Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๒๙] ๓. มหาสุวชาตกวณฺณนา
[429] 3. Mahāsuvajātakavaṇṇanā
ทุโม ยทา โหตีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร สตฺถุ สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา โกสลชนปเท อญฺญตรํ ปจฺจนฺตคามํ อุปนิสฺสาย อรเญฺญ วิหาสิฯ มนุสฺสา ตสฺส รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ สมฺปาเทตฺวา คมนาคมนสมฺปเนฺน ฐาเน เสนาสนํ กตฺวา สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหิํสุฯ ตสฺส วสฺสูปคตสฺส ปฐมมาเสเยว โส คาโม ฌายิ, มนุสฺสานํ พีชมตฺตมฺปิ อวสิฎฺฐํ นาโหสิฯ เต ตสฺส ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ทาตุํ นาสกฺขิํสุฯ โส สปฺปายเสนาสเนปิ ปิณฺฑปาเตน กิลมโนฺต มคฺคํ วา ผลํ วา นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ เตมาสจฺจเยน สตฺถารํ วนฺทิตุํ อาคตํ สตฺถา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘กจฺจิ ภิกฺขุ ปิณฺฑปาเตน น กิลมโนฺตสิ, เสนาสนสปฺปายญฺจ อโหสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สตฺถา ‘‘ตสฺส เสนาสนํ สปฺปาย’’นฺติ ญตฺวา ‘‘ภิกฺขุ สมเณน นาม เสนาสนสปฺปาเย สติ โลลุปฺปจารํ ปหาย กิญฺจิเทว ยถาลทฺธํ ปริภุญฺชิตฺวา สนฺตุเฎฺฐน สมณธมฺมํ กาตุํ วฎฺฎติฯ โปราณกปณฺฑิตา ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา อตฺตโน นิวาสสุกฺขรุเกฺข จุณฺณํ ขาทนฺตาปิ โลลุปฺปจารํ ปหาย สนฺตุฎฺฐา มิตฺตธมฺมํ อภินฺทิตฺวา อญฺญตฺถ น คมิํสุ, ตฺวํ ปน กสฺมา ‘ปิณฺฑปาโต ปริโตฺต ลูโข’ติ สปฺปายเสนาสนํ ปริจฺจชี’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Dumoyadā hotīti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. So kira satthu santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā kosalajanapade aññataraṃ paccantagāmaṃ upanissāya araññe vihāsi. Manussā tassa rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni sampādetvā gamanāgamanasampanne ṭhāne senāsanaṃ katvā sakkaccaṃ upaṭṭhahiṃsu. Tassa vassūpagatassa paṭhamamāseyeva so gāmo jhāyi, manussānaṃ bījamattampi avasiṭṭhaṃ nāhosi. Te tassa paṇītaṃ piṇḍapātaṃ dātuṃ nāsakkhiṃsu. So sappāyasenāsanepi piṇḍapātena kilamanto maggaṃ vā phalaṃ vā nibbattetuṃ nāsakkhi. Atha naṃ temāsaccayena satthāraṃ vandituṃ āgataṃ satthā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘kacci bhikkhu piṇḍapātena na kilamantosi, senāsanasappāyañca ahosī’’ti pucchi. So tamatthaṃ ārocesi. Satthā ‘‘tassa senāsanaṃ sappāya’’nti ñatvā ‘‘bhikkhu samaṇena nāma senāsanasappāye sati loluppacāraṃ pahāya kiñcideva yathāladdhaṃ paribhuñjitvā santuṭṭhena samaṇadhammaṃ kātuṃ vaṭṭati. Porāṇakapaṇḍitā tiracchānayoniyaṃ nibbattitvā attano nivāsasukkharukkhe cuṇṇaṃ khādantāpi loluppacāraṃ pahāya santuṭṭhā mittadhammaṃ abhinditvā aññattha na gamiṃsu, tvaṃ pana kasmā ‘piṇḍapāto paritto lūkho’ti sappāyasenāsanaṃ pariccajī’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต หิมวเนฺต คงฺคาตีเร เอกสฺมิํ อุทุมฺพรวเน อเนกสตสหสฺสา สุกา วสิํสุฯ ตตฺร เอโก สุวราชา อตฺตโน นิวาสรุกฺขสฺส ผเลสุ ขีเณสุ ยเทว อวสิฎฺฐํ โหติ องฺกุโร วา ปตฺตํ วา ตโจ วา ปปฎิกา วา, ตํ ขาทิตฺวา คงฺคาย ปานียํ ปิวิตฺวา ปรมปฺปิจฺฉสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา อญฺญตฺถ น คจฺฉติฯ ตสฺส อปฺปิจฺฉสนฺตุฎฺฐภาวคุเณน สกฺกสฺส ภวนํ กมฺปิฯ สโกฺก อาวชฺชมาโน ตํ ทิสฺวา ตสฺส วีมํสนตฺถํ อตฺตโน อานุภาเวน ตํ รุกฺขํ สุกฺขาเปสิฯ รุโกฺข ขาณุกมโตฺต หุตฺวา ฉิทฺทาวฉิโทฺท วาเต ปหรเนฺต อาโกฎิยมาโน วิย อฎฺฐาสิฯ ตสฺส ฉิเทฺทหิ จุณฺณานิ นิกฺขมนฺติฯ สุวราชา ตานิ จุณฺณานิ ขาทิตฺวา คงฺคาย ปานียํ ปิวิตฺวา อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา วาตาตปํ อคเณตฺวา อุทุมฺพรขาณุเก นิสีทิฯ สโกฺก ตสฺส ปรมปฺปิจฺฉภาวํ ญตฺวา ‘‘มิตฺตธมฺมคุณํ กถาเปตฺวา วรมสฺส ทตฺวา อุทุมฺพรํ อมตผลํ กริตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ เอโก หํสราชา หุตฺวา สุชํ อสุรกญฺญํ ปุรโต กตฺวา ตํ อุทุมฺพรวนํ คนฺตฺวา อวิทูเร เอกรุกฺขสฺส สาขาย นิสีทิตฺวา เตน สทฺธิํ กถํ สมุฎฺฐาเปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atīte himavante gaṅgātīre ekasmiṃ udumbaravane anekasatasahassā sukā vasiṃsu. Tatra eko suvarājā attano nivāsarukkhassa phalesu khīṇesu yadeva avasiṭṭhaṃ hoti aṅkuro vā pattaṃ vā taco vā papaṭikā vā, taṃ khāditvā gaṅgāya pānīyaṃ pivitvā paramappicchasantuṭṭho hutvā aññattha na gacchati. Tassa appicchasantuṭṭhabhāvaguṇena sakkassa bhavanaṃ kampi. Sakko āvajjamāno taṃ disvā tassa vīmaṃsanatthaṃ attano ānubhāvena taṃ rukkhaṃ sukkhāpesi. Rukkho khāṇukamatto hutvā chiddāvachiddo vāte paharante ākoṭiyamāno viya aṭṭhāsi. Tassa chiddehi cuṇṇāni nikkhamanti. Suvarājā tāni cuṇṇāni khāditvā gaṅgāya pānīyaṃ pivitvā aññattha agantvā vātātapaṃ agaṇetvā udumbarakhāṇuke nisīdi. Sakko tassa paramappicchabhāvaṃ ñatvā ‘‘mittadhammaguṇaṃ kathāpetvā varamassa datvā udumbaraṃ amataphalaṃ karitvā āgamissāmī’’ti eko haṃsarājā hutvā sujaṃ asurakaññaṃ purato katvā taṃ udumbaravanaṃ gantvā avidūre ekarukkhassa sākhāya nisīditvā tena saddhiṃ kathaṃ samuṭṭhāpento paṭhamaṃ gāthamāha –
๒๐.
20.
‘‘ทุโม ยทา โหติ ผลูปปโนฺน, ภุญฺชนฺติ นํ วิหงฺคมา สมฺปตนฺตา;
‘‘Dumo yadā hoti phalūpapanno, bhuñjanti naṃ vihaṅgamā sampatantā;
ขีณนฺติ ญตฺวาน ทุมํ ผลจฺจเย, ทิโสทิสํ ยนฺติ ตโต วิหงฺคมา’’ติฯ
Khīṇanti ñatvāna dumaṃ phalaccaye, disodisaṃ yanti tato vihaṅgamā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – สุวราช, รุโกฺข นาม ยทา ผลสมฺปโนฺน โหติ, ตทา ตํ สาขโต สาขํ สมฺปตนฺตาว วิหงฺคมา ภุญฺชนฺติ, ตํ ปน ขีณํ ญตฺวา ผลานํ อจฺจเยน ตโต รุกฺขโต ทิโสทิสํ วิหงฺคมา คจฺฉนฺตีติฯ
Tassattho – suvarāja, rukkho nāma yadā phalasampanno hoti, tadā taṃ sākhato sākhaṃ sampatantāva vihaṅgamā bhuñjanti, taṃ pana khīṇaṃ ñatvā phalānaṃ accayena tato rukkhato disodisaṃ vihaṅgamā gacchantīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ตโต นํ อุโยฺยเชตุํ ทุติยํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā tato naṃ uyyojetuṃ dutiyaṃ gāthamāha –
๒๑.
21.
‘‘จร จาริกํ โลหิตตุณฺฑ มา มริ, กิํ ตฺวํ สุว สุกฺขทุมมฺหิ ฌายสิ;
‘‘Cara cārikaṃ lohitatuṇḍa mā mari, kiṃ tvaṃ suva sukkhadumamhi jhāyasi;
ตทิงฺฆ มํ พฺรูหิ วสนฺตสนฺนิภ, กสฺมา สุว สุกฺขทุมํ น ริญฺจสี’’ติฯ
Tadiṅgha maṃ brūhi vasantasannibha, kasmā suva sukkhadumaṃ na riñcasī’’ti.
ตตฺถ ฌายสีติ กิํการณา สุกฺขขาณุมตฺถเก ฌายโนฺต ปชฺฌายโนฺต ติฎฺฐสิฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ วสนฺตสนฺนิภาติ วสนฺตกาเล วนสโณฺฑ สุวคณสโมกิโณฺณ วิย นีโลภาโส โหติ, เตน ตํ ‘‘วสนฺตสนฺนิภา’’ติ อาลปติฯ น ริญฺจสีติ น ฉเฑฺฑสิฯ
Tattha jhāyasīti kiṃkāraṇā sukkhakhāṇumatthake jhāyanto pajjhāyanto tiṭṭhasi. Iṅghāti codanatthe nipāto. Vasantasannibhāti vasantakāle vanasaṇḍo suvagaṇasamokiṇṇo viya nīlobhāso hoti, tena taṃ ‘‘vasantasannibhā’’ti ālapati. Na riñcasīti na chaḍḍesi.
อถ นํ สุวราชา ‘‘อหํ หํส อตฺตโน กตญฺญุกตเวทิตาย อิมํ รุกฺขํ น ชหามี’’ติ วตฺวา เทฺว คาถา อภาสิ –
Atha naṃ suvarājā ‘‘ahaṃ haṃsa attano kataññukataveditāya imaṃ rukkhaṃ na jahāmī’’ti vatvā dve gāthā abhāsi –
๒๒.
22.
‘‘เย เว สขีนํ สขาโร ภวนฺติ, ปาณจฺจเย ทุกฺขสุเขสุ หํส;
‘‘Ye ve sakhīnaṃ sakhāro bhavanti, pāṇaccaye dukkhasukhesu haṃsa;
ขีณํ อขีณมฺปิ น ตํ ชหนฺติ, สโนฺต สตํ ธมฺมมนุสฺสรนฺตาฯ
Khīṇaṃ akhīṇampi na taṃ jahanti, santo sataṃ dhammamanussarantā.
๒๓.
23.
‘‘โสหํ สตํ อญฺญตโรสฺมิ หํส, ญาตี จ เม โหติ สขา จ รุโกฺข;
‘‘Sohaṃ sataṃ aññatarosmi haṃsa, ñātī ca me hoti sakhā ca rukkho;
ตํ นุสฺสเห ชีวิกโตฺถ ปหาตุํ, ขีณนฺติ ญตฺวาน น เหส ธโมฺม’’ติฯ
Taṃ nussahe jīvikattho pahātuṃ, khīṇanti ñatvāna na hesa dhammo’’ti.
ตตฺถ เย เว สขีนํ สขาโร ภวนฺตีติ เย สหายานํ สหายา โหนฺติฯ ขีณํ อขีณมฺปีติ ปณฺฑิตา นาม อตฺตโน สหายํ โภคปริกฺขเยน ขีณมฺปิ อขีณมฺปิ น ชหนฺติฯ สตํ ธมฺมมนุสฺสรนฺตาติ ปณฺฑิตานํ ปเวณิํ อนุสฺสรมานาฯ ญาตี จ เมติ หํสราช, อยํ รุโกฺข สมฺปิยายนเตฺถน มยฺหํ ญาติ จ สมาจิณฺณจรณตาย สขา จฯ ชีวิกโตฺถติ ตมหํ ชีวิกาย อตฺถิโก หุตฺวา ปหาตุํ น สโกฺกมิฯ
Tattha ye ve sakhīnaṃ sakhāro bhavantīti ye sahāyānaṃ sahāyā honti. Khīṇaṃ akhīṇampīti paṇḍitā nāma attano sahāyaṃ bhogaparikkhayena khīṇampi akhīṇampi na jahanti. Sataṃ dhammamanussarantāti paṇḍitānaṃ paveṇiṃ anussaramānā. Ñātī ca meti haṃsarāja, ayaṃ rukkho sampiyāyanatthena mayhaṃ ñāti ca samāciṇṇacaraṇatāya sakhā ca. Jīvikatthoti tamahaṃ jīvikāya atthiko hutvā pahātuṃ na sakkomi.
สโกฺก ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุโฎฺฐ ปสํสิตฺวา วรํ ทาตุกาโม เทฺว คาถา อภาสิ –
Sakko tassa vacanaṃ sutvā tuṭṭho pasaṃsitvā varaṃ dātukāmo dve gāthā abhāsi –
๒๔.
24.
‘‘สาธุ สกฺขิ กตํ โหติ, เมตฺติ สํสติ สนฺถโว;
‘‘Sādhu sakkhi kataṃ hoti, metti saṃsati santhavo;
สเจตํ ธมฺมํ โรเจสิ, ปาสํโสสิ วิชานตํฯ
Sacetaṃ dhammaṃ rocesi, pāsaṃsosi vijānataṃ.
๒๕.
25.
‘‘โส เต สุว วรํ ทมฺมิ, ปตฺตยาน วิหงฺคม;
‘‘So te suva varaṃ dammi, pattayāna vihaṅgama;
วรํ วรสฺสุ วกฺกงฺค, ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสี’’ติฯ
Varaṃ varassu vakkaṅga, yaṃ kiñci manasicchasī’’ti.
ตตฺถ สาธูติ สมฺปหํสนํฯ สกฺขิ กตํ โหติ, เมตฺติ สํสติ สนฺถโวติ สขิภาโว จ เมตฺติ จ ปริสมเชฺฌ สนฺถโว จาติ ตยา มิตฺตํ กตํ สาธุ โหติ ลทฺธกํ ภทฺทกเมวฯ สเจตํ ธมฺมนฺติ สเจ เอตํ มิตฺตธมฺมํฯ วิชานตนฺติ เอวํ สเนฺต วิญฺญูนํ ปสํสิตพฺพยุตฺตโกสีติ อโตฺถฯ โส เตติ โส อหํ ตุยฺหํฯ วรสฺสูติ อิจฺฉสฺสุฯ ยํ กิญฺจิ มนสิจฺฉสีติ ยํ กิญฺจิ มนสา อิจฺฉสิ, สพฺพํ ตํ วรํ ททามิ เตติฯ
Tattha sādhūti sampahaṃsanaṃ. Sakkhi kataṃ hoti, metti saṃsati santhavoti sakhibhāvo ca metti ca parisamajjhe santhavo cāti tayā mittaṃ kataṃ sādhu hoti laddhakaṃ bhaddakameva. Sacetaṃ dhammanti sace etaṃ mittadhammaṃ. Vijānatanti evaṃ sante viññūnaṃ pasaṃsitabbayuttakosīti attho. So teti so ahaṃ tuyhaṃ. Varassūti icchassu. Yaṃ kiñci manasicchasīti yaṃ kiñci manasā icchasi, sabbaṃ taṃ varaṃ dadāmi teti.
ตํ สุตฺวา สุวราชา วรํ คณฺหโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā suvarājā varaṃ gaṇhanto sattamaṃ gāthamāha –
๒๖.
26.
‘‘วรญฺจ เม หํส ภวํ ทเทยฺย, อยญฺจ รุโกฺข ปุนรายุํ ลเภถ;
‘‘Varañca me haṃsa bhavaṃ dadeyya, ayañca rukkho punarāyuṃ labhetha;
โส สาขวา ผลิมา สํวิรูโฬฺห, มธุตฺถิโก ติฎฺฐตุ โสภมาโน’’ติฯ
So sākhavā phalimā saṃvirūḷho, madhutthiko tiṭṭhatu sobhamāno’’ti.
ตตฺถ สาขวาติ สาขสมฺปโนฺนฯ ผลิมาติ ผเลน อุเปโตฯ สํวิรูโฬฺหติ สมนฺตโต วิรูฬฺหปโตฺต ตรุณปตฺตสมฺปโนฺน หุตฺวาฯ มธุตฺถิโกติ สํวิชฺชมานมธุรผเลสุ ปกฺขิตฺตมธุ วิย มธุรผโล หุตฺวาติ อโตฺถฯ
Tattha sākhavāti sākhasampanno. Phalimāti phalena upeto. Saṃvirūḷhoti samantato virūḷhapatto taruṇapattasampanno hutvā. Madhutthikoti saṃvijjamānamadhuraphalesu pakkhittamadhu viya madhuraphalo hutvāti attho.
อถสฺส สโกฺก วรํ ททมาโน อฎฺฐมํ คาถมาห –
Athassa sakko varaṃ dadamāno aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๒๗.
27.
‘‘ตํ ปสฺส สมฺม ผลิมํ อุฬารํ, สหาว เต โหตุ อุทุมฺพเรน;
‘‘Taṃ passa samma phalimaṃ uḷāraṃ, sahāva te hotu udumbarena;
โส สาขวา ผลิมา สํวิรูโฬฺห, มธุตฺถิโก ติฎฺฐตุ โสภมาโน’’ติฯ
So sākhavā phalimā saṃvirūḷho, madhutthiko tiṭṭhatu sobhamāno’’ti.
ตตฺถ สหาว เต โหตุ อุทุมฺพเรนาติ ตว อุทุมฺพเรน สทฺธิํ สห เอกโตว วาโส โหตุฯ
Tattha sahāva te hotu udumbarenāti tava udumbarena saddhiṃ saha ekatova vāso hotu.
เอวญฺจ ปน วตฺวา สโกฺก ตํ อตฺตภาวํ วิชหิตฺวา อตฺตโน จ สุชาย จ อานุภาวํ ทเสฺสตฺวา คงฺคาโต หเตฺถน อุทกํ คเหตฺวา อุทุมฺพรขาณุกํ ปหริฯ ตาวเทว สาขาวิฎปสจฺฉโนฺน มธุรผโล รุโกฺข อุฎฺฐหิตฺวา มุณฺฑมณิปพฺพโต วิย วิลาสสมฺปโนฺน อฎฺฐาสิฯ สุวราชา ตํ ทิสฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต สกฺกสฺส ถุติํ กโรโนฺต นวมํ คาถมาห –
Evañca pana vatvā sakko taṃ attabhāvaṃ vijahitvā attano ca sujāya ca ānubhāvaṃ dassetvā gaṅgāto hatthena udakaṃ gahetvā udumbarakhāṇukaṃ pahari. Tāvadeva sākhāviṭapasacchanno madhuraphalo rukkho uṭṭhahitvā muṇḍamaṇipabbato viya vilāsasampanno aṭṭhāsi. Suvarājā taṃ disvā somanassappatto sakkassa thutiṃ karonto navamaṃ gāthamāha –
๒๘.
28.
‘‘เอวํ สกฺก สุขี โหหิ, สห สเพฺพหิ ญาติภิ;
‘‘Evaṃ sakka sukhī hohi, saha sabbehi ñātibhi;
ยถาหมชฺช สุขิโต, ทิสฺวาน สผลํ ทุม’’นฺติฯ
Yathāhamajja sukhito, disvāna saphalaṃ duma’’nti.
สโกฺกปิ ตสฺส วรํ ทตฺวา อุทุมฺพรํ อมตผลํ กตฺวา สทฺธิํ สุชาย อตฺตโน ฐานเมว คโตฯ ตมตฺถํ ทีปยมานา โอสาเน อภิสมฺพุทฺธคาถา ฐปิตา –
Sakkopi tassa varaṃ datvā udumbaraṃ amataphalaṃ katvā saddhiṃ sujāya attano ṭhānameva gato. Tamatthaṃ dīpayamānā osāne abhisambuddhagāthā ṭhapitā –
๒๙.
29.
‘‘สุวสฺส จ วรํ ทตฺวา, กตฺวาน สผลํ ทุมํ;
‘‘Suvassa ca varaṃ datvā, katvāna saphalaṃ dumaṃ;
ปกฺกามิ สห ภริยาย, เทวานํ นนฺทนํ วน’’นฺติฯ
Pakkāmi saha bhariyāya, devānaṃ nandanaṃ vana’’nti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘เอวํ ภิกฺขุ โปราณกปณฺฑิตา ติรจฺฉานโยนิยํ นิพฺพตฺตาปิ อโลลุปฺปจารา อเหสุํฯ ตฺวํ ปน กสฺมา เอวรูเป สาสเน ปพฺพชิตฺวา โลลุปฺปจารํ จรสิ, คจฺฉ ตเตฺถว วสาหี’’ติ กมฺมฎฺฐานมสฺส กเถตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิฯ โส ภิกฺขุ ตตฺถ คนฺตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณิฯ ตทา สโกฺก อนุรุโทฺธ อโหสิ, สุวราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘evaṃ bhikkhu porāṇakapaṇḍitā tiracchānayoniyaṃ nibbattāpi aloluppacārā ahesuṃ. Tvaṃ pana kasmā evarūpe sāsane pabbajitvā loluppacāraṃ carasi, gaccha tattheva vasāhī’’ti kammaṭṭhānamassa kathetvā jātakaṃ samodhānesi. So bhikkhu tattha gantvā vipassanaṃ vaḍḍhento arahattaṃ pāpuṇi. Tadā sakko anuruddho ahosi, suvarājā pana ahameva ahosinti.
มหาสุวชาตกวณฺณนา ตติยาฯ
Mahāsuvajātakavaṇṇanā tatiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๒๙. มหาสุวชาตกํ • 429. Mahāsuvajātakaṃ