Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya |
๘. มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ
8. Mahātaṇhāsaṅkhayasuttaṃ
๓๙๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ เตน โข ปน สมเยน สาติสฺส นาม ภิกฺขุโน เกวฎฺฎปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ โหติ – ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญ’’นฺติฯ อโสฺสสุํ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู – ‘‘สาติสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน เกวฎฺฎปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’’นฺติฯ อถ โข เต ภิกฺขู เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘สจฺจํ กิร เต, อาวุโส สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’’นฺติ? ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’นฺติฯ อถ โข เต ภิกฺขู สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฎฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชนฺติ สมนุคาหนฺติ สมนุภาสนฺติ – ‘‘มา เอวํ, อาวุโส สาติ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ, น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส สาติ, ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว’’ติฯ เอวมฺปิ โข สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต เตหิ ภิกฺขูหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ ถามสา ปรามาสา อภินิวิสฺส โวหรติ – ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนญฺญ’’นฺติฯ
396. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati jetavane anāthapiṇḍikassa ārāme. Tena kho pana samayena sātissa nāma bhikkhuno kevaṭṭaputtassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ hoti – ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati anañña’’nti. Assosuṃ kho sambahulā bhikkhū – ‘‘sātissa kira nāma bhikkhuno kevaṭṭaputtassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’’nti. Atha kho te bhikkhū yena sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etadavocuṃ – ‘‘saccaṃ kira te, āvuso sāti, evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’’nti? ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, āvuso, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’nti. Atha kho te bhikkhū sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etasmā pāpakā diṭṭhigatā vivecetukāmā samanuyuñjanti samanugāhanti samanubhāsanti – ‘‘mā evaṃ, āvuso sāti, avaca, mā bhagavantaṃ abbhācikkhi, na hi sādhu bhagavato abbhakkhānaṃ, na hi bhagavā evaṃ vadeyya. Anekapariyāyenāvuso sāti, paṭiccasamuppannaṃ viññāṇaṃ vuttaṃ bhagavatā, aññatra paccayā natthi viññāṇassa sambhavo’’ti. Evampi kho sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tehi bhikkhūhi samanuyuñjiyamāno samanugāhiyamāno samanubhāsiyamāno tadeva pāpakaṃ diṭṭhigataṃ thāmasā parāmāsā abhinivissa voharati – ‘‘evaṃ byā kho ahaṃ, āvuso, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati anañña’’nti.
๓๙๗. ยโต โข เต ภิกฺขู นาสกฺขิํสุ สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฎฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ โข เต ภิกฺขู เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิํสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ – ‘‘สาติสฺส นาม, ภเนฺต, ภิกฺขุโน เกวฎฺฎปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’นฺติฯ อสฺสุมฺห โข มยํ, ภเนฺต, สาติสฺส กิร นาม ภิกฺขุโน เกวฎฺฎปุตฺตสฺส เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’นฺติฯ อถ โข มยํ, ภเนฺต, เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิมฺห; อุปสงฺกมิตฺวา สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตทโวจุมฺห – ‘สจฺจํ กิร เต, อาวุโส สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’นฺติ? เอวํ วุเตฺต, ภเนฺต, สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต อเมฺห เอตทโวจ – ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’นฺติฯ อถ โข มยํ, ภเนฺต, สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฎฺฐิคตา วิเวเจตุกามา สมนุยุญฺชิมฺห สมนุคาหิมฺห สมนุภาสิมฺห – ‘มา เอวํ, อาวุโส สาติ, อวจ, มา ภควนฺตํ อพฺภาจิกฺขิ, น หิ สาธุ ภควโต อพฺภกฺขานํ, น หิ ภควา เอวํ วเทยฺยฯ อเนกปริยาเยนาวุโส สาติ, ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว’ติฯ เอวมฺปิ โข, ภเนฺต, สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต อเมฺหหิ สมนุยุญฺชิยมาโน สมนุคาหิยมาโน สมนุภาสิยมาโน ตเทว ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ ถามสา ปรามสา อภินิวิสฺส โวหรติ – ‘เอวํ พฺยา โข อหํ, อาวุโส, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’นฺติฯ ยโต โข มยํ, ภเนฺต, นาสกฺขิมฺห สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตสฺมา ปาปกา ทิฎฺฐิคตา วิเวเจตุํ, อถ มยํ เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจมา’’ติฯ
397. Yato kho te bhikkhū nāsakkhiṃsu sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etasmā pāpakā diṭṭhigatā vivecetuṃ, atha kho te bhikkhū yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdiṃsu. Ekamantaṃ nisinnā kho te bhikkhū bhagavantaṃ etadavocuṃ – ‘‘sātissa nāma, bhante, bhikkhuno kevaṭṭaputtassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’nti. Assumha kho mayaṃ, bhante, sātissa kira nāma bhikkhuno kevaṭṭaputtassa evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’nti. Atha kho mayaṃ, bhante, yena sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tenupasaṅkamimha; upasaṅkamitvā sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etadavocumha – ‘saccaṃ kira te, āvuso sāti, evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’nti? Evaṃ vutte, bhante, sāti bhikkhu kevaṭṭaputto amhe etadavoca – ‘evaṃ byā kho ahaṃ, āvuso, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’nti. Atha kho mayaṃ, bhante, sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etasmā pāpakā diṭṭhigatā vivecetukāmā samanuyuñjimha samanugāhimha samanubhāsimha – ‘mā evaṃ, āvuso sāti, avaca, mā bhagavantaṃ abbhācikkhi, na hi sādhu bhagavato abbhakkhānaṃ, na hi bhagavā evaṃ vadeyya. Anekapariyāyenāvuso sāti, paṭiccasamuppannaṃ viññāṇaṃ vuttaṃ bhagavatā, aññatra paccayā natthi viññāṇassa sambhavo’ti. Evampi kho, bhante, sāti bhikkhu kevaṭṭaputto amhehi samanuyuñjiyamāno samanugāhiyamāno samanubhāsiyamāno tadeva pāpakaṃ diṭṭhigataṃ thāmasā parāmasā abhinivissa voharati – ‘evaṃ byā kho ahaṃ, āvuso, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’nti. Yato kho mayaṃ, bhante, nāsakkhimha sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etasmā pāpakā diṭṭhigatā vivecetuṃ, atha mayaṃ etamatthaṃ bhagavato ārocemā’’ti.
๓๙๘. อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามเนฺตสิ – ‘‘เอหิ ตฺวํ ภิกฺขุ, มม วจเนน สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ อามเนฺตหิ – ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส สาติ, อามเนฺตตี’’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฎิสฺสุตฺวา เยน สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘สตฺถา ตํ, อาวุโส สาติ, อามเนฺตตี’’ติฯ ‘‘เอวมาวุโส’’ติ โข สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต ตสฺส ภิกฺขุโน ปฎิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘สจฺจํ กิร, เต, สาติ, เอวรูปํ ปาปกํ ทิฎฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ – ‘ตถาหํ ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’’นฺติ? ‘‘เอวํ พฺยา โข อหํ, ภเนฺต, ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ยถา ตเทวิทํ วิญฺญาณํ สนฺธาวติ สํสรติ, อนญฺญ’’นฺติฯ ‘‘กตมํ ตํ, สาติ, วิญฺญาณ’’นฺติ? ‘‘ยฺวายํ, ภเนฺต, วโท เวเทโยฺย ตตฺร ตตฺร กลฺยาณปาปกานํ กมฺมานํ วิปากํ ปฎิสํเวเทตี’’ติฯ ‘‘กสฺส นุ โข นาม ตฺวํ, โมฆปุริส, มยา เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาสิ? นนุ มยา, โมฆปุริส, อเนกปริยาเยน ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโวติ? อถ จ ปน ตฺวํ, โมฆปุริส, อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขสิ, อตฺตานญฺจ ขณสิ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวสิฯ ตญฺหิ เต, โมฆปุริส, ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายา’’ติฯ
398. Atha kho bhagavā aññataraṃ bhikkhuṃ āmantesi – ‘‘ehi tvaṃ bhikkhu, mama vacanena sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ āmantehi – ‘satthā taṃ, āvuso sāti, āmantetī’’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho so bhikkhu bhagavato paṭissutvā yena sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etadavoca – ‘‘satthā taṃ, āvuso sāti, āmantetī’’ti. ‘‘Evamāvuso’’ti kho sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tassa bhikkhuno paṭissutvā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ bhagavā etadavoca – ‘‘saccaṃ kira, te, sāti, evarūpaṃ pāpakaṃ diṭṭhigataṃ uppannaṃ – ‘tathāhaṃ bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’’nti? ‘‘Evaṃ byā kho ahaṃ, bhante, bhagavatā dhammaṃ desitaṃ ājānāmi yathā tadevidaṃ viññāṇaṃ sandhāvati saṃsarati, anañña’’nti. ‘‘Katamaṃ taṃ, sāti, viññāṇa’’nti? ‘‘Yvāyaṃ, bhante, vado vedeyyo tatra tatra kalyāṇapāpakānaṃ kammānaṃ vipākaṃ paṭisaṃvedetī’’ti. ‘‘Kassa nu kho nāma tvaṃ, moghapurisa, mayā evaṃ dhammaṃ desitaṃ ājānāsi? Nanu mayā, moghapurisa, anekapariyāyena paṭiccasamuppannaṃ viññāṇaṃ vuttaṃ, aññatra paccayā natthi viññāṇassa sambhavoti? Atha ca pana tvaṃ, moghapurisa, attanā duggahitena amhe ceva abbhācikkhasi, attānañca khaṇasi, bahuñca apuññaṃ pasavasi. Tañhi te, moghapurisa, bhavissati dīgharattaṃ ahitāya dukkhāyā’’ti.
๓๙๙. อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต อุสฺมีกโตปิ อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย’’ติ? ‘‘กิญฺหิ สิยา ภเนฺต? โน เหตํ, ภเนฺต’’ติฯ เอวํ วุเตฺต, สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต ตุณฺหีภูโต มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขโนฺธ อโธมุโข ปชฺฌายโนฺต อปฺปฎิภาโน นิสีทิฯ อถ โข ภควา สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ ตุณฺหีภูตํ มงฺกุภูตํ ปตฺตกฺขนฺธํ อโธมุขํ ปชฺฌายนฺตํ อปฺปฎิภานํ วิทิตฺวา สาติํ ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ เอตทโวจ – ‘‘ปญฺญายิสฺสสิ โข ตฺวํ, โมฆปุริส, เอเตน สเกน ปาปเกน ทิฎฺฐิคเตนฯ อิธาหํ ภิกฺขู ปฎิปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ อถ โข ภควา ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘ตุเมฺหปิ เม, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถ ยถายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขณติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวตี’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต! อเนกปริยาเยน หิ โน, ภเนฺต, ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ ภควตา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโว’’ติฯ ‘‘สาธุ สาธุ, ภิกฺขเว! สาธุ โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชานาถฯ อเนกปริยาเยน หิ โว, ภิกฺขเว, ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนํ วิญฺญาณํ วุตฺตํ มยา, อญฺญตฺร ปจฺจยา นตฺถิ วิญฺญาณสฺส สมฺภโวติฯ อถ จ ปนายํ สาติ ภิกฺขุ เกวฎฺฎปุโตฺต อตฺตนา ทุคฺคหิเตน อเมฺห เจว อพฺภาจิกฺขติ, อตฺตานญฺจ ขณติ, พหุญฺจ อปุญฺญํ ปสวติ ปสวติฯ ตญฺหิ ตสฺส โมฆปุริสสฺส ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ อหิตาย ทุกฺขายฯ
399. Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nāyaṃ sāti bhikkhu kevaṭṭaputto usmīkatopi imasmiṃ dhammavinaye’’ti? ‘‘Kiñhi siyā bhante? No hetaṃ, bhante’’ti. Evaṃ vutte, sāti bhikkhu kevaṭṭaputto tuṇhībhūto maṅkubhūto pattakkhandho adhomukho pajjhāyanto appaṭibhāno nisīdi. Atha kho bhagavā sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ tuṇhībhūtaṃ maṅkubhūtaṃ pattakkhandhaṃ adhomukhaṃ pajjhāyantaṃ appaṭibhānaṃ viditvā sātiṃ bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ etadavoca – ‘‘paññāyissasi kho tvaṃ, moghapurisa, etena sakena pāpakena diṭṭhigatena. Idhāhaṃ bhikkhū paṭipucchissāmī’’ti. Atha kho bhagavā bhikkhū āmantesi – ‘‘tumhepi me, bhikkhave, evaṃ dhammaṃ desitaṃ ājānātha yathāyaṃ sāti bhikkhu kevaṭṭaputto attanā duggahitena amhe ceva abbhācikkhati, attānañca khaṇati, bahuñca apuññaṃ pasavatī’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante! Anekapariyāyena hi no, bhante, paṭiccasamuppannaṃ viññāṇaṃ vuttaṃ bhagavatā, aññatra paccayā natthi viññāṇassa sambhavo’’ti. ‘‘Sādhu sādhu, bhikkhave! Sādhu kho me tumhe, bhikkhave, evaṃ dhammaṃ desitaṃ ājānātha. Anekapariyāyena hi vo, bhikkhave, paṭiccasamuppannaṃ viññāṇaṃ vuttaṃ mayā, aññatra paccayā natthi viññāṇassa sambhavoti. Atha ca panāyaṃ sāti bhikkhu kevaṭṭaputto attanā duggahitena amhe ceva abbhācikkhati, attānañca khaṇati, bahuñca apuññaṃ pasavati pasavati. Tañhi tassa moghapurisassa bhavissati dīgharattaṃ ahitāya dukkhāya.
๔๐๐. ‘‘ยํ ยเทว, ภิกฺขเว, ปจฺจยํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, เตน เตเนว วิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ 1ฯ จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, จกฺขุวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โสตญฺจ ปฎิจฺจ สเทฺท จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, โสตวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ฆานญฺจ ปฎิจฺจ คเนฺธ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ฆานวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ชิวฺหญฺจ ปฎิจฺจ รเส จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ชิวฺหาวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; กายญฺจ ปฎิจฺจ โผฎฺฐเพฺพ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, กายวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; มนญฺจ ปฎิจฺจ ธเมฺม จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, มโนวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
400. ‘‘Yaṃ yadeva, bhikkhave, paccayaṃ paṭicca uppajjati viññāṇaṃ, tena teneva viññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati 2. Cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati viññāṇaṃ, cakkhuviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; sotañca paṭicca sadde ca uppajjati viññāṇaṃ, sotaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; ghānañca paṭicca gandhe ca uppajjati viññāṇaṃ, ghānaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; jivhañca paṭicca rase ca uppajjati viññāṇaṃ, jivhāviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; kāyañca paṭicca phoṭṭhabbe ca uppajjati viññāṇaṃ, kāyaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; manañca paṭicca dhamme ca uppajjati viññāṇaṃ, manoviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ยเทว ปจฺจยํ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ เตน เตเนว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กฎฺฐญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, กฎฺฐคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; สกลิกญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, สกลิกคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ติณญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, ติณคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โคมยญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, โคมยคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; ถุสญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, ถุสคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; สงฺการญฺจ ปฎิจฺจ อคฺคิ ชลติ, สงฺการคฺคิเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ ยเทว ปจฺจยํ ปฎิจฺจ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, เตน เตเนว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, จกฺขุวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ; โสตญฺจ ปฎิจฺจ สเทฺท จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, โสตวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ฆานญฺจ ปฎิจฺจ คเนฺธ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ , ฆาณวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติ, ชิวฺหญฺจ ปฎิจฺจ รเส จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, ชิวฺหาวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ กายญฺจ ปฎิจฺจ โผฎฺฐเพฺพ จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, กายวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ มนญฺจ ปฎิจฺจ ธเมฺม จ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ, มโนวิญฺญาณํเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, yaṃ yadeva paccayaṃ paṭicca aggi jalati tena teneva saṅkhyaṃ gacchati. Kaṭṭhañca paṭicca aggi jalati, kaṭṭhaggitveva saṅkhyaṃ gacchati; sakalikañca paṭicca aggi jalati, sakalikaggitveva saṅkhyaṃ gacchati; tiṇañca paṭicca aggi jalati, tiṇaggitveva saṅkhyaṃ gacchati; gomayañca paṭicca aggi jalati, gomayaggitveva saṅkhyaṃ gacchati; thusañca paṭicca aggi jalati, thusaggitveva saṅkhyaṃ gacchati; saṅkārañca paṭicca aggi jalati, saṅkāraggitveva saṅkhyaṃ gacchati. Evameva kho, bhikkhave, yaṃ yadeva paccayaṃ paṭicca uppajjati viññāṇaṃ, tena teneva saṅkhyaṃ gacchati. Cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati viññāṇaṃ, cakkhuviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati; sotañca paṭicca sadde ca uppajjati viññāṇaṃ, sotaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati, ghānañca paṭicca gandhe ca uppajjati viññāṇaṃ , ghāṇaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati, jivhañca paṭicca rase ca uppajjati viññāṇaṃ, jivhāviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati. Kāyañca paṭicca phoṭṭhabbe ca uppajjati viññāṇaṃ, kāyaviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati. Manañca paṭicca dhamme ca uppajjati viññāṇaṃ, manoviññāṇaṃtveva saṅkhyaṃ gacchati.
๔๐๑. ‘‘ภูตมิทนฺติ , ภิกฺขเว, ปสฺสถา’’ติ?
401. ‘‘Bhūtamidanti , bhikkhave, passathā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ปสฺสถา’’ติ?
‘‘Tadāhārasambhavanti, bhikkhave, passathā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ปสฺสถา’’ติ?
‘‘Tadāhāranirodhā yaṃ bhūtaṃ, taṃ nirodhadhammanti, bhikkhave, passathā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ภูตมิทํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว, กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Bhūtamidaṃ nossūti, bhikkhave, kaṅkhato uppajjati vicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารสมฺภวํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว , กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Tadāhārasambhavaṃ nossūti, bhikkhave , kaṅkhato uppajjati vicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมํ โนสฺสูติ, ภิกฺขเว, กงฺขโต อุปฺปชฺชติ วิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Tadāhāranirodhā yaṃ bhūtaṃ, taṃ nirodhadhammaṃ nossūti, bhikkhave, kaṅkhato uppajjati vicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี’’ติ?
‘‘Bhūtamidanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya passato yā vicikicchā sā pahīyatī’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสตาเอ ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี’’ติ?
‘‘Tadāhārasambhavanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya passatāe yā vicikicchā sā pahīyatī’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ, ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสตาเอ ยา วิจิกิจฺฉา สา ปหียตี’’ติ?
‘‘Tadāhāranirodhā yaṃ bhūtaṃ, taṃ nirodhadhammanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya passatāe yā vicikicchā sā pahīyatī’’ti?
‘‘เอวํ , ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ , bhante’’.
‘‘ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Bhūtamidanti, bhikkhave, itipi vo ettha nibbicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Tadāhārasambhavanti, bhikkhave, itipi vo ettha nibbicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, อิติปิ โว เอตฺถ นิพฺพิจิกิจฺฉา’’ติ?
‘‘Tadāhāranirodhā yaṃ bhūtaṃ taṃ nirodhadhammanti, bhikkhave, itipi vo ettha nibbicikicchā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ภูตมิทนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐ’’นฺติ?
‘‘Bhūtamidanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭha’’nti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารสมฺภวนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐ’’นฺติ?
‘‘Tadāhārasambhavanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭha’’nti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘ตทาหารนิโรธา ยํ ภูตํ ตํ นิโรธธมฺมนฺติ, ภิกฺขเว, ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฎฺฐ’’นฺติ?
‘‘Tadāhāranirodhā yaṃ bhūtaṃ taṃ nirodhadhammanti, bhikkhave, yathābhūtaṃ sammappaññāya sudiṭṭha’’nti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘อิมํ เจ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ อลฺลีเยถ เกลาเยถ ธนาเยถ มมาเยถ, อปิ นุ เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, กุลฺลูปมํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชาเนยฺยาถ นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถายา’’ติ?
‘‘Imaṃ ce tumhe, bhikkhave, diṭṭhiṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ allīyetha kelāyetha dhanāyetha mamāyetha, api nu me tumhe, bhikkhave, kullūpamaṃ dhammaṃ desitaṃ ājāneyyātha nittharaṇatthāya no gahaṇatthāyā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อิมํ เจ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, ทิฎฺฐิํ เอวํ ปริสุทฺธํ เอวํ ปริโยทาตํ น อลฺลีเยถ น เกลาเยถ น ธนาเยถ น มมาเยถ, อปิ นุ เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, กุลฺลูปมํ ธมฺมํ เทสิตํ อาชาเนยฺยาถ นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถายา’’ติ?
‘‘Imaṃ ce tumhe, bhikkhave, diṭṭhiṃ evaṃ parisuddhaṃ evaṃ pariyodātaṃ na allīyetha na kelāyetha na dhanāyetha na mamāyetha, api nu me tumhe, bhikkhave, kullūpamaṃ dhammaṃ desitaṃ ājāneyyātha nittharaṇatthāya no gahaṇatthāyā’’ti?
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
๔๐๒. ‘‘จตฺตาโรเม, ภิกฺขเว, อาหารา ภูตานํ วา สตฺตานํ ฐิติยา, สมฺภเวสีนํ วา อนุคฺคหายฯ กตเม จตฺตาโร? กพฬีกาโร อาหาโร โอฬาริโก วา สุขุโม วา, ผโสฺส ทุติโย, มโนสเญฺจตนา ตติยา, วิญฺญาณํ จตุตฺถํฯ
402. ‘‘Cattārome, bhikkhave, āhārā bhūtānaṃ vā sattānaṃ ṭhitiyā, sambhavesīnaṃ vā anuggahāya. Katame cattāro? Kabaḷīkāro āhāro oḷāriko vā sukhumo vā, phasso dutiyo, manosañcetanā tatiyā, viññāṇaṃ catutthaṃ.
‘‘อิเม จ, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อาหารา กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา?
‘‘Ime ca, bhikkhave, cattāro āhārā kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā?
‘‘อิเม จตฺตาโร อาหารา ตณฺหานิทานา ตณฺหาสมุทยา ตณฺหาชาติกา ตณฺหาปภวาฯ
‘‘Ime cattāro āhārā taṇhānidānā taṇhāsamudayā taṇhājātikā taṇhāpabhavā.
‘‘ตณฺหา จายํ, ภิกฺขเว, กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา?
‘‘Taṇhā cāyaṃ, bhikkhave, kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā?
‘‘ตณฺหา เวทนานิทานา เวทนาสมุทยา เวทนาชาติกา เวทนาปภวาฯ
‘‘Taṇhā vedanānidānā vedanāsamudayā vedanājātikā vedanāpabhavā.
‘‘เวทนา จายํ, ภิกฺขเว, กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา?
‘‘Vedanā cāyaṃ, bhikkhave, kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā?
‘‘เวทนา ผสฺสนิทานา ผสฺสสมุทยา ผสฺสชาติกา ผสฺสปภวา ฯ
‘‘Vedanā phassanidānā phassasamudayā phassajātikā phassapabhavā .
‘‘ผโสฺส จายํ, ภิกฺขเว, กิํนิทาโน กิํสมุทโย กิํชาติโก กิํปภโว?
‘‘Phasso cāyaṃ, bhikkhave, kiṃnidāno kiṃsamudayo kiṃjātiko kiṃpabhavo?
‘‘ผโสฺส สฬายตนนิทาโน สฬายตนสมุทโย สฬายตนชาติโก สฬายตนปภโวฯ
‘‘Phasso saḷāyatananidāno saḷāyatanasamudayo saḷāyatanajātiko saḷāyatanapabhavo.
‘‘สฬายตนํ จิทํ, ภิกฺขเว, กิํนิทานํ กิํสมุทยํ กิํชาติกํ กิํปภวํ?
‘‘Saḷāyatanaṃ cidaṃ, bhikkhave, kiṃnidānaṃ kiṃsamudayaṃ kiṃjātikaṃ kiṃpabhavaṃ?
‘‘สฬายตนํ นามรูปนิทานํ นามรูปสมุทยํ นามรูปชาติกํ นามรูปปภวํฯ
‘‘Saḷāyatanaṃ nāmarūpanidānaṃ nāmarūpasamudayaṃ nāmarūpajātikaṃ nāmarūpapabhavaṃ.
‘‘นามรูปํ จิทํ, ภิกฺขเว, กิํนิทานํ กิํสมุทยํ กิํชาติกํ กิํปภวํ?
‘‘Nāmarūpaṃ cidaṃ, bhikkhave, kiṃnidānaṃ kiṃsamudayaṃ kiṃjātikaṃ kiṃpabhavaṃ?
‘‘นามรูปํ วิญฺญาณนิทานํ วิญฺญาณสมุทยํ วิญฺญาณชาติกํ วิญฺญาณปภวํฯ
‘‘Nāmarūpaṃ viññāṇanidānaṃ viññāṇasamudayaṃ viññāṇajātikaṃ viññāṇapabhavaṃ.
‘‘วิญฺญาณํ จิทํ, ภิกฺขเว, กิํนิทานํ กิํสมุทยํ กิํชาติกํ กิํปภวํ?
‘‘Viññāṇaṃ cidaṃ, bhikkhave, kiṃnidānaṃ kiṃsamudayaṃ kiṃjātikaṃ kiṃpabhavaṃ?
‘‘วิญฺญาณํ สงฺขารนิทานํ สงฺขารสมุทยํ สงฺขารชาติกํ สงฺขารปภวํฯ
‘‘Viññāṇaṃ saṅkhāranidānaṃ saṅkhārasamudayaṃ saṅkhārajātikaṃ saṅkhārapabhavaṃ.
‘‘สงฺขารา จิเม, ภิกฺขเว, กิํนิทานา กิํสมุทยา กิํชาติกา กิํปภวา?
‘‘Saṅkhārā cime, bhikkhave, kiṃnidānā kiṃsamudayā kiṃjātikā kiṃpabhavā?
‘‘สงฺขารา อวิชฺชานิทานา อวิชฺชาสมุทยา อวิชฺชาชาติกา อวิชฺชาปภวาฯ
‘‘Saṅkhārā avijjānidānā avijjāsamudayā avijjājātikā avijjāpabhavā.
‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ’’’
‘‘Iti kho, bhikkhave, avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ, viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, nāmarūpapaccayā saḷāyatanaṃ, saḷāyatanapaccayā phasso, phassapaccayā vedanā, vedanāpaccayā taṇhā, taṇhāpaccayā upādānaṃ, upādānapaccayā bhavo, bhavapaccayā jāti, jātipaccayā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā sambhavanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hoti.’’’
๔๐๓. ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ชาติปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ชรามรณํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ 3 โหตี’’ติ? ‘‘ชาติปจฺจยา, ภเนฺต, ชรามรณํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ 4 – ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติฯ ‘‘ภวปจฺจยา ชาตีติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ภวปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ชาติ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ภวปจฺจยา, ภเนฺต , ชาติ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ภวปจฺจยา ชาตี’’ติ ฯ ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโวติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อุปาทานปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ภโว, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘อุปาทานปจฺจยา, ภเนฺต, ภโว; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติฯ ‘‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ตณฺหาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, อุปาทานํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ตณฺหาปจฺจยา, ภเนฺต, อุปาทานํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติฯ ‘‘เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; เวทนาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ตณฺหา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘เวทนาปจฺจยา, ภเนฺต, ตณฺหา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – เวทนาปจฺจยา ตณฺหา’’ติฯ ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ผสฺสปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, เวทนา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ผสฺสปจฺจยา, ภเนฺต, เวทนา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติฯ ‘‘สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สฬายตนปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ผโสฺส, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘สฬายตนปจฺจยา, ภเนฺต, ผโสฺส; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส’’ติฯ ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; นามรูปปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, สฬายตนํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘นามรูปปจฺจยา, ภเนฺต, สฬายตนํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติฯ ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; วิญฺญาณปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, นามรูปํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา, ภเนฺต, นามรูปํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติฯ ‘‘สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สงฺขารปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, วิญฺญาณํ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘สงฺขารปจฺจยา, ภเนฺต, วิญฺญาณํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติฯ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อวิชฺชาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, สงฺขารา, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา, ภเนฺต, สงฺขารา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติฯ
403. ‘‘Jātipaccayā jarāmaraṇanti iti kho panetaṃ vuttaṃ; jātipaccayā nu kho, bhikkhave, jarāmaraṇaṃ, no vā, kathaṃ vā ettha 5 hotī’’ti? ‘‘Jātipaccayā, bhante, jarāmaraṇaṃ; evaṃ no ettha hoti 6 – jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti. ‘‘Bhavapaccayā jātīti iti kho panetaṃ vuttaṃ; bhavapaccayā nu kho, bhikkhave, jāti, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Bhavapaccayā, bhante , jāti; evaṃ no ettha hoti – bhavapaccayā jātī’’ti . ‘‘Upādānapaccayā bhavoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; upādānapaccayā nu kho, bhikkhave, bhavo, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Upādānapaccayā, bhante, bhavo; evaṃ no ettha hoti – upādānapaccayā bhavo’’ti. ‘‘Taṇhāpaccayā upādānanti iti kho panetaṃ vuttaṃ, taṇhāpaccayā nu kho, bhikkhave, upādānaṃ, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Taṇhāpaccayā, bhante, upādānaṃ; evaṃ no ettha hoti – taṇhāpaccayā upādāna’’nti. ‘‘Vedanāpaccayā taṇhāti iti kho panetaṃ vuttaṃ; vedanāpaccayā nu kho, bhikkhave, taṇhā, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Vedanāpaccayā, bhante, taṇhā; evaṃ no ettha hoti – vedanāpaccayā taṇhā’’ti. ‘‘Phassapaccayā vedanāti iti kho panetaṃ vuttaṃ; phassapaccayā nu kho, bhikkhave, vedanā, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Phassapaccayā, bhante, vedanā; evaṃ no ettha hoti – phassapaccayā vedanā’’ti. ‘‘Saḷāyatanapaccayā phassoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; saḷāyatanapaccayā nu kho, bhikkhave, phasso, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Saḷāyatanapaccayā, bhante, phasso; evaṃ no ettha hoti – saḷāyatanapaccayā phasso’’ti. ‘‘Nāmarūpapaccayā saḷāyatananti iti kho panetaṃ vuttaṃ; nāmarūpapaccayā nu kho, bhikkhave, saḷāyatanaṃ, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Nāmarūpapaccayā, bhante, saḷāyatanaṃ; evaṃ no ettha hoti – nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’nti. ‘‘Viññāṇapaccayā nāmarūpanti iti kho panetaṃ vuttaṃ; viññāṇapaccayā nu kho, bhikkhave, nāmarūpaṃ, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Viññāṇapaccayā, bhante, nāmarūpaṃ; evaṃ no ettha hoti – viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti. ‘‘Saṅkhārapaccayā viññāṇanti iti kho panetaṃ vuttaṃ; saṅkhārapaccayā nu kho, bhikkhave, viññāṇaṃ, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Saṅkhārapaccayā, bhante, viññāṇaṃ; evaṃ no ettha hoti – saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti. ‘‘Avijjāpaccayā saṅkhārāti iti kho panetaṃ vuttaṃ; avijjāpaccayā nu kho, bhikkhave, saṅkhārā, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Avijjāpaccayā, bhante, saṅkhārā; evaṃ no ettha hoti – avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti.
๔๐๔. ‘‘สาธุ, ภิกฺขเวฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ เอวํ วเทถ, อหมฺปิ เอวํ วทามิ – อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหติ, อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ, ยทิทํ – อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ, วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
404. ‘‘Sādhu, bhikkhave. Iti kho, bhikkhave, tumhepi evaṃ vadetha, ahampi evaṃ vadāmi – imasmiṃ sati idaṃ hoti, imassuppādā idaṃ uppajjati, yadidaṃ – avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ, viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, nāmarūpapaccayā saḷāyatanaṃ, saḷāyatanapaccayā phasso, phassapaccayā vedanā, vedanāpaccayā taṇhā, taṇhāpaccayā upādānaṃ, upādānapaccayā bhavo, bhavapaccayā jāti, jātipaccayā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā sambhavanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hoti.
‘‘อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ , สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
‘‘Avijjāyatveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho, saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho, viññāṇanirodhā nāmarūpanirodho, nāmarūpanirodhā saḷāyatananirodho , saḷāyatananirodhā phassanirodho, phassanirodhā vedanānirodho, vedanānirodhā taṇhānirodho, taṇhānirodhā upādānanirodho, upādānanirodhā bhavanirodho, bhavanirodhā jātinirodho, jātinirodhā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā nirujjhanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hoti.
๔๐๕. ‘‘ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ชาตินิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ชรามรณนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ชาตินิโรธา, ภเนฺต, ชรามรณนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ’’ติฯ ‘‘ภวนิโรธา ชาตินิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ภวนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ชาตินิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ภวนิโรธา, ภเนฺต, ชาตินิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ’’ติฯ ‘‘อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อุปาทานนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ภวนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘อุปาทานนิโรธา, ภเนฺต, ภวนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ’’ติฯ ‘‘ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ตณฺหานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, อุปาทานนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ตณฺหานิโรธา, ภเนฺต, อุปาทานนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ’’ติฯ ‘‘เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; เวทนานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ตณฺหานิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘เวทนานิโรธา, ภเนฺต, ตณฺหานิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ’’ติฯ ‘‘ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; ผสฺสนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, เวทนานิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ผสฺสนิโรธา, ภเนฺต, เวทนานิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ’’ติฯ ‘‘สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สฬายตนนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, ผสฺสนิโรโธ, โน วา , กถํ วา เอตฺถ โหตีติ? สฬายตนนิโรธา, ภเนฺต, ผสฺสนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ’’ติฯ ‘‘นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; นามรูปนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, สฬายตนนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘นามรูปนิโรธา, ภเนฺต, สฬายตนนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ’’ติฯ ‘‘วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; วิญฺญาณนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, นามรูปนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘วิญฺญาณนิโรธา, ภเนฺต, นามรูปนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ’’ติฯ ‘‘สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; สงฺขารนิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, วิญฺญาณนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘สงฺขารนิโรธา, ภเนฺต , วิญฺญาณนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ’’ติฯ ‘‘อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ; อวิชฺชานิโรธา นุ โข, ภิกฺขเว, สงฺขารนิโรโธ, โน วา, กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘อวิชฺชานิโรธา, ภเนฺต, สงฺขารนิโรโธ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติฯ
405. ‘‘Jātinirodhā jarāmaraṇanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; jātinirodhā nu kho, bhikkhave, jarāmaraṇanirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Jātinirodhā, bhante, jarāmaraṇanirodho; evaṃ no ettha hoti – jātinirodhā jarāmaraṇanirodho’’ti. ‘‘Bhavanirodhā jātinirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; bhavanirodhā nu kho, bhikkhave, jātinirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Bhavanirodhā, bhante, jātinirodho; evaṃ no ettha hoti – bhavanirodhā jātinirodho’’ti. ‘‘Upādānanirodhā bhavanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; upādānanirodhā nu kho, bhikkhave, bhavanirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Upādānanirodhā, bhante, bhavanirodho; evaṃ no ettha hoti – upādānanirodhā bhavanirodho’’ti. ‘‘Taṇhānirodhā upādānanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; taṇhānirodhā nu kho, bhikkhave, upādānanirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Taṇhānirodhā, bhante, upādānanirodho; evaṃ no ettha hoti – taṇhānirodhā upādānanirodho’’ti. ‘‘Vedanānirodhā taṇhānirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; vedanānirodhā nu kho, bhikkhave, taṇhānirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Vedanānirodhā, bhante, taṇhānirodho; evaṃ no ettha hoti – vedanānirodhā taṇhānirodho’’ti. ‘‘Phassanirodhā vedanānirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; phassanirodhā nu kho, bhikkhave, vedanānirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Phassanirodhā, bhante, vedanānirodho; evaṃ no ettha hoti – phassanirodhā vedanānirodho’’ti. ‘‘Saḷāyatananirodhā phassanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; saḷāyatananirodhā nu kho, bhikkhave, phassanirodho, no vā , kathaṃ vā ettha hotīti? Saḷāyatananirodhā, bhante, phassanirodho; evaṃ no ettha hoti – saḷāyatananirodhā phassanirodho’’ti. ‘‘Nāmarūpanirodhā saḷāyatananirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; nāmarūpanirodhā nu kho, bhikkhave, saḷāyatananirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Nāmarūpanirodhā, bhante, saḷāyatananirodho; evaṃ no ettha hoti – nāmarūpanirodhā saḷāyatananirodho’’ti. ‘‘Viññāṇanirodhā nāmarūpanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; viññāṇanirodhā nu kho, bhikkhave, nāmarūpanirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Viññāṇanirodhā, bhante, nāmarūpanirodho; evaṃ no ettha hoti – viññāṇanirodhā nāmarūpanirodho’’ti. ‘‘Saṅkhāranirodhā viññāṇanirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; saṅkhāranirodhā nu kho, bhikkhave, viññāṇanirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Saṅkhāranirodhā, bhante , viññāṇanirodho; evaṃ no ettha hoti – saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho’’ti. ‘‘Avijjānirodhā saṅkhāranirodhoti iti kho panetaṃ vuttaṃ; avijjānirodhā nu kho, bhikkhave, saṅkhāranirodho, no vā, kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Avijjānirodhā, bhante, saṅkhāranirodho; evaṃ no ettha hoti – avijjānirodhā saṅkhāranirodho’’ti.
๔๐๖. ‘‘สาธุ, ภิกฺขเวฯ อิติ โข, ภิกฺขเว, ตุเมฺหปิ เอวํ วเทถ, อหมฺปิ เอวํ วทามิ – อิมสฺมิํ อสติ อิทํ น โหติ, อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ, ยทิทํ – อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ, สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ, วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ, นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ, สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ, ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ, เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ, ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ
406. ‘‘Sādhu, bhikkhave. Iti kho, bhikkhave, tumhepi evaṃ vadetha, ahampi evaṃ vadāmi – imasmiṃ asati idaṃ na hoti, imassa nirodhā idaṃ nirujjhati, yadidaṃ – avijjānirodhā saṅkhāranirodho, saṅkhāranirodhā viññāṇanirodho, viññāṇanirodhā nāmarūpanirodho, nāmarūpanirodhā saḷāyatananirodho, saḷāyatananirodhā phassanirodho, phassanirodhā vedanānirodho, vedanānirodhā taṇhānirodho, taṇhānirodhā upādānanirodho, upādānanirodhā bhavanirodho, bhavanirodhā jātinirodho, jātinirodhā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā nirujjhanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hoti.
๔๐๗. ‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ปุพฺพนฺตํ วา ปฎิธาเวยฺยาถ – ‘อเหสุมฺห นุ โข มยํ อตีตมทฺธานํ, นนุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กิํ นุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กถํ นุ โข อเหสุมฺห อตีตมทฺธานํ, กิํ หุตฺวา กิํ อเหสุมฺห นุ โข มยํ อตีตมทฺธาน’’’นฺติ?
407. ‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā pubbantaṃ vā paṭidhāveyyātha – ‘ahesumha nu kho mayaṃ atītamaddhānaṃ, nanu kho ahesumha atītamaddhānaṃ, kiṃ nu kho ahesumha atītamaddhānaṃ, kathaṃ nu kho ahesumha atītamaddhānaṃ, kiṃ hutvā kiṃ ahesumha nu kho mayaṃ atītamaddhāna’’’nti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อปรนฺตํ วา ปฎิธาเวยฺยาถ – ภวิสฺสาม นุ โข มยํ อนาคตมทฺธานํ, นนุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กิํ นุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กถํ นุ โข ภวิสฺสาม อนาคตมทฺธานํ, กิํ หุตฺวา กิํ ภวิสฺสาม นุ โข มยํ อนาคตมทฺธาน’’นฺติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā aparantaṃ vā paṭidhāveyyātha – bhavissāma nu kho mayaṃ anāgatamaddhānaṃ, nanu kho bhavissāma anāgatamaddhānaṃ, kiṃ nu kho bhavissāma anāgatamaddhānaṃ, kathaṃ nu kho bhavissāma anāgatamaddhānaṃ, kiṃ hutvā kiṃ bhavissāma nu kho mayaṃ anāgatamaddhāna’’nti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอตรหิ วา ปจฺจุปฺปนฺนมทฺธานํ อชฺฌตฺตํ กถํกถี อสฺสถ – อหํ นุ โขสฺมิ, โน นุ โขสฺมิ, กิํ นุ โขสฺมิ, กถํ นุ โขสฺมิ, อยํ นุ โข สโตฺต กุโต อาคโต, โส กุหิํคามี ภวิสฺสตี’’ติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā etarahi vā paccuppannamaddhānaṃ ajjhattaṃ kathaṃkathī assatha – ahaṃ nu khosmi, no nu khosmi, kiṃ nu khosmi, kathaṃ nu khosmi, ayaṃ nu kho satto kuto āgato, so kuhiṃgāmī bhavissatī’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอวํ วเทยฺยาถ – สตฺถา โน ครุ, สตฺถุคารเวน จ มยํ เอวํ วเทมา’’ติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā evaṃ vadeyyātha – satthā no garu, satthugāravena ca mayaṃ evaṃ vademā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เอวํ วเทยฺยาถ – สมโณ เอวมาห, สมณา จ นาม มยํ เอวํ วเทมา’’ติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā evaṃ vadeyyātha – samaṇo evamāha, samaṇā ca nāma mayaṃ evaṃ vademā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อญฺญํ สตฺถารํ อุทฺทิเสยฺยาถา’’ติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā aññaṃ satthāraṃ uddiseyyāthā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘อปิ นุ ตุเมฺห, ภิกฺขเว, เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ยานิ ตานิ ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ วต โกตูหลมงฺคลานิ ตานิ สารโต ปจฺจาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ?
‘‘Api nu tumhe, bhikkhave, evaṃ jānantā evaṃ passantā yāni tāni puthusamaṇabrāhmaṇānaṃ vata kotūhalamaṅgalāni tāni sārato paccāgaccheyyāthā’’ti?
‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘No hetaṃ, bhante’’.
‘‘นนุ, ภิกฺขเว, ยเทว ตุมฺหากํ สามํ ญาตํ สามํ ทิฎฺฐํ สามํ วิทิตํ, ตเทว ตุเมฺห วเทถา’’ติฯ
‘‘Nanu, bhikkhave, yadeva tumhākaṃ sāmaṃ ñātaṃ sāmaṃ diṭṭhaṃ sāmaṃ viditaṃ, tadeva tumhe vadethā’’ti.
‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ฯ
‘‘Evaṃ, bhante’’.
‘‘สาธุ, ภิกฺขเว, อุปนีตา โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อิมินา สนฺทิฎฺฐิเกน ธเมฺมน อกาลิเกน เอหิปสฺสิเกน โอปเนยฺยิเกน ปจฺจตฺตํ เวทิตเพฺพน วิญฺญูหิฯ สนฺทิฎฺฐิโก อยํ, ภิกฺขเว, ธโมฺม อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปเนยฺยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตโพฺพ วิญฺญูหิ – อิติ ยนฺตํ วุตฺตํ, อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺต’’นฺติฯ
‘‘Sādhu, bhikkhave, upanītā kho me tumhe, bhikkhave, iminā sandiṭṭhikena dhammena akālikena ehipassikena opaneyyikena paccattaṃ veditabbena viññūhi. Sandiṭṭhiko ayaṃ, bhikkhave, dhammo akāliko ehipassiko opaneyyiko paccattaṃ veditabbo viññūhi – iti yantaṃ vuttaṃ, idametaṃ paṭicca vutta’’nti.
๔๐๘. ‘‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ น อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ น ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ น ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ – เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, มาตา นว วา ทส วา มาเส คพฺภํ กุจฺฉินา ปริหรติ มหตา สํสเยน ครุภารํ 7ฯ ตเมนํ, ภิกฺขเว, มาตา นวนฺนํ วา ทสนฺนํ วา มาสานํ อจฺจเยน วิชายติ มหตา สํสเยน ครุภารํฯ ตเมนํ ชาตํ สมานํ สเกน โลหิเตน โปเสติฯ โลหิตเญฺหตํ, ภิกฺขเว, อริยสฺส วินเย ยทิทํ มาตุถญฺญํฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, กุมาโร วุทฺธิมนฺวาย อินฺทฺริยานํ ปริปากมนฺวาย ยานิ ตานิ กุมารกานํ กีฬาปนกานิ เตหิ กีฬติ, เสยฺยถิทํ – วงฺกกํ ฆฎิกํ โมกฺขจิกํ จิงฺคุลกํ ปตฺตาฬฺหกํ รถกํ ธนุกํฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, กุมาโร วุทฺธิมนฺวาย อินฺทฺริยานํ ปริปากมนฺวาย ปญฺจหิ กามคุเณหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจาเรติ – จกฺขุวิเญฺญเยฺยหิ รูเปหิ อิเฎฺฐหิ กเนฺตหิ มนาเปหิ ปิยรูเปหิ กามูปสํหิเตหิ รชนีเยหิ, โสตวิเญฺญเยฺยหิ สเทฺทหิ… ฆานวิเญฺญเยฺยหิ คเนฺธหิ… ชิวฺหาวิเญฺญเยฺยหิ รเสหิ… กายวิเญฺญเยฺยหิ โผฎฺฐเพฺพหิ อิเฎฺฐหิ กเนฺตหิ มนาเปหิ ปิยรูเปหิ กามูปสํหิเตหิ รชนีเยหิฯ
408. ‘‘Tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassāvakkanti hoti. Idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca na utunī hoti, gandhabbo ca na paccupaṭṭhito hoti, neva tāva gabbhassāvakkanti hoti. Idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca na paccupaṭṭhito hoti, neva tāva gabbhassāvakkanti hoti. Yato ca kho, bhikkhave, mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca paccupaṭṭhito hoti – evaṃ tiṇṇaṃ sannipātā gabbhassāvakkanti hoti. Tamenaṃ, bhikkhave, mātā nava vā dasa vā māse gabbhaṃ kucchinā pariharati mahatā saṃsayena garubhāraṃ 8. Tamenaṃ, bhikkhave, mātā navannaṃ vā dasannaṃ vā māsānaṃ accayena vijāyati mahatā saṃsayena garubhāraṃ. Tamenaṃ jātaṃ samānaṃ sakena lohitena poseti. Lohitañhetaṃ, bhikkhave, ariyassa vinaye yadidaṃ mātuthaññaṃ. Sa kho so, bhikkhave, kumāro vuddhimanvāya indriyānaṃ paripākamanvāya yāni tāni kumārakānaṃ kīḷāpanakāni tehi kīḷati, seyyathidaṃ – vaṅkakaṃ ghaṭikaṃ mokkhacikaṃ ciṅgulakaṃ pattāḷhakaṃ rathakaṃ dhanukaṃ. Sa kho so, bhikkhave, kumāro vuddhimanvāya indriyānaṃ paripākamanvāya pañcahi kāmaguṇehi samappito samaṅgībhūto paricāreti – cakkhuviññeyyehi rūpehi iṭṭhehi kantehi manāpehi piyarūpehi kāmūpasaṃhitehi rajanīyehi, sotaviññeyyehi saddehi… ghānaviññeyyehi gandhehi… jivhāviññeyyehi rasehi… kāyaviññeyyehi phoṭṭhabbehi iṭṭhehi kantehi manāpehi piyarūpehi kāmūpasaṃhitehi rajanīyehi.
๔๐๙. ‘‘โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป รูเป พฺยาปชฺชติ, อนุปฎฺฐิตกายสติ จ วิหรติ ปริตฺตเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ – ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมาปโนฺน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อภินนฺทโต อภิวทโต อโชฺฌสาย ติฎฺฐโต อุปฺปชฺชติ นนฺที ฯ ยา เวทนาสุ นนฺที ตทุปาทานํ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา…เป.… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา…เป.… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธเมฺม สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป ธเมฺม พฺยาปชฺชติ, อนุปฎฺฐิตกายสติ จ วิหรติ ปริตฺตเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ นปฺปชานาติ – ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธํ สมาปโนฺน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ อภินนฺทติ อภิวทติ อโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อภินนฺทโต อภิวทโต อโชฺฌสาย ติฎฺฐโต อุปฺปชฺชติ นนฺทีฯ ยา เวทนาสุ นนฺที ตทุปาทานํ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาติ, ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติฯ
409. ‘‘So cakkhunā rūpaṃ disvā piyarūpe rūpe sārajjati, appiyarūpe rūpe byāpajjati, anupaṭṭhitakāyasati ca viharati parittacetaso. Tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ nappajānāti – yatthassa te pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. So evaṃ anurodhavirodhaṃ samāpanno yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so taṃ vedanaṃ abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhati. Tassa taṃ vedanaṃ abhinandato abhivadato ajjhosāya tiṭṭhato uppajjati nandī . Yā vedanāsu nandī tadupādānaṃ, tassupādānapaccayā bhavo, bhavapaccayā jāti, jātipaccayā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā sambhavanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hoti. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā…pe… jivhāya rasaṃ sāyitvā…pe… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā…pe… manasā dhammaṃ viññāya piyarūpe dhamme sārajjati, appiyarūpe dhamme byāpajjati, anupaṭṭhitakāyasati ca viharati parittacetaso. Tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ nappajānāti – yatthassa te pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. So evaṃ anurodhavirodhaṃ samāpanno yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so taṃ vedanaṃ abhinandati abhivadati ajjhosāya tiṭṭhati. Tassa taṃ vedanaṃ abhinandato abhivadato ajjhosāya tiṭṭhato uppajjati nandī. Yā vedanāsu nandī tadupādānaṃ, tassupādānapaccayā bhavo, bhavapaccayā jāti, jātipaccayā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā sambhavanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa samudayo hoti.
๔๑๐. ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุโทฺธ ภควาฯ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณิํ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติฯ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มเชฺฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ; เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติฯ ตํ ธมฺมํ สุณาติ คหปติ วา คหปติปุโตฺต วา อญฺญตรสฺมิํ วา กุเล ปจฺจาชาโตฯ โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฎิลภติฯ โส เตน สทฺธาปฎิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ, อโพฺภกาโส ปพฺพชฺชาฯ นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สงฺขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํฯ ยํนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา, กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺย’’’นฺติฯ โส อปเรน สมเยน อปฺปํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย, อปฺปํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย, มหนฺตํ วา ญาติปริวฎฺฎํ ปหาย, เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา, กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา, อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชติฯ
410. ‘‘Idha, bhikkhave, tathāgato loke uppajjati arahaṃ sammāsambuddho vijjācaraṇasampanno sugato lokavidū anuttaro purisadammasārathi satthā devamanussānaṃ buddho bhagavā. So imaṃ lokaṃ sadevakaṃ samārakaṃ sabrahmakaṃ sassamaṇabrāhmaṇiṃ pajaṃ sadevamanussaṃ sayaṃ abhiññā sacchikatvā pavedeti. So dhammaṃ deseti ādikalyāṇaṃ majjhekalyāṇaṃ pariyosānakalyāṇaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ; kevalaparipuṇṇaṃ parisuddhaṃ brahmacariyaṃ pakāseti. Taṃ dhammaṃ suṇāti gahapati vā gahapatiputto vā aññatarasmiṃ vā kule paccājāto. So taṃ dhammaṃ sutvā tathāgate saddhaṃ paṭilabhati. So tena saddhāpaṭilābhena samannāgato iti paṭisañcikkhati – ‘sambādho gharāvāso rajāpatho, abbhokāso pabbajjā. Nayidaṃ sukaraṃ agāraṃ ajjhāvasatā ekantaparipuṇṇaṃ ekantaparisuddhaṃ saṅkhalikhitaṃ brahmacariyaṃ carituṃ. Yaṃnūnāhaṃ kesamassuṃ ohāretvā, kāsāyāni vatthāni acchādetvā, agārasmā anagāriyaṃ pabbajeyya’’’nti. So aparena samayena appaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya, mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya, appaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya, mahantaṃ vā ñātiparivaṭṭaṃ pahāya, kesamassuṃ ohāretvā, kāsāyāni vatthāni acchādetvā, agārasmā anagāriyaṃ pabbajati.
๔๑๑. ‘‘โส เอวํ ปพฺพชิโต สมาโน ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปโนฺน ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ, นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรติฯ
411. ‘‘So evaṃ pabbajito samāno bhikkhūnaṃ sikkhāsājīvasamāpanno pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato hoti, nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno sabbapāṇabhūtahitānukampī viharati.
‘‘อทินฺนาทานํ ปหาย อทินฺนาทานา ปฎิวิรโต โหติ, ทินฺนาทายี ทินฺนปาฎิกงฺขี อเถเนน สุจิภูเตน อตฺตนา วิหรติฯ
‘‘Adinnādānaṃ pahāya adinnādānā paṭivirato hoti, dinnādāyī dinnapāṭikaṅkhī athenena sucibhūtena attanā viharati.
‘‘อพฺรหฺมจริยํ ปหาย พฺรหฺมจารี โหติ, อาราจารี วิรโต เมถุนา คามธมฺมาฯ
‘‘Abrahmacariyaṃ pahāya brahmacārī hoti, ārācārī virato methunā gāmadhammā.
‘‘มุสาวาทํ ปหาย มุสาวาทา ปฎิวิรโต โหติ, สจฺจวาที สจฺจสโนฺธ เถโต ปจฺจยิโก อวิสํวาทโก โลกสฺสฯ
‘‘Musāvādaṃ pahāya musāvādā paṭivirato hoti, saccavādī saccasandho theto paccayiko avisaṃvādako lokassa.
‘‘ปิสุณํ วาจํ ปหาย ปิสุณาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ – อิโต สุตฺวา น อมุตฺร อกฺขาตา อิเมสํ เภทาย, อมุตฺร วา สุตฺวา น อิเมสํ อกฺขาตา อมูสํ เภทายฯ อิติ ภินฺนานํ วา สนฺธาตา, สหิตานํ วา อนุปฺปทาตา สมคฺคาราโม สมคฺครโต สมคฺคนนฺที, สมคฺคกรณิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
‘‘Pisuṇaṃ vācaṃ pahāya pisuṇāya vācāya paṭivirato hoti – ito sutvā na amutra akkhātā imesaṃ bhedāya, amutra vā sutvā na imesaṃ akkhātā amūsaṃ bhedāya. Iti bhinnānaṃ vā sandhātā, sahitānaṃ vā anuppadātā samaggārāmo samaggarato samagganandī, samaggakaraṇiṃ vācaṃ bhāsitā hoti.
‘‘ผรุสํ วาจํ ปหาย ผรุสาย วาจาย ปฎิวิรโต โหติ – ยา สา วาจา เนลา กณฺณสุขา เปมนียา หทยงฺคมา โปรี พหุชนกนฺตา พหุชนมนาปา ตถารูปิํ วาจํ ภาสิตา โหติฯ
‘‘Pharusaṃ vācaṃ pahāya pharusāya vācāya paṭivirato hoti – yā sā vācā nelā kaṇṇasukhā pemanīyā hadayaṅgamā porī bahujanakantā bahujanamanāpā tathārūpiṃ vācaṃ bhāsitā hoti.
‘‘สมฺผปฺปลาปํ ปหาย สมฺผปฺปลาปา ปฎิวิรโต โหติ, กาลวาที ภูตวาที อตฺถวาที ธมฺมวาที วินยวาที, นิธานวติํ วาจํ ภาสิตา กาเลน, สาปเทสํ ปริยนฺตวติํ อตฺถสํหิตํฯ
‘‘Samphappalāpaṃ pahāya samphappalāpā paṭivirato hoti, kālavādī bhūtavādī atthavādī dhammavādī vinayavādī, nidhānavatiṃ vācaṃ bhāsitā kālena, sāpadesaṃ pariyantavatiṃ atthasaṃhitaṃ.
‘‘โส พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฎิวิรโต โหติ, เอกภตฺติโก โหติ รตฺตูปรโต, วิรโต วิกาลโภชนาฯ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา ปฎิวิรโต โหติ, มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฎฺฐานา ปฎิวิรโต โหติ, อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต โหติ, ชาตรูปรชตปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, อามกธญฺญปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, อามกมํสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, อิตฺถิกุมาริกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, ทาสิทาสปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, อเชฬกปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, กุกฺกุฎสูกรปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, หตฺถิควาสฺสวฬวปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, เขตฺตวตฺถุปฎิคฺคหณา ปฎิวิรโต โหติ, ทูเตยฺยปหิณคมนานุโยคา ปฎิวิรโต โหติ, กยวิกฺกยา ปฎิวิรโต โหติ, ตุลากูฎกํสกูฎมานกูฎา ปฎิวิรโต โหติ, อุโกฺกฎนวญฺจน-นิกติ-สาจิโยคา ปฎิวิรโต โหติ, เฉทน-วธพนฺธนวิปราโมส-อาโลป-สหสาการา ปฎิวิรโต โหติ 9ฯ
‘‘So bījagāmabhūtagāmasamārambhā paṭivirato hoti, ekabhattiko hoti rattūparato, virato vikālabhojanā. Naccagītavāditavisūkadassanā paṭivirato hoti, mālāgandhavilepanadhāraṇamaṇḍanavibhūsanaṭṭhānā paṭivirato hoti, uccāsayanamahāsayanā paṭivirato hoti, jātarūparajatapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, āmakadhaññapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, āmakamaṃsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, itthikumārikapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, dāsidāsapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, ajeḷakapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, kukkuṭasūkarapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, hatthigavāssavaḷavapaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, khettavatthupaṭiggahaṇā paṭivirato hoti, dūteyyapahiṇagamanānuyogā paṭivirato hoti, kayavikkayā paṭivirato hoti, tulākūṭakaṃsakūṭamānakūṭā paṭivirato hoti, ukkoṭanavañcana-nikati-sāciyogā paṭivirato hoti, chedana-vadhabandhanaviparāmosa-ālopa-sahasākārā paṭivirato hoti 10.
‘‘โส สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติ ฯ เสยฺยถาปิ นาม ปกฺขี สกุโณ เยน เยเนว เฑติ สปตฺตภาโรว เฑติ, เอวเมว ภิกฺขุ สนฺตุโฎฺฐ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน, กุจฺฉิปริหาริเกน ปิณฺฑปาเตนฯ โส เยน เยเนว ปกฺกมติ สมาทาเยว ปกฺกมติฯ โส อิมินา อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อนวชฺชสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ
‘‘So santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati samādāyeva pakkamati . Seyyathāpi nāma pakkhī sakuṇo yena yeneva ḍeti sapattabhārova ḍeti, evameva bhikkhu santuṭṭho hoti kāyaparihārikena cīvarena, kucchiparihārikena piṇḍapātena. So yena yeneva pakkamati samādāyeva pakkamati. So iminā ariyena sīlakkhandhena samannāgato ajjhattaṃ anavajjasukhaṃ paṭisaṃvedeti.
‘‘โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา…เป.… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา…เป.… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหีฯ ยตฺวาธิกรณเมนํ มนินฺทฺริยํ อสํวุตํ วิหรนฺตํ อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ ตสฺส สํวราย ปฎิปชฺชติ, รกฺขติ มนินฺทฺริยํ มนินฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชติฯ โส อิมินา อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต อชฺฌตฺตํ อพฺยาเสกสุขํ ปฎิสํเวเทติฯ
‘‘So cakkhunā rūpaṃ disvā na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjati. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā…pe… jivhāya rasaṃ sāyitvā…pe… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā…pe… manasā dhammaṃ viññāya na nimittaggāhī hoti nānubyañjanaggāhī. Yatvādhikaraṇamenaṃ manindriyaṃ asaṃvutaṃ viharantaṃ abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssaveyyuṃ tassa saṃvarāya paṭipajjati, rakkhati manindriyaṃ manindriye saṃvaraṃ āpajjati. So iminā ariyena indriyasaṃvarena samannāgato ajjhattaṃ abyāsekasukhaṃ paṭisaṃvedeti.
‘‘โส อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหติ, อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ , สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺจารปสฺสาวกเมฺม สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสิเนฺน สุเตฺต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติฯ
‘‘So abhikkante paṭikkante sampajānakārī hoti, ālokite vilokite sampajānakārī hoti , samiñjite pasārite sampajānakārī hoti, saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe sampajānakārī hoti, asite pīte khāyite sāyite sampajānakārī hoti, uccārapassāvakamme sampajānakārī hoti, gate ṭhite nisinne sutte jāgarite bhāsite tuṇhībhāve sampajānakārī hoti.
๔๑๒. ‘‘โส อิมินา จ อริเยน สีลกฺขเนฺธน สมนฺนาคโต, (อิมาย จ อริยาย สนฺตุฎฺฐิยา สมนฺนาคโต) 11, อิมินา จ อริเยน อินฺทฺริยสํวเรน สมนฺนาคโต, อิมินา จ อริเยน สติสมฺปชเญฺญน สมนฺนาคโต, วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ – อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อโพฺภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา, อุชุํ กายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิเชฺฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติ; พฺยาปาทปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิโตฺต วิหรติ, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติ; ถีนมิทฺธํ ปหาย วิคตถีนมิโทฺธ วิหรติ อาโลกสญฺญี, สโต สมฺปชาโน, ถีนมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติ; อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิโตฺต, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติ; วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิโจฺฉ วิหรติ อกถํกถี กุสเลสุ ธเมฺมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ
412. ‘‘So iminā ca ariyena sīlakkhandhena samannāgato, (imāya ca ariyāya santuṭṭhiyā samannāgato) 12, iminā ca ariyena indriyasaṃvarena samannāgato, iminā ca ariyena satisampajaññena samannāgato, vivittaṃ senāsanaṃ bhajati – araññaṃ rukkhamūlaṃ pabbataṃ kandaraṃ giriguhaṃ susānaṃ vanapatthaṃ abbhokāsaṃ palālapuñjaṃ. So pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto nisīdati pallaṅkaṃ ābhujitvā, ujuṃ kāyaṃ paṇidhāya, parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā. So abhijjhaṃ loke pahāya vigatābhijjhena cetasā viharati, abhijjhāya cittaṃ parisodheti; byāpādapadosaṃ pahāya abyāpannacitto viharati, sabbapāṇabhūtahitānukampī, byāpādapadosā cittaṃ parisodheti; thīnamiddhaṃ pahāya vigatathīnamiddho viharati ālokasaññī, sato sampajāno, thīnamiddhā cittaṃ parisodheti; uddhaccakukkuccaṃ pahāya anuddhato viharati ajjhattaṃ vūpasantacitto, uddhaccakukkuccā cittaṃ parisodheti; vicikicchaṃ pahāya tiṇṇavicikiccho viharati akathaṃkathī kusalesu dhammesu, vicikicchāya cittaṃ parisodheti.
๔๑๓. ‘‘โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ, วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ เจตโส เอโกทิภาวํ อวิตกฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปีติสุขํ ทุติยํ ฌานํ…เป.… ตติยํ ฌานํ…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ
413. ‘‘So ime pañca nīvaraṇe pahāya cetaso upakkilese paññāya dubbalīkaraṇe, vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Puna caparaṃ, bhikkhave, bhikkhu vitakkavicārānaṃ vūpasamā ajjhattaṃ sampasādanaṃ cetaso ekodibhāvaṃ avitakkaṃ avicāraṃ samādhijaṃ pītisukhaṃ dutiyaṃ jhānaṃ…pe… tatiyaṃ jhānaṃ…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati.
๔๑๔. ‘‘โส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา ปิยรูเป รูเป น สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป รูเป น พฺยาปชฺชติ, อุปฎฺฐิตกายสติ จ วิหรติ อปฺปมาณเจตโสฯ ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ ปชานาติ – ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ นาภินนฺทติ นาภิวทติ นาโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อนภินนฺทโต อนภิวทโต อนโชฺฌสาย ติฎฺฐโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา นิรุชฺฌติฯ ตสฺส นนฺทีนิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวา…เป.… ฆาเนน คนฺธํ ฆายิตฺวา…เป.… ชิวฺหาย รสํ สายิตฺวา…เป.… กาเยน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา…เป.… มนสา ธมฺมํ วิญฺญาย ปิยรูเป ธเมฺม น สารชฺชติ, อปฺปิยรูเป ธเมฺม น พฺยาปชฺชติ, อุปฎฺฐิตกายสติ จ วิหรติ อปฺปมาณเจตโส, ตญฺจ เจโตวิมุตฺติํ ปญฺญาวิมุตฺติํ ยถาภูตํ ปชานาติ – ยตฺถสฺส เต ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปริเสสา นิรุชฺฌนฺติฯ โส เอวํ อนุโรธวิโรธวิปฺปหีโน ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ, สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, โส ตํ เวทนํ นาภินนฺทติ นาภิวทติ นาโชฺฌสาย ติฎฺฐติฯ ตสฺส ตํ เวทนํ อนภินนฺทโต อนภิวทโต อนโชฺฌสาย ติฎฺฐโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา นิรุชฺฌติฯ ตสฺส นนฺทีนิโรธา อุปาทานนิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติฯ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติฯ อิมํ โข เม ตุเมฺห, ภิกฺขเว, สํขิเตฺตน ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺติํ ธาเรถ, สาติํ ปน ภิกฺขุํ เกวฎฺฎปุตฺตํ มหาตณฺหาชาลตณฺหาสงฺฆาฎปฺปฎิมุกฺก’’นฺติฯ
414. ‘‘So cakkhunā rūpaṃ disvā piyarūpe rūpe na sārajjati, appiyarūpe rūpe na byāpajjati, upaṭṭhitakāyasati ca viharati appamāṇacetaso. Tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ pajānāti – yatthassa te pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. So evaṃ anurodhavirodhavippahīno yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti, sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so taṃ vedanaṃ nābhinandati nābhivadati nājjhosāya tiṭṭhati. Tassa taṃ vedanaṃ anabhinandato anabhivadato anajjhosāya tiṭṭhato yā vedanāsu nandī sā nirujjhati. Tassa nandīnirodhā upādānanirodho, upādānanirodhā bhavanirodho, bhavanirodhā jātinirodho, jātinirodhā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā nirujjhanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hoti. Sotena saddaṃ sutvā…pe… ghānena gandhaṃ ghāyitvā…pe… jivhāya rasaṃ sāyitvā…pe… kāyena phoṭṭhabbaṃ phusitvā…pe… manasā dhammaṃ viññāya piyarūpe dhamme na sārajjati, appiyarūpe dhamme na byāpajjati, upaṭṭhitakāyasati ca viharati appamāṇacetaso, tañca cetovimuttiṃ paññāvimuttiṃ yathābhūtaṃ pajānāti – yatthassa te pāpakā akusalā dhammā aparisesā nirujjhanti. So evaṃ anurodhavirodhavippahīno yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti, sukhaṃ vā dukkhaṃ vā adukkhamasukhaṃ vā, so taṃ vedanaṃ nābhinandati nābhivadati nājjhosāya tiṭṭhati. Tassa taṃ vedanaṃ anabhinandato anabhivadato anajjhosāya tiṭṭhato yā vedanāsu nandī sā nirujjhati. Tassa nandīnirodhā upādānanirodho, upādānanirodhā bhavanirodho, bhavanirodhā jātinirodho, jātinirodhā jarāmaraṇaṃ sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā nirujjhanti. Evametassa kevalassa dukkhakkhandhassa nirodho hoti. Imaṃ kho me tumhe, bhikkhave, saṃkhittena taṇhāsaṅkhayavimuttiṃ dhāretha, sātiṃ pana bhikkhuṃ kevaṭṭaputtaṃ mahātaṇhājālataṇhāsaṅghāṭappaṭimukka’’nti.
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
Idamavoca bhagavā. Attamanā te bhikkhū bhagavato bhāsitaṃ abhinandunti.
มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตํ นิฎฺฐิตํ อฎฺฐมํฯ
Mahātaṇhāsaṅkhayasuttaṃ niṭṭhitaṃ aṭṭhamaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๘. มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา • 8. Mahātaṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) / ๘. มหาตณฺหาสงฺขยสุตฺตวณฺณนา • 8. Mahātaṇhāsaṅkhayasuttavaṇṇanā