มมนฺติ มํ อุปเนสิฯ
106.Āvuṇitvākarattaleti tattha tattha uyyānādīsu gantvā attano balena ānītānaṃ ekasatakhattiyānaṃ hatthatale chiddaṃ katvā rukkhe lambanatthaṃ rajjuṃ paṭimuñcitvā. Etesaṃ pamilāpetvāti ete ekasatakhattiye jīvaggāhaṃ gahetvā uddhaṃpāde adhosire katvā paṇhiyā sīsaṃ paharanto bhamaṇavasena hatthatale āvuṇitvā rukkhe ālambanavasena sabbaso āhārūpacchedena ca sabbathā pamilāpetvā visosetvā khedāpetvāti attho. Yaññattheti balikammatthe sādhetabbe. Upanayī mamanti maṃ upanesi.
๑๐๗. ตถา อุปนียมาโน ปน มหาสโตฺต โปริสาเทน ‘‘กิํ ตฺวํ มรณโต ภายสี’’ติ วุเตฺต ‘‘นาหํ มรณโต ภายามิ, ตสฺส ปน พฺราหฺมณสฺส มยา กโต สงฺคโร น ปริโมจิโต’’ติ อนุโสจามิฯ ‘‘สเจ มํ วิสฺสเชฺชสฺสสิ, ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตสฺส จ สกฺการสมฺมานํ กตฺวา ปุน อาคมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘นาหมิทํ สทฺทหามิ, ยํ ตฺวํ มยา วิสฺสชฺชิโต คนฺตฺวา ปุน มม หตฺถํ อาคมิสฺสาสี’’ติฯ ‘‘สมฺม โปริสาท, มยา สทฺธิํ เอกาจริยกุเล สิกฺขิโต สหาโย หุตฺวา ‘อหํ ชีวิตเหตุปิ น มุสา กเถมี’ติ กิํ น สทฺทหสี’’ติ? กิญฺจาปิ เม เอเตน วาจามตฺตเกน –
107. Tathā upanīyamāno pana mahāsatto porisādena ‘‘kiṃ tvaṃ maraṇato bhāyasī’’ti vutte ‘‘nāhaṃ maraṇato bhāyāmi, tassa pana brāhmaṇassa mayā kato saṅgaro na parimocito’’ti anusocāmi. ‘‘Sace maṃ vissajjessasi, taṃ dhammaṃ sutvā tassa ca sakkārasammānaṃ katvā puna āgamissāmī’’ti. ‘‘Nāhamidaṃ saddahāmi, yaṃ tvaṃ mayā vissajjito gantvā puna mama hatthaṃ āgamissāsī’’ti. ‘‘Samma porisāda, mayā saddhiṃ ekācariyakule sikkhito sahāyo hutvā ‘ahaṃ jīvitahetupi na musā kathemī’ti kiṃ na saddahasī’’ti? Kiñcāpi me etena vācāmattakena –
‘‘อสิญฺจ สตฺติญฺจ ปรามสามิ, สปถมฺปิ เต สมฺม อหํ กโรมิ;
‘‘Asiñca sattiñca parāmasāmi, sapathampi te samma ahaṃ karomi;
ตยา ปมุโตฺต อนโณ ภวิตฺวา, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๐๗) –
Tayā pamutto anaṇo bhavitvā, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti. (jā. 2.21.407) –
มหาสเตฺตน อิมาย คาถาย วุตฺตาย โปริสาโท ‘‘อยํ สุตโสโม ‘ขตฺติเยหิ อกตฺตพฺพํ สปถํ กโรมี’ติ วทติ, คนฺตฺวา อนาคจฺฉโนฺตปิ มม หตฺถโต น มุจฺจิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา –
Mahāsattena imāya gāthāya vuttāya porisādo ‘‘ayaṃ sutasomo ‘khattiyehi akattabbaṃ sapathaṃ karomī’ti vadati, gantvā anāgacchantopi mama hatthato na muccissatī’’ti cintetvā –
‘‘โย เต กโต สงฺคโร พฺราหฺมเณน, รเฎฺฐ สเก อิสฺสริเย ฐิเตน;
‘‘Yo te kato saṅgaro brāhmaṇena, raṭṭhe sake issariye ṭhitena;
ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณ สปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชสฺสู’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๐๘) –
Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇa sappadāya, saccānurakkhī punarāvajassū’’ti. (jā. 2.21.408) –
วิสฺสเชฺชสิฯ
Vissajjesi.
มหาสโตฺต ราหุมุขา มุโตฺต จโนฺท วิย นาคพโล ถามสมฺปโนฺน ขิปฺปเมว ตํ นครํ สมฺปาปุณิฯ เสนาปิสฺส ‘‘สุตโสมราชา ปณฺฑิโต, โปริสาทํ ทเมตฺวา สีหมุขา ปมุตฺตมตฺตวรวารโณ วิย อาคมิสฺสตี’’ติ จ ‘‘ราชานํ โปริสาทสฺส ทตฺวา อาคตา’’ติ ครหภเยน จ พหินคเรเยว นิวิฎฺฐา ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กจฺจิตฺถ, มหาราช, โปริสาเทน น กิลมิโต’’ติ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘โปริสาเทน มยฺหํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรํ กตํ, ตถารูโป นาม จโณฺฑ สาหสิโก มมํ สทฺทหิตฺวา มํ วิสฺสเชฺชสี’’ติ วุเตฺต ราชานํ อลงฺกริตฺวา หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา ปริวาเรตฺวา นครํ ปาวิสิฯ ตํ ทิสฺวา สเพฺพ นาครา ตุสิํสุฯ
Mahāsatto rāhumukhā mutto cando viya nāgabalo thāmasampanno khippameva taṃ nagaraṃ sampāpuṇi. Senāpissa ‘‘sutasomarājā paṇḍito, porisādaṃ dametvā sīhamukhā pamuttamattavaravāraṇo viya āgamissatī’’ti ca ‘‘rājānaṃ porisādassa datvā āgatā’’ti garahabhayena ca bahinagareyeva niviṭṭhā taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā paccuggantvā vanditvā ‘‘kaccittha, mahārāja, porisādena na kilamito’’ti paṭisanthāraṃ katvā ‘‘porisādena mayhaṃ mātāpitūhipi dukkaraṃ kataṃ, tathārūpo nāma caṇḍo sāhasiko mamaṃ saddahitvā maṃ vissajjesī’’ti vutte rājānaṃ alaṅkaritvā hatthikkhandhaṃ āropetvā parivāretvā nagaraṃ pāvisi. Taṃ disvā sabbe nāgarā tusiṃsu.
โสปิ ธมฺมโสณฺฑตาย มาตาปิตโรปิ อนุปสงฺกมิตฺวา นิเวสนํ คนฺตฺวา พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตสฺส มหนฺตํ สกฺการสมฺมานํ กตฺวา ธมฺมครุตาย สยํ นีจาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ มยฺหํ อาภตา สตารหคาถา สุโณมิ อาจริยา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ มหาสเตฺตน ยาจิตกาเล คเนฺธหิ หเตฺถ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ปสิพฺพกโต มโนรมํ โปตฺถกํ นีหริตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา ‘‘เตน หิ , มหาราช, สุโณหี’’ติ โปตฺถกํ วาเจโนฺต คาถา อภาสิ –
Sopi dhammasoṇḍatāya mātāpitaropi anupasaṅkamitvā nivesanaṃ gantvā brāhmaṇaṃ pakkosāpetvā tassa mahantaṃ sakkārasammānaṃ katvā dhammagarutāya sayaṃ nīcāsane nisīditvā ‘‘tumhehi mayhaṃ ābhatā satārahagāthā suṇomi ācariyā’’ti āha. Brāhmaṇo mahāsattena yācitakāle gandhehi hatthe ubbaṭṭetvā pasibbakato manoramaṃ potthakaṃ nīharitvā ubhohi hatthehi gahetvā ‘‘tena hi , mahārāja, suṇohī’’ti potthakaṃ vācento gāthā abhāsi –
‘‘สกิเทว สุตโสม, สพฺภิ โหติ สมาคโม;
‘‘Sakideva sutasoma, sabbhi hoti samāgamo;
สา นํ สงฺคติ ปาเลติ, นาสพฺภิ พหุสงฺคโมฯ
Sā naṃ saṅgati pāleti, nāsabbhi bahusaṅgamo.
‘‘สพฺภิเรว สมาเสถ, สพฺภิ กุเพฺพถ สนฺถวํ;
‘‘Sabbhireva samāsetha, sabbhi kubbetha santhavaṃ;
สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย, เสโยฺย โหติ น ปาปิโยฯ
Sataṃ saddhammamaññāya, seyyo hoti na pāpiyo.
‘‘ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา, อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ;
‘‘Jīranti ve rājarathā sucittā, atho sarīrampi jaraṃ upeti;
สตญฺจ ธโมฺม น ชรํ อุเปติ, สโนฺต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติฯ
Satañca dhammo na jaraṃ upeti, santo have sabbhi pavedayanti.
‘‘นภญฺจ ทูเร ปถวี จ ทูเร, ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร;
‘‘Nabhañca dūre pathavī ca dūre, pāraṃ samuddassa tadāhu dūre;
ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ, สตญฺจ ธโมฺม อสตญฺจ ราชา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๑๑-๔๑๔, ๔๔๕-๔๔๘);
Tato have dūrataraṃ vadanti, satañca dhammo asatañca rājā’’ti. (jā. 2.21.411-414, 445-448);
ตา สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สผลํ เม อาคมน’’นฺติ ตุฎฺฐจิโตฺต ‘‘อิมา คาถา เนว สาวกภาสิตา, น อิสิภาสิตา, น กวิภาสิตา, น เทวภาสิตา, สพฺพญฺญุนาว ภาสิตาฯ กิํ นุ โข อคฺฆ’’นฺติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อิมํ สกลมฺปิ จกฺกวาฬํ ยาว พฺรหฺมโลกา สตฺตรตนปุณฺณํ กตฺวา ทิเนฺนปิ เนว อนุจฺฉวิกํ กตํ นาม โหติ, อหํ โข ปนสฺส ติโยชนสติเก กุรุรเฎฺฐ สตฺตโยชนิเก อินฺทปตฺถนคเร รชฺชํ ทาตุํ ปโหมิฯ รชฺชํ กาตุํ ปนสฺส ภาคฺยํ นตฺถิ, ตถา หิสฺส องฺคลกฺขณานุสาเรน อปฺปานุภาวตา ทิสฺสติ, ตสฺมา ทินฺนมฺปิ รชฺชํ น อิมสฺมิํ ติฎฺฐตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อาจริย, ตุเมฺห อเญฺญสํ ขตฺติยานํ อิมา คาถาโย เทเสตฺวา กิํ ลภถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เอเกกาย สตํ สตํ, มหาราช, เตเนว สตารหคาถา นาม ชาตา’’ติฯ อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘ตฺวํ อาจริย, อตฺตนา คเหตฺวา วิจรณภณฺฑสฺส อคฺฆํ น ชานาสี’’ติฯ
Tā sutvā mahāsatto ‘‘saphalaṃ me āgamana’’nti tuṭṭhacitto ‘‘imā gāthā neva sāvakabhāsitā, na isibhāsitā, na kavibhāsitā, na devabhāsitā, sabbaññunāva bhāsitā. Kiṃ nu kho aggha’’nti cintento ‘‘imaṃ sakalampi cakkavāḷaṃ yāva brahmalokā sattaratanapuṇṇaṃ katvā dinnepi neva anucchavikaṃ kataṃ nāma hoti, ahaṃ kho panassa tiyojanasatike kururaṭṭhe sattayojanike indapatthanagare rajjaṃ dātuṃ pahomi. Rajjaṃ kātuṃ panassa bhāgyaṃ natthi, tathā hissa aṅgalakkhaṇānusārena appānubhāvatā dissati, tasmā dinnampi rajjaṃ na imasmiṃ tiṭṭhatī’’ti cintetvā ‘‘ācariya, tumhe aññesaṃ khattiyānaṃ imā gāthāyo desetvā kiṃ labhathā’’ti pucchi. ‘‘Ekekāya sataṃ sataṃ, mahārāja, teneva satārahagāthā nāma jātā’’ti. Athassa mahāsatto ‘‘tvaṃ ācariya, attanā gahetvā vicaraṇabhaṇḍassa agghaṃ na jānāsī’’ti.
‘‘สหสฺสิยา อิมา คาถา, นยิมา คาถา สตารหา;
‘‘Sahassiyā imā gāthā, nayimā gāthā satārahā;
จตฺตาริ ตฺวํ สหสฺสานิ, ขิปฺปํ คณฺหาหิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๑๕);
Cattāri tvaṃ sahassāni, khippaṃ gaṇhāhi brāhmaṇā’’ti. (jā. 2.21.415);
จตฺตาริ สหสฺสานิ ทาเปตฺวา เอกญฺจ สุขยานกํ ทตฺวา มหตา สกฺการสมฺมาเนเนว ตํ อุโยฺยเชตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ‘‘อหํ พฺราหฺมเณน อาภตํ สทฺธมฺมรตนํ ปูเชตฺวา ตสฺส จ สกฺการสมฺมานํ กตฺวา อาคมิสฺสามีติ โปริสาทสฺส ปฎิญฺญํ ทตฺวา อาคโตฯ ตตฺถ ยํ พฺราหฺมณสฺส กตฺตพฺพํ ปฎิปชฺชิตพฺพํ ตํ กตํ, อิทานิ โปริสาทสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ วุตฺวา ‘‘เตน หิ, ตาต สุตโสม, กิํ นาเมตํ กเถสิ, จตุรงฺคินิยา เสนาย โจรํ คณฺหิสฺสาม, มา คจฺฉ โจรสฺส สนฺติก’’นฺติ ยาจิํสุฯ โสฬสสหสฺสา นาฎกิตฺถิโย เสสปริชนาปิ ‘‘อเมฺห อนาเถ กตฺวา กุหิํ คจฺฉสิ เทวา’’ติ ปริเทวิํสุฯ ‘‘ปุนปิ กิร ราชา โจรสฺส สนฺติกํ คมิสฺสตี’’ติ เอกโกลาหลํ อโหสิฯ
Cattāri sahassāni dāpetvā ekañca sukhayānakaṃ datvā mahatā sakkārasammāneneva taṃ uyyojetvā mātāpitaro vanditvā ‘‘ahaṃ brāhmaṇena ābhataṃ saddhammaratanaṃ pūjetvā tassa ca sakkārasammānaṃ katvā āgamissāmīti porisādassa paṭiññaṃ datvā āgato. Tattha yaṃ brāhmaṇassa kattabbaṃ paṭipajjitabbaṃ taṃ kataṃ, idāni porisādassa santikaṃ gamissāmī’’ti vutvā ‘‘tena hi, tāta sutasoma, kiṃ nāmetaṃ kathesi, caturaṅginiyā senāya coraṃ gaṇhissāma, mā gaccha corassa santika’’nti yāciṃsu. Soḷasasahassā nāṭakitthiyo sesaparijanāpi ‘‘amhe anāthe katvā kuhiṃ gacchasi devā’’ti parideviṃsu. ‘‘Punapi kira rājā corassa santikaṃ gamissatī’’ti ekakolāhalaṃ ahosi.
มหาสโตฺต ‘‘ปฎิญฺญาย สจฺจาปนํ นาม สาธูนํ สปฺปุริสานํ อาจิณฺณํ, โสปิ มมํ สทฺทหิตฺวา วิสฺสเชฺชสิ, ตสฺมา คมิสฺสามิเยวา’’ติ มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา เสสชนํ อนุสาเสตฺวา อสฺสุมุเขน นานปฺปการํ ปริเทวเนฺตน อิตฺถาคาราทินา ชเนน อนุคโต นครา นิกฺขมฺม ตํ ชนํ นิวเตฺตตุํ มเคฺค ทณฺฑเกน ติริยํ เลขํ กตฺวา ‘‘อิมํ มม เลขํ มา อติกฺกมิํสู’’ติ วตฺวา อคมาสิฯ มหาชโน เตชวโต มหาสตฺตสฺส อาณํ อติกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต มหาสเทฺทน กนฺทิตฺวา โรทิตฺวา นิวตฺติฯ โพธิสโตฺต อาคตมเคฺคเนว ตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปุจฺฉิ มํ โปริสาโท’’ติอาทิฯ
Mahāsatto ‘‘paṭiññāya saccāpanaṃ nāma sādhūnaṃ sappurisānaṃ āciṇṇaṃ, sopi mamaṃ saddahitvā vissajjesi, tasmā gamissāmiyevā’’ti mātāpitaro vanditvā sesajanaṃ anusāsetvā assumukhena nānappakāraṃ paridevantena itthāgārādinā janena anugato nagarā nikkhamma taṃ janaṃ nivattetuṃ magge daṇḍakena tiriyaṃ lekhaṃ katvā ‘‘imaṃ mama lekhaṃ mā atikkamiṃsū’’ti vatvā agamāsi. Mahājano tejavato mahāsattassa āṇaṃ atikkamituṃ asakkonto mahāsaddena kanditvā roditvā nivatti. Bodhisatto āgatamaggeneva tassa santikaṃ agamāsi. Tena vuttaṃ ‘‘apucchi maṃ porisādo’’tiādi.
ตตฺถ กิํ ตฺวํ อิจฺฉสิ นิสชฺชนฺติ ตฺวํ อตฺตโน นครํ คนฺตุํ มม หตฺถโต นิสฺสชฺชนํ กิํ อิจฺฉสิ, ตฺวํ ‘‘มยา ตกฺกสิลาทีสุ จิรปริจิโต สจฺจวาที จา’’ติ วทสิ, ตสฺมา ยถา มติ เต กาหามิ, ยถารุจิ เต กริสฺสามิฯ ยทิ เม ตฺวํ ปุเนหิสีติ สเจ ปุน ตฺวํ เอกํเสเนว มม สนฺติกํ อาคมิสฺสสิฯ
Tattha kiṃ tvaṃ icchasi nisajjanti tvaṃ attano nagaraṃ gantuṃ mama hatthato nissajjanaṃ kiṃ icchasi, tvaṃ ‘‘mayā takkasilādīsu ciraparicito saccavādī cā’’ti vadasi, tasmā yathā mati te kāhāmi, yathāruci te karissāmi. Yadi me tvaṃ punehisīti sace puna tvaṃ ekaṃseneva mama santikaṃ āgamissasi.
๑๐๘. ปเณฺห อาคมนํ มมาติ ปเคว มม อาคมนํ ตสฺส โปริสาทสฺส ปฎิสฺสุณิตฺวา ปาโตว อาคมิสฺสามีติ ปฎิสฺสวํ กตฺวาฯ รชฺชํ นิยฺยาตยิํ ตทาติ ตทา โปริสาทสฺส สนฺติกํ คนฺตุกาโม ‘‘อิทํ โว รชฺชํ ปฎิปชฺชถา’’ติ มาตาปิตูนํ ติโยชนสติกํ รชฺชํ นิยฺยาเตสิํฯ
108.Paṇhe āgamanaṃ mamāti pageva mama āgamanaṃ tassa porisādassa paṭissuṇitvā pātova āgamissāmīti paṭissavaṃ katvā. Rajjaṃ niyyātayiṃ tadāti tadā porisādassa santikaṃ gantukāmo ‘‘idaṃ vo rajjaṃ paṭipajjathā’’ti mātāpitūnaṃ tiyojanasatikaṃ rajjaṃ niyyātesiṃ.
๑๐๙. กสฺมา ปน รชฺชํ นิยฺยาตยินฺติ? อนุสฺสริตฺวา สตํ ธมฺมนฺติ ยสฺมา ปน ปฎิญฺญาย สจฺจาปนํ นาม สตํ สาธูนํ มหาโพธิสตฺตานํ ปเวณี กุลวํโส, ตสฺมา ตํ สจฺจปารมิตาธมฺมํ ปุพฺพกํ โปราณํ ชิเนหิ พุทฺธาทีหิ เสวิตํ อนุสฺสริตฺวา สจฺจํ อนุรกฺขโนฺต ตสฺส พฺราหฺมณสฺส ธนํ ทตฺวา อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา โปริสาทํ อุปาคมิํฯ
109. Kasmā pana rajjaṃ niyyātayinti? Anussaritvā sataṃ dhammanti yasmā pana paṭiññāya saccāpanaṃ nāma sataṃ sādhūnaṃ mahābodhisattānaṃ paveṇī kulavaṃso, tasmā taṃ saccapāramitādhammaṃ pubbakaṃ porāṇaṃ jinehi buddhādīhi sevitaṃ anussaritvā saccaṃ anurakkhanto tassa brāhmaṇassa dhanaṃ datvā attano jīvitaṃ pariccajitvā porisādaṃ upāgamiṃ.
๑๑๐. นตฺถิ เม สํสโย ตตฺถาติ ตสฺมิํ โปริสาทสฺส สนฺติกํ คมเน ‘‘อยํ มํ กิํ นุ โข ฆาเตสฺสติ, อุทาหุ โน’’ติ มยฺหํ สํสโย นตฺถิฯ ‘‘จโณฺฑ สาหสิโก มยา สทฺธิํ เอกสตขตฺติเย เทวตาย พลิกมฺมกรณสโชฺช เอกเนฺตเนว ฆาเตสฺสตี’’ติ ชานโนฺต เอว เกวลํ สจฺจวาจํ อนุรกฺขโนฺต อตฺตโน ชีวิตํ ปริจฺจชิตฺวา ตํ อุปาคมิํฯ ยสฺมา เจตเทวํ, ตสฺมา สเจฺจน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม ปรมตฺถภาวปฺปตฺตา สจฺจปารมีติฯ
110.Natthi me saṃsayo tatthāti tasmiṃ porisādassa santikaṃ gamane ‘‘ayaṃ maṃ kiṃ nu kho ghātessati, udāhu no’’ti mayhaṃ saṃsayo natthi. ‘‘Caṇḍo sāhasiko mayā saddhiṃ ekasatakhattiye devatāya balikammakaraṇasajjo ekanteneva ghātessatī’’ti jānanto eva kevalaṃ saccavācaṃ anurakkhanto attano jīvitaṃ pariccajitvā taṃ upāgamiṃ. Yasmā cetadevaṃ, tasmā saccena me samo natthi, esā me paramatthabhāvappattā saccapāramīti.
อุปาคเต ปน มหาสเตฺต วิกสิตปุณฺฑรีกปทุมสสฺสิริกมสฺส มุขํ ทิสฺวา ‘‘อยํ วิคตมรณภโย หุตฺวา อาคโต, กิสฺส นุ โข เอส อานุภาโว’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘ตสฺส มเญฺญ ธมฺมสฺส สุตตฺตา อยํ เอวํ เตชวา นิพฺภโย จ ชาโต, อหมฺปิ ตํ สุตฺวา เตชวา นิพฺภโย จ ภวิสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา โปริสาโท มหาสตฺตํ อาห – ‘‘สุโณม สตารหคาถาโย ยาสํ สวนตฺถํ ตฺวํ อตฺตโน นครํ คโต’’ติฯ
Upāgate pana mahāsatte vikasitapuṇḍarīkapadumasassirikamassa mukhaṃ disvā ‘‘ayaṃ vigatamaraṇabhayo hutvā āgato, kissa nu kho esa ānubhāvo’’ti cintento ‘‘tassa maññe dhammassa sutattā ayaṃ evaṃ tejavā nibbhayo ca jāto, ahampi taṃ sutvā tejavā nibbhayo ca bhavissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā porisādo mahāsattaṃ āha – ‘‘suṇoma satārahagāthāyo yāsaṃ savanatthaṃ tvaṃ attano nagaraṃ gato’’ti.
ตํ สุตฺวา โพธิสโตฺต ‘‘อยํ โปริสาโท ปาปธโมฺม, อิมํ โถกํ นิคฺคเหตฺวา ลชฺชาเปตฺวา กเถสฺสามี’’ติ –
Taṃ sutvā bodhisatto ‘‘ayaṃ porisādo pāpadhammo, imaṃ thokaṃ niggahetvā lajjāpetvā kathessāmī’’ti –
‘‘อธมฺมิกสฺส ลุทฺทสฺส, นิจฺจํ โลหิตปาณิโน;
‘‘Adhammikassa luddassa, niccaṃ lohitapāṇino;
นตฺถิ สจฺจํ กุโต ธโมฺม, กิํ สุเตน กริสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๒๗) –
Natthi saccaṃ kuto dhammo, kiṃ sutena karissasī’’ti. (jā. 2.21.427) –
วตฺวา ปุน เตน สุฎฺฐุตรํ สญฺชาตสวนาทเรน –
Vatvā puna tena suṭṭhutaraṃ sañjātasavanādarena –
‘‘สุตฺวา ธมฺมํ วิชานนฺติ, นรา กลฺยาณปาปกํ;
‘‘Sutvā dhammaṃ vijānanti, narā kalyāṇapāpakaṃ;
อปิ คาถา สุณิตฺวาน, ธเมฺม เม รมเต มโน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๔๔) –
Api gāthā suṇitvāna, dhamme me ramate mano’’ti. (jā. 2.21.444) –
วุเตฺต ‘‘อยํ อติวิย สญฺชาตาทโร โสตุกาโม, หนฺทสฺส กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เตน หิ สมฺม, สาธุกํ สุโณหิ มนสิกโรหี’’ติ วตฺวา นนฺทพฺราหฺมเณน กถิตนิยาเมเนว คาถานํ สกฺกจฺจํ ถุติํ กตฺวา ฉกามาวจรเทวโลเก เอกโกลาหลํ กตฺวา เทวตาสุ สาธุการํ ททมานาสุ มหาสโตฺต โปริสาทสฺส –
Vutte ‘‘ayaṃ ativiya sañjātādaro sotukāmo, handassa kathessāmī’’ti cintetvā ‘‘tena hi samma, sādhukaṃ suṇohi manasikarohī’’ti vatvā nandabrāhmaṇena kathitaniyāmeneva gāthānaṃ sakkaccaṃ thutiṃ katvā chakāmāvacaradevaloke ekakolāhalaṃ katvā devatāsu sādhukāraṃ dadamānāsu mahāsatto porisādassa –
‘‘สกิเทว มหาราช, สพฺภิ โหติ สมาคโม;
‘‘Sakideva mahārāja, sabbhi hoti samāgamo;
สา นํ สงฺคติ ปาเลติ, นาสพฺภิ พหุสงฺคโมฯ
Sā naṃ saṅgati pāleti, nāsabbhi bahusaṅgamo.
‘‘สพฺภิเรว สมาเสถ, สพฺภิ กุเพฺพถ สนฺถวํ;
‘‘Sabbhireva samāsetha, sabbhi kubbetha santhavaṃ;
สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย, เสโยฺย โหติ น ปาปิโยฯ
Sataṃ saddhammamaññāya, seyyo hoti na pāpiyo.
‘‘ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา, อโตฺถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ;
‘‘Jīranti ve rājarathā sucittā, attho sarīrampi jaraṃ upeti;
สตญฺจ ธโมฺม น ชรํ อุเปติ, สโนฺต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติฯ
Satañca dhammo na jaraṃ upeti, santo have sabbhi pavedayanti.
‘‘นภญฺจ ทูเร ปถวี จ ทูเร, ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร;
‘‘Nabhañca dūre pathavī ca dūre, pāraṃ samuddassa tadāhu dūre;
ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ, สตญฺจ ธโมฺม อสตญฺจ ราชา’’ติฯ (ชา. ๒.๒๑.๔๑๑-๔๑๔) –
Tato have dūrataraṃ vadanti, satañca dhammo asatañca rājā’’ti. (jā. 2.21.411-414) –
ธมฺมํ กเถสิฯ ตสฺส เตน สุกถิตตฺตา เจว อตฺตโน จ ปุญฺญานุภาเวน คาถา สุณนฺตเสฺสว สกลสรีรํ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา ปริปูริฯ โส โพธิสเตฺต มุทุจิโตฺต หุตฺวา ‘‘สมฺม สุตโสม, ทาตพฺพยุตฺตกํ หิรญฺญาทิํ น ปสฺสามิ, เอเกกาย คาถาย เอเกกํ วรํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘ตฺวํ อตฺตโนปิ หิตานิ อชานโนฺต ปรสฺส กิํ นาม วรํ ทสฺสสี’’ติ อปสาเทตฺวา ปุน เตน ‘‘วรํ คณฺหถา’’ติ ยาจิโต สพฺพปฐมํ ‘‘อหํ จิรกาลํ ตํ อโรคํ ปเสฺสยฺย’’นฺติ วรํ ยาจิฯ โส ‘‘อยํ อิทานิ เม วธิตฺวา มํสํ ขาทิตุกามสฺส มหานตฺถกรสฺส มยฺหเมว ชีวิตมิจฺฉตี’’ติ ตุฎฺฐมานโส วเญฺจตฺวา วรสฺส คหิตภาวํ อชานโนฺต อทาสิฯ มหาสโตฺต หิ อุปายกุสลตาย ตสฺส จิรํ ชีวิตุกามตาปเทเสน อตฺตโน ชีวิตํ ยาจิฯ อถ ‘‘ปโรสตํ ขตฺติยานํ ชีวิตํ เทหี’’ติ ทุติยํ วรํ, เตสํ สเก รเฎฺฐ ปฎิปาทนํ ตติยํ วรํ, มนุสฺสมํสขาทนโต วิรมณํ จตุตฺถํ วรํ ยาจิฯ โส ตีณิ วรานิ ทตฺวา จตุตฺถํ วรํ อทาตุกาโม ‘‘อญฺญํ วรํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวาปิ มหาสเตฺตน นิปฺปีฬิยมาโน ตมฺปิ อทาสิเยวฯ
Dhammaṃ kathesi. Tassa tena sukathitattā ceva attano ca puññānubhāvena gāthā suṇantasseva sakalasarīraṃ pañcavaṇṇāya pītiyā paripūri. So bodhisatte muducitto hutvā ‘‘samma sutasoma, dātabbayuttakaṃ hiraññādiṃ na passāmi, ekekāya gāthāya ekekaṃ varaṃ dassāmī’’ti āha. Atha naṃ mahāsatto ‘‘tvaṃ attanopi hitāni ajānanto parassa kiṃ nāma varaṃ dassasī’’ti apasādetvā puna tena ‘‘varaṃ gaṇhathā’’ti yācito sabbapaṭhamaṃ ‘‘ahaṃ cirakālaṃ taṃ arogaṃ passeyya’’nti varaṃ yāci. So ‘‘ayaṃ idāni me vadhitvā maṃsaṃ khāditukāmassa mahānatthakarassa mayhameva jīvitamicchatī’’ti tuṭṭhamānaso vañcetvā varassa gahitabhāvaṃ ajānanto adāsi. Mahāsatto hi upāyakusalatāya tassa ciraṃ jīvitukāmatāpadesena attano jīvitaṃ yāci. Atha ‘‘parosataṃ khattiyānaṃ jīvitaṃ dehī’’ti dutiyaṃ varaṃ, tesaṃ sake raṭṭhe paṭipādanaṃ tatiyaṃ varaṃ, manussamaṃsakhādanato viramaṇaṃ catutthaṃ varaṃ yāci. So tīṇi varāni datvā catutthaṃ varaṃ adātukāmo ‘‘aññaṃ varaṃ gaṇhāhī’’ti vatvāpi mahāsattena nippīḷiyamāno tampi adāsiyeva.
อถ โพธิสโตฺต โปริสาทํ นิพฺพิเสวนํ กตฺวา เตเนว ราชาโน โมจาเปตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชาเปตฺวา ทารกานํ กณฺณโต สุตฺตวฎฺฎิ วิย สณิกํ รชฺชุโย นีหริตฺวา โปริสาเทน เอกํ ตจํ อาหราเปตฺวา ปาสาเณน ฆํสิตฺวา สจฺจกิริยํ กตฺวา เตสํ หตฺถตลานิ มเกฺขสิฯ ตงฺขณํ เอว ผาสุกํ อโหสิฯ ทฺวีหตีหํ ตเตฺถว วสิตฺวา เต อโรเค กาเรตฺวา เตหิ สทฺธิํ อภิชฺชนกสภาวํ มิตฺตสนฺถวํ กาเรตฺวา เตหิ สทฺธิํ ตํ พาราณสิํ เนตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ เต ราชาโน อตฺตโน อตฺตโน นครํ เปเสตฺวา อินฺทปตฺถนครโต อาคตาย อตฺตโน จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวุโต อตฺตโน นครํ คโต ตุฎฺฐปมุทิเตน นาครชเนน สมฺปริวาริยมาโน อเนฺตปุรํ ปวิสิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา มหาตลํ อภิรุหิฯ
Atha bodhisatto porisādaṃ nibbisevanaṃ katvā teneva rājāno mocāpetvā bhūmiyaṃ nipajjāpetvā dārakānaṃ kaṇṇato suttavaṭṭi viya saṇikaṃ rajjuyo nīharitvā porisādena ekaṃ tacaṃ āharāpetvā pāsāṇena ghaṃsitvā saccakiriyaṃ katvā tesaṃ hatthatalāni makkhesi. Taṅkhaṇaṃ eva phāsukaṃ ahosi. Dvīhatīhaṃ tattheva vasitvā te aroge kāretvā tehi saddhiṃ abhijjanakasabhāvaṃ mittasanthavaṃ kāretvā tehi saddhiṃ taṃ bārāṇasiṃ netvā rajje patiṭṭhāpetvā ‘‘appamattā hothā’’ti te rājāno attano attano nagaraṃ pesetvā indapatthanagarato āgatāya attano caturaṅginiyā senāya parivuto attano nagaraṃ gato tuṭṭhapamuditena nāgarajanena samparivāriyamāno antepuraṃ pavisitvā mātāpitaro vanditvā mahātalaṃ abhiruhi.
อถ มหาสโตฺต ฉ ทานสาลาโย กาเรตฺวา เทวสิกํ มหาทานานิ ปวเตฺตโนฺต สีลานิ ปริปูเรโนฺต อุโปสถํ อุปวสโนฺต ปารมิโย อนุพฺรูเหสิฯ เตปิ ราชาโน มหาสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา อายุปริโยสาเน สคฺคปุรํ ปูรยิํสุฯ
Atha mahāsatto cha dānasālāyo kāretvā devasikaṃ mahādānāni pavattento sīlāni paripūrento uposathaṃ upavasanto pāramiyo anubrūhesi. Tepi rājāno mahāsattassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā āyupariyosāne saggapuraṃ pūrayiṃsu.
ตทา โปริสาโท องฺคุลิมาลเตฺถโร อโหสิ, กาฬหตฺถิอมโจฺจ สาริปุตฺตเตฺถโร, นนฺทพฺราหฺมโณ อานนฺทเตฺถโร, รุกฺขเทวตา มหากสฺสปเตฺถโร, ราชาโน พุทฺธปริสา, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, สุตโสมมหาราชา โลกนาโถฯ
Tadā porisādo aṅgulimālatthero ahosi, kāḷahatthiamacco sāriputtatthero, nandabrāhmaṇo ānandatthero, rukkhadevatā mahākassapatthero, rājāno buddhaparisā, mātāpitaro mahārājakulāni, sutasomamahārājā lokanātho.
ตสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เสสปารมิโยปิ นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา อลีนสตฺตุจริยาวณฺณนาย (จริยา อฎฺฐ. ๒.๗๔ อาทโย) วิย มหาสตฺตสฺส คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ
Tassa heṭṭhā vuttanayeneva sesapāramiyopi niddhāretabbā. Tathā alīnasattucariyāvaṇṇanāya (cariyā aṭṭha. 2.74 ādayo) viya mahāsattassa guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.
มหาสุตโสมจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Mahāsutasomacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
สจฺจปารมี นิฎฺฐิตาฯ
Saccapāramī niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๒. สุตโสมจริยา • 12. Sutasomacariyā