Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๓๘
The Middle-Length Suttas Collection 38
มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺต
The Longer Discourse on the Ending of Craving
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery.
เตน โข ปน สมเยน สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ: “ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺ”ติฯ
Now at that time a bhikkhu called Sāti, the fisherman’s son, had the following harmful misconception: “As I understand the Buddha’s teachings, it is this very same consciousness that roams and transmigrates, not another.”
อโสฺสสุํ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู: “สาติสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'”ติฯ อถ โข เต ภิกฺขู เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตทโวจุํ: “สจฺจํ กิร เต, อาวุโส สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'”ติ?
Several bhikkhus heard about this. They went up to Sāti and said to him, “Is it really true, Friend Sāti, that you have such a harmful misconception: ‘As I understand the Buddha’s teachings, it is this very same consciousness that roams and transmigrates, not another’?”
“เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ”ติฯ
“Absolutely, friends. As I understand the Buddha’s teachings, it is this very same consciousness that roams and transmigrates, not another.”
อถ โข เต ภิกฺขู สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชนฺติ สมนุคาหนฺติ สมนุภาสนฺติ: “มา เอวํ, อาวุโส สาติ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ, น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส สาติ, ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว”ติฯ
Then, wishing to dissuade Sāti from his view, the bhikkhus pursued, pressed, and grilled him, “Don’t say that, Sāti! Don’t misrepresent the Buddha, for misrepresentation of the Buddha is not good. And the Buddha would not say that. In many ways the Buddha has said that consciousness is dependently originated, since without a cause, consciousness does not come to be.”
เอวมฺปิ โข สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต เตหิ ภิกฺขูหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ: “เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญนฺ”ติฯ
But even though the bhikkhus pressed him in this way, Sāti obstinately stuck to his misconception and insisted on stating it.
ยโต โข เต ภิกฺขู นาสกฺขึสุ สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ โข เต ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ: “สาติสฺส นาม, ภนฺเต, ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'ติฯ อสฺสุมฺห โข มยํ, ภนฺเต, สาติสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน เกวฏฺฏปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'ติฯ อถ โข มยํ, ภนฺเต, เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิมฺห; อุปสงฺกมิตฺวา สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตทโวจุมฺห: ‘สจฺจํ กิร เต, อาวุโส สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: “ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ”'ติ? เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต อเมฺห เอตทโวจ: ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'ติฯ อถ โข มยํ, ภนฺเต, สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชิมฺห สมนุคาหิมฺห สมนุภาสิมฺห: ‘มา เอวํ, อาวุโส สาติ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ, น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส สาติ, ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว'ติฯ เอวมฺปิ โข, ภนฺเต, สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต อเมฺหหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ ถามสา ปรามสา อภินิวิสฺส โวหรติ: ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'ติฯ ยโต โข มยํ, ภนฺเต, นาสกฺขิมฺห สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฏฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ มยํ เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจมา”ติฯ
When they weren’t able to dissuade Sāti from his view, the bhikkhus went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.
อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ ภิกฺขุ, มม วจเนน สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ อามนฺเตหิ: ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส สาติ, อามนฺเตตี'”ติฯ
So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell the bhikkhu Sāti that the teacher summons him.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “สตฺถา ตํ, อาวุโส สาติ, อามนฺเตตี”ติฯ
“Yes, sir,” that monk replied. He went to Sāti and said to him, “Friend Sāti, the teacher summons you.”
“เอวมาวุโส”ติ โข สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต ตสฺส ภิกฺขุโน ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ ภควา เอตทโวจ: “สจฺจํ กิร เต, สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ: ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ'”ติ?
“Yes, friend,” Sāti replied. He went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him, “Is it really true, Sāti, that you have such a harmful misconception: ‘As I understand the Buddha’s teachings, it is this very same consciousness that roams and transmigrates, not another’?”
“เอวํ พฺยา โข อหํ, ภนฺเต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญนฺ”ติฯ
“Absolutely, sir. As I understand the Buddha’s teachings, it is this very same consciousness that roams and transmigrates, not another.”
“กตมํ ตํ, สาติ, วิญฺญาณนฺ”ติ?
“Sāti, what is that consciousness?”
“ยฺวายํ, ภนฺเต, วโท เวเทโยฺย ตตฺร ตตฺร กลฺยาณปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฏิสํเวเทตี”ติฯ
“Sir, he is the speaker, the knower who experiences the results of good and bad deeds in all the different realms.”
“กสฺส นุ โข นาม ตฺวํ, โมฆปุริส, มยา เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาสิ? นนุ มยา, โมฆปุริส, อเนกปริยาเยน ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโวติ? อถ จ ปน ตฺวํ, โมฆปุริส, อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขสิ, อตฺตานญฺจ ขณสิ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวสิฯ ตญฺหิ เต, โมฆปุริส, ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา”ติฯ
“Silly man, who on earth have you ever known me to teach in that way? Haven’t I said in many ways that consciousness is dependently originated, since consciousness does not arise without a cause? But still you misrepresent me by your wrong grasp, harm yourself, and make much bad karma. This will be for your lasting harm and suffering.”
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต อุสฺมีกโตปิ อิมสฺมึ ธมฺมวินเย”ติ?
Then the Buddha said to the bhikkhus, “What do you think, bhikkhus? Has this bhikkhu Sāti kindled even a spark of wisdom in this teaching and training?”
“กิญฺหิ สิยา, ภนฺเต? โน เหตํ, ภนฺเต”ติฯ เอวํ วุตฺเต, สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต ตุณฺหีภูโต มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขนฺโธ อโธมุโข ปชฺฌายนฺโต อปฺปฏิภาโน นิสีทิฯ
“How could that be, sir? No, sir.” When this was said, Sāti sat silent, dismayed, shoulders drooping, downcast, depressed, with nothing to say.
อถ โข ภควา สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ ตุณฺหีภูตํ มงฺกุภูตํ ปตฺตกฺขนฺธํ อโธมุขํ ปชฺฌายนฺตํ อปฺปฏิภานํ วิทิตฺวา สาตึ ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ เอตทโวจ: “ปญฺญายิสฺสสิ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, เอเตน สเกน ปาปเกน ทิฏฺฐิคเตนฯ อิธาหํ ภิกฺขู ปฏิปุจฺฉิสฺสามี”ติฯ
Knowing this, the Buddha said, “Silly man, you will be known by your own harmful misconception. I’ll question the bhikkhus about this.”
อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตุเมฺหปิ เม, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถ ยถายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขณติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวตี”ติ?
Then the Buddha said to the bhikkhus, “Bhikkhus, do you understand my teachings as Sāti does, when he misrepresents me by his wrong grasp, harms himself, and makes much bad karma?”
“โน เหตํ, ภนฺเตฯ อเนกปริยาเยน หิ โน, ภนฺเต, ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว”ติฯ
“No, sir. For in many ways the Buddha has told us that consciousness is dependently originated, since without a cause, consciousness does not come to be.”
“สาธุ สาธุ, ภิกฺขเวฯ สาธุ โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถฯ อเนกปริยาเยน หิ โว, ภิกฺขเว, ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ มยา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว”ติฯ อถ จ ปนายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฏฺฏปุตฺโต อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขณติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวติฯ ตญฺหิ ตสฺส โมฆปุริสสฺส ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายฯ
“Good, good, bhikkhus! It’s good that you understand my teaching like this. For in many ways I have told you that consciousness is dependently originated, since without a cause, consciousness does not come to be. But still this Sāti misrepresents me by his wrong grasp, harms himself, and makes much bad karma. This will be for his lasting harm and suffering.
“ยํ ยเทว, ภิกฺขเว, ปจฺจยํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, เตน เตเนว วิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, จกฺขุวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โสตญฺจ ปฏิจฺจ สทฺเท จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, โสตวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ฆานญฺจ ปฏิจฺจ คนฺเธ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ฆานวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ชิวฺหญฺจ ปฏิจฺจ รเส จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ชิวฺหาวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; กายญฺจ ปฏิจฺจ โผฏฺฐพฺเพ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, กายวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; มนญฺจ ปฏิจฺจ ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, มโนวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
Consciousness is reckoned according to the specific conditions dependent upon which it arises. Consciousness that arises dependent on the eye and sights is reckoned as eye consciousness. Consciousness that arises dependent on the ear and sounds is reckoned as ear consciousness. Consciousness that arises dependent on the nose and smells is reckoned as nose consciousness. Consciousness that arises dependent on the tongue and tastes is reckoned as tongue consciousness. Consciousness that arises dependent on the body and touches is reckoned as body consciousness. Consciousness that arises dependent on the mind and thoughts is reckoned as mind consciousness.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ยเทว ปจฺจยํ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ เตน เตเนว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กฏฺฐญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, กฏฺฐคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; สกลิกญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, สกลิกคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ติณญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, ติณคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โคมยญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, โคมยคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ถุสญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, ถุสคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; สงฺการญฺจ ปฏิจฺจ อคฺคิ ชลติ, สงฺการคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
It’s like fire, which is reckoned according to the specific conditions dependent upon which it burns. A fire that burns dependent on logs is reckoned as a log fire. A fire that burns dependent on twigs is reckoned as a twig fire. A fire that burns dependent on grass is reckoned as a grass fire. A fire that burns dependent on cow-dung is reckoned as a cow-dung fire. A fire that burns dependent on husks is reckoned as a husk fire. A fire that burns dependent on rubbish is reckoned as a rubbish fire.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ ยเทว ปจฺจยํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, เตน เตเนว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, จกฺขุวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โสตญฺจ ปฏิจฺจ สทฺเท จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, โสตวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ฆานญฺจ ปฏิจฺจ คนฺเธ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ฆานวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ชิวฺหญฺจ ปฏิจฺจ รเส จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ชิวฺหาวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กายญฺจ ปฏิจฺจ โผฏฺฐพฺเพ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, กายวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ มนญฺจ ปฏิจฺจ ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, มโนวิญฺญาณนฺเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
In the same way, consciousness is reckoned according to the specific conditions dependent upon which it arises. …
ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, ปสฺสถา”ติ?
Bhikkhus, do you see that this has come to be?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ปสฺสถา”ติ?
“Do you see that it originated with that as fuel?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ปสฺสถา”ติ?
“Do you see that when that fuel ceases, what has come to be is liable to cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ภูตมิทํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว, กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา”ติ?
“Does doubt arise when you’re uncertain whether or not this has come to be?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารสมฺภวํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว, กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา”ติ?
“Does doubt arise when you’re uncertain whether or not this has originated with that as fuel?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว, กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา”ติ?
“Does doubt arise when you’re uncertain whether or not when that fuel ceases, what has come to be is liable to cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี”ติ?
“Is doubt given up in someone who truly sees with right understanding that this has come to be?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี”ติ?
“Is doubt given up in someone who truly sees with right understanding that this has originated with that as fuel?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี”ติ?
“Is doubt given up in someone who truly sees with right understanding that when that fuel ceases, what has come to be is liable to cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา”ติ?
“Are you free of doubt as to whether this has come to be?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา”ติ?
“Are you free of doubt as to whether this has originated with that as fuel?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา”ติ?
“Are you free of doubt as to whether when that fuel ceases, what has come to be is liable to cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฏฺฐนฺ”ติ?
“Have you truly seen clearly with right understanding that this has come to be?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฏฺฐนฺ”ติ?
“Have you truly seen clearly with right understanding that this has originated with that as fuel?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฏฺฐนฺ”ติ?
“Have you truly seen clearly with right understanding that when that fuel ceases, what has come to be is liable to cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“อิมญฺเจ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ทิฏฺฐึ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อลฺลีเยถ เกลาเยถ ธนาเยถ มมาเยถ, อปิ นุ เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, กุลฺลูปมํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชาเนยฺยาถ นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถายา”ติ?
“Pure and bright as this view is, bhikkhus, if you cherish it, fancy it, treasure it, and treat it as your own, would you be understanding how the Dhamma is similar to a raft: for crossing over, not for holding on?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อิมญฺเจ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ทิฏฺฐึ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ น อลฺลีเยถ น เกลาเยถ น ธนาเยถ น มมาเยถ, อปิ นุ เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, กุลฺลูปมํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชาเนยฺยาถ นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถายา”ติ?
“Pure and bright as this view is, bhikkhus, if you don’t cherish it, fancy it, treasure it, and treat it as your own, would you be understanding how the Dhamma is similar to a raft: for crossing over, not for holding on?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหารา ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา, สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายฯ กตเม จตฺตาโร? กพฬีกาโร อาหาโร โอฬาริโก วา สุขุโม วา, ผโสฺส ทุติโย, มโนสญฺเจตนา ตติยา, วิญฺญาณํ จตุตฺถํฯ
“Bhikkhus, there are these four fuels. They maintain sentient beings that have been born and help those that are about to be born. What four? Solid food, whether coarse or fine; contact is the second, mental intention the third, and consciousness the fourth.
อิเม จ, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อาหารา กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา? อิเม จตฺตาโร อาหารา ตณฺหานิทานา ตณฺหาสมุทยา ตณฺหาชาติกา ตณฺหาปภวาฯ
What is the source, origin, birthplace, and inception of these four fuels? Craving.
ตณฺหา จายํ, ภิกฺขเว, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา? ตณฺหา เวทนานิทานา เวทนาสมุทยา เวทนาชาติกา เวทนาปภวาฯ
And what is the source of craving? Feeling.
เวทนา จายํ, ภิกฺขเว, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา? เวทนา ผสฺสนิทานา ผสฺสสมุทยา ผสฺสชาติกา ผสฺสปภวาฯ
And what is the source of feeling? Contact.
ผโสฺส จายํ, ภิกฺขเว, กึนิทาโน กึสมุทโย กึชาติโก กึปภโว? ผโสฺส สฬายตนนิทาโน สฬายตนสมุทโย สฬายตนชาติโก สฬายตนปภโวฯ
And what is the source of contact? The six sense fields.
สฬายตนญฺจิทํ, ภิกฺขเว, กึนิทานํ กึสมุทยํ กึชาติกํ กึปภวํ? สฬายตนํ นามรูปนิทานํ นามรูปสมุทยํ นามรูปชาติกํ นามรูปปภวํฯ
And what is the source of the six sense fields? Name and form.
นามรูปญฺจิทํ, ภิกฺขเว, กึนิทานํ กึสมุทยํ กึชาติกํ กึปภวํ? นามรูปํ วิญฺญาณนิทานํ วิญฺญาณสมุทยํ วิญฺญาณชาติกํ วิญฺญาณปภวํฯ
And what is the source of name and form? Consciousness.
วิญฺญาณญฺจิทํ, ภิกฺขเว, กึนิทานํ กึสมุทยํ กึชาติกํ กึปภวํ? วิญฺญาณํ สงฺขารนิทานํ สงฺขารสมุทยํ สงฺขารชาติกํ สงฺขารปภวํฯ
And what is the source of consciousness? Choices.
สงฺขารา จิเม, ภิกฺขเว, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา? สงฺขารา อวิชฺชานิทานา อวิชฺชาสมุทยา อวิชฺชาชาติกา อวิชฺชาปภวาฯ
And what is the source of choices? Ignorance.
อิติ โข, ภิกฺขเว, อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
So, ignorance is a condition for choices. Choices are a condition for consciousness. Consciousness is a condition for name and form. Name and form are conditions for the six sense fields. The six sense fields are conditions for contact. Contact is a condition for feeling. Feeling is a condition for craving. Craving is a condition for grasping. Grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.
ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ชาติปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ชรามรณํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ?
‘Rebirth is a condition for old age and death.’ That’s what I said. Is that how you see this or not?”
“ชาติปจฺจยา, ภนฺเต, ชรามรณํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺ”ติฯ
“That’s how we see it.”
“ภวปจฺจยา ชาตีติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ภวปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ชาติ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ภวปจฺจยา, ภนฺเต, ชาติ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ภวปจฺจยา ชาตี”ติฯ
“‘Continued existence is a condition for rebirth.’ …
“อุปาทานปจฺจยา ภโวติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อุปาทานปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ภโว, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “อุปาทานปจฺจยา, ภนฺเต, ภโว; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—อุปาทานปจฺจยา ภโว”ติฯ
“ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตณฺหาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, อุปาทานํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ตณฺหาปจฺจยา, ภนฺเต, อุปาทานํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺ”ติฯ
“เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; เวทนาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ตณฺหา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “เวทนาปจฺจยา, ภนฺเต, ตณฺหา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—เวทนาปจฺจยา ตณฺหา”ติฯ
“ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ผสฺสปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, เวทนา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ผสฺสปจฺจยา, ภนฺเต, เวทนา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ผสฺสปจฺจยา เวทนา”ติฯ
“สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สฬายตนปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ผโสฺส, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “สฬายตนปจฺจยา, ภนฺเต, ผโสฺส; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส”ติฯ
“นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; นามรูปปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, สฬายตนํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “นามรูปปจฺจยา, ภนฺเต, สฬายตนํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺ”ติฯ
“วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; วิญฺญาณปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, นามรูปํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “วิญฺญาณปจฺจยา, ภนฺเต, นามรูปํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺ”ติฯ
“สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สงฺขารปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, วิญฺญาณํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “สงฺขารปจฺจยา, ภนฺเต, วิญฺญาณํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺ”ติฯ
“อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อวิชฺชาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, สงฺขารา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ?
‘Ignorance is a condition for choices.’ That’s what I said. Is that how you see this or not?”
“อวิชฺชาปจฺจยา, ภนฺเต, สงฺขารา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา”ติฯ
“That’s how we see it.”
“สาธุ, ภิกฺขเวฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ เอวํ วเทถ, อหมฺปิ เอวํ วทามิ—อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ, ยทิทํ—อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
“Good, bhikkhus! So both you and I say this. When this exists, that is; due to the arising of this, that arises. That is: Ignorance is a condition for choices. Choices are a condition for consciousness. Consciousness is a condition for name and form. Name and form are conditions for the six sense fields. The six sense fields are conditions for contact. Contact is a condition for feeling. Feeling is a condition for craving. Craving is a condition for grasping. Grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.
อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ, สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
When ignorance fades away and ceases with nothing left over, choices cease. When choices cease, consciousness ceases. When consciousness ceases, name and form cease. When name and form cease, the six sense fields cease. When the six sense fields cease, contact ceases. When contact ceases, feeling ceases. When feeling ceases, craving ceases. When craving ceases, grasping ceases. When grasping ceases, continued existence ceases. When continued existence ceases, rebirth ceases. When rebirth ceases, old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress cease. That is how this entire mass of suffering ceases.
ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ชาตินิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ชรามรณนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ?
‘When rebirth ceases, old age and death cease.’ That’s what I said. Is that how you see this or not?”
“ชาตินิโรธา, ภนฺเต, ชรามรณนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ”ติฯ
“That’s how we see it.”
“ภวนิโรธา ชาตินิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ภวนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ชาตินิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ภวนิโรธา, ภนฺเต, ชาตินิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ”ติฯ
‘When continued existence ceases, rebirth ceases.’ …
“อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อุปาทานนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ภวนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “อุปาทานนิโรธา, ภนฺเต, ภวนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ”ติฯ
“ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ตณฺหานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, อุปาทานนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ตณฺหานิโรธา, ภนฺเต, อุปาทานนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ”ติฯ
“เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; เวทนานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ตณฺหานิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “เวทนานิโรธา, ภนฺเต, ตณฺหานิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ”ติฯ
“ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ผสฺสนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, เวทนานิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “ผสฺสนิโรธา, ภนฺเต, เวทนานิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ”ติฯ
“สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สฬายตนนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ผสฺสนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตีติ? สฬายตนนิโรธา, ภนฺเต, ผสฺสนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ”ติฯ
“นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; นามรูปนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, สฬายตนนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “นามรูปนิโรธา, ภนฺเต, สฬายตนนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ”ติฯ “วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; วิญฺญาณนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, นามรูปนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ?
“วิญฺญาณนิโรธา, ภนฺเต, นามรูปนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ”ติฯ “สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สงฺขารนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, วิญฺญาณนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ? “สงฺขารนิโรธา, ภนฺเต, วิญฺญาณนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ”ติฯ
“อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อวิชฺชานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, สงฺขารนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี”ติ?
‘When ignorance ceases, choices cease.’ That’s what I said. Is that how you see this or not?”
“อวิชฺชานิโรธา, ภนฺเต, สงฺขารนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ—อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ”ติฯ
“That’s how we see it.”
“สาธุ, ภิกฺขเวฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ เอวํ วเทถ, อหมฺปิ เอวํ วทามิ—อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ, ยทิทํ—อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ, สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
“Good, bhikkhus! So both you and I say this. When this doesn’t exist, that is not; due to the cessation of this, that ceases. That is: When ignorance ceases, choices cease. When choices cease, consciousness ceases. When consciousness ceases, name and form cease. When name and form cease, the six sense fields cease. When the six sense fields cease, contact ceases. When contact ceases, feeling ceases. When feeling ceases, craving ceases. When craving ceases, grasping ceases. When grasping ceases, continued existence ceases. When continued existence ceases, rebirth ceases. When rebirth ceases, old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress cease. That is how this entire mass of suffering ceases.
อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ปุพฺพนฺตํ วา ปฏิธาเวยฺยาถ: ‘อเหสุมฺห นุ โข มยํ อตีตมทฺธานํ, นนุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กึ นุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กถํ นุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กึ หุตฺวา กึ อเหสุมฺห นุ โข มยํ อตีตมทฺธานนฺ'”ติ?
Knowing and seeing in this way, bhikkhus, would you turn back to the past, thinking, ‘Did we exist in the past? Did we not exist in the past? What were we in the past? How were we in the past? After being what, what did we become in the past?’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อปรนฺตํ วา ปฏิธาเวยฺยาถ—ภวิสฺสาม นุ โข มยํ อนาคตมทฺธานํ, นนุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กึ นุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กถํ นุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กึ หุตฺวา กึ ภวิสฺสาม นุ โข มยํ อนาคตมทฺธานนฺ”ติ?
“Knowing and seeing in this way, bhikkhus, would you turn forward to the future, thinking, ‘Will we exist in the future? Will we not exist in the future? What will we be in the future? How will we be in the future? After being what, what will we become in the future?’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอตรหิ วา ปจฺจุปฺปนฺนมทฺธานํ อชฺฌตฺตํ กถงฺกถี อสฺสถ—อหํ นุ โขสฺมิ, โน นุ โขสฺมิ, กึ นุ โขสฺมิ, กถํ นุ โขสฺมิ, อยํ นุ โข สตฺโต กุโต อาคโต, โส กุหึ คามี ภวิสฺสตี”ติ?
“Knowing and seeing in this way, bhikkhus, would you be undecided about the present, thinking, ‘Am I? Am I not? What am I? How am I? This sentient being—where did it come from? And where will it go?’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอวํ วเทยฺยาถ—สตฺถา โน ครุ, สตฺถุคารเวน จ มยํ เอวํ วเทมา”ติ?
“Knowing and seeing in this way, would you say, ‘Our teacher is respected. We speak like this out of respect for our teacher.’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอวํ วเทยฺยาถ—สมโณ เอวมาห, สมณา จ นาม มยํ เอวํ วเทมา”ติ?
“Knowing and seeing in this way, would you say, ‘Our ascetic says this. It’s only because of him that we say this’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺยาถา”ติ?
“Knowing and seeing in this way, would you dedicate yourself to another teacher?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ยานิ ตานิ ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ วต โกตูหลมงฺคลานิ ตานิ สารโต ปจฺจาคจฺเฉยฺยาถา”ติ?
“Knowing and seeing in this way, would you believe that the observances and noisy, superstitious rites of the various ascetics and brahmins are the most important things?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“นนุ, ภิกฺขเว, ยเทว ตุมฺหากํ สามํ ญาตํ สามํ ทิฏฺฐํ สามํ วิทิตํ, ตเทว ตุเมฺห วเทถา”ติฯ
“Aren’t you speaking only of what you have known and seen and realized for yourselves?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“สาธุ, ภิกฺขเว, อุปนีตา โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิมินา สนฺทิฏฺฐิเกน ธมฺเมน อกาลิเกน เอหิปสฺสิเกน โอปเนยฺยิเกน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺเพน วิญฺญูหิฯ สนฺทิฏฺฐิโก อยํ, ภิกฺขเว, ธมฺโม อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ—อิติ ยนฺตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฏิจฺจ วุตฺตนฺติฯ
“Good, bhikkhus! You have been guided by me with this teaching that’s apparent in the present life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves. For when I said that this teaching is apparent in the present life, immediately effective, inviting inspection, relevant, so that sensible people can know it for themselves, this is what I was referring to.
ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ น อุตุนี โหติ, คนฺธพฺโพ จ น ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ, เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธพฺโพ จ น ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ, เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธพฺโพ จ ปจฺจุปฏฺฐิโต โหติ—เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ
Bhikkhus, when three things come together an embryo is conceived. In a case where the mother and father come together, but the mother is not in the fertile phase of her menstrual cycle, and the virile spirit is not potent, the embryo is not conceived. In a case where the mother and father come together, the mother is in the fertile phase of her menstrual cycle, but the virile spirit is not potent, the embryo is not conceived. But when these three things come together—the mother and father come together, the mother is in the fertile phase of her menstrual cycle, and the virile spirit is potent—an embryo is conceived.
ตเมนํ, ภิกฺขเว, มาตา นว วา ทส วา มาเส คพฺภํ กุจฺฉินา ปริหรติ มหตา สํสเยน ครุภารํฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, มาตา นวนฺนํ วา ทสนฺนํ วา มาสานํ อจฺจเยน วิชายติ มหตา สํสเยน ครุภารํฯ ตเมนํ ชาตํ สมานํ สเกน โลหิเตน โปเสติฯ โลหิตเญฺหตํ, ภิกฺขเว, อริยสฺส วินเย ยทิทํ มาตุถญฺญํฯ
The mother nurtures the embryo in her womb for nine or ten months at great risk to her heavy burden. When nine or ten months have passed, the mother gives birth at great risk to her heavy burden. When the infant is born she nourishes it with her own blood. For mother’s milk is regarded as blood in the training of the Noble One.
ส โข โส, ภิกฺขเว, กุมาโร วุทฺธิมนฺวาย อินฺทฺริยานํ ปริปากมนฺวาย ยานิ ตานิ กุมารกานํ กีฬาปนกานิ เตหิ กีฬติ, เสยฺยถิทํ—วงฺกกํ ฆฏิกํ โมกฺขจิกํ จิงฺคุลกํ ปตฺตาฬฺหกํ รถกํ ธนุกํฯ
That boy grows up and his faculties mature. He accordingly plays childish games such as toy plows, tipcat, somersaults, pinwheels, toy measures, toy carts, and toy bows.
ส โข โส, ภิกฺขเว, กุมาโร วุทฺธิมนฺวาย อินฺทฺริยานํ ปริปากมนฺวาย ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ—จกฺขุวิญฺเญเยฺยหิ รูเปหิ อิฏฺเฐหิ กนฺเตหิ มนาเปหิ ปิยรูเปหิ กามูปสํหิเตหิ รชนีเยหิ,
That boy grows up and his faculties mature further. He accordingly amuses himself, supplied and provided with the five kinds of sensual stimulation. Sights known by the eye that are likable, desirable, agreeable, pleasant, sensual, and arousing.
โสตวิญฺเญเยฺยหิ สทฺเทหิ …
Sounds known by the ear …
ฆานวิญฺเญเยฺยหิ คนฺเธหิ …
Smells known by the nose …
ชิวฺหาวิญฺเญเยฺยหิ รเสหิ …
Tastes known by the tongue …
กายวิญฺเญเยฺยหิ โผฏฺฐพฺเพหิ อิฏฺเฐหิ กนฺเตหิ มนาเปหิ ปิยรูเปหิ กามูปสํหิเตหิ รชนีเยหิฯ
Touches known by the body that are likable, desirable, agreeable, pleasant, sensual, and arousing.
โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป รูเป พฺยาปชฺชติ, อนุปฏฺฐิตกายสติ จ วิหรติ ปริตฺตเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ
When they see a sight with their eyes, if it’s pleasant they desire it, but if it’s unpleasant they dislike it. They live with mindfulness of the body unestablished and their heart restricted. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where those arisen bad, unskillful qualities cease without anything left over.
โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมาปนฺโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อชฺโฌสาย ติฏฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อภินนฺทโต อภิวทโต อชฺโฌสาย ติฏฺฐโต อุปฺปชฺชติ นนฺทีฯ ยา เวทนาสุ นนฺที ตทุปาทานํ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
Being so full of favoring and opposing, when they experience any kind of feeling—pleasant, unpleasant, or neutral—they approve, welcome, and keep clinging to it. This gives rise to relishing. Relishing feelings is grasping. Their grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.
โสเตน สทฺทํ สุตฺวา …เป…
When they hear a sound with their ears …
ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา …เป…
When they smell an odor with their nose …
ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา …เป…
When they taste a flavor with their tongue …
กาเยน โผฏฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา …เป…
When they feel a touch with their body …
มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธมฺเม สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป ธมฺเม พฺยาปชฺชติ, อนุปฏฺฐิตกายสติ จ วิหรติ ปริตฺตเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ
When they know a thought with their mind, if it’s pleasant they desire it, but if it’s unpleasant they dislike it. They live with mindfulness of the body unestablished and their heart restricted. And they don’t truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where those arisen bad, unskillful qualities cease without anything left over.
โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมาปนฺโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อชฺโฌสาย ติฏฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อภินนฺทโต อภิวทโต อชฺโฌสาย ติฏฺฐโต อุปฺปชฺชติ นนฺทีฯ ยา เวทนาสุ นนฺที ตทุปาทานํ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
Being so full of favoring and opposing, when they experience any kind of feeling—pleasant, unpleasant, or neutral—they approve, welcome, and keep clinging to it. This gives rise to relishing. Relishing feelings is grasping. Their grasping is a condition for continued existence. Continued existence is a condition for rebirth. Rebirth is a condition for old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress to come to be. That is how this entire mass of suffering originates.
อิธ, ภิกฺขเว, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ; เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ
But consider when a Realized One arises in the world, perfected, a fully awakened Buddha, accomplished in knowledge and conduct, holy, knower of the world, supreme guide for those who wish to train, teacher of gods and humans, awakened, blessed. He has realized with his own insight this world—with its gods, Māras and Brahmās, this population with its ascetics and brahmins, gods and humans—and he makes it known to others. He proclaims a teaching that is good in the beginning, good in the middle, and good in the end, with the right meaning and phrasing. He reveals an entirely full and pure spiritual life.
ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุตฺโต วา อญฺญตรสฺมึ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฏิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฏิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ: ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ, อพฺโภกาโส ปพฺพชฺชาฯ นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยนฺนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา, กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยนฺ'”ติฯ โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, อปฺปํ วา ญาติปริวฏฺฏํ ปหาย, มหนฺตํ วา ญาติปริวฏฺฏํ ปหาย, เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา, กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ
A householder hears that teaching, or a householder’s child, or someone reborn in a good family. They gain faith in the Realized One and reflect, ‘Living in a house is cramped and dirty, but the life of one gone forth is wide open. It’s not easy for someone living at home to lead the spiritual life utterly full and pure, like a polished shell. Why don’t I shave off my hair and beard, dress in ocher robes, and go forth from lay life to homelessness?’ After some time they give up a large or small fortune, and a large or small family circle. They shave off hair and beard, dress in ocher robes, and go forth from the lay life to homelessness.
โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, นิหิตทณฺโฑ นิหิตสตฺโถ ลชฺชี ทยาปนฺโน สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ
Once they’ve gone forth, they take up the training and livelihood of the bhikkhus. They give up killing living creatures, renouncing the rod and the sword. They’re scrupulous and kind, living full of compassion for all living beings.
อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ, ทินฺนาทายี ทินฺนปาฏิกงฺขี อเถเนน สุจิภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ
They give up stealing. They take only what’s given, and expect only what’s given. They keep themselves clean by not thieving.
อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหติ, อาราจารี วิรโต เมถุนา คามธมฺมาฯ
They give up unchastity. They are celibate, set apart, avoiding the vulgar act of sex.
มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฏิวิรโต โหติ, สจฺจวาที สจฺจสนฺโธ เถโต ปจฺจยิโก อวิสํวาทโก โลกสฺสฯ
They give up lying. They speak the truth and stick to the truth. They’re honest and trustworthy, and don’t trick the world with their words.
ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ—อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทายฯ อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา, สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที, สมคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They give up divisive speech. They don’t repeat in one place what they heard in another so as to divide people against each other. Instead, they reconcile those who are divided, supporting unity, delighting in harmony, loving harmony, speaking words that promote harmony.
ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฏิวิรโต โหติ—ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปึ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
They give up harsh speech. They speak in a way that’s mellow, pleasing to the ear, lovely, going to the heart, polite, likable and agreeable to the people.
สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฏิวิรโต โหติ, กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที, นิธานวตึ วาจํ ภาสิตา กาเลน, สาปเทสํ ปริยนฺตวตึ อตฺถสํหิตํฯ
They give up talking nonsense. Their words are timely, true, and meaningful, in line with the teaching and training. They say things at the right time which are valuable, reasonable, succinct, and beneficial.
โส พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฏิวิรโต โหติ, เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต, วิรโต วิกาลโภชนาฯ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฏิวิรโต โหติ, มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา ปฏิวิรโต โหติ, อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฏิวิรโต โหติ, ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, อามกธญฺญปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, อามกมํสปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, อิตฺถิกุมาริกปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, ทาสิทาสปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, อเชฬกปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, กุกฺกุฏสูกรปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, หตฺถิควาสฺสวฬวปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, เขตฺตวตฺถุปฏิคฺคหณา ปฏิวิรโต โหติ, ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฏิวิรโต โหติ, กยวิกฺกยา ปฏิวิรโต โหติ, ตุลากูฏกํสกูฏมานกูฏา ปฏิวิรโต โหติ, อุกฺโกฏนวญฺจนนิกติสาจิโยคา ปฏิวิรโต โหติ, เฉทนวธพนฺธนวิปราโมสอาโลปสหสาการา ปฏิวิรโต โหติฯ
They avoid injuring plants and seeds. They eat in one part of the day, abstaining from eating at night and food at the wrong time. They avoid seeing shows of dancing, singing, and music . They avoid beautifying and adorning themselves with garlands, perfumes, and makeup. They avoid high and luxurious beds. They avoid receiving gold and money, raw grains, raw meat, women and girls, male and female bondservants, goats and sheep, chickens and pigs, elephants, cows, horses, and mares, and fields and land. They avoid running errands and messages; buying and selling; falsifying weights, metals, or measures; bribery, fraud, cheating, and duplicity; mutilation, murder, abduction, banditry, plunder, and violence.
โส สนฺตุฏฺโฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติฯ เสยฺยถาปิ นาม ปกฺขี สกุโณ เยน เยเนว เฑติ สปตฺตภาโรว เฑติ; เอวเมว ภิกฺขุ สนฺตุฏฺโฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติฯ โส อิมินา อริเยน สีลกฺขนฺเธน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อนวชฺชสุขํ ปฏิสํเวเทติฯ
They’re content with robes to look after the body and almsfood to look after the belly. Wherever they go, they set out taking only these things. They’re like a bird: wherever it flies, wings are its only burden. In the same way, a bhikkhu is content with robes to look after the body and almsfood to look after the belly. Wherever they go, they set out taking only these things. When they have this entire spectrum of noble ethics, they experience a blameless happiness inside themselves.
โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฏิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ
When they see a sight with their eyes, they don’t get caught up in the features and details. If the faculty of sight were left unrestrained, bad unskillful qualities of covetousness and displeasure would become overwhelming. For this reason, they practice restraint, protecting the faculty of sight, and achieving its restraint.
โสเตน สทฺทํ สุตฺวา …เป…
When they hear a sound with their ears …
ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา …เป…
When they smell an odor with their nose …
ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา …เป…
When they taste a flavor with their tongue …
กาเยน โผฏฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา …เป…
When they feel a touch with their body …
มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฏิปชฺชติ, รกฺขติ มนินฺทฺริยํ มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส อิมินา อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อพฺยาเสกสุขํ ปฏิสํเวเทติฯ
When they know a thought with their mind, they don’t get caught up in the features and details. If the faculty of mind were left unrestrained, bad unskillful qualities of covetousness and displeasure would become overwhelming. For this reason, they practice restraint, protecting the faculty of mind, and achieving its restraint. When they have this noble sense restraint, they experience an unsullied bliss inside themselves.
โส อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ
They act with situational awareness when going out and coming back; when looking ahead and aside; when bending and extending the limbs; when bearing the outer robe, bowl and robes; when eating, drinking, chewing, and tasting; when urinating and defecating; when walking, standing, sitting, sleeping, waking, speaking, and keeping silent.
โส อิมินา จ อริเยน สีลกฺขนฺเธน สมนฺนาคโต, อิมาย จ อริยาย สนฺตุฏฺฐิยา สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน สติสมฺปชญฺเญน สมนฺนาคโต, วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ—อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ
When they have this entire spectrum of noble ethics, this noble sense restraint, and this noble mindfulness and situational awareness, they frequent a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw.
โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิชฺเฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติ; พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิตฺโต วิหรติ, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติ; ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิทฺโธ วิหรติ อาโลกสญฺญี, สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติ; อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิตฺโต, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติ; วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิหรติ อกถงฺกถี กุสเลสุ ธมฺเมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ
After the meal, they return from almsround, sit down cross-legged, set their body straight, and establish mindfulness in front of them. Giving up covetousness for the world, they meditate with a heart rid of covetousness, cleansing the mind of covetousness. Giving up ill will and malevolence, they meditate with a mind rid of ill will, full of compassion for all living beings, cleansing the mind of ill will. Giving up dullness and drowsiness, they meditate with a mind rid of dullness and drowsiness, perceiving light, mindful and aware, cleansing the mind of dullness and drowsiness. Giving up restlessness and remorse, they meditate without restlessness, their mind peaceful inside, cleansing the mind of restlessness and remorse. Giving up doubt, they meditate having gone beyond doubt, not undecided about skillful qualities, cleansing the mind of doubt.
โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ, วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ …เป… ตติยํ ฌานํ …เป… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ
They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then, quite secluded from sensual pleasures, secluded from unskillful qualities, they enter and remain in the first jhāna, which has the rapture and bliss born of seclusion, while placing the mind and keeping it connected. Furthermore, as the placing of the mind and keeping it connected are stilled, a bhikkhu enters and remains in the second jhāna … third jhāna … fourth jhāna.
โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป น สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป รูเป น พฺยาปชฺชติ, อุปฏฺฐิตกายสติ จ วิหรติ อปฺปมาณเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ยถาภูตํ ปชานาติ ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ
When they see a sight with their eyes, if it’s pleasant they don’t desire it, and if it’s unpleasant they don’t dislike it. They live with mindfulness of the body established and a limitless heart. And they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where those arisen bad, unskillful qualities cease without anything left over.
โส เอวํ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ นาภินนฺทติ นาภิวทติ นาชฺโฌสาย ติฏฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อนภินนฺทโต อนภิวทโต อนชฺโฌสาย ติฏฺฐโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา นิรุชฺฌติฯ ตสฺส นนฺทีนิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
Having given up favoring and opposing, when they experience any kind of feeling—pleasant, unpleasant, or neutral—they don’t approve, welcome, or keep clinging to it. As a result, relishing of feelings ceases. When their relishing ceases, grasping ceases. When grasping ceases, continued existence ceases. When continued existence ceases, rebirth ceases. When rebirth ceases, old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress cease. That is how this entire mass of suffering ceases.
โสเตน สทฺทํ สุตฺวา …เป…
When they hear a sound with their ears …
ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา …เป…
When they smell an odor with their nose …
ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา …เป…
When they taste a flavor with their tongue …
กาเยน โผฏฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา …เป…
When they feel a touch with their body …
มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธมฺเม น สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป ธมฺเม น พฺยาปชฺชติ, อุปฏฺฐิตกายสติ จ วิหรติ อปฺปมาณเจตโส, ตญฺจ เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ยถาภูตํ ปชานาติ ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ
When they know a thought with their mind, if it’s pleasant they don’t desire it, and if it’s unpleasant they don’t dislike it. They live with mindfulness of the body established and a limitless heart. And they truly understand the freedom of heart and freedom by wisdom where those arisen bad, unskillful qualities cease without anything left over.
โส เอวํ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ นาภินนฺทติ นาภิวทติ นาชฺโฌสาย ติฏฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อนภินนฺทโต อนภิวทโต อนชฺโฌสาย ติฏฺฐโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา นิรุชฺฌติฯ ตสฺส นนฺทีนิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
Having given up favoring and opposing, when they experience any kind of feeling—pleasant, unpleasant, or neutral—they don’t approve, welcome, or keep clinging to it. As a result, relishing of feelings ceases. When their relishing ceases, grasping ceases. When grasping ceases, continued existence ceases. When continued existence ceases, rebirth ceases. When rebirth ceases, old age and death, sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress cease. That is how this entire mass of suffering ceases.
อิมํ โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สงฺขิตฺเตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺตึ ธาเรถ, สาตึ ปน ภิกฺขุํ เกวฏฺฏปุตฺตํ มหาตณฺหาชาลตณฺหาสงฺฆาฏปฺปฏิมุกฺกนฺ”ติฯ
Bhikkhus, you should memorize that brief statement on freedom through the ending of craving. But the bhikkhu Sāti, the fisherman’s son, is caught in a vast net of craving, a tangle of craving.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ อฏฺฐมํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]