Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๓๗] ๕. มหาสุตโสมชาตกวณฺณนา

    [537] 5. Mahāsutasomajātakavaṇṇanā

    กสฺมา ตุวํ รสก เอทิสานีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต องฺคุลิมาลเตฺถรทมนํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺส อุปฺปตฺติ จ ปพฺพชฺชา จ อุปสมฺปทา จ องฺคุลิมาลสุตฺตวณฺณนายํ (ม. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๔ อาทโย) วุตฺตนเยน วิตฺถารโต เวทิตพฺพาฯ โส ปน สจฺจกิริยาย มูฬฺหคพฺภาย อิตฺถิยา โสตฺถิภาวํ กตฺวา ตโต ปฎฺฐาย สุลภปิโณฺฑ หุตฺวา วิเวกมนุพฺรูหโนฺต อปรภาเค อรหตฺตํ ปตฺวา อภิญฺญาโตว อสีติยา มหาเถรานํ อพฺภนฺตโร อโหสิฯ ตสฺมิํ กาเล ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อโห วต ภควตา ตถารูปํ ลุทฺทํ โลหิตปาณิํ มหาโจรํ องฺคุลิมาลํ อทเณฺฑน อสเตฺถน ทเมตฺวา นิพฺพิเสวนํ กโรเนฺตน ทุกฺกรํ กตํ, อโห พุทฺธา นาม ทุกฺกรการิโน’’ติฯ สตฺถา คนฺธกุฎิยํ ฐิโตว ทิพฺพโสเตน ตํ กถํ สุตฺวา ‘‘อชฺช มม คมนํ พหุปการํ ภวิสฺสติ, มหาธมฺมเทสนา ปวตฺติสฺสตี’’ติ ญตฺวา อโนปมาย พุทฺธลีลาย ธมฺมสภํ คนฺตฺวา วรปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อนจฺฉริยํ, ภิกฺขเว, อิทาเนว ปรมาภิสโมฺพธิํ ปเตฺตน มยา เอตสฺส ทมนํ, สฺวาหํ ปุพฺพจริยํ จรโนฺต ปเทสญาเณ ฐิโตปิ เอตํ ทเมสิ’’นฺติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Kasmā tuvaṃ rasaka edisānīti idaṃ satthā jetavane viharanto aṅgulimālattheradamanaṃ ārabbha kathesi. Tassa uppatti ca pabbajjā ca upasampadā ca aṅgulimālasuttavaṇṇanāyaṃ (ma. ni. aṭṭha. 2.34 ādayo) vuttanayena vitthārato veditabbā. So pana saccakiriyāya mūḷhagabbhāya itthiyā sotthibhāvaṃ katvā tato paṭṭhāya sulabhapiṇḍo hutvā vivekamanubrūhanto aparabhāge arahattaṃ patvā abhiññātova asītiyā mahātherānaṃ abbhantaro ahosi. Tasmiṃ kāle dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, aho vata bhagavatā tathārūpaṃ luddaṃ lohitapāṇiṃ mahācoraṃ aṅgulimālaṃ adaṇḍena asatthena dametvā nibbisevanaṃ karontena dukkaraṃ kataṃ, aho buddhā nāma dukkarakārino’’ti. Satthā gandhakuṭiyaṃ ṭhitova dibbasotena taṃ kathaṃ sutvā ‘‘ajja mama gamanaṃ bahupakāraṃ bhavissati, mahādhammadesanā pavattissatī’’ti ñatvā anopamāya buddhalīlāya dhammasabhaṃ gantvā varapaññattāsane nisīditvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘anacchariyaṃ, bhikkhave, idāneva paramābhisambodhiṃ pattena mayā etassa damanaṃ, svāhaṃ pubbacariyaṃ caranto padesañāṇe ṭhitopi etaṃ damesi’’nti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต กุรุรเฎฺฐ อินฺทปตฺถนคเร โกรโพฺย นาม ราชา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตสฺส อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ ทสมาเส อติกฺกเนฺต สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิ, สุตวิตฺตตาย ปน นํ ‘‘สุตโสโม’’ติ สญฺชานิํสุฯ ตเมนํ ราชา วยปฺปตฺตํ นิกฺขสหสฺสํ ทตฺวา ทิสาปาโมกฺขสฺส อาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปุคฺคหณตฺถาย ตกฺกสิลํ เปเสสิฯ โส อาจริยภาคํ อาทาย นครา นิกฺขมิตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ตทา พาราณสิยํ กาสิรโญฺญ ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโรปิ ตเถว วตฺวา ปิตรา เปสิโต นครา นิกฺขมิตฺวา ตเมว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ อถ สุตโสโม มคฺคํ คนฺตฺวา นครทฺวาเร สาลาย ผลเก วิสฺสมตฺถาย นิสีทิฯ พฺรหฺมทตฺตกุมาโรปิ คนฺตฺวา เตน สทฺธิํ เอกผลเก นิสีทิฯ อถ นํ สุตโสโม ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต ‘‘สมฺม, มคฺคกิลโนฺตสิ, กุโต อาคจฺฉสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘พาราณสิโต’’ติ วุเตฺต ‘‘กสฺส ปุโตฺตสี’’ติ วตฺวา ‘‘กาสิรโญฺญ ปุโตฺตมฺหี’’ติ วุเตฺต ‘‘โก นาโมสี’’ติ วตฺวา ‘‘อหํ พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘เกน การเณน อิธาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘สิปฺปุคฺคหณตฺถายา’’ติ วตฺวา ‘‘ตฺวมฺปิ มคฺคกิลโนฺตสิ, กุโต อาคจฺฉสี’’ติ เตเนว นเยน อิตรํ ปุจฺฉิฯ โสปิ ตสฺส สพฺพํ อาจิกฺขิฯ เต อุโภปิ ‘‘มยํ ขตฺติยา, เอกาจริยเสฺสว สนฺติเก สิปฺปุคฺคหณตฺถาย คจฺฉามา’’ติ อญฺญมญฺญํ มิตฺตภาวํ กตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา อาจริยกุลํ คนฺตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ชาติอาทิํ กเถตฺวา สิปฺปุคฺคหณตฺถาย อาคตภาวํ กเถสุํฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ เต อาจริยภาคํ ทตฺวา สิปฺปํ ปฎฺฐเปสุํฯ

    Atīte kururaṭṭhe indapatthanagare korabyo nāma rājā dhammena rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto tassa aggamahesiyā kucchimhi nibbatti. Dasamāse atikkante suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi, sutavittatāya pana naṃ ‘‘sutasomo’’ti sañjāniṃsu. Tamenaṃ rājā vayappattaṃ nikkhasahassaṃ datvā disāpāmokkhassa ācariyassa santike sippuggahaṇatthāya takkasilaṃ pesesi. So ācariyabhāgaṃ ādāya nagarā nikkhamitvā maggaṃ paṭipajji. Tadā bārāṇasiyaṃ kāsirañño putto brahmadattakumāropi tatheva vatvā pitarā pesito nagarā nikkhamitvā tameva maggaṃ paṭipajji. Atha sutasomo maggaṃ gantvā nagaradvāre sālāya phalake vissamatthāya nisīdi. Brahmadattakumāropi gantvā tena saddhiṃ ekaphalake nisīdi. Atha naṃ sutasomo paṭisanthāraṃ karonto ‘‘samma, maggakilantosi, kuto āgacchasī’’ti pucchitvā ‘‘bārāṇasito’’ti vutte ‘‘kassa puttosī’’ti vatvā ‘‘kāsirañño puttomhī’’ti vutte ‘‘ko nāmosī’’ti vatvā ‘‘ahaṃ brahmadattakumāro nāmā’’ti vutte ‘‘kena kāraṇena idhāgatosī’’ti pucchi. So ‘‘sippuggahaṇatthāyā’’ti vatvā ‘‘tvampi maggakilantosi, kuto āgacchasī’’ti teneva nayena itaraṃ pucchi. Sopi tassa sabbaṃ ācikkhi. Te ubhopi ‘‘mayaṃ khattiyā, ekācariyasseva santike sippuggahaṇatthāya gacchāmā’’ti aññamaññaṃ mittabhāvaṃ katvā nagaraṃ pavisitvā ācariyakulaṃ gantvā ācariyaṃ vanditvā attano jātiādiṃ kathetvā sippuggahaṇatthāya āgatabhāvaṃ kathesuṃ. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Te ācariyabhāgaṃ datvā sippaṃ paṭṭhapesuṃ.

    น เกวลญฺจ เต เทฺวว, อเญฺญปิ ตทา ชมฺพุทีเป เอกสตมตฺตา ราชปุตฺตา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺติฯ สุตโสโม เตสํ เชฎฺฐเนฺตวาสิโก หุตฺวา สิปฺปํ อุปทิสโนฺต นจิรเสฺสว นิปฺผตฺติํ ปาปุณิฯ โส อญฺญสฺส สนฺติกํ อคนฺตฺวา ‘‘สหาโย เม’’ติ พฺรหฺมทตฺตสฺส กุมารเสฺสว สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส ปิฎฺฐิอาจริโย หุตฺวา สิปฺปํ สิกฺขาเปสิฯ อิตเรสมฺปิ อนุกฺกเมน สิปฺปํ นิฎฺฐิตํฯ เต อนุโยคํ ทตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา สุตโสมํ ปริวาเรตฺวา นิกฺขมิํสุฯ อถ เน สุตโสโม มคฺคนฺตเร ฐตฺวา อุโยฺยเชโนฺต ‘‘ตุเมฺห อตฺตโน อตฺตโน ปิตูนํ สิปฺปํ ทเสฺสตฺวา รเชฺชสุ ปติฎฺฐหิสฺสถ, ปติฎฺฐิตา จ ปน มโมวาทํ กเรยฺยาถา’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ , อาจริยา’’ติ? ‘‘ปกฺขทิวเสสุ อุโปสถิกา หุตฺวา มา ฆาตํ กเรยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ องฺควิชฺชาปาฐกตฺตา ‘‘อนาคเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺตกุมารํ นิสฺสาย มหาภยํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ ญตฺวา เต เอวํ โอวทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เต สเพฺพปิ อตฺตโน อตฺตโน ชนปทํ คนฺตฺวา ปิตูนํ สิปฺปํ ทเสฺสตฺวา รเชฺชสุ ปติฎฺฐาย ปติฎฺฐิตภาวเญฺจว โอวาเท วตฺตนภาวญฺจ ชานาเปตุํ ปณฺณากาเรน สทฺธิํ ปณฺณานิ ปหิณิํสุฯ มหาสโตฺต ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ‘‘อปฺปมตฺตาว โหถา’’ติ ปณฺณานิ ปฎิเปเสสิฯ

    Na kevalañca te dveva, aññepi tadā jambudīpe ekasatamattā rājaputtā tassa santike sippaṃ uggaṇhanti. Sutasomo tesaṃ jeṭṭhantevāsiko hutvā sippaṃ upadisanto nacirasseva nipphattiṃ pāpuṇi. So aññassa santikaṃ agantvā ‘‘sahāyo me’’ti brahmadattassa kumārasseva santikaṃ gantvā tassa piṭṭhiācariyo hutvā sippaṃ sikkhāpesi. Itaresampi anukkamena sippaṃ niṭṭhitaṃ. Te anuyogaṃ datvā ācariyaṃ vanditvā sutasomaṃ parivāretvā nikkhamiṃsu. Atha ne sutasomo maggantare ṭhatvā uyyojento ‘‘tumhe attano attano pitūnaṃ sippaṃ dassetvā rajjesu patiṭṭhahissatha, patiṭṭhitā ca pana mamovādaṃ kareyyāthā’’ti āha. ‘‘Kiṃ , ācariyā’’ti? ‘‘Pakkhadivasesu uposathikā hutvā mā ghātaṃ kareyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchiṃsu. Bodhisattopi aṅgavijjāpāṭhakattā ‘‘anāgate bārāṇasiyaṃ brahmadattakumāraṃ nissāya mahābhayaṃ uppajjissatī’’ti ñatvā te evaṃ ovaditvā uyyojesi. Te sabbepi attano attano janapadaṃ gantvā pitūnaṃ sippaṃ dassetvā rajjesu patiṭṭhāya patiṭṭhitabhāvañceva ovāde vattanabhāvañca jānāpetuṃ paṇṇākārena saddhiṃ paṇṇāni pahiṇiṃsu. Mahāsatto taṃ pavattiṃ sutvā ‘‘appamattāva hothā’’ti paṇṇāni paṭipesesi.

    เตสุ พาราณสิราชา วินา มํเสน ภตฺตํ น ภุญฺชติฯ อุโปสถทิวสตฺถายปิสฺส มํสํ คเหตฺวา ฐเปสิฯ อเถกทิวสํ เอวํ ฐปิตมํสํ ภตฺตการกสฺส ปมาเทน ราชเคเห โกเลยฺยกสุนขา ขาทิํสุฯ ภตฺตการโก ตํ มํสํ อทิตฺวา กหาปณมุฎฺฐิํ อาทาย จรโนฺตปิ มํสํ อุปฺปาเทตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สเจ อมํสกภตฺตํ อุปนาเมสฺสามิ, ชีวิตํ เม นตฺถิ, กิํ นุ โข กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ วิกาเล อามกสุสานํ คนฺตฺวา มุหุตฺตมตสฺส ปุริสสฺส อูรุมํสํ อาหริตฺวา สุปกฺกํ ปจิตฺวา ภตฺตํ อุปนาเมสิฯ รโญฺญ มํสขณฺฑํ ชิวฺหเคฺค ฐปิตมตฺตเมว สตฺต รสหรณิสหสฺสานิ ผริ, สกลสรีรํ โขเภตฺวา อฎฺฐาสิฯ กิํการณา? ปุเพฺพ จสฺส เสวนตายฯ โส กิร อตีตานนฺตเร อตฺตภาเว ยโกฺข หุตฺวา พหุํ มนุสฺสมํสํ ขาทิตปุโพฺพ, เตนสฺส ตํ ปิยํ อโหสิ ฯ โส ‘‘สจาหํ ตุณฺหีเยว ภุญฺชิสฺสามิ, น เม อยํ อิมํ มํสํ กเถสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สห เขเฬน ภูมิยํ ปาเตสิฯ ‘‘นิโทฺทสํ, เทว, ขาทาหี’’ติ วุเตฺต มนุเสฺส ปฎิกฺกมาเปตฺวา ‘‘อหเมตสฺส นิโทฺทสภาวํ ชานามิ, กิํ นาเมตํ มํส’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปุริมทิวเสสุ ปริโภคมํสเมว, เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ อญฺญสฺมิํ กาเล อยํ รโส นตฺถี’’ติ? ‘‘อชฺช สุปกฺกํ, เทวา’’ติฯ ‘‘นนุ ปุเพฺพปิ เอวเมว ปจสี’’ติฯ อถ นํ ตุณฺหีภูตํ ญตฺวา ‘‘สภาวํ กเถหิ, โน เจ กเถสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ อาหฯ โส อภยํ ยาจิตฺวา ยถาภูตํ กเถสิฯ ราชา ‘‘มา สทฺทมกาสิ, ปกติยา ปจนกมํสํ ตฺวํ ขาทิตฺวา มยฺหํ มนุสฺสมํสเมว ปจาหี’’ติ อาหฯ ‘‘นนุ ทุกฺกรํ, เทวา’’ติ? ‘‘มา ภายิ, น ทุกฺกร’’นฺติฯ ‘‘นิพทฺธํ กุโต ลภิสฺสามิ, เทวา’’ติ? ‘‘นนุ พนฺธนาคาเร พหู มนุสฺสา’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ตถา อกาสิฯ

    Tesu bārāṇasirājā vinā maṃsena bhattaṃ na bhuñjati. Uposathadivasatthāyapissa maṃsaṃ gahetvā ṭhapesi. Athekadivasaṃ evaṃ ṭhapitamaṃsaṃ bhattakārakassa pamādena rājagehe koleyyakasunakhā khādiṃsu. Bhattakārako taṃ maṃsaṃ aditvā kahāpaṇamuṭṭhiṃ ādāya carantopi maṃsaṃ uppādetuṃ asakkonto ‘‘sace amaṃsakabhattaṃ upanāmessāmi, jīvitaṃ me natthi, kiṃ nu kho karissāmī’’ti cintetvā ‘‘attheso upāyo’’ti vikāle āmakasusānaṃ gantvā muhuttamatassa purisassa ūrumaṃsaṃ āharitvā supakkaṃ pacitvā bhattaṃ upanāmesi. Rañño maṃsakhaṇḍaṃ jivhagge ṭhapitamattameva satta rasaharaṇisahassāni phari, sakalasarīraṃ khobhetvā aṭṭhāsi. Kiṃkāraṇā? Pubbe cassa sevanatāya. So kira atītānantare attabhāve yakkho hutvā bahuṃ manussamaṃsaṃ khāditapubbo, tenassa taṃ piyaṃ ahosi . So ‘‘sacāhaṃ tuṇhīyeva bhuñjissāmi, na me ayaṃ imaṃ maṃsaṃ kathessatī’’ti cintetvā saha kheḷena bhūmiyaṃ pātesi. ‘‘Niddosaṃ, deva, khādāhī’’ti vutte manusse paṭikkamāpetvā ‘‘ahametassa niddosabhāvaṃ jānāmi, kiṃ nāmetaṃ maṃsa’’nti pucchi. ‘‘Purimadivasesu paribhogamaṃsameva, devā’’ti. ‘‘Nanu aññasmiṃ kāle ayaṃ raso natthī’’ti? ‘‘Ajja supakkaṃ, devā’’ti. ‘‘Nanu pubbepi evameva pacasī’’ti. Atha naṃ tuṇhībhūtaṃ ñatvā ‘‘sabhāvaṃ kathehi, no ce kathesi, jīvitaṃ te natthī’’ti āha. So abhayaṃ yācitvā yathābhūtaṃ kathesi. Rājā ‘‘mā saddamakāsi, pakatiyā pacanakamaṃsaṃ tvaṃ khāditvā mayhaṃ manussamaṃsameva pacāhī’’ti āha. ‘‘Nanu dukkaraṃ, devā’’ti? ‘‘Mā bhāyi, na dukkara’’nti. ‘‘Nibaddhaṃ kuto labhissāmi, devā’’ti? ‘‘Nanu bandhanāgāre bahū manussā’’ti. So tato paṭṭhāya tathā akāsi.

    อปรภาเค พนฺธนาคาเร มนุเสฺสสุ ขีเณสุ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสามิ, เทวา’’ติ อาหฯ ‘‘อนฺตรามเคฺค สหสฺสภณฺฑิกํ ขิปิตฺวา โย ตํ คณฺหาติ, ตํ ‘โจโร’ติ คเหตฺวา มาเรหี’’ติ อาหฯ โส ตถา อกาสิฯ อปรภาเค ราชภเยน สหสฺสภณฺฑิกํ โอโลเกนฺตมฺปิ อทิสฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘ยทา เภริเวลาย นครํ อากุลํ โหติ, ตทา ตฺวํ ปน เอกสฺมิํ ฆรสนฺธิมฺหิ วา วีถิยํ วา จตุเกฺก วา ฐตฺวา มนุเสฺส มาเรตฺวา มํสํ คณฺหาหี’’ติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ตถา กตฺวา ถูลมํสํ อาทาย คจฺฉติฯ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ กเฬวรานิ ทิสฺสนฺติฯ มม มาตา น ปญฺญายติ, มม ปิตา น ปญฺญายติ, มม ภาตา ภคินี จ น ปญฺญายติ, มนุสฺสานํ ปริเทวนสโทฺท สูยติฯ นาครา ภีตตสิตา ‘‘อิเม มนุเสฺส สีโห นุ โข ขาทติ, พฺยโคฺฆ นุ โข ขาทติ, ยโกฺข นุ โข ขาทตี’’ติ โอโลเกนฺตา ปหารมุขํ ทิสฺวา ‘‘เอโก มนุสฺสขาทโก โจโร อิเม ขาทตี’’ติ มญฺญนฺติฯ มหาชนา ราชงฺคเณ สนฺนิปติตฺวา อุปโกฺกสิํสุฯ ราชา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว อิมสฺมิํ นคเร มนุสฺสขาทโก โจโร อตฺถิ, ตํ คณฺหาเปถา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อหํ กถํ ตํ ชานิสฺสามิ, กิํ อหํ นครํ รกฺขโนฺตปิ จรามี’’ติฯ

    Aparabhāge bandhanāgāre manussesu khīṇesu ‘‘idāni kiṃ karissāmi, devā’’ti āha. ‘‘Antarāmagge sahassabhaṇḍikaṃ khipitvā yo taṃ gaṇhāti, taṃ ‘coro’ti gahetvā mārehī’’ti āha. So tathā akāsi. Aparabhāge rājabhayena sahassabhaṇḍikaṃ olokentampi adisvā ‘‘idāni kiṃ karissāmī’’ti āha. ‘‘Yadā bherivelāya nagaraṃ ākulaṃ hoti, tadā tvaṃ pana ekasmiṃ gharasandhimhi vā vīthiyaṃ vā catukke vā ṭhatvā manusse māretvā maṃsaṃ gaṇhāhī’’ti. So tato paṭṭhāya tathā katvā thūlamaṃsaṃ ādāya gacchati. Tesu tesu ṭhānesu kaḷevarāni dissanti. Mama mātā na paññāyati, mama pitā na paññāyati, mama bhātā bhaginī ca na paññāyati, manussānaṃ paridevanasaddo sūyati. Nāgarā bhītatasitā ‘‘ime manusse sīho nu kho khādati, byaggho nu kho khādati, yakkho nu kho khādatī’’ti olokentā pahāramukhaṃ disvā ‘‘eko manussakhādako coro ime khādatī’’ti maññanti. Mahājanā rājaṅgaṇe sannipatitvā upakkosiṃsu. Rājā ‘‘kiṃ, tātā’’ti pucchi. ‘‘Deva imasmiṃ nagare manussakhādako coro atthi, taṃ gaṇhāpethā’’ti āhaṃsu. ‘‘Ahaṃ kathaṃ taṃ jānissāmi, kiṃ ahaṃ nagaraṃ rakkhantopi carāmī’’ti.

    มหาชนา ‘‘ราชา นคเรน อนตฺถิโก, กาฬหตฺถิเสนาปติสฺส อาจิกฺขิสฺสามา’’ติ คนฺตฺวา ตสฺส ตํ กเถตฺวา ‘‘โจรํ ปริเยสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘สาธุ สตฺตาหํ อาคเมถ, ปริเยสิตฺวา โจรํ ทสฺสามี’’ติ มหาชเน อุโยฺยเชตฺวา ปุริเส อาณาเปสิ, ‘‘ตาตา, นคเร กิร มนุสฺสขาทโก โจโร อตฺถิ, ตุเมฺห เตสุ เตสุ ฐาเนสุ นิลียิตฺวา ตํ คณฺหถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย นครํ ปริคฺคณฺหนฺติฯ ภตฺตการโกปิ เอกสฺมิํ ฆรสนฺธิมฺหิ สมฺปฎิจฺฉโนฺน หุตฺวา เอกํ อิตฺถิํ มาเรตฺวา ฆนฆนมํสํ อาทาย ปจฺฉิยํ ปูเรตุํ อารภิฯ อถ นํ เต ปุริสา คเหตฺวา โปเถตฺวา ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา ‘‘คหิโต มนุสฺสขาทโก โจโร’’ติ มหาสทฺทํ กริํสุฯ มหาชโน ตํ ปริวาเรสิฯ อถ นํ สุฎฺฐุ พนฺธิตฺวา มํสปจฺฉิํ คีวาย พนฺธิตฺวา อาทาย เสนาปติสฺส ทเสฺสสุํฯ เสนาปติ ตํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข เอส อิมํ มํสํ ขาทติ, อุทาหุ อเญฺญน มํเสน มิเสฺสตฺวา วิกฺกิณาติ, อุทาหุ อญฺญสฺส วจเนน มาเรตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Mahājanā ‘‘rājā nagarena anatthiko, kāḷahatthisenāpatissa ācikkhissāmā’’ti gantvā tassa taṃ kathetvā ‘‘coraṃ pariyesituṃ vaṭṭatī’’ti vadiṃsu. So ‘‘sādhu sattāhaṃ āgametha, pariyesitvā coraṃ dassāmī’’ti mahājane uyyojetvā purise āṇāpesi, ‘‘tātā, nagare kira manussakhādako coro atthi, tumhe tesu tesu ṭhānesu nilīyitvā taṃ gaṇhathā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya nagaraṃ pariggaṇhanti. Bhattakārakopi ekasmiṃ gharasandhimhi sampaṭicchanno hutvā ekaṃ itthiṃ māretvā ghanaghanamaṃsaṃ ādāya pacchiyaṃ pūretuṃ ārabhi. Atha naṃ te purisā gahetvā pothetvā pacchābāhaṃ bandhitvā ‘‘gahito manussakhādako coro’’ti mahāsaddaṃ kariṃsu. Mahājano taṃ parivāresi. Atha naṃ suṭṭhu bandhitvā maṃsapacchiṃ gīvāya bandhitvā ādāya senāpatissa dassesuṃ. Senāpati taṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho esa imaṃ maṃsaṃ khādati, udāhu aññena maṃsena missetvā vikkiṇāti, udāhu aññassa vacanena māretī’’ti cintetvā tamatthaṃ pucchanto paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๓๗๑.

    371.

    ‘‘กสฺมา ตุวํ รสก เอทิสานิ, กโรสิ กมฺมานิ สุทารุณานิ;

    ‘‘Kasmā tuvaṃ rasaka edisāni, karosi kammāni sudāruṇāni;

    หนาสิ อิตฺถี ปุริเส จ มูโฬฺห, มํสสฺส เหตุ อทุ ธนสฺส การณา’’ติฯ

    Hanāsi itthī purise ca mūḷho, maṃsassa hetu adu dhanassa kāraṇā’’ti.

    ตตฺถ รสกาติ ภตฺตการณํ อาลปติฯ

    Tattha rasakāti bhattakāraṇaṃ ālapati.

    อิโต ปรํ อุตฺตานสมฺพนฺธานิ วจนปฎิวจนานิ ปาฬิวเสเนว เวทิตพฺพานิ –

    Ito paraṃ uttānasambandhāni vacanapaṭivacanāni pāḷivaseneva veditabbāni –

    ๓๗๒.

    372.

    ‘‘น อตฺตเหตู น ธนสฺส การณา, น ปุตฺตทารสฺส สหายญาตินํ;

    ‘‘Na attahetū na dhanassa kāraṇā, na puttadārassa sahāyañātinaṃ;

    ภตฺตา จ เม ภควา ภูมิปาโล, โส ขาทติ มํสํ ภทเนฺตทิสํฯ

    Bhattā ca me bhagavā bhūmipālo, so khādati maṃsaṃ bhadantedisaṃ.

    ๓๗๓.

    373.

    ‘‘สเจ ตุวํ ภตฺตุรเตฺถ ปยุโตฺต, กโรสิ กมฺมานิ สุทารุณานิ;

    ‘‘Sace tuvaṃ bhatturatthe payutto, karosi kammāni sudāruṇāni;

    ปาโตว อเนฺตปุรํ ปาปุณิตฺวา, ลเปยฺยาสิ เม ราชิโน สมฺมุเข ตํฯ

    Pātova antepuraṃ pāpuṇitvā, lapeyyāsi me rājino sammukhe taṃ.

    ๓๗๔.

    374.

    ‘‘ตถา กริสฺสามิ อหํ ภทเนฺต, ยถา ตุวํ ภาสสิ กาฬหตฺถิ;

    ‘‘Tathā karissāmi ahaṃ bhadante, yathā tuvaṃ bhāsasi kāḷahatthi;

    ปาโตว อเนฺตปุรํ ปาปุณิตฺวา, วกฺขามิ เต ราชิโน สมฺมุเข ต’’นฺติฯ

    Pātova antepuraṃ pāpuṇitvā, vakkhāmi te rājino sammukhe ta’’nti.

    ตตฺถ ภควาติ คารวาธิวจนํฯ สเจ ตุวนฺติ ‘‘สจฺจํ นุ โข ภณติ, อุทาหุ มรณภเยน มุสา ภณตี’’ติ วีมํสโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ สุทารุณานีติ มนุสฺสฆาตกมฺมานิฯ สมฺมุเข ตนฺติ สมฺมุเข ฐตฺวา เอวํ วเทยฺยาสีติฯ โส สมฺปฎิจฺฉโนฺต คาถมาหฯ

    Tattha bhagavāti gāravādhivacanaṃ. Sace tuvanti ‘‘saccaṃ nu kho bhaṇati, udāhu maraṇabhayena musā bhaṇatī’’ti vīmaṃsanto evamāha. Tattha sudāruṇānīti manussaghātakammāni. Sammukhe tanti sammukhe ṭhatvā evaṃ vadeyyāsīti. So sampaṭicchanto gāthamāha.

    อถ นํ เสนาปติ คาฬฺหพนฺธนเมว สยาเปตฺวา วิภาตาย รตฺติยา อมเจฺจหิ จ นาคเรหิ จ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา สเพฺพสุ เอกจฺฉเนฺทสุ ชาเตสุ สพฺพฎฺฐาเนสุ อารกฺขํ ฐเปตฺวา นครํ หตฺถคตํ กตฺวา รสกสฺส คีวายํ มํสปจฺฉิํ พนฺธิตฺวา อาทาย ราชนิเวสนํ ปายาสิฯ สกลนครํ วิรวิฯ ราชา หิโยฺย ภุตฺตปาตราโส สายมาสมฺปิ อลภิตฺวา ‘‘รสโก อิทานิ อาคจฺฉิสฺสติ, อิทานิ อาคจฺฉสฺสตี’’ติ นิสิโนฺนว ตํ รตฺติํ วีตินาเมตฺวา ‘‘อชฺชปิ รสโก นาคจฺฉติ, นาครานญฺจ มหาสโทฺท สูยติ, กิํ นู โข เอต’’นฺติ วาตปาเนน โอโลเกโนฺต ตํ ตถา อานียมานํ ทิสฺวา ‘‘ปากฎํ อิทํ การณํ ชาต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ปลฺลเงฺกเยว นิสีทิฯ กาฬหตฺถิปิ นํ อุปสงฺกมิตฺวา อนุยุญฺชิ, โสปิสฺส กเถสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Atha naṃ senāpati gāḷhabandhanameva sayāpetvā vibhātāya rattiyā amaccehi ca nāgarehi ca saddhiṃ mantetvā sabbesu ekacchandesu jātesu sabbaṭṭhānesu ārakkhaṃ ṭhapetvā nagaraṃ hatthagataṃ katvā rasakassa gīvāyaṃ maṃsapacchiṃ bandhitvā ādāya rājanivesanaṃ pāyāsi. Sakalanagaraṃ viravi. Rājā hiyyo bhuttapātarāso sāyamāsampi alabhitvā ‘‘rasako idāni āgacchissati, idāni āgacchassatī’’ti nisinnova taṃ rattiṃ vītināmetvā ‘‘ajjapi rasako nāgacchati, nāgarānañca mahāsaddo sūyati, kiṃ nū kho eta’’nti vātapānena olokento taṃ tathā ānīyamānaṃ disvā ‘‘pākaṭaṃ idaṃ kāraṇaṃ jāta’’nti cintetvā satiṃ upaṭṭhapetvā pallaṅkeyeva nisīdi. Kāḷahatthipi naṃ upasaṅkamitvā anuyuñji, sopissa kathesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๗๕.

    375.

    ‘‘ตโต รตฺยา วิวสาเน, สูริยุคฺคมนํ ปติ;

    ‘‘Tato ratyā vivasāne, sūriyuggamanaṃ pati;

    กาโฬ รสกมาทาย, ราชานํ อุปสงฺกมิ;

    Kāḷo rasakamādāya, rājānaṃ upasaṅkami;

    อุปสงฺกมฺม ราชานํ, อิทํ วจนมพฺรวิฯ

    Upasaṅkamma rājānaṃ, idaṃ vacanamabravi.

    ๓๗๖.

    376.

    ‘‘สจฺจํ กิร มหาราช, รสโก เปสิโต ตยาฯ

    ‘‘Saccaṃ kira mahārāja, rasako pesito tayā.

    หนติ อิตฺถิปุริเส, ตุวํ มํสานิ ขาทสิฯ

    Hanati itthipurise, tuvaṃ maṃsāni khādasi.

    ๓๗๗.

    377.

    ‘‘เอวเมว ตถา กาฬ, รสโก เปสิโต มยา;

    ‘‘Evameva tathā kāḷa, rasako pesito mayā;

    มม อตฺถํ กโรนฺตสฺส, กิเมตํ ปริภาสสี’’ติฯ

    Mama atthaṃ karontassa, kimetaṃ paribhāsasī’’ti.

    ตตฺถ กาฬาติ กาฬหตฺถิฯ เอวเมวาติ เตน เสนาปตินา เตชวเนฺตน อนุยุโตฺต ราชา มุสา วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต เอวมาหฯ ตตฺถ ตถาติ อิทํ ปุริมสฺส เววจนํฯ มม อตฺถนฺติ มม วุฑฺฒิํฯ กโรนฺตสฺสาติ กโรนฺตํฯ กิเมตนฺติ กสฺมา เอตํฯ ปริภาสสีติ อโห ทุกฺกรํ กโรสิ, กาฬหตฺถิ ตฺวํ นาม อญฺญํ โจรํ อคฺคเหตฺวา มม เปสนการกํ คณฺหาสีติ ตสฺส ภยํ ชเนโนฺต กเถสิฯ

    Tattha kāḷāti kāḷahatthi. Evamevāti tena senāpatinā tejavantena anuyutto rājā musā vattuṃ asakkonto evamāha. Tattha tathāti idaṃ purimassa vevacanaṃ. Mama atthanti mama vuḍḍhiṃ. Karontassāti karontaṃ. Kimetanti kasmā etaṃ. Paribhāsasīti aho dukkaraṃ karosi, kāḷahatthi tvaṃ nāma aññaṃ coraṃ aggahetvā mama pesanakārakaṃ gaṇhāsīti tassa bhayaṃ janento kathesi.

    ตํ สุตฺวา เสนาปติ ‘‘อยํ สเกเนว มุเขน ปฎิชานาติ, อโห สาหสิโก, เอตฺตกํ นาม กาลํ อิเม มนุสฺสา เอเตน ขาทิตา, วาเรสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห – ‘‘มหาราช, มา เอวํ กริ, มา มนุสฺสมํสํ ขาทสี’’ติฯ ‘‘กาฬหตฺถิ กิํ กเถสิ, นาหํ วิรมิตุํ สโกฺกมี’’ติฯ ‘‘มหาราช, สเจ น วิรมิสฺสสิ, อตฺตานญฺจ รฎฺฐญฺจ นาเสสฺสสี’’ติฯ ‘‘เอวํ นสฺสเนฺตปิ อหํ เนว ตโต วิรมิตุํ สโกฺกมี’’ติฯ ตโต เสนาปติ ตสฺส สญฺญาปนตฺถาย วตฺถุํ อาหริตฺวา ทเสฺสติ – อตีตสฺมิญฺหิ กาเล มหาสมุเทฺท ฉ มหามจฺฉา อเหสุํฯ เตสุ อานโนฺท ติมินโนฺท อชฺฌาโรโหติ อิเม ตโย มจฺฉา ปญฺจโยชนสติกา, ติมิงฺคโล ติมิรปิงฺคโล มหาติมิรปิงฺคโลติ อิเม ตโย มจฺฉา สหสฺสโยชนิกา โหนฺติฯ เต สเพฺพปิ ปาสาณเสวาลภกฺขา อเหสุํฯ เตสุ อานโนฺท มหาสมุทฺทสฺส เอกปเสฺส วสติฯ ตํ พหู มจฺฉา ทสฺสนาย อุปสงฺกมนฺติ, เอกทิวสํ ‘‘สเพฺพสํ ทฺวิปทจตุปฺปทานํ สตฺตานํ ราชา ปญฺญายติ, อมฺหากํ ราชา นตฺถิ, มยเมฺปตํ ราชานํ กริสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา สเพฺพ เอกจฺฉนฺทา หุตฺวา อานนฺทํ ราชานํ กริํสุฯ เต มจฺฉา ตโต ปฎฺฐาย ตสฺส สายํ ปาโตว อุปฎฺฐานํ คจฺฉนฺติฯ

    Taṃ sutvā senāpati ‘‘ayaṃ sakeneva mukhena paṭijānāti, aho sāhasiko, ettakaṃ nāma kālaṃ ime manussā etena khāditā, vāressāmi na’’nti cintetvā āha – ‘‘mahārāja, mā evaṃ kari, mā manussamaṃsaṃ khādasī’’ti. ‘‘Kāḷahatthi kiṃ kathesi, nāhaṃ viramituṃ sakkomī’’ti. ‘‘Mahārāja, sace na viramissasi, attānañca raṭṭhañca nāsessasī’’ti. ‘‘Evaṃ nassantepi ahaṃ neva tato viramituṃ sakkomī’’ti. Tato senāpati tassa saññāpanatthāya vatthuṃ āharitvā dasseti – atītasmiñhi kāle mahāsamudde cha mahāmacchā ahesuṃ. Tesu ānando timinando ajjhārohoti ime tayo macchā pañcayojanasatikā, timiṅgalo timirapiṅgalo mahātimirapiṅgaloti ime tayo macchā sahassayojanikā honti. Te sabbepi pāsāṇasevālabhakkhā ahesuṃ. Tesu ānando mahāsamuddassa ekapasse vasati. Taṃ bahū macchā dassanāya upasaṅkamanti, ekadivasaṃ ‘‘sabbesaṃ dvipadacatuppadānaṃ sattānaṃ rājā paññāyati, amhākaṃ rājā natthi, mayampetaṃ rājānaṃ karissāmā’’ti cintetvā sabbe ekacchandā hutvā ānandaṃ rājānaṃ kariṃsu. Te macchā tato paṭṭhāya tassa sāyaṃ pātova upaṭṭhānaṃ gacchanti.

    อเถกทิวสํ อานโนฺท เอกสฺมิํ ปพฺพเต ปาสาณเสวาลํ ขาทโนฺต อชานิตฺวา ‘‘เสวาโล’’ติ สญฺญาย เอกํ มจฺฉํ ขาทิฯ ตสฺส ตํ มํสํ ขาทนฺตสฺส สกลสรีรํ สโงฺขเภสิฯ โส ‘‘กิํ นุ โข อิทํ อติวิย มธุร’’นฺติ นีหริตฺวา โอโลเกโนฺต มจฺฉมํสขณฺฑํ ทิสฺวา ‘‘เอตฺตกํ กาลํ อชานิตฺวา น ขาทามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สายํ ปาโตปิ มจฺฉานํ อาคนฺตฺวา คมนกาเล เอกํ เทฺว มเจฺฉ ขาทิสฺสามิ, ปากฎํ กตฺวา ขาทิยมาเน เอโกปิ มํ น อุปสงฺกมิสฺสติ, สเพฺพ ปลายิสฺสนฺติ, ปฎิจฺฉโนฺน หุตฺวา ปจฺฉา โอสกฺกิโตสกฺกิตํ ปหริตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติ ตถา กตฺวา ขาทิฯ มจฺฉา ปริกฺขยํ คจฺฉนฺตา จินฺตยิํสุฯ ‘‘กุโต นุ โข ญาตีนํ ภยํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติฯ อเถโก ปณฺฑิโต มโจฺฉ ‘‘มยฺหํ อานนฺทสฺส กิริยา น รุจฺจติ, ปริคฺคณฺหิสฺสามิ น’’นฺติ มเจฺฉสุ อุปฎฺฐานํ คเตสุ อานนฺทสฺส กณฺณปเตฺต ปฎิจฺฉโนฺน อฎฺฐาสิฯ อานโนฺท มเจฺฉ อุโยฺยเชตฺวา สพฺพปจฺฉโต คจฺฉนฺตํ มจฺฉํ ขาทิฯ โส ปณฺฑิตมโจฺฉ ตสฺส กิริยํ ทิสฺวา อิตเรสํ อาโรเจสิฯ เต สเพฺพปิ ภีตตสิตา ปลายิํสุฯ

    Athekadivasaṃ ānando ekasmiṃ pabbate pāsāṇasevālaṃ khādanto ajānitvā ‘‘sevālo’’ti saññāya ekaṃ macchaṃ khādi. Tassa taṃ maṃsaṃ khādantassa sakalasarīraṃ saṅkhobhesi. So ‘‘kiṃ nu kho idaṃ ativiya madhura’’nti nīharitvā olokento macchamaṃsakhaṇḍaṃ disvā ‘‘ettakaṃ kālaṃ ajānitvā na khādāmī’’ti cintetvā ‘‘sāyaṃ pātopi macchānaṃ āgantvā gamanakāle ekaṃ dve macche khādissāmi, pākaṭaṃ katvā khādiyamāne ekopi maṃ na upasaṅkamissati, sabbe palāyissanti, paṭicchanno hutvā pacchā osakkitosakkitaṃ paharitvā khādissāmī’’ti tathā katvā khādi. Macchā parikkhayaṃ gacchantā cintayiṃsu. ‘‘Kuto nu kho ñātīnaṃ bhayaṃ uppajjissatī’’ti. Atheko paṇḍito maccho ‘‘mayhaṃ ānandassa kiriyā na ruccati, pariggaṇhissāmi na’’nti macchesu upaṭṭhānaṃ gatesu ānandassa kaṇṇapatte paṭicchanno aṭṭhāsi. Ānando macche uyyojetvā sabbapacchato gacchantaṃ macchaṃ khādi. So paṇḍitamaccho tassa kiriyaṃ disvā itaresaṃ ārocesi. Te sabbepi bhītatasitā palāyiṃsu.

    อานโนฺท ตโต ปฎฺฐาย มจฺฉมํสคิเทฺธน อญฺญํ โคจรํ น คณฺหิฯ โส ชิฆจฺฉาย ปีฬิโต กิลโนฺต ‘‘กหํ นุ โข อิเม คตา’’ติ เต มเจฺฉ ปริเยสโนฺต เอกํ ปพฺพตํ ทิสฺวา ‘‘มม ภเยน อิมํ ปพฺพตํ นิสฺสาย วสนฺติ มเญฺญ, ปพฺพตํ ปริกฺขิปิตฺวา อุปธาเรสฺสามี’’ติ นงฺคุเฎฺฐน จ สีเสน จ อุโภ ปเสฺส ปริกฺขิปิตฺวา คณฺหิฯ ตโต ‘‘สเจ อิธ วสนฺติ, ปลายิสฺสนฺตี’’ติ ปพฺพตํ ปริกฺขิปนฺตํ อตฺตโน นงฺคุฎฺฐํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มโจฺฉ มํ วเญฺจตฺวา ปพฺพตํ นิสฺสาย วสตี’’ติ กุโทฺธ ปณฺณาสโยชนมตฺตํ สกนงฺคุฎฺฐขณฺฑํ อญฺญมจฺฉสญฺญาย ทฬฺหํ คเหตฺวา มุรุมุรายโนฺต ขาทิ, ทุกฺขเวทนา อุปฺปชฺชิฯ โลหิตคเนฺธน มจฺฉา สนฺนิปติตฺวา ลุญฺชิตฺวา ขาทนฺตา ยาว สีสา อาคมํสุฯ มหาสรีรตาย ปริวเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิ, ปพฺพตราสิ วิย อฎฺฐิราสิ อโหสิฯ อากาสจาริโน ตาปสปริพฺพาชกา มนุสฺสานํ กถยิํสุฯ สกลชมฺพุทีเป มนุสฺสา ชานิํสุฯ ตํ วตฺถุํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต กาฬหตฺถิ อาห –

    Ānando tato paṭṭhāya macchamaṃsagiddhena aññaṃ gocaraṃ na gaṇhi. So jighacchāya pīḷito kilanto ‘‘kahaṃ nu kho ime gatā’’ti te macche pariyesanto ekaṃ pabbataṃ disvā ‘‘mama bhayena imaṃ pabbataṃ nissāya vasanti maññe, pabbataṃ parikkhipitvā upadhāressāmī’’ti naṅguṭṭhena ca sīsena ca ubho passe parikkhipitvā gaṇhi. Tato ‘‘sace idha vasanti, palāyissantī’’ti pabbataṃ parikkhipantaṃ attano naṅguṭṭhaṃ disvā ‘‘ayaṃ maccho maṃ vañcetvā pabbataṃ nissāya vasatī’’ti kuddho paṇṇāsayojanamattaṃ sakanaṅguṭṭhakhaṇḍaṃ aññamacchasaññāya daḷhaṃ gahetvā murumurāyanto khādi, dukkhavedanā uppajji. Lohitagandhena macchā sannipatitvā luñjitvā khādantā yāva sīsā āgamaṃsu. Mahāsarīratāya parivattetuṃ asakkonto tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi, pabbatarāsi viya aṭṭhirāsi ahosi. Ākāsacārino tāpasaparibbājakā manussānaṃ kathayiṃsu. Sakalajambudīpe manussā jāniṃsu. Taṃ vatthuṃ āharitvā dassento kāḷahatthi āha –

    ๓๗๘.

    378.

    ‘‘อานโนฺท สพฺพมจฺฉานํ, ขาทิตฺวา รสคิทฺธิมา;

    ‘‘Ānando sabbamacchānaṃ, khāditvā rasagiddhimā;

    ปริกฺขีณาย ปริสาย, อตฺตานํ ขาทิยา มโตฯ

    Parikkhīṇāya parisāya, attānaṃ khādiyā mato.

    ๓๗๙.

    379.

    ‘‘เอวํ ปมโตฺต รสคารเว รโตฺต, พาโล ยที อายติ นาวพุชฺฌติ;

    ‘‘Evaṃ pamatto rasagārave ratto, bālo yadī āyati nāvabujjhati;

    วิธมฺม ปุเตฺต จชิ ญาตเก จ, ปริวตฺติย อตฺตานเญฺญว ขาทติฯ

    Vidhamma putte caji ñātake ca, parivattiya attānaññeva khādati.

    ๓๘๐.

    380.

    ‘‘อิทํ เต สุตฺวาน วิเคตุ ฉโนฺท, มา ภกฺขยี ราช มนุสฺสมํสํ;

    ‘‘Idaṃ te sutvāna vigetu chando, mā bhakkhayī rāja manussamaṃsaṃ;

    มา ตฺวํ อิมํ เกวลํ วาริโชว, ทฺวิปทาธิป สุญฺญมกาสิ รฎฺฐ’’นฺติฯ

    Mā tvaṃ imaṃ kevalaṃ vārijova, dvipadādhipa suññamakāsi raṭṭha’’nti.

    ตตฺถ อานโนฺทติ, มหาราช, อตีตสฺมิํ กาเล มหาสมุเทฺท ปญฺจสตโยชนิโก อานโนฺท นาม มหามโจฺฉ สเพฺพสํ มจฺฉานํ ราชา มหาสมุทฺทสฺส เอกปเสฺส ฐิโตฯ ขาทิตฺวาติ สกชาติกานํ มจฺฉานํ รสคิทฺธิมา มเจฺฉ ขาทิตฺวาฯ ปริกฺขีณายาติ มจฺฉปริสาย ขยปฺปตฺตายฯ อตฺตานนฺติ อญฺญํ โคจรํ อคฺคเหตฺวา ปพฺพตํ ปริกฺขิปโนฺต ปณฺณาสโยชนมตฺตํ อตฺตโน นงฺคุฎฺฐขณฺฑํ อญฺญมจฺฉสญฺญาย ขาทิตฺวา มโต มรณปฺปโตฺต หุตฺวา อิทานิ มหาสมุเทฺท ปพฺพตมโตฺต อฎฺฐิราสิ อโหสิฯ เอวํ ปมโตฺตติ ยถา มหามโจฺฉ อานโนฺท, เอวมฺปิ ตถา ตฺวํ ตณฺหารสคิทฺธิโก หุตฺวา ปมโตฺต ปมาทภาวปฺปโตฺตฯ

    Tattha ānandoti, mahārāja, atītasmiṃ kāle mahāsamudde pañcasatayojaniko ānando nāma mahāmaccho sabbesaṃ macchānaṃ rājā mahāsamuddassa ekapasse ṭhito. Khāditvāti sakajātikānaṃ macchānaṃ rasagiddhimā macche khāditvā. Parikkhīṇāyāti macchaparisāya khayappattāya. Attānanti aññaṃ gocaraṃ aggahetvā pabbataṃ parikkhipanto paṇṇāsayojanamattaṃ attano naṅguṭṭhakhaṇḍaṃ aññamacchasaññāya khāditvā mato maraṇappatto hutvā idāni mahāsamudde pabbatamatto aṭṭhirāsi ahosi. Evaṃ pamattoti yathā mahāmaccho ānando, evampi tathā tvaṃ taṇhārasagiddhiko hutvā pamatto pamādabhāvappatto.

    รสคารเว รโตฺตติ มนุสฺสมํสสฺส รสคารเว รโตฺต อติรตฺตจิโตฺต โหติฯ พาโลติ ยทิ พาโล ทุปฺปโญฺญ อายติํ อนาคเต กาเล อุปฺปชฺชนกทุกฺขํ นาวพุชฺฌติ น ชานาติฯ วิธมฺมาติ วิธเมตฺวา วินาเสตฺวา ฯ ปุเตฺตติ ปุตฺตธีตโร จฯ ญาตเก จาติ เสสญาตเก จ สหาเย จ, วิธมฺม ปุเตฺต จ จชิตฺวา ญาตเก จาติ อโตฺถฯ ปริวตฺติยาติ อญฺญํ อาหารํ อลภิตฺวา ชิฆจฺฉาย ปีฬิโต สกลนครํ ปริวตฺติย วิจริตฺวา มนุสฺสมํสํ อลภิตฺวา อตฺตานํ ขาทโนฺต อานโนฺท มโจฺฉ วิย อตฺตานเญฺญว ขาทติฯ

    Rasagārave rattoti manussamaṃsassa rasagārave ratto atirattacitto hoti. Bāloti yadi bālo duppañño āyatiṃ anāgate kāle uppajjanakadukkhaṃ nāvabujjhati na jānāti. Vidhammāti vidhametvā vināsetvā . Putteti puttadhītaro ca. Ñātake cāti sesañātake ca sahāye ca, vidhamma putte ca cajitvā ñātake cāti attho. Parivattiyāti aññaṃ āhāraṃ alabhitvā jighacchāya pīḷito sakalanagaraṃ parivattiya vicaritvā manussamaṃsaṃ alabhitvā attānaṃ khādanto ānando maccho viya attānaññeva khādati.

    อิทํ เต สุตฺวานาติ, มหาราช, เต ตุยฺหํ มยา อานีตํ อิทํ อุทาหรณํ สุตฺวา ฉโนฺท มนุสฺสมํสขาทนจฺฉโนฺท วิเคตุ วิคจฺฉตุ วิรมตุฯ มา ภกฺขยีติ ราช มนุสฺสมํสํ มา ภกฺขยิ มา ขาทิฯ มา ตฺวํ อิมํ เกวลนฺติ มหาสมุทฺทํ สุญฺญํ กโรโนฺต วาริโช อานโนฺท มโจฺฉ อิว, โภ ทฺวิปทาธิป, ทฺวิปทานํ มนุสฺสานํ, อิสฺสร มหาราช, ตฺวํ เกวลํ สจฺจโต อิมํ ตว กาสิรฎฺฐํ นครํ สุญฺญํ มา อกาสีติ อโตฺถฯ

    Idaṃ te sutvānāti, mahārāja, te tuyhaṃ mayā ānītaṃ idaṃ udāharaṇaṃ sutvā chando manussamaṃsakhādanacchando vigetu vigacchatu viramatu. Mā bhakkhayīti rāja manussamaṃsaṃ mā bhakkhayi mā khādi. Mā tvaṃ imaṃ kevalanti mahāsamuddaṃ suññaṃ karonto vārijo ānando maccho iva, bho dvipadādhipa, dvipadānaṃ manussānaṃ, issara mahārāja, tvaṃ kevalaṃ saccato imaṃ tava kāsiraṭṭhaṃ nagaraṃ suññaṃ mā akāsīti attho.

    ตํ สุตฺวา ราชา, ‘‘โภ กาฬหตฺถิ, น ตฺวเมว อุปมํ ชานาสิ, อหมฺปิ ชานามี’’ติ มนุสฺสมํสคิทฺธตาย โปราณกวตฺถุํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā, ‘‘bho kāḷahatthi, na tvameva upamaṃ jānāsi, ahampi jānāmī’’ti manussamaṃsagiddhatāya porāṇakavatthuṃ āharitvā dassento āha –

    ๓๘๑.

    381.

    ‘‘สุชาโต นาม นาเมน, โอรโส ตสฺส อตฺรโช;

    ‘‘Sujāto nāma nāmena, oraso tassa atrajo;

    ชมฺพุเปสิมลทฺธาน, มโต โส ตสฺส สงฺขเยฯ

    Jambupesimaladdhāna, mato so tassa saṅkhaye.

    ๓๘๒.

    382.

    ‘‘เอวเมว อหํ กาฬ, ภุตฺวา ภกฺขํ รสุตฺตมํ;

    ‘‘Evameva ahaṃ kāḷa, bhutvā bhakkhaṃ rasuttamaṃ;

    อลทฺธา มานุสํ มํสํ, มเญฺญ หิสฺสามิ ชีวิต’’นฺติฯ

    Aladdhā mānusaṃ maṃsaṃ, maññe hissāmi jīvita’’nti.

    ตตฺถ สุชาโต นามาติ กาฬหตฺถิ กุฎุมฺพิโก นาเมน สุชาโต นาม, ตสฺส อตฺรโช ปุโตฺต โอรโส ชมฺพุเปสิํ อลทฺธาน อลภิตฺวานฯ มโตติ ยถา ตสฺสา ชมฺพุเปสิยา สงฺขเย โส กุฎุมฺพิกปุโตฺต มโต, เอวเมว อหํ รสุตฺตมํ อญฺญรสานํ อุตฺตมํ มนุสฺสานํ มํสํ ภุตฺวา ภุญฺชิตฺวา อลทฺธา มนุสฺสมํสํ ชีวิตํ หิสฺสามีติ มเญฺญ มญฺญามิฯ

    Tattha sujāto nāmāti kāḷahatthi kuṭumbiko nāmena sujāto nāma, tassa atrajo putto oraso jambupesiṃ aladdhāna alabhitvāna. Matoti yathā tassā jambupesiyā saṅkhaye so kuṭumbikaputto mato, evameva ahaṃ rasuttamaṃ aññarasānaṃ uttamaṃ manussānaṃ maṃsaṃ bhutvā bhuñjitvā aladdhā manussamaṃsaṃ jīvitaṃ hissāmīti maññe maññāmi.

    อตีเต กิร พาราณสิยํ สุชาโต นาม กุฎุมฺพิโก โลณมฺพิลเสวนตฺถาย หิมวนฺตโต อาคตานิ ปญฺจ อิสิสตานิ อตฺตโน อุยฺยาเน วสาเปตฺวา อุปฎฺฐาสิฯ ฆเร จสฺส นิพทฺธํ ปญฺจสตมตฺตา ภิกฺขา อโหสิฯ เต ปน ตาปสา กทาจิ ชนปเทปิ ภิกฺขาย จรนฺติ, กทาจิ มหาชมฺพุเปสิํ อาหริตฺวา ขาทนฺติฯ เตสํ ชมฺพุเปสิํ อาหริตฺวา ขาทนกาเล สุชาโต จิเนฺตสิ – ‘‘อชฺช ภทฺทนฺตานํ ตโย จตฺตาโร ทิวสา อนาคจฺฉนฺตานํ, กหํ นุ โข คตา’’ติฯ โส อตฺตโน ปุตฺตกํ องฺคุลิยํ คาหาเปตฺวา เตสํ ภตฺตกิจฺจกาเล ตตฺถ อคมาสิฯ ตสฺมิํ สมเย มหลฺลกานํ มุขวิกฺขาลนกาเล อุทกํ ทตฺวา สพฺพนวโก ชมฺพุเปสิํ ขาทติฯ สุชาโต ตาปเส วนฺทิตฺวา นิสิโนฺน – ‘‘กิํ, ภเนฺต, ขาทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาชมฺพุเปสิํ, อาวุโส’’ติฯ ตํ สุตฺวา กุมาโร ปิปาสํ อุปฺปาเทสิฯ อถสฺส คณเชฎฺฐโก ตาปโส โถกํ ทาเปสิฯ โส ตํ ขาทิตฺวา มธุรรเส พชฺฌิตฺวา – ‘‘ชมฺพุเปสิํ เม เทถา’’ติ ปุนปฺปุนํ ยาจิฯ กุฎุมฺพิโก ธมฺมํ สุณโนฺต, ‘‘ปุตฺตก, มา วิรวิ, เคหํ คนฺตฺวา ขาทิสฺสสี’’ติ ตํ วเญฺจตฺวา ‘‘อิมํ นิสฺสาย ภทนฺตา อุกฺกเณฺฐยฺยุ’’นฺติ ตํ สมสฺสาเสโนฺต อิสิคณํ อนาปุจฺฉิตฺวา เคหํ คโตฯ คตกาลโต ปฎฺฐาย จสฺส ปุโตฺต ‘‘ชมฺพุเปสิํ เม เทถา’’ติ ปริเทวิฯ สุชาโต ‘‘อิสโยปิ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คโตฯ เต อิสโยปิ ‘‘อิธ จิรํ วสิมฺหา’’ติ หิมวนฺตเมว คตาฯ อาราเม อิสโย อปสฺสโนฺต ตสฺส ชมฺพุอมฺพปนสโมจาทีนํ เปสิโย มธุสกฺขรจุณฺณสํยุตฺตา อทาสิฯ ตา ตสฺส ชิวฺหเคฺค ฐปิตมตฺตา หลาหลวิสสทิสา โหนฺติฯ โส สตฺตาหํ นิราหาโร หุตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ ราชา อิทํ การณํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ

    Atīte kira bārāṇasiyaṃ sujāto nāma kuṭumbiko loṇambilasevanatthāya himavantato āgatāni pañca isisatāni attano uyyāne vasāpetvā upaṭṭhāsi. Ghare cassa nibaddhaṃ pañcasatamattā bhikkhā ahosi. Te pana tāpasā kadāci janapadepi bhikkhāya caranti, kadāci mahājambupesiṃ āharitvā khādanti. Tesaṃ jambupesiṃ āharitvā khādanakāle sujāto cintesi – ‘‘ajja bhaddantānaṃ tayo cattāro divasā anāgacchantānaṃ, kahaṃ nu kho gatā’’ti. So attano puttakaṃ aṅguliyaṃ gāhāpetvā tesaṃ bhattakiccakāle tattha agamāsi. Tasmiṃ samaye mahallakānaṃ mukhavikkhālanakāle udakaṃ datvā sabbanavako jambupesiṃ khādati. Sujāto tāpase vanditvā nisinno – ‘‘kiṃ, bhante, khādathā’’ti pucchi. ‘‘Mahājambupesiṃ, āvuso’’ti. Taṃ sutvā kumāro pipāsaṃ uppādesi. Athassa gaṇajeṭṭhako tāpaso thokaṃ dāpesi. So taṃ khāditvā madhurarase bajjhitvā – ‘‘jambupesiṃ me dethā’’ti punappunaṃ yāci. Kuṭumbiko dhammaṃ suṇanto, ‘‘puttaka, mā viravi, gehaṃ gantvā khādissasī’’ti taṃ vañcetvā ‘‘imaṃ nissāya bhadantā ukkaṇṭheyyu’’nti taṃ samassāsento isigaṇaṃ anāpucchitvā gehaṃ gato. Gatakālato paṭṭhāya cassa putto ‘‘jambupesiṃ me dethā’’ti paridevi. Sujāto ‘‘isayopi ācikkhissāmī’’ti uyyānaṃ gato. Te isayopi ‘‘idha ciraṃ vasimhā’’ti himavantameva gatā. Ārāme isayo apassanto tassa jambuambapanasamocādīnaṃ pesiyo madhusakkharacuṇṇasaṃyuttā adāsi. Tā tassa jivhagge ṭhapitamattā halāhalavisasadisā honti. So sattāhaṃ nirāhāro hutvā jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Rājā idaṃ kāraṇaṃ āharitvā dassento evamāha.

    ตโต กาฬหตฺถิ ‘‘อยํ ราชา อติวิย รสคิโทฺธ, อปรานิปิสฺส อุทาหรณานิ อาหริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘มหาราช, วิรมาหี’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ วิรมิตุํ น สโกฺกมี’’ติฯ เทว, สเจ น วิรมิสฺสสิ, ตุวํ ญาติมณฺฑลโต เจว รชฺชสิริโต จ ปริหายิสฺสสิฯ อตีตสฺมิญฺหิ, มหาราช, อิเธว พาราณสิยํ ปญฺจสีลรกฺขกํ โสตฺถิยกุลํ อโหสิ ฯ ตสฺส กุลสฺส เอกปุตฺตโก อโหสิฯ โส มาตาปิตูนํ ปิโย มนาโป อโหสิ ปณฺฑิโต พฺยโตฺต ติณฺณํ เวทานํ ปารคูฯ โส สมวเยหิ ตรุเณหิ สทฺธิํ คณพนฺธเนน วิจริฯ เสสา คณพนฺธา มจฺฉมํสาทีนิ ขาทนฺตา สุรํ ปิวนฺติฯ มาณโว มํสาทีนิ น ขาทติ, สุรํ น ปิวติฯ เต มนฺตยิํสุ – ‘‘อยํ สุราย อปิวนโต อมฺหากํ มูลํ น เทติ, อุปาเยน นํ สุรํ ปาเยสฺสามา’’ติฯ เต สนฺนิปติตฺวา, ‘‘สมฺม, ฉณกีฬํ กีฬิสฺสามา’’ติ อาหํสุฯ ‘‘สมฺม, ตุเมฺห สุรํ ปิวถ, อหํ สุรํ น ปิวามิ, ตุเมฺหว คจฺฉถา’’ติฯ ‘‘สมฺม, ตว ปิวนตฺถาย ขีรํ คณฺหาเปสฺสามา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ธุตฺตา อุยฺยานํ คนฺตฺวา ปทุมินิปเตฺตสุ ติขิณสุรํ พนฺธาเปตฺวา ฐปยิํสุฯ อถ เนสํ ปานกาเล มาณวสฺส ขีรํ อุปนยิํสุฯ อถ เอโก ธุโตฺต ‘‘โปกฺขรมธุํ, โภ, อาหรา’’ติ อาหราเปตฺวา ปทุมินิปตฺตปุฎํ เหฎฺฐา ฉิทฺทํ กตฺวา องฺคุลีหิ มุเข ฐเปตฺวา อากฑฺฒิฯ เอวํ อิตเรปิ อาหราเปตฺวา ปิวิํสุฯ มาณโว ‘‘กิํ นาเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘โปกฺขรมธุนามา’’ติฯ ‘‘อหมฺปิ โถกํ ลภิสฺสามิ, เทถ โภโนฺต’’ติฯ ตสฺสปิ ทาปยิํสุฯ โส โปกฺขรมธุสญฺญาย สุรํ ปิวิฯ อถสฺส องฺคารปกฺกมํสํ อทํสุ, ตมฺปิ ขาทิฯ

    Tato kāḷahatthi ‘‘ayaṃ rājā ativiya rasagiddho, aparānipissa udāharaṇāni āharissāmī’’ti cintetvā, ‘‘mahārāja, viramāhī’’ti āha. ‘‘Ahaṃ viramituṃ na sakkomī’’ti. Deva, sace na viramissasi, tuvaṃ ñātimaṇḍalato ceva rajjasirito ca parihāyissasi. Atītasmiñhi, mahārāja, idheva bārāṇasiyaṃ pañcasīlarakkhakaṃ sotthiyakulaṃ ahosi . Tassa kulassa ekaputtako ahosi. So mātāpitūnaṃ piyo manāpo ahosi paṇḍito byatto tiṇṇaṃ vedānaṃ pāragū. So samavayehi taruṇehi saddhiṃ gaṇabandhanena vicari. Sesā gaṇabandhā macchamaṃsādīni khādantā suraṃ pivanti. Māṇavo maṃsādīni na khādati, suraṃ na pivati. Te mantayiṃsu – ‘‘ayaṃ surāya apivanato amhākaṃ mūlaṃ na deti, upāyena naṃ suraṃ pāyessāmā’’ti. Te sannipatitvā, ‘‘samma, chaṇakīḷaṃ kīḷissāmā’’ti āhaṃsu. ‘‘Samma, tumhe suraṃ pivatha, ahaṃ suraṃ na pivāmi, tumheva gacchathā’’ti. ‘‘Samma, tava pivanatthāya khīraṃ gaṇhāpessāmā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Dhuttā uyyānaṃ gantvā paduminipattesu tikhiṇasuraṃ bandhāpetvā ṭhapayiṃsu. Atha nesaṃ pānakāle māṇavassa khīraṃ upanayiṃsu. Atha eko dhutto ‘‘pokkharamadhuṃ, bho, āharā’’ti āharāpetvā paduminipattapuṭaṃ heṭṭhā chiddaṃ katvā aṅgulīhi mukhe ṭhapetvā ākaḍḍhi. Evaṃ itarepi āharāpetvā piviṃsu. Māṇavo ‘‘kiṃ nāmeta’’nti pucchi. ‘‘Pokkharamadhunāmā’’ti. ‘‘Ahampi thokaṃ labhissāmi, detha bhonto’’ti. Tassapi dāpayiṃsu. So pokkharamadhusaññāya suraṃ pivi. Athassa aṅgārapakkamaṃsaṃ adaṃsu, tampi khādi.

    เอวมสฺส ปุนปฺปุนํ ปิวนฺตสฺส มตฺตกาเล ‘‘น เอตํ โปกฺขรมธุ, สุรา เอสา’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘เอตฺตกํ กาลํ เอวํ มธุรรสํ น ชานิํ, อาหรถ, โภ, สุร’’นฺติ อาหฯ เต อาหริตฺวา ปุนปิ อทํสุฯ ปิปาสา มหตี อโหสิฯ อถสฺส ปุนปิ ยาจนฺตสฺส ‘‘ขีณา’’ติ วทิํสุฯ โส ‘‘หนฺท ตํ, โภ, อาหราเปถา’’ติ องฺคุลิมุทฺทิกํ อทาสิ, โส สกลทิวสํ เตหิ สทฺธิํ ปิวิตฺวา มโตฺต รตฺตโกฺข กมฺปโนฺต วิลปโนฺต เคหํ คนฺตฺวา นิปชฺชิฯ อถสฺส ปิตา สุราย ปิวิตภาวํ ญตฺวา วิคเต มเตฺต, ‘‘ตาต, อยุตฺตํ เต กตํ โสตฺติยกุเล ชาเตน สุรํ ปิวเนฺตน, มา ปุน เอวํ อกาสี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, โก มยฺหํ โทโส’’ติฯ ‘‘สุราย ปิวิตภาโว’’ติฯ ‘‘ตาต, กิํ กเถสิ, มยา เอวรูปํ มธุรรสํ เอตฺตกํ กาลํ อลทฺธปุพฺพ’’นฺติฯ พฺราหฺมโณ ปุนปฺปุนํ ยาจิฯ โสปิ ‘‘น สโกฺกมิ วิรมิตุ’’นฺติ อาหฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘เอวํ สเนฺต อมฺหากํ กุลวํโส จ อุจฺฉิชฺชิสฺสติ, ธนญฺจ วินสฺสิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Evamassa punappunaṃ pivantassa mattakāle ‘‘na etaṃ pokkharamadhu, surā esā’’ti vadiṃsu. So ‘‘ettakaṃ kālaṃ evaṃ madhurarasaṃ na jāniṃ, āharatha, bho, sura’’nti āha. Te āharitvā punapi adaṃsu. Pipāsā mahatī ahosi. Athassa punapi yācantassa ‘‘khīṇā’’ti vadiṃsu. So ‘‘handa taṃ, bho, āharāpethā’’ti aṅgulimuddikaṃ adāsi, so sakaladivasaṃ tehi saddhiṃ pivitvā matto rattakkho kampanto vilapanto gehaṃ gantvā nipajji. Athassa pitā surāya pivitabhāvaṃ ñatvā vigate matte, ‘‘tāta, ayuttaṃ te kataṃ sottiyakule jātena suraṃ pivantena, mā puna evaṃ akāsī’’ti āha. ‘‘Tāta, ko mayhaṃ doso’’ti. ‘‘Surāya pivitabhāvo’’ti. ‘‘Tāta, kiṃ kathesi, mayā evarūpaṃ madhurarasaṃ ettakaṃ kālaṃ aladdhapubba’’nti. Brāhmaṇo punappunaṃ yāci. Sopi ‘‘na sakkomi viramitu’’nti āha. Atha brāhmaṇo ‘‘evaṃ sante amhākaṃ kulavaṃso ca ucchijjissati, dhanañca vinassissatī’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๓๘๓.

    383.

    ‘‘มาณว อภิรูโปสิ, กุเล ชาโตสิ โสตฺถิเย;

    ‘‘Māṇava abhirūposi, kule jātosi sotthiye;

    น ตฺวํ อรหสิ ตาต, อภกฺขํ ภกฺขเยตเว’’ติฯ

    Na tvaṃ arahasi tāta, abhakkhaṃ bhakkhayetave’’ti.

    ตตฺถ , มาณวาติ, มาณว, ตฺวํ อภิรูโป อสิ, โสตฺถิเย กุเล ชาโตปิ อสิฯ อภกฺขํ ภกฺขเยตเวติ, ตาต, ตฺวํ อภกฺขิตพฺพยุตฺตกํ ภกฺขยิตุํ น อรหสิฯ

    Tattha , māṇavāti, māṇava, tvaṃ abhirūpo asi, sotthiye kule jātopi asi. Abhakkhaṃ bhakkhayetaveti, tāta, tvaṃ abhakkhitabbayuttakaṃ bhakkhayituṃ na arahasi.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา, ‘‘ตาต, วิรม, สเจ น วิรมสิ, อหํ ตํ อิโต เคหา นิกฺขาเมสฺสามิ, ตว รฎฺฐา ปพฺพาชนียกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อาหฯ มาณโว ‘‘เอวํ สเนฺตปิ อหํ สุรํ ชหิตุํ น สโกฺกมี’’ติ วตฺวา คาถาทฺวยมาห –

    Evañca pana vatvā, ‘‘tāta, virama, sace na viramasi, ahaṃ taṃ ito gehā nikkhāmessāmi, tava raṭṭhā pabbājanīyakammaṃ karissāmī’’ti āha. Māṇavo ‘‘evaṃ santepi ahaṃ suraṃ jahituṃ na sakkomī’’ti vatvā gāthādvayamāha –

    ๓๘๔.

    384.

    ‘‘รสานํ อญฺญตรํ เอตํ, กสฺมา มํ ตฺวํ นิวารเย;

    ‘‘Rasānaṃ aññataraṃ etaṃ, kasmā maṃ tvaṃ nivāraye;

    โสหํ ตตฺถ คมิสฺสามิ, ยตฺถ ลจฺฉามิ เอทิสํฯ

    Sohaṃ tattha gamissāmi, yattha lacchāmi edisaṃ.

    ๓๘๕.

    385.

    ‘‘โสวาหํ นิปฺปติสฺสามิ, นเต วจฺฉามิ สนฺติเก;

    ‘‘Sovāhaṃ nippatissāmi, nate vacchāmi santike;

    ยสฺส เม ทสฺสเนน ตฺวํ, นาภินนฺทสิ พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Yassa me dassanena tvaṃ, nābhinandasi brāhmaṇā’’ti.

    ตตฺถ รสานนฺติ โลณมฺพิลติตฺตกกฎุกขาริกมธุรกสาวสงฺขาตานํ สตฺตนฺนํ รสานํ อญฺญตรํ อุตฺตมรสเมตํ มชฺชํ นามฯ โสวาหนฺติ โส อหํ เอวฯ นิปฺปติสฺสามีติ นิกฺขมิสฺสามิฯ

    Tattha rasānanti loṇambilatittakakaṭukakhārikamadhurakasāvasaṅkhātānaṃ sattannaṃ rasānaṃ aññataraṃ uttamarasametaṃ majjaṃ nāma. Sovāhanti so ahaṃ eva. Nippatissāmīti nikkhamissāmi.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘นาหํ สุราปานา วิรมิสฺสามิ, ยํ เต รุจฺจติ, ตํ กโรหี’’ติ อาหฯ อถ พฺราหฺมโณ ‘‘ตยิ อเมฺห ปริจฺจชเนฺต มยมฺปิ ตํ ปริจฺจชิสฺสามา’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘nāhaṃ surāpānā viramissāmi, yaṃ te ruccati, taṃ karohī’’ti āha. Atha brāhmaṇo ‘‘tayi amhe pariccajante mayampi taṃ pariccajissāmā’’ti vatvā gāthamāha –

    ๓๘๖.

    386.

    ‘‘อทฺธา อเญฺญปิ ทายาเท, ปุเตฺต ลจฺฉาม มาณว;

    ‘‘Addhā aññepi dāyāde, putte lacchāma māṇava;

    ตฺวญฺจ ชมฺม วินสฺสสุ, ยตฺถ ปตฺตํ น ตํ สุเณ’’ติฯ

    Tvañca jamma vinassasu, yattha pattaṃ na taṃ suṇe’’ti.

    ตตฺถ ยตฺถ ปตฺตนฺติ ยตฺถ คตํ ตํ ‘‘อสุกฎฺฐาเน นาม วสตี’’ติ น สุโณม, ตตฺถ คจฺฉาหีติ อโตฺถฯ

    Tattha yattha pattanti yattha gataṃ taṃ ‘‘asukaṭṭhāne nāma vasatī’’ti na suṇoma, tattha gacchāhīti attho.

    อถ นํ วินิจฺฉยํ เนตฺวา อปุตฺตภาวํ กตฺวา นีหราเปสิฯ โส อปรภาเค นิปฺปจฺจโย กปโณ ชิณฺณปิโลติกํ นิวาเสตฺวา กปาลหโตฺถ ปิณฺฑาย จรโนฺต อญฺญตรํ กุฎฺฎํ นิสฺสาย กาลมกาสิฯ อิทํ การณํ อาหริตฺวา กาฬหตฺถิ รโญฺญ ทเสฺสตฺวา, ‘‘มหาราช, สเจ ตฺวํ อมฺหากํ วจนํ น กริสฺสสิ, ปพฺพาชนียกมฺมํ เต กริสฺสนฺตี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ vinicchayaṃ netvā aputtabhāvaṃ katvā nīharāpesi. So aparabhāge nippaccayo kapaṇo jiṇṇapilotikaṃ nivāsetvā kapālahattho piṇḍāya caranto aññataraṃ kuṭṭaṃ nissāya kālamakāsi. Idaṃ kāraṇaṃ āharitvā kāḷahatthi rañño dassetvā, ‘‘mahārāja, sace tvaṃ amhākaṃ vacanaṃ na karissasi, pabbājanīyakammaṃ te karissantī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๓๘๗.

    387.

    ‘‘เอวเมว ตุวํ ราช, ทฺวิปทินฺท สุโณหิ เม;

    ‘‘Evameva tuvaṃ rāja, dvipadinda suṇohi me;

    ปพฺพาเชสฺสนฺติ ตํ รฎฺฐา, โสณฺฑํ มาณวกํ ยถา’’ติฯ

    Pabbājessanti taṃ raṭṭhā, soṇḍaṃ māṇavakaṃ yathā’’ti.

    ตตฺถ ทฺวิปทินฺทาติ ทฺวิปทานํ อินฺท, โภ มหาราช, เม มม วจนํ สุโณหิ ตุวํ, เอวเมว โสณฺฑํ มาณวกํ ยถา ตํ ภวนฺตํ รฎฺฐโต ปพฺพาเชสฺสนฺติฯ

    Tattha dvipadindāti dvipadānaṃ inda, bho mahārāja, me mama vacanaṃ suṇohi tuvaṃ, evameva soṇḍaṃ māṇavakaṃ yathā taṃ bhavantaṃ raṭṭhato pabbājessanti.

    เอวํ กาฬหตฺถินา อุปมาย อาหฎายปิ ราชา ตโต วิรมิตุํ อสโกฺกโนฺต อปรมฺปิ อุทาหรณํ ทเสฺสตุํ อาห –

    Evaṃ kāḷahatthinā upamāya āhaṭāyapi rājā tato viramituṃ asakkonto aparampi udāharaṇaṃ dassetuṃ āha –

    ๓๘๘.

    388.

    ‘‘สุชาโต นาม นาเมน, ภาวิตตฺตาน สาวโก;

    ‘‘Sujāto nāma nāmena, bhāvitattāna sāvako;

    อจฺฉรํ กามยโนฺตว, น โส ภุญฺชิ น โส ปิวิฯ

    Accharaṃ kāmayantova, na so bhuñji na so pivi.

    ๓๘๙.

    389.

    ‘‘กุสเคฺคนุทกมาทาย, สมุเทฺท อุทกํ มิเน;

    ‘‘Kusaggenudakamādāya, samudde udakaṃ mine;

    เอวํ มานุสกา กามา, ทิพฺพกามาน สนฺติเกฯ

    Evaṃ mānusakā kāmā, dibbakāmāna santike.

    ๓๙๐.

    390.

    ‘‘เอวเมว อหํ กาฬ, ภุตฺวา ภกฺขํ รสุตฺตมํ;

    ‘‘Evameva ahaṃ kāḷa, bhutvā bhakkhaṃ rasuttamaṃ;

    อลทฺธา มานุสํ มํสํ, มเญฺญ หิสฺสามิ ชีวิต’’นฺติฯ

    Aladdhā mānusaṃ maṃsaṃ, maññe hissāmi jīvita’’nti.

    วตฺถุ เหฎฺฐา วุตฺตสทิสเมวฯ

    Vatthu heṭṭhā vuttasadisameva.

    ตตฺถ ภาวิตตฺตานาติ ภาวิตจิตฺตานํ เตสํ ปญฺจนฺนํ อิสิสตานํฯ อจฺฉรํ กามยโนฺตวาติ โส กิร เตสํ อิสีนํ มหาชมฺพุเปสิยา ขาทนกาเล อนาคมนํ วิทิตฺวา ‘‘กิํ นุ โข การณา น อาคจฺฉนฺติ, สเจ กตฺถจิ คตา, ชานิสฺสามิ, โน เจ, อถ เนสํ สนฺติเก ธมฺมํ สุณิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ คนฺตฺวา อิสิคเณ วนฺทิตฺวา คณเชฎฺฐกสฺส สนฺติเก ธมฺมํ สุณโนฺต นิสิโนฺนว สูริเย อตฺถงฺคเต อุโยฺยชิยมาโนปิ ‘‘อชฺช อิเธว วสิสฺสามี’’ติ วตฺวา อิสิคณํ วนฺทิตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชิฯ รตฺติภาเค สโกฺก เทวราชา เทวจฺฉราสงฺฆปริวุโต สทฺธิํ อตฺตโน ปริจาริกาหิ อิสิคณํ วนฺทิตุํ อาคโต, สกลาราโม เอโกภาโส อโหสิฯ สุชาโต ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ อุฎฺฐาย ปณฺณสาลฉิเทฺทน โอโลเกโนฺต สกฺกํ อิสิคณํ วนฺทิตุํ อาคตํ เทวจฺฉราปริวุตํ ทิสฺวา อจฺฉรานํ สห ทสฺสเนน ราครโตฺต อโหสิฯ สโกฺก นิสีทิตฺวา ธมฺมกถํ สุตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ กุฎุมฺพิโกปิ ปุนทิวเส อิสิคณํ วนฺทิตฺวา ปุจฺฉิ – ‘‘ภเนฺต, โก นาเมส รตฺติภาเค ตุมฺหากํ วนฺทนตฺถาย อาคโต’’ติ? ‘‘สโกฺก, อาวุโส’’ติฯ ‘‘ตํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา กา นาเมตา’’ติ? ‘‘เทวจฺฉรา นาเมตา’’ติฯ โส อิสิคณํ วนฺทิตฺวา เคหํ คนฺตฺวา คตกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘อจฺฉรํ เม เทถ, อจฺฉรํ เม เทถา’’ติ วิลปิฯ ญาตกา ปริวาเรตฺวา ‘‘ภูตาวิโฎฺฐ นุ โข’’ติ อจฺฉรํ ปหริํสุฯ โส ‘‘นาหํ เอตํ อจฺฉรํ กเถมิ, เทวจฺฉรํ กเถมี’’ติ วตฺวา ‘‘อยํ อจฺฉรา’’ติ อลงฺกริตฺวา อานีตํ ภริยมฺปิ คณิกมฺปิ โอโลเกโนฺต ‘‘นายํ อจฺฉรา, ยกฺขินี เอสา, เทวจฺฉรํ เม เทถา’’ติ วิลปโนฺต นิราหาโร หุตฺวา ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาปุณิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tattha bhāvitattānāti bhāvitacittānaṃ tesaṃ pañcannaṃ isisatānaṃ. Accharaṃ kāmayantovāti so kira tesaṃ isīnaṃ mahājambupesiyā khādanakāle anāgamanaṃ viditvā ‘‘kiṃ nu kho kāraṇā na āgacchanti, sace katthaci gatā, jānissāmi, no ce, atha nesaṃ santike dhammaṃ suṇissāmī’’ti uyyānaṃ gantvā isigaṇe vanditvā gaṇajeṭṭhakassa santike dhammaṃ suṇanto nisinnova sūriye atthaṅgate uyyojiyamānopi ‘‘ajja idheva vasissāmī’’ti vatvā isigaṇaṃ vanditvā paṇṇasālaṃ pavisitvā nipajji. Rattibhāge sakko devarājā devaccharāsaṅghaparivuto saddhiṃ attano paricārikāhi isigaṇaṃ vandituṃ āgato, sakalārāmo ekobhāso ahosi. Sujāto ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti uṭṭhāya paṇṇasālachiddena olokento sakkaṃ isigaṇaṃ vandituṃ āgataṃ devaccharāparivutaṃ disvā accharānaṃ saha dassanena rāgaratto ahosi. Sakko nisīditvā dhammakathaṃ sutvā sakaṭṭhānameva gato. Kuṭumbikopi punadivase isigaṇaṃ vanditvā pucchi – ‘‘bhante, ko nāmesa rattibhāge tumhākaṃ vandanatthāya āgato’’ti? ‘‘Sakko, āvuso’’ti. ‘‘Taṃ parivāretvā nisinnā kā nāmetā’’ti? ‘‘Devaccharā nāmetā’’ti. So isigaṇaṃ vanditvā gehaṃ gantvā gatakālato paṭṭhāya ‘‘accharaṃ me detha, accharaṃ me dethā’’ti vilapi. Ñātakā parivāretvā ‘‘bhūtāviṭṭho nu kho’’ti accharaṃ pahariṃsu. So ‘‘nāhaṃ etaṃ accharaṃ kathemi, devaccharaṃ kathemī’’ti vatvā ‘‘ayaṃ accharā’’ti alaṅkaritvā ānītaṃ bhariyampi gaṇikampi olokento ‘‘nāyaṃ accharā, yakkhinī esā, devaccharaṃ me dethā’’ti vilapanto nirāhāro hutvā tattheva jīvitakkhayaṃ pāpuṇi. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อจฺฉรํ กามยโนฺตว, น โส ภุญฺชิ น โส ปิวี’’ติฯ

    ‘‘Accharaṃ kāmayantova, na so bhuñji na so pivī’’ti.

    กุสเคฺคนุทกมาทาย, สมุเทฺท อุทกํ มิเนติ, สมฺม กาฬหตฺถิ, โย กุสเคฺคเนว อุทกํ คเหตฺวา ‘‘เอตฺตกํ สิยา มหาสมุเทฺท อุทก’’นฺติ เตน สทฺธิํ อุปมาย มิเนยฺย, โส เกวลํ มิเนเยฺยว, กุสเคฺค ปน อุทกํ อติปริตฺตกเมวฯ ยถา ตํ, เอวํ มานุสกา กามา ทิพฺพกามานํ สนฺติเก, ตสฺมา โส สุชาโต อญฺญํ อิตฺถิํ น โอโลเกสิ, อจฺฉรเมว ปเตฺถโนฺต มโตฯ เอวเมวาติ ยถา โส ทิพฺพกามํ อลภโนฺต ชีวิตํ ชหิ, เอวํ อหมฺปิ อุตฺตมรสํ มนุสฺสมํสํ อลภโนฺต ชีวิตํ ชหิสฺสามีติ วทติฯ

    Kusaggenudakamādāya, samudde udakaṃ mineti, samma kāḷahatthi, yo kusaggeneva udakaṃ gahetvā ‘‘ettakaṃ siyā mahāsamudde udaka’’nti tena saddhiṃ upamāya mineyya, so kevalaṃ mineyyeva, kusagge pana udakaṃ atiparittakameva. Yathā taṃ, evaṃ mānusakā kāmā dibbakāmānaṃ santike, tasmā so sujāto aññaṃ itthiṃ na olokesi, accharameva patthento mato. Evamevāti yathā so dibbakāmaṃ alabhanto jīvitaṃ jahi, evaṃ ahampi uttamarasaṃ manussamaṃsaṃ alabhanto jīvitaṃ jahissāmīti vadati.

    ตํ สุตฺวา กาฬหตฺถิ ‘‘อยํ ราชา อติวิย รสคิโทฺธ, สญฺญาเปสฺสามิ น’’นฺติ สกชาติกานํ มํสํ ขาทิตฺวา อากาสจรา สุวณฺณหํสาปิ ตาว วินฎฺฐาติ ทเสฺสตุํ คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā kāḷahatthi ‘‘ayaṃ rājā ativiya rasagiddho, saññāpessāmi na’’nti sakajātikānaṃ maṃsaṃ khāditvā ākāsacarā suvaṇṇahaṃsāpi tāva vinaṭṭhāti dassetuṃ gāthādvayamāha –

    ๓๙๑.

    391.

    ‘‘ยถาปิ เต ธตรฎฺฐา, หํสา เวหายสงฺคมา;

    ‘‘Yathāpi te dhataraṭṭhā, haṃsā vehāyasaṅgamā;

    อภุตฺตปริโภเคน, สเพฺพ อพฺภตฺถตํ คตาฯ

    Abhuttaparibhogena, sabbe abbhatthataṃ gatā.

    ๓๙๒.

    392.

    ‘‘เอวเมว ตุวํ ราช, ทฺวิปทินฺท สุโณหิ เม;

    ‘‘Evameva tuvaṃ rāja, dvipadinda suṇohi me;

    อภกฺขํ ราช ภเกฺขสิ, ตสฺมา ปพฺพาชยนฺติ ต’’นฺติฯ

    Abhakkhaṃ rāja bhakkhesi, tasmā pabbājayanti ta’’nti.

    ตตฺถ อภุตฺตปริโภเคนาติ อตฺตโน สมานชาติกานํ ปริโภเคนฯ อพฺภตฺถตํ คตาติ สเพฺพ มรณเมว ปตฺตาฯ อตีเต กิร จิตฺตกูเฎ สุวณฺณคุหายํ นวุติ หํสสหสฺสานิ วสนฺติฯ เต วสฺสิเก จตฺตาโร มาเส น นิกฺขมนฺติ, สเจ นิกฺขเมยฺยุํ, อุทกปุเณฺณหิ ปเตฺตหิ อุปฺปติตุํ อสโกฺกนฺตา มหาสมุเทฺทเยว ปเตยฺยุํ, ตสฺมา น จ นิกฺขมนฺติฯ อุปกเฎฺฐ ปน วสฺสกาเล ชาตสฺสรโต สยํชาตสาลิโย อาหริตฺวา คุหํ ปูเรตฺวา สาลิํ ขาทนฺตา วสนฺติฯ เตสํ ปน คุหํ ปวิฎฺฐกาเล คุหทฺวาเร เอโก รถจกฺกปฺปมาโณ อุณฺณนาภิ นาม มกฺกฎโก เอเกกสฺมิํ มาเส เอเกกํ ชาลํ วินนฺธติฯ ตสฺส เอเกกํ สุตฺตํ โครชฺชุปฺปมาณํ โหติฯ หํสา ‘‘ตํ ชาลํ ภินฺทิสฺสตี’’ติ เอกสฺส ตรุณหํสสฺส เทฺว โกฎฺฐาเส เทนฺติฯ โส วิคเต เทเว ปุรโต คนฺตฺวา ตํ ชาลํ ภินฺทติฯ เตน มเคฺคน เสสา คจฺฉนฺติฯ อเถกสฺมิํ กาเล ปญฺจ มาเส วโสฺส วุโฎฺฐ อโหสิฯ หํสา ขีณโคจรา ‘‘กิํ นุ โข กตฺตพฺพ’’นฺติ มเนฺตตฺวา ‘‘มยํ ชีวนฺตา อณฺฑานิ ลภิสฺสามา’’ติ ปฐมํ อณฺฑานิ ขาทิํสุ, ตโต โปตเก, ตโต ชิณฺณหํเสฯ ปญฺจมาสจฺจเยน วสฺสํ อปคตํฯ มกฺกฎโก ปญฺจ ชาลานิ วินนฺธิฯ หํสา สกชาติกานํ มํสํ ขาทิตฺวา อปฺปถามา ชาตาฯ ทฺวิคุณโกฎฺฐาสลาภี หํสตรุโณ ชาเล ปหริตฺวา จตฺตาริ ภินฺทิ, ปญฺจมํ ฉินฺทิตุํ นาสกฺขิ, ตเตฺถว ลคฺคิฯ อถสฺส สีสํ วิชฺฌิตฺวา มกฺกฎโก โลหิตํ ปิวิฯ อโญฺญปิ อาคนฺตฺวา ชาลํ ปหริ, โสปิ ตเตฺถว ลคฺคีติ เอวํ สเพฺพสํ มกฺกฎโก โลหิตํ ปิวิฯ ตทา ธตรฎฺฐกุลํ อุจฺฉินฺนนฺติ วทนฺติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘สเพฺพ อพฺภตฺถตํคตา’’ติฯ

    Tattha abhuttaparibhogenāti attano samānajātikānaṃ paribhogena. Abbhatthataṃ gatāti sabbe maraṇameva pattā. Atīte kira cittakūṭe suvaṇṇaguhāyaṃ navuti haṃsasahassāni vasanti. Te vassike cattāro māse na nikkhamanti, sace nikkhameyyuṃ, udakapuṇṇehi pattehi uppatituṃ asakkontā mahāsamuddeyeva pateyyuṃ, tasmā na ca nikkhamanti. Upakaṭṭhe pana vassakāle jātassarato sayaṃjātasāliyo āharitvā guhaṃ pūretvā sāliṃ khādantā vasanti. Tesaṃ pana guhaṃ paviṭṭhakāle guhadvāre eko rathacakkappamāṇo uṇṇanābhi nāma makkaṭako ekekasmiṃ māse ekekaṃ jālaṃ vinandhati. Tassa ekekaṃ suttaṃ gorajjuppamāṇaṃ hoti. Haṃsā ‘‘taṃ jālaṃ bhindissatī’’ti ekassa taruṇahaṃsassa dve koṭṭhāse denti. So vigate deve purato gantvā taṃ jālaṃ bhindati. Tena maggena sesā gacchanti. Athekasmiṃ kāle pañca māse vasso vuṭṭho ahosi. Haṃsā khīṇagocarā ‘‘kiṃ nu kho kattabba’’nti mantetvā ‘‘mayaṃ jīvantā aṇḍāni labhissāmā’’ti paṭhamaṃ aṇḍāni khādiṃsu, tato potake, tato jiṇṇahaṃse. Pañcamāsaccayena vassaṃ apagataṃ. Makkaṭako pañca jālāni vinandhi. Haṃsā sakajātikānaṃ maṃsaṃ khāditvā appathāmā jātā. Dviguṇakoṭṭhāsalābhī haṃsataruṇo jāle paharitvā cattāri bhindi, pañcamaṃ chindituṃ nāsakkhi, tattheva laggi. Athassa sīsaṃ vijjhitvā makkaṭako lohitaṃ pivi. Aññopi āgantvā jālaṃ pahari, sopi tattheva laggīti evaṃ sabbesaṃ makkaṭako lohitaṃ pivi. Tadā dhataraṭṭhakulaṃ ucchinnanti vadanti. Tena vuttaṃ ‘‘sabbe abbhatthataṃgatā’’ti.

    เอวเมว ตุวนฺติ ยถา เอเต หํสา อภกฺขํ สกชาติกมํสํ ขาทิํสุ, ตถา ตฺวมฺปิ ขาทสิ, สกลนครํ ภยปฺปตฺตํ, วิรม, มหาราชาติฯ ตสฺมา ปพฺพาชยนฺติ ตนฺติ ยสฺมา อภกฺขํ สกชาติกมํสํ ภเกฺขสิ, ตสฺมา อิเม นครวาสิโน ตํ รฎฺฐา ปพฺพาชยนฺติฯ

    Evameva tuvanti yathā ete haṃsā abhakkhaṃ sakajātikamaṃsaṃ khādiṃsu, tathā tvampi khādasi, sakalanagaraṃ bhayappattaṃ, virama, mahārājāti. Tasmā pabbājayanti tanti yasmā abhakkhaṃ sakajātikamaṃsaṃ bhakkhesi, tasmā ime nagaravāsino taṃ raṭṭhā pabbājayanti.

    ราชา อญฺญมฺปิ อุปมํ วตฺตุกาโม อโหสิฯ นาครา ปน อุฎฺฐาย, ‘‘สามิ เสนาปติ, กิํ กโรสิ, กิํ มนุสฺสมํสขาทกํ โจรํ คเหตฺวา วิจรสิ, สเจ น วิรมิสฺสติ, รฎฺฐโต นํ ปพฺพาเชหี’’ติ วตฺวา นาสฺส กเถตุํ อทํสุฯ ราชา พหูนํ กถํ สุตฺวา ภีโต ปุน วตฺตุํ นาสกฺขิฯ ปุนปิ นํ เสนาปติ ‘‘กิํ มหาราช วิรมิตุํ สกฺขิสฺสสิ, อุทาหุ น สกฺขิสฺสสี’’ติ วตฺวา ‘‘น สโกฺกมี’’ติ วุเตฺต สพฺพํ โอโรธคณญฺจ ปุตฺตธีตโร จ สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิเต ปเสฺส ฐเปตฺวา, ‘‘มหาราช, อิเม ญาติมณฺฑเล เจว อมจฺจคณญฺจ รชฺชสิริญฺจ โอโลเกหิ, มา วินสฺสิ, วิรม มนุสฺสมํสโต’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘น มยฺหํ เอเต มนุสฺสมํสโต ปิยตรา’’ติ วตฺวา ‘‘เตน หิ, มหาราช, อิมมฺหา นครา จ รฎฺฐา จ นิกฺขมถา’’ติ วุเตฺต, ‘‘กาฬหตฺถิ, น เม รเชฺชนโตฺถ, นครา นิกฺขมามิ, เอกํ ปน เม ขคฺคญฺจ รสกญฺจ ภาชนญฺจ เทหี’’ติ อาหฯ อถสฺส ขคฺคญฺจ มํสปจนภาชนญฺจ ปจฺฉิญฺจ อุกฺขิปาเปตฺวา รสกญฺจ ทตฺวา รฎฺฐา ปพฺพาชนียกมฺมํ กริํสุฯ

    Rājā aññampi upamaṃ vattukāmo ahosi. Nāgarā pana uṭṭhāya, ‘‘sāmi senāpati, kiṃ karosi, kiṃ manussamaṃsakhādakaṃ coraṃ gahetvā vicarasi, sace na viramissati, raṭṭhato naṃ pabbājehī’’ti vatvā nāssa kathetuṃ adaṃsu. Rājā bahūnaṃ kathaṃ sutvā bhīto puna vattuṃ nāsakkhi. Punapi naṃ senāpati ‘‘kiṃ mahārāja viramituṃ sakkhissasi, udāhu na sakkhissasī’’ti vatvā ‘‘na sakkomī’’ti vutte sabbaṃ orodhagaṇañca puttadhītaro ca sabbālaṅkārapaṭimaṇḍite passe ṭhapetvā, ‘‘mahārāja, ime ñātimaṇḍale ceva amaccagaṇañca rajjasiriñca olokehi, mā vinassi, virama manussamaṃsato’’ti āha. Rājā ‘‘na mayhaṃ ete manussamaṃsato piyatarā’’ti vatvā ‘‘tena hi, mahārāja, imamhā nagarā ca raṭṭhā ca nikkhamathā’’ti vutte, ‘‘kāḷahatthi, na me rajjenattho, nagarā nikkhamāmi, ekaṃ pana me khaggañca rasakañca bhājanañca dehī’’ti āha. Athassa khaggañca maṃsapacanabhājanañca pacchiñca ukkhipāpetvā rasakañca datvā raṭṭhā pabbājanīyakammaṃ kariṃsu.

    โส ขคฺคญฺจ รสกญฺจ อาทาย นครา นิกฺขมิตฺวา อรญฺญํ ปวิสิตฺวา เอกสฺมิํ นิโคฺรธมูเล วสนฎฺฐานํ กตฺวา ตตฺถ วสโนฺต อฎวิมเคฺค ฐตฺวา มนุเสฺส มาเรตฺวา อาหริตฺวา รสกสฺส เทติฯ โสปิสฺส มํสํ ปจิตฺวา อุปนาเมติฯ เอวํ อุโภปิ ชีวนฺติฯ มนุสฺสคหณกาเล ‘‘อหํ อเร มนุสฺสโจโร โปริสาโท’’ติ วตฺวา ตสฺมิํ ปกฺขเนฺต โกจิ สกภาเวน สณฺฐาตุํ น สโกฺกติ, สเพฺพ ภูมิยํ ปตนฺติฯ เตสุ ยํ อิจฺฉติ, ตํ อุทฺธํปาทํ อโธสีสํ กตฺวา อาหริตฺวา รสกสฺส เทติฯ โส เอกทิวสํ อรเญฺญ กญฺจิ มนุสฺสํ อลภิตฺวา อาคโต รสเกน ‘‘กิํ เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘อุทฺธเน อุกฺขลิํ อาโรเปหี’’ติ อาหฯ ‘‘มํสํ กหํ, เทวา’’ติ? ‘‘ลภิสฺสามหํ มํส’’นฺติฯ โส ‘‘นตฺถิ เม ทานิ ชีวิต’’นฺติ กมฺปมาโน อุทฺธเน อคฺคิํ กตฺวา อุกฺขลิํ อาโรเปสิฯ อถ นํ โปริสาโท อสินา มาเรตฺวา มํสํ ปจิตฺวา ขาทิฯ ตโต ปฎฺฐาย เอกโกว ชาโต สยเมว ปจิตฺวา ขาทติฯ ‘‘โปริสาโท มเคฺค มคฺคปฎิปเนฺน หนตี’’ติ สกลชมฺพุทีเป ปากโฎ อโหสิฯ

    So khaggañca rasakañca ādāya nagarā nikkhamitvā araññaṃ pavisitvā ekasmiṃ nigrodhamūle vasanaṭṭhānaṃ katvā tattha vasanto aṭavimagge ṭhatvā manusse māretvā āharitvā rasakassa deti. Sopissa maṃsaṃ pacitvā upanāmeti. Evaṃ ubhopi jīvanti. Manussagahaṇakāle ‘‘ahaṃ are manussacoro porisādo’’ti vatvā tasmiṃ pakkhante koci sakabhāvena saṇṭhātuṃ na sakkoti, sabbe bhūmiyaṃ patanti. Tesu yaṃ icchati, taṃ uddhaṃpādaṃ adhosīsaṃ katvā āharitvā rasakassa deti. So ekadivasaṃ araññe kañci manussaṃ alabhitvā āgato rasakena ‘‘kiṃ devā’’ti vutte ‘‘uddhane ukkhaliṃ āropehī’’ti āha. ‘‘Maṃsaṃ kahaṃ, devā’’ti? ‘‘Labhissāmahaṃ maṃsa’’nti. So ‘‘natthi me dāni jīvita’’nti kampamāno uddhane aggiṃ katvā ukkhaliṃ āropesi. Atha naṃ porisādo asinā māretvā maṃsaṃ pacitvā khādi. Tato paṭṭhāya ekakova jāto sayameva pacitvā khādati. ‘‘Porisādo magge maggapaṭipanne hanatī’’ti sakalajambudīpe pākaṭo ahosi.

    ตทา เอโก สมฺปนฺนวิภโว พฺราหฺมโณ ปญฺจหิ สกฎสเตหิ โวหารํ กโรโนฺต ปุพฺพนฺตโต อปรนฺตํ สญฺจรติฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘โปริสาโท นาม กิร โจโร อนฺตรามเคฺค มนุเสฺส มาเรสิ, ธนํ ทตฺวา ตํ อฎวิํ อติกฺกมิสฺสามี’’ติฯ โส อฎวิมุขวาสีนํ มนุสฺสานํ ‘‘ตุเมฺห มํ อฎวิโต อติกฺกาเมถา’’ติ สหสฺสํ ทตฺวา เตหิ สทฺธิํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ คจฺฉโนฺต จ พฺราหฺมโณ สพฺพสตฺถํ ปุรโต กตฺวา สยํ นฺหาตานุลิโตฺต สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต เสตโคณยุเตฺต สุขยานเก นิสิโนฺน เตหิ อฎวิวาสิกปุริเสหิ ปริวุโต สพฺพปจฺฉโต อคมาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ โปริสาโท รุกฺขํ อารุยฺห ปุริเส อุปธาเรโนฺต เสสมนุเสฺสสุ ‘‘กิํ อิเมสุ มยา ขาทิตพฺพํ อตฺถี’’ติ วิคตจฺฉโนฺท หุตฺวา พฺราหฺมณํ ทิฎฺฐกาลโต ปฎฺฐาย ตํ ขาทิตุกามตาย ปคฺฆริตเขโฬ อโหสิฯ โส ตสฺมิํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคเต รุกฺขโต โอรุยฺห ‘‘อหํ อเร โปริสาโท’’ติ นามํ ติกฺขตฺตุํ สาเวตฺวา ขคฺคํ ปริวเตฺตโนฺต วาลุกาย เตสํ อกฺขีนิ ปูเรโนฺต วิย ปกฺขนฺทิฯ เอโกปิ ฐาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, สเพฺพ ภูมิยํ อุเรน นิปชฺชิํสุฯ โส สุขยานเก นิสินฺนํ พฺราหฺมณํ ปาเท คเหตฺวา ปิฎฺฐิยํ อโธสีสกํ โอลเมฺพตฺวา สีสํ โคปฺผเกหิ ปหรโนฺต อุกฺขิปิตฺวา ปายาสิฯ

    Tadā eko sampannavibhavo brāhmaṇo pañcahi sakaṭasatehi vohāraṃ karonto pubbantato aparantaṃ sañcarati. So cintesi – ‘‘porisādo nāma kira coro antarāmagge manusse māresi, dhanaṃ datvā taṃ aṭaviṃ atikkamissāmī’’ti. So aṭavimukhavāsīnaṃ manussānaṃ ‘‘tumhe maṃ aṭavito atikkāmethā’’ti sahassaṃ datvā tehi saddhiṃ maggaṃ paṭipajji. Gacchanto ca brāhmaṇo sabbasatthaṃ purato katvā sayaṃ nhātānulitto sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito setagoṇayutte sukhayānake nisinno tehi aṭavivāsikapurisehi parivuto sabbapacchato agamāsi. Tasmiṃ khaṇe porisādo rukkhaṃ āruyha purise upadhārento sesamanussesu ‘‘kiṃ imesu mayā khāditabbaṃ atthī’’ti vigatacchando hutvā brāhmaṇaṃ diṭṭhakālato paṭṭhāya taṃ khāditukāmatāya paggharitakheḷo ahosi. So tasmiṃ attano santikaṃ āgate rukkhato oruyha ‘‘ahaṃ are porisādo’’ti nāmaṃ tikkhattuṃ sāvetvā khaggaṃ parivattento vālukāya tesaṃ akkhīni pūrento viya pakkhandi. Ekopi ṭhātuṃ samattho nāma natthi, sabbe bhūmiyaṃ urena nipajjiṃsu. So sukhayānake nisinnaṃ brāhmaṇaṃ pāde gahetvā piṭṭhiyaṃ adhosīsakaṃ olambetvā sīsaṃ gopphakehi paharanto ukkhipitvā pāyāsi.

    ตทา เต ปุริสา อุฎฺฐาย, ‘‘โภ, ปุริสา มยํ พฺราหฺมณสฺส หตฺถโต กหาปณสหสฺสํ คณฺหิมฺหา, โก นาม อมฺหากํ ปุริสกาโร, สโกฺกนฺตา วา อสโกฺกนฺตา วา โถกํ อนุพนฺธามา’’ติ วตฺวา อนุพนฺธิํสุฯ โปริสาโทปิ นิวตฺติตฺวา โอโลเกโนฺต กญฺจิ อทิตฺวา สณิกํ ปายาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ถามสมฺปโนฺน เอโก สูรปุริโส เวเคน ตํ ปาปุณิฯ โส ตํ ทิสฺวา เอกํ วติํ ลงฺฆโนฺต ขทิรขาณุกํ อกฺกมิ, ขาณุโก ปิฎฺฐิปาเทน นิกฺขมิฯ โลหิเตน ปคฺฆรเนฺตน ลงฺฆมาโน ยาติฯ อถ นํ โส ทิสฺวา, ‘‘โภ, มยา เอส วิโทฺธ, เกวลํ ตุเมฺห ปจฺฉโต เอถ, คณฺหิสฺสามิ น’’นฺติ อาหฯ เต ทุพฺพลภาวํ ญตฺวา ตํ อนุพนฺธิํสุฯ โส เตหิ อนุพทฺธภาวํ ญตฺวา พฺราหฺมณํ วิสฺสเชฺชตฺวา อตฺตานํ โสตฺถิมกาสิฯ อถ อฎวิวาสิกปุริสา พฺราหฺมณสฺส ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย ‘‘กิํ อมฺหากํ โจเรนา’’ติ ตโต นิวตฺติํสุฯ

    Tadā te purisā uṭṭhāya, ‘‘bho, purisā mayaṃ brāhmaṇassa hatthato kahāpaṇasahassaṃ gaṇhimhā, ko nāma amhākaṃ purisakāro, sakkontā vā asakkontā vā thokaṃ anubandhāmā’’ti vatvā anubandhiṃsu. Porisādopi nivattitvā olokento kañci aditvā saṇikaṃ pāyāsi. Tasmiṃ khaṇe thāmasampanno eko sūrapuriso vegena taṃ pāpuṇi. So taṃ disvā ekaṃ vatiṃ laṅghanto khadirakhāṇukaṃ akkami, khāṇuko piṭṭhipādena nikkhami. Lohitena paggharantena laṅghamāno yāti. Atha naṃ so disvā, ‘‘bho, mayā esa viddho, kevalaṃ tumhe pacchato etha, gaṇhissāmi na’’nti āha. Te dubbalabhāvaṃ ñatvā taṃ anubandhiṃsu. So tehi anubaddhabhāvaṃ ñatvā brāhmaṇaṃ vissajjetvā attānaṃ sotthimakāsi. Atha aṭavivāsikapurisā brāhmaṇassa laddhakālato paṭṭhāya ‘‘kiṃ amhākaṃ corenā’’ti tato nivattiṃsu.

    โปริสาโทปิ อตฺตโน นิโคฺรธมูลํ คนฺตฺวา ปาโรหนฺตรํ ปวิสิตฺวา นิปโนฺน, ‘‘อเยฺย รุกฺขเทวเต, สเจ เม สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว วณํ ผาสุกํ กาตุํ สกฺขิสฺสสิ, สกลชมฺพุทีเป เอกสตขตฺติยานํ คลโลหิเตน ตว ขนฺธํ โธวิตฺวา อเนฺตหิ ปริกฺขิปิตฺวา ปญฺจมธุรมํเสน พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อายาจนํ กริฯ ตสฺส อนฺนปานมํสํ อลภนฺตสฺส สรีรํ สุสฺสิตฺวา อโนฺตสตฺตาเหเยว วโณ ผาสุโก อโหสิฯ โส เทวตานุภาเวน ตสฺส ผาสุกภาวํ สลฺลเกฺขสิฯ โส กติปาหํ มนุสฺสมํสํ ขาทิตฺวา พลํ คเหตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘พหุปการา เม เทวตา, อายาจนา อสฺสา มุจฺจิสฺสามี’’ติฯ โส ขคฺคํ อาทาย รุกฺขมูลโต นิกฺขมิตฺวา ‘‘ราชาโน อาเนสฺสามี’’ติ ปายาสิฯ อถ นํ ปุริมภเว ยกฺขกาเล เอกโต มนุสฺสมํสขาทโก สหายกยโกฺข อนุวิจรนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มม อตีตภเว สหาโย’’ติ ญตฺวา, ‘‘สมฺม, มํ สญฺชานาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น สญฺชานามี’’ติฯ อถสฺส ปุริมภเว กตการณํ กเถสิฯ โส ตํ สญฺชานิตฺวา ปฎิสนฺถารมกาสิฯ ‘‘กหํ นิพฺพโตฺตสี’’ติ ปุโฎฺฐ นิพฺพตฺตฎฺฐานญฺจ รฎฺฐา ปพฺพาชิตการณญฺจ อิทานิ วสนฎฺฐานญฺจ ขาณุนา วิทฺธการณญฺจ เทวตาย อายาจนาโมจนตฺถํ คมนการณญฺจ สพฺพํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตยาปิ มเมตํ กิจฺจํ นิตฺถริตพฺพํ, อุโภปิ คจฺฉาม, สมฺมา’’ติ อาหฯ ‘‘สมฺม น คเจฺฉยฺยาหํ, เอกํ ปน เม กมฺมํ อตฺถิ, อหํ โข ปน อนคฺฆํ ปทลกฺขณํ นาม เอกํ มนฺตํ ชานามิ, โส พลญฺจ ชวญฺจ สทฺทญฺจ กโรติ, ตํ มนฺตํ คณฺหาหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ยโกฺขปิสฺส ตํ ทตฺวา ปกฺกามิฯ

    Porisādopi attano nigrodhamūlaṃ gantvā pārohantaraṃ pavisitvā nipanno, ‘‘ayye rukkhadevate, sace me sattāhabbhantareyeva vaṇaṃ phāsukaṃ kātuṃ sakkhissasi, sakalajambudīpe ekasatakhattiyānaṃ galalohitena tava khandhaṃ dhovitvā antehi parikkhipitvā pañcamadhuramaṃsena balikammaṃ karissāmī’’ti āyācanaṃ kari. Tassa annapānamaṃsaṃ alabhantassa sarīraṃ sussitvā antosattāheyeva vaṇo phāsuko ahosi. So devatānubhāvena tassa phāsukabhāvaṃ sallakkhesi. So katipāhaṃ manussamaṃsaṃ khāditvā balaṃ gahetvā cintesi – ‘‘bahupakārā me devatā, āyācanā assā muccissāmī’’ti. So khaggaṃ ādāya rukkhamūlato nikkhamitvā ‘‘rājāno ānessāmī’’ti pāyāsi. Atha naṃ purimabhave yakkhakāle ekato manussamaṃsakhādako sahāyakayakkho anuvicarantaṃ disvā ‘‘ayaṃ mama atītabhave sahāyo’’ti ñatvā, ‘‘samma, maṃ sañjānāsī’’ti pucchi. ‘‘Na sañjānāmī’’ti. Athassa purimabhave katakāraṇaṃ kathesi. So taṃ sañjānitvā paṭisanthāramakāsi. ‘‘Kahaṃ nibbattosī’’ti puṭṭho nibbattaṭṭhānañca raṭṭhā pabbājitakāraṇañca idāni vasanaṭṭhānañca khāṇunā viddhakāraṇañca devatāya āyācanāmocanatthaṃ gamanakāraṇañca sabbaṃ ārocetvā ‘‘tayāpi mametaṃ kiccaṃ nittharitabbaṃ, ubhopi gacchāma, sammā’’ti āha. ‘‘Samma na gaccheyyāhaṃ, ekaṃ pana me kammaṃ atthi, ahaṃ kho pana anagghaṃ padalakkhaṇaṃ nāma ekaṃ mantaṃ jānāmi, so balañca javañca saddañca karoti, taṃ mantaṃ gaṇhāhī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Yakkhopissa taṃ datvā pakkāmi.

    โปริสาโท มนฺตํ อุคฺคเหตฺวา ตโต ปฎฺฐาย วาตชโว อติสูโร อโหสิฯ โส สตฺตาหพฺภนฺตเรเยว เอกสตราชาโน อุยฺยานาทีนิ คจฺฉเนฺต ทิสฺวา วาตเวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา ‘‘อหํ อเร มนุสฺสโจโร โปริสาโท’’ติ นามํ สาเวตฺวา วคฺคโนฺต นทโนฺต ภยปฺปเตฺต กตฺวา ปาเท คเหตฺวา อโธสีสเก กตฺวา ปณฺหิยา สีสํ ปหรโนฺต วาตเวเคน เนตฺวา หตฺถตเลสุ ฉิทฺทานิ กตฺวา รชฺชุยา อาวุนิตฺวา นิโคฺรธรุเกฺข โอลเมฺพสิ อคฺคปาทงฺคุลีหิ ภูมิยํ ผุสมานาหิฯ เต สเพฺพ ราชาโน วาเต ปหรเนฺต มิลาตกุรณฺฑกทามานิ วิย ปริวตฺตนฺตา โอลมฺพิํสุฯ ‘‘สุตโสโม ปน เม ปิฎฺฐิอาจริโย โหติ, สเจ คณฺหิสฺสามิ, สกลชมฺพุทีโป ตุโจฺฉ ภวิสฺสตี’’ติ ตํ น เนสิฯ โส ‘‘พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อคฺคิํ กตฺวา สูเล ตจฺฉโนฺต นิสีทิฯ รุกฺขเทวตา ตํ กิริยํ ทิสฺวา ‘‘มยฺหํ กิเรส พลิกมฺมํ กโรติ, วณมฺปิสฺส มยา กิญฺจิ ผาสุกํ กตํ นตฺถิ, อิทานิ อิเมสํ มหาวินาสํ กริสฺสติ, กิํ นุ โข กตฺตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อหํ เอตํ วาเรตุํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ จาตุมหาราชิกานํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ กเถตฺวา ‘‘นิวาเรถ น’’นฺติ อาหฯ เตหิปิ ‘‘น มยํ โปริสาทสฺส กมฺมํ นิวาเรตุํ สกฺขิสฺสามา’’ติ วุเตฺต ‘‘โก สกฺขิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สโกฺก, เทวราชา’’ติ สุตฺวา สกฺกํ อุปสงฺกมิตฺวา ตมตฺถํ กเถตฺวา ‘‘นิวาเรถ น’’นฺติ อาหฯ โสปิ ‘‘นาหํ สโกฺกมิ นิวาเรตุํ, สมตฺถํ ปน อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘โกนาโม’’ติ วุเตฺต ‘‘สเทวเก โลเก อโญฺญ นตฺถิ, กุรุรเฎฺฐ ปน อินฺทปตฺถนคเร โกรพฺยราชปุโตฺต สุตโสโม นาม ตํ นิพฺพิเสวนํ กตฺวา ทเมสฺสติ, ราชูนญฺจ ชีวิตํ ทสฺสติ, ตญฺจ มนุสฺสมํสา โอรมาเปสฺสติ, สกลชมฺพุทีเป อมตํ วิย ธมฺมํ อภิสิญฺจิสฺสติ, สเจปิ ราชูนํ ชีวิตํ ทาตุกาโม, ‘สุตโสมํ อาเนตฺวา พลิกมฺมํ กาตุํ วฎฺฎตี’ติ วเทหี’’ติ อาหฯ

    Porisādo mantaṃ uggahetvā tato paṭṭhāya vātajavo atisūro ahosi. So sattāhabbhantareyeva ekasatarājāno uyyānādīni gacchante disvā vātavegena pakkhanditvā ‘‘ahaṃ are manussacoro porisādo’’ti nāmaṃ sāvetvā vagganto nadanto bhayappatte katvā pāde gahetvā adhosīsake katvā paṇhiyā sīsaṃ paharanto vātavegena netvā hatthatalesu chiddāni katvā rajjuyā āvunitvā nigrodharukkhe olambesi aggapādaṅgulīhi bhūmiyaṃ phusamānāhi. Te sabbe rājāno vāte paharante milātakuraṇḍakadāmāni viya parivattantā olambiṃsu. ‘‘Sutasomo pana me piṭṭhiācariyo hoti, sace gaṇhissāmi, sakalajambudīpo tuccho bhavissatī’’ti taṃ na nesi. So ‘‘balikammaṃ karissāmī’’ti aggiṃ katvā sūle tacchanto nisīdi. Rukkhadevatā taṃ kiriyaṃ disvā ‘‘mayhaṃ kiresa balikammaṃ karoti, vaṇampissa mayā kiñci phāsukaṃ kataṃ natthi, idāni imesaṃ mahāvināsaṃ karissati, kiṃ nu kho kattabba’’nti cintetvā ‘‘ahaṃ etaṃ vāretuṃ na sakkhissāmī’’ti cātumahārājikānaṃ santikaṃ gantvā tamatthaṃ kathetvā ‘‘nivāretha na’’nti āha. Tehipi ‘‘na mayaṃ porisādassa kammaṃ nivāretuṃ sakkhissāmā’’ti vutte ‘‘ko sakkhissatī’’ti pucchitvā ‘‘sakko, devarājā’’ti sutvā sakkaṃ upasaṅkamitvā tamatthaṃ kathetvā ‘‘nivāretha na’’nti āha. Sopi ‘‘nāhaṃ sakkomi nivāretuṃ, samatthaṃ pana ācikkhissāmī’’ti vatvā ‘‘konāmo’’ti vutte ‘‘sadevake loke añño natthi, kururaṭṭhe pana indapatthanagare korabyarājaputto sutasomo nāma taṃ nibbisevanaṃ katvā damessati, rājūnañca jīvitaṃ dassati, tañca manussamaṃsā oramāpessati, sakalajambudīpe amataṃ viya dhammaṃ abhisiñcissati, sacepi rājūnaṃ jīvitaṃ dātukāmo, ‘sutasomaṃ ānetvā balikammaṃ kātuṃ vaṭṭatī’ti vadehī’’ti āha.

    สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ขิปฺปํ อาคนฺตฺวา ปพฺพชิตเวเสน ตสฺส อวิทูเร ปายาสิฯ โส ปทสเทฺทน ‘‘ราชา นุ โข โกจิ ปลาโต ภวิสฺสตี’’ติ โอโลเกโนฺต ตํ ทิสฺวา ‘‘ปพฺพชิตา นาม ขตฺติยาว, อิมํ คเหตฺวา เอกสตํ ปูเรตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ อุฎฺฐาย อสิหโตฺถ อนุพนฺธิ, ติโยชนํ อนุพนฺธิตฺวาปิ ตํ ปาปุณิตุํ นาสกฺขิ, คเตฺตหิ เสทา มุจฺจิํสุฯ โส จิเนฺตสิ – ‘‘อหํ ปุเพฺพ หตฺถิมฺปิ อสฺสมฺปิ รถมฺปิ ธาวนฺตํ อนุพนฺธิตฺวา คณฺหามิ, อชฺช อิมํ ปพฺพชิตํ สกาย คติยา คจฺฉนฺตํ สพฺพถาเมน ธาวโนฺตปิ คณฺหิตุํ น สโกฺกมิ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติฯ ตโต โส ‘‘ปพฺพชิตา นาม วจนกรา โหนฺติ, ‘ติฎฺฐา’ติ นํ วตฺวา ฐิตํ คเหสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ติฎฺฐ, สมณา’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ ตาว ฐิโต, ตฺวํ ปน ธาวิตุํ วายามมกาสี’’ติฯ อถ นํ, ‘‘โภ, ปพฺพชิตา นาม ชีวิตเหตุปิ อลิกํ น ภณนฺติ, ตฺวํ ปน มุสาวาทํ กเถสี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā khippaṃ āgantvā pabbajitavesena tassa avidūre pāyāsi. So padasaddena ‘‘rājā nu kho koci palāto bhavissatī’’ti olokento taṃ disvā ‘‘pabbajitā nāma khattiyāva, imaṃ gahetvā ekasataṃ pūretvā balikammaṃ karissāmī’’ti uṭṭhāya asihattho anubandhi, tiyojanaṃ anubandhitvāpi taṃ pāpuṇituṃ nāsakkhi, gattehi sedā mucciṃsu. So cintesi – ‘‘ahaṃ pubbe hatthimpi assampi rathampi dhāvantaṃ anubandhitvā gaṇhāmi, ajja imaṃ pabbajitaṃ sakāya gatiyā gacchantaṃ sabbathāmena dhāvantopi gaṇhituṃ na sakkomi, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti. Tato so ‘‘pabbajitā nāma vacanakarā honti, ‘tiṭṭhā’ti naṃ vatvā ṭhitaṃ gahessāmī’’ti cintetvā ‘‘tiṭṭha, samaṇā’’ti āha. ‘‘Ahaṃ tāva ṭhito, tvaṃ pana dhāvituṃ vāyāmamakāsī’’ti. Atha naṃ, ‘‘bho, pabbajitā nāma jīvitahetupi alikaṃ na bhaṇanti, tvaṃ pana musāvādaṃ kathesī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๓๙๓.

    393.

    ‘‘ติฎฺฐาหีติ มยา วุโตฺต, โส ตฺวํ คจฺฉสิ ปมฺมุโข;

    ‘‘Tiṭṭhāhīti mayā vutto, so tvaṃ gacchasi pammukho;

    อฎฺฐิโต ตฺวํ ฐิโตมฺหีติ, ลปสิ พฺรหฺมจารินิ;

    Aṭṭhito tvaṃ ṭhitomhīti, lapasi brahmacārini;

    อิทํ เต สมณายุตฺตํ, อสิญฺจ เม มญฺญสิ กงฺกปตฺต’’นฺติฯ

    Idaṃ te samaṇāyuttaṃ, asiñca me maññasi kaṅkapatta’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – สมณ, ติฎฺฐาหิ อิติ วจนํ มยา วุโตฺต โส ตฺวํ ปมฺมุโข ปรมฺมุโข หุตฺวา คจฺฉสิ, พฺรหฺมจารินิ อฎฺฐิโต สมาโน ตฺวํ ฐิโต อมฺหิ อิติ ลปสิ, อสิญฺจ เม กงฺกปตฺตํ มญฺญสีติฯ

    Tassattho – samaṇa, tiṭṭhāhi iti vacanaṃ mayā vutto so tvaṃ pammukho parammukho hutvā gacchasi, brahmacārini aṭṭhito samāno tvaṃ ṭhito amhi iti lapasi, asiñca me kaṅkapattaṃ maññasīti.

    ตโต เทวตา คาถาทฺวยมาห –

    Tato devatā gāthādvayamāha –

    ๓๙๔.

    394.

    ‘‘ฐิโตหมสฺมี สธเมฺมสุ ราช, น นามโคตฺตํ ปริวตฺตยามิ;

    ‘‘Ṭhitohamasmī sadhammesu rāja, na nāmagottaṃ parivattayāmi;

    โจรญฺจ โลเก อฐิตํ วทนฺติ;

    Corañca loke aṭhitaṃ vadanti;

    อาปายิกํ เนรยิกํ อิโต จุตํฯ

    Āpāyikaṃ nerayikaṃ ito cutaṃ.

    ๓๙๕.

    395.

    ‘‘สเจ ตฺวํ สทฺทหสิ ราช, สุตํ คณฺหาหิ ขตฺติย;

    ‘‘Sace tvaṃ saddahasi rāja, sutaṃ gaṇhāhi khattiya;

    เตน ยญฺญํ ยชิตฺวาน, เอวํ สคฺคํ คมิสฺสสี’’ติฯ

    Tena yaññaṃ yajitvāna, evaṃ saggaṃ gamissasī’’ti.

    ตตฺถ สธเมฺมสูติ, มหาราช, อหํ สเกสุ ทสสุ กุสลกมฺมปถธเมฺมสุ ฐิโต อสฺมิ ภวามิฯ น นามโคตฺตนฺติ ตฺวํ ปุเพฺพ ทหรกาเล พฺรหฺมทโตฺต หุตฺวา ปิตริ กาลกเต พาราณสิํ รชฺชํ ลภิตฺวา พาราณสิราชา ชาโต, ตํ นามํ ชหิตฺวา โปริสาโท หุตฺวา อิทานิ กมฺมาสปาโท ชาโต, ขตฺติยกุเล ชาโตปิ อภกฺขํ มนุสฺสมํสํ ยสฺมา ภเกฺขสิ, ตสฺมา อตฺตโน นามโคตฺตํ ยถา ปริวเตฺตสิ, ตถา อหํ อตฺตโน นามโคตฺตํ น ปริวตฺตยามิฯ โจรญฺจาติ โลเก โจรญฺจ ทสกุสลกมฺมปเถสุ อฐิตํ นาม วทนฺติฯ อิโต จุตนฺติ อิโต จุตํ หุตฺวา อปาเย นิรเย ปติฎฺฐิตํฯ ขตฺติย, ภูมิปาล มหาราช, ตฺวํ มม วจนํ สเจ สทฺทหสิ, สุตโสมํ คณฺหาหิ, เตน สุตโสเมน ยญฺญํ ยชิตฺวาน เอวํ สคฺคํ คมิสฺสสิฯ โภ, โปริสาท มุสาวาทิ ตยา มยฺหํ ‘‘สกลชมฺพุทีเป ราชาโน อาเนตฺวา พหิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ ปฎิสฺสุตํ, อิทานิ เย วา เต วา ทุพฺพลราชาโน อาเนสิ, ชมฺพุทีปตเล เชฎฺฐกํ สุตโสมราชานํ สเจ ตฺวํ น อาเนสฺสสิ, วจนํ เต มุสา นาม โหติ, ตสฺมา สุตโสมํ คณฺหาหีติฯ

    Tattha sadhammesūti, mahārāja, ahaṃ sakesu dasasu kusalakammapathadhammesu ṭhito asmi bhavāmi. Na nāmagottanti tvaṃ pubbe daharakāle brahmadatto hutvā pitari kālakate bārāṇasiṃ rajjaṃ labhitvā bārāṇasirājā jāto, taṃ nāmaṃ jahitvā porisādo hutvā idāni kammāsapādo jāto, khattiyakule jātopi abhakkhaṃ manussamaṃsaṃ yasmā bhakkhesi, tasmā attano nāmagottaṃ yathā parivattesi, tathā ahaṃ attano nāmagottaṃ na parivattayāmi. Corañcāti loke corañca dasakusalakammapathesu aṭhitaṃ nāma vadanti. Ito cutanti ito cutaṃ hutvā apāye niraye patiṭṭhitaṃ. Khattiya, bhūmipāla mahārāja, tvaṃ mama vacanaṃ sace saddahasi, sutasomaṃ gaṇhāhi, tena sutasomena yaññaṃ yajitvāna evaṃ saggaṃ gamissasi. Bho, porisāda musāvādi tayā mayhaṃ ‘‘sakalajambudīpe rājāno ānetvā bahikammaṃ karissāmī’’ti paṭissutaṃ, idāni ye vā te vā dubbalarājāno ānesi, jambudīpatale jeṭṭhakaṃ sutasomarājānaṃ sace tvaṃ na ānessasi, vacanaṃ te musā nāma hoti, tasmā sutasomaṃ gaṇhāhīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา เทวตา ปพฺพชิตเวสํ อนฺตรธาเปตฺวา สเกน วเณฺณน อากาเส ตรุณสูริโย วิย ชลมานา อฎฺฐาสิฯ โส ตสฺสา กถํ สุตฺวา รูปญฺจ โอโลเกตฺวา ‘‘กาสิ ตฺว’’นฺติ อาหฯ อิมสฺมิํ ‘‘รุเกฺข นิพฺพตฺตเทวตา’’ติฯ โส ‘‘ทิฎฺฐา เม อตฺตโน, เทวตา’’ติ ตุสฺสิตฺวา, ‘‘สามิ เทวราช, มา สุตโสมสฺส การณา จินฺตยิ, อตฺตโน รุกฺขํ ปวิสา’’ติ อาหฯ เทวตา ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว รุกฺขํ ปาวิสิฯ ตสฺมิํ ขเณ สูริโย อตฺถงฺคโต, จโนฺท อุคฺคโตฯ โปริสาโท เวทงฺคกุสโล นกฺขตฺตจารํ ชานาติฯ โส นภํ โอโลเกตฺวา ‘‘เสฺว ผุสฺสนกฺขตฺตํ ภวิสฺสติ, สุตโสโม นฺหายิตุํ อุยฺยานํ คมิสฺสติ, ตตฺถ คณฺหิสฺสามิ, อารโกฺข ปนสฺส มหา ภวิสฺสติ, สมนฺตา ติโยชนํ สกลนครวาสิโน รกฺขนฺตา จริสฺสนฺติ, อสํวิหิเต อารเกฺข ปฐมยาเมเยว มิคาชินํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา มงฺคลโปกฺขรณิํ โอตริตฺวา ฐสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา โปกฺขรณิํ โอรุยฺห ปทุมปเตฺตน สีสํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตสฺส เตเชน มจฺฉกจฺฉปาทโย โอสกฺกิตฺวา อุทกปริยเนฺต วคฺควคฺคา หุตฺวา วิจริํสุฯ

    Evañca pana vatvā devatā pabbajitavesaṃ antaradhāpetvā sakena vaṇṇena ākāse taruṇasūriyo viya jalamānā aṭṭhāsi. So tassā kathaṃ sutvā rūpañca oloketvā ‘‘kāsi tva’’nti āha. Imasmiṃ ‘‘rukkhe nibbattadevatā’’ti. So ‘‘diṭṭhā me attano, devatā’’ti tussitvā, ‘‘sāmi devarāja, mā sutasomassa kāraṇā cintayi, attano rukkhaṃ pavisā’’ti āha. Devatā tassa passantasseva rukkhaṃ pāvisi. Tasmiṃ khaṇe sūriyo atthaṅgato, cando uggato. Porisādo vedaṅgakusalo nakkhattacāraṃ jānāti. So nabhaṃ oloketvā ‘‘sve phussanakkhattaṃ bhavissati, sutasomo nhāyituṃ uyyānaṃ gamissati, tattha gaṇhissāmi, ārakkho panassa mahā bhavissati, samantā tiyojanaṃ sakalanagaravāsino rakkhantā carissanti, asaṃvihite ārakkhe paṭhamayāmeyeva migājinaṃ uyyānaṃ gantvā maṅgalapokkharaṇiṃ otaritvā ṭhassāmī’’ti cintetvā tattha gantvā pokkharaṇiṃ oruyha padumapattena sīsaṃ paṭicchādetvā aṭṭhāsi. Tassa tejena macchakacchapādayo osakkitvā udakapariyante vaggavaggā hutvā vicariṃsu.

    กุโต ปน ลโทฺธยํ เตโชติ? ปุพฺพโยควเสนฯ โส หิ กสปทสพลสฺส กาเล ขีรสลากภตฺตํ ปฎฺฐเปสิ, เตน มหาถาโม อโหสิฯ อคฺคิสาลญฺจ กาเรตฺวา ภิกฺขุสงฺฆสฺส สีตวิโนทนตฺถํ อคฺคิญฺจ ทารูนิ จ ทารุเจฺฉทนวาสิญฺจ ผรสุญฺจ อทาสิ, เตน เตชวา อโหสิฯ

    Kuto pana laddhoyaṃ tejoti? Pubbayogavasena. So hi kasapadasabalassa kāle khīrasalākabhattaṃ paṭṭhapesi, tena mahāthāmo ahosi. Aggisālañca kāretvā bhikkhusaṅghassa sītavinodanatthaṃ aggiñca dārūni ca dārucchedanavāsiñca pharasuñca adāsi, tena tejavā ahosi.

    เอวํ ตสฺมิํ อโนฺตอุยฺยานํ คเตเยว พลวปจฺจูสสมเย สมนฺตา ติโยชนํ อารกฺขํ คณฺหิํสุฯ ราชาปิ ปาโตว ภุตฺตปาตราโส อลงฺกตหตฺถิกฺขนฺธวรคโต จตุรงฺคินิยา เสนาย ปริวุโต นครโต นิกฺขมิฯ ตทา ตกฺกสิลโต นโนฺท นาม พฺราหฺมโณ จตโสฺส สตารหา คาถาโย อาทาย วีสติโยนชสตํ มคฺคํ อติกฺกมิตฺวา ตํ นครํ ปตฺวา ทฺวารคาเม วสิตฺวา สูริเย อุคฺคเต นครํ ปวิสโนฺต ราชานํ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขนฺตํ ทิสฺวา หตฺถํ ปสาเรตฺวา ชยาเปสิฯ ราชา ทิสาจกฺขุโก หุตฺวา คจฺฉโนฺต อุนฺนตปฺปเทเส ฐิตสฺส พฺราหฺมณสฺส ปสาริตหตฺถํ ทิสฺวา หตฺถินา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ –

    Evaṃ tasmiṃ antouyyānaṃ gateyeva balavapaccūsasamaye samantā tiyojanaṃ ārakkhaṃ gaṇhiṃsu. Rājāpi pātova bhuttapātarāso alaṅkatahatthikkhandhavaragato caturaṅginiyā senāya parivuto nagarato nikkhami. Tadā takkasilato nando nāma brāhmaṇo catasso satārahā gāthāyo ādāya vīsatiyonajasataṃ maggaṃ atikkamitvā taṃ nagaraṃ patvā dvāragāme vasitvā sūriye uggate nagaraṃ pavisanto rājānaṃ pācīnadvārena nikkhantaṃ disvā hatthaṃ pasāretvā jayāpesi. Rājā disācakkhuko hutvā gacchanto unnatappadese ṭhitassa brāhmaṇassa pasāritahatthaṃ disvā hatthinā taṃ upasaṅkamitvā pucchi –

    ๓๙๖.

    396.

    ‘‘กิสฺมิํ นุ รเฎฺฐ ตว ชาติภูมิ, อถ เกน อเตฺถน อิธานุปโตฺต;

    ‘‘Kismiṃ nu raṭṭhe tava jātibhūmi, atha kena atthena idhānupatto;

    อกฺขาหิ เม พฺราหฺมณ เอตมตฺถํ, กิมิจฺฉสี เทมิ ตยชฺช ปตฺถิต’’นฺติฯ

    Akkhāhi me brāhmaṇa etamatthaṃ, kimicchasī demi tayajja patthita’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – โภ พฺราหฺมณ, ตว ชาติภูมิ กิสฺมิํ รเฎฺฐ อตฺถิ นุ, เกน อเตฺถน ปโยชเนน เหตุภูเตน อิท อิมสฺมิํ นคเร อนุปฺปโตฺต, โภ พฺราหฺมณ, มยา ปุจฺฉิโต โส ตฺวํ เอตมตฺถํ เอตํ ปโยชนํ เม มยฺหํ อกฺขาหิ กเถหิ, ตยา ปตฺถิตวตฺถุํ เต ตุยฺหํ อชฺช อิทานิ ททามิ, กิํ วตฺถุํ อิจฺฉสีติฯ

    Tassattho – bho brāhmaṇa, tava jātibhūmi kismiṃ raṭṭhe atthi nu, kena atthena payojanena hetubhūtena ida imasmiṃ nagare anuppatto, bho brāhmaṇa, mayā pucchito so tvaṃ etamatthaṃ etaṃ payojanaṃ me mayhaṃ akkhāhi kathehi, tayā patthitavatthuṃ te tuyhaṃ ajja idāni dadāmi, kiṃ vatthuṃ icchasīti.

    อถ นํ โส คาถมาห –

    Atha naṃ so gāthamāha –

    ๓๙๗.

    397.

    ‘‘คาถา จตโสฺส ธรณีมหิสฺสร, สุคมฺภีรตฺถา วรสาครูปมา;

    ‘‘Gāthā catasso dharaṇīmahissara, sugambhīratthā varasāgarūpamā;

    ตเวว อตฺถาย อิธาคโตสฺมิ, สุโณหิ คาถา ปรมตฺถสํหิตา’’ติฯ

    Taveva atthāya idhāgatosmi, suṇohi gāthā paramatthasaṃhitā’’ti.

    ตตฺถ ธรณีมหิสฺสราติ ภูมิปาล จตโสฺส คาถา กิํ ภูตา?ฯ สุคมฺภีรตฺถา วรสาครูปมา, ตเวว ตว เอว อตฺถาย อิธ ฐานํ อนุปฺปโตฺต อสฺมิ ภวามิฯ สุโณหีติ กสฺสปทสพเลน เทสิตา ปรมตฺถสํหิตา อิมา สตารหา คาถาโย สุโณหีติ อโตฺถฯ

    Tattha dharaṇīmahissarāti bhūmipāla catasso gāthā kiṃ bhūtā?. Sugambhīratthā varasāgarūpamā, taveva tava eva atthāya idha ṭhānaṃ anuppatto asmi bhavāmi. Suṇohīti kassapadasabalena desitā paramatthasaṃhitā imā satārahā gāthāyo suṇohīti attho.

    อิติ วตฺวา, ‘‘มหาราช, อิมา กสฺสปทสพเลน เทสิตา จตโสฺส สตารหา คาถาโย ‘‘ตุเมฺห สุตวิตฺตกา’ติ สุตฺวา ตุมฺหากํ เทเสตุํ อาคโตมฺหี’’ติ อาหฯ ราชา ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา, ‘‘อาจริย , สุฎฺฐุ เต อาคตํ, มยา ปน นิวตฺติตุํ น สกฺกา, อชฺช ผุสฺสนกฺขตฺตโยเคน สีสํ นฺหายิตุํ อาคโตมฺหิ, อหํ ปุนทิวเส อาคนฺตฺวา โสสฺสามิ, ตฺวํ มา อุกฺกณฺฐี’’ติ วตฺวา ‘‘คจฺฉถ พฺราหฺมณสฺส อสุกเคเห สยนํ ปญฺญาเปตฺวา ฆาสจฺฉาทนํ สํวิทหถา’’ติ อมเจฺจ อาณาเปตฺวา อุยฺยานํ ปาวิสิฯ ตํ อฎฺฐารสหเตฺถน ปากาเรน ปริกฺขิตฺตํ อโหสิฯ ตํ อญฺญมญฺญํ สงฺฆเฎฺฎนฺตา สมนฺตา หตฺถิโน ปริกฺขิปิํสุ, ตโต อสฺสา, ตโต รถา, ตโต ธนุคฺคหา, ตโต ปตฺตีติ, สงฺขุภิตมหาสมุโทฺท วิย อุนฺนาเทโนฺต พลกาโย อโหสิฯ อถ ราชา โอฬาริกานิ อาภรณานิ โอมุญฺจิตฺวา มสฺสุกมฺมํ กาเรตฺวา อุพฺพฎฺฎิตสรีโร โปกฺขรณิยา อโนฺต ราชวิภเวน นฺหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อุทกคฺคหณสาฎเกน นิวาเสตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถสฺส ทุสฺสคนฺธมาลาลงฺกาเร อุปนยิํสุฯ โปริสาโท จิเนฺตสิ – ‘‘ราชา อลงฺกตกาเล ภาริโก ภวิสฺสติ, สลฺลหุกกาเลเยว นํ คณฺหิสฺสามี’’ติฯ โส นทโนฺต วคฺคโนฺต อุทเก มจฺฉํ อาลุเฬโนฺต วิชฺชุลตา วิย มตฺถเก ขคฺคํ ปริพฺภเมโนฺต ‘‘อหํ อเร มนุสฺสโจโร โปริสาโท’’ติ นามํ สาเวตฺวา องฺคุลิํ นลาเฎ ฐเปตฺวา อุทกา อุตฺตริฯ ตสฺส สทฺทํ สุตฺวาว หตฺถาโรหา หตฺถีหิ, อสฺสาโรหา อเสฺสหิ, รถาโรหา รเถหิ ภสฺสิํสุฯ พลกาโย คหิตคหิตานิ อาวุธานิ ฉเฑฺฑตฺวา อุเรน ภูมิยํ นิปชฺชิฯ

    Iti vatvā, ‘‘mahārāja, imā kassapadasabalena desitā catasso satārahā gāthāyo ‘‘tumhe sutavittakā’ti sutvā tumhākaṃ desetuṃ āgatomhī’’ti āha. Rājā tuṭṭhamānaso hutvā, ‘‘ācariya , suṭṭhu te āgataṃ, mayā pana nivattituṃ na sakkā, ajja phussanakkhattayogena sīsaṃ nhāyituṃ āgatomhi, ahaṃ punadivase āgantvā sossāmi, tvaṃ mā ukkaṇṭhī’’ti vatvā ‘‘gacchatha brāhmaṇassa asukagehe sayanaṃ paññāpetvā ghāsacchādanaṃ saṃvidahathā’’ti amacce āṇāpetvā uyyānaṃ pāvisi. Taṃ aṭṭhārasahatthena pākārena parikkhittaṃ ahosi. Taṃ aññamaññaṃ saṅghaṭṭentā samantā hatthino parikkhipiṃsu, tato assā, tato rathā, tato dhanuggahā, tato pattīti, saṅkhubhitamahāsamuddo viya unnādento balakāyo ahosi. Atha rājā oḷārikāni ābharaṇāni omuñcitvā massukammaṃ kāretvā ubbaṭṭitasarīro pokkharaṇiyā anto rājavibhavena nhatvā paccuttaritvā udakaggahaṇasāṭakena nivāsetvā aṭṭhāsi. Athassa dussagandhamālālaṅkāre upanayiṃsu. Porisādo cintesi – ‘‘rājā alaṅkatakāle bhāriko bhavissati, sallahukakāleyeva naṃ gaṇhissāmī’’ti. So nadanto vagganto udake macchaṃ āluḷento vijjulatā viya matthake khaggaṃ paribbhamento ‘‘ahaṃ are manussacoro porisādo’’ti nāmaṃ sāvetvā aṅguliṃ nalāṭe ṭhapetvā udakā uttari. Tassa saddaṃ sutvāva hatthārohā hatthīhi, assārohā assehi, rathārohā rathehi bhassiṃsu. Balakāyo gahitagahitāni āvudhāni chaḍḍetvā urena bhūmiyaṃ nipajji.

    โปริสาโท สุตโสมํ อุกฺขิปิตฺวา คณฺหิ, เสสราชาโน ปาเท คเหตฺวา อโธสีสเก กตฺวา ปณฺหิยา สีสํ ปหรโนฺต คจฺฉติฯ โพธิสตฺตํ ปน อุปคนฺตฺวา โอนโต อุกฺขิปิตฺวา ขเนฺธ นิสีทาเปสิฯ โส ‘‘ทฺวาเรน คมนํ ปปโญฺจ ภวิสฺสตี’’ติ สมฺมุขฎฺฐาเนเยว อฎฺฐารสหตฺถํ ปาการํ ลงฺฆิตฺวา ปุรโต คลิตมทมตฺตวารณกุเมฺภ อกฺกมิตฺวา ปพฺพตกูฎานิ ปาเตโนฺต วิย วาตชวานํ อสฺสตรานํ ปิเฎฺฐ อกฺกมโนฺต ปาเตตฺวา รถธุรรถสีเสสุ อกฺกมิตฺวา ภมิกํ ภมโนฺต วิย นีลผลกานิ นิโคฺรธปตฺตานิ มทฺทโนฺต วิย เอกเวเคเนว ติโยชนมตฺตํ มคฺคํ คนฺตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข โกจิ สุตโสมสฺสตฺถาย ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺต’’ติ โอโลเกตฺวา กญฺจิ อทิตฺวา สณิกํ คจฺฉโนฺต สุตโสมสฺส เกเสหิ อุทกพินฺทูนิ อตฺตโน อุเร ปติตานิ ทิสฺวา ‘‘มรณสฺส อภายโนฺต นาม นตฺถิ, สุตโสโมปิ มรณภเยน โรทติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Porisādo sutasomaṃ ukkhipitvā gaṇhi, sesarājāno pāde gahetvā adhosīsake katvā paṇhiyā sīsaṃ paharanto gacchati. Bodhisattaṃ pana upagantvā onato ukkhipitvā khandhe nisīdāpesi. So ‘‘dvārena gamanaṃ papañco bhavissatī’’ti sammukhaṭṭhāneyeva aṭṭhārasahatthaṃ pākāraṃ laṅghitvā purato galitamadamattavāraṇakumbhe akkamitvā pabbatakūṭāni pātento viya vātajavānaṃ assatarānaṃ piṭṭhe akkamanto pātetvā rathadhurarathasīsesu akkamitvā bhamikaṃ bhamanto viya nīlaphalakāni nigrodhapattāni maddanto viya ekavegeneva tiyojanamattaṃ maggaṃ gantvā ‘‘atthi nu kho koci sutasomassatthāya pacchato āgacchanto’’ti oloketvā kañci aditvā saṇikaṃ gacchanto sutasomassa kesehi udakabindūni attano ure patitāni disvā ‘‘maraṇassa abhāyanto nāma natthi, sutasomopi maraṇabhayena rodati maññe’’ti cintetvā āha –

    ๓๙๘.

    398.

    ‘‘น เว รุทนฺติ มติมโนฺต สปญฺญา, พหุสฺสุตา เย พหุฐานจินฺติโน;

    ‘‘Na ve rudanti matimanto sapaññā, bahussutā ye bahuṭhānacintino;

    ทีปญฺหิ เอตํ ปรมํ นรานํ, ยํ ปณฺฑิตา โสกนุทา ภวนฺติฯ

    Dīpañhi etaṃ paramaṃ narānaṃ, yaṃ paṇḍitā sokanudā bhavanti.

    ๓๙๙.

    399.

    ‘‘อตฺตานํ ญาตี อุทาหุ ปุตฺตทารํ, ธญฺญํ ธนํ รชตํ ชาตรูปํ;

    ‘‘Attānaṃ ñātī udāhu puttadāraṃ, dhaññaṃ dhanaṃ rajataṃ jātarūpaṃ;

    กิเมว ตฺวํ สุตโสมานุตเปฺป, โกรพฺยเสฎฺฐ วจนํ สุโณม เตต’’นฺติฯ

    Kimeva tvaṃ sutasomānutappe, korabyaseṭṭha vacanaṃ suṇoma teta’’nti.

    ตตฺถ, โภ สุตโสม มหาราช, เย ปณฺฑิตา กิํ ภูตา? มติมโนฺต อตฺถานตฺถํ การณาการณํ ชานนปญฺญาย สมนฺนาคตา, สปฺปญฺญา วิจรณปญฺญาย สมนฺนาคตา, พหุสฺสุตา พหุสฺสุตธรา พหุฎฺฐานจินฺติโน พหุการณจินฺตนสีลา, เต ปณฺฑิตา มรณภเย อุปฺปเนฺน สติ ภีตา หุตฺวา เว เอกเนฺตน น รุทนฺติ น ปริเทวนฺติฯ ทีปํ หีติ, โภ สุตโสม มหาราช หิ กสฺมา ปน วทามิ, มหาสมุเทฺท ภินฺนนาวานํ วาณิชกานํ ชนานํ ปติฎฺฐาภูตํ มหาทีปํ อิว, เอวมฺปิ ตถา เอตํ ปณฺฑิตํ อปฺปฎิสรณานํ นรานํ ปรมํฯ ยํ เยน การเณน เย ปณฺฑิตา โสกีนํ ชนานํ โสกนุทา ภวนฺติ, โภ สุตโสม มหาราช, ตฺวํ มรณภเยน ปริเทวีติ มเญฺญ มญฺญามิฯ อตฺตานนฺติ, โภ สุตโสม มหาราช, อตฺตเหตุ อุทาหุ ญาติเหตุ ปุตฺตทารเหตุ อุทาหุ ธญฺญธนรชตชาตรูปเหตุ กิเมว ตฺวํ กิเมว ธมฺมชาตํ ตฺวํ อนุตเปฺป อนุตเปฺปยฺยาสิฯ โกรพฺยเสฎฺฐ กุรุรฎฺฐวาสีนํ เสฎฺฐ อุตฺตม, โภ มหาราช, เอตํ ตว วจนํ สุโณมาติฯ

    Tattha, bho sutasoma mahārāja, ye paṇḍitā kiṃ bhūtā? Matimanto atthānatthaṃ kāraṇākāraṇaṃ jānanapaññāya samannāgatā, sappaññā vicaraṇapaññāya samannāgatā, bahussutā bahussutadharā bahuṭṭhānacintino bahukāraṇacintanasīlā, te paṇḍitā maraṇabhaye uppanne sati bhītā hutvā ve ekantena na rudanti na paridevanti. Dīpaṃ hīti, bho sutasoma mahārāja hi kasmā pana vadāmi, mahāsamudde bhinnanāvānaṃ vāṇijakānaṃ janānaṃ patiṭṭhābhūtaṃ mahādīpaṃ iva, evampi tathā etaṃ paṇḍitaṃ appaṭisaraṇānaṃ narānaṃ paramaṃ. Yaṃ yena kāraṇena ye paṇḍitā sokīnaṃ janānaṃ sokanudā bhavanti, bho sutasoma mahārāja, tvaṃ maraṇabhayena paridevīti maññe maññāmi. Attānanti, bho sutasoma mahārāja, attahetu udāhu ñātihetu puttadārahetu udāhu dhaññadhanarajatajātarūpahetu kimeva tvaṃ kimeva dhammajātaṃ tvaṃ anutappe anutappeyyāsi. Korabyaseṭṭha kururaṭṭhavāsīnaṃ seṭṭha uttama, bho mahārāja, etaṃ tava vacanaṃ suṇomāti.

    สุตโสโม อาห –

    Sutasomo āha –

    ๔๐๐.

    400.

    ‘‘เนวาหมตฺตานมนุตฺถุนามิ, น ปุตฺตทารํ น ธนํ น รฎฺฐํ;

    ‘‘Nevāhamattānamanutthunāmi, na puttadāraṃ na dhanaṃ na raṭṭhaṃ;

    สตญฺจ ธโมฺม จริโต ปุราโณ, ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺสานุตเปฺปฯ

    Satañca dhammo carito purāṇo, taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassānutappe.

    ๔๐๑.

    401.

    ‘‘กโต มยา สงฺคโร พฺราหฺมเณน, รเฎฺฐ สเก อิสฺสริเย ฐิเตน;

    ‘‘Kato mayā saṅgaro brāhmaṇena, raṭṭhe sake issariye ṭhitena;

    ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ

    Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇasappadāya, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti.

    ตตฺถ เนวาหมตฺตานมนุตฺถุนามีติ อหํ ตาว อตฺตตฺถาย เนว โรทามิ น โสจามิ, อิเมสมฺปิ ปุตฺตาทีนํ อตฺถาย น โรทามิ น โสจามิ, อปิจ โข ปน สตํ ปณฺฑิตานํ จริโต ปุราณธโมฺม อตฺถิ, ยํ สงฺครํ กตฺวา ปจฺฉา อนุตปฺปนํ นาม, ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสฺส อหํ อนุโสจามีติ อโตฺถ ฯ สจฺจานุรกฺขีติ สจฺจํ อนุรกฺขโนฺตฯ โส หิ พฺราหฺมโณ ตกฺกสิลโต กสฺสปทสพเลน เทสิตา จตโสฺส สตารหา คาถาโย อาทาย อาคโต, ตสฺสาหํ อาคนฺตุกวตฺตํ กาเรตฺวา ‘‘นฺหตฺวา อาคโต สุณิสฺสามิ, ยาว มมาคมนา อาคเมหี’’ติ สงฺครํ กตฺวา อาคโต, ตฺวํ ตา คาถาโย โสตุํ อทตฺวาว มํ คณฺหิฯ สเจ มํ วิสฺสเชฺชสิ, ตํ ธมฺมํ สุตฺวา สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺสามีติ วทติฯ

    Tattha nevāhamattānamanutthunāmīti ahaṃ tāva attatthāya neva rodāmi na socāmi, imesampi puttādīnaṃ atthāya na rodāmi na socāmi, apica kho pana sataṃ paṇḍitānaṃ carito purāṇadhammo atthi, yaṃ saṅgaraṃ katvā pacchā anutappanaṃ nāma, taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇassa ahaṃ anusocāmīti attho . Saccānurakkhīti saccaṃ anurakkhanto. So hi brāhmaṇo takkasilato kassapadasabalena desitā catasso satārahā gāthāyo ādāya āgato, tassāhaṃ āgantukavattaṃ kāretvā ‘‘nhatvā āgato suṇissāmi, yāva mamāgamanā āgamehī’’ti saṅgaraṃ katvā āgato, tvaṃ tā gāthāyo sotuṃ adatvāva maṃ gaṇhi. Sace maṃ vissajjesi, taṃ dhammaṃ sutvā saccānurakkhī punarāvajissāmīti vadati.

    อถ นํ โปริสาโท อาห –

    Atha naṃ porisādo āha –

    ๔๐๑.

    401.

    ‘‘เนวาหเมตํ อภิสทฺทหามิ, สุขี นโร มจฺจุมุขา ปมุโตฺต;

    ‘‘Nevāhametaṃ abhisaddahāmi, sukhī naro maccumukhā pamutto;

    อมิตฺตหตฺถํ ปุนราวเชยฺย, โกรพฺยเสฎฺฐ น หิ มํ อุเปสิฯ

    Amittahatthaṃ punarāvajeyya, korabyaseṭṭha na hi maṃ upesi.

    ๔๐๓.

    403.

    ‘‘มุโตฺต ตุวํ โปริสาทสฺส หตฺถา, คนฺตฺวา สกํ มนฺทิรํ กามกามี;

    ‘‘Mutto tuvaṃ porisādassa hatthā, gantvā sakaṃ mandiraṃ kāmakāmī;

    มธุรํ ปิยํ ชีวิตํ ลทฺธ ราช, กุโต ตุวํ เอหิสิ เม สกาส’’นฺติฯ

    Madhuraṃ piyaṃ jīvitaṃ laddha rāja, kuto tuvaṃ ehisi me sakāsa’’nti.

    ตตฺถ สุขีติ สุขปฺปโตฺต หุตฺวาฯ มจฺจุมุขา ปมุโตฺตติ มาทิสสฺส โจรสฺส หตฺถโต มุตฺตตาย มรณมุขา มุโตฺต นาม หุตฺวา อมิตฺตหตฺถํ ปุนราวเชยฺย อาคเจฺฉยฺย, อหํ เอตํ วจนํ เนว อภิสทฺทหามิ, โกรพฺยเสฎฺฐ ตฺวํ มม สนฺติกํ น หิ อุเปสิฯ มุโตฺตติ สุตโสม ตุวํ โปริสาทสฺส หตฺถโต มุโตฺตฯ สกํ มนฺทิรนฺติ ราชธานิเคหํ คนฺตฺวาฯ กามกามีติ กามํ กามยมาโนฯ ลทฺธาติ อติวิย ปิยํ ชีวิตํ ลภิตฺวา ตุวํ เม มม สนฺติเก กุโต เกน นาม การเณน เอหิสิฯ

    Tattha sukhīti sukhappatto hutvā. Maccumukhā pamuttoti mādisassa corassa hatthato muttatāya maraṇamukhā mutto nāma hutvā amittahatthaṃ punarāvajeyya āgaccheyya, ahaṃ etaṃ vacanaṃ neva abhisaddahāmi, korabyaseṭṭha tvaṃ mama santikaṃ na hi upesi. Muttoti sutasoma tuvaṃ porisādassa hatthato mutto. Sakaṃ mandiranti rājadhānigehaṃ gantvā. Kāmakāmīti kāmaṃ kāmayamāno. Laddhāti ativiya piyaṃ jīvitaṃ labhitvā tuvaṃ me mama santike kuto kena nāma kāraṇena ehisi.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต สีโห วิย อสมฺภิโต อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto sīho viya asambhito āha –

    ๔๐๔.

    404.

    ‘‘มตํ วเรยฺย ปริสุทฺธสีโล, น ชีวิตํ ครหิโต ปาปธโมฺม;

    ‘‘Mataṃ vareyya parisuddhasīlo, na jīvitaṃ garahito pāpadhammo;

    น หิ ตํ นรํ ตายติ ทุคฺคตีหิ, ยสฺสาปิ เหตุ อลิกํ ภเณยฺยฯ

    Na hi taṃ naraṃ tāyati duggatīhi, yassāpi hetu alikaṃ bhaṇeyya.

    ๔๐๕.

    405.

    ‘‘สเจปิ วาโต คิริมาวเหยฺย, จโนฺท จ สูริโย จ ฉมา ปเตยฺยุํ;

    ‘‘Sacepi vāto girimāvaheyya, cando ca sūriyo ca chamā pateyyuṃ;

    สพฺพา จ นโชฺช ปฎิโสตํ วเชยฺยุํ, น เตฺววหํ ราช มุสา ภเณยฺยํฯ

    Sabbā ca najjo paṭisotaṃ vajeyyuṃ, na tvevahaṃ rāja musā bhaṇeyyaṃ.

    ๔๐๖.

    406.

    ‘‘นภํ ผเลยฺย อุทธีปิ สุเสฺส, สํวตฺตเย ภูตธรา วสุนฺธรา;

    ‘‘Nabhaṃ phaleyya udadhīpi susse, saṃvattaye bhūtadharā vasundharā;

    สิลุจฺจโย เมรุ สมูลมุปฺปเต, น เตฺววหํ ราช มุสา ภเณยฺย’’นฺติฯ

    Siluccayo meru samūlamuppate, na tvevahaṃ rāja musā bhaṇeyya’’nti.

    ตตฺถ มตํ วเรยฺยาติ โปริสาท โย นโร ปริสุทฺธสีโล ชีวิตเหตุ อณุมตฺตมฺปิ ปาปํ น กโรติ, สีลสมฺปโนฺน หุตฺวา วเรยฺย ตํ มรณํ อิเจฺฉยฺย, ครหิโต ปาปธโมฺม ตํ ชีวิตํ น เสโยฺย, ทุสฺสีโล ปุคฺคโล ยสฺสาปิ เหตุ อตฺตาทิโนปิ เหตุ อลิกํ วจนํ ภเณยฺย, ตํ นรํ เอวรูปํ ทุคฺคตีหิ ตํ อลิกํ น ตายเตฯ สเจปิ วาโต คิริมาวเหยฺยาติ, สมฺม โปริสาท, ตยา สทฺธิํ เอกาจริยกุเล สิกฺขิโต เอวรูโป สหายโก หุตฺวา อหํ ชีวิตเหตุ มุสา น กเถมิ, กิํ น สทฺทหสิฯ สเจ ปุรตฺถิมาทิเภโท วาโต อุฎฺฐาย มหนฺตํ คิริํ ตูลปิจุํ วิย อากาเส อาวเหยฺย, จโนฺท จ สูริโย จ อตฺตโน อตฺตโน วิมาเนน สทฺธิํ ฉมา ปถวิยํ ปเตยฺยุํ, สพฺพาปิ นโชฺช ปติโสตํ วเชยฺยุํ, โภ โปริสาท , เอวรูปํ วจนํ สเจ ภเณยฺย, ตํ สทฺทหิตพฺพํ, อหํ มุสา ภเณยฺยํ อิติ วจนํ ตุยฺหํ ชเนหิ วุตฺตํ, น เตฺวว ตํ สทฺทหิตพฺพํฯ

    Tattha mataṃ vareyyāti porisāda yo naro parisuddhasīlo jīvitahetu aṇumattampi pāpaṃ na karoti, sīlasampanno hutvā vareyya taṃ maraṇaṃ iccheyya, garahito pāpadhammo taṃ jīvitaṃ na seyyo, dussīlo puggalo yassāpi hetu attādinopi hetu alikaṃ vacanaṃ bhaṇeyya, taṃ naraṃ evarūpaṃ duggatīhi taṃ alikaṃ na tāyate. Sacepi vāto girimāvaheyyāti, samma porisāda, tayā saddhiṃ ekācariyakule sikkhito evarūpo sahāyako hutvā ahaṃ jīvitahetu musā na kathemi, kiṃ na saddahasi. Sace puratthimādibhedo vāto uṭṭhāya mahantaṃ giriṃ tūlapicuṃ viya ākāse āvaheyya, cando ca sūriyo ca attano attano vimānena saddhiṃ chamā pathaviyaṃ pateyyuṃ, sabbāpi najjo patisotaṃ vajeyyuṃ, bho porisāda , evarūpaṃ vacanaṃ sace bhaṇeyya, taṃ saddahitabbaṃ, ahaṃ musā bhaṇeyyaṃ iti vacanaṃ tuyhaṃ janehi vuttaṃ, na tveva taṃ saddahitabbaṃ.

    เอวํ วุเตฺตปิ โส น สทฺทหิเยวฯ อถ โพธิสโตฺต ‘‘อยํ มยฺหํ น สทฺทหติ, สปเถนปิ นํ สทฺทหาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, ขนฺธโต ตาว มํ โอตาเรหิ, สปถํ กตฺวา ตํ สทฺทหาเปสฺสามี’’ติ วุเตฺต เตน โอตาเรตฺวา ภูมิยํ ฐปิโต สปถํ กโรโนฺต อาห –

    Evaṃ vuttepi so na saddahiyeva. Atha bodhisatto ‘‘ayaṃ mayhaṃ na saddahati, sapathenapi naṃ saddahāpessāmī’’ti cintetvā, ‘‘samma porisāda, khandhato tāva maṃ otārehi, sapathaṃ katvā taṃ saddahāpessāmī’’ti vutte tena otāretvā bhūmiyaṃ ṭhapito sapathaṃ karonto āha –

    ๔๐๗.

    407.

    ‘‘อสิญฺจ สตฺติญฺจ ปรามสามิ, สปถมฺปิ เต สมฺม อหํ กโรมิ;

    ‘‘Asiñca sattiñca parāmasāmi, sapathampi te samma ahaṃ karomi;

    ตยา ปมุโตฺต อนโณ ภวิตฺวา, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ

    Tayā pamutto anaṇo bhavitvā, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – สมฺม โปริสาท, สเจ อิจฺฉสิ, เอวรูเปหิ อาวุเธหิ สํวิหิตารเกฺข ขตฺติยกุเล เม นิพฺพตฺติ นาม มา โหตูติ อสิญฺจ สตฺติญฺจ ปรามสามิฯ สเจ อเญฺญหิ ราชูหิ อกตฺตพฺพํ อญฺญํ วา ยํ อิจฺฉสิ, ตํ สปถมฺปิ เต, สมฺม, อหํ กโรมิฯ ยถาหํ ตยา ปมุโตฺต คนฺตฺวา พฺราหฺมณสฺส อนโณ หุตฺวา สจฺจมนุรกฺขโนฺต ปุนราคมิสฺสามีติฯ

    Tassattho – samma porisāda, sace icchasi, evarūpehi āvudhehi saṃvihitārakkhe khattiyakule me nibbatti nāma mā hotūti asiñca sattiñca parāmasāmi. Sace aññehi rājūhi akattabbaṃ aññaṃ vā yaṃ icchasi, taṃ sapathampi te, samma, ahaṃ karomi. Yathāhaṃ tayā pamutto gantvā brāhmaṇassa anaṇo hutvā saccamanurakkhanto punarāgamissāmīti.

    ตโต โปริสาโท ‘‘อยํ สุตโสโม ขตฺติเยหิ อกตฺตพฺพํ สปถํ กโรติ, กิํ เม อิมินา, เอส เอตุ วา มา วา, อหมฺปิ ขตฺติยราชา, มเมว พาหุโลหิตํ คเหตฺวา เทวตาย พลิกมฺมํ กริสฺสามิ, อยํ อติวิย กิลมตี’’ติ จิเนฺตตฺวา –

    Tato porisādo ‘‘ayaṃ sutasomo khattiyehi akattabbaṃ sapathaṃ karoti, kiṃ me iminā, esa etu vā mā vā, ahampi khattiyarājā, mameva bāhulohitaṃ gahetvā devatāya balikammaṃ karissāmi, ayaṃ ativiya kilamatī’’ti cintetvā –

    ๔๐๘.

    408.

    ‘‘โย เต กโต สงฺคโร พฺราหฺมเณน, รเฎฺฐ สเก อิสฺสริเย ฐิเตน;

    ‘‘Yo te kato saṅgaro brāhmaṇena, raṭṭhe sake issariye ṭhitena;

    ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชสฺสู’’ติฯ

    Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇasappadāya, saccānurakkhī punarāvajassū’’ti.

    ตตฺถ ปุนราวชสฺสูติ ปุน อาคเจฺฉยฺยาสิฯ

    Tattha punarāvajassūti puna āgaccheyyāsi.

    อถ นํ มหาสโตฺต, ‘‘สมฺม, มา จินฺตยิ, จตโสฺส สตารหา คาถา สุตฺวา ธมฺมกถิกสฺส ปูชํ กตฺวา ปาโตวาคมิสฺสามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto, ‘‘samma, mā cintayi, catasso satārahā gāthā sutvā dhammakathikassa pūjaṃ katvā pātovāgamissāmī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๐๙.

    409.

    ‘‘โย เม กโต สงฺคโร พฺราหฺมเณน, รเฎฺฐ สเก อิสฺสริเย ฐิเตน;

    ‘‘Yo me kato saṅgaro brāhmaṇena, raṭṭhe sake issariye ṭhitena;

    ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราวชิสฺส’’นฺติฯ

    Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇasappadāya, saccānurakkhī punarāvajissa’’nti.

    อถ นํ โปริสาโท, ‘‘มหาราช, ตุเมฺห ขตฺติเยหิ อกตฺตพฺพํ สปถํ กริตฺถ, ตํ อนุสฺสเรยฺยาถา’’ติ วตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, ตฺวํ มํ ทหรกาลโต ปฎฺฐาย ชานาสิ, หาเสนปิ เม มุสา น กถิตปุพฺพา, โสหํ อิทานิ รเชฺช ปติฎฺฐิโต ธมฺมาธมฺมํ ชานโนฺต กิํ มุสา กเถสฺสามิ, สทฺทหสิ มยฺหํ , อหํ เต เสฺว พลิกมฺมํ ปาปุณิสฺสามี’’ติ สทฺทหาปิโต ‘‘เตน หิ คจฺฉ, มหาราช, ตุเมฺหสุ อนาคเตสุ พลิกมฺมํ น ภวิสฺสติ, เทวตาปิ ตุเมฺหหิ วินา น สมฺปฎิจฺฉติ, มา เม พลิกมฺมสฺส อนฺตรายํ กริตฺถา’’ติ มหาสตฺตํ อุโยฺยเชสิฯ โส ราหุมุขา มุตฺตจโนฺท วิย นาคพโล ถามสมฺปโนฺน ขิปฺปเมว นครํ สมฺปาปุณิฯ เสนาปิสฺส ‘‘สุตโสโม ราชา ปณฺฑิโต มธุรธมฺมกถิโก เอกํ เทฺว กถา กเถตุํ ลภโนฺต โปริสาทํ ทเมตฺวา สีหมุขา มุตฺตมตฺตวารโณ วิย อาคมิสฺสติ, ‘อิเม ราชานํ โปริสาทสฺส ทตฺวา อาคตา’ติ มหาชโน ครหิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา พหินคเรเยว ขนฺธาวารํ กตฺวา ฐิตา ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘กจฺจิ, มหาราช, โปริสาเทน กิลมิโต’’ติ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘โปริสาเทน มยฺหํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรํ กตํ, ตถารูโป นาม จโณฺฑ สาหสิโก โปริสาโท มม ธมฺมกถํ สุตฺวา มํ วิสฺสเชฺชสี’’ติ วุเตฺต ราชานํ อลงฺกริตฺวา หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา ปริวาเรตฺวา นครํ ปาวิสิฯ ตํ ทิสฺวา สเพฺพ นาครา ตุสฺสิํสุฯ

    Atha naṃ porisādo, ‘‘mahārāja, tumhe khattiyehi akattabbaṃ sapathaṃ karittha, taṃ anussareyyāthā’’ti vatvā, ‘‘samma porisāda, tvaṃ maṃ daharakālato paṭṭhāya jānāsi, hāsenapi me musā na kathitapubbā, sohaṃ idāni rajje patiṭṭhito dhammādhammaṃ jānanto kiṃ musā kathessāmi, saddahasi mayhaṃ , ahaṃ te sve balikammaṃ pāpuṇissāmī’’ti saddahāpito ‘‘tena hi gaccha, mahārāja, tumhesu anāgatesu balikammaṃ na bhavissati, devatāpi tumhehi vinā na sampaṭicchati, mā me balikammassa antarāyaṃ karitthā’’ti mahāsattaṃ uyyojesi. So rāhumukhā muttacando viya nāgabalo thāmasampanno khippameva nagaraṃ sampāpuṇi. Senāpissa ‘‘sutasomo rājā paṇḍito madhuradhammakathiko ekaṃ dve kathā kathetuṃ labhanto porisādaṃ dametvā sīhamukhā muttamattavāraṇo viya āgamissati, ‘ime rājānaṃ porisādassa datvā āgatā’ti mahājano garahissatī’’ti cintetvā bahinagareyeva khandhāvāraṃ katvā ṭhitā taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā paccuggantvā vanditvā ‘‘kacci, mahārāja, porisādena kilamito’’ti paṭisanthāraṃ katvā ‘‘porisādena mayhaṃ mātāpitūhipi dukkaraṃ kataṃ, tathārūpo nāma caṇḍo sāhasiko porisādo mama dhammakathaṃ sutvā maṃ vissajjesī’’ti vutte rājānaṃ alaṅkaritvā hatthikkhandhaṃ āropetvā parivāretvā nagaraṃ pāvisi. Taṃ disvā sabbe nāgarā tussiṃsu.

    โสปิ ธมฺมครุตาย ธมฺมโสณฺฑตาย มาตาปิตโร อทิสฺวาว ‘‘ปจฺฉาปิ เน ปสฺสิสฺสามี’’ติ ราชนิเวสนํ ปวิสิตฺวา ราชาสเน นิสีทิตฺวา พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปตฺวา มสฺสุกมฺมาทีนิสฺส อาณาเปตฺวา ตํ กปฺปิตเกสมสฺสุํ นฺหาตานุลิตฺตํ วตฺถาลงฺการปฎิมณฺฑิตํ กตฺวา อาเนตฺวา ทสฺสิตกาเล สยํ ปจฺฉา นฺหตฺวา ตสฺส อตฺตโน โภชนํ ทาเปตฺวา ตสฺมิํ ภุเตฺต สยํ ภุญฺชิตฺวา ตํ มหารเห ปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา ธมฺมครุกตาย อสฺส คนฺธมาลาทีหิ ปูชํ กตฺวา สยํ นีเจ อาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ มยฺหํ อาภตา สตารหา คาถา สุโณม อาจริยา’’ติ ยาจิฯ ตมตฺถํ ทีเปโนฺต สตฺถา คาถมาห –

    Sopi dhammagarutāya dhammasoṇḍatāya mātāpitaro adisvāva ‘‘pacchāpi ne passissāmī’’ti rājanivesanaṃ pavisitvā rājāsane nisīditvā brāhmaṇaṃ pakkosāpetvā massukammādīnissa āṇāpetvā taṃ kappitakesamassuṃ nhātānulittaṃ vatthālaṅkārapaṭimaṇḍitaṃ katvā ānetvā dassitakāle sayaṃ pacchā nhatvā tassa attano bhojanaṃ dāpetvā tasmiṃ bhutte sayaṃ bhuñjitvā taṃ mahārahe pallaṅke nisīdāpetvā dhammagarukatāya assa gandhamālādīhi pūjaṃ katvā sayaṃ nīce āsane nisīditvā ‘‘tumhehi mayhaṃ ābhatā satārahā gāthā suṇoma ācariyā’’ti yāci. Tamatthaṃ dīpento satthā gāthamāha –

    ๔๑๐.

    410.

    ‘‘มุโตฺต จ โส โปริสาทสฺส หตฺถา, คนฺตฺวาน ตํ พฺราหฺมณํ เอตทโวจ;

    ‘‘Mutto ca so porisādassa hatthā, gantvāna taṃ brāhmaṇaṃ etadavoca;

    สุโณมิ คาถาโย สตารหาโย, ยา เม สุตา อสฺสุ หิตาย พฺรเหฺม’’ติฯ

    Suṇomi gāthāyo satārahāyo, yā me sutā assu hitāya brahme’’ti.

    ตตฺถ เอตทโวจาติ เอตํ อโวจฯ

    Tattha etadavocāti etaṃ avoca.

    อถ พฺราหฺมโณ โพธิสเตฺตน ยาจิตกาเล คเนฺธหิ หเตฺถ อุพฺพเฎฺฎตฺวา ปสิพฺพกา มโนรมํ โปตฺถกํ นีหริตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา ‘‘เตน หิ, มหาราช, กสฺสปทสพเลน เทสิตา ราคมทาทินิมฺมทนา อมตมหานิพฺพานสมฺปาปิกา จตโสฺส สตารหา คาถาโย สุโณหี’’ติ วตฺวา โปตฺถกํ โอโลเกโนฺต อาห –

    Atha brāhmaṇo bodhisattena yācitakāle gandhehi hatthe ubbaṭṭetvā pasibbakā manoramaṃ potthakaṃ nīharitvā ubhohi hatthehi gahetvā ‘‘tena hi, mahārāja, kassapadasabalena desitā rāgamadādinimmadanā amatamahānibbānasampāpikā catasso satārahā gāthāyo suṇohī’’ti vatvā potthakaṃ olokento āha –

    ๔๑๑.

    411.

    ‘‘สกิเทว สุตโสม, สพฺภิ โหติ สมาคโม;

    ‘‘Sakideva sutasoma, sabbhi hoti samāgamo;

    สา นํ สงฺคติ ปาเลติ, นาสพฺภิ พหุ สงฺคโมฯ

    Sā naṃ saṅgati pāleti, nāsabbhi bahu saṅgamo.

    ๔๑๒.

    412.

    ‘‘สพฺภิเรว สมาเสถ, สพฺภิ กุเพฺพถ สนฺถวํ;

    ‘‘Sabbhireva samāsetha, sabbhi kubbetha santhavaṃ;

    สตํ สทฺธมฺมมญฺญาย, เสโยฺย โหติ น ปาปิโยฯ

    Sataṃ saddhammamaññāya, seyyo hoti na pāpiyo.

    ๔๑๓.

    413.

    ‘‘ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา, อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ;

    ‘‘Jīranti ve rājarathā sucittā, atho sarīrampi jaraṃ upeti;

    สตญฺจ ธโมฺม น ชรํ อุเปติ, สโนฺต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติฯ

    Satañca dhammo na jaraṃ upeti, santo have sabbhi pavedayanti.

    ๔๑๔.

    414.

    ‘‘นภญฺจ ทูเร ปถวี จ ทูเร, ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร;

    ‘‘Nabhañca dūre pathavī ca dūre, pāraṃ samuddassa tadāhu dūre;

    ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ, สตญฺจ ธโมฺม อสตญฺจ ราชา’’ติฯ

    Tato have dūrataraṃ vadanti, satañca dhammo asatañca rājā’’ti.

    ตตฺถ สกิเทวาติ เอกวารเมวฯ สพฺภีติ สปฺปุริเสหิฯ สา นนฺติ สา สพฺภิ สปฺปุริเสหิ สงฺคติ สมาคโม เอกวารํ ปวโตฺตปิ ตํ ปุคฺคลํ ปาเลติ รกฺขติฯ นาสพฺภีติ อสปฺปุริเสหิ ปน พหุ สุจิรมฺปิ กโต สงฺคโม เอกฎฺฐาเน นิวาโส น ปาเลติ, น ถาวโร โหตีติ อโตฺถฯ สมาเสถาติ สทฺธิํ นิสีเทยฺย, สเพฺพปิ อิริยาปเถ ปณฺฑิเตเหว สทฺธิํ ปวเตฺตยฺยาติ อโตฺถฯ สนฺถวนฺติ มิตฺตสนฺถวํฯ สตํ สทฺธมฺมนฺติ ปณฺฑิตานํ พุทฺธาทีนํ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมสงฺขาตํ สทฺธมฺมํฯ เสโยฺยติ เอตํ ธมฺมํ ญตฺวา วฑฺฒิเยว โหติ, หานิ นาม นตฺถีติ อโตฺถฯ ราชรถาติ ราชูนํ อาโรหนียรถาฯ สุจิตฺตาติ สุปริกมฺมกตาฯ สพฺภิ ปเวทยนฺตีติ พุทฺธาทโย สโนฺต ‘‘สพฺภี’’ติ สงฺขํ คตํ โสภนํ อุตฺตมํ นิพฺพานํ ปเวเทนฺติ โถเมนฺติ, โส นิพฺพานสงฺขาโต สตํ ธโมฺม ชรํ น อุเปติ น ชีรติฯ นภนฺติ อากาโสฯ ทูเรติ ปถวี หิ สปฺปติฎฺฐา สคหณา, อากาโส นิราลโมฺพ อปฺปติโฎฺฐ, อิติ อุโภ เอเต เอกาพทฺธาปิ วิสํโยคเฎฺฐน อนุปลิตฺตเฎฺฐน จ ทูเร นาม โหนฺติฯ ปารนฺติ โอริมตีรโต ปรตีรํฯ ตทาหูติ ตํ อาหุฯ

    Tattha sakidevāti ekavārameva. Sabbhīti sappurisehi. Sā nanti sā sabbhi sappurisehi saṅgati samāgamo ekavāraṃ pavattopi taṃ puggalaṃ pāleti rakkhati. Nāsabbhīti asappurisehi pana bahu sucirampi kato saṅgamo ekaṭṭhāne nivāso na pāleti, na thāvaro hotīti attho. Samāsethāti saddhiṃ nisīdeyya, sabbepi iriyāpathe paṇḍiteheva saddhiṃ pavatteyyāti attho. Santhavanti mittasanthavaṃ. Sataṃ saddhammanti paṇḍitānaṃ buddhādīnaṃ sattatiṃsabodhipakkhiyadhammasaṅkhātaṃ saddhammaṃ. Seyyoti etaṃ dhammaṃ ñatvā vaḍḍhiyeva hoti, hāni nāma natthīti attho. Rājarathāti rājūnaṃ ārohanīyarathā. Sucittāti suparikammakatā. Sabbhi pavedayantīti buddhādayo santo ‘‘sabbhī’’ti saṅkhaṃ gataṃ sobhanaṃ uttamaṃ nibbānaṃ pavedenti thomenti, so nibbānasaṅkhāto sataṃ dhammo jaraṃ na upeti na jīrati. Nabhanti ākāso. Dūreti pathavī hi sappatiṭṭhā sagahaṇā, ākāso nirālambo appatiṭṭho, iti ubho ete ekābaddhāpi visaṃyogaṭṭhena anupalittaṭṭhena ca dūre nāma honti. Pāranti orimatīrato paratīraṃ. Tadāhūti taṃ āhu.

    อิติ พฺราหฺมโณ จตโสฺส สตารหา คาถา กสฺสปทสพเลน เทสิตนิยาเมน เทเสตฺวา ตุณฺหี อโหสิ ฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สปฺผลํ วต เม อาคมน’’นฺติ ตุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา ‘‘อิมา คาถา เนว สาวกภาสิตา, น อิสิภาสิตา, น เกนจิ ภาสิตา, สพฺพญฺญุนาว ภาสิตา, กิํ นุ โข อคฺฆนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อิมาสํ สกลมฺปิ จกฺกวาฬํ ยาว พฺรหฺมโลกา สตฺตรตนปุณฺณํ กตฺวา ททมาโนปิ เนว อนุจฺฉวิกํ กาตุํ สโกฺกติ, อหํ โข ปนสฺส ติโยชนสเต กุรุรเฎฺฐ สตฺตโยชนิเก อินฺทปตฺถนคเร รชฺชํ ทาตุํ ปโหมิ, อตฺถิ นุ ขฺวสฺส รชฺชํ กาเรตุํ ภาคฺย’’นฺติ องฺควิชฺชานุภาเวน โอโลเกโนฺต นาทฺทสฯ ตโต เสนาปติฎฺฐานาทีนิ โอโลเกโนฺต เอกคามโภชกมตฺตสฺสปิ ภาคฺยํ อทิสฺวา ธนลาภสฺส โอโลเกโนฺต โกฎิธนโต ปฎฺฐาย โอโลเกตฺวา จตุนฺนํเยว กหาปณสหสฺสานํ ภาคฺยํ ทิสฺวา ‘‘เอตฺตเกน นํ ปูเชสฺสามี’’ติ จตโสฺส สหสฺสตฺถวิกา ทาเปตฺวา, ‘‘อาจริย, ตุเมฺห อเญฺญสํ ขตฺติยานํ อิมา คาถา เทเสตฺวา กิตฺตกํ ธนํ ลภถา’’ติ ปุจฺฉติฯ ‘‘เอเกกาย คาถาย สตํ สตํ, มหาราช, เตเนว ตา สตารหา นาม ชาตา’’ติฯ อถ นํ มหาสโตฺต, ‘‘อาจริย, ตฺวํ อตฺตนา คเหตฺวา วิเกฺกยฺยภณฺฑสฺส อคฺฆมฺปิ น ชานาสิ , อิโต ปฎฺฐาย เอเกกา คาถา สหสฺสารหา นาม โหนฺตู’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Iti brāhmaṇo catasso satārahā gāthā kassapadasabalena desitaniyāmena desetvā tuṇhī ahosi . Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sapphalaṃ vata me āgamana’’nti tuṭṭhacitto hutvā ‘‘imā gāthā neva sāvakabhāsitā, na isibhāsitā, na kenaci bhāsitā, sabbaññunāva bhāsitā, kiṃ nu kho agghantī’’ti cintetvā ‘‘imāsaṃ sakalampi cakkavāḷaṃ yāva brahmalokā sattaratanapuṇṇaṃ katvā dadamānopi neva anucchavikaṃ kātuṃ sakkoti, ahaṃ kho panassa tiyojanasate kururaṭṭhe sattayojanike indapatthanagare rajjaṃ dātuṃ pahomi, atthi nu khvassa rajjaṃ kāretuṃ bhāgya’’nti aṅgavijjānubhāvena olokento nāddasa. Tato senāpatiṭṭhānādīni olokento ekagāmabhojakamattassapi bhāgyaṃ adisvā dhanalābhassa olokento koṭidhanato paṭṭhāya oloketvā catunnaṃyeva kahāpaṇasahassānaṃ bhāgyaṃ disvā ‘‘ettakena naṃ pūjessāmī’’ti catasso sahassatthavikā dāpetvā, ‘‘ācariya, tumhe aññesaṃ khattiyānaṃ imā gāthā desetvā kittakaṃ dhanaṃ labhathā’’ti pucchati. ‘‘Ekekāya gāthāya sataṃ sataṃ, mahārāja, teneva tā satārahā nāma jātā’’ti. Atha naṃ mahāsatto, ‘‘ācariya, tvaṃ attanā gahetvā vikkeyyabhaṇḍassa agghampi na jānāsi , ito paṭṭhāya ekekā gāthā sahassārahā nāma hontū’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๑๕.

    415.

    ‘‘สหสฺสิยา อิมา คาถา, นหิมา คาถา สตารหา;

    ‘‘Sahassiyā imā gāthā, nahimā gāthā satārahā;

    จตฺตาริ ตฺวํ สหสฺสานิ, ขิปฺปํ คณฺหาหิ พฺราหฺมณา’’ติฯ

    Cattāri tvaṃ sahassāni, khippaṃ gaṇhāhi brāhmaṇā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – พฺราหฺมณ, อิมา คาถา สหสฺสิยา สหสฺสารหา, อิมา คาถา สตารหา น หิ โหนฺตุ, พฺราหฺมณ, ตฺวํ จตฺตาริ สหสฺสานิ ขิปฺปํ คณฺหาติฯ

    Tassattho – brāhmaṇa, imā gāthā sahassiyā sahassārahā, imā gāthā satārahā na hi hontu, brāhmaṇa, tvaṃ cattāri sahassāni khippaṃ gaṇhāti.

    อถสฺส เอกํ สุขยานกํ ทตฺวา ‘‘พฺราหฺมณํ โสตฺถินา เคหํ สมฺปาเปถา’’ติ ปุริเส อาณาเปตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ‘‘สุตโสมรญฺญา สตารหา คาถา สหสฺสารหา กตฺวา ปูชิตา สาธุ สาธู’’ติ มหาสาธุการสโทฺท อโหสิฯ ตสฺส มาตาปิตโร ตํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ สโทฺท นาเมสา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ยถาภูตํ สุตฺวา อตฺตโน ธนโลภตาย มหาสตฺตสฺส กุชฺฌิํสุฯ โสปิ พฺราหฺมณํ อุโยฺยเชตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถสฺส ปิตา ‘‘กถํ, ตาต, เอวรูปสฺส สาหสิกสฺส โจรสฺส หตฺถโต มุโตฺตสี’’ติ ปฎิสนฺถารมตฺตมฺปิ อกตฺวา อตฺตโน ธนโลภตาย ‘‘สจฺจํ กิร, ตาต, ตยา จตโสฺส คาถา สุตฺวา จตฺตาริ สหสฺสานิ ทินฺนานี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจ’’นฺติ วุเตฺต คาถมาห –

    Athassa ekaṃ sukhayānakaṃ datvā ‘‘brāhmaṇaṃ sotthinā gehaṃ sampāpethā’’ti purise āṇāpetvā taṃ uyyojesi. Tasmiṃ khaṇe ‘‘sutasomaraññā satārahā gāthā sahassārahā katvā pūjitā sādhu sādhū’’ti mahāsādhukārasaddo ahosi. Tassa mātāpitaro taṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ saddo nāmesā’’ti pucchitvā yathābhūtaṃ sutvā attano dhanalobhatāya mahāsattassa kujjhiṃsu. Sopi brāhmaṇaṃ uyyojetvā tesaṃ santikaṃ gantvā vanditvā aṭṭhāsi. Athassa pitā ‘‘kathaṃ, tāta, evarūpassa sāhasikassa corassa hatthato muttosī’’ti paṭisanthāramattampi akatvā attano dhanalobhatāya ‘‘saccaṃ kira, tāta, tayā catasso gāthā sutvā cattāri sahassāni dinnānī’’ti pucchitvā ‘‘sacca’’nti vutte gāthamāha –

    ๔๑๖.

    416.

    ‘‘อาสีติยา นาวุติยา จ คาถา, สตารหา จาปิ ภเวยฺย คาถา;

    ‘‘Āsītiyā nāvutiyā ca gāthā, satārahā cāpi bhaveyya gāthā;

    ปจฺจตฺตเมว สุตโสม ชานหิ, สหสฺสิยา นาม กา อตฺถิ คาถา’’ติฯ

    Paccattameva sutasoma jānahi, sahassiyā nāma kā atthi gāthā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – คาถา นาม, ตาต, อาสีติยา จ นาวุติยา จ สตารหา จาปิ ภเวยฺย, ปจฺจตฺตเมว อตฺตนาว ชานาหิ, สหสฺสารหา นาม คาถา กา กสฺส สนฺติเก อตฺถีติฯ

    Tassattho – gāthā nāma, tāta, āsītiyā ca nāvutiyā ca satārahā cāpi bhaveyya, paccattameva attanāva jānāhi, sahassārahā nāma gāthā kā kassa santike atthīti.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘นาหํ, ตาต, ธเนน วุทฺธิํ อิจฺฉามิ, สุเตน ปน อิจฺฉามี’’ติ สญฺญาเปโนฺต อาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘nāhaṃ, tāta, dhanena vuddhiṃ icchāmi, sutena pana icchāmī’’ti saññāpento āha –

    ๔๑๗.

    417.

    ‘‘อิจฺฉามิ โวหํ สุตวุทฺธิมตฺตโน, สโนฺตติ มํ สปฺปุริสา ภเชยฺยุํ;

    ‘‘Icchāmi vohaṃ sutavuddhimattano, santoti maṃ sappurisā bhajeyyuṃ;

    อหํ สวนฺตีหิ มโหทธีว, น หิ ตาต ตปฺปามิ สุภาสิเตนฯ

    Ahaṃ savantīhi mahodadhīva, na hi tāta tappāmi subhāsitena.

    ๔๑๘.

    418.

    ‘‘อคฺคิ ยถา ติณกฎฺฐํ ทหโนฺต, น กปฺปตี สาคโรว นทีภิ;

    ‘‘Aggi yathā tiṇakaṭṭhaṃ dahanto, na kappatī sāgarova nadībhi;

    เอวมฺปิ เต ปณฺฑิตา ราชเสฎฺฐ, สุตฺวา น ตปฺปนฺติ สุภาสิเตนฯ

    Evampi te paṇḍitā rājaseṭṭha, sutvā na tappanti subhāsitena.

    ๔๑๙.

    419.

    ‘‘สกสฺส ทาสสฺส ยทา สุโณมิ, คาถํ อหํ อตฺถวติํ ชนินฺท;

    ‘‘Sakassa dāsassa yadā suṇomi, gāthaṃ ahaṃ atthavatiṃ janinda;

    ตเมว สกฺกจฺจ นิสามยามิ, น หิ ตาต ธเมฺมสุ มมตฺถิ ติตฺตี’’ติฯ

    Tameva sakkacca nisāmayāmi, na hi tāta dhammesu mamatthi tittī’’ti.

    ตตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ ‘‘สโนฺต’’ติ เอเต จ มํ ภเชยฺยุํ อิติ อิจฺฉามิฯ สวนฺตีหีติ นทีหิฯ สกสฺสาติ ติฎฺฐตุ, นนฺท, พฺราหฺมโณ, ยทา อหํ อตฺตโน ทาสสฺสปิ สนฺติเก สุโณมิ, ตาต, ธเมฺมสุ มม ติตฺติ น หิ อตฺถีติฯ

    Tattha voti nipātamattaṃ. ‘‘Santo’’ti ete ca maṃ bhajeyyuṃ iti icchāmi. Savantīhīti nadīhi. Sakassāti tiṭṭhatu, nanda, brāhmaṇo, yadā ahaṃ attano dāsassapi santike suṇomi, tāta, dhammesu mama titti na hi atthīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มา มํ, ตาต, ธนเหตุ ปริภาสสิ, อหํ ธมฺมํ สุตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ สปถํ กตฺวา อาคโต, อิทานาหํ โปริสาทสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามิ, อิทํ เต รชฺชํ คณฺหถา’’ติ รชฺชํ นิยฺยาเทโนฺต คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘mā maṃ, tāta, dhanahetu paribhāsasi, ahaṃ dhammaṃ sutvā āgamissāmī’’ti sapathaṃ katvā āgato, idānāhaṃ porisādassa santikaṃ gamissāmi, idaṃ te rajjaṃ gaṇhathā’’ti rajjaṃ niyyādento gāthamāha –

    ๔๒๐.

    420.

    ‘‘อิทํ เต รฎฺฐํ สธนํ สโยคฺคํ, สกายุรํ สพฺพกามูปปนฺนํ;

    ‘‘Idaṃ te raṭṭhaṃ sadhanaṃ sayoggaṃ, sakāyuraṃ sabbakāmūpapannaṃ;

    กิํ กามเหตุ ปริภาสสิ มํ, คจฺฉามหํ โปริสาทสฺส ญเตฺต’’ติฯ

    Kiṃ kāmahetu paribhāsasi maṃ, gacchāmahaṃ porisādassa ñatte’’ti.

    ตตฺถ ญเตฺตติ สนฺติเกฯ

    Tattha ñatteti santike.

    ตสฺมิํ สมเย ปิตุรโญฺญ หทยํ อุณฺหํ อโหสิฯ โส, ‘‘ตาต สุตโสม, กิํ นาเมตํ กเถสิ, มยํ จตุรงฺคินิยา เสนาย โจรํ คเหสฺสามา’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Tasmiṃ samaye piturañño hadayaṃ uṇhaṃ ahosi. So, ‘‘tāta sutasoma, kiṃ nāmetaṃ kathesi, mayaṃ caturaṅginiyā senāya coraṃ gahessāmā’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๒๑.

    421.

    ‘‘อตฺตานุรกฺขาย ภวนฺติ เหเต, หตฺถาโรหา รถิกา ปตฺติกา จ;

    ‘‘Attānurakkhāya bhavanti hete, hatthārohā rathikā pattikā ca;

    อสฺสาโรหา เย จ ธนุคฺคหาเส, เสนํ ปยุญฺชาม หนาม สตฺตุ’’นฺติฯ

    Assārohā ye ca dhanuggahāse, senaṃ payuñjāma hanāma sattu’’nti.

    ตตฺถ หนามาติ สเจ เอวํ ปโยชิตา เสนา ตํ คเหตุํ น สโกฺกนฺติ, อถ นํ สกลรฎฺฐวาสิโน คเหตฺวา คนฺตฺวา หนาม สตฺตุํ, มาเรม ตํ อมฺหากํ ปจฺจามิตฺตนฺติ อโตฺถฯ

    Tattha hanāmāti sace evaṃ payojitā senā taṃ gahetuṃ na sakkonti, atha naṃ sakalaraṭṭhavāsino gahetvā gantvā hanāma sattuṃ, mārema taṃ amhākaṃ paccāmittanti attho.

    อถ นํ มาตาปิตโร อสฺสุปุณฺณมุขา โรทมานา วิลปนฺตา, ‘‘ตาต, มา คจฺฉ, คนฺตุํ น ลพฺภา’’ติ ยาจิํสุฯ โสฬสสหสฺสา นาฎกิตฺถิโยปิ เสสปริชโนปิ ‘‘อเมฺห อนาเถ กตฺวา กุหิํ คจฺฉสิ, เทวา’’ติ ปริเทวิํสุฯ สกลนคเร โกจิ สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สุตโสโม โปริสาทสฺส กิร ปฎิญฺญํ ทตฺวา อาคโต, อิทานิ จตโสฺส สตารหา คาถา สุตฺวา ธมฺมกถิกสฺส สกฺการํ กตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ปุนปิ กิร โจรสฺส สนฺติกํ คมิสฺสตี’’ติ สกลนครํ เอกโกลาหลํ อโหสิฯ โสปิ มาตาปิตูนํ วจนํ สุตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mātāpitaro assupuṇṇamukhā rodamānā vilapantā, ‘‘tāta, mā gaccha, gantuṃ na labbhā’’ti yāciṃsu. Soḷasasahassā nāṭakitthiyopi sesaparijanopi ‘‘amhe anāthe katvā kuhiṃ gacchasi, devā’’ti parideviṃsu. Sakalanagare koci sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkonto ‘‘sutasomo porisādassa kira paṭiññaṃ datvā āgato, idāni catasso satārahā gāthā sutvā dhammakathikassa sakkāraṃ katvā mātāpitaro vanditvā punapi kira corassa santikaṃ gamissatī’’ti sakalanagaraṃ ekakolāhalaṃ ahosi. Sopi mātāpitūnaṃ vacanaṃ sutvā gāthamāha –

    ๔๒๒.

    422.

    ‘‘สุทุกฺกรํ โปริสาโท อกาสิ, ชีวํ คเหตฺวาน อวสฺสชี มํ;

    ‘‘Sudukkaraṃ porisādo akāsi, jīvaṃ gahetvāna avassajī maṃ;

    ตํ ตาทิสํ ปุพฺพกิจฺจํ สรโนฺต, ทุเพฺภ อหํ ตสฺส กถํ ชนินฺทา’’ติฯ

    Taṃ tādisaṃ pubbakiccaṃ saranto, dubbhe ahaṃ tassa kathaṃ janindā’’ti.

    ตตฺถ ชีวํ คเหตฺวานาติ ชีวคฺคาหํ คเหตฺวาฯ ตํ ตาทิสนฺติ ตํ เตน กตํ ตถารูปํฯ ปุพฺพกิจฺจนฺติ ปุริมํ อุปการํฯ ชนินฺทาติ ปิตรํ อาลปติฯ

    Tattha jīvaṃ gahetvānāti jīvaggāhaṃ gahetvā. Taṃ tādisanti taṃ tena kataṃ tathārūpaṃ. Pubbakiccanti purimaṃ upakāraṃ. Janindāti pitaraṃ ālapati.

    โส มาตาปิตโร อสฺสาเสตฺวา, ‘‘อมฺม ตาตา, ตุเมฺห มยฺหํ มา จินฺตยิตฺถ, กตกลฺยาโณ อหํ, มม ฉกามสฺสคฺคิสฺสริยํ น ทุลฺลภ’’นฺติ มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อาปุจฺฉิตฺวา เสสชนํ อนุสาสิตฺวา ปกฺกามิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So mātāpitaro assāsetvā, ‘‘amma tātā, tumhe mayhaṃ mā cintayittha, katakalyāṇo ahaṃ, mama chakāmassaggissariyaṃ na dullabha’’nti mātāpitaro vanditvā āpucchitvā sesajanaṃ anusāsitvā pakkāmi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๔๒๓.

    423.

    ‘‘วนฺทิตฺวา โส ปิตรํ มาตรญฺจ, อนุสาสิตฺวา เนคมญฺจ พลญฺจ;

    ‘‘Vanditvā so pitaraṃ mātarañca, anusāsitvā negamañca balañca;

    สจฺจวาที สจฺจานุรกฺขมาโน, อคมาสิ โส ยตฺถ โปริสาโท’’ติฯ

    Saccavādī saccānurakkhamāno, agamāsi so yattha porisādo’’ti.

    ตตฺถ สจฺจานุรกฺขมาโนติ สจฺจํ อนุรกฺขมาโนฯ อคมาสีติ ตํ รตฺติํ นิเวสเนเยว วสิตฺวา ปุนทิวเส อรุณุคฺคมนเวลาย มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา อาปุจฺฉิตฺวา เสสชนํ อนุสาสิตฺวา อสฺสุมุเขน นานปฺปการํ ปริเทวเนฺตน อิตฺถาคาราทินา มหาชเนน อนุคโต นครา นิกฺขมฺม ตํ ชนํ นิวเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต มหามเคฺค ทณฺฑเกน ติริยํ เลขํ กฑฺฒิตฺวา ‘‘สเจ มยิ สิเนโห อตฺถิ, อิมํ มา อติกฺกมิํสู’’ติ อาหฯ มหาชโน สีลวโต เตชวนฺตสฺส อาณํ อติกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต มหาสเทฺทน ปริเทวมาโน ตํ สีหวิชมฺภิเตน คจฺฉนฺตํ โอโลเกตฺวา ตสฺมิํ ทสฺสนูปจารํ อติกฺกเนฺต เอกรวํ รวโนฺต นครํ ปาวิสิฯ โสปิ อาคตมเคฺคเนว ตสฺส สนฺติกํ คโตฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อคมาสิ โส ยตฺถ โปริสาโท’’ติฯ

    Tattha saccānurakkhamānoti saccaṃ anurakkhamāno. Agamāsīti taṃ rattiṃ nivesaneyeva vasitvā punadivase aruṇuggamanavelāya mātāpitaro vanditvā āpucchitvā sesajanaṃ anusāsitvā assumukhena nānappakāraṃ paridevantena itthāgārādinā mahājanena anugato nagarā nikkhamma taṃ janaṃ nivattetuṃ asakkonto mahāmagge daṇḍakena tiriyaṃ lekhaṃ kaḍḍhitvā ‘‘sace mayi sineho atthi, imaṃ mā atikkamiṃsū’’ti āha. Mahājano sīlavato tejavantassa āṇaṃ atikkamituṃ asakkonto mahāsaddena paridevamāno taṃ sīhavijambhitena gacchantaṃ oloketvā tasmiṃ dassanūpacāraṃ atikkante ekaravaṃ ravanto nagaraṃ pāvisi. Sopi āgatamaggeneva tassa santikaṃ gato. Tena vuttaṃ ‘‘agamāsi so yattha porisādo’’ti.

    ตโต โปริสาโท จิเนฺตสิ – ‘‘สเจ มม สหาโย สุตโสโม อาคนฺตุกาโม, อาคจฺฉตุ, อนาคนฺตุกาโม, อนาคจฺฉตุ, รุกฺขเทวตา ยํ มยฺหํ อิจฺฉติ , ตํ กโรตุ, อิเม ราชาโน มาเรตฺวา ปญฺจมธุรมํเสน พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติ จิตกํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ‘‘องฺคารราสิ ตาว โหตู’’ติ ตสฺส สูเล ตจฺฉนฺตสฺส นิสินฺนกาเล สุตโสโม อาคโตฯ อถ นํ โปริสาโท ทิสฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต, ‘‘สมฺม, คนฺตฺวา กตฺตพฺพกิจฺจํ เต กต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ มหาสโตฺต, ‘‘อาม มหาราช, กสฺสปทสพเลน เทสิตา คาถา เม สุตา, ธมฺมกถิกสฺส จ สกฺกาโร กโต, ตสฺมา คนฺตฺวา กตฺตพฺพกิจฺจํ กตํ นาม โหตี’’ติ ทเสฺสตุํ คาถมาห –

    Tato porisādo cintesi – ‘‘sace mama sahāyo sutasomo āgantukāmo, āgacchatu, anāgantukāmo, anāgacchatu, rukkhadevatā yaṃ mayhaṃ icchati , taṃ karotu, ime rājāno māretvā pañcamadhuramaṃsena balikammaṃ karissāmī’’ti citakaṃ katvā aggiṃ jāletvā ‘‘aṅgārarāsi tāva hotū’’ti tassa sūle tacchantassa nisinnakāle sutasomo āgato. Atha naṃ porisādo disvā tuṭṭhacitto, ‘‘samma, gantvā kattabbakiccaṃ te kata’’nti pucchi. Mahāsatto, ‘‘āma mahārāja, kassapadasabalena desitā gāthā me sutā, dhammakathikassa ca sakkāro kato, tasmā gantvā kattabbakiccaṃ kataṃ nāma hotī’’ti dassetuṃ gāthamāha –

    ๔๒๔.

    424.

    ‘‘กโต มยา สงฺคโร พฺราหฺมเณน, รเฎฺฐ สเก อิสฺสริเย ฐิเตน;

    ‘‘Kato mayā saṅgaro brāhmaṇena, raṭṭhe sake issariye ṭhitena;

    ตํ สงฺครํ พฺราหฺมณสปฺปทาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราคโตสฺมิ;

    Taṃ saṅgaraṃ brāhmaṇasappadāya, saccānurakkhī punarāgatosmi;

    ยชสฺสุ ยญฺญํ ขาท มํ โปริสาทา’’ติฯ

    Yajassu yaññaṃ khāda maṃ porisādā’’ti.

    ตตฺถ ยชสฺสูติ มํ มาเรตฺวา เทวตาย วา ยญฺญํ ยชสฺสุ, มํสํ วา เม ขาทาหีติ อโตฺถฯ

    Tattha yajassūti maṃ māretvā devatāya vā yaññaṃ yajassu, maṃsaṃ vā me khādāhīti attho.

    ตํ สุตฺวา โปริสาโท ‘‘อยํ ราชา น ภายติ, วิคตมรณภโย หุตฺวา กเถติ, กิสฺส นุ โข เอส อานุภาโว’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อญฺญํ นตฺถิ, อยํ ‘กสฺสปทสพเลน เทสิตา คาถา เม สุตา’ติ วทติ, ตาสํ เอเตน อาสุภาเวน ภวิตพฺพํ, อหมฺปิ ตํ กถาเปตฺวา ตา คาถาโย โสสฺสามิ, เอวํ อหมฺปิ นิพฺภโย ภวิสฺสามี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā porisādo ‘‘ayaṃ rājā na bhāyati, vigatamaraṇabhayo hutvā katheti, kissa nu kho esa ānubhāvo’’ti cintetvā ‘‘aññaṃ natthi, ayaṃ ‘kassapadasabalena desitā gāthā me sutā’ti vadati, tāsaṃ etena āsubhāvena bhavitabbaṃ, ahampi taṃ kathāpetvā tā gāthāyo sossāmi, evaṃ ahampi nibbhayo bhavissāmī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā gāthamāha –

    ๔๒๕.

    425.

    ‘‘น หายเต ขาทิตํ มยฺหํ ปจฺฉา, จิตกา อยํ ตาว สธูมิกาว;

    ‘‘Na hāyate khāditaṃ mayhaṃ pacchā, citakā ayaṃ tāva sadhūmikāva;

    นิทฺธูมเก ปจิตํ สาธุปกฺกํ, สุโณมิ คาถาโย สตารหาโย’’ติฯ

    Niddhūmake pacitaṃ sādhupakkaṃ, suṇomi gāthāyo satārahāyo’’ti.

    ตตฺถ ขาทิตนฺติ ขาทนํฯ ตํ ขาทนํ มยฺหํ ปจฺฉา วา ปุเร วา น ปริหายติ, ปจฺฉาปิ หิ ตฺวํ มยา ขาทิตโพฺพวฯ นิทฺธูมเก ปจิตนฺติ นิทฺธูเม นิชฺฌาเล อคฺคิมฺหิ ปกฺกมํสํ สาธุปกฺกํ นาม โหติฯ

    Tattha khāditanti khādanaṃ. Taṃ khādanaṃ mayhaṃ pacchā vā pure vā na parihāyati, pacchāpi hi tvaṃ mayā khāditabbova. Niddhūmake pacitanti niddhūme nijjhāle aggimhi pakkamaṃsaṃ sādhupakkaṃ nāma hoti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อยํ โปริสาโท ปาปธโมฺม, อิมํ โถกํ นิคฺคเหตฺวา ลชฺชาเปตฺวา กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ayaṃ porisādo pāpadhammo, imaṃ thokaṃ niggahetvā lajjāpetvā kathessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๔๒๖.

    426.

    ‘‘อธมฺมิโก ตฺวํ โปริสาทกาสิ, รฎฺฐา จ ภโฎฺฐ อุทรสฺส เหตุ;

    ‘‘Adhammiko tvaṃ porisādakāsi, raṭṭhā ca bhaṭṭho udarassa hetu;

    ธมฺมญฺจิมา อภิวทนฺติ คาถา, ธโมฺม จ อธโมฺม จ กุหิํ สเมติฯ

    Dhammañcimā abhivadanti gāthā, dhammo ca adhammo ca kuhiṃ sameti.

    ๔๒๗.

    427.

    ‘‘อธมฺมิกสฺส ลุทฺทสฺส, นิจฺจํ โลหิตปาณิโน;

    ‘‘Adhammikassa luddassa, niccaṃ lohitapāṇino;

    นตฺถิ สจฺจํ กุโต ธโมฺม, กิํ สุเตน กริสฺสสี’’ติฯ

    Natthi saccaṃ kuto dhammo, kiṃ sutena karissasī’’ti.

    ตตฺถ ธมฺมญฺจิมาติ อิมา จ คาถา นวโลกุตฺตรธมฺมํ อภิวทนฺติฯ กุหิํ สเมตีติ กตฺถ สมาคจฺฉติฯ ธโมฺม หิ สุคติํ ปาเปติ นิพฺพานํ วา, อธโมฺม ทุคฺคติํฯ กุโต ธโมฺมติ วจีสจฺจมตฺตมฺปิ นตฺถิ, กุโต ธโมฺมฯ กิํ สุเตนาติ ตฺวํ เอเตน สุเตน กิํ กริสฺสสิ, มตฺติกาภาชนํ วิย หิ สีหวสาย อภาชนํ ตฺวํ ธมฺมสฺสฯ

    Tattha dhammañcimāti imā ca gāthā navalokuttaradhammaṃ abhivadanti. Kuhiṃ sametīti kattha samāgacchati. Dhammo hi sugatiṃ pāpeti nibbānaṃ vā, adhammo duggatiṃ. Kuto dhammoti vacīsaccamattampi natthi, kuto dhammo. Kiṃ sutenāti tvaṃ etena sutena kiṃ karissasi, mattikābhājanaṃ viya hi sīhavasāya abhājanaṃ tvaṃ dhammassa.

    โส เอวํ กถิเตปิ เนว กุชฺฌิฯ กสฺมา? มหาสตฺตสฺส เมตฺตาภาวนาย มหเตฺตนฯ อถ นํ ‘‘กิํ ปน สมฺม สุตโสม อหเมว อธมฺมิโก’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    So evaṃ kathitepi neva kujjhi. Kasmā? Mahāsattassa mettābhāvanāya mahattena. Atha naṃ ‘‘kiṃ pana samma sutasoma ahameva adhammiko’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๒๘.

    428.

    ‘‘โย มํสเหตุ มิควํ จเรยฺย, โย วา หเน ปุริสมตฺตเหตุ;

    ‘‘Yo maṃsahetu migavaṃ careyya, yo vā hane purisamattahetu;

    อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ, กสฺมา โน อธมฺมิกํ พฺรูสิ มํ ตฺว’’นฺติฯ

    Ubhopi te pecca samā bhavanti, kasmā no adhammikaṃ brūsi maṃ tva’’nti.

    ตตฺถ กสฺมา โนติ เย ชมฺพุทีปตเล ราชาโน อลงฺกตปฎิยตฺตา มหาพลปริวารา รถวรคตา มิควํ จรนฺตา ติขิเณหิ สเรหิ มิเค วิชฺฌิตฺวา มาเรนฺติ, เต อวตฺวา กสฺมา ตฺวํ มเญฺญว อธมฺมิกนฺติ วทติฯ ยทิ เต นิโทฺทสา, อหมฺปิ นิโทฺทโส เอวาติ ทีเปติฯ

    Tattha kasmā noti ye jambudīpatale rājāno alaṅkatapaṭiyattā mahābalaparivārā rathavaragatā migavaṃ carantā tikhiṇehi sarehi mige vijjhitvā mārenti, te avatvā kasmā tvaṃ maññeva adhammikanti vadati. Yadi te niddosā, ahampi niddoso evāti dīpeti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ตสฺส ลทฺธิํ ภินฺทโนฺต คาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto tassa laddhiṃ bhindanto gāthamāha –

    ๔๒๙.

    429.

    ‘‘ปญฺจ ปญฺจ น ขา ภกฺขา, ขตฺติเยน ปชานตา;

    ‘‘Pañca pañca na khā bhakkhā, khattiyena pajānatā;

    อภกฺขํ ราช ภเกฺขสิ, ตสฺมา อธมฺมิโก ตุว’’นฺติฯ

    Abhakkhaṃ rāja bhakkhesi, tasmā adhammiko tuva’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – สมฺม โปริสาท, ขตฺติเยน นาม ขตฺติยธมฺมํ ชานเนฺตน ปญฺจ ปญฺจ หตฺถิอาทโย ทเสว สตฺตา มํสวเสน น ขา ภกฺขา น โข ขาทิตพฺพยุตฺตกาฯ ‘‘น โข’’เตฺวว วา ปาโฐฯ อปโร นโย ขตฺติเยน ขตฺติยธมฺมํ ชานเนฺตน ปญฺจนเขสุ สเตฺตสุ สสโก, สลฺลโก, โคธา, กปิ กุโมฺมติ อิเม ปเญฺจว สตฺตา ภกฺขิตพฺพยุตฺตกา, น อเญฺญ, ตฺวํ ปน อภกฺขํ มนุสฺสมํสํ ภเกฺขสิ, เตน อธมฺมิโกติฯ

    Tassattho – samma porisāda, khattiyena nāma khattiyadhammaṃ jānantena pañca pañca hatthiādayo daseva sattā maṃsavasena na khā bhakkhā na kho khāditabbayuttakā. ‘‘Na kho’’tveva vā pāṭho. Aparo nayo khattiyena khattiyadhammaṃ jānantena pañcanakhesu sattesu sasako, sallako, godhā, kapi kummoti ime pañceva sattā bhakkhitabbayuttakā, na aññe, tvaṃ pana abhakkhaṃ manussamaṃsaṃ bhakkhesi, tena adhammikoti.

    อิติ โส นิคฺคหํ ปตฺวา อญฺญํ นิสฺสรณํ อทิสฺวา อตฺตโน ปาปํ ปฎิจฺฉาเทโนฺต คาถมาห –

    Iti so niggahaṃ patvā aññaṃ nissaraṇaṃ adisvā attano pāpaṃ paṭicchādento gāthamāha –

    ๔๓๐.

    430.

    ‘‘มุโตฺต ตุวํ โปริสาทสฺส หตฺถา, คนฺตฺวา สกํ มนฺทิรํ กามกามี;

    ‘‘Mutto tuvaṃ porisādassa hatthā, gantvā sakaṃ mandiraṃ kāmakāmī;

    อมิตฺตหตฺถํ ปุนราคโตสิ, น ขตฺตธเมฺม กุสโลสิ ราชา’’ติฯ

    Amittahatthaṃ punarāgatosi, na khattadhamme kusalosi rājā’’ti.

    ตตฺถ น ขตฺตธเมฺมติ ตฺวํ ขตฺติยธมฺมสงฺขาเต นีติสเตฺถ น กุสโลสิ, อตฺตโน อตฺถานตฺถํ น ชานาสิ, อการเณเนว เต โลเก ปณฺฑิโตติ กิตฺติ ปตฺถฎา, อหํ ปน เต ปณฺฑิตภาวํ น ปสฺสามิ น ชานามิ, อติพาโลสีหิ วทติฯ

    Tattha na khattadhammeti tvaṃ khattiyadhammasaṅkhāte nītisatthe na kusalosi, attano atthānatthaṃ na jānāsi, akāraṇeneva te loke paṇḍitoti kitti patthaṭā, ahaṃ pana te paṇḍitabhāvaṃ na passāmi na jānāmi, atibālosīhi vadati.

    อถ นํ มหาสโตฺต, ‘‘สมฺม, ขตฺติยธเมฺม กุสเลน นาม มาทิเสเนว ภวิตพฺพํฯ อหญฺหิ ตํ ชานามิ, น ปน ตทตฺถาย ปฎิปชฺชามี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto, ‘‘samma, khattiyadhamme kusalena nāma mādiseneva bhavitabbaṃ. Ahañhi taṃ jānāmi, na pana tadatthāya paṭipajjāmī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๓๑.

    431.

    ‘‘เย ขตฺตธเมฺม กุสลา ภวนฺติ, ปาเยน เต เนรยิกา ภวนฺติ;

    ‘‘Ye khattadhamme kusalā bhavanti, pāyena te nerayikā bhavanti;

    ตสฺมา อหํ ขตฺตธมฺมํ ปหาย, สจฺจานุรกฺขี ปุนราคโตสฺมิ;

    Tasmā ahaṃ khattadhammaṃ pahāya, saccānurakkhī punarāgatosmi;

    ยชสฺสุ ยญฺญํ ขาท มํ โปริสาทา’’ติฯ

    Yajassu yaññaṃ khāda maṃ porisādā’’ti.

    ตตฺถ กุสลาติ ตทตฺถาย ปฎิปชฺชนกุสลาฯ ปาเยนาติ เยภุเยฺยน เนรยิกาฯ เย ปน ตตฺถ น นิพฺพตฺตนฺติ, เต เสสาปาเยสุ นิพฺพตฺตนฺติฯ

    Tattha kusalāti tadatthāya paṭipajjanakusalā. Pāyenāti yebhuyyena nerayikā. Ye pana tattha na nibbattanti, te sesāpāyesu nibbattanti.

    โปริสาโท อาห –

    Porisādo āha –

    ๔๓๒.

    432.

    ‘‘ปาสาทวาสา ปถวีควาสฺสา, กามิตฺถิโย กาสิกจนฺทนญฺจ;

    ‘‘Pāsādavāsā pathavīgavāssā, kāmitthiyo kāsikacandanañca;

    สพฺพํ ตหิํ ลภสิ สามิตาย, สเจฺจน กิํ ปสฺสสิ อานิสํส’’นฺติฯ

    Sabbaṃ tahiṃ labhasi sāmitāya, saccena kiṃ passasi ānisaṃsa’’nti.

    ตตฺถ ปาสาทวาสาติ, สมฺม สุตโสม, ตว ติณฺณํ อุตูนํ อนุจฺฉวิกา ทิพฺพวิมานกปฺปา ตโย นิวาสปาสาทาฯ ปถวีควาสฺสาติ ปถวี จ คาโว จ อสฺสา จ พหูฯ กามิตฺถิโยติ กามวตฺถุภูตา อิตฺถิโยฯ กาสิกจนฺทนญฺจาติ กาสิกวตฺถญฺจ โลหิตจนฺทนญฺจฯ สพฺพํ ตหินฺติ เอตญฺจ อญฺญญฺจ อุปโภคปริโภคํ สพฺพํ ตฺวํ ตหิํ อตฺตโน นคเร สามิตาย ลภสิ, สามี หุตฺวา ยถา อิจฺฉสิ, ตถา ปริภุญฺชิตุํ ลภติ, โส ตฺวํ สพฺพเมตํ ปหาย สจฺจานุรกฺขี อิธาคจฺฉโนฺต สเจฺจน กิํ อานิสํสํ ปสฺสสีติฯ

    Tattha pāsādavāsāti, samma sutasoma, tava tiṇṇaṃ utūnaṃ anucchavikā dibbavimānakappā tayo nivāsapāsādā. Pathavīgavāssāti pathavī ca gāvo ca assā ca bahū. Kāmitthiyoti kāmavatthubhūtā itthiyo. Kāsikacandanañcāti kāsikavatthañca lohitacandanañca. Sabbaṃ tahinti etañca aññañca upabhogaparibhogaṃ sabbaṃ tvaṃ tahiṃ attano nagare sāmitāya labhasi, sāmī hutvā yathā icchasi, tathā paribhuñjituṃ labhati, so tvaṃ sabbametaṃ pahāya saccānurakkhī idhāgacchanto saccena kiṃ ānisaṃsaṃ passasīti.

    โพธิสโตฺต อาห –

    Bodhisatto āha –

    ๔๓๓.

    433.

    ‘‘เย เกจิเม อตฺถิ รสา ปถพฺยา, สจฺจํ เตสํ สาทุตรํ รสานํ;

    ‘‘Ye kecime atthi rasā pathabyā, saccaṃ tesaṃ sādutaraṃ rasānaṃ;

    สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จ, ตรนฺติ ชาติมรณสฺส ปาร’’นฺติฯ

    Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā ca, taranti jātimaraṇassa pāra’’nti.

    ตตฺถ สาทุตรนฺติ ยสฺมา สเพฺพปิ รสา สตฺตานํ สจฺจกาเลเยว ปณีตา มธุรา โหนฺติ, ตสฺมา สจฺจํ เตสํ สาทุตรํ รสานํ, ยสฺมา วา วิรติสจฺจวจีสเจฺจ ฐิตา ชาติมรณสงฺขาตสฺส เตภูมกวฎฺฎสฺส ปารํ อมตมหานิพฺพานํ ตรนฺติ ปาปุณนฺติ, ตสฺมาปิ ตํ สาทุตรนฺติฯ

    Tattha sādutaranti yasmā sabbepi rasā sattānaṃ saccakāleyeva paṇītā madhurā honti, tasmā saccaṃ tesaṃ sādutaraṃ rasānaṃ, yasmā vā viratisaccavacīsacce ṭhitā jātimaraṇasaṅkhātassa tebhūmakavaṭṭassa pāraṃ amatamahānibbānaṃ taranti pāpuṇanti, tasmāpi taṃ sādutaranti.

    เอวมสฺส มหาสโตฺต สเจฺจ อานิสํสํ กเถสิฯ ตโต โปริสาโท วิกสิตปทุมปุณฺณจนฺทสสฺสิริกเมวสฺส มุขํ โอโลเกตฺวา ‘‘อยํ สุตโสโม องฺคารจิตกํ มญฺจ สูลํ ตจฺฉนฺตํ ปสฺสติ, จิตฺตุตฺราสมตฺตมฺปิสฺส นตฺถิ, กิํ นุ โข เอส สตารหคาถานํ อานุภาโว, อุทาหุ สจฺจสฺส, อญฺญเสฺสว วา กสฺสจี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    Evamassa mahāsatto sacce ānisaṃsaṃ kathesi. Tato porisādo vikasitapadumapuṇṇacandasassirikamevassa mukhaṃ oloketvā ‘‘ayaṃ sutasomo aṅgāracitakaṃ mañca sūlaṃ tacchantaṃ passati, cittutrāsamattampissa natthi, kiṃ nu kho esa satārahagāthānaṃ ānubhāvo, udāhu saccassa, aññasseva vā kassacī’’ti cintetvā ‘‘pucchissāmi tāva na’’nti pucchanto gāthamāha –

    ๔๓๔.

    434.

    ‘‘มุโตฺต ตุวํ โปริสาทสฺส หตฺถา, คนฺตฺวา สกํ มนฺทิรํ กามกามี;

    ‘‘Mutto tuvaṃ porisādassa hatthā, gantvā sakaṃ mandiraṃ kāmakāmī;

    อมิตฺตหตฺถํ ปุนราคโตสิ, น หิ นูน เต มรณภยํ ชนินฺท;

    Amittahatthaṃ punarāgatosi, na hi nūna te maraṇabhayaṃ janinda;

    อลีนจิโตฺต อสิ สจฺจวาที’’ติฯ

    Alīnacitto asi saccavādī’’ti.

    มหาสโตฺตปิสฺส อาจิกฺขโนฺต อาห –

    Mahāsattopissa ācikkhanto āha –

    ๔๓๕.

    435.

    ‘‘กตา เม กลฺยาณา อเนกรูปา, ยญฺญา ยิฎฺฐา เย วิปุลา ปสตฺถา;

    ‘‘Katā me kalyāṇā anekarūpā, yaññā yiṭṭhā ye vipulā pasatthā;

    วิโสธิโต ปรโลกสฺส มโคฺค, ธเมฺม ฐิโต โก มรณสฺส ภาเยฯ

    Visodhito paralokassa maggo, dhamme ṭhito ko maraṇassa bhāye.

    ๔๓๖.

    436.

    ‘‘กตา เม กลฺยาณา อเนกรูปา, ยญฺญา ยิฎฺฐา เย วิปุลา ปสตฺถา;

    ‘‘Katā me kalyāṇā anekarūpā, yaññā yiṭṭhā ye vipulā pasatthā;

    อนานุตปฺปํ ปรโลกํ คมิสฺสํ, ยชสฺสุ ยญฺญํ อท มํ โปริสาทฯ

    Anānutappaṃ paralokaṃ gamissaṃ, yajassu yaññaṃ ada maṃ porisāda.

    ๔๓๗.

    437.

    ‘‘ปิตา จ มาตา จ อุปฎฺฐิตา เม, ธเมฺมน เม อิสฺสริยํ ปสตฺถํ;

    ‘‘Pitā ca mātā ca upaṭṭhitā me, dhammena me issariyaṃ pasatthaṃ;

    วิโสธิโต ปรโลกสฺส มโคฺค, ธเมฺม ฐิโต โก มรณสฺส ภาเยฯ

    Visodhito paralokassa maggo, dhamme ṭhito ko maraṇassa bhāye.

    ๔๓๘.

    438.

    ‘‘ปิตา จ มาตา จ อุปฎฺฐิตา เม, ธเมฺมน เม อิสฺสริยํ ปสตฺถํ;

    ‘‘Pitā ca mātā ca upaṭṭhitā me, dhammena me issariyaṃ pasatthaṃ;

    อนานุตปฺปํ ปรโลกํ คมิสฺสํ, ยชสฺสุ ยญฺญํ อท มํ โปริสาทฯ

    Anānutappaṃ paralokaṃ gamissaṃ, yajassu yaññaṃ ada maṃ porisāda.

    ๔๓๙.

    439.

    ‘‘ญาตีสุ มิเตฺตสุ กตา เม การา, ธเมฺมน เม อิสฺสริยํ ปสตฺถํ;

    ‘‘Ñātīsu mittesu katā me kārā, dhammena me issariyaṃ pasatthaṃ;

    วิโสธิโต ปรโลกสฺส มโคฺค, ธเมฺม ฐิโต โก มรณสฺส ภาเยฯ

    Visodhito paralokassa maggo, dhamme ṭhito ko maraṇassa bhāye.

    ๔๔๐.

    440.

    ‘‘ญาตีสุ มิเตฺตสุ กตา เม การา, ธเมฺมน เม อิสฺสริยํ ปสตฺถํ;

    ‘‘Ñātīsu mittesu katā me kārā, dhammena me issariyaṃ pasatthaṃ;

    อนานุตปฺปํ ปรโลกํ คมิสฺสํ, ยชสฺสุ ยญฺญํ อท มํ โปริสาทฯ

    Anānutappaṃ paralokaṃ gamissaṃ, yajassu yaññaṃ ada maṃ porisāda.

    ๔๔๑.

    441.

    ‘‘ทินฺนํ เม ทานํ พหุธา พหูนํ, สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จ;

    ‘‘Dinnaṃ me dānaṃ bahudhā bahūnaṃ, santappitā samaṇabrāhmaṇā ca;

    วิโสธิโต ปรโลกสฺส มโคฺค, ธเมฺม ฐิโต โก มรณสฺส ภาเยฯ

    Visodhito paralokassa maggo, dhamme ṭhito ko maraṇassa bhāye.

    ๔๔๒.

    442.

    ‘‘ทินฺนํ เม ทานํ พหุธา พหูนํ, สนฺตปฺปิตา สมณพฺราหฺมณา จ;

    ‘‘Dinnaṃ me dānaṃ bahudhā bahūnaṃ, santappitā samaṇabrāhmaṇā ca;

    อนานุตปฺปํ ปรโลกํ คมิสฺสํ, ยชสฺสุ ยญฺญํ อท มํ โปริสาทา’’ติฯ

    Anānutappaṃ paralokaṃ gamissaṃ, yajassu yaññaṃ ada maṃ porisādā’’ti.

    ตตฺถ กลฺยาณาติ กลฺยาณกมฺมาฯ อเนกรูปาติ ทานาทิวเสน อเนกวิธาฯ ยญฺญาติ ทสวิธทานวตฺถุปริจฺจาควเสน อติวิปุลา ปณฺฑิเตหิ ปสตฺถา ยญฺญาปิ ยิฎฺฐา ปวตฺติตาฯ ธเมฺม ฐิโตติ เอวํ ธเมฺม ปติฎฺฐิโต มาทิโส โก นาม มรณสฺส ภาเยยฺยฯ อนานุตปฺปนฺติ อนานุตปฺปมาโนฯ ธเมฺมน เม อิสฺสริยํ ปสตฺถนฺติ ทสวิธํ ราชธมฺมํ อโกเปตฺวา ธเมฺมเนว มยา รชฺชํ ปสาสิตํฯ การาติ ญาตีสุ ญาติกิจฺจานิ, มิเตฺตสุ จ มิตฺตกิจฺจานิฯ ทานนฺติ สวตฺถุกเจตนาฯ พหุธาติ พหูหิ อากาเรหิฯ พหูนนฺติ น ปญฺจนฺนํ, น ทสนฺนํ, สตสฺสปิ สหสฺสสฺสปิ สตสหสฺสสฺสปิ ทินฺนเมวฯ สนฺตปฺปิตาติ คหิตคหิตภาชนานิ ปูเรตฺวา สุฎฺฐุ ตปฺปิตาฯ

    Tattha kalyāṇāti kalyāṇakammā. Anekarūpāti dānādivasena anekavidhā. Yaññāti dasavidhadānavatthupariccāgavasena ativipulā paṇḍitehi pasatthā yaññāpi yiṭṭhā pavattitā. Dhamme ṭhitoti evaṃ dhamme patiṭṭhito mādiso ko nāma maraṇassa bhāyeyya. Anānutappanti anānutappamāno. Dhammena me issariyaṃ pasatthanti dasavidhaṃ rājadhammaṃ akopetvā dhammeneva mayā rajjaṃ pasāsitaṃ. Kārāti ñātīsu ñātikiccāni, mittesu ca mittakiccāni. Dānanti savatthukacetanā. Bahudhāti bahūhi ākārehi. Bahūnanti na pañcannaṃ, na dasannaṃ, satassapi sahassassapi satasahassassapi dinnameva. Santappitāti gahitagahitabhājanāni pūretvā suṭṭhu tappitā.

    ตํ สุตฺวา โปริสาโท ‘‘อยํ สุตโสมมหาราชา สปฺปุริโส ญาณสมฺปโนฺน มธุรธมฺมกถิโก, สจาหํ เอตํ ขาเทยฺยํ, มุทฺธา เม สตฺตธา ผเลยฺย, ปถวี วา ปน เม วิวรํ ทเทยฺยา’’ติ ภีตตสิโต หุตฺวา, ‘‘สมฺม, น ตฺวํ มยา ขาทิตพฺพรูโป’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā porisādo ‘‘ayaṃ sutasomamahārājā sappuriso ñāṇasampanno madhuradhammakathiko, sacāhaṃ etaṃ khādeyyaṃ, muddhā me sattadhā phaleyya, pathavī vā pana me vivaraṃ dadeyyā’’ti bhītatasito hutvā, ‘‘samma, na tvaṃ mayā khāditabbarūpo’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๔๓.

    443.

    ‘‘วิสํ ปชานํ ปุริโส อเทยฺย, อาสีวิสํ ชลิตมุคฺคเตชํ;

    ‘‘Visaṃ pajānaṃ puriso adeyya, āsīvisaṃ jalitamuggatejaṃ;

    มุทฺธาปิ ตสฺส วิผเลยฺย สตฺตธา, โย ตาทิสํ สจฺจวาทิํ อเทยฺยา’’ติฯ

    Muddhāpi tassa viphaleyya sattadhā, yo tādisaṃ saccavādiṃ adeyyā’’ti.

    ตตฺถ วิสนฺติ ตเตฺถว มารณสมตฺถํ หลาหลวิสํฯ ชลิตนฺติ อตฺตโน วิสเตเชน ชลิตํ เตเนว อุคฺคเตชํ อคฺคิกฺขนฺธํ วิย จรนฺตํ อาสีวิสํ วา ปน โส คีวาย คเณฺหยฺยฯ

    Tattha visanti tattheva māraṇasamatthaṃ halāhalavisaṃ. Jalitanti attano visatejena jalitaṃ teneva uggatejaṃ aggikkhandhaṃ viya carantaṃ āsīvisaṃ vā pana so gīvāya gaṇheyya.

    อิติ โส มหาสตฺตํ ‘‘หลาหลวิสสทิโส ตฺวํ, โก ตํ ขาทิสฺสตี’’ติ วตฺวา คาถา โสตุกาโม ตํ ยาจิตฺวา เตน ธมฺมคารวชนนตฺถํ ‘‘เอวรูปานํ อนวชฺชคาถานํ ตฺวํ อภาชน’’นฺติ ปฎิกฺขิโตฺตปิ ‘‘สกลชมฺพุทีเป อิมินา สทิโส ปณฺฑิโต นตฺถิ, อยํ มม หตฺถา มุจฺจิตฺวา คนฺตฺวา ตา คาถา สุตฺวา ธมฺมกถิกสฺส สกฺการํ กตฺวา นลาเฎน มจฺจุํ อาทาย ปุนาคโต, อติวิย สาธุรูปา คาถา ภวิสฺสนฺตี’’ติ สุฎฺฐุตรํ สญฺชาตธมฺมสฺสวนาทโร หุตฺวา ตํ ยาจโนฺต คาถมาห –

    Iti so mahāsattaṃ ‘‘halāhalavisasadiso tvaṃ, ko taṃ khādissatī’’ti vatvā gāthā sotukāmo taṃ yācitvā tena dhammagāravajananatthaṃ ‘‘evarūpānaṃ anavajjagāthānaṃ tvaṃ abhājana’’nti paṭikkhittopi ‘‘sakalajambudīpe iminā sadiso paṇḍito natthi, ayaṃ mama hatthā muccitvā gantvā tā gāthā sutvā dhammakathikassa sakkāraṃ katvā nalāṭena maccuṃ ādāya punāgato, ativiya sādhurūpā gāthā bhavissantī’’ti suṭṭhutaraṃ sañjātadhammassavanādaro hutvā taṃ yācanto gāthamāha –

    ๔๔๔.

    444.

    ‘‘สุตฺวา ธมฺมํ วิชานนฺติ, นรา กลฺยาณปาปกํ;

    ‘‘Sutvā dhammaṃ vijānanti, narā kalyāṇapāpakaṃ;

    อปิ คาถา สุณิตฺวาน, ธเมฺม เม รมเต มโน’’ติฯ

    Api gāthā suṇitvāna, dhamme me ramate mano’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ‘‘สมฺม สุตโสม, นรา นาม ธมฺมํ สุตฺวา กลฺยาณมฺปิ ปาปกมฺปิ ชานนฺติ, อเปฺปว นาม ตา คาถา สุตฺวา มมปิ กุสลกมฺมปถธเมฺม มโน รเมยฺยา’’ติฯ

    Tassattho – ‘‘samma sutasoma, narā nāma dhammaṃ sutvā kalyāṇampi pāpakampi jānanti, appeva nāma tā gāthā sutvā mamapi kusalakammapathadhamme mano rameyyā’’ti.

    อถ มหาสโตฺต ‘‘โสตุกาโม ทานิ โปริสาโท, กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เตน หิ, สมฺม, สาธุกํ สุณาหี’’ติ ตํ โอหิตโสตํ กตฺวา นนฺทพฺราหฺมเณน กถิตนิยาเมเนว คาถานํ ถุติํ กตฺวา ฉสุ กามาวจรเทเวสุ เอกโกลาหลํ กตฺวา เทวตาสุ สาธุการํ ททมานาสุ โปริสาทสฺส ธมฺมํ กเถสิ –

    Atha mahāsatto ‘‘sotukāmo dāni porisādo, kathessāmī’’ti cintetvā ‘‘tena hi, samma, sādhukaṃ suṇāhī’’ti taṃ ohitasotaṃ katvā nandabrāhmaṇena kathitaniyāmeneva gāthānaṃ thutiṃ katvā chasu kāmāvacaradevesu ekakolāhalaṃ katvā devatāsu sādhukāraṃ dadamānāsu porisādassa dhammaṃ kathesi –

    ๔๔๕.

    445.

    ‘‘สกิเทว มหาราช, สพฺภิ โหติ สมาคโม;

    ‘‘Sakideva mahārāja, sabbhi hoti samāgamo;

    สา นํ สงฺคติ ปาเลติ, นาสพฺภิ พหุ สงฺคโมฯ

    Sā naṃ saṅgati pāleti, nāsabbhi bahu saṅgamo.

    ๔๔๖.

    446.

    ‘‘สพฺภิเรว สมาเสถ, สพฺภิ กุเพฺพถ สนฺถวํ;

    ‘‘Sabbhireva samāsetha, sabbhi kubbetha santhavaṃ;

    สตํ สนฺธมฺมมญฺญาย, เสโยฺย โหติ น ปาปิโยฯ

    Sataṃ sandhammamaññāya, seyyo hoti na pāpiyo.

    ๔๔๗.

    447.

    ‘‘ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา, อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ;

    ‘‘Jīranti ve rājarathā sucittā, atho sarīrampi jaraṃ upeti;

    สตญฺจ ธโมฺม น ชรํ อุเปติ, สโนฺต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติฯ

    Satañca dhammo na jaraṃ upeti, santo have sabbhi pavedayanti.

    ๔๔๘.

    448.

    ‘‘นภญฺจ ทูเร ปถวี จ ทูเร, ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร;

    ‘‘Nabhañca dūre pathavī ca dūre, pāraṃ samuddassa tadāhu dūre;

    ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ, สตญฺจ ธโมฺม อสตญฺจ ราชา’’ติฯ

    Tato have dūrataraṃ vadanti, satañca dhammo asatañca rājā’’ti.

    ตสฺส เตน สุกถิตตฺตา เจว อตฺตโน ปณฺฑิตภาเวน จ ตา คาถา สพฺพญฺญุพุทฺธกถิตา วิยาติ จิเนฺตนฺตสฺส สกลสรีรํ ปญฺจวณฺณาย ปีติยา ปริปูริ, โพธิสเตฺต มุทุจิตฺตํ อโหสิ, เสตจฺฉตฺตทายกํ ปิตรํ วิย นํ อมญฺญิฯ โส ‘‘อหํ สุตโสมสฺส ทาตพฺพํ กิญฺจิ หิรญฺญสุวณฺณํ น ปสฺสามิ, เอเกกาย ปนสฺส คาถาย เอเกกํ วรํ ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Tassa tena sukathitattā ceva attano paṇḍitabhāvena ca tā gāthā sabbaññubuddhakathitā viyāti cintentassa sakalasarīraṃ pañcavaṇṇāya pītiyā paripūri, bodhisatte muducittaṃ ahosi, setacchattadāyakaṃ pitaraṃ viya naṃ amaññi. So ‘‘ahaṃ sutasomassa dātabbaṃ kiñci hiraññasuvaṇṇaṃ na passāmi, ekekāya panassa gāthāya ekekaṃ varaṃ dassāmī’’ti cintetvā gāthamāha –

    ๔๔๙.

    449.

    ‘‘คาถา อิมา อตฺถวตี สุพฺยญฺชนา, สุภาสิตา ตุยฺห ชนินฺท สุตฺวา;

    ‘‘Gāthā imā atthavatī subyañjanā, subhāsitā tuyha janinda sutvā;

    อานนฺทิ วิโตฺต สุมโน ปตีโต, จตฺตาริ เต สมฺม วเร ททามี’’ติฯ

    Ānandi vitto sumano patīto, cattāri te samma vare dadāmī’’ti.

    ตตฺถ อานนฺทีติ อานนฺทชาโตฯ เสสานิ ตเสฺสว เววจนานิฯ จตฺตาโรปิ เหเต ตุฎฺฐาการา เอวฯ

    Tattha ānandīti ānandajāto. Sesāni tasseva vevacanāni. Cattāropi hete tuṭṭhākārā eva.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘กิํ นาม ตฺวํ วรํ ทสฺสสี’’ติ อปสาเทโนฺต คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘kiṃ nāma tvaṃ varaṃ dassasī’’ti apasādento gāthamāha –

    ๔๕๐.

    450.

    ‘‘โย นตฺตโน มรณํ พุชฺฌสิ ตุวํ, หิตาหิตํ วินิปาตญฺจ สคฺคํ;

    ‘‘Yo nattano maraṇaṃ bujjhasi tuvaṃ, hitāhitaṃ vinipātañca saggaṃ;

    คิโทฺธ รเส ทุจฺจริเต นิวิโฎฺฐ, กิํ ตฺวํ วรํ ทสฺสสิ ปาปธมฺมฯ

    Giddho rase duccarite niviṭṭho, kiṃ tvaṃ varaṃ dassasi pāpadhamma.

    ๔๕๑.

    451.

    ‘‘อหญฺจ ตํ ‘เทหิ วร’นฺติ วชฺชํ, ตฺวํ จาปิ ทตฺวา น อวากเรยฺย;

    ‘‘Ahañca taṃ ‘dehi vara’nti vajjaṃ, tvaṃ cāpi datvā na avākareyya;

    สนฺทิฎฺฐิกํ กลหมิมํ วิวาทํ, โก ปณฺฑิโต ชานมุปพฺพเชยฺยา’’ติฯ

    Sandiṭṭhikaṃ kalahamimaṃ vivādaṃ, ko paṇḍito jānamupabbajeyyā’’ti.

    ตตฺถ โยติ โย ตฺวํ ‘‘มรณธโมฺมหมสฺมี’’ติ อตฺตโนปิ มรณํ น พุชฺฌสิ น ชานาสิ, ปาปกมฺมเมว กโรสิฯ หิตาหิตนฺติ ‘‘อิทํ เม กมฺมํ หิตํ, อิทํ อหิตํ, อิทํ วินิปาตํ เนสฺสติ, อิทํ สคฺค’’นฺติ น ชานาสิฯ รเสติ มนุสฺสมํสรเสฯ วชฺชนฺติ วเทยฺยํฯ น อวากเรยฺยาติ วาจาย ทตฺวา ‘‘เทหิ เม วร’’นฺติ วุจฺจมาโน น อวากเรยฺยาสิ น ทเทยฺยาสิฯ อุปพฺพเชยฺยาติ โก อิมํ กลหํ ปณฺฑิโต อุปคเจฺฉยฺยฯ

    Tattha yoti yo tvaṃ ‘‘maraṇadhammohamasmī’’ti attanopi maraṇaṃ na bujjhasi na jānāsi, pāpakammameva karosi. Hitāhitanti ‘‘idaṃ me kammaṃ hitaṃ, idaṃ ahitaṃ, idaṃ vinipātaṃ nessati, idaṃ sagga’’nti na jānāsi. Raseti manussamaṃsarase. Vajjanti vadeyyaṃ. Na avākareyyāti vācāya datvā ‘‘dehi me vara’’nti vuccamāno na avākareyyāsi na dadeyyāsi. Upabbajeyyāti ko imaṃ kalahaṃ paṇḍito upagaccheyya.

    ตโต โปริสาโท ‘‘นายํ มยฺหํ สทฺทหติ, สทฺทหาเปสฺสามิ น’’นฺติ คาถมาห –

    Tato porisādo ‘‘nāyaṃ mayhaṃ saddahati, saddahāpessāmi na’’nti gāthamāha –

    ๔๕๒.

    452.

    ‘‘น ตํ วรํ อรหติ ชนฺตุ ทาตุํ, ยํ วาปิ ทตฺวา น อวากเรยฺย;

    ‘‘Na taṃ varaṃ arahati jantu dātuṃ, yaṃ vāpi datvā na avākareyya;

    วรสฺสุ สมฺม อวิกมฺปมาโน, ปาณํ จชิตฺวานปิ ทสฺสเมวา’’ติฯ

    Varassu samma avikampamāno, pāṇaṃ cajitvānapi dassamevā’’ti.

    ตตฺถ อวิกมฺปมาโนติ อโนลียมาโนฯ

    Tattha avikampamānoti anolīyamāno.

    อถ มหาสโตฺต ‘‘อยํ อติวิย สูโร หุตฺวา กเถติ, กริสฺสติ เม วจนํ, วรํ คณฺหิสฺสามิ, สเจ ปน ‘‘มนุสฺสมํสํ น ขาทิตพฺพ’นฺติ ปฐมเมว วรํ วารยิสฺสํ, อติวิย กิลมิสฺสติ, ปฐมํ อเญฺญ ตโย วเร คเหตฺวา ปจฺฉา เอตํ คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Atha mahāsatto ‘‘ayaṃ ativiya sūro hutvā katheti, karissati me vacanaṃ, varaṃ gaṇhissāmi, sace pana ‘‘manussamaṃsaṃ na khāditabba’nti paṭhamameva varaṃ vārayissaṃ, ativiya kilamissati, paṭhamaṃ aññe tayo vare gahetvā pacchā etaṃ gaṇhissāmī’’ti cintetvā āha –

    ๔๕๓.

    453.

    ‘‘อริยสฺส อริเยน สเมติ สขฺยํ, ปญฺญสฺส ปญฺญาณวตา สเมติ;

    ‘‘Ariyassa ariyena sameti sakhyaṃ, paññassa paññāṇavatā sameti;

    ปเสฺสยฺย ตํ วสฺสสตํ อโรคํ, เอตํ วรานํ ปฐมํ วรามี’’ติฯ

    Passeyya taṃ vassasataṃ arogaṃ, etaṃ varānaṃ paṭhamaṃ varāmī’’ti.

    ตตฺถ อริยสฺสาติ อาจารอริยสฺสฯ สขฺยนฺติ สขิธโมฺม มิตฺตธโมฺมฯ ปญฺญาณวตาติ ญาณสมฺปเนฺนนฯ สเมตีติ คโงฺคทกํ วิย ยมุโนทเกน สํสนฺทติฯ ธาตุโส หิ สตฺตา สํสนฺทนฺติฯ ปเสฺสยฺย ตนฺติ สุตโสโม โปริสาทสฺส จิรํ ชีวิตํ อิจฺฉโนฺต วิย ปฐมํ อตฺตโน ชีวิตวรํ ยาจติฯ ปณฺฑิตสฺส หิ ‘‘มม ชีวิตํ เทหี’’ติ วตฺตุํ อยุตฺตํ, อปิจ โส ‘มยฺหเมว เอส อาโรคฺยํ อิจฺฉตี’ติ จิเนฺตตฺวา ตุสฺสิสฺสตีติ เอวมาหฯ

    Tattha ariyassāti ācāraariyassa. Sakhyanti sakhidhammo mittadhammo. Paññāṇavatāti ñāṇasampannena. Sametīti gaṅgodakaṃ viya yamunodakena saṃsandati. Dhātuso hi sattā saṃsandanti. Passeyya tanti sutasomo porisādassa ciraṃ jīvitaṃ icchanto viya paṭhamaṃ attano jīvitavaraṃ yācati. Paṇḍitassa hi ‘‘mama jīvitaṃ dehī’’ti vattuṃ ayuttaṃ, apica so ‘mayhameva esa ārogyaṃ icchatī’ti cintetvā tussissatīti evamāha.

    โสปิ ตํ สุตฺวาว ‘‘อยํ อิสฺสริยา ธํเสตฺวา อิทานิ มํสํ ขาทิตุกามสฺส เอวํ มหาอนตฺถกรสฺส มหาโจรสฺส มยฺหเมว ชีวิตํ อิจฺฉติ, อโห มม หิตกาโม’’ติ ตุฎฺฐมานโส วเญฺจตฺวา วรสฺส คหิตภาวํ อชานิตฺวา ตํ วรํ ททมาโน คาถมาห –

    Sopi taṃ sutvāva ‘‘ayaṃ issariyā dhaṃsetvā idāni maṃsaṃ khāditukāmassa evaṃ mahāanatthakarassa mahācorassa mayhameva jīvitaṃ icchati, aho mama hitakāmo’’ti tuṭṭhamānaso vañcetvā varassa gahitabhāvaṃ ajānitvā taṃ varaṃ dadamāno gāthamāha –

    ๔๕๔.

    454.

    ‘‘อริยสฺส อริเยน สเมติ สขฺยํ, ปญฺญสฺส ปญฺญาณวตา สเมติ;

    ‘‘Ariyassa ariyena sameti sakhyaṃ, paññassa paññāṇavatā sameti;

    ปสฺสาสิ มํ วสฺสสตํ อโรคํ, เอตํ วรานํ ปฐมํ ททามี’’ติฯ

    Passāsi maṃ vassasataṃ arogaṃ, etaṃ varānaṃ paṭhamaṃ dadāmī’’ti.

    ตตฺถ วรานนฺติ จตุนฺนํ วรานํ ปฐมํฯ

    Tattha varānanti catunnaṃ varānaṃ paṭhamaṃ.

    ตโต โพธิสโตฺต อาห –

    Tato bodhisatto āha –

    ๔๕๕.

    455.

    ‘‘เย ขตฺติยาเส อิธ ภูมิปาลา, มุทฺธาภิสิตฺตา กตนามเธยฺยา;

    ‘‘Ye khattiyāse idha bhūmipālā, muddhābhisittā katanāmadheyyā;

    น ตาทิเส ภูมิปตี อเทสิ, เอตํ วรานํ ทุติยํ วรามี’’ติฯ

    Na tādise bhūmipatī adesi, etaṃ varānaṃ dutiyaṃ varāmī’’ti.

    ตตฺถ กตนามเธยฺยาติ มุทฺธนิ อภิสิตฺตตฺตาว ‘‘มุทฺธาภิสิตฺตา’’ติ กตนามเธยฺยาฯ น ตาทิเสติ ตาทิเส ขตฺติเย น อเทสิ มา ขาทิฯ

    Tattha katanāmadheyyāti muddhani abhisittattāva ‘‘muddhābhisittā’’ti katanāmadheyyā. Na tādiseti tādise khattiye na adesi mā khādi.

    อิติ โส ทุติยํ วรํ คณฺหโนฺต ปโรสตานํ ขตฺติยานํ ชีวิตวรํ คณฺหิฯ โปริสาโทปิสฺส ททมาโน อาห –

    Iti so dutiyaṃ varaṃ gaṇhanto parosatānaṃ khattiyānaṃ jīvitavaraṃ gaṇhi. Porisādopissa dadamāno āha –

    ๔๕๖.

    456.

    ‘‘เย ขตฺติยาเส อิธ ภูมิปาลา, มุทฺธาภิสิตฺตา กตนามเธยฺยา;

    ‘‘Ye khattiyāse idha bhūmipālā, muddhābhisittā katanāmadheyyā;

    น ตาทิเส ภูมิปตี อเทมิ, เอตํ วรานํ ทุติยํ ททามี’’ติฯ

    Na tādise bhūmipatī ademi, etaṃ varānaṃ dutiyaṃ dadāmī’’ti.

    กิํ ปน เต เตสํ สทฺทํ สุณนฺติ, น สุณนฺตีติ? น สพฺพํ สุณนฺติฯ โปริสาเทน หิ รุกฺขสฺส ธูมชาลอุปทฺทวภเยน ปฎิกฺกมิตฺวา อคฺคิ กโต, อคฺคิโน จ รุกฺขสฺส จ อนฺตเร นิสีทิตฺวา มหาสโตฺต เตน สทฺธิํ กเถสิ, ตสฺมา สพฺพํ อสุตฺวา อุปฑฺฒุปฑฺฒํ สุณิํสุฯ เต ‘‘อิทานิ สุตโสโม โปริสาทํ ทเมสฺสติ, มา ภายถา’’ติ อญฺญมญฺญํ สมสฺสาเสสุํฯ ตสฺมิํ ขเณ มหาสโตฺต อิมํ คาถมาห –

    Kiṃ pana te tesaṃ saddaṃ suṇanti, na suṇantīti? Na sabbaṃ suṇanti. Porisādena hi rukkhassa dhūmajālaupaddavabhayena paṭikkamitvā aggi kato, aggino ca rukkhassa ca antare nisīditvā mahāsatto tena saddhiṃ kathesi, tasmā sabbaṃ asutvā upaḍḍhupaḍḍhaṃ suṇiṃsu. Te ‘‘idāni sutasomo porisādaṃ damessati, mā bhāyathā’’ti aññamaññaṃ samassāsesuṃ. Tasmiṃ khaṇe mahāsatto imaṃ gāthamāha –

    ๔๕๗.

    457.

    ‘‘ปโรสตํ ขตฺติยา เต คหีตา, ตลาวุตา อสฺสุมุขา รุทนฺตา;

    ‘‘Parosataṃ khattiyā te gahītā, talāvutā assumukhā rudantā;

    สเก เต รเฎฺฐ ปฎิปาทยาหิ, เอตํ วรานํ ตติยํ วรามี’’ติฯ

    Sake te raṭṭhe paṭipādayāhi, etaṃ varānaṃ tatiyaṃ varāmī’’ti.

    ตตฺถ ปโรสตนฺติ อติเรกสตํฯ เต คหีตาติ ตยา คหิตาฯ ตลาวุตาติ หตฺถตเลสุ อาวุตาฯ

    Tattha parosatanti atirekasataṃ. Te gahītāti tayā gahitā. Talāvutāti hatthatalesu āvutā.

    อิติ มหาสโตฺต ตติยํ วรํ คณฺหโนฺต เตสํ ขตฺติยานํ สกรฎฺฐนิยฺยาตนวรํ คณฺหิฯ กิํการณา? โส อขาทโนฺตปิ เวรภเยน สเพฺพ เต ทาเส กตฺวา อรเญฺญเยว วาเสยฺย, มาเรตฺวา วา ฉเฑฺฑยฺย, ปจฺจนฺตํ เนตฺวา วา วิกฺกิเณยฺย, ตสฺมา เตสํ สกรฎฺฐนิยฺยาตนวรํ คณฺหิฯ อิตโรปิสฺส ททมาโน อิมํ คาถมาห –

    Iti mahāsatto tatiyaṃ varaṃ gaṇhanto tesaṃ khattiyānaṃ sakaraṭṭhaniyyātanavaraṃ gaṇhi. Kiṃkāraṇā? So akhādantopi verabhayena sabbe te dāse katvā araññeyeva vāseyya, māretvā vā chaḍḍeyya, paccantaṃ netvā vā vikkiṇeyya, tasmā tesaṃ sakaraṭṭhaniyyātanavaraṃ gaṇhi. Itaropissa dadamāno imaṃ gāthamāha –

    ๔๕๘.

    458.

    ‘‘ปโรสตํ ขตฺติยา เม คหีตา, ตลาวุตา อสฺสุมุขา รุทนฺตา;

    ‘‘Parosataṃ khattiyā me gahītā, talāvutā assumukhā rudantā;

    สเก เต รเฎฺฐ ปฎิปาทยามิ, เอตํ วรานํ ตติยํ ททามี’’ติฯ

    Sake te raṭṭhe paṭipādayāmi, etaṃ varānaṃ tatiyaṃ dadāmī’’ti.

    จตุตฺถํ ปน วรํ คณฺหโนฺต โพธิสโตฺต อิมํ คาถมาห –

    Catutthaṃ pana varaṃ gaṇhanto bodhisatto imaṃ gāthamāha –

    ๔๕๙.

    459.

    ‘‘ฉิทฺทํ เต รฎฺฐํ พฺยถิตา ภยา หิ, ปุถู นรา เลณมนุปฺปวิฎฺฐา;

    ‘‘Chiddaṃ te raṭṭhaṃ byathitā bhayā hi, puthū narā leṇamanuppaviṭṭhā;

    มนุสฺสมํสํ วิรเมหิ ราช, เอตํ วรานํ จตุตฺถํ วรามี’’ติฯ

    Manussamaṃsaṃ viramehi rāja, etaṃ varānaṃ catutthaṃ varāmī’’ti.

    ตตฺถ ฉิทฺทนฺติ น ฆนวาสํ ตตฺถ ตตฺถ คามาทีนํ อุฎฺฐิตตฺตา สวิวรํฯ พฺยถิตา ภยาหีติ ‘‘โปริสาโท อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ ตว ภเยน กมฺปิตาฯ เลณมนุปฺปวิฎฺฐาติ ทารเก หเตฺถสุ คเหตฺวา ติณคหนาทินิลียนฎฺฐานํ ปวิฎฺฐาฯ มนุสฺสมํสนฺติ ทุคฺคนฺธํ เชคุจฺฉํ ปฎิกฺกูลํ มนุสฺสมํสํ ปชหฯ นิสฺสกฺกเตฺถ วา อุปโยคํ, มนุสฺสมํสโต วิรมาหีติ อโตฺถฯ

    Tattha chiddanti na ghanavāsaṃ tattha tattha gāmādīnaṃ uṭṭhitattā savivaraṃ. Byathitā bhayāhīti ‘‘porisādo idāni āgamissatī’’ti tava bhayena kampitā. Leṇamanuppaviṭṭhāti dārake hatthesu gahetvā tiṇagahanādinilīyanaṭṭhānaṃ paviṭṭhā. Manussamaṃsanti duggandhaṃ jegucchaṃ paṭikkūlaṃ manussamaṃsaṃ pajaha. Nissakkatthe vā upayogaṃ, manussamaṃsato viramāhīti attho.

    เอวํ วุเตฺต โปริสาโท ปาณิํ ปหริตฺวา หสโนฺต ‘‘สมฺม สุตโสม กิํ นาเมตํ กเถสิ, กถาหํ ตุมฺหากํ เอตํ วรํ ทสฺสามิ, สเจ คณฺหิตุกาโม, อญฺญํ คณฺหาหี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Evaṃ vutte porisādo pāṇiṃ paharitvā hasanto ‘‘samma sutasoma kiṃ nāmetaṃ kathesi, kathāhaṃ tumhākaṃ etaṃ varaṃ dassāmi, sace gaṇhitukāmo, aññaṃ gaṇhāhī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๖๐.

    460.

    ‘‘อทฺธา หิ โส ภโกฺข มม มนาโป, เอตสฺส เหตุมฺหิ วนํ ปวิโฎฺฐ;

    ‘‘Addhā hi so bhakkho mama manāpo, etassa hetumhi vanaṃ paviṭṭho;

    โสหํ กถํ เอโตฺต อุปารเมยฺยํ, อญฺญํ วรานํ จตุตฺถํ วรสฺสู’’ติฯ

    Sohaṃ kathaṃ etto upārameyyaṃ, aññaṃ varānaṃ catutthaṃ varassū’’ti.

    ตตฺถ วนนฺติ รชฺชํ ปหาย อิมํ วนํ ปวิโฎฺฐฯ

    Tattha vananti rajjaṃ pahāya imaṃ vanaṃ paviṭṭho.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘ตฺวํ ‘มนุสฺสมํสสฺส ปิยตรตฺตา ตโต วิรมิตุํ น สโกฺกมี’’ติ วทสิฯ โย หิ ปิยํ นิสฺสาย ปาปํ กโรติ, อยํ พาโล’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘tvaṃ ‘manussamaṃsassa piyatarattā tato viramituṃ na sakkomī’’ti vadasi. Yo hi piyaṃ nissāya pāpaṃ karoti, ayaṃ bālo’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๖๑.

    461.

    ‘‘น เว ‘ปิยํ เม’ติ ชนินฺท ตาทิโส, อตฺตํ นิรํกจฺจ ปิยานิ เสวติ;

    ‘‘Na ve ‘piyaṃ me’ti janinda tādiso, attaṃ niraṃkacca piyāni sevati;

    อตฺตาว เสโยฺย ปรมา จ เสโยฺย, ลพฺภา ปิยา โอจิตเตฺถน ปจฺฉา’’ติฯ

    Attāva seyyo paramā ca seyyo, labbhā piyā ocitatthena pacchā’’ti.

    ตตฺถ ตาทิโสติ ชนินฺท ตาทิโส ยุวา อภิรูโป มหายโส ‘‘อิทํ นาม เม ปิย’’นฺติ ปิยวตฺถุโลเภน ตตฺถ อตฺตานํ นิรํกตฺวา สพฺพสุคตีหิ เจว สุขวิเสเสหิ จ จวิตฺวา นิรเย ปาเตตฺวา น เว ปิยานิ เสวติฯ ปรมา จ เสโยฺยติ ปุริสสฺส หิ ปรมา ปิยวตฺถุมฺหา อตฺตาว วรตโรฯ กิํการณา? ลพฺภา ปิยาติ, ปิยา นาม วิสยวเสน เจว ปุเญฺญน จ โอจิตเตฺถน วฑฺฒิตเตฺถน ทิฎฺฐธเมฺม เจว ปรตฺถ จ เทวมนุสฺสสมฺปตฺติํ ปตฺวา สกฺกา ลทฺธุํฯ

    Tattha tādisoti janinda tādiso yuvā abhirūpo mahāyaso ‘‘idaṃ nāma me piya’’nti piyavatthulobhena tattha attānaṃ niraṃkatvā sabbasugatīhi ceva sukhavisesehi ca cavitvā niraye pātetvā na ve piyāni sevati. Paramā ca seyyoti purisassa hi paramā piyavatthumhā attāva varataro. Kiṃkāraṇā? Labbhā piyāti, piyā nāma visayavasena ceva puññena ca ocitatthena vaḍḍhitatthena diṭṭhadhamme ceva parattha ca devamanussasampattiṃ patvā sakkā laddhuṃ.

    เอวํ วุเตฺต โปริสาโท ภยปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘อหํ สุตโสเมน คหิตํ วรํ วิสฺสชฺชาเปตุมฺปิ มนุสฺสมํสโต วิรมิตุมฺปิ น สโกฺกมิ, กิํ นุ โข กริสฺสามี’’ติ อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ คาถมาห –

    Evaṃ vutte porisādo bhayappatto hutvā ‘‘ahaṃ sutasomena gahitaṃ varaṃ vissajjāpetumpi manussamaṃsato viramitumpi na sakkomi, kiṃ nu kho karissāmī’’ti assupuṇṇehi nettehi gāthamāha –

    ๔๖๒.

    462.

    ‘‘ปิยํ เม มานุสํ มํสํ, สุตโสม วิชานหิ;

    ‘‘Piyaṃ me mānusaṃ maṃsaṃ, sutasoma vijānahi;

    นมฺหิ สกฺกา นิวาเรตุํ, อญฺญํ วรํ สมฺม วรสฺสู’’ติฯ

    Namhi sakkā nivāretuṃ, aññaṃ varaṃ samma varassū’’ti.

    ตตฺถ วิชานหีติ ตฺวมฺปิ ชานาหิฯ

    Tattha vijānahīti tvampi jānāhi.

    ตโต โพธิสโตฺต อาห –

    Tato bodhisatto āha –

    ๔๖๓.

    463.

    ‘‘โย เว ‘ปิยํ เม’ติ ปิยานุรกฺขี, อตฺตํ นิรํกจฺจ ปิยานิ เสวติ;

    ‘‘Yo ve ‘piyaṃ me’ti piyānurakkhī, attaṃ niraṃkacca piyāni sevati;

    โสโณฺฑว ปิตฺวา วิสมิสฺสปานํ, เตเนว โส โหติ ทุกฺขี ปรตฺถฯ

    Soṇḍova pitvā visamissapānaṃ, teneva so hoti dukkhī parattha.

    ๔๖๔.

    464.

    ‘‘โย จีธ สงฺขาย ปิยานิ หิตฺวา, กิเจฺฉนปิ เสวติ อริยธเมฺม;

    ‘‘Yo cīdha saṅkhāya piyāni hitvā, kicchenapi sevati ariyadhamme;

    ทุกฺขิโตว ปิตฺวาน ยโถสธานิ, เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถา’’ติฯ

    Dukkhitova pitvāna yathosadhāni, teneva so hoti sukhī paratthā’’ti.

    ตตฺถ โย เวติ, สมฺม โปริสาท, โย ปุริโส ‘‘อิทํ เม ปิย’’นฺติ ปาปกิริยาย อตฺตานํ นิรํกตฺวา ปิยานิ วตฺถูนิ เสวติ, โส สุราเปเมน วิสมิสฺสํ สุรํ ปิตฺวา โสโณฺฑ วิย เตน ปาปกเมฺมน ปรตฺถ นิรยาทีสุ ทุกฺขี โหติฯ สงฺขายาติ ชานิตฺวา ตุเลตฺวาฯ ปิยานิ หิตฺวาติ อธมฺมปฎิสํยุตฺตานิ ปิยานิ ฉเฑฺฑตฺวาฯ

    Tattha yo veti, samma porisāda, yo puriso ‘‘idaṃ me piya’’nti pāpakiriyāya attānaṃ niraṃkatvā piyāni vatthūni sevati, so surāpemena visamissaṃ suraṃ pitvā soṇḍo viya tena pāpakammena parattha nirayādīsu dukkhī hoti. Saṅkhāyāti jānitvā tuletvā. Piyāni hitvāti adhammapaṭisaṃyuttāni piyāni chaḍḍetvā.

    เอวํ วุเตฺต โปริสาโท กลูนํ ปริเทวโนฺต คาถมาห –

    Evaṃ vutte porisādo kalūnaṃ paridevanto gāthamāha –

    ๔๖๕.

    465.

    ‘‘โอหายหํ ปิตรํ มาตรญฺจ, มนาปิเย กามคุเณ จ ปญฺจ;

    ‘‘Ohāyahaṃ pitaraṃ mātarañca, manāpiye kāmaguṇe ca pañca;

    เอตสฺส เหตุมฺหิ วนํ ปวิโฎฺฐ, ตํ เต วรํ กินฺติ มหํ ททามี’’ติฯ

    Etassa hetumhi vanaṃ paviṭṭho, taṃ te varaṃ kinti mahaṃ dadāmī’’ti.

    ตตฺถ เอตสฺสาติ มนุสฺสมํสสฺสฯ กินฺติ มหนฺติ กินฺติ กตฺวา อหํ ตํ วรํ เทมิฯ

    Tattha etassāti manussamaṃsassa. Kinti mahanti kinti katvā ahaṃ taṃ varaṃ demi.

    ตโต มหาสโตฺต อิมํ คาถมาห –

    Tato mahāsatto imaṃ gāthamāha –

    ๔๖๖.

    466.

    ‘‘น ปณฺฑิตา ทิคุณมาหุ วากฺยํ, สจฺจปฺปฎิญฺญาว ภวนฺติ สโนฺต;

    ‘‘Na paṇḍitā diguṇamāhu vākyaṃ, saccappaṭiññāva bhavanti santo;

    ‘วรสฺสุ สมฺม’ อิติ มํ อโวจ, อิจฺจพฺรวี ตฺวํ น หิ เต สเมตี’’ติฯ

    ‘Varassu samma’ iti maṃ avoca, iccabravī tvaṃ na hi te sametī’’ti.

    ตตฺถ ทิคุณนฺติ, สมฺม โปริสาท, ปณฺฑิตา นาม เอกํ วตฺวา ปุน ตํ วิสํวาเทนฺตา ทุติยํ วจนํ น กเถนฺติฯ อิติ มํ อโวจาติ, ‘‘สมฺม สุตโสม วรสฺสุ วร’’นฺติ เอวํ มํ อภาสสิฯ อิจฺจพฺรวีติ ตสฺมา ยํ ตฺวํ อิติ อพฺรวิ, ตํ เต อิทานิ น สเมติฯ

    Tattha diguṇanti, samma porisāda, paṇḍitā nāma ekaṃ vatvā puna taṃ visaṃvādentā dutiyaṃ vacanaṃ na kathenti. Iti maṃ avocāti, ‘‘samma sutasoma varassu vara’’nti evaṃ maṃ abhāsasi. Iccabravīti tasmā yaṃ tvaṃ iti abravi, taṃ te idāni na sameti.

    โส ปุน โรทโนฺต เอว คาถมาห –

    So puna rodanto eva gāthamāha –

    ๔๖๗.

    467.

    ‘‘อปุญฺญลาภํ อยสํ อกิตฺติํ, ปาปํ พหุํ ทุจฺจริตํ กิเลสํ;

    ‘‘Apuññalābhaṃ ayasaṃ akittiṃ, pāpaṃ bahuṃ duccaritaṃ kilesaṃ;

    มนุสฺสมํสสฺส กเต อุปาคา, ตํ เต วรํ กินฺติ มหํ ทเทยฺย’’นฺติฯ

    Manussamaṃsassa kate upāgā, taṃ te varaṃ kinti mahaṃ dadeyya’’nti.

    ตตฺถ ปาปนฺติ กมฺมปถํ อปฺปตฺตํฯ ทุจฺจริตนฺติ กมฺมปถปฺปตฺตํฯ กิเลสนฺติ ทุกฺขํฯ มนุสฺสมํสสฺส กเตติ มนุสฺสมํสสฺส เหตุฯ อุปาคาติ อุปคโตมฺหิฯ ตํ เตติ ตํ ตุยฺหํ กถาหํ วรํ เทมิ, มา มํ วารยิ, อนุกมฺปํ การุญฺญํ มยิ กโรหิ, อญฺญํ วรํ คณฺหาหีติ อาหฯ

    Tattha pāpanti kammapathaṃ appattaṃ. Duccaritanti kammapathappattaṃ. Kilesanti dukkhaṃ. Manussamaṃsassa kateti manussamaṃsassa hetu. Upāgāti upagatomhi. Taṃ teti taṃ tuyhaṃ kathāhaṃ varaṃ demi, mā maṃ vārayi, anukampaṃ kāruññaṃ mayi karohi, aññaṃ varaṃ gaṇhāhīti āha.

    อถ มหาสโตฺต อาห –

    Atha mahāsatto āha –

    ๔๖๘.

    468.

    ‘‘น ตํ วรํ อรหติ ชนฺตุ ทาตุํ, ยํ วาปิ ทตฺวา น อวากเรยฺย;

    ‘‘Na taṃ varaṃ arahati jantu dātuṃ, yaṃ vāpi datvā na avākareyya;

    วรสฺสุ สมฺม อวิกมฺปมาโน, ปาณํ จชิตฺวานปิ ทสฺสเมวา’’ติฯ

    Varassu samma avikampamāno, pāṇaṃ cajitvānapi dassamevā’’ti.

    เอวํ เตน ปฐมํ วุตฺตคาถํ อาหริตฺวา ทเสฺสตฺวา วรทาเน อุสฺสาเหโนฺต คาถา อาห –

    Evaṃ tena paṭhamaṃ vuttagāthaṃ āharitvā dassetvā varadāne ussāhento gāthā āha –

    ๔๖๙.

    469.

    ‘‘ปาณํ จชนฺติ สโนฺต นาปิ ธมฺมํ, สจฺจปฺปฎิญฺญาว ภวนฺติ สโนฺต;

    ‘‘Pāṇaṃ cajanti santo nāpi dhammaṃ, saccappaṭiññāva bhavanti santo;

    ทตฺวา วรํ ขิปฺปมวากโรหิ, เอเตน สมฺปชฺช สุราชเสฎฺฐฯ

    Datvā varaṃ khippamavākarohi, etena sampajja surājaseṭṭha.

    ๔๗๐.

    470.

    ‘‘จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ, องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน;

    ‘‘Caje dhanaṃ aṅgavarassa hetu, aṅgaṃ caje jīvitaṃ rakkhamāno;

    องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ, จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรโนฺต’’ติฯ

    Aṅgaṃ dhanaṃ jīvitañcāpi sabbaṃ, caje naro dhammamanussaranto’’ti.

    ตตฺถ ปาณนฺติ ชีวิตํฯ สโนฺต นาม อปิ ชีวิตํ จชนฺติ, น ธมฺมํฯ ขิปฺปมวากโรหีติ อิธ ขิปฺปํ มยฺหํ เทหีติ อโตฺถฯ เอเตนาติ เอเตน ธเมฺมน เจว สเจฺจน จ สมฺปชฺช สมฺปโนฺน อุปปโนฺน โหหิฯ สุราชเสฎฺฐาติ ตํ ปคฺคณฺหโนฺต อาลปติฯ จเช ธนนฺติ, สมฺม โปริสาท, ปณฺฑิโต ปุริโส หตฺถปาทาทิมฺหิ อเงฺค ฉิชฺชมาเน ตสฺส รกฺขณตฺถาย พหุมฺปิ ธนํ จเชยฺยฯ ธมฺมมนุสฺสรโนฺตติ องฺคธนชีวิตานิ ปริจฺจชโนฺตปิ ‘‘สตํ ธมฺมํ น วีติกฺกมิสฺสามี’’ติ เอวํ ธมฺมํ อนุสฺสรโนฺตฯ

    Tattha pāṇanti jīvitaṃ. Santo nāma api jīvitaṃ cajanti, na dhammaṃ. Khippamavākarohīti idha khippaṃ mayhaṃ dehīti attho. Etenāti etena dhammena ceva saccena ca sampajja sampanno upapanno hohi. Surājaseṭṭhāti taṃ paggaṇhanto ālapati. Caje dhananti, samma porisāda, paṇḍito puriso hatthapādādimhi aṅge chijjamāne tassa rakkhaṇatthāya bahumpi dhanaṃ cajeyya. Dhammamanussarantoti aṅgadhanajīvitāni pariccajantopi ‘‘sataṃ dhammaṃ na vītikkamissāmī’’ti evaṃ dhammaṃ anussaranto.

    เอวํ มหาสโตฺต อิเมหิ การเณหิ ตํ สเจฺจ ปติฎฺฐาเปตฺวา อิทานิ อตฺตโน คุรุภาวํ ทเสฺสตุํ คาถมาห –

    Evaṃ mahāsatto imehi kāraṇehi taṃ sacce patiṭṭhāpetvā idāni attano gurubhāvaṃ dassetuṃ gāthamāha –

    ๔๗๑.

    471.

    ‘‘ยสฺมา หิ ธมฺมํ ปุริโส วิชญฺญา, เย จสฺส กงฺขํ วินยนฺติ สโนฺต;

    ‘‘Yasmā hi dhammaṃ puriso vijaññā, ye cassa kaṅkhaṃ vinayanti santo;

    ตํ หิสฺส ทีปญฺจ ปรายณญฺจ, น เตน มิตฺติํ ชิรเยถ ปโญฺญ’’ติฯ

    Taṃ hissa dīpañca parāyaṇañca, na tena mittiṃ jirayetha pañño’’ti.

    ตตฺถ ยสฺมาติ ยมฺหา ปุริสาฯ ธมฺมนฺติ กุสลากุสลโชตกํ การณํฯ วิชญฺญาติ วิชาเนยฺยฯ ตํ หิสฺสาติ ตํ อาจริยกุลํ เอตสฺส ปุคฺคลสฺส ปติฎฺฐานเฎฺฐน ทีปํ, อุปฺปเนฺน ภเย คนฺตพฺพฎฺฐานเฎฺฐน ปรายณญฺจฯ น เตน มิตฺตินฺติ เตน อาจริยปุคฺคเลน สห โส ปณฺฑิโต เกนจิปิ การเณน มิตฺติํ น ชีรเยถ น วินาเสยฺยฯ

    Tattha yasmāti yamhā purisā. Dhammanti kusalākusalajotakaṃ kāraṇaṃ. Vijaññāti vijāneyya. Taṃ hissāti taṃ ācariyakulaṃ etassa puggalassa patiṭṭhānaṭṭhena dīpaṃ, uppanne bhaye gantabbaṭṭhānaṭṭhena parāyaṇañca. Na tena mittinti tena ācariyapuggalena saha so paṇḍito kenacipi kāraṇena mittiṃ na jīrayetha na vināseyya.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, คุณวนฺตสฺส อาจริยสฺส วจนํ นาม ภินฺทิตุํ น วฎฺฎติ, อหญฺจ ตรุณกาเลปิ ตว ปิฎฺฐิอาจริโย หุตฺวา พหุํ สิกฺขํ สิกฺขาเปสิํ, อิทานิปิ พุทฺธลีลาย สตารหา คาถา เต กเถสิํ, เตน เม วจนํ กาตุํ อรหสี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา โปริสาโท ‘‘อยํ สุตโสโม มยฺหํ อาจริโย เจว ปณฺฑิโต จ, วโร จสฺส มยา ทิโนฺน, กิํ สกฺกา กาตุํ, เอกสฺมิํ อตฺตภาเว มรณํ นาม ธุวํ, มนุสฺสมํสํ น ขาทิสฺสามิ, ทสฺสามิสฺส วร’’นฺติ อสฺสุธาราหิ ปวตฺตมานาหิ อุฎฺฐาย สุตโสมนรินฺทสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา วรํ ททมาโน อิมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā, ‘‘samma porisāda, guṇavantassa ācariyassa vacanaṃ nāma bhindituṃ na vaṭṭati, ahañca taruṇakālepi tava piṭṭhiācariyo hutvā bahuṃ sikkhaṃ sikkhāpesiṃ, idānipi buddhalīlāya satārahā gāthā te kathesiṃ, tena me vacanaṃ kātuṃ arahasī’’ti āha. Taṃ sutvā porisādo ‘‘ayaṃ sutasomo mayhaṃ ācariyo ceva paṇḍito ca, varo cassa mayā dinno, kiṃ sakkā kātuṃ, ekasmiṃ attabhāve maraṇaṃ nāma dhuvaṃ, manussamaṃsaṃ na khādissāmi, dassāmissa vara’’nti assudhārāhi pavattamānāhi uṭṭhāya sutasomanarindassa pādesu patitvā varaṃ dadamāno imaṃ gāthamāha –

    ๔๗๒.

    472.

    ‘‘อทฺธา หิ โส ภโกฺข มม มนาโป, เอตสฺส เหตุมฺหิ วนํ ปวิโฎฺฐ;

    ‘‘Addhā hi so bhakkho mama manāpo, etassa hetumhi vanaṃ paviṭṭho;

    สเจ จ มํ ยาจสิ เอตมตฺถํ, เอตมฺปิ เต สมฺม วรํ ททามี’’ติฯ

    Sace ca maṃ yācasi etamatthaṃ, etampi te samma varaṃ dadāmī’’ti.

    อถ นํ มหาสโตฺต เอวมาห – ‘‘สมฺม, สีเล ฐิตสฺส มรณมฺปิ วรํ, คณฺหามิ, มหาราช, ตยา ทินฺนํ วรํ, อชฺช ปฎฺฐาย อริยปเถ ปติฎฺฐิโตสิ, เอวํ สเนฺตปิ ตํ ยาจามิ, สเจ เต มยิ สิเนโห อตฺถิ, ปญฺจ สีลานิ คณฺห, มหาราชา’’ติฯ ‘‘สาธุ, สมฺม, เทหิ เม สีลานี’’ติฯ ‘‘คณฺห มหาราชา’’ติฯ โส มหาสตฺตํ ปญฺจปติฎฺฐิเตน วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ มหาสโตฺตปิ นํ ปญฺจสีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ตตฺถ สนฺนิปติตา ภุมฺมา เทวา มหาสเตฺต ปีติํ ชเนตฺวา ‘‘อวีจิโต ยาว ภวคฺคา อโญฺญ โปริสาทํ มนุสฺสมํสโต นิวาเรตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, อโห สุตโสเมน ทุกฺกรตรํ กต’’นฺติ มหเนฺตน สเทฺทน วนํ อุนฺนาเทนฺตา สาธุการํ อทํสุฯ เตสํ สทฺทํ สุตฺวา จาตุมหาราชิกาติ เอวํ ยาว พฺรหฺมโลกา เอกโกลาหลํ อโหสิฯ รุเกฺข ลคฺคิตราชาโนปิ ตํ เทวตานํ สาธุการสทฺทํ สุณิํสุฯ รุกฺขเทวตาปิ สกวิมาเน ฐิตาว สาธุการมทาสิฯ อิติ เทวตานํ สโทฺทว สูยติ, รูปํ น ทิสฺสติฯ เทวตานํ สาธุการสทฺทํ สุตฺวา ราชาโน จินฺตยิํสุ – ‘‘สุตโสมํ นิสฺสาย โน ชีวิตํ ลทฺธํ, ทุกฺกรํ กตํ สุตโสเมน โปริสาทํ ทเมเนฺตนา’’ติ โพธิสตฺตสฺส ถุติํ กริํสุฯ โปริสาโท มหาสตฺตสฺส ปาเท วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ อถ นํ โพธิสโตฺต – ‘‘สมฺม, ขตฺติเย โมเจหี’’ติ อาหฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ เอเตสํ ปจฺจามิโตฺต, เอเต มยา โมจิตา ‘คณฺหถ โน ปจฺจามิตฺต’นฺติ มํ หิํเสยฺยุํ, มยา ชีวิตํ จชเนฺตนปิ น สกฺกา สุตโสมสฺส สนฺติกา คหิตํ สีลํ ภินฺทิตุํ, อิมินา สทฺธิเยว คนฺตฺวา โมเจสฺสามิ, เอวํ เม ภยํ น ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ โพธิสตฺตํ วนฺทิตฺวา, ‘‘สุตโสม, อุโภปิ คนฺตฺวา ขตฺติเย โมเจสฺสามา’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto evamāha – ‘‘samma, sīle ṭhitassa maraṇampi varaṃ, gaṇhāmi, mahārāja, tayā dinnaṃ varaṃ, ajja paṭṭhāya ariyapathe patiṭṭhitosi, evaṃ santepi taṃ yācāmi, sace te mayi sineho atthi, pañca sīlāni gaṇha, mahārājā’’ti. ‘‘Sādhu, samma, dehi me sīlānī’’ti. ‘‘Gaṇha mahārājā’’ti. So mahāsattaṃ pañcapatiṭṭhitena vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Mahāsattopi naṃ pañcasīlesu patiṭṭhāpesi. Tasmiṃ khaṇe tattha sannipatitā bhummā devā mahāsatte pītiṃ janetvā ‘‘avīcito yāva bhavaggā añño porisādaṃ manussamaṃsato nivāretuṃ samattho nāma natthi, aho sutasomena dukkarataraṃ kata’’nti mahantena saddena vanaṃ unnādentā sādhukāraṃ adaṃsu. Tesaṃ saddaṃ sutvā cātumahārājikāti evaṃ yāva brahmalokā ekakolāhalaṃ ahosi. Rukkhe laggitarājānopi taṃ devatānaṃ sādhukārasaddaṃ suṇiṃsu. Rukkhadevatāpi sakavimāne ṭhitāva sādhukāramadāsi. Iti devatānaṃ saddova sūyati, rūpaṃ na dissati. Devatānaṃ sādhukārasaddaṃ sutvā rājāno cintayiṃsu – ‘‘sutasomaṃ nissāya no jīvitaṃ laddhaṃ, dukkaraṃ kataṃ sutasomena porisādaṃ damentenā’’ti bodhisattassa thutiṃ kariṃsu. Porisādo mahāsattassa pāde vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Atha naṃ bodhisatto – ‘‘samma, khattiye mocehī’’ti āha. So cintesi ‘‘ahaṃ etesaṃ paccāmitto, ete mayā mocitā ‘gaṇhatha no paccāmitta’nti maṃ hiṃseyyuṃ, mayā jīvitaṃ cajantenapi na sakkā sutasomassa santikā gahitaṃ sīlaṃ bhindituṃ, iminā saddhiyeva gantvā mocessāmi, evaṃ me bhayaṃ na bhavissatī’’ti. Atha bodhisattaṃ vanditvā, ‘‘sutasoma, ubhopi gantvā khattiye mocessāmā’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๗๓.

    473.

    ‘‘สตฺถา จ เม โหสิ สขา จ เมสิ, วจนมฺปิ เต สมฺม อหํ อกาสิํ;

    ‘‘Satthā ca me hosi sakhā ca mesi, vacanampi te samma ahaṃ akāsiṃ;

    ตุวมฺปิ เม สมฺม กโรหิ วากฺยํ, อุโภปิ คนฺตฺวาน ปโมจยามา’’ติฯ

    Tuvampi me samma karohi vākyaṃ, ubhopi gantvāna pamocayāmā’’ti.

    ตตฺถ สตฺถาติ สคฺคมคฺคสฺส เทสิตตฺตา สตฺถา จ, ตรุณกาลโต ปฎฺฐาย สขา จฯ

    Tattha satthāti saggamaggassa desitattā satthā ca, taruṇakālato paṭṭhāya sakhā ca.

    อถ นํ โพธิสโตฺต อาห –

    Atha naṃ bodhisatto āha –

    ๔๗๔.

    474.

    ‘‘สตฺถา จ เต โหมิ สขา จ ตฺยมฺหิ, วจนมฺปิ เม สมฺม ตุวํ อกาสิ;

    ‘‘Satthā ca te homi sakhā ca tyamhi, vacanampi me samma tuvaṃ akāsi;

    อหมฺปิ เต สมฺม กโรมิ วากฺยํ, อุโภปิ คนฺตฺวาน ปโมจยามา’’ติฯ

    Ahampi te samma karomi vākyaṃ, ubhopi gantvāna pamocayāmā’’ti.

    เอวํ วตฺวา เต อุปสงฺกมิตฺวา อาห –

    Evaṃ vatvā te upasaṅkamitvā āha –

    ๔๗๕.

    475.

    ‘‘กมฺมาสปาเทน วิเหฐิตตฺถ, ตลาวุตา อสฺสุมุขา รุทนฺตา;

    ‘‘Kammāsapādena viheṭhitattha, talāvutā assumukhā rudantā;

    น ชาตุ ทุเพฺภถ อิมสฺส รโญฺญ, สจฺจปฺปฎิญฺญํ เม ปฎิสฺสุณาถา’’ติฯ

    Na jātu dubbhetha imassa rañño, saccappaṭiññaṃ me paṭissuṇāthā’’ti.

    ตตฺถ กมฺมาสปาเทนาติ อิทํ มหาสโตฺต ‘‘อุโภปิ คนฺตฺวาน ปโมจยามา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘ขตฺติยา นาม มานถทฺธา โหนฺติ, มุตฺตมตฺตาว ‘อิมินา มยํ วิเหฐิตมฺหา’ติ โปริสาทํ โปเถยฺยุมฺปิ หเนยฺยุมฺปิ, น โข ปเนส เตสุ ทุพฺภิสฺสติ, อหํ เอกโกว คนฺตฺวา ปฎิญฺญํ ตาว เนสํ คณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา เต หตฺถตเล อาวุนิตฺวา อคฺคปาทงฺคุลีหิ ภูมิํ ผุสมานาหิ รุกฺขสาขาสุ โอลคฺคิเต วาตปฺปหรณกาเล นาคทเนฺตสุ โอลคฺคิตกุรณฺฑกทามานิ วิย สมฺปริวตฺตเนฺต อทฺทสฯ เตปิ ตํ ทิสฺวา ‘‘อิทานิมฺหา มยํ อโรคา’’ติ เอกปฺปหาเรเนว มหาวิรวํ รวิํสุฯ อถ เน มหาสโตฺต ‘‘มา ภายิตฺถา’’ติ อสฺสาเสตฺวา ‘‘มยา โปริสาโท ทมิโต, ตุมฺหากํ อภยํ คหิตํ, ตุเมฺห ปน เม วจนํ กโรถา’’ติ วตฺวา เอวมาหฯ ตตฺถ น ชาตูติ เอกํเสเนว น ทุเพฺภถฯ

    Tattha kammāsapādenāti idaṃ mahāsatto ‘‘ubhopi gantvāna pamocayāmā’’ti sampaṭicchitvā ‘‘khattiyā nāma mānathaddhā honti, muttamattāva ‘iminā mayaṃ viheṭhitamhā’ti porisādaṃ potheyyumpi haneyyumpi, na kho panesa tesu dubbhissati, ahaṃ ekakova gantvā paṭiññaṃ tāva nesaṃ gaṇhissāmī’’ti cintetvā tattha gantvā te hatthatale āvunitvā aggapādaṅgulīhi bhūmiṃ phusamānāhi rukkhasākhāsu olaggite vātappaharaṇakāle nāgadantesu olaggitakuraṇḍakadāmāni viya samparivattante addasa. Tepi taṃ disvā ‘‘idānimhā mayaṃ arogā’’ti ekappahāreneva mahāviravaṃ raviṃsu. Atha ne mahāsatto ‘‘mā bhāyitthā’’ti assāsetvā ‘‘mayā porisādo damito, tumhākaṃ abhayaṃ gahitaṃ, tumhe pana me vacanaṃ karothā’’ti vatvā evamāha. Tattha na jātūti ekaṃseneva na dubbhetha.

    เต อาหํสุ –

    Te āhaṃsu –

    ๔๗๖.

    476.

    ‘‘กมฺมาสปาเทน วิเหฐิตมฺหา, ตลาวุตา อสฺสุมุขา รุทนฺตา;

    ‘‘Kammāsapādena viheṭhitamhā, talāvutā assumukhā rudantā;

    น ชาตุ ทุเพฺภม อิมสฺส รโญฺญ, สจฺจปฺปฎิญฺญํ เต ปฎิสฺสุณามา’’ติฯ

    Na jātu dubbhema imassa rañño, saccappaṭiññaṃ te paṭissuṇāmā’’ti.

    ตตฺถ ปฎิสฺสุณามาติ ‘‘เอวํ ปฎิญฺญํ อธิวาเสม สมฺปฎิจฺฉาม, อปิจ โข ปน มยํ กิลนฺตา กเถตุํ น สโกฺกม, ตุเมฺห สพฺพสตฺตานํ สรณํ, ตุเมฺหว กเถถ, มยํ โว วจนํ สุตฺวา ปฎิญฺญํ ทสฺสามา’’ติฯ

    Tattha paṭissuṇāmāti ‘‘evaṃ paṭiññaṃ adhivāsema sampaṭicchāma, apica kho pana mayaṃ kilantā kathetuṃ na sakkoma, tumhe sabbasattānaṃ saraṇaṃ, tumheva kathetha, mayaṃ vo vacanaṃ sutvā paṭiññaṃ dassāmā’’ti.

    อถ เน โพธิสโตฺต ‘‘เตน หิ ปฎิญฺญํ เทถา’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Atha ne bodhisatto ‘‘tena hi paṭiññaṃ dethā’’ti vatvā gāthamāha –

    ๔๗๗.

    477.

    ‘‘ยถา ปิตา วา อถ วาปิ มาตา, อนุกมฺปกา อตฺถกามา ปชานํ,ฯ

    ‘‘Yathā pitā vā atha vāpi mātā, anukampakā atthakāmā pajānaṃ,.

    เอวเมว โว โหตุ อยญฺจ ราชา, ตุเมฺห จ โว โหถ ยเถว ปุตฺตา’’ติฯ

    Evameva vo hotu ayañca rājā, tumhe ca vo hotha yatheva puttā’’ti.

    อถ นํ เตปิ สมฺปฎิจฺฉมานา อิมํ คาถมาหํสุ –

    Atha naṃ tepi sampaṭicchamānā imaṃ gāthamāhaṃsu –

    ๔๗๘.

    478.

    ‘‘ยถา ปิตา วา อถ วาปิ มาตา, อนุกมฺปกา อตฺถกามา ปชานํ;

    ‘‘Yathā pitā vā atha vāpi mātā, anukampakā atthakāmā pajānaṃ;

    เอวเมว โน โหตุ อยญฺจ ราชา, มยมฺปิ เหสฺสาม ยเถว ปุตฺตา’’ติฯ

    Evameva no hotu ayañca rājā, mayampi hessāma yatheva puttā’’ti.

    ตตฺถ ตุเมฺห จ โวติ โว-กาโร นิปาตมตฺตํฯ

    Tattha tumhe ca voti vo-kāro nipātamattaṃ.

    อิติ มหาสโตฺต เตสํ ปฎิญฺญํ คเหตฺวา โปริสาทํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘เอหิ, สมฺม, ขตฺติเย โมเจหี’’ติ อาหฯ โส ขคฺคํ คเหตฺวา เอกสฺส รโญฺญ พนฺธนํ ฉินฺทิฯ ราชา สตฺตาหํ นิราหาโร เวทนปฺปโตฺต สห พนฺธนเฉทา มุจฺฉิโต ภูมิยํ ปติฯ ตํ ทิสฺวา มหาสโตฺต การุญฺญํ กตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, มา เอวํ ฉินฺที’’ติ เอกํ ราชานํ อุโภหิ หเตฺถหิ ทฬฺหํ คเหตฺวา อุเร กตฺวา ‘‘อิทานิ พนฺธนํ ฉินฺทาหี’’ติ อาหฯ โปริสาโท ขเคฺคน ฉินฺทิฯ มหาสโตฺต ถามสมฺปนฺนตาย นํ อุเร นิปชฺชาเปตฺวา โอรสปุตฺตํ วิย มุทุจิเตฺตน โอตาเรตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชาเปสิฯ เอวํ สเพฺพปิ เต ภูมิยํ นิปชฺชาเปตฺวา วเณ โธวิตฺวา ทารกานํ กณฺณโต สุตฺตกํ วิย สณิกํ รชฺชุโย นิกฺกฑฺฒิตฺวา ปุพฺพโลหิตํ โธวิตฺวา วเณ นิโทฺทเส กตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, เอกํ รุกฺขตจํ ปาสาเณ ฆํสิตฺวา อาหรา’’ติ อาหราเปตฺวา สจฺจกิริยํ กตฺวา เตสํ หตฺถตลานิ มเกฺขสิฯ ตงฺขณเญฺญว วโณ ผาสุกํ อโหสิฯ โปริสาโท ตณฺฑุลํ คเหตฺวา ตรลํ ปจิ , อุโภ ชนา ปโรสตํ ขตฺติเย ปาเยสุํฯ อิติ เต สเพฺพว สนฺตปฺปิตา, สูริโย อตฺถงฺคโตฯ ปุนทิวเส ปาโต จ มชฺฌนฺหิเก จ สายญฺจ ตรลเมว ปาเยตฺวา ตติยทิวเส สสิตฺถกยาคุํ ปาเยสุํ, ตาวตา เต อโรคา อเหสุํฯ

    Iti mahāsatto tesaṃ paṭiññaṃ gahetvā porisādaṃ pakkositvā ‘‘ehi, samma, khattiye mocehī’’ti āha. So khaggaṃ gahetvā ekassa rañño bandhanaṃ chindi. Rājā sattāhaṃ nirāhāro vedanappatto saha bandhanachedā mucchito bhūmiyaṃ pati. Taṃ disvā mahāsatto kāruññaṃ katvā, ‘‘samma porisāda, mā evaṃ chindī’’ti ekaṃ rājānaṃ ubhohi hatthehi daḷhaṃ gahetvā ure katvā ‘‘idāni bandhanaṃ chindāhī’’ti āha. Porisādo khaggena chindi. Mahāsatto thāmasampannatāya naṃ ure nipajjāpetvā orasaputtaṃ viya muducittena otāretvā bhūmiyaṃ nipajjāpesi. Evaṃ sabbepi te bhūmiyaṃ nipajjāpetvā vaṇe dhovitvā dārakānaṃ kaṇṇato suttakaṃ viya saṇikaṃ rajjuyo nikkaḍḍhitvā pubbalohitaṃ dhovitvā vaṇe niddose katvā, ‘‘samma porisāda, ekaṃ rukkhatacaṃ pāsāṇe ghaṃsitvā āharā’’ti āharāpetvā saccakiriyaṃ katvā tesaṃ hatthatalāni makkhesi. Taṅkhaṇaññeva vaṇo phāsukaṃ ahosi. Porisādo taṇḍulaṃ gahetvā taralaṃ paci , ubho janā parosataṃ khattiye pāyesuṃ. Iti te sabbeva santappitā, sūriyo atthaṅgato. Punadivase pāto ca majjhanhike ca sāyañca taralameva pāyetvā tatiyadivase sasitthakayāguṃ pāyesuṃ, tāvatā te arogā ahesuṃ.

    อถ เน มหาสโตฺต ‘‘คนฺตุํ สกฺขิสฺสถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘คจฺฉามา’’ติ วุเตฺต ‘‘เอหิ, สมฺม โปริสาท, สกํ รฎฺฐํ คจฺฉามา’’ติ อาหฯ โส โรทมาโน ตสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘ตฺวํ, สมฺม, ราชาโน คเหตฺวา คจฺฉ, อหํ อิเธว วนมูลผลานิ ขาทโนฺต วสิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘สมฺม, อิธ กิํ กริสฺสสิ, รมณียํ เต รฎฺฐํ, พาราณสิยํ รชฺชํ กาเรหี’’ติฯ ‘‘สมฺม กิํ กเถสิ, น สกฺกา มยา ตตฺถ คนฺตุํ, สกลนครวาสิโน หิ เม เวริโน, เต ‘อิมินา มยฺหํ มาตา ขาทิตา, มยฺหํ ปิตา, มยฺหํ ภาตา’ติ มํ ปริภาสิสฺสนฺติ, ‘คณฺหถ อิมํ โจร’นฺติ เอเกกทเณฺฑน วา เอเกกเลฑฺฑุนา วา มํ ชีวิตา โวโรเปสฺสนฺติ, อหญฺจ ตุมฺหากํ สนฺติเก สีเลสุ ปติฎฺฐิโต, ชีวิตเหตุปิ น สกฺกา มยา ปรํ มาเรตุํ, ตสฺมา นาหํ คจฺฉามิ, อหํ มนุสฺสมํสโต วิรตตฺตา กิตฺตกํ ชีวิสฺสามิ, อิทานิ มม ตุมฺหากํ ทสฺสนํ นตฺถี’’ติ โรทิตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติ อาหฯ อถ มหาสโตฺต ตสฺส ปิฎฺฐิํ ปริมชฺชิตฺวา, ‘‘สมฺม โปริสาท, มา จินฺตยิ, สุตโสโม นามาหํ, มยา ตาทิโส กกฺขโฬ ผรุโส วินีโต, พาราณสิวาสิเกสุ กิํ วตฺตพฺพํ อตฺถิ, อหํ ตํ ตตฺถ ปติฎฺฐาเปสฺสามิ, อสโกฺกโนฺต อตฺตโน รชฺชํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ทสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘ตุมฺหากมฺปิ นคเร มม เวริโน อตฺถิเยวา’’ติ วุเตฺต ‘‘อิมินา มม วจนํ กโรเนฺตน ทุกฺกรํ กตํ, เยน เกนจิ อุปาเยน โปราณกยเส ปติฎฺฐเปตโพฺพ เอส มยา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส ปโลภนตฺถาย นครสมฺปตฺติํ วเณฺณโนฺต อาห –

    Atha ne mahāsatto ‘‘gantuṃ sakkhissathā’’ti pucchitvā ‘‘gacchāmā’’ti vutte ‘‘ehi, samma porisāda, sakaṃ raṭṭhaṃ gacchāmā’’ti āha. So rodamāno tassa pādesu patitvā ‘‘tvaṃ, samma, rājāno gahetvā gaccha, ahaṃ idheva vanamūlaphalāni khādanto vasissāmī’’ti āha. ‘‘Samma, idha kiṃ karissasi, ramaṇīyaṃ te raṭṭhaṃ, bārāṇasiyaṃ rajjaṃ kārehī’’ti. ‘‘Samma kiṃ kathesi, na sakkā mayā tattha gantuṃ, sakalanagaravāsino hi me verino, te ‘iminā mayhaṃ mātā khāditā, mayhaṃ pitā, mayhaṃ bhātā’ti maṃ paribhāsissanti, ‘gaṇhatha imaṃ cora’nti ekekadaṇḍena vā ekekaleḍḍunā vā maṃ jīvitā voropessanti, ahañca tumhākaṃ santike sīlesu patiṭṭhito, jīvitahetupi na sakkā mayā paraṃ māretuṃ, tasmā nāhaṃ gacchāmi, ahaṃ manussamaṃsato viratattā kittakaṃ jīvissāmi, idāni mama tumhākaṃ dassanaṃ natthī’’ti roditvā ‘‘gacchatha tumhe’’ti āha. Atha mahāsatto tassa piṭṭhiṃ parimajjitvā, ‘‘samma porisāda, mā cintayi, sutasomo nāmāhaṃ, mayā tādiso kakkhaḷo pharuso vinīto, bārāṇasivāsikesu kiṃ vattabbaṃ atthi, ahaṃ taṃ tattha patiṭṭhāpessāmi, asakkonto attano rajjaṃ dvidhā bhinditvā dassāmī’’ti vatvā ‘‘tumhākampi nagare mama verino atthiyevā’’ti vutte ‘‘iminā mama vacanaṃ karontena dukkaraṃ kataṃ, yena kenaci upāyena porāṇakayase patiṭṭhapetabbo esa mayā’’ti cintetvā tassa palobhanatthāya nagarasampattiṃ vaṇṇento āha –

    ๔๗๙.

    479.

    ‘‘จตุปฺปทํ สกุณญฺจาปิ มํสํ, สูเทหิ รนฺธํ สุกตํ สุนิฎฺฐิตํ;

    ‘‘Catuppadaṃ sakuṇañcāpi maṃsaṃ, sūdehi randhaṃ sukataṃ suniṭṭhitaṃ;

    สุธํว อิโนฺท ปริภุญฺชิยาน, หิตฺวา กเถโก รมสี อรเญฺญฯ

    Sudhaṃva indo paribhuñjiyāna, hitvā katheko ramasī araññe.

    ๔๘๐.

    480.

    ‘‘ตา ขตฺติยา เวลฺลิวิลากมชฺฌา, อลงฺกตา สมฺปริวารยิตฺวา;

    ‘‘Tā khattiyā vellivilākamajjhā, alaṅkatā samparivārayitvā;

    อินฺทํว เทเวสุ ปโมทยิํสุ, หิตฺวา กเถโก รมสี อรเญฺญฯ

    Indaṃva devesu pamodayiṃsu, hitvā katheko ramasī araññe.

    ๔๘๑.

    481.

    ‘‘ตมฺพูปธาเน พหุโคณกมฺหิ, สุภมฺหิ สพฺพสฺสยนมฺหิ สเงฺค;

    ‘‘Tambūpadhāne bahugoṇakamhi, subhamhi sabbassayanamhi saṅge;

    เสยฺยสฺส มชฺฌมฺหิ สุขํ สยิตฺวา

    Seyyassa majjhamhi sukhaṃ sayitvā

    หิตฺวา กเถโก รมสี อรเญฺญฯ

    Hitvā katheko ramasī araññe.

    ๔๘๒.

    482.

    ‘‘ปาณิสฺสรํ กุมฺภถูณํ นิสีเถ, อโถปิ เว นิปฺปุริสมฺปิ ตูริยํ;

    ‘‘Pāṇissaraṃ kumbhathūṇaṃ nisīthe, athopi ve nippurisampi tūriyaṃ;

    พหุํ สุคีตญฺจ สุวาทิตญฺจ, หิตฺวา กเถโก รมสี อรเญฺญฯ

    Bahuṃ sugītañca suvāditañca, hitvā katheko ramasī araññe.

    ๔๘๓.

    483.

    ‘‘อุยฺยานสมฺปนฺนํ ปหูตมาลฺยํ, มิคาชินูเปตํ ปุรํ สุรมฺมํ;

    ‘‘Uyyānasampannaṃ pahūtamālyaṃ, migājinūpetaṃ puraṃ surammaṃ;

    หเยหิ นาเคหิ รเถหุเปตํ, หิตฺวา กเถโก รมสี อรเญฺญ’’ติฯ

    Hayehi nāgehi rathehupetaṃ, hitvā katheko ramasī araññe’’ti.

    ตตฺถ สุกตนฺติ นานปฺปกาเรหิ สุฎฺฐุ กตํฯ สุนิฎฺฐิตนฺติ นานาสมฺภารโยชเนน สุฎฺฐุ นิฎฺฐิตํฯ กเถโกติ กถํ เอโกฯ รมสีติ มูลผลาทีนิ ขาทโนฺต กถํ รมิสฺสสิ, ‘‘เอหิ, มหาราช, คมิสฺสามา’’ติฯ เวลฺลิวิลากมชฺฌาติ เอตฺถ เวลฺลีติ ราสิ, วิลากมชฺฌาติ วิลคฺคมชฺฌาฯ อุตฺตตฺตฆนสุวณฺณราสิปภา เจว ตนุทีฆมชฺฌา จาติ ทเสฺสติฯ เทเวสูติ เทวโลเกสุ อจฺฉรา อินฺทํ วิย รมณีเย พาราณสินคเร ปุเพฺพ ตํ ปโมทยิํสุ, ตา หิตฺวา อิธ กิํ กริสฺสสิ, ‘‘เอหิ, สมฺม, คจฺฉามา’’ติฯ ตมฺพูปธาเนติ รตฺตูปธาเนฯ สพฺพสฺสยนมฺหีติ สพฺพตฺถรณตฺถเต สยเนฯ สเงฺคติ อเนกภูมิเก ทเสฺสตฺวา อทฺธรตฺตองฺคยุเตฺต ตตฺถ ตฺวํ ปุเพฺพ สยีติ อโตฺถฯ สุขนฺติ ตาทิสสฺส สยนสฺส มชฺฌมฺหิ สุขํ สยิตฺวาน อิทานิ กถํ อรเญฺญ รมิสฺสสิ, ‘‘เอหิ คจฺฉาม, สมฺมา’’ติฯ นิสีเถติ รตฺติภาเคฯ หิตฺวาติ เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ฉเฑฺฑตฺวาฯ อุยฺยานสมฺปนฺนํ ปหูตมาลฺยนฺติ, มหาราช, ตว อุยฺยานสมฺปนฺนํ นานาวิธปุปฺผํฯ มิคาชินูเปตํ ปุรํ สุรมฺมนฺติ ตํ อุยฺยานํ มิคาชินํ นาม นาเมน, เตน อุเปตํ ปุรมฺปิ เต สุฎฺฐุ รมฺมํฯ หิตฺวาติ เอวรูปํ มโนรมํ นครํ ฉเฑฺฑตฺวาฯ

    Tattha sukatanti nānappakārehi suṭṭhu kataṃ. Suniṭṭhitanti nānāsambhārayojanena suṭṭhu niṭṭhitaṃ. Kathekoti kathaṃ eko. Ramasīti mūlaphalādīni khādanto kathaṃ ramissasi, ‘‘ehi, mahārāja, gamissāmā’’ti. Vellivilākamajjhāti ettha vellīti rāsi, vilākamajjhāti vilaggamajjhā. Uttattaghanasuvaṇṇarāsipabhā ceva tanudīghamajjhā cāti dasseti. Devesūti devalokesu accharā indaṃ viya ramaṇīye bārāṇasinagare pubbe taṃ pamodayiṃsu, tā hitvā idha kiṃ karissasi, ‘‘ehi, samma, gacchāmā’’ti. Tambūpadhāneti rattūpadhāne. Sabbassayanamhīti sabbattharaṇatthate sayane. Saṅgeti anekabhūmike dassetvā addharattaaṅgayutte tattha tvaṃ pubbe sayīti attho. Sukhanti tādisassa sayanassa majjhamhi sukhaṃ sayitvāna idāni kathaṃ araññe ramissasi, ‘‘ehi gacchāma, sammā’’ti. Nisītheti rattibhāge. Hitvāti evarūpaṃ sampattiṃ chaḍḍetvā. Uyyānasampannaṃ pahūtamālyanti, mahārāja, tava uyyānasampannaṃ nānāvidhapupphaṃ. Migājinūpetaṃ puraṃ surammanti taṃ uyyānaṃ migājinaṃ nāma nāmena, tena upetaṃ purampi te suṭṭhu rammaṃ. Hitvāti evarūpaṃ manoramaṃ nagaraṃ chaḍḍetvā.

    อิติ มหาสโตฺต ‘‘อเปฺปว นาเมส ปุเพฺพ อุปภุตฺตปริโภครสํ สริตฺวา คนฺตุกาโม ภเวยฺยา’’ติ ปฐมํ โภชเนน ปโลเภสิ, ทุติยํ กิเลเสน, ตติยํ สยเนน, จตุตฺถํ นจฺจคีตวาทิเตน, ปญฺจมํ อุยฺยาเนน เจว นคเรน จาติ อิเมหิ เอตฺตเกหิ ปโลเภตฺวา ‘‘เอหิ, มหาราช, อหํ ตํ อาทาย คนฺตฺวา พาราณสิยํ ปติฎฺฐาเปตฺวา ปจฺฉา สกรฎฺฐํ คมิสฺสามิ, สเจ พาราณสิรชฺชํ น ลภิสฺสสิ, อุปฑฺฒรชฺชํ เต ทสฺสามิ, กิํ เต อรญฺญวาเสน, มม วจนํ กโรหี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา คนฺตุกาโม หุตฺวา ‘‘สุตโสโม มยฺหํ อตฺถกาโม อนุกมฺปโก, ปฐมํ มํ กลฺยาเณ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘อิทานิ โปราณกยเสว ปติฎฺฐาเปสฺสามี’ติ วทติ, สกฺขิสฺสติ เจส ปติฎฺฐาเปตุํ, อิมินา สทฺธิํเยว คนฺตุํ วฎฺฎติ, กิํ เม อรญฺญวาเสนา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต ตสฺส คุณํ นิสฺสาย วณฺณํ กเถตุกาโม ‘‘สมฺม, สุตโสม, กลฺยาณมิตฺตสํสคฺคโต สาธุตรํ, ปาปมิตฺตสํสคฺคโต วา ปาปตรํ นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา อาห –

    Iti mahāsatto ‘‘appeva nāmesa pubbe upabhuttaparibhogarasaṃ saritvā gantukāmo bhaveyyā’’ti paṭhamaṃ bhojanena palobhesi, dutiyaṃ kilesena, tatiyaṃ sayanena, catutthaṃ naccagītavāditena, pañcamaṃ uyyānena ceva nagarena cāti imehi ettakehi palobhetvā ‘‘ehi, mahārāja, ahaṃ taṃ ādāya gantvā bārāṇasiyaṃ patiṭṭhāpetvā pacchā sakaraṭṭhaṃ gamissāmi, sace bārāṇasirajjaṃ na labhissasi, upaḍḍharajjaṃ te dassāmi, kiṃ te araññavāsena, mama vacanaṃ karohī’’ti āha. So tassa vacanaṃ sutvā gantukāmo hutvā ‘‘sutasomo mayhaṃ atthakāmo anukampako, paṭhamaṃ maṃ kalyāṇe patiṭṭhāpetvā ‘idāni porāṇakayaseva patiṭṭhāpessāmī’ti vadati, sakkhissati cesa patiṭṭhāpetuṃ, iminā saddhiṃyeva gantuṃ vaṭṭati, kiṃ me araññavāsenā’’ti cintetvā tuṭṭhacitto tassa guṇaṃ nissāya vaṇṇaṃ kathetukāmo ‘‘samma, sutasoma, kalyāṇamittasaṃsaggato sādhutaraṃ, pāpamittasaṃsaggato vā pāpataraṃ nāma natthī’’ti vatvā āha –

    ๔๘๔.

    484.

    ‘‘กาฬปเกฺข ยถา จโนฺท, หายเตว สุเว สุเว;

    ‘‘Kāḷapakkhe yathā cando, hāyateva suve suve;

    กาฬปกฺขูปโม ราช, อสตํ โหติ สมาคโมฯ

    Kāḷapakkhūpamo rāja, asataṃ hoti samāgamo.

    ๔๘๕.

    485.

    ‘‘ยถาหํ รสกมาคมฺม, สูทํ กาปุริสาธมํ;

    ‘‘Yathāhaṃ rasakamāgamma, sūdaṃ kāpurisādhamaṃ;

    อกาสิํ ปาปกํ กมฺมํ, เยน คจฺฉามิ ทุคฺคติํฯ

    Akāsiṃ pāpakaṃ kammaṃ, yena gacchāmi duggatiṃ.

    ๔๘๖.

    486.

    ‘‘สุกฺกปเกฺข ยถา จโนฺท, วฑฺฒเตว สุเว สุเว;

    ‘‘Sukkapakkhe yathā cando, vaḍḍhateva suve suve;

    สุกฺกปกฺขูปโม ราช, สตํ โหติ สมาคโมฯ

    Sukkapakkhūpamo rāja, sataṃ hoti samāgamo.

    ๔๘๗.

    487.

    ‘‘ยถาหํ ตุวมาคมฺม, สุตโสม วิชานหิ;

    ‘‘Yathāhaṃ tuvamāgamma, sutasoma vijānahi;

    กาหามิ กุสลํ กมฺมํ, เยน คจฺฉามิ สุคฺคติํฯ

    Kāhāmi kusalaṃ kammaṃ, yena gacchāmi suggatiṃ.

    ๔๘๘.

    488.

    ‘‘ถเล ยถา วาริ ชนินฺท วุฎฺฐํ, อนทฺธเนยฺยํ น จิรฎฺฐิตีกํ;

    ‘‘Thale yathā vāri janinda vuṭṭhaṃ, anaddhaneyyaṃ na ciraṭṭhitīkaṃ;

    เอวมฺปิ โหติ อสตํ สมาคโม, อนทฺธเนโยฺย อุทกํ ถเลวฯ

    Evampi hoti asataṃ samāgamo, anaddhaneyyo udakaṃ thaleva.

    ๔๘๙.

    489.

    ‘‘สเร ยถา วาริ ชนินฺท วุฎฺฐํ, จิรฎฺฐิตีกํ นรวีรเสฎฺฐ;

    ‘‘Sare yathā vāri janinda vuṭṭhaṃ, ciraṭṭhitīkaṃ naravīraseṭṭha;

    เอวมฺปิ เว โหติ สตํ สมาคโม, จิรฎฺฐิตีโก อุทกํ สเรวฯ

    Evampi ve hoti sataṃ samāgamo, ciraṭṭhitīko udakaṃ sareva.

    ๔๙๐.

    490.

    ‘‘อพฺยายิโก โหติ สตํ สมาคโม, ยาวมฺปิ ติเฎฺฐยฺย ตเถว โหติ;

    ‘‘Abyāyiko hoti sataṃ samāgamo, yāvampi tiṭṭheyya tatheva hoti;

    ขิปฺปญฺหิ เวติ อสตํ สมาคโม, ตสฺมา สตํ ธโมฺม อสพฺภิ อารกา’’ติฯ

    Khippañhi veti asataṃ samāgamo, tasmā sataṃ dhammo asabbhi ārakā’’ti.

    ตตฺถ สุเว สุเวติ ทิวเส ทิวเสฯ อนทฺธเนยฺยนฺติ น อทฺธานกฺขมํฯ สเรติ สมุเทฺทฯ นรวีรเสฎฺฐาติ นเรสุ วีริเยน เสฎฺฐฯ อุทกํ สเรวาติ สมุเทฺท วุฎฺฐอุทกํ วิยฯ อพฺยายิโกติ อวิคจฺฉนโกฯ ยาวมฺปิ ติเฎฺฐยฺยาติ ยตฺตกํ กาลํ ชีวิตํ ติเฎฺฐยฺย, ตตฺตกํ กาลํ ตเถว โหติ, น ชีรติ สปฺปุริเสหิ มิตฺตภาโวติฯ

    Tattha suve suveti divase divase. Anaddhaneyyanti na addhānakkhamaṃ. Sareti samudde. Naravīraseṭṭhāti naresu vīriyena seṭṭha. Udakaṃ sarevāti samudde vuṭṭhaudakaṃ viya. Abyāyikoti avigacchanako. Yāvampitiṭṭheyyāti yattakaṃ kālaṃ jīvitaṃ tiṭṭheyya, tattakaṃ kālaṃ tatheva hoti, na jīrati sappurisehi mittabhāvoti.

    อิติ โปริสาโท สตฺตหิ คาถาหิ มหาสตฺตเสฺสว วณฺณํ กเถสิฯ มหาสโตฺตปิ โปริสาทญฺจ เต จ ราชาโน คเหตฺวา อตฺตโน ปจฺจนฺตคามํ อคมาสิฯ ปจฺจนฺตคามวาสิโน มหาสตฺตํ ทิสฺวา นครํ คนฺตฺวา อมจฺจานํ อาจิกฺขิํสุฯ อมจฺจา พลกายํ อาทาย คนฺตฺวา ปริวารยิํสุฯ มหาสโตฺต เตน ปริวาเรน พาราณสิรชฺชํ อคมาสิฯ อนฺตรามเคฺค ชนปทวาสิโน โพธิสตฺตสฺส ปณฺณาการํ ทตฺวา อนุคจฺฉิํสุ, มหโนฺต ปริวาโร อโหสิ, เตน สทฺธิํ พาราณสิํ ปาปุณิฯ ตทา โปริสาทสฺส ปุโตฺต ราชา โหติ, เสนาปติ กาฬหตฺถิเยวฯ นาครา รโญฺญ อาโรจยิํสุ – ‘‘มหาราช, สุตโสโม กิร โปริสาทํ ทเมตฺวา อาทาย อิธาคจฺฉติ, นครมสฺส ปวิสิตุํ น ทสฺสามา’’ติ สีฆํ นครทฺวารานิ ปิทหิตฺวา อาวุธหตฺถา อฎฺฐํสุฯ มหาสโตฺต ทฺวารานํ ปิหิตภาวํ ญตฺวา โปริสาทญฺจ ปโรสตญฺจ ราชาโน โอหาย กติปเยหิ อมเจฺจหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวา ‘‘อหํ สุตโสมราชา, ทฺวารํ วิวรถา’’ติ อาหฯ ปุริสา คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ โส ‘‘ขิปฺปํ วิวรถา’’ติ วิวราเปสิฯ มหาสโตฺต นครํ ปาวิสิฯ ราชา จ กาฬหตฺถิ จสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา อาทาย ปาสาทํ อาโรปยิํสุฯ

    Iti porisādo sattahi gāthāhi mahāsattasseva vaṇṇaṃ kathesi. Mahāsattopi porisādañca te ca rājāno gahetvā attano paccantagāmaṃ agamāsi. Paccantagāmavāsino mahāsattaṃ disvā nagaraṃ gantvā amaccānaṃ ācikkhiṃsu. Amaccā balakāyaṃ ādāya gantvā parivārayiṃsu. Mahāsatto tena parivārena bārāṇasirajjaṃ agamāsi. Antarāmagge janapadavāsino bodhisattassa paṇṇākāraṃ datvā anugacchiṃsu, mahanto parivāro ahosi, tena saddhiṃ bārāṇasiṃ pāpuṇi. Tadā porisādassa putto rājā hoti, senāpati kāḷahatthiyeva. Nāgarā rañño ārocayiṃsu – ‘‘mahārāja, sutasomo kira porisādaṃ dametvā ādāya idhāgacchati, nagaramassa pavisituṃ na dassāmā’’ti sīghaṃ nagaradvārāni pidahitvā āvudhahatthā aṭṭhaṃsu. Mahāsatto dvārānaṃ pihitabhāvaṃ ñatvā porisādañca parosatañca rājāno ohāya katipayehi amaccehi saddhiṃ āgantvā ‘‘ahaṃ sutasomarājā, dvāraṃ vivarathā’’ti āha. Purisā gantvā rañño ārocesuṃ. So ‘‘khippaṃ vivarathā’’ti vivarāpesi. Mahāsatto nagaraṃ pāvisi. Rājā ca kāḷahatthi cassa paccuggamanaṃ katvā ādāya pāsādaṃ āropayiṃsu.

    โส ราชปลฺลเงฺก นิสีทิตฺวา โปริสาทสฺส อคฺคมเหสิํ เสสามเจฺจ จ ปโกฺกสาเปตฺวา กาฬหตฺถิํ อาห – ‘‘กาฬหตฺถิ, กสฺมา รโญฺญ นครํ ปวิสิตุํ น เทถา’’ติ? ‘‘โส รชฺชํ กาเรโนฺต อิมสฺมิํ นคเร พหู มนุเสฺส ขาทิ, ขตฺติเยหิ อกตฺตพฺพํ กริ, สกลชมฺพุทีปํ ฉิทฺทมกาสิ, เอวรูโป ปาปธโมฺม, เตน การเณนา’’ติฯ ‘‘อิทานิ ‘โส เอวรูปํ กริสฺสตี’ติ มา จินฺตยิตฺถ, อหํ ตํ ทเมตฺวา สีเลสุ ปติฎฺฐาเปสิํ, ชีวิตเหตุปิ กญฺจิ น วิเหเฐสฺสติ, นตฺถิ โว ตโต ภยํ, เอวํ มา กริตฺถ, ปุเตฺตหิ นาม มาตาปิตโร ปฎิชคฺคิตพฺพา, มาตาปิตุโปสกา หิ สคฺคํ คจฺฉนฺติ, อิตเร นิรย’’นฺติ เอวํ โส นิจาสเน นิสินฺนสฺส ปุตฺตราชสฺส โอวาทํ ทตฺวา, ‘‘กาฬหตฺถิ, ตฺวํ รโญฺญ สหาโย เจว เสวโก จ, รญฺญาปิ มหเนฺต อิสฺสริเย ปติฎฺฐาปิโต, ตยาปิ รโญฺญ อตฺถํ จริตุํ วฎฺฎตี’’ติ เสนาปติมฺปิ อนุสาสิตฺวา, ‘‘เทวิ, ตฺวมฺปิ กุลเคหา อาคนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก อคฺคมเหสิฎฺฐานํ ปตฺวา ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิปฺปตฺตา, ตยาปิ ตสฺส อตฺถํ จริตุํ วฎฺฎตี’’ติ เทวิยาปิ โอวาทํ ทตฺวา ตเมวตฺถํ มตฺถกํ ปาเปตุํ ธมฺมํ เทเสโนฺต คาถา อาห –

    So rājapallaṅke nisīditvā porisādassa aggamahesiṃ sesāmacce ca pakkosāpetvā kāḷahatthiṃ āha – ‘‘kāḷahatthi, kasmā rañño nagaraṃ pavisituṃ na dethā’’ti? ‘‘So rajjaṃ kārento imasmiṃ nagare bahū manusse khādi, khattiyehi akattabbaṃ kari, sakalajambudīpaṃ chiddamakāsi, evarūpo pāpadhammo, tena kāraṇenā’’ti. ‘‘Idāni ‘so evarūpaṃ karissatī’ti mā cintayittha, ahaṃ taṃ dametvā sīlesu patiṭṭhāpesiṃ, jīvitahetupi kañci na viheṭhessati, natthi vo tato bhayaṃ, evaṃ mā karittha, puttehi nāma mātāpitaro paṭijaggitabbā, mātāpituposakā hi saggaṃ gacchanti, itare niraya’’nti evaṃ so nicāsane nisinnassa puttarājassa ovādaṃ datvā, ‘‘kāḷahatthi, tvaṃ rañño sahāyo ceva sevako ca, raññāpi mahante issariye patiṭṭhāpito, tayāpi rañño atthaṃ carituṃ vaṭṭatī’’ti senāpatimpi anusāsitvā, ‘‘devi, tvampi kulagehā āgantvā tassa santike aggamahesiṭṭhānaṃ patvā puttadhītāhi vaḍḍhippattā, tayāpi tassa atthaṃ carituṃ vaṭṭatī’’ti deviyāpi ovādaṃ datvā tamevatthaṃ matthakaṃ pāpetuṃ dhammaṃ desento gāthā āha –

    ๔๙๑.

    491.

    ‘‘น โส ราชา โย อเชยฺยํ ชินาติ, น โส สขา โย สขารํ ชินาติ;

    ‘‘Na so rājā yo ajeyyaṃ jināti, na so sakhā yo sakhāraṃ jināti;

    น สา ภริยา ยา ปติโน น วิเภติ, น เต ปุตฺตา เย น ภรนฺติ ชิณฺณํฯ

    Na sā bhariyā yā patino na vibheti, na te puttā ye na bharanti jiṇṇaṃ.

    ๔๙๒.

    492.

    ‘‘น สา สภา ยตฺถ น สนฺติ สโนฺต, น เต สโนฺต เย น ภณนฺติ ธมฺมํ;

    ‘‘Na sā sabhā yattha na santi santo, na te santo ye na bhaṇanti dhammaṃ;

    ราคญฺจ โทสญฺจ ปหาย โมหํ, ธมฺมํ ภณนฺตาว ภวนฺติ สโนฺตฯ

    Rāgañca dosañca pahāya mohaṃ, dhammaṃ bhaṇantāva bhavanti santo.

    ๔๙๓.

    493.

    ‘‘นาภาสมานํ ชานนฺติ, มิสฺสํ พาเลหิ ปณฺฑิตํ;

    ‘‘Nābhāsamānaṃ jānanti, missaṃ bālehi paṇḍitaṃ;

    ภาสมานญฺจ ชานนฺติ, เทเสนฺตํ อมตํ ปทํฯ

    Bhāsamānañca jānanti, desentaṃ amataṃ padaṃ.

    ๔๙๔.

    494.

    ‘‘ภาสเย โชตเย ธมฺมํ, ปคฺคเณฺห อิสินํ ธชํ;

    ‘‘Bhāsaye jotaye dhammaṃ, paggaṇhe isinaṃ dhajaṃ;

    สุภาสิตทฺธชา อิสโย, ธโมฺม หิ อิสินํ ธโช’’ติฯ

    Subhāsitaddhajā isayo, dhammo hi isinaṃ dhajo’’ti.

    ตตฺถ อเชยฺยนฺติ อเชยฺยา นาม มาตาปิตโร, เต ชินโนฺต ราชา นาม น โหติฯ สเจ ตฺวมฺปิ ปิตุ สนฺตกํ รชฺชํ ลภิตฺวา ตสฺส ปฎิสตฺตุ โหสิ, อกิจฺจการี นาม ภวิสฺสสิ ฯ สขารํ ชินาตีติ กูฎเฑฺฑน ชินาติฯ สเจ ตฺวํ, กาฬหตฺถิ, รญฺญา สทฺธิํ มิตฺตธมฺมํ น ปูเรสิ, อธมฺมโฎฺฐ หุตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติสฺสสิฯ น วิเภตีติ น ภายติฯ สเจ ตฺวํ รโญฺญ น ภายสิ, ภริยาธเมฺม ฐิตา นาม น โหสิ, อกิจฺจการี นาม ภวิสฺสสิฯ ชิณฺณนฺติ มหลฺลกํฯ ตสฺมิญฺหิ กาเล อภรนฺตา ปุตฺตา ปุตฺตา นาม น โหนฺติฯ

    Tattha ajeyyanti ajeyyā nāma mātāpitaro, te jinanto rājā nāma na hoti. Sace tvampi pitu santakaṃ rajjaṃ labhitvā tassa paṭisattu hosi, akiccakārī nāma bhavissasi . Sakhāraṃ jinātīti kūṭaḍḍena jināti. Sace tvaṃ, kāḷahatthi, raññā saddhiṃ mittadhammaṃ na pūresi, adhammaṭṭho hutvā niraye nibbattissasi. Na vibhetīti na bhāyati. Sace tvaṃ rañño na bhāyasi, bhariyādhamme ṭhitā nāma na hosi, akiccakārī nāma bhavissasi. Jiṇṇanti mahallakaṃ. Tasmiñhi kāle abharantā puttā puttā nāma na honti.

    สโนฺตติ ปณฺฑิตาฯ เย น ภณนฺติ ธมฺมนฺติ เย ปุจฺฉิตา สจฺจสภาวํ น วทนฺติ, น เต ปณฺฑิตา นามฯ ธมฺมํ ภณนฺตาวาติ เอเต ราคาทโย ปหาย ปรสฺส หิตานุกมฺปกา หุตฺวา สภาวํ ภณนฺตาว ปณฺฑิตา นาม โหนฺติฯ นาภาสมานนฺติ น อภาสมานํฯ อมตํ ปทนฺติ อมตมหานิพฺพานํ เทเสนฺตํ ‘‘ปณฺฑิโต’’ติ ชานนฺติ, เตเนว โปริสาโท มํ ญตฺวา ปสนฺนจิโตฺต จตฺตาโร วเร ทตฺวา ปญฺจสุ สีเลสุ ปติฎฺฐิโตฯ ภาสเยติ ปณฺฑิโต ปุริโส ธมฺมํ ภาเสยฺย โชเตยฺย, พุทฺธาทโย อิสโย ยสฺมา ธโมฺม เอเตสํ ธโช, ตสฺมา สุภาสิตทฺธชา นาม สุภาสิตํ ปคฺคณฺหนฺติ, พาลา ปน สุภาสิตํ ปคฺคณฺหนฺตา นาม นตฺถีติฯ

    Santoti paṇḍitā. Ye na bhaṇanti dhammanti ye pucchitā saccasabhāvaṃ na vadanti, na te paṇḍitā nāma. Dhammaṃ bhaṇantāvāti ete rāgādayo pahāya parassa hitānukampakā hutvā sabhāvaṃ bhaṇantāva paṇḍitā nāma honti. Nābhāsamānanti na abhāsamānaṃ. Amataṃ padanti amatamahānibbānaṃ desentaṃ ‘‘paṇḍito’’ti jānanti, teneva porisādo maṃ ñatvā pasannacitto cattāro vare datvā pañcasu sīlesu patiṭṭhito. Bhāsayeti paṇḍito puriso dhammaṃ bhāseyya joteyya, buddhādayo isayo yasmā dhammo etesaṃ dhajo, tasmā subhāsitaddhajā nāma subhāsitaṃ paggaṇhanti, bālā pana subhāsitaṃ paggaṇhantā nāma natthīti.

    อิมสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ราชา จ เสนาปติ จ เทวี จ ตุฎฺฐา ‘‘คจฺฉาม, มหาราช, อาเนมา’’ติ วตฺวา นคเร เภริํ จราเปตฺวา นาคเร สนฺนิปาเตตฺวา ‘‘ตุเมฺห มา ภายิตฺถ, ราชา กิร ธเมฺม ปติฎฺฐิโต, เอถ นํ อาเนมา’’ติ มหาชนํ อาทาย มหาสตฺตํ ปุรโต กตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา กปฺปเก อุปฎฺฐาเปตฺวา กปฺปิตเกสมสฺสุํ นฺหาตานุลิตฺตปสาธิตํ ราชานํ รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา นครํ ปเวเสสุํฯ โปริสาโท ราชา หุตฺวา ปโรสตานํ ขตฺติยานํ มหาสตฺตสฺส จ มหาสกฺการํ กาเรสิฯ ‘‘สุตโสมนริเนฺทน กิร โปริสาทํ ทเมตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาปิโต’’ติ สกลชมฺพุทีเป มหาโกลาหลํ อุทปาทิฯ อินฺทปตฺถนครวาสิโนปิ ‘‘ราชา โน อาคจฺฉตู’’ติ ทูตํ ปหิณิํสุฯ โส ตตฺถ มาสมตฺตํ วสิตฺวา, ‘‘สมฺม, คจฺฉามหํ, ตฺวํ อปฺปมโตฺต โหหิ, นครทฺวาเรสุ จ มเชฺฌ จาติ ปญฺจ ทานสาลาโย กาเรหิ, ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา อคติคมนํ ปริหรา’’ติ โปริสาทํ โอวทิฯ ปโรสตาหิ ราชธานีหิ พลกาโย เยภุเยฺยน สนฺนิปติ ฯ โส เตน พลกาเยน ปริวุโต พาราณสิโต นิกฺขมิฯ โปริสาโทปิ นิกฺขมิตฺวา อุปฑฺฒปถา นิวตฺติฯ มหาสโตฺต อวาหนานํ ราชูนํ วาหนานิ ทตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เตปิ ราชาโน เตน สทฺธิํ สโมฺมทิตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทนาทีนิ กตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ชนปทํ อคมิํสุฯ

    Imassa dhammakathaṃ sutvā rājā ca senāpati ca devī ca tuṭṭhā ‘‘gacchāma, mahārāja, ānemā’’ti vatvā nagare bheriṃ carāpetvā nāgare sannipātetvā ‘‘tumhe mā bhāyittha, rājā kira dhamme patiṭṭhito, etha naṃ ānemā’’ti mahājanaṃ ādāya mahāsattaṃ purato katvā rañño santikaṃ gantvā vanditvā kappake upaṭṭhāpetvā kappitakesamassuṃ nhātānulittapasādhitaṃ rājānaṃ ratanarāsimhi ṭhapetvā abhisiñcitvā nagaraṃ pavesesuṃ. Porisādo rājā hutvā parosatānaṃ khattiyānaṃ mahāsattassa ca mahāsakkāraṃ kāresi. ‘‘Sutasomanarindena kira porisādaṃ dametvā rajje patiṭṭhāpito’’ti sakalajambudīpe mahākolāhalaṃ udapādi. Indapatthanagaravāsinopi ‘‘rājā no āgacchatū’’ti dūtaṃ pahiṇiṃsu. So tattha māsamattaṃ vasitvā, ‘‘samma, gacchāmahaṃ, tvaṃ appamatto hohi, nagaradvāresu ca majjhe cāti pañca dānasālāyo kārehi, dasa rājadhamme akopetvā agatigamanaṃ pariharā’’ti porisādaṃ ovadi. Parosatāhi rājadhānīhi balakāyo yebhuyyena sannipati . So tena balakāyena parivuto bārāṇasito nikkhami. Porisādopi nikkhamitvā upaḍḍhapathā nivatti. Mahāsatto avāhanānaṃ rājūnaṃ vāhanāni datvā uyyojesi. Tepi rājāno tena saddhiṃ sammoditvā mahāsattaṃ vandanādīni katvā attano attano janapadaṃ agamiṃsu.

    มหาสโตฺตปิ นครํ ปตฺวา อินฺทปตฺถนครวาสีหิ เทวนครํ วิย อลงฺกตนครํ ปวิสิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา มหาตลํ อภิรุหิฯ โส ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต จิเนฺตสิ – ‘‘รุกฺขเทวตา มยฺหํ พหูปการา, พลิกมฺมลาภมสฺสา กริสฺสามี’’ติฯ โส ตสฺส นิโคฺรธสฺส อวิทูเร มหนฺตํ ตฬากํ กาเรตฺวา พหูนิ กุลานิ เปเสตฺวา คามํ นิเวเสสิฯ คาโม มหา อโหสิ อสีติมตฺตอาปณสหสฺสปฎิมณฺฑิโตฯ ตมฺปิ รุกฺขมูลํ สาขนฺตโต ปฎฺฐาย สมตลํ กาเรตฺวา ปริกฺขิตฺตเวทิกโตรณทฺวารยุตฺตํ อกาสิ, เทวตา อภิปฺปสีทิฯ กมฺมาสปาทสฺส ทมิตฎฺฐาเน นิวุฎฺฐตฺตา ปน โส คาโม กมฺมาสทมฺมนิคโม นาม ชาโตฯ เตปิ สเพฺพ ราชาโน มหาสตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา อายุปริโยสาเน สคฺคํ ปูรยิํสุฯ

    Mahāsattopi nagaraṃ patvā indapatthanagaravāsīhi devanagaraṃ viya alaṅkatanagaraṃ pavisitvā mātāpitaro vanditvā madhurapaṭisanthāraṃ katvā mahātalaṃ abhiruhi. So dhammena rajjaṃ kārento cintesi – ‘‘rukkhadevatā mayhaṃ bahūpakārā, balikammalābhamassā karissāmī’’ti. So tassa nigrodhassa avidūre mahantaṃ taḷākaṃ kāretvā bahūni kulāni pesetvā gāmaṃ nivesesi. Gāmo mahā ahosi asītimattaāpaṇasahassapaṭimaṇḍito. Tampi rukkhamūlaṃ sākhantato paṭṭhāya samatalaṃ kāretvā parikkhittavedikatoraṇadvārayuttaṃ akāsi, devatā abhippasīdi. Kammāsapādassa damitaṭṭhāne nivuṭṭhattā pana so gāmo kammāsadammanigamo nāma jāto. Tepi sabbe rājāno mahāsattassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni katvā āyupariyosāne saggaṃ pūrayiṃsu.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนวาหํ องฺคุลิมาลํ ทเมมิ, ปุเพฺพเปส มยา ทมิโตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ‘‘ตทา โปริสาโท ราชา องฺคุลิมาโล อโหสิ, กาฬหตฺถิ สาริปุโตฺต, นนฺทพฺราหฺมโณ อานโนฺท, รุกฺขเทวตา กสฺสโป, สโกฺก อนุรุโทฺธ, เสสราชาโน พุทฺธปริสา, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, สุตโสมราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā ‘‘na, bhikkhave, idānevāhaṃ aṅgulimālaṃ damemi, pubbepesa mayā damitoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi ‘‘tadā porisādo rājā aṅgulimālo ahosi, kāḷahatthi sāriputto, nandabrāhmaṇo ānando, rukkhadevatā kassapo, sakko anuruddho, sesarājāno buddhaparisā, mātāpitaro mahārājakulāni, sutasomarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    มหาสุตโสมชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Mahāsutasomajātakavaṇṇanā pañcamā.

    ชาตกุทฺทานํ –

    Jātakuddānaṃ –

    สุมุโข ปน หํสวโร จ มหา, สุธโภชนิโก จ ปโร ปวโร;

    Sumukho pana haṃsavaro ca mahā, sudhabhojaniko ca paro pavaro;

    สกุณาลทิชาธิปติวฺหยโน, สุตโสมวรุตฺตมสวฺหยโนติฯ

    Sakuṇāladijādhipativhayano, sutasomavaruttamasavhayanoti.

    อสีตินิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Asītinipātavaṇṇanā niṭṭhitā.

    ปญฺจโม ภาโค นิฎฺฐิโตฯ

    Pañcamo bhāgo niṭṭhito.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๓๗. มหาสุตโสมชาตกํ • 537. Mahāsutasomajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact